00:00:00 → 00:00:02 อาจารย์คะเป็นยังไงบ้างคะเรื่องของเบา
00:00:02 → 00:00:06 หวานกับวัยทำงานเป็นในวัยของที่พบเอ่อ
00:00:06 → 00:00:09 อาการเบาหวานมากที่สุดเลยหรือเปล่าคะใน
00:00:09 → 00:00:12 ช่วงนี้ค่ะอาจารย์คะคือจริงๆต้องมาคุยกัน
00:00:12 → 00:00:14 ก่อนว่าวัยทำงานเนี่ยมันอายุเท่าไหร่
00:00:14 → 00:00:18 เพราะว่าอ่าเท่าที่ดูเนี่ยก็เท่าที่จะ
00:00:18 → 00:00:20 เล่าให้ฟังเขาก็จะแบ่งเป็นแบบวัยทำงานตอน
00:00:21 → 00:00:24 ต้นตอนกลางหรือตอนปลายนะคะถ้าเป็นวัยทำ
00:00:24 → 00:00:27 งานตอนต้นก็อาจจะซักประมาณแบบอ่า
00:00:27 → 00:00:31 25 ขึ้นไปอะไรอย่างเงี้ย 25 ตอนกลางเห็น
00:00:31 → 00:00:34 ตัวเลขแล้วก็จะตกใจหน่อยเพราว่าจะัดไว้
00:00:34 → 00:00:37 ว่าประมาณสัก 30 -44 ปีนี้จัดเป็นตอน
00:00:37 → 00:00:41 กลางแต่ว่าถ้าเป็นแบบ 45 -59 ปีนี้อาจจะ
00:00:41 → 00:00:43 จัดไว้เป็นตอนปลายแล้วเห็นตัวเลขแล้วก็ตก
00:00:44 → 00:00:46 ใจเหมือนกันเห็นอายุก็คือจะเป็นกลุ่ม
00:00:46 → 00:00:49 คร่าวๆประมาณนี้ว่าเป็นเป็นวัยทำงานแต่
00:00:49 → 00:00:54 ว่าการอาการของคนไข้ที่อยู่ในวัยทำงานน่ะ
00:00:54 → 00:00:58 ค่ะมันก็เ่อมีได้หลายอาการนะคะที่จะบ่ง
00:00:58 → 00:01:02 บอกว่าเป็นเบาหวานอืคือเจอได้ตั้งแต่ไม่
00:01:02 → 00:01:06 มีอาการแลผิดปกติใดๆเลยเจอจากการเอปวด
00:01:06 → 00:01:09 ร่างกายประจำปีอะไรอย่าเงี้ยค่ะหรือว่า
00:01:09 → 00:01:12 เป็นการตรวจเลือดก่อนการผ่าตัดแล้วก็เจาะ
00:01:12 → 00:01:15 เช็คระดับน้ำตาลอะไรเงี้ยอ้าวเจอว่าน้ำ
00:01:15 → 00:01:17 ตาลสูงอันนี้ก็คืออยู่ในกลุ่มที่ไม่มี
00:01:17 → 00:01:21 อาการอะไรส่วนในกลุ่มที่ถ้าสมมุติว่ามี
00:01:21 → 00:01:24 อาการเขาอาจจะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงก็
00:01:24 → 00:01:26 คือเป็นโรคเบาหวานอ่ะค่ะเบาหวานก็คือมี
00:01:26 → 00:01:30 ระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นมาในระยะเวลา
00:01:30 → 00:01:34 นึงและจนทำให้มีเช่นมีปัสสาวะบ่อยกระหาย
00:01:34 → 00:01:37 น้ำอ่อนเพลียหรือว่าน้ำหนักลดที่เราเพิ่ง
00:01:37 → 00:01:40 พูดกันไปเมื่อสักครู่ค่ะค่ะแล้วก็อีก
00:01:40 → 00:01:42 กลุ่มนึงก็คือมาทีเดียวด้วยอาการที่แบบ
00:01:42 → 00:01:46 รุนแรงเลยคือน้ำตาลในเลือดสูงมากๆจนมี
00:01:46 → 00:01:48 ภาวะที่เลือดเป็นกรดจะทำให้มีอาการอ่อน
00:01:48 → 00:01:51 เพลียมากคลื่นไส้อาเจียนหายใจหอบเหนื่อย
00:01:51 → 00:01:56 แบบนี้เป็นต้นนะคะอหอืมีหลากหลายอาการมาก
00:01:56 → 00:02:01 เลยนะคะคนพวกนี้เเมีอาการเตือนเรู้ตัวเอง
00:02:01 → 00:02:04 กันมาบ้างว่าเเนี่ยเป็นคนที่เอ่อมีแนว
00:02:04 → 00:02:07 โน้มที่จะเป็นบาหวามั้ยคะอาจารย์คะคือ
00:02:07 → 00:02:10 จริงๆเ่อกลุ่มคนไข้ที่มีความเสี่ยงที่จะ
00:02:10 → 00:02:13 เป็นเบาหวานน่ะค่ะกลุ่มเสี่ยงก็อาจจะเช่น
00:02:13 → 00:02:17 มีน้ำหนักตัวที่เกินอ่าง่ายๆคือน้ำหนัก
00:02:17 → 00:02:21 ตัวเกินเป็นพวกกลุ่มอ้วนอาจจะมีลักษณะ
00:02:21 → 00:02:24 นิสัยพฤติกรรมในการรับประทานอาหารเช่นอาจ
00:02:24 → 00:02:27 จะชอบทานของหวานพวกเครื่องดื่มไม่ค่อยออก
00:02:27 → 00:02:30 กำลังกายอะไรอย่างเงี้ยค่ะก็อาจจะจัดอยู่
00:02:30 → 00:02:33 ในกลุ่มเสียงหรืออาจจะมีประวัติคนใน
00:02:33 → 00:02:36 ครอบครัวที่มีประวัติเป็นเบาหวานด้วยหรือ
00:02:36 → 00:02:39 จริงๆคนที่อายุเกิน 35 ปีในปัจจุบันแล้ว
00:02:39 → 00:02:42 ก็จัดว่าเริ่มที่จะมีความเสี่ยงในการเป็น
00:02:42 → 00:02:48 เบาหวานแล้วอ่ะค่ะโอ้โห 35 35 เนี่ยบาง
00:02:48 → 00:02:50 ทีบางทีก็ยังถือว่าเยอะใช่มั้คะอาจารย์
00:02:50 → 00:02:53 น้อยกว่านี้ก็ยังมีมั้ยคะอ่าถ้าเกิดว่าคน
00:02:53 → 00:02:57 ในคนเบาหวานที่เจอในอายุน้อยอาจจะเป็นเบา
00:02:57 → 00:03:00 หวานชนิดที่ 1 อ๋อที่เจอได้ในอายุน้อยค่ะ
00:03:00 → 00:03:03 แต่ถ้าเกิดว่ากลุ่มคนที่อายุขยับขึ้นมา
00:03:03 → 00:03:05 หน่อยอาจจะเจอเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ได้
00:03:05 → 00:03:09 เยอะขึ้นซึ่งความแตกต่างของเบาหวาชนิดที่
00:03:09 → 00:03:11 1 กับชนิดที่ 2 ก็จะต่างกันเช่นถ้าเป็น
00:03:11 → 00:03:14 เบาหวาชนิดที่ 1 เลยที่เจอในส่วนใหญ่เจอ
00:03:14 → 00:03:16 ในคนอายุน้อยเนี่ยก็คือจะเกิดจากความผิด
00:03:16 → 00:03:20 ปกติที่ร่างกายเขาขาดฮอร์โมนอินซูลินเลย
00:03:20 → 00:03:23 คือไม่สามารถสร้างได้ฮอร์โมนอินซูล
00:03:23 → 00:03:27 อันเนี้ยค่ะเป็นฮอร์โมนที่ช่วยอ่าทำให้
00:03:27 → 00:03:31 ระดับน้ำตาลในเลือดเนี่ยปกติอือค่ะชนิด
00:03:31 → 00:03:34 ที่ 1 อใช่แต่ถ้าเกิดว่าเป็นอ่าเบาหวาน
00:03:34 → 00:03:37 ชนิดที่ 2 เนี่ยก็คืออาจจะเกิดจากการที่
00:03:37 → 00:03:40 ตับอ่อนหลั่งฮอร์โมนอินซูลินได้น้อยกว่า
00:03:40 → 00:03:44 ปกติแต่ว่าก็ยังพอมีบ้างหรืออาจจะมีภาวะ
00:03:44 → 00:03:47 ดื้อต่ออินซูลินอย่างเงี้ยค่ะก็เลยทำให้
00:03:47 → 00:03:50 เกิดเอ่อความผิดปกติทำให้ไม่มีทำให้
00:03:50 → 00:03:53 ฮอร์โมนอินซูลินเนี่ยทำงานได้ไม่ดีเลยทำ
00:03:53 → 00:03:56 ให้ระดับน้ำตาลในเลือดเนี่ยสูงขึ้นค่ะ
00:03:56 → 00:04:00 อินซูลินได้ยินคำนี้แล้วนะคะเราก็ว่าได้
00:04:00 → 00:04:02 ยินกันมาเยอะแล้วค่ะอาจารย์อินซูลินเป็น
00:04:02 → 00:04:06 ส่วนที่สำคัญอย่างไรขอรบกวนอาจารย์ทบทวน
00:04:06 → 00:04:09 อีกนิดนึงในร่างกายของคนเราปกติตั้งแต่
00:04:09 → 00:04:12 เกิดมาเนี่ยค่ะอาจารย์คะค่ะคืออินซูลิน
00:04:12 → 00:04:15 เนี่ยเป็นฮอร์โมนตัวนึงที่สร้างมาจากตับ
00:04:15 → 00:04:18 อ่อนฮอร์โมนอินซูลินตัวเยค่ะจะเป็น
00:04:18 → 00:04:21 ฮอร์โมนที่ช่วยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือด
00:04:21 → 00:04:23 เนี่ยเป็นปกติได้เช่นสมมุติว่าเรารับ
00:04:23 → 00:04:25 ประทานอาหารใช่มั้ยคะแล้วเรารับประทาน
00:04:26 → 00:04:28 อาหารเนี่ยระดับน้ำตาลในเลือดของเราเนี่ย
00:04:28 → 00:04:31 จะสูงขึ้นพอเรารับประทานอาหารปุ๊บนี่
00:04:31 → 00:04:33 อาหารตกถึงท้องปุ๊บอ่าตับอ่อนจะหลัง
00:04:33 → 00:04:37 อินซูลินออกมาและจะมาทำการจัดการน้ำตาล
00:04:37 → 00:04:39 ที่ได้จากการที่เรารับประทานอาหารเข้าไป
00:04:39 → 00:04:43 เนี่ยทำให้ระดับน้ำตาลได้ปกติโดยการที่
00:04:43 → 00:04:47 อ่านำน้ำตาลไปที่ไปเก็บไว้ที่กล้ามเนื้อ
00:04:47 → 00:04:50 หรือนำน้ำตาลไปเก็บเก็บไว้ที่ตับอ่ะค่ะ
00:04:50 → 00:04:53 เพื่อเพื่อทำให้ร่างกายเก็บเอาไว้เป็น
00:04:53 → 00:04:56 พลังงานเพื่อนำไปใช้ต่อไประดับน้ำตาลก็
00:04:57 → 00:05:00 เลยลดลงแต่ถ้าเราไม่มีฮอร์โมนตัวนี้ก็จะ
00:05:00 → 00:05:02 ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเนี่ยสูงเพราะว่า
00:05:02 → 00:05:05 ไม่มีตัวพาไปเก็บไม่มีตัวที่ทำให้ระดับ
00:05:05 → 00:05:08 น้ำตาลในเลือดเนี่ยต่ำลงนั่นเองโอ้โห
00:05:08 → 00:05:11 สำคัญมากๆเลยปกติคนเราทุกคนเนี่ยก็มีระบบ
00:05:11 → 00:05:15 เอ่อระดับของอินซูลินเนี่ยปกติใช่มยคะ
00:05:15 → 00:05:18 อาจารย์มันมันเพี้ยนมันน้อยหรือว่ายังไง
00:05:18 → 00:05:21 คะอาจารย์ฟังก์ชันที่อินซูลินไม่พอดีกับ
00:05:21 → 00:05:25 การทำงานของเขาอ่ะค่ะอ่อก็คือถ้าสมมุติ
00:05:25 → 00:05:27 ว่าพูดถึงในเรื่องของในคนไข้ที่เป็นบา
00:05:27 → 00:05:31 หวาดเชิงที่ 2 ที่เราอาจจะเจอกันเยอะ
00:05:31 → 00:05:37 ค่ะก็อ่าอาจจะเป็นจากการที่ตับอ่อนอือ
00:05:37 → 00:05:40 สร้างฮอร์โมนตัวได้น้อยลงก็คือพอสร้างมา
00:05:41 → 00:05:44 ไม่พอกับปริมาณการคือการทำงานน้อยลงมี
00:05:44 → 00:05:46 ฮอร์โมนไม่เพียงพอที่จะไปทำให้ระดับน้ำ
00:05:46 → 00:05:50 ตาลในเลือดเนี่ยต่ำลงก็เกิดเกิดภาวะเบา
00:05:50 → 00:05:54 หวานขึ้นได้อค่ะอืซึ่งเกิดจากความผิดปกติ
00:05:54 → 00:05:58 ของเซลล์ตัดอ่อนที่ทำหน้าที่ในการหลั่ง
00:05:58 → 00:06:01 ฮอร์โมนอินซูลินค่ะหรือในบางคนในกรณีที่
00:06:01 → 00:06:04 แบบคนอ้วนมากๆอันเนี้ยเขาจะเรียกว่ามี
00:06:04 → 00:06:09 ภาวะดื้อต่ออินซูลินมากขึ้นอือเชค่ะเนี่ย
00:06:09 → 00:06:12 คนอ้วนมากๆเนี่ยเป็นเป็นประเด็นเลยอ่ะ
00:06:12 → 00:06:14 อาจารย์ก็คือก็คือคนเราเดี๋ยวเนี้ยใน
00:06:14 → 00:06:17 พฤติกรรมการกินใช่มั้ยคะอาจารย์แล้วก็
00:06:17 → 00:06:20 น้องโอ๊คก็จะเห็นในลักษณะของห่วงยางที่
00:06:20 → 00:06:24 เราก็พบเห็นกินเอ่อน้ำหวานกินชานมไข่มุก
00:06:24 → 00:06:29 กินเอ่อเครื่องดื่มน้ำชงกินกินโดนัทกิน
00:06:29 → 00:06:31 อะไรอย่างเงี้อาจารย์อันเนี้ยส่งผลไปเลย
00:06:31 → 00:06:35 ใช่มั้ยคะทำให้เา้าเรื่องของใช่ค่ะความ
00:06:35 → 00:06:37 ความเอ่อน้ำหนักมากขึ้นแล้วก็อินซูลินเค
00:06:37 → 00:06:40 ก็จะน้อยลงใช่มั้ยคะอาจารย์ืต่ออินซูลิน
00:06:40 → 00:06:43 ใช่ค่ะก็เลยทำให้อินซูลินเนี่ยออกได้ไม่
00:06:43 → 00:06:47 เต็มที่เพราะฉะนั้นเก็จะมีความผิดปกติใน
00:06:47 → 00:06:50 ในเรื่องของระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้น
00:06:50 → 00:06:54 ค่ะออืสาเหตุที่ทำให้อินซูลินมันมันผิด
00:06:54 → 00:06:56 ปกติหรือมันน้อยลงเองเนี่ยฮะมันมันปัจจัย
00:06:56 → 00:06:59 มาจากอะไรครับเรื่องของน้ำตาลอจากอาหาร
00:06:59 → 00:07:01 การกินเลยหรือเปล่าหรือว่ามันมีปัจจัย
00:07:01 → 00:07:04 อื่นมั้ยครับคุณหมอค่ะคือปัจจัยอาหาร
00:07:04 → 00:07:07 เนี่ยก็เป็นส่วนหนึงค่ะเพราะว่ายิ่งเรา
00:07:07 → 00:07:09 กินอาหารเยอะขึ้นเนี่ยเหมือนแบเหมือนกับ
00:07:09 → 00:07:12 ว่าเหมือนคือถ้าเรากินอาหารหวานเยอะขึ้น
00:07:12 → 00:07:15 ก็คือเหมือนกับเราเพิ่ม input ของน้ำตาล
00:07:15 → 00:07:18 เนี่ยเข้าไปในเข้าไปในร่างกายมากขึ้นร่วม
00:07:19 → 00:07:23 กับการที่เอ่อตับอ่อนก็ทำงานได้ไม่ค่อยดี
00:07:23 → 00:07:25 อะไรอย่างเงี้ยหลังอินซูลินออกมาได้น้อย
00:07:25 → 00:07:30 ลงมันก็เป็นปัจจัยที่ที่เสริมกันทำให้การ
00:07:30 → 00:07:33 ของร่างกายหรือว่าการทำงานปกติการควบคุม
00:07:33 → 00:07:37 ระดับน้ำตาลในร่างกายเนี่ยผิดปกติไปค่ะใน
00:07:37 → 00:07:40 ช่วงเถ้าเขามีภาวะแบบนี้เขากินของหวาน
00:07:40 → 00:07:44 เยอะเขาไม่ได้ออกกำลังกายแล้วก็เอ่อตับ
00:07:44 → 00:07:48 อ่อนก็ผลิตอินซูลินไม่พอเอ่ออย่างเงี้ย
00:07:48 → 00:07:51 ใช้เวลานานแค่ไหนคะกว่าที่เขาจะพบว่าเออ
00:07:51 → 00:07:53 เขาเริ่มเข้าสู่ภาวะเบาหวานแล้วค่ะ
00:07:53 → 00:07:58 อาจารย์คือจริงๆเนี่ยก็เอ่อจริงๆเขาบอก
00:07:58 → 00:08:02 ว่าในช่วงในช่วงเก็ก็ใช้เวลาหลายปีเหมือน
00:08:02 → 00:08:06 กันเพราะว่าจริงๆคนไข้ที่มาตรวจที่เพิ่ง
00:08:06 → 00:08:08 ตรวจเจอว่าเป็นบหวานเนี่ยการทำงานของตับ
00:08:09 → 00:08:14 อ่อนเนี่ยลดลงไปลดลงไปแล้ว 50% โอ้โหอืเ
00:08:14 → 00:08:17 ถึงจะรู้อใช่ๆถึงจะอาจจะแสดงอาการออกมา
00:08:17 → 00:08:20 อะไรอย่างเงี้ยค่ะเพราะฉะนั้นเนี่ยก็ตอน
00:08:20 → 00:08:23 นี้ก็เลยแนะนำเอ่อเป็นคำแนะนำในปัจจุบัน
00:08:23 → 00:08:26 เลยว่าถ้าสมมุติในคนไข้ที่มีความเสี่ยง
00:08:26 → 00:08:29 ที่ได้กล่าวไปแล้วข้างต้นแมแมว่าถเช่นแบบ
00:08:29 → 00:08:32 อายุเกิน 35 เองก็แนะนำว่ามีการตรวจเช็ค
00:08:32 → 00:08:35 น้ำตาลระดับน้ำตาลถึงปีอะไรเงี้ยถ้าเกิด
00:08:35 → 00:08:37 ว่ามันมีเริ่มสูงแล้วอะไรเงี้ยก็จะได้
00:08:37 → 00:08:40 เฝ้าระวังถ้าเกิดว่าเราวินิจฉัยได้เร็ว
00:08:40 → 00:08:44 เราก็จะได้รักษาเร็วเอ่อการการดำเนินของ
00:08:44 → 00:08:47 โรคหรือว่าผลของโลกก็อาจจะดีขึ้นกว่าที่
00:08:47 → 00:08:52 เราแบบมาเจอวินิจฉัยตอนแบบตับอ่อนเอ่อการ
00:08:52 → 00:08:55 ทำงานของตับอ่อนเสียไปมากๆแล้วการเยอแล้ว
00:08:55 → 00:08:58 อะไรประมาณนี้อเพราะฉะนั้นการเจาะเลือด
00:08:58 → 00:09:03 ตรวจทุกปีเราจะรู้ระดับน้ำตาลของเราใช่
00:09:03 → 00:09:06 ควรทำยังไงคะตั้งแต่อายุขนาดไหนแล้วก็
00:09:06 → 00:09:10 สังเกตยังไงอือ่าค่ะก็อย่างที่บอกคือคน
00:09:10 → 00:09:12 ที่เริ่มมีความเสี่ยงเนี่ยก็จะอายุเกิน 35
00:09:12 → 00:09:15 ปีอันนี้ก็คือในเบาหวานชนิดที่ 2 นะคะก็
00:09:15 → 00:09:18 แนะนำว่าเจาะเลือดตรวจร่างกายรเงี้ยเป็น
00:09:18 → 00:09:22 ประจำทุกปีเอ่อการวินิฉัยค่าวิค่าน้ำตาล
00:09:22 → 00:09:25 ที่บอกว่าเราเป็นเบาหวานก็คือเอ่อเจาะน้ำ
00:09:25 → 00:09:30 ตาลหลังอาหารเอ้ยเจาะน้ำตาลตอนอดอหารอ่า
00:09:30 → 00:09:32 ค่ะไม่รับประทานอาหารเลยประมาณแบบ 8-12
00:09:32 → 00:09:35 ชมแล้วมาเจาะเลือดตอนเช้าเนี่ยเกินมาก
00:09:35 → 00:09:40 กว่าหรือเท่ากับ 126 มิลกรัมเดซอค่ะก็จะ
00:09:40 → 00:09:43 เริ่มสงสัยเลยว่าเออเป็นอันเนี้ยเป็นเบา
00:09:43 → 00:09:45 หวานแน่นอนแต่ถ้าเกิดว่าเจาะออกมาแล้ว
00:09:45 → 00:09:48 อยู่ในระดับที่ประมาณ
00:09:48 → 00:09:52 100-15 อันนี้ก็คือเริ่มอยู่ในระยะที่
00:09:52 → 00:09:54 ก่อนที่จะเป็นเบาหวานหรือว่าเขาเรียกว่า
00:09:54 → 00:09:57 เป็นาวาที่เป็น PR diab เพราะว่าระดับ
00:09:57 → 00:10:02 น้ำตาลของคนปกติเนี่ยไม่ควเกิน 100 ค่ะอื
00:10:02 → 00:10:04 ที่เราเจาะกันไงคะน้องโอ๊คน้องโอ๊คได้
00:10:04 → 00:10:09 เท่าไหร่เอ่ยเอ่อผมไม่ได้ได้ตรวจครับปี
00:10:09 → 00:10:14 นี้คือคือบอกอาจารย์ว่าพี่พี่นกเป็นคนที่
00:10:14 → 00:10:17 ระมัดระวังเรื่องของของหวานมากๆเลยแล้วก็
00:10:17 → 00:10:20 ไม่ค่อยชอบหวานด้วยตอนเนี้ยอายุก็อยู่ใน
00:10:20 → 00:10:23 วัยสูงวัยนะคะน้ำตาลไม่เกิน 100 ถือว่า
00:10:23 → 00:10:27 โอเคมั้ยคะอาจารย์ออโอเคเลยค่ะโอเคมากเลย
00:10:27 → 00:10:30 อืขอโชว์นิดนึงนะนะคเออใช่ค่ะเพราะว่า
00:10:30 → 00:10:33 อย่างที่บอกคือถ้าสมมุติเกิน 100 ถึงช่วง
00:10:33 → 00:10:37 100-15 เนี่ยอันเนี้ยเป็นภาวะก่อนที่จะ
00:10:37 → 00:10:39 เป็นเบาหวานและเริ่มเริ่แล้วเริ่มเริ่ม
00:10:39 → 00:10:42 เข้าสู่เบาหวานแต่ถ้าเกิดว่าเกิน 126
00:10:42 → 00:10:44 เนี่ยอันนี้ก็เราจะวินิจฉัยว่าเป็นเบา
00:10:44 → 00:10:47 หวานแล้วร่วมกับการดูอย่างอื่นด้วยเช่น
00:10:47 → 00:10:50 อาจจะดูน้ำตาลสะสมอะไรเงี้ยร่วมด้วยค่ะ
00:10:50 → 00:10:53 เพราะฉะนั้นขอแนะนำเลยนะคะไม่ว่าจะเป็น
00:10:53 → 00:10:56 คุณผู้ฟังที่ 30 ก็ได้แล้วมั้ยคะอาจารย์
00:10:56 → 00:11:01 35 35 ก็ได้อืค่ะค่ะค่ะจรถ้าเกิดโอกาส
00:11:01 → 00:11:04 ตรวจเ่อร่างกายหรืออะไรอย่าเงี้ยก็ก็ก็ก็
00:11:04 → 00:11:07 ตรวจเพราะว่าก็จะทำให้เราทราบว่าเอ้ตอน
00:11:07 → 00:11:10 นี้เราเป็นยังไงอะไรยังไงบ้างค่ะยิ่งถ้า
00:11:10 → 00:11:12 เกิดคนไข้ที่มีความเสี่ยงเนี่ยอย่างที่
00:11:12 → 00:11:16 ได้เรียนไปเบื้องต้นก็คือยิ่งถ้าเรารู้
00:11:16 → 00:11:20 เราก็ควรจะเอ่อรู้ว่าเรามีความเสี่ยงเรา
00:11:20 → 00:11:22 ก็ควรจะเช็คแล้วเอ๊ะฉันเป็นหรือเปล่านะก็
00:11:22 → 00:11:24 ควรจะมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอะไรอย่าง
00:11:24 → 00:11:27 เงี้ยร่วมด้วยเพื่อที่จะลดโอกาสที่จะเกิด
00:11:27 → 00:11:30 การโกสสู่การเป็นโรคเบาหวานหรือถ้าเกิด
00:11:30 → 00:11:33 ว่าเรารู้เร็วเราก็อาจะได้รักษาเร็วการ
00:11:33 → 00:11:37 ดำเนรก็จะได้ดีขึ้นค่ะอนอกจากน้ำตาลแล้ว
00:11:37 → 00:11:40 มันจะมีอาการอื่นบ่งบอกมยคะอาจารย์บางคน
00:11:40 → 00:11:44 บอกว่าเออเขามีการชาหรือเจ็บจี๊ดๆปลาย
00:11:44 → 00:11:47 นิ้วมือนิ้วเท้ามันเกี่ยวมั้ยคะอืคือ
00:11:47 → 00:11:50 อาการเรื่องของชาตามปลายนิ้วมือนิ้วเท้า
00:11:50 → 00:11:54 เนี่ยมันเป็นอาการของภาวะแทรกซ้อนเรื้อ
00:11:54 → 00:11:58 รังไปแล้วนั่นหมายความว่าเอาจจะเป็นมาน้ำ
00:11:58 → 00:12:01 ระดับน้ำตตในเลือดสูงมาเป็นระยะเวลานาน
00:12:01 → 00:12:06 และเรื้อรังะจนกระทั่งเอ่อเกิดผลต่อเส้น
00:12:06 → 00:12:09 ประสาทส่วนปลายทำให้มีอาการชาตามปลายมือ
00:12:10 → 00:12:13 ปลายเท้าอะไรอย่างเงี้ยมากขึ้นค่ะอือก็จะ
00:12:13 → 00:12:17 เป็นว่าไพ้ที่เป็นเ่อเบาหวานมาเป็นระยะ
00:12:17 → 00:12:20 เวลานานๆแล้วก็อาจจะควบคุมไม่ดีหรือว่ามี
00:12:20 → 00:12:23 น้ำตาลในเลือดสูงมานานแล้วแต่ไม่รู้ตัว
00:12:23 → 00:12:25 ไม่เคยตรวจอะไรอย่างเงี้ยค่ะไม่ได้รับ
00:12:25 → 00:12:31 รักษาค่ะอือือแล้วก็เอนอกจากจริงๆนอกจาก
00:12:31 → 00:12:34 เรื่องของอาการชาตามปลายมือปลายเท้าที่
00:12:34 → 00:12:36 เป็นอาการของภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังของเส้น
00:12:37 → 00:12:40 ประสาทอ่ะค่ะอาจจะมีเอ่ออาการอื่นๆของ
00:12:40 → 00:12:44 ภาวะแทรกซอนเรื้อรังด้วยเช่นอาจจะมีตามัว
00:12:44 → 00:12:47 หรือเราอาจจะเคยได้ยินกันว่ามีคนพูดว่า
00:12:47 → 00:12:51 เบาหวานขึ้นตาแกอะไรประมาณใชอืครับโอโหตา
00:12:51 → 00:12:56 มัวนี่เป็นยังไงคะอาจารย์อืคือก็ก็อาจจะ
00:12:56 → 00:12:58 มีอาการแบบมองภาพไม่ชัดเจนอะไรอย่างเงี้ย
00:12:58 → 00:13:00 มากมากขึ้นแต่ว่าครั้งนี้ทั้งนั้นไม่ได้
00:13:00 → 00:13:04 แปลว่าทุกคนที่ตามมัวจะเป็นเบาหวานนะคะก็
00:13:04 → 00:13:06 หมายความว่าถ้าเกิดเ่อตรวจเจอแล้วว่าเป็น
00:13:06 → 00:13:09 เบาหวานเยเราก็จะมีการตรวจตาให้คนไข้
00:13:09 → 00:13:12 เพื่อดูว่ามีภาวะที่เรียกว่าเป็นเบาหวาน
00:13:12 → 00:13:15 ขึ้นตาหรือยังเพราะซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อน
00:13:15 → 00:13:18 อีกอย่างนึงของเบาหวานค่ะที่อาจจะไปที่ตา
00:13:18 → 00:13:21 ได้ไปที่ไตหรือไปที่เส้นปราสาทส่วนปลาย
00:13:21 → 00:13:24 ได้อันนี้ก็คือเป็นอวัยวะที่เอ่อเป็น
00:13:24 → 00:13:26 เรื่องของเส้นเลือดเล็กแต่ถ้าเกิดว่าเป็น
00:13:26 → 00:13:29 เส้นเลือดใหญ่ๆก็อาจจะมีเรื่องของหัวใจอ
00:13:29 → 00:13:32 ภาวะแทรกซ้อนของเส้นเลือดใหญ่ก็เช่นแบบ
00:13:32 → 00:13:35 พวกหัวใจขาดเลือดเอ่อหัวใจล้มเหลวอะไร
00:13:35 → 00:13:38 เงี้ยแบบแล้วก็เส้นเลือดสมองตีบอะไรอย่าง
00:13:38 → 00:13:41 เงี้ยเป็นต้นค่ะหรือว่าเส้นเลือดที่าไม่
00:13:41 → 00:13:46 ดีบางคนก็อาจจะมีแบบขาเย็นซีดหรือว่าอ่า
00:13:46 → 00:13:50 ที่ผจรที่ขาหายไปอะไรอย่างเงี้ยก็คือก็
00:13:50 → 00:13:53 คือมันเป็นภาวะแทรกซอนที่เกิดจากโรคเบา
00:13:53 → 00:13:56 หวานที่เป็นเรือรังอันนี้เป็นเป็นเป็น
00:13:56 → 00:13:59 เรือรังค่ะเป็นภาวะแทรกซอนเรือรังเบาหวาน
00:13:59 → 00:14:02 มาเป็นเวลานานคำว่าเบาหวานเรื้อรังแล้วคน
00:14:02 → 00:14:04 ก็เพิ่งพบอาการอย่างเช่นอาจารย์บอกอย่าง
00:14:04 → 00:14:08 เงี้ยค่ะคือเ้าไม่เไม่ได้ตรวจระดับน้ำตาล
00:14:08 → 00:14:11 แล้วก็เไม่รู้มาเลยเหรอคะอาจารย์อืใช่ค่ะ
00:14:11 → 00:14:14 เพราะว่าอย่างที่บอกเอ่อการที่เรามีระดับ
00:14:14 → 00:14:17 น้ำตาลในเลือดที่สูงเนี่ยบางทีไม่ได้แสดง
00:14:17 → 00:14:21 อาการอะไรอืเราก็จะไม่ทราบเลยบางคนแบบก็
00:14:21 → 00:14:24 ปกติดีเลยเอามาตรวจอีกทีนึงอ้าวจะผ่าตัด
00:14:24 → 00:14:26 สมมุติแบบจะผ่าตัดอะไรเงี้ยเพิ่งมาเจาะ
00:14:26 → 00:14:30 เลือดตรวจก็อ้าน้ำการ้าสูงอะไรอย่างเงี้ย
00:14:30 → 00:14:33 สูงมากอะไรประมาณนี้หรือบางคนโอเคเจอจาก
00:14:33 → 00:14:37 เช็คอัพอะไรอย่างเงี้ยค่ะโอ้โหอือครับ
00:14:37 → 00:14:40 ซึ่งซึวัยทำงานเองเนี่ยจริงๆแล้วโดยโดย
00:14:40 → 00:14:45 พฤติกรรมโดยโดยวิสัยวินัยในการใช้ชีวิต
00:14:45 → 00:14:48 แล้วเนี่ยเอ่อมันมันค่อนข้างจะมีความเสีย
00:14:48 → 00:14:49 ในเรื่องของความเป็นเบาหวานน้อยแต่
00:14:49 → 00:14:52 ปัจจุบันเองเนี่ยมันมันกลับกลายเป็นว่า
00:14:52 → 00:14:56 กลุ่มวัยทำงานเองขยับเข้าหาเบาหวานมาก
00:14:56 → 00:15:01 ขึ้นอด้วยปปัจจัยเออแวดล้อมพฤติกรรม
00:15:01 → 00:15:04 พฤติกรรมของเค้ามั้ยคะอ๋อที่ยั่วยุมั้ยฮะ
00:15:04 → 00:15:07 คุณหมอคือก็เหมือนแบบสมมุติแบบอย่างพวก
00:15:07 → 00:15:11 เราใช่มั้ยคะแบบไลฟ์สไตล์อาจจะนั่งทำงาน
00:15:11 → 00:15:14 นานทำงานออฟฟิศหรือว่าแบบไม่อยากลุกไปไหน
00:15:15 → 00:15:18 อ้าไม่ได้ขยับเขยื้อนร่างกายอออันนั้นก็
00:15:18 → 00:15:21 ใช่ใช่มั้ยคะพฤติกรรมแบบนั้นอืใช่ค่ะก็
00:15:21 → 00:15:25 คือมีแบบเค้าเรียกว่าอะไรอ่ะ
00:15:25 → 00:15:31 ีนใช่ก็คือเอ่อการออกกำลังกายเนี่ยจะช่วย
00:15:31 → 00:15:34 เรื่องของการช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้
00:15:34 → 00:15:36 ด้วยเพราะว่าจะทำให้กล้ามเนื้อเนี่ยเอา
00:15:36 → 00:15:39 ระดับเอาน้ำตาลเนี่ยไปใช้ได้เยอะขึ้นอ
00:15:39 → 00:15:42 แล้วก็จะทำให้แบบพวกไขมันอะไรอย่าเงี้ยลด
00:15:42 → 00:15:46 ลงการเผาผลาญได้ดีขึ้นค่ะเพราะฉะนั้นก็จะ
00:15:46 → 00:15:49 จะช่วยเรื่องของเบาหวานได้ด้วยอีกอย่าง
00:15:49 → 00:15:51 นึงอาจะเป็นเรื่องของอาหารอย่างที่คุยกัน
00:15:51 → 00:15:55 เพราะว่าเดี๋ยวนี้แบบเราใช้ชีวิตแบบตะวัน
00:15:55 → 00:15:58 ตกมากขึ้นอาหารการกินมีให้เลือกหลากหลาย
00:15:58 → 00:16:03 พิซซ่าไก่ทอดของหวานชานมไข่มุกเกาหลีอะไร
00:16:03 → 00:16:07 อย่างเงี้ยมันมันมีแบบทุกวัฒนธรรมที่เรา
00:16:07 → 00:16:11 เราทานอะไรอย่าเงี้ยค่ะมีเยอะเค้กขนมโอ๊ย
00:16:11 → 00:16:14 น่ากินอะไรอย่างเงี้จแต่ทานได้ใช่มั้ย
00:16:14 → 00:16:16 อาจารย์แต่ว่ามันควรระมัดระวังยังไงคะ
00:16:16 → 00:16:20 อาทิตย์นึงกินสักครั้งนึง 2 ครั้งจริงๆ
00:16:20 → 00:16:25 เนี่ยถามว่าเอ่อเครื่องดื่มหวานไอ้ของ
00:16:25 → 00:16:27 หวานๆทั้งหลายทานได้มก็ไม่ได้แนะนำแต่ว่า
00:16:27 → 00:16:30 ถ้าอยากทานก็อาจจะทานได้ในปริมาณที่จำกัด
00:16:31 → 00:16:34 อืไม่ห้ามทานเลยเพราะว่าจริงๆก็คงทำได้
00:16:34 → 00:16:38 ยากมากแต่ว่าสมตว่าเราอยากทานอ่าเค้กอะไร
00:16:38 → 00:16:41 อย่าเงี้ยก็ก็คงไม่ไม่ไม่ควรจะกินทั้งหมด
00:16:41 → 00:16:45 ก้อนในคนที่แบบอาจจะมีความเสี่ยงก็อาจจะ
00:16:45 → 00:16:47 สักคำ 2 คำอะไรเงี้ยพอหายอยากอะไรอย่า
00:16:47 → 00:16:51 เงี้ยค่ะอไม่บ่อยอะไรี้อย่าบ่อยชิ้นนึง
00:16:51 → 00:16:54 สักชิ้นนึงอะไรเงี้ไม่ต้องถึงชิ้นมคะชิ้น
00:16:54 → 00:16:56 บางๆเนาะอาจจะชิ้นนึงแบบสมมติซื้อมาชิ้น
00:16:56 → 00:16:59 นึงอาจจะกินหลายวันอะไรเงี้วัน 2 อ๋ออ๋อ
00:16:59 → 00:17:01 ชิ้นนึงแต่ไม่ใช่แบบว่าชิ้นนึงช็อกโกแลต
00:17:01 → 00:17:04 ชิ้นนึงมะพร้าวชิ้นนึงสตรอเบอร์รี่ชิ้น
00:17:04 → 00:17:08 นึงไม่ได้แล้วเยอะไปแล้วอาจารย์อย่าง
00:17:08 → 00:17:12 อย่างขนมขนมถุงอ่ะมันฝรั่งท่อเงี้ยโอ้โห
00:17:12 → 00:17:14 เาบอกว่าอย่าแบ่งทาน 3 ครั้งในถุงนึงอ่ะ
00:17:15 → 00:17:18 ถุงประมาณถุงมาตรฐานเนี่ยอาจารย์ว่ากี่
00:17:18 → 00:17:23 กี่ชิ้นดีคะคือตัวเองก็ทานด้วยแต่มันกิ
00:17:23 → 00:17:26 จำกัดตัวเองไ 5 ชิ้นอาจารย์เออมันฝรั่ง
00:17:26 → 00:17:30 เนี่ยกี่ชิ้นดีอาจารย์ลดูที่สลากโภชนาการ
00:17:30 → 00:17:35 ของหลักซองว่าเาอ่ะระบุเอาไว้ว่าประมาณ
00:17:35 → 00:17:37 กี่กรัมกี่ชิ้นอะไรประมาณอย่างเงี้ยเพราะ
00:17:37 → 00:17:41 ว่าแต่ละแต่ละขนาดเนี่ยมันจะไม่เท่ากันออ
00:17:41 → 00:17:46 ต้องที่แบบข้างหลังซองเป็นสลับโภชนาการดู
00:17:46 → 00:17:49 แต่เรื่องของมันฝรั่งสนูกรอบอะไเงี้ยคใช่
00:17:49 → 00:17:54 อดใจไม่ไหวอันนั้นคือจะได้ทั้งโซเดียมที่
00:17:54 → 00:18:00 ได้ทั้งไขมันอะไรอย่างเงี้มันก็จะ
00:18:00 → 00:18:03 ต่อทั้งทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นหัวใจอะไร
00:18:03 → 00:18:05 อย่างงี้ด้วยเพราะต่อไตอะไรอย่างงี้ด้วย
00:18:05 → 00:18:07 เพราะว่าจริงๆไม่ใช่แค่ระดับน้ำตาลที่เรา
00:18:07 → 00:18:11 ควรจะต้องต้องระมัดระวังอ่ะค่ะพวกโซเดียม
00:18:11 → 00:18:15 เอยไขมันเอยอะไรอย่าเงี้ยก็ควรจะควบคุม
00:18:15 → 00:18:19 เพราะว่าไม่อย่างงั้นเบาหวานความดันไขมัน
00:18:19 → 00:18:23 มันก็จะตามกันมาเป็นแพ็คเกจโอหสังเกตที่
00:18:23 → 00:18:26 ไม่น่าเอามาใช่มยพี่นกกิน 3 3 ครั้งต่อ
00:18:26 → 00:18:31 ถุงน้องโอ๊กินเท่าไหร่เอ่อถุงนึงเหรอครับ
00:18:31 → 00:18:33 ผมก็กินประมาณพี่นกแหละเหลือด้วยซ้ำเพราะ
00:18:33 → 00:18:36 ว่าเพราะว่าอย่างอื่นต่ออย่างนี้กิน
00:18:36 → 00:18:38 เดี๋ยวนี้ไม่ชอบไม่ค่อยไม่ค่อยชอบกินเค็ม
00:18:38 → 00:18:40 ไงอ้าวเหรอะเป็นเป็นเป็นคนไม่ค่อยชอบกิน
00:18:40 → 00:18:42 เค็มเท่าไหร่อยู่แล้วก็เลยแบคือไม่ชอบ
00:18:42 → 00:18:45 เค็มแต่มันกอมันอร่อยคุณผู้ฟังท่านนึงก็
00:18:45 → 00:18:49 หัวเราะมาเมื่อเอ่อสอบถามมาว่าผมอายุ 59
00:18:49 → 00:18:53 เอ่อล่าสุดอ่ะน้ำตาล 98 ยังไม่เข้าขายใช่
00:18:53 → 00:18:57 ไหมครับอืมเก่งมากนะคะเนี่ยใช่มั้ยคะ
00:18:57 → 00:19:02 อาจารย์คะอือืใช่ๆๆก็ก็ก็ยังยังโอเคอยู่
00:19:02 → 00:19:06 ค่ะโอ้โหเก่งนะ 98 อื
00:19:06 → 00:19:09 ค่ะแต่ละคนก็มีวิธีของตัวเองไแต่สำคัญก็
00:19:09 → 00:19:11 คือกินเข้าไปแล้วก็ต้องเอาออกให้ให้พอพอ
00:19:11 → 00:19:14 ดิบพอดีนะใช่ๆเรื่องของออกกำลังกายล่ะคะ
00:19:14 → 00:19:17 คุณหมอเราเราฝืนกับเ้าเออยังไงดีคะเราออก
00:19:17 → 00:19:20 กำลังกายกินมากออกกำลังกายมากมันช่วยกัน
00:19:20 → 00:19:24 ได้มั้ยคะจริงๆก็ไม่ควรเราคือมันไม่ได้
00:19:24 → 00:19:29 หมายความว่าสมมุติกินไปอยออกกำลังกายของก
00:19:29 → 00:19:33 0 มันอาจจะอมันมันไม่ได้ลบหักลบกลบนิ่ง
00:19:33 → 00:19:36 กันได้แบบอย่างนั้นนะคะคือจริงๆการออก
00:19:37 → 00:19:39 กำลังกายเนี่ยก็แนะนำว่าอย่างน้อยควรจะ
00:19:39 → 00:19:43 ออกสักวันละ 30 นาทีอาทิตย์นึงออก 5 วัน
00:19:43 → 00:19:45 อะไรประมาณนี้เป็นแบบการออกกำลังกายที่
00:19:45 → 00:19:49 เป็นแอโรบิเช่นอ่าอาจจะวิ่งอาจจะเต้น
00:19:49 → 00:19:53 แอโรบิตีแบตว่ายน้ำอะไรอย่างเงี้ยค่ะที่
00:19:53 → 00:19:57 เขาแนะนำเลยก็คือแต่เราเข้าใจว่าเอ่อบาง
00:19:57 → 00:20:01 คนน่ะก็ก็ไม่ได้มีอาจจะทำไม่ได้อย่างงี้
00:20:01 → 00:20:05 ดีกว่าแต่นั่นก็แต่นั่นก็เอ่ออาจจะไม่ใช่
00:20:05 → 00:20:08 ปัญหาเพราะว่าอย่างเวลาแนะนำคนไข้อะไร
00:20:08 → 00:20:11 เงี้ยค่ะเช่นแบบคนไข้เไปทำงานทำงานออฟฟิศ
00:20:11 → 00:20:14 เงี้ยเบอกว่าไม่มีเวลาไปออกกำลังกายเลย
00:20:14 → 00:20:16 ค่ะคุณหมอแบบเลิกงานดึกมากเลยอะไรอย่าง
00:20:16 → 00:20:19 เงี้ก็จะบอกว่าอย่างนั้นเราควรจะเพิ่ม
00:20:19 → 00:20:22 กิจกรรมทางกายให้มากขึ้นหรือที่เราเรียก
00:20:22 → 00:20:24 ว่า physical activity เช่นอ่าออฟฟิศ
00:20:24 → 00:20:28 อยู่ชั้นไหนอยู่ชั้น 5 ขึ้นลิฟึขึ้นลิฟ
00:20:28 → 00:20:30 หรือเดินขึ้นบันไดอะไรเงี้ยถ้าบอกขึ้นลิฟ
00:20:30 → 00:20:32 ก็จะบอกว่าโอเคงั้นลองเปลี่ยนเป็นเดิน
00:20:32 → 00:20:35 ขึ้นบันไดดูเพราะว่าก็จะทำให้เราแบบใช้
00:20:35 → 00:20:38 พลังงานในในตอนกลางวันที่เราช่วงทำงาน
00:20:38 → 00:20:42 เนี่ยมากขึ้นก็จะก็จะช่วยได้เหมือนกันค่ะ
00:20:42 → 00:20:45 ก็คือจะต้องเียมหทางที่เราได้ใช้พลังงาน
00:20:46 → 00:20:48 ได้เยอะขึ้นอะไรประมาณนี้ค่ะเมื่อเมื่อ
00:20:48 → 00:20:51 เราได้รับรู้ถึงเอ่อพฤติกรรมต่างๆที่เรา
00:20:51 → 00:20:55 ควรจะทำแล้วก็อาหารที่เราไม่ควรจะกิน
00:20:55 → 00:20:57 อาหารทอดอาหารเค็มอาหารอะไรอย่างเงี้นะคะ
00:20:57 → 00:21:00 คุณค
00:21:00 → 00:21:05 เมื่อว่าอายตอนนี้เราเป็นคนทำนคุมน้ำตา
00:21:05 → 00:21:09 เบาหวานก็ไม่ไม่มาย่างกลายหาเราเลยมคะหาย
00:21:09 → 00:21:14 ได้ยังไงคะคุณหมอคือต้องบอกอ่าบอกว่าถ้า
00:21:14 → 00:21:17 สมมติว่าไม่เคยเป็นมาก่อนถ้าไม่เคยเป็น
00:21:17 → 00:21:20 แล้วก็คุมดีก็โอเคโอกาสที่จะเป็นก็อาจจะ
00:21:20 → 00:21:23 น้อยกว่าคนที่ไม่คุมอแต่ถ้าสมมติคนที่
00:21:23 → 00:21:28 เป็นแล้วคนที่เป็นแล้วสมมติกินยาชียคุม
00:21:28 → 00:21:32 อาหารอยู่มีโอกาสหายมยใช้ต้องใช้คำว่าโรค
00:21:32 → 00:21:37 เบาหวานมีมีระยะสงบอย่างนี้ดีกว่าอ๋ออือ
00:21:37 → 00:21:42 ก็คืออาจจะสงบหมายความว่าอ่าถ้าเขาคุมดี
00:21:42 → 00:21:46 เอ่อมีกิเอ่อมีออกกำลังกายดีเอ่อปฏิบัติ
00:21:46 → 00:21:49 ตัวดีระดับน้ำตาลจะคุมได้ดีขึ้นจนกระทั่ง
00:21:49 → 00:21:51 ลดขนาดยา
00:21:51 → 00:21:55 ได้เหลือน้อยที่สุดหรืออาจจะหยุดยาได้
00:21:55 → 00:21:58 ช่วงนึงที่อ่าไม่ต้องทานยาแต่ว่าระดับน้ำ
00:21:58 → 00:22:01 ตาลเนี่ยอยู่ในอยู่ในระดับปกติอันเนี้ย
00:22:01 → 00:22:05 เรียกว่าอยู่ในระยะสงบแต่เมื่อไหร่ก็ตาม
00:22:05 → 00:22:08 ถ้าเากลับมากินเหมือนเดิมคือไม่ได้คุม
00:22:08 → 00:22:10 อาหารเหมือนเดิมอะไรเงี้ยก็มีโอกาสที่จะ
00:22:10 → 00:22:13 น้ำตาลเก็อาจจะกลับขึ้นมาสูงขึ้นใหม่ได้
00:22:13 → 00:22:16 คือมันไม่ได้หายคาอื
00:22:16 → 00:22:20 อือสงบได้ไปไปนานมากๆแล้วมันก็ไม่หายเหรอ
00:22:20 → 00:22:25 คะคุณหมออืก็คือถ้าเขาไม่ได้ควบคุมเอ่อ
00:22:25 → 00:22:28 อาหารหรือว่าพฤติกรรมเขาเปลี่ยนไปค่ะก็ก็
00:22:28 → 00:22:32 เป็นกลับขึ้นมาได้คืออันนี้มันว่าจะมี
00:22:32 → 00:22:36 ปัตยอย่างอื่นมากวนด้วยอ่ะค่ะออืก็เลย
00:22:36 → 00:22:39 แสดงว่าก็เป็นหนึ่งโรคที่ค่ะอ๋อต้องเริ่ม
00:22:39 → 00:22:42 ใส่ใจตัวเองตั้งแต่วัยวัยรุ่นใชให้มันสงบ
00:22:42 → 00:22:46 นวัยทำงานอืไปเลยเนาะค่ะค่ะไม่งั้นมันก็
00:22:46 → 00:22:49 จะยาวใช่มั้ยฮะถ้าตามใจตัวเองมากไปหน่อย
00:22:49 → 00:22:52 ใช่คุณหมอคะถ้าถ้าถึงขั้นที่เค้าเรียกว่า
00:22:52 → 00:22:55 เราเห็นคนคนึงเนี่ยเอ่อมีน้ำหนักร่างกาย
00:22:55 → 00:22:58 ปกติแล้วก็ไม่ได้เจอเนานมาพบอีกครั้งนึงเ
00:22:58 → 00:23:01 ผอมมากเลยอย่างเงี้ยเเถือว่าเเป็นเบาหวาน
00:23:01 → 00:23:04 ที่ค่อนข้างรุนแรงเลยหรอคะคุณหมอเคยเคย
00:23:04 → 00:23:07 เจอคนรู้จักคนนึงแล้วก็ก็ทักเ้าเออทำไม
00:23:07 → 00:23:11 เบาหวานต้องผอมคะคุณหมออืคืออันที่ 1
00:23:11 → 00:23:14 ต้องบอกว่าการที่คนๆนึงน้ำหนักลดเนี่ยไม่
00:23:14 → 00:23:17 ได้มีสาเหตุจากเบาหวานอย่างเดียวอาจมีจาก
00:23:17 → 00:23:21 สาเหตุอื่นก็ได้แต่เบาหวานทำให้น้ำหนักลด
00:23:21 → 00:23:24 ได้มทำให้น้ำหนักลดได้เพราะว่าเมื่อใน
00:23:24 → 00:23:27 ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงขึ้น
00:23:27 → 