00:00:00 → 00:00:03 คุณหมอค่ะช่วยเอ่อปูพื้นให้ฟังสักนิดนึง
00:00:03 → 00:00:06 ค่ะว่าจริงๆแล้วเจ้าโรคไตวายเฉียบพลันกับ
00:00:06 → 00:00:09 ไตวายเรื้อรังเนี่ยค่ะมันมีจุดเริ่มต้น
00:00:09 → 00:00:12 หรือว่ามีความเหมือนความต่างกันยังไงบ้าง
00:00:12 → 00:00:16 คะค่ะก็สำหรับไวายเฉียบพันกับไวายเรื้อ
00:00:16 → 00:00:20 รังนะคะความเหมือนก็คือว่าเอ่อไวายเนี่ย
00:00:20 → 00:00:24 หมายถึงภาวะที่มีการทำงานลดลงของไนะคะ
00:00:24 → 00:00:29 ซึ่งเอ่อภาวะไวายเฉี่พลันกับไตวายเรื้อ
00:00:29 → 00:00:32 รังเนี่ยก็หมายถึงการทำงานของไตเนี่ยลดลง
00:00:32 → 00:00:36 แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือระยะเวลาสาเหตุ
00:00:36 → 00:00:40 แล้วก็แนวทางการรักษาค่ะค่ะโดยที่ไวาย
00:00:40 → 00:00:42 เฉียบพลันเนี่ยระยะเวลาการเกิดโรคเนี่ยจะ
00:00:42 → 00:00:46 เกิดขึ้นเป็นวันหรือสัปดาห์ส่วนไวัยเรื้อ
00:00:46 → 00:00:50 รังเนี่ยก็คือเกิดขึ้นช้าๆนะคะเรื้อรัง
00:00:50 → 00:00:54 นานกว่า 3 เดือนขึ้นไปค่ะอืส่วนความแตก
00:00:54 → 00:00:57 ต่างที่ 2 ก็คือเรื่องของสาเหตุค่ะไอวาย
00:00:57 → 00:00:59 เฉียบพลันเนี่ยส่วนมากก็จะเกิดหลังการ
00:00:59 → 00:01:03 เจ็บป่วยรุนแรงนะคะเช่นมีภาวะช็อกนะคะ
00:01:03 → 00:01:06 ภาวะติดเชื้อในกระแสเลือดนะคะหรือได้รับ
00:01:06 → 00:01:11 ยาที่เป็นผลกับไปมีพิษกับไปเกินขนาดนะคะ
00:01:11 → 00:01:14 ส่วนไตวายเรื้อรังเนี่ยสาเหตุก็จะเกิดจาก
00:01:14 → 00:01:18 โรค 3 อย่างที่พบบ่อยก็คือโรคเบาหวานความ
00:01:18 → 00:01:22 ดันโลหิตสูงแล้วก็โรคนิวค่ะค่ะสุดท้าย
00:01:22 → 00:01:25 ความต่างอันที่ 3 ก็คือแนวทางการรักษาค่ะ
00:01:25 → 00:01:28 เอ่อโรคไวายเฉียบพลันเนี่ยเกิดขึ้นเร็วนะ
00:01:28 → 00:01:32 คะแล้วก็ากสามารหายได้นะคะถ้าได้รับการ
00:01:32 → 00:01:36 รักษาอย่างทันท่วงทีนะคะก็แก้ไขที่สาเหตุ
00:01:36 → 00:01:40 ค่ะนะคะเอ่อส่วนไตวายเรื้อรังเนี่ยส่วน
00:01:40 → 00:01:42 มากจะเป็นการรักษาแบบประคับประคองนะคะ
00:01:42 → 00:01:46 ชะลอไม่ให้ไเสื่อมนะคะไม่ว่าจะเป็นการควบ
00:01:46 → 00:01:50 คุมด้วยอาหารแล้วก็การให้ยาค่ะค่ะอย่างไต
00:01:50 → 00:01:53 วเรื้อรังเนี่ยมีส่วนเรื่องของพันธุกรรม
00:01:53 → 00:01:57 เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยมคะมีส่วนค่ะก็
00:01:57 → 00:02:00 สาเหตุของไวายเรื้อรังอื่นๆนจาก 3 สาเหตุ
00:02:00 → 00:02:04 ที่พูดไปข้างต้นก็คือภาวะไปวัยเรืเนี่ย
00:02:04 → 00:02:08 เจอได้ในในคนที่มีประวัติครอบครัวที่เป็น
00:02:08 → 00:02:13 โรคไตด้วยนะคะค่ะมีบางส่วนที่ที่อาจจะ
00:02:13 → 00:02:18 เป็นโรคทางพันธุกรรมค่ะอือแล้วอุบัติกานะ
00:02:18 → 00:02:21 คะคุณหมอคะส่วนใหญ่เนี่ยเท่าที่เคสต่างๆ
00:02:22 → 00:02:24 ที่เข้ามาหาคุณหมอเนี่ยค่ะส่วนใหญ่เกิดใน
00:02:25 → 00:02:28 ช่วงวัยไหนอ่ะคะทั้งทั้ง 2 กลุ่มเนี่ยค่ะ
00:02:28 → 00:02:30 ไม่ว่าจะเป็นไตวายเฉียบพลหรือไตวายเรื้อ
00:02:30 → 00:02:34 รังเนี่ยค่ะอืไตวายเสียพลันเนี่ยเกิดได้
00:02:34 → 00:02:38 ทุกทุกทุกเพศแล้วก็ทุกอายุช่วงอายุเลยค่ะ
00:02:38 → 00:02:41 ขึ้นอยู่กับเอ่ออาการเจ็บป่วยนะขณะนั้น
00:02:41 → 00:02:45 ถ้ามีอาการไม่สบายก็สามารถเกิดภาวะไตวาย
00:02:45 → 00:02:48 เฉียบพลันได้นะคะส่วนไวายเรื้อรังเนี่ย
00:02:48 → 00:02:51 คือพบมากขึ้นส่วนมากหลังอายุ 40 ปีขึ้นไป
00:02:51 → 00:02:55 นะคะแต่ว่าพบในปัจจุบันก็พบว่าอายุเนี่ย
00:02:55 → 00:02:58 ที่ตรวจพบไตวัเรื้อรังเนี่ยน้อยลงเรื่อยๆ
00:02:58 → 00:03:02 นะคะโดยประชากรไทยอ่ะค่ะประมาณ 8 ล้านคน
00:03:02 → 00:03:05 นะคะพบว่าเป็นภาวะไตรวายเรื้อรังนะคะคิด
00:03:05 → 00:03:09 เป็นประมาณ 17% นะคะอแล้วก็ในทุกๆปีเนี่ย
00:03:09 → 00:03:12 พบว่าประมาณ 20,000 คนที่จำเป็นจะต้องได้
00:03:12 → 00:03:17 รับการบำบัดทดแทนไปค่ะค่ะออแล้วแล้วอย่าง
00:03:17 → 00:03:21 ไปวายเรื้อรังเนี่ยค่ะคืออย่างสาเหตุหลัก
00:03:21 → 00:03:26 ๆมันมาจากอะไรอ่ะคะคุณหมอคะค่ะสาเหตุของไ
00:03:26 → 00:03:28 วายเรื้อรังเนี่ย 3 สาเหตุแรกก็คือเบา
00:03:28 → 00:03:32 หวานนะคะที่ควบคุมได้ไม่ดีนะคะอันที่ 2
00:03:32 → 00:03:36 ก็คือภาวะความดันโลหิตสูงนะคะสาเหตุที่ 3
00:03:36 → 00:03:40 ที่เจอก็คือเรื่องของนิ่วในไตนะคะที่ไม่
00:03:40 → 00:03:44 ได้รับการรักษาแก้ไขส่วนสาเหตุอื่นๆนะคะ
00:03:44 → 00:03:48 ก็เช่นโรคไตอักเสบนะคะโรคไตจากพันธุกรรม
00:03:48 → 00:03:53 แล้วก็การได้รับยาเกินขนาดเป็นต้นค่ะออ
00:03:53 → 00:03:58 ได้รับยาเกินขนาดหมายความว่ายาที่เราเอ่อ
00:03:58 → 00:04:01 หมายถึงว่ายาที่เราโรประจำตัวต่างๆที่เรา
00:04:01 → 00:04:05 ทานสะสมเข้าไปหรอคะคุณหมออ๋ออันนี้มักจะ
00:04:05 → 00:04:10 เป็นความเข้าใจที่ที่คลาดเครื่องคลาด
00:04:10 → 00:04:12 เครื่องเล็กน้อยนะคะก็คือที่ที่หมอหมาย
00:04:12 → 00:04:17 ถึงหมายถึงเอ่อยาที่ได้รับเอ่อได้รับเข้า
00:04:17 → 00:04:20 ไปเนี่ยเป็นยาที่เป็นมีผลเป็นพิษต่อไยก
00:04:20 → 00:04:25 ตัวอย่างเช่นอือยาแก้ปวดกุเศสมีหลายๆท่าน
00:04:25 → 00:04:28 เนี่ยกินยากลุ่มเนี้ยเพื่อลดอาการปวดหลัง
00:04:28 → 00:04:32 ปวดข้อเขาออซึ่งบางครั้งได้รับยาเป็นระยะ
00:04:32 → 00:04:36 เวลานานหรือได้รับหลายหลายหลายๆชนิดใน
00:04:36 → 00:04:40 เวลาเดียวกันนะคะแล้วไม่ได้รับการตรวจคัด
00:04:40 → 00:04:43 กรองโดยการตรวจเลือดนะคะเพราะบางครั้ง
00:04:43 → 00:04:46 เนี่ยคนไข้ไปวายเรื้อรังที่เป็นเนี่ยใน
00:04:46 → 00:04:50 ช่วงแรกๆจะไม่มีอาการเลยนะคะดังนั้นคนไข้
00:04:50 → 00:04:52 ก็ได้รับยาเนี้ยเป็นเวลานานหรือบางครั้ง
00:04:52 → 00:04:58 ได้บิคือได้ซ้อนกันด้วยนะคะแล้วก็อาจจะมี
00:04:58 → 00:05:03 การรับประทานยาสมุนไพรหรือกินยาซ้ำซ้อน
00:05:03 → 00:05:06 แบบเนี้ยค่ะก็อาจจะทำให้เกิดไรวายเรื้อ
00:05:06 → 00:05:12 รังได้ในทางกับการการกินยาปริมาณมากโดย
00:05:12 → 00:05:16 โดยได้โดยมีการเช็คค่ะจากแพทย์นะคะในการ
00:05:16 → 00:05:19 รักษาควบคุมโรคนะคะเช่นคนไข้เบาหวานได้
00:05:19 → 00:05:22 รับยาเบาหวานความดันไขมันร่วมด้วยอย่าง
00:05:22 → 00:05:25 เงี้ยค่ะอันนี้เนี่ยค่ะไม่ได้ทำให้เกิด
00:05:25 → 00:05:28 ภาวะไว้นะคะการควบคุมโรคเรื้อรังเนี่ย
00:05:28 → 00:05:33 กลับเป็นข้อดีในการป้องกันโรคไตวายเรื้อ
00:05:33 → 00:05:37 ดังนะคะอออหูยอย่างงี้ถ้าเกิดฟังอยู่
00:05:37 → 00:05:41 อย่างเช่นเอ่อคุณตาคุณยายอ่ะค่ะแบบรุ่น
00:05:41 → 00:05:43 นั้นเลยอ่ะคือเวลาเขาอย่างที่คุณหมอบอก
00:05:43 → 00:05:49 อ่ะบางทีปวดหลังอ่ะก็จะแบบไปหายาทานเอง
00:05:49 → 00:05:52 อยู่เป็นประจำตอนเยยังมีอยู่เลยนะคะคุณ
00:05:52 → 00:05:54 หมอที่เป็นแบบเป็นยาชุดที่ยังเคยเห็นนะคะ
00:05:54 → 00:05:58 อันอันนี้ใช่ใช่ใช่มั้คะถ้าเกิดแบบได้รับ
00:05:58 → 00:06:01 แบบเป็นจำนวนปริมาณมากติดต่อกันอะไรอย่าง
00:06:01 → 00:06:04 เงี้ยค่ะที่บอกว่ายาเกินขนาดใช่ค่ะถูก
00:06:04 → 00:06:09 ต้องค่ะคือส่วนมากยาก็จะมีเป็นยาหลายๆ
00:06:09 → 00:06:12 ขนานซึ่งบางบางอย่างเนี่เสริมฤทธิ์ทำให้
00:06:12 → 00:06:17 ไปวายมากขึ้นนะคะค่ะค่ะดังนั้นเวลาเจ็บ
00:06:17 → 00:06:20 ป่วยเนี่ยควรจะได้รับการปรึกษาแพทย์แล้ว
00:06:20 → 00:06:23 ก็เป็นศัจกรก่อนรับประทานยาทุกครั้งค่ะ
00:06:23 → 00:06:26 อืออูยอ่ะแล้วทีเนี้ยอยากรู้คือมีคนใกล้
00:06:26 → 00:06:30 ตัวเหมือนกันที่เวลาปวดหลังก็คือเป็นแบบ
00:06:30 → 00:06:32 รุ่นคุณย่าคุณยายัแหละค่ะคุณหมอถ้าแบบ
00:06:32 → 00:06:36 เนี้ยมันเคเคต้องได้รับปริมาณมากขนาดไหน
00:06:36 → 00:06:39 หรือติดต่อกันนานขนาดไหนอ่ะคะถึงจะแบบ
00:06:39 → 00:06:42 แสดงอาการแล้วจะเห็นอาการอะไรออกมาอะไร
00:06:42 → 00:06:46 อย่าเงี้ยค่ะอือคือการได้รับยาแก้ปวด
00:06:46 → 00:06:51 เนี่ยค่ะตามปกติแล้วเรามักจะให้รับประทาน
00:06:51 → 00:06:55 ยาในช่วงสั้นๆนะคะประมาณไม่เกิน 5-7 วัน
00:06:55 → 00:07:00 นะคะถ้าสมมุติว่าอาการของปวดไม่ดีขึ้น
00:07:00 → 00:07:03 เนี่ยแนะนำว่าควรจะไปพบแพทย์เพื่อรักษา
00:07:03 → 00:07:07 ที่สาเหตุนะคะอืแล้วก็ช่วงที่รับประทานยา
00:07:07 → 00:07:12 เนี่ยก็ควรจะรับดื่มน้ำเยอะๆนะคะตามคำแนะ
00:07:12 → 00:07:18 นำของยาเลยค่ะแล้วก็ในภาวะที่คนไข้มีภาวะ
00:07:18 → 00:07:21 สูญเสียเกลือแร่ร่วมด้วยเนี่ยควรหลีก
00:07:21 → 00:07:24 เลี่ยงยากลุ่มเอเสค่ะเพราะว่าจะยิ่งทำให้
00:07:24 → 00:07:28 เกิดภาวะไตวายเชีย์พลันได้ง่ายขึ้นค่ะอื
00:07:28 → 00:07:30 ฟังแบบนี้แล้ว
00:07:30 → 00:07:33 น่ากังวลเหมือนกันหออย่างเรื่องพวกอาหาร
00:07:33 → 00:07:35 การกินหรือว่ามันมีปัจจัยเสียงอะไรที่เรา
00:07:35 → 00:07:38 ควรต้องระมัดระวังบ้างมยคะสำหรับการที่จะ
00:07:38 → 00:07:41 นำไปสู่ภาวะในเรื่องของไตวายเฉียบพันธุ์
00:07:41 → 00:07:43 หรือไตวายเรื้อรังเนี่ย
00:07:43 → 00:07:47 ค่ะค่ะสำหรับเรื่องของไตไวเรื้อรังแล้ว
00:07:47 → 00:07:51 กันนะคะเพราะว่าเอ่อการควบคุมอาหารแล้วก็
00:07:51 → 00:07:54 ยาเนี่ยสำคัญมากในผู้ป่วยปายวายเรื้อรัง
00:07:54 → 00:07:59 นะคะก็คืออาหารกลุ่มที่จะนำไปสู่ภาวะการ
00:07:59 → 00:08:02 ที่ไปทำงานหนักมากขึ้นรวมถึงความดันโลหิ
00:08:02 → 00:08:06 สูงเนี่ยก็คือกลุ่มโซเดียมนะคะซึ่ง
00:08:06 → 00:08:10 โซเดียมเนี่ยค่ะเป็นเกลือแร่ตัวนึงที่มี
00:08:10 → 00:08:14 รสเค็มนะคะและและและในปัจจุบันเนี่ย
00:08:14 → 00:08:17 โซเดียมยังสามารถประกอบอาหารเป็นเป็น
00:08:17 → 00:08:21 ประกอบเป็นสารต่างๆได้เช่นเป็นผงฟูแล้วก็
00:08:21 → 00:08:24 เป็นผงชูรสหรือโมโนโซเดียมกลูตาเมตได้
00:08:24 → 00:08:28 ด้วยดังนั้นนอกจากรสเค็มแล้วเนี่ยก็ยังมี
00:08:28 → 00:08:32 อยู่ในขนมหวานรวมถึงรดกลมกลมด้วยนะคะดัง
00:08:32 → 00:08:36 นั้นคือเอ่อในปัจจุบันเราก็จะมีคำแนะนำ
00:08:36 → 00:08:39 ว่าไม่ควรบริโภคโซเดียมเกิน 2,000
00:08:39 → 00:08:42 มิลลิกรัมต่อวันนะคะเพราะว่ามีการศึกษามา
00:08:42 → 00:08:45 ว่าถ้าคนไข้เนี่ยรับประทานโซเดียมเนี่ย
00:08:45 → 00:08:48 2,000 มิลกรัมต่อวันนะคะเทียบกับคนไข้
00:08:48 → 00:08:51 ที่รับประทานโซเดียมสูงมาก 4,000 กว่า
00:08:51 → 00:08:54 มิลลิกรัมต่อวันเนี่ยเพะว่ากลุ่มที่ได้
00:08:54 → 00:08:57 รับโซเดียมมากเนี่ยก็จะเกิดภาวะความดัน
00:08:57 → 00:09:02 โลหิตสูงโีในปัสสวะรววมถึงภาวะไตเสื่อม
00:09:02 → 00:09:06 ได้นะคะดังนั้นคือการควบคุมโซเดียมให้ไม่
00:09:06 → 00:09:08 เกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวันเนี่ยก็จะเป็น
00:09:08 → 00:09:12 การป้องกันโรคใจได้ค่ะโดยเอ่อโซเดียมที่
00:09:12 → 00:09:15 เราได้รับในแต่ละวันน่ะค่ะจะเราจะได้รับ
00:09:15 → 00:09:19 จากอาหารตามธรรมชาติอยู่แล้วนะคะเอ่อโดย
00:09:19 → 00:09:22 ที่ไม่ปรุงรสเนี่ยอยู่ในผักอยู่ในข้าว
00:09:22 → 00:09:24 อยู่ในเนื้อสัตว์เนี่ยประมาณ 800 มิลกรัม
00:09:25 → 00:09:28 ค่ะแล้วเราได้รับเพิ่มเข้าไปอีกจากการ
00:09:28 → 00:09:31 ปรุงรสค่ะดังนั้นคือคือเราสามารถปรุงรส
00:09:31 → 00:09:35 ได้แต่ว่าปรุงปรุงด้วยความพอดีค่ะเก่าคือ
00:09:35 → 00:09:38 ถ้าเป็นเกลือนะคะเราก็ไม่ควรจะเกินกินรับ
00:09:39 → 00:09:43 ประทานเกิน 1 ช้อนชาต่อวันนะคะหรือถ้าแลก
00:09:43 → 00:09:46 แลกเปลี่ยนเป็นน้ำปลาหรือสีอิ๊วขาวก็
00:09:46 → 00:09:49 ประมาณ 4 ช้อนชาต่อวันนะคะนอกจากนี้พวก
00:09:49 → 00:09:52 ซอสปรุงรสไม่ว่าจะเป็นซอสพริกนะคะน้ำจิ้ม
00:09:52 → 00:09:56 ไก่หรือเอ่อซอสมะเขือเทศพวกนี้ก็มี
00:09:56 → 00:09:59 โซเดียมด้วยเหมือนกันแต่อาจจะต่ำกว่าน้ำ
00:09:59 → 00:10:03 ปลานะคะแล้วก็หมอไปพบมาว่าน้ำจิ้มแจ๋วน
00:10:03 → 00:10:06 ค่ะที่เรารับประทานคู่กับคอหมูย่างเป็น
00:10:06 → 00:10:09 ประจำ 1 ถ้วยเล็กๆนะคะบางครั้งเนี่ยมี
00:10:09 → 00:10:12 โซเดียมสูงถึง 9,000 มิลิกรัม
00:10:12 → 00:10:17 ใช่ค่ะดังนั้นคือร้องหูเลยอาหารใช่คืออัน
00:10:17 → 00:10:19 นี้คือของโปรดมากเลยค่ะคุณหมอน้ำจิ้มแจ่ว
00:10:19 → 00:10:22 เนี่ยขาดไม่ค่อยได้เลยอ่ะใช่ค่ะดังนั้น
00:10:22 → 00:10:26 ั้นเวลาเราที่เรารับประทานอาหารตาม
00:10:26 → 00:10:29 ธรรมชาติทั่วไปเนี่ยเราก็รับโซเดียมอยู่
00:10:29 → 00:10:32 แล้วนะคะเพะ 800 อย่างที่กล่าวไปและที่
00:10:32 → 00:10:35 ถ้าเราปรุงเพิ่มขึ้นอีกก็จะได้รับโซเดียม
00:10:35 → 00:10:38 ส่วนมากก็จะมากเกินความต้องการนะคะนอกจาก
00:10:38 → 00:10:41 นี้นะคะอาหารสำเร็จรูปไม่ว่าจะเป็นเอ่อ
00:10:41 → 00:10:46 บะหมี่อื่นสำเร็จรูปนะคะแฮมไม่กรอกชีสนะ
00:10:46 → 00:10:49 คะพวกนี้นะคะก็จะยิ่งมีโซเดียมมากขึ้น
00:10:49 → 00:10:53 เพราะเขาใช้โซเดียมในการถนอมอาหารนะคะค่ะ
00:10:53 → 00:10:56 ส่วนอาหารที่ไม่ได้่มีรสเค็มบ้างล่ะเช่น
00:10:56 → 00:11:00 พวกเบเกอรี่ที่ใช้ผงฟูนะคะเค้กนะคะก็จะมี
00:11:00 → 00:11:04 โซเดียมได้เหมือนกันนะดังนั้นก็เราก็ควร
00:11:04 → 00:11:09 จะบริโภคด้วยความเหมาะสมนะคะแบบอย่างพอดี
00:11:09 → 00:11:12 หลากหลายแต่พอดีอ่ะค่ะอื
00:11:12 → 00:11:15 อืมีหลายเมนูที่ชื่นชอบแล้วก็ต้องระมัด
00:11:15 → 00:11:19 ระวังเลยนะเนี่ยนอกจากนอกจากจะทานโซเดียม
00:11:20 → 00:11:24 เยอะตอนแรกก็กังวลแต่เรื่องของอาการบวม
00:11:24 → 00:11:27 ที่ไหนนะไปไม่แต่ว่าก่อนที่จะฟังคุณหมอ
00:11:27 → 00:11:29 เนี่ยตามความเข้าใจเรานะเราเข้าใจว่าแค่
00:11:29 → 00:11:32 เลี่ยงเค็มไมันมาจากเรื่องของความเค็ม
00:11:32 → 00:11:35 เนาะแต่ว่าทำไปทำมาเอของหวานเค้กอะไรทั้ง
00:11:36 → 00:11:38 หลายอย่างที่คุณหมอบอกมันมีผงฟูก็เออมี
00:11:38 → 00:11:41 ส่วนเหมือนกันนะไม่น่าเชื่อว่าพวกนี้ก็
00:11:41 → 00:11:43 ต้องระวังเหมือนกันต้องไปเช็คยังไงคะคุณ
00:11:43 → 00:11:46 หมอเช็คไปไม่เคยเช็หรือว่าค่าเลือดอะไร
00:11:46 → 00:11:50 เงี้ยก็ไม่ค่อยได้เช็คสุขภาพเลยอ่ะค่ะค่ะ
00:11:50 → 00:11:52 เพราะฟังมาแล้วเข้าขายมากๆเลย
00:11:52 → 00:11:58 ค่ะค่ะก็การการคัดกรองไปนะคะก็สำคัญพอสม
00:11:58 → 00:12:02 ควรเลยค่ะค่ะเพราะว่าการที่เราตรวจเลือด
00:12:02 → 00:12:06 นะคะก็จะแนะแนะนำให้ตรวจสุขภาพโดยเฉพาะคน
00:12:06 → 00:12:09 ที่มีกลุ่มเสี่ยงนะคะค่ะเอ่อการการตรวจ
00:12:09 → 00:12:12 คัดกรองไปนี่ง่ายๆเลยค่ะจากการตรวจเลือด
00:12:12 → 00:12:16 ตรวจปัสสาวะรวมถึงอาจจะตรวจอัลตร้าซาวดู
00:12:16 → 00:12:20 ไปด้วยก็ได้นะคะเอ่อตรวจเลือดเนี่ยค่าที่
00:12:20 → 00:12:26 เรามักจะใช้ตรวจวัดกันก็คือค่า bu ค่าิน
00:12:26 → 00:12:29 แล้วก็ค่า egfr นะคะส่วนในปัสสาวะเนี่ย
00:12:29 → 00:12:33 เราก็จะดูเอ่อยูรีน exam ทั่วไปแล้วก็ถ้า
00:12:33 → 00:12:36 ตรวจละเอียดก็สามารถตรวจโปรตีนขนาดเล็กใน
00:12:36 → 00:12:39 ปัสสาวะที่เรียกว่าไมครอูมินได้นะคะนอก
00:12:39 → 00:12:42 จากนี้ส่วนการอันทำอัลตร้าซาวเนี่ยเราก็
00:12:42 → 00:12:45 จะได้ดูขนาดของไรวมถึงว่าเรามีนิ่วหรือ
00:12:45 → 00:12:49 ว่าบางคนเกิดมามีไข้างเดียวก็มีนะคะดัง
00:12:49 → 00:12:53 นั้นคือการตรวจคัดกรองไตเนี่ยก็เอ่อสำคัญ
00:12:53 → 00:12:56 นะคะโดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงนะคะ
00:12:56 → 00:12:59 ค่ะเอ่อผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงที่หมอ
00:12:59 → 00:13:02 กล่าวถึงเนี่ยก็จะมีทั้งหมด 6 กลุ่มนะคะ
00:13:03 → 00:13:06 นะคะกลุ่มที่ 1 ก็คือผู้ป่วยที่มีอายุมาก
00:13:06 → 00:13:10 กว่า 6 ปีขึ้นไปนะคะกลุ่มที่ 2 คือกลุ่ม
00:13:10 → 00:13:13 ที่มีโรคเรื้อรังนะคะเช่นเบาหวานความดัน
00:13:13 → 00:13:18 โลหิตสูงโรคนิ่วโรคเกา sle นะคะกลุ่มที่ 3
00:13:18 → 00:13:23 ก็คือผู้ป่วยที่มีโรคไตในครอบครัวนะคะโลก
00:13:23 → 00:13:26 พันธุกรรมกลุ่มที่ 4 ก็คือกลุ่มที่มี
00:13:26 → 00:13:29 ประวัติได้รับประทานยาที่อาจจะเป็นทิษต่อ
00:13:29 → 00:13:33 ไปเป็นระยะเวลานานนะคะค่ะค่ะกลุ่มที่ 5
00:13:33 → 00:13:36 ก็คือผู้ป่วยที่มีประวัติเรื่องการติด
00:13:36 → 00:13:39 เชื้อในทางเดินปัสสาวะส่วนต้นซ้ำหลายๆ
00:13:39 → 00:13:43 ครั้งนะคะแล้วก็สุดท้ายก็คือกลุ่มที่อาจ
00:13:43 → 00:13:46 จะมีประวัติมวลไปน้อยแต่กำเนิดเช่นอย่าง
00:13:46 → 00:13:49 ที่หมอกล่าวไปว่าอาจจะมีตายข้างเดียวแต่
00:13:49 → 00:13:52 กำเนิดหรือเกิดขึ้นภายหลังเช่นได้รับ
00:13:52 → 00:13:55 อุบัติเหตุเราพาตัดไปไได้รับบาดเจ็บเค่ะ
00:13:55 → 00:13:58 นะดะนั้น 6 กลุ่มหลักเนี่ยก็คือเป็นกลุ่ม
00:13:58 → 00:14:02 ที่หมออยากเอ่อแนะนำให้ตรวจคัดกรองด้วย
00:14:02 → 00:14:05 วิธีการที่หมอได้กล่าวไปข้างต้นก็คือตรวจ
00:14:05 → 00:14:09 เลือดตรวจปัสสวะแล้วก็อาจจะพิจารณารอัลซา
00:14:09 → 00:14:11 ไค่ะ
00:14:11 → 00:14:15 อืคุณหมอคะขออนุญาตแอบถามนิดนึงเ่อการ
00:14:15 → 00:14:19 ตรวจค่าไตเดี๋ยวเนี้ยมันมีเ่าเาเรียก
00:14:19 → 00:14:21 สามารถตรวจได้ตัวตัวเองมคะอย่างเช่นอ่า
00:14:21 → 00:14:24 พวก atk หรือว่าเครื่องที่แบบเอาไว้ตรวจ
00:14:24 → 00:14:27 ตั้งครร์เนาะออมันมันมีเครื่องที่สามารถ
00:14:27 → 00:14:31 ตรวจเองได้เลยมั้ยคะทุกวันเนี้ยค่ะอืในใน
00:14:31 → 00:14:35 ปัจจุบันเคือค่าค่าถ้าเอาเป็นค่าคเนี่ย
00:14:35 → 00:14:39 หมอหมอยังไม่เห็นการตรวจด้วยตัวเองนะคะ
00:14:39 → 00:14:44 แล้วก็แนะนำว่าเราควรจะตรวจในสถานที่ที่
00:14:44 → 00:14:47 เชื่อถือได้มากกว่าเพราะว่าเอ่อการตรวจ
00:14:47 → 00:14:52 วัดแต่ละอย่างเนี่ยสามารถเอ่อคลาดเคลื่อน
00:14:52 → 00:14:57 ได้ในในในแลบแต่ละที่ที่ไม่ได้รับการเอ่อ
00:14:57 → 00:15:00 เหมือนได้รับมาตรฐานที่ที่ถูกต้องแล้ว
00:15:00 → 00:15:02 นั้นคือควรจะตรวจเช็คในห้องแลบที่เชื่อ
00:15:03 → 00:15:06 ถือได้มากกว่าค่ะอืหนึ่งในปัจจัยที่คุณ
00:15:06 → 00:15:08 หมอบอกเมื่อสักครู่นี้เนาะก็คือเรื่องของ
00:15:08 → 00:15:13 การทานยาคุณหมอคะแล้วถ้าคนที่เขาเ่อมีคุณ
00:15:13 → 00:15:16 ผู้ฟังถามเข้ามานะคุณซุกกี้ชบาไทยนะคะฝาก
00:15:16 → 00:15:19 ถามเข้ามาว่าถ้ากินยาแก้แพ้ยาแก้ปวดหรือ
00:15:19 → 00:15:21 พวกพาราเซตามอลเนี่ยค่ะมันจะมีผลต่อการทำ
00:15:21 → 00:15:27 งานของไตมคะอืสำสำหรับยายาแก้แพ้นะคะก็
00:15:27 → 00:15:33 ไม่ได้มีผลเอ่อต่อไปนะคะส่วนยาแก้ปวดก็
00:15:33 → 00:15:37 อย่างที่กล่าวไปกลุ่มเเฟสนะคะหรือว่าเป็น
00:15:37 → 00:15:41 มักจะเป็นกลุ่มยาแก้ปวดที่เราจ่าในคนไข้
00:15:41 → 00:15:44 ปวดกระดูกนะคะนะคะกลุ่มนี้เนี่ยคือรับ
00:15:45 → 00:15:47 ประทานต่อเนื่องนานๆเนี่ยไม่ดีกับไกแน่
00:15:47 → 00:15:52 นอนนะคะั้นก็ควรจะรักษาที่สาเหตุนะคะรับ
00:15:52 → 00:15:55 ประทานประมาณ 5-7 วันหรือถ้าอาการปวดดี
00:15:55 → 00:15:58 ขึ้นก็ควรจะหยุดนะคะแล้วก็ดื่มน้ำตามเย
00:15:58 → 00:16:02 เยอะนะคะส่วนเรื่องของพาราเซตามอลนะคะก็
00:16:02 → 00:16:06 คือถ้าสมมุติว่ารับประทานในช่วงสั้นๆนะคะ
00:16:06 → 00:16:09 ไม่ได้มีผลกลับไปโดยตรงนะคะแต่ว่าถ้า
00:16:09 → 00:16:15 วอร์ดสนะคะรับประทานแบบปริมาณมากๆในในใน
00:16:15 → 00:16:19 ระยะเวลาสั้นๆนะคะก็มีพิษต่อไปเช่นเดียว
00:16:19 → 00:16:21 กับตับได้ค่ะ
00:16:21 → 00:16:26 อืมีคุณผู้ฟังสอบถามเข้ามาค่ะทางทางทาง
00:16:26 → 00:16:29 Line อ่ะนะคะคุณหมอบอกว่าแล้วอัตซาวช่อง
00:16:29 → 00:16:34 ท้องเนี่ยจะรวมตรวจไตด้วยมย
00:16:34 → 00:16:40 คะค่ะสำหรับอัตซาวช่องท้องที่ตรวจเช็ค
00:16:40 → 00:16:44 สุขภาพดูไตด้วยค่ะส่วนมากคุณเอ่อคุณหมอ
00:16:44 → 00:16:48 รังสีแพท์เนี่ยก็จะดูตั้งแต่ตับไปเอ่อ
00:16:48 → 00:16:52 กระเพาะปัสสาวะรมถึงมดลูกด้วยนะคะแต่ถ้า
00:16:52 → 00:16:56 สมมุติว่าอยากจะพิจารณาแบบชัดเจนเลยเนี่ย
00:16:56 → 00:16:59 ก็อาจจะต้องแจ้งคุณคุณหมอให้ทราบด้วยว่า
00:16:59 → 00:17:03 เออเรามีภาวะที่เรากังวลตรงนี้ให้คุณหมอ
00:17:03 → 00:17:07 เขาดูแบบละเอียดมากขึ้นค่ะออก็ต้องตรวจ
00:17:07 → 00:17:09 ตรวจหมายถึงว่าตรวจแยกอะไรงี้ใช่มั้ยคะ
00:17:09 → 00:17:13 ถ้าดูละเอียดหรือว่างคือคือตอนที่ทำซาว
00:17:13 → 00:17:15 เนี่ยก็จะดูไตด้วยค่ะคุณหมอรังศีไทยก็จะ
00:17:15 → 00:17:21 ดูไปด้วยในในถ้าเป็นสมมุติว่าอเอ่อคำสั่ง
00:17:21 → 00:17:24 ของแพทย์เป็นโแดนก็คือการทำอัลตร้าซาว
00:17:24 → 00:17:28 ช่องท้องทั้งหมดอ่ะค่ะก็จะดูไได้วยแต่ว่า
00:17:28 → 00:17:31 บางครั้งเนี่ยถ้าคุณหมอเค้าเป็นคิดว่าเออ
00:17:31 → 00:17:35 คนไข้สบายดีอาจจะตรวจที่ไปแบบใช้เวลาไม่
00:17:35 → 00:17:39 ได้นานอ๋อมากอะไรเงี้ยถ้าเกิดสมมุติว่า
00:17:39 → 00:17:41 อยากตรวจละเอียดมากขึ้นก็อาจจะต้องแจ้ง
00:17:41 → 00:17:45 รังสีแพทย์ด้วยนะคะออคุณผู้ฟังถามมาอีก
00:17:45 → 00:17:48 หนึคำถามค่ะบอกว่าเปอร์เซ็นต์ค่าการกรอง
00:17:48 → 00:17:52 ของไตของผู้ชายกับผู้หญิงเท่ากันมคะคุณ
00:17:52 → 00:17:58 หมออืค่ะอันนี้คือถ้าพูดถึงเปอร์เซ็นต์นะ
00:17:58 → 00:18:01 คะหรือเราพูดถึงค่า egfr ค่าเยค่ะจะได้
00:18:01 → 00:18:04 รับการ
00:18:04 → 00:18:09 เอ่อคำนวณผ่านทางอายุน้ำหนักแล้วก็เพศ
00:18:09 → 00:18:12 เรียบร้อยแล้วนะคะดังนั้นคือเอ่อ
00:18:12 → 00:18:15 เปอร์เซ็นต์ที่ได้มาเนี่ยได้รับการเอ่อ
00:18:15 → 00:18:18 adjust คือการปรับตามเพศเรียบร้อยแล้ว
00:18:19 → 00:18:22 ดังนั้นไม่ได้ไม่ได้แตกต่างกันในการแยก
00:18:22 → 00:18:25 ประเภทไปเรือรังเช่นที่เราแยกเป็น 5
00:18:25 → 00:18:30 ประเภทนะค่ะแต่ถ้าพูดถึงค่าีนหรือค่าเอ่อ
00:18:30 → 00:18:34 ค่าไปนะคะค่านี้เนี่ยค่าปกติของเพศหญิง
00:18:34 → 00:18:38 กับเพศชายแล้วก็ผู้สูงอายุเนี่ยไม่ไม่
00:18:38 → 00:18:42 เท่ากันคือสำหรับเพศชายเนี่ยค่าปกติก็จะ
00:18:42 → 00:18:47 อยู่ที่ 0.6 - 1.2 มิลกรัม per เดซินะ
00:18:47 → 00:18:52 คะส่วนเพศหญิงก็จะอยู่ที่ 0.5 ถ 1.1 มกร
00:18:52 → 00:18:56 per ค่ะอันนั้นคือเอ่อถ้าเป็นค่าีิเนี่ย
00:18:56 → 00:19:00 มีความแตกต่างกันตามทำเพศค่ะอืนานๆเรียน
00:19:01 → 00:19:04 เชิญคุณหมอมาเมีคำถามพั่งครูมาเยอะในหลาก
00:19:04 → 00:19:06 หลายช่องทางเลยค่ะคุณหมออีกสักคำถามนึง
00:19:07 → 00:19:10 ค่ะเอ่อมีคุณแดดดี้ภูมินะคะฝากถามเข้ามา
00:19:10 → 00:19:14 ว่าเอ่อกินยารสไขมันไตรกีซาไลน์นะค่ะติด
00:19:14 → 00:19:20 ต่อกันมานานหลายปีมันจะมีผลต่อไตมั้ยคะอื
00:19:20 → 00:19:26 เอ่อสำหรับยารสไขมันไปกีสลายส่วนมากก็จะ
00:19:26 → 00:19:30 เป็นกลุ่มเอ่อฟีนไฟเบสจไฟโบรซิลพวกนี้นะ
00:19:30 → 00:19:35 คะคือยากลุ่มนี้นะคะต้องต้องเรียนก่อนว่า
00:19:35 → 00:19:39 ไม่ได้มีผลต่อไตนะคะรับประทานนานๆแล้วไม่
00:19:39 → 00:19:43 ได้ทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรังนะคะเอ่อ
00:19:43 → 00:19:47 แต่ว่าเมื่อถ้าสมมุติคนคนไข้เนี่ยตรวจพบ
00:19:47 → 00:19:50 ว่ามีไตเสื่อมร่วมด้วยนะคะเช่นการทำงาน
00:19:50 → 00:19:54 ของไตเนี่ยน้อยกว่า 30% เนี่ยต้องมีการ
00:19:54 → 00:19:58 ปรับขนาดไปให้พอเหมาะกับอัตราการกรองของ
00:19:58 → 00:20:02 ไตค่ะอันนี้เพราะว่าการรับประทานยาเนี่ย
00:20:02 → 00:20:06 คนไข้ที่มีอัตราการกรองของไตน้อยลงเนี่ย
00:20:06 → 00:20:10 การขับยาเนี่ยก็จะออกได้น้อยลงเช่นกันดัง
00:20:10 → 00:20:15 นั้นฤทธิ์ของยาอาจจะสูงมากค่ะนะคะในใน
00:20:15 → 00:20:18 เลือดดังนั้นคือเราก็อาจจะต้องปรับลดขนาด
00:20:18 → 00:20:21 ยาดังนั้นการรับประทานยาเป็นระยะเวลานาน
00:20:21 → 00:20:25 เนี่ยไม่ได้มีผลต่อไตแต่เมื่อถ้ามีโรคไต
00:20:25 → 00:20:28 เรื้อรังร่วมด้วยเนี่ยไตเสื่อมน้อยการทำ
00:20:28 → 00:20:31 งานของไตน้อยลงเรื่อยๆเนี่ยอาจจะต้องให้
00:20:31 → 00:20:34 แพทย์ดูขนาดยาเพื่อปรับให้เข้ากับอัตรา
00:20:34 → 00:20:39 กองของไตค่ะอืค่ะอีกเรื่องนึงค่ะที่ที่
00:20:39 → 00:20:44 ยังคงสงสัยอยู่ในใจก็คือว่าอย่างยารักษา
00:20:44 → 00:20:48 สิวอ่ะค่ะคุณหมอคะถ้ารับประทานติดต่อกัน
00:20:48 → 00:20:52 นานๆนานๆมีผลมั้ยคะกับกับไตเรืังอะไร
00:20:52 → 00:20:57 เงี้ยค่ะค่ะสำสำหรับยารักษาผิวน่าจะเป็น
00:20:57 → 00:20:58 กลุ่ม
00:20:58 → 00:21:02 เรตินอลกลุ่มวิตามินเออย่างงี้มั้ยคะคค่ะ
00:21:02 → 00:21:06 น่าจะใช่โอเคคือในในในกลุ่มนี้เนี่ยคือ
00:21:06 → 00:21:10 ไม่ได้มีผลกับกับไปโดยตรงนะคะถ้าถ้าถ้าคน
00:21:10 → 00:21:15 ไข้มีการทำงานของไตปกตินะคะก็คือคือเอ่อ
00:21:15 → 00:21:20 ตัวเนี้ต้องตรวจเช็คค่าตับมากกว่าคออเออ
00:21:20 → 00:21:24 ส่วนส่วนเรื่องของผู้ป่วยโรคไปถ้าถ้า
00:21:24 → 00:21:26 สมมุติเราเป็นโรคไปแล้วเป็นไปเรื้อรัง
00:21:26 → 00:21:31 แล้วเนี่ยเอ่อกลุ่มเอ่อวิตามินเอเเนี่ย
00:21:31 → 00:21:35 ต้องระมัดระวังเพราะว่าอาจจะมีภาวะเอ่อ
00:21:35 → 00:21:38 เป็นพิษจากวิตามินเอได้นะคะดังนั้นคือถ้า
00:21:38 → 00:21:42 คนไข่ที่เป็นไวายเรื้อรังโดยเฉพาะกลุ่ม
00:21:42 → 00:21:46 ที่แบบฟอกไจแล้วหรือเป็นไประยะ 4 ระยะ 5
00:21:46 → 00:21:49 แล้วเนี่ยอาจจะต้องปรึกษาแพร่ถือหนังนะค
00:21:49 → 00:21:54 ก็คงไม่แนะนำให้ใช้วิตามินเอขนาด
00:21:54 → 00:21:58 สูงคือก็เหมือนต้องต้องแจ้งอืต้องแจ้งทาง
00:21:58 → 00:22:01 คุณหมอด้วยว่าเรามีโรคประจำตัวอะไรอย่าง
00:22:01 → 00:22:07 งี้ใช่มั้ยคะใช่ค่ะอค่ะคุณหมอคะมีอีกแล้ว
00:22:07 → 00:22:10 ค่ะคุณหมออาจจะเหนื่อยอาจจะเหนื่อยสักนิด
00:22:10 → 00:22:13 นึงนานๆมีคุณหมอผู้เชวชาญโรคไตมาคุยกับ
00:22:13 → 00:22:16 เรานะคุณผู้ฟังก็ถามกันใหญ่เลยค่ะเอ่อเพศ
00:22:16 → 00:22:21 ชายอายุ 62 ปีค่ะเค้าเรียกว่าอะไรนะค่า
00:22:21 → 00:22:26 egfr 60% จะอยู่ถึงอายุ 80 โดยไม่ต้อง
00:22:26 → 00:22:29 ฟอกไตจะไหวไหมครับ
00:22:29 → 00:22:33 อืโอเคคือ 60 เอ่อเดี๋ยวทวนคำถามนิดนึงนะ
00:22:33 → 00:22:37 คะก็คือเค้าเเป็นเพศชายอายุ 62 ปีค่ะตอน
00:22:37 → 00:22:39 เนี้ยแล้วเขาก็บอกค่าไม่แน่ใจนะคุณหมอว่า
00:22:39 → 00:22:43 อ่านถูกมยเค้าเรียกอะไรอ่ะค่า egfr ค่ะ
00:22:43 → 00:22:46 มันเป็นศัพท์เฉพาะมั้ยคะ 60% เ้ามีค่า
00:22:46 → 00:22:50 เนี้ย 60% เถามว่าเเนี่ยจะอยู่ถึงอายุ 80
00:22:50 → 00:22:55 ปีโดยไม่ต้องฟอกไตเนี่ยจะไหวมั้ยคะอืค่ะ
00:22:55 → 00:23:00 ก็สำหรับเอ่อการทำงานของไต 60% เนี่ยก็
00:23:01 → 00:23:06 คือไตวเลื้อรังเนี่ยมันแบ่งเป็น 5 ระยะนะ
00:23:06 → 00:23:10 คะของคนไข้เนี่ยก็คือจะเป็นไเรื้อรังระยะ
00:23:10 → 00:23:14 เริ่มต้นนะคะก็คือเป็นระยะที่ 2 นะดัง
00:23:14 → 00:23:17 นั้นคือเอ่อในกลุ่มคนไข้กลุ่มนี้เนี่ย
00:23:17 → 00:23:22 จริงๆแล้วเนี่ยถ้าสมมุติว่ารักษาระดับคือ
00:23:22 → 00:23:26 ชะลอไปเสื่อมด้วยการรับประทานยาตามที่
00:23:26 → 00:23:28 แพทย์สั่งดูแลเรื่องอาหาร
00:23:28 → 00:23:33 นะคะให้ดีเนี่ยสามารถคงระดับการทำงานของ
00:23:33 → 00:23:37 ไตไว้ได้นะคะโดยที่อัตราการเสื่อมของไตนะ
00:23:37 → 00:23:41 คะจะลดลงตามอายุบ้างอยู่แล้วนะคะส่วนมาก
00:23:41 → 00:23:47 ก็ประมาณเอ่อ 0.8 ถึง 1 นะคะต่อปีนะคะดัง
00:23:47 → 00:23:52 นั้นคือถ้าในช่วงระยะ 20 ปีที่คนไข้จะ
00:23:52 → 00:23:55 เข้าหัวอายุ 80 เนี่ยหมอคิดว่าการทำงาน
00:23:55 → 00:24:00 ของไปถ้าเขาดูแลดีๆอาจอาจจะอยู่ใกล้เคียง
00:24:00 → 00:24:03 เดิมหรืออย่างมากลดลงไม่เกิน 40 ลงมาไม่
00:24:03 → 00:24:08 เกินที่ 40% นะคะซึ่งในคนไข้ที่ไปทำงาน
00:24:08 → 00:24:11 ประมาณ 40% เนี่ยก็คือยังไม่จำเป็นจะต้อง
00:24:11 → 00:24:15 ฟอกไปคนไข้ที่จะเริ่มฟอกใจก็คือไตระยะที่
00:24:15 → 00:24:19 5 หรือการทำงานของไตเนี่ยน้อยกว่า 15%
00:24:19 → 00:24:22 นะคะร่วมกับมีอาการของของเสียค้างนะคะ
00:24:22 → 00:24:26 หรือปัสสาวะไม่ออกตัวบวมนะคะดนั้นคิดว่า
00:24:26 → 00:24:30 เอ่อถ้าสมมุติว่าเอ่อคำถามของคนไข้คือผู้
00:24:30 → 00:24:34 ป่วยที่เป็นเอ่อไตเรื้อรังจากอายุที่มาก
00:24:34 → 00:24:39 ขึ้นนะคะโดยที่ไม่ได้มีโรคเบาหวานหรือ
00:24:39 → 00:24:43 ภาวะความดันที่ควบคุมยากนะคะโรคนิ่วที่
00:24:43 → 00:24:47 ไม่ได้แก้เลยเนี่ยเอ่อคิดว่าสามารถที่จะ
00:24:47 → 00:24:52 คงสภาพการทำงานของไตให้ไม่นำไปสู่ภวะฟอก
00:24:52 → 00:24:55 ไตได้ค่ะแต่ว่าทั้งนี้เนี่ยก็คือขึ้นอยู่
00:24:55 → 00:24:59 กับสาเหตุของไตเรื้อด้วยว่าเราสามารถควบ
00:24:59 → 00:25:03 คุมสาเหตุได้ดีมากน้อยขนาดไหนนะคะเอ่อผู้
00:25:03 → 00:25:06 ป่วยที่เป็นไตเรื้อรังจากเบาหวานเนี่ยอาจ
00:25:06 → 00:25:10 จะมีความเสืองของใจได้เร็วมากถ้าสมมุติ
00:25:10 → 00:25:14 ว่าเราไม่ได้ควบคุมปัจจัยเอ่อสาเหตุได้ดี
00:25:15 → 00:25:20 นะคะค่ะอืก็เคลียร์กันนะค่ะยังอยู่ได้นะ
00:25:20 → 00:25:23 คะถ้าฟังจากที่คุณหมอเล่านะคะแต่ว่ามันก็
00:25:23 → 00:25:25 อยู่ด้วยสาเหตุของการเกิดแล้วก็เรื่อง
00:25:25 → 00:25:27 พฤติกรรมด้วยใช่มั้ยคะคุณหมอพฤติกรรมการ
00:25:27 → 00:25:29 ใช้ชีวิตด้วยเนาะมันอาจจะมีบางอย่างไป
00:25:29 → 00:25:32 กระตุ้นหรือเปล่าถ้าเราไม่ระมัดระวังก็
00:25:32 → 00:25:34 อาจจะไม่ถึง 80 มยคะอาจจะต้องฟอกก่อนเนา
00:25:35 → 00:25:38 ใช่ถูกต้องค่ะค่ะคุณหมอค่ะขออนุญาตถาม
00:25:38 → 00:25:41 ย้อนไปนิดนึงก่อนหน้าเที่เราคุยกันมี 6
00:25:41 → 00:25:43 กลุ่มที่เป็นกลุ่มเสี่ยงหนึ่งในนั้นเนี่ย
00:25:43 → 00:25:46 พูดถึงเรื่องประวัติของคนที่มีประวัติมวล
00:25:46 → 00:25:48 ไตน้อยหรือว่ามีไตข้างเดียวแต่กำเนิดใช่
00:25:48 → 00:25:52 มั้ยคะทีนี้ว่าก็แอบมีข้อสงสัยนิดนึงว่า
00:25:52 → 00:25:54 ถ้าเรามีไตข้างเดียวเนี่ยมันจะมีผลต่อ
00:25:54 → 00:25:57 ความเหนื่อยของร่างกายมยคะหรือว่าเ้าส
00:25:57 → 00:25:59 สามารถที่จะใช้ชีวิตประจำวันสามารถที่จะ
00:25:59 → 00:26:01 ออกกำลังกายได้ยคะสำหรับคนที่มีไตข้าง
00:26:02 → 00:26:07 เดียวเนี่ยค่ะออืโอเคค่ะก็คือภาวะที่มี
00:26:07 → 00:26:10 มวลไปน้อยหรือไปข้างเดียวแต่กำเอ่อแต่
00:26:10 → 00:26:15 กำเนิดนะคะหรือเป็นภาวะที่มีมวลไปไปน้อย
00:26:15 → 00:26:18 หลังจากที่ไปผ่าตัดหรือประสบอุบัติเหตุมา
00:26:18 → 00:26:23 นะคะหมอก็ขอแบ่งเป็นเป็น 2 กลุ่มนี้นะคะ
00:26:23 → 00:26:28 ซึ่งจริงๆแล้วเนี่ยคือเอ่อการศึกษาในคน
00:26:28 → 00:26:31 ไข้กลุ่มที่มีมวลไปน้อยเช่นคนไข้ที่ให้
00:26:32 → 00:26:37 บริจาคไปข้างนึงกับเอ่อผู้รับบริจาคแล้ว
00:26:37 → 00:26:40 แล้วอยู่คนที่เป็นผู้บริจาคเนี่ยก็มีไ
00:26:40 → 00:26:43 อยู่ข้างเดียวค่ะเออเราเราเคยมีการศึกษา
00:26:43 → 00:26:48 แบบระยะยาวค่ะก็พบว่าถ้าถ้าคนไข้กลุ่มนี้
00:26:48 → 00:26:51 เนี่ยไม่ได้มีโรคประจำตัวเนี่ยกลับมาที่
00:26:51 → 00:26:54 สาเหตุเหมือนเดิมคือถ้าเขาคเป็นคนที่
00:26:54 → 00:26:58 สุขภาพแข็งแรงนะคะเป็นคนที่ไม่ได้มีโรค
00:26:58 → 00:27:01 เปาหวานความดันนะคะเอ่อกลุ่มนี้เนี่ย
00:27:01 → 00:27:06 สามารถอยู่ด้วยการมีไปคร้างเดียวได้ได้
00:27:06 → 00:27:10 นานโดยที่ไม่ต้องฟอกไตเลยค่ะอเออแล้วก็พอ
00:27:10 → 00:27:14 ถ้าสมมุติว่าการทำงานของไตยังปกติอยู่
00:27:14 → 00:27:17 เนี่ยก็จะไม่นำพาซึ่งถึงอาการแบบเหนื่อย
00:27:18 → 00:27:21 ง่ายหรือว่าอาการของอ่อนเคลียรจัดไปเรือ
00:27:21 → 00:27:26 รังเลยอ่ะค่ะเอ่อดังนั้นเนี่ยคือคนไข้ที่
00:27:26 → 00:27:28 มีไปข้างเดียวไม่ว่าจะเป็นแต่กำเนิดหรือ
00:27:28 → 00:27:31 เกิดภายหลังเนี่ยก็จะมีลักษณะที่คล้ายกัน
00:27:31 → 00:27:34 ก็คือว่าเอ่อไตข้างที่ยังเหลืออยู่
00:27:34 → 00:27:38 เนี่ยมันจะขนาดโตขึ้นนิดนึงมันจะ
00:27:38 → 00:27:41 compensate เซลล์เซลลเนี่ยมันอาจจะขนาด
00:27:41 → 00:27:45 ใหญ่ขึ้นนะคะแล้วก็เพื่อให้อัตราการกรอง
00:27:45 → 00:27:51 ของไตเนี่ยคงระดับเอาไว้นะคะเอ่อแล้วก็
00:27:51 → 00:27:55 ถ้าสมมุติคนไข้แข็งแรงดีนะคะดูแลสุขภาพดี
00:27:55 → 00:28:00 นะสามารถที่จะมีชีวิตอยู่นะคะใช้ชีวิตค่ะ
00:28:00 → 00:28:03 นะคะรวมถึงออกกำลังกายอะไรได้ตามเหมือนคน
00:28:03 → 00:28:08 เหมือนเหมคนปกติค่ะค่ะอือเมื่อสักครู่
00:28:08 → 00:28:10 เห็นคุณหมอพูดถึงเรื่องของคนที่บริจาคไต
00:28:10 → 00:28:13 ถ้าเขาบริจาคไตไปหนึ่งข้างแล้วเนี่ยค่ะ
00:28:13 → 00:28:16 ร่างกายเค้าเนี่ยมันจะมีผลในเรื่องของการ
00:28:16 → 00:28:19 ทำให้อ่าเค้าเรียกน้ำน้ำหนักตัวเนี่ยคะ
00:28:19 → 00:28:24 มันมีผลกันมั้ยคะอือหมายถึงว่าสำหรับคน
00:28:24 → 00:28:28 ที่บริจาคใบิจไปแล้วเจะมีภาวะซักซ้อนอะไร
00:28:28 → 00:28:30 บ้างอะไรอย่างเงี้ใช่ค่ะน้ำหนักน้ำหนัก
00:28:30 → 00:28:35 ตัวลดด้วยมั้ยคะมีคนแอบสงสัยมาค่ะออไม่เ
00:28:35 → 00:28:38 นำน้ำหนักตัวนี่ก็ขึ้นอยู่กับเอ่อไม่น่า
00:28:38 → 00:28:42 เกี่ยวใช่มั้ยคะใช่พลังงานที่กินในแต่ละ
00:28:42 → 00:28:44 วันออกกำลัง
00:28:44 → 00:28:50 กายค่ะค่ะอืออืแล้วเอฟเฟคที่ตามมาล่ะคะ
00:28:50 → 00:28:53 สำหรับคนที่บริจาคตตไป 1 ข้างเนี่ยค่ะอ่า
00:28:53 → 00:28:57 ข้อควรระวังสมมุติว่ามีความจำเป็นต้อง
00:28:57 → 00:29:00 บริจาคให้กับอ่าคนใกล้ชิดหรือคนที่จำเป็น
00:29:00 → 00:29:02 ต้องใช้ไตเนี่ย
00:29:02 → 00:29:07 ค่ะค่ะก็สำหรับผู้บริจาคไปนะคะผู้ที่มี
00:29:07 → 00:29:10 ความประสงค์ก่อนแล้วกันคือเราจะแบ่งเป็น
00:29:10 → 00:29:13 ภาวะเราต้องมีการเตรียมตัวคนไข้ก่อนคือ
00:29:13 → 00:29:16 ถ้าเขามีความประสงค์ว่าจะบริจาคไปให้ให้
00:29:16 → 00:29:20 ใครเนี่ยต้องมั่นใจว่าร่างกายของเขาเนี่ย
00:29:20 → 00:29:24 แขงแดงดีสามารถอยู่ด้วยไปข้างเดียวได้นะ
00:29:24 → 00:29:28 คะดังนั้นไม่ว่าจะเป็นน้ำตาในเลือดนะคะ
00:29:28 → 00:29:31 ความดันเนี่ยเราจะได้ได้รับการตรวจเช็ค
00:29:31 → 00:29:36 ค่ะโดยที่เอ่อก่อนภาวะก่อนเบาหวานหรือ
00:29:36 → 00:29:39 ภาวะก่อนความดันโลหิตสูงเนี่ยเราก็ถือว่า
00:29:39 → 00:29:42 คนไข้เนี่ยไม่พร้อมที่จะบริจาคไปและนะคะ
00:29:42 → 00:29:47 เพรานั้นคือเราก็ต้องต้องเอ่อให้ได้รับ
00:29:47 → 00:29:50 ให้ให้คนไข้เนี่ยได้รับการควบคุมปัจจัย
00:29:50 → 00:29:53 ที่อาจจะเป็นผลต่อใจได้เช่นถ้าความดันสูง
00:29:53 → 00:29:56 ก็ต้องควบคุมให้ได้ดีหรือภาวะก่อนก่อนเบา
00:29:56 → 00:30:00 หวานก็ต้องมั่นใจว่าคนไข้เน้ำตาลคุมได้ดี
00:30:00 → 00:30:04 มากๆแล้วไม่นำไปสู่ภาวะเบาหวะในอนาคตถ้า
00:30:04 → 00:30:07 เขามีไอยู่ข้างเดียวนะคะฉะนั้นเราก็จะได้
00:30:07 → 00:30:10 รับการคนไข้เนี่ยก็จะได้รับการประเมิน
00:30:10 → 00:30:12 อย่างละเอียดเลยว่าเพร้อมที่จะบริจาคไป
00:30:12 → 00:30:18 มั้ค่ะ่ะอืส่วนหลังจากิจากไฟไปแล้วเนี่ย
00:30:18 → 00:30:22 คือก็คนไข้ที่มีไข้างเดียวเนี่ยถือว่า
00:30:23 → 00:30:26 เป็นผู้หนึ่งในผู้ป่วยไปเรื้อรังค่ะก็คือ
00:30:26 → 00:30:30 มีมีลักษณะที่มีไตข้างเดียวไม่ไม่เหมือน
00:30:31 → 00:30:34 เป็นปกติดังนั้นคือคนไข้ก็จะเข้าสู่การดู
00:30:34 → 00:30:39 แลแบบองค์รวมแบบผู้ป่วยไตเรืรังก็คือมี
00:30:39 → 00:30:42 การดูแลเรื่องอาหารเรื่องยานะคะมีการนัด
00:30:42 → 00:30:46 ติดตาม 3-4 เดือนครั้งเหมือนกับผู้ป่วย
00:30:46 → 00:30:49 โรคไตเรื้อรังทั่วไปเลยค่ะดังนั้นคือผู้
00:30:50 → 00:30:54 ป่วยก็จะได้รับคำแนะนำว่าให้ลดโซเดียมให้
00:30:54 → 00:30:58 เอ่อรับประทานยาความดัน้าคววามดำโลหิตสูง
00:30:58 → 00:31:02 หรือเอ่อหลีกเลี่ยงยาแก้ปวดค่ะหรือหลีก
00:31:02 → 00:31:05 เลี่ยงยาบางชนิดเพื่อไม่ให้กระทบไปที่
00:31:05 → 00:31:08 เหลือเราก็จะมีการติดตามแบบใกล้ชิดค่ะ
00:31:08 → 00:31:11 เหมือนกับผู้ป่วยตายเรือรังทั่วไปเลยอค่ะ
00:31:11 → 00:31:15 โหมีคนผู้ฟังถามเข้ามาพอดีเลยค่ะคุณหมอคะ
00:31:15 → 00:31:20 ถามว่ายาลอซาแทนมีรายงานทำให้ไตเสื่อม
00:31:20 → 00:31:21 จริงมั้ย
00:31:21 → 00:31:26 ครับโอเคยายาลอสาธานเนี่ยก็คือเป็นหนึ่ง
00:31:26 → 00:31:30 ในมียากลุ่มเอ่อ arb ซึ่งเป็นกลุ่มที่
00:31:30 → 00:31:34 ช่วยลดความดันโลหิตสูงนอกจากนี้แล้วเนี่ย
00:31:34 → 00:31:38 ก็คือสามารถลดเอ่อโปรตีนในปัสสาวะได้ด้วย
00:31:38 → 00:31:45 นะคะซึ่งยาตัวเนี้ยนะคะมันมีผลลดโอกาสการ
00:31:45 → 00:31:50 เกิดไตเสื่อมในอนาคตนะคะดังนั้นคือในในคำ
00:31:50 → 00:31:55 ถามที่คนไข้ตอบมาว่าถามมาว่ารสาพานมีผลทำ
00:31:55 → 00:32:00 ให้ไปแย่ลงมยในทางกลับกันคือมันป้องกัน
00:32:00 → 00:32:05 ให้เกิดออเอ่อภาวะไตเอ่อเสื่อมในอนาคต
00:32:05 → 00:32:11 ชะลอการฟอกไตได้นะคะอออเอ่อที่คนไข้เข้า
00:32:11 → 00:32:14 ใจว่าการทำงานของไตลดลงเนี่ยอาจจะเป็นผล
00:32:14 → 00:32:19 เฉียบพลันคือลักษณะการทำงานของยากลุ่มนี้
00:32:19 → 00:32:24 นะคะจะมีการจีบของเส้นเลือดที่เข้าหน่วย
00:32:24 → 00:32:28 ไปดังนั้นคือในช่วงแรกเนี่ยเนี่ยอาจจะมี
00:32:28 → 00:32:34 การลดลงของค่า efr ได้นะคะแต่ว่าถ้า
00:32:34 → 00:32:38 สมมุติว่าระดับการลดลงของค่า efr เนี่ย
00:32:38 → 00:32:41 ไม่ถึง 50% ของค่าตั้งต้นเนี่ยไม่แนะนำ
00:32:41 → 00:32:46 ให้หยุดยากลุ่มนี้เพราะว่ามีผลเอ่อการัก
00:32:46 → 00:32:49 การศึกษามาว่าการรับประทานยากลุ่มเนี้ย
00:32:49 → 00:32:52 สามารถป้องกันและชะลอไเื่อมได้ดังนั้นคือ
00:32:53 → 00:32:56 ถ้าเป็นผลในช่วงแรกที่รับประทานยาเนี่ย
00:32:56 → 00:33:00 อาจจะมีค่า egfr ลดลงได้ค่ะแต่หลังจาก
00:33:00 → 00:33:03 ร่างกายเนี่ยปรับสมดุลแล้วเนี่ยข้อดีของ
00:33:03 → 00:33:07 การรับประทานยาเนี่ยเหนือกว่าเหนือกว่า
00:33:07 → 00:33:10 สิ่งที่เราจะต้องกังวลทั้งนี้เนี่ยคือ
00:33:10 → 00:33:14 ต้องมั่นใจว่าคนไข้เนี่ยมีสภาวะที่พร้อม
00:33:14 → 00:33:19 ที่จะรับยาด้วยนะคะก็คือเอ่ออย่างที่แจ้ง
00:33:19 → 00:33:23 กลใจการทำงานของไของของยาตัวเนี้ยคือมัน
00:33:23 → 00:33:27 จะตีบเส้นเลือดที่เข้าสู่หน่วยไตดังนั้น
00:33:27 → 00:33:32 เนี่ยคนไข้อาจจะมีเอ่อคนไข้ที่มีภาวะขาด
00:33:32 → 00:33:36 สันน้ำนะคะหรือหัวใจบีบตัวน้อยลงเลือดไป
00:33:36 → 00:33:40 เลี้ยงไปน้อยลงเนี่ยในช่วงแรกเนี่ยการ
00:33:40 → 00:33:42 เริ่มยากลุ่มนี้ต้องเริ่มด้วยความระมัด
00:33:42 → 00:33:46 ระวังนะคะอค่ะแล้วแล้วก็ในกลุ่มที่มีคน
00:33:46 → 00:33:49 ไข้ที่มีโปแทสเซียมสูงนะคะก็อาจจะต้อง
00:33:49 → 00:33:51 ระมัดระวังในการเริ่มยากลุ่มนี้ดังนั้น
00:33:51 → 00:33:54 คือเราต้องมั่นใจว่าสภาวะตอนนั้นเนี่ยคน
00:33:54 → 00:33:58 ไข้เนี่ยพร้อมที่จะได้รับยารวมถึงพอรับยา
00:33:58 → 00:34:00 แล้วเราก็ต้องตามดูอย่างที่คนไข้กังวล
00:34:00 → 00:34:03 ด้วยว่าอัตราการทำงานของตายเนี่ยลดลงมาก
00:34:03 → 00:34:06 หรือเปล่าถ้าลดลงมากเราก็อาจจะต้องลดหรือ
00:34:07 → 00:34:10 หยุดยาแต่ว่ายาตัวเนี้ยในระยะยาวเรา
00:34:11 → 00:34:13 สามารถชะลอไตเสื่อมได้ค่ะ
00:34:13 → 00:34:18 ออเมมีตัวช่วยละค่ะแต่ก่อนอื่นไปตรวจค่า
00:34:19 → 00:34:19 ไต
00:34:19 → 00:34:22 ก่อนสำหรับคนที่ตรวจสุขภาพประจำปีอยู่
00:34:22 → 00:34:24 เป็นประจำเนี่ยค่ะคุณหมอมันจะเป็นวิธีการ
00:34:24 → 00:34:27 นึงมั้ยคะที่ทำให้เรารู้สึกว่าเอ่อเราก็
00:34:27 → 00:34:29 จะได้เช็คค่าตายเราสักปีละครั้งเนี่ยถ้า
00:34:29 → 00:34:32 มันมีความผิดปกติก็จะได้เข้าสู่การรักษา
00:34:32 → 00:34:34 ได้ทันเนี่ย
00:34:34 → 00:34:38 ค่ะใช่ค่ะการการตรวจคัดกรองไปเนี่ยเป็น
00:34:38 → 00:34:43 เป็นสิ่งที่แนะนำให้ให้ทำนะคะโดยโดยโดย
00:34:43 → 00:34:45 เฉพาะกลุ่มที่ 6 กลุ่มที่มีความความ
00:34:45 → 00:34:49 เสี่ยงนะคะแล้วก็เอ่อโรคไตเรื้อรังเนี่ย
00:34:49 → 00:34:53 ในระยะแรกๆเลยคือการทำงานของไตมากกว่า 30%
00:34:53 → 00:34:57 เนี่ยส่วนมากแล้วจะไม่มีอาการเลยนะคะดน
00:34:57 → 00:35:00 คือการตรวจเชเนี่ยเราก็จะพบได้จากการตรวจ
00:35:00 → 00:35:04 เลือดและปวาเท่านั้นดังนั้นก็แนะนำค่ะให้
00:35:04 → 00:35:05 ตรวจ
00:35:05 → 00:35:10 สุขภาพค่ะคุณหมอคะแล้วเราจะทำยังไงดีคะ
00:35:10 → 00:35:13 ให้สุขภาพไตเราเนี่ยแข็งแรงแล้วก็อยู่กับ
00:35:13 → 00:35:20 เราไปนานๆเนี่ยค่ะค่ะอืโอเคคือสำหรับเอ่อ
00:35:20 → 00:35:24 ประชาประชากรทั่วไปที่สุขภาพแข็งแรงนะคะ
00:35:24 → 00:35:28 ก็ก็แนะนำเรื่องของเรื่องของโซเดียมเป็น
00:35:28 → 00:35:31 ข้อแรกเหมือนเดิมนะอก็วันวันเนี้ก็อยาก
00:35:31 → 00:35:32 ให้
00:35:32 → 00:35:36 เอ่อรู้จักโซเดียมมากขึ้นซึ่งซึปริมาณ
00:35:36 → 00:35:38 โซเดียมที่รับประทาน 2,000 มิลลิกรัม
00:35:38 → 00:35:41 เนี่ยอาจจะเอ่อไม่เห็นภาพนะคะแต่ว่าถ้า
00:35:41 → 00:35:45 สมมุติว่าเราเอ่อปรับพฤติกรรมโดยการที่
00:35:46 → 00:35:50 เราอาจจะอ่านฉลากข้างซองก่อนอือนะคะเช่น
00:35:50 → 00:35:53 เช่นสมมุติว่าเราเอ่อไปเลือกซื้ออาหารที่
00:35:53 → 00:35:57 ร้านสะดวกซื้อเนี่ยมันก็จะมีฉลากกว่าสมัน
00:35:57 → 00:36:01 เค็มนะคะซึ่งเอ่อปริมาณของโซเดียมที่รับ
00:36:01 → 00:36:04 ประทานในแต่ละวันเนี่ยเราไม่ควรเกิน 2,000
00:36:04 → 00:36:07 หรือ 2,400 มิลกรัมต่อวันเนี่ยคือเราก็ดู
00:36:07 → 00:36:12 ปริมาณโซเดียมที่ระบุข้างซองไว้ค่ะว่าเรา
00:36:12 → 00:36:16 ลองเลือกซื้อมากขึ้นเลือกเลือกอาหารที่มี
00:36:16 → 00:36:19 โซเดียมต่ำลงอันนี้คือสำหรับชีวิตวทำงาน
00:36:19 → 00:36:23 นะคะแล้วก็เลือกเลือกอาหารที่มีโซเดียม
00:36:23 → 00:36:28 ต่ำค่ะถ้าถ้าสมมุติว่าดีขึ้นเราก็เริ่มทำ
00:36:28 → 00:36:32 อาหารเองอนะคะเพราะว่าอันเนี้ยเราจะรู้
00:36:32 → 00:36:35 ปริมาณโซเดียมที่เราใส่เข้าไปเพราะว่ามัน
00:36:35 → 00:36:38 จะอยู่ในเครื่องตรุงกันส่วนใหญ่ดังนั้น
00:36:38 → 00:36:42 ถ้าสมมุติว่ารับประทานอาหารที่เราทำเอง
00:36:42 → 00:36:44 เนี่ยได้รับโซเดียมน้อยกว่ารับประทาน
00:36:44 → 00:36:47 อาหารนอกบ้านแน่นอนถัดมาถ้าเราเลือกไม่
00:36:47 → 00:36:51 ได้จริงๆวันนั้นต้องกินนอกบ้านค่ะก็
00:36:51 → 00:36:56 เลี่ยงที่จะซดน้ำซุปหรือว่าน้ำแกงนะคะ
00:36:56 → 00:36:59 เพราะเพราะว่าเอ่อเครื่องปรุงต่างๆเนี่ย
00:36:59 → 00:37:05 ก็คือจะละลายอยู่ในน้ำซุปน้ำแกนนะคะค่ะนะ
00:37:05 → 00:37:09 ส่วนข้อ 2 ก็คือเรื่องของการดูแลสุขภาพ
00:37:09 → 00:37:12 ให้แข็งแรงค่ะเอ่อการดูแลสุขภาพให้แข็ง
00:37:12 → 00:37:17 แรงก็คือไม่เจ็บป่วยบ่อยๆนะคะอย่างที่ได้
00:37:17 → 00:37:21 คุยเรื่องของไตวายเฉียบพลันไปนะคะคนไข้
00:37:21 → 00:37:24 ที่ยกตัวอย่างเช่นมีภาวะท้องร่วงนะคะหรือ
00:37:24 → 00:37:27 รับประทานยาแค่ปวดต่อเนื่องเรื่องเนี่ยเ
00:37:27 → 00:37:29 ก็แปลว่าเมีการเจ็บป่วยทุกครั้งที่เรามี
00:37:29 → 00:37:32 การเจ็บป่วยเนี่ยไตทำงานหนักขึ้นนะคะดัง
00:37:32 → 00:37:36 นั้นคือถ้าเราดูแลสุขภาพให้แข็งแรงนะคะก็
00:37:36 → 00:37:40 จะป้องกันไม่ให้เกิดโรคไตได้นะคะไม่แตน
00:37:40 → 00:37:43 ปัสสาวะบ่อยๆพวกนี้ด้วยนะคะจะนำไปสู่โรค
00:37:43 → 00:37:46 แบบกระเพาะปัสสาวะหรือกวยไตอักเสบเป็นต้น
00:37:46 → 00:37:50 นะคะอันอันที่ 3 นะคะก็เรื่องของการควบ
00:37:51 → 00:37:55 คุมน้ำหนักให้เป็นปกตินะคะคือค่าดัสนีมวล
00:37:55 → 00:37:59 กายของเอ่อประชากรฝั่งเอเชียเนี่ยเราจะ
00:37:59 → 00:38:03 ต่ำกว่าฝั่งที่เป็นยุโรปหรืออเมริกาก็คือ
00:38:03 → 00:38:06 เราจะให้ดมีบวนกายก็คือน้ำหนักหารด้วย
00:38:06 → 00:38:10 ส่วนสูงที่เป็นเมตรยกกำลัง 2 อันเนี้ยคือ
00:38:10 → 00:38:14 ไม่เกิน 18 เอ่อไม่เกิน 22.5 นะคะคือค่า
00:38:14 → 00:38:18 ปกติอยู่ที่ 18.5 - 22.5 อันนี้เป็น
00:38:18 → 00:38:23 ดัชนมวลกายที่อยากให้คีปอยู่ในเกณฑ์ปกติ
00:38:24 → 00:38:29 นะคะนะเพราะว่าก็โรคอ้วนเองก็นำไปสู่โรค
00:38:29 → 00:38:33 ไตวายเรื้อรังหรือโรคเอ่อ ncd อื่นๆเช่น
00:38:33 → 00:38:37 ความดันเบาหวานไขมันได้ด้วยนะคะดังนั้น
00:38:37 → 00:38:41 คือก็แนะนำว่าให้ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่
00:38:41 → 00:38:44 ในเกณฑ์ปกตินะคะค่ะอันที่ 4 ก็คือจะเป็น
00:38:44 → 00:38:48 โรคของเรื่องของการออกกำลังกายค่ะการออก
00:38:48 → 00:38:52 กำลังกายอย่างน้อย 1 นาทีต่อสัปดาห์
00:38:52 → 00:38:55 อันเนี้ยก็ทำให้หัวใจแข็งแรงทำให้หลอด
00:38:55 → 00:38:58 เลือดยืดยืดหยุ่นนะคะลดโอกาสการเกิดความ
00:38:58 → 00:39:01 ดันแล้วก็ลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจซึ่งนำไป
00:39:01 → 00:39:06 สู่โรคไตได้นะคะนะคะสุดท้ายก็คือแนะนำว่า
00:39:06 → 00:39:08 ไม่ให้สูบบุหรี่เพราะว่าสูบบุหรี่เนี่ยก็
00:39:09 → 00:39:13 จะนำไปสู่การอักเสบทั้งระบบหลอดเลือดทั่ว
00:39:13 → 00:39:15 ร่างกายเลยรวมถึงหลอดเลือดที่ไปด้วยนะคะ
00:39:15 → 00:39:16 ดังนั้น
00:39:16 → 00:39:22 ก็อาหารนะคะการดูแลโรคประจำตัวรักษา
00:39:22 → 00:39:24 สุขภาพให้แข็งแรงการควบคุมน้ำหนักออก
00:39:24 → 00:39:28 กำลังกายแล้วก็ไม่บุหรี่อันเนี้ยก็เป็น
00:39:28 → 00:39:31 ภาวะเป็นเป็นสิ่งที่ประชากรทั่วทั่วไป
00:39:31 → 00:39:34 เนี่ยสามารถป้องกันการเกิดโรคไตได้ค่ะค่ะ
00:39:34 → 00:39:39 โอหวันนี้ถือว่าคุณหมอให้ข้อมูลอย่างครบ
00:39:39 → 00:39:43 ถ้วนมากๆเลยนะคะบทุกคำถามนะคะแล้วก็ถึง
00:39:43 → 00:39:46 การดูแลป้องกันตั้งแต่เริ่มเลยเนาะจริงๆ
00:39:46 → 00:39:51 แล้วที่คุณหมอพูดมานี้คือทำหมดเลยอ่ะใช่
00:39:52 → 00:39:55 ก็คือสามารถทำได้ทำได้ด้วยด้วยตัวของเรา
00:39:55 → 00:39:58 เองเพื่อดูแลไตของเราเนาะอ่าให้แข็งแรง
00:39:58 → 00:40:01 แล้วก็อยู่กับเราไปนานๆนะคะวันนี้ขอบพระ
00:40:01 → 00:40:03 คุณคุณหมอมากๆเลยค่ะที่สละเวลานอนดึกมา
00:40:04 → 00:40:06 อยู่กับสุขภาพดี 22:00 นของเรานะคะเดี๋ยว
00:40:06 → 00:40:09 ถ้ามีโอกาสหน้าจะรบกวนเรียนเชิญคุณหมอมา
00:40:09 → 00:40:11 ให้ความรู้กันใหม่นะคะสำหรับวันนี้ต้องขอ
00:40:11 → 00:40:14 ขอบพระคุณมากๆเลยค่ะขอบพระคุณค่ะยินดีมาก
00:40:14 → 00:40:18 ค่ะค่ะสวัสดีค่ะสวัค่ะค่ะสวัสดีค่ะค่ะ
00:40:18 → 00:40:21 แพทย์หญิงเมธินีสุทธิไวยกิจนะคะ
00:40:21 → 00:40:24 อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคไตจากศูนย์
00:40:24 → 00:40:29 โรคไตโรงพยาบาลพญาไทย 2 ค่ะค่ะ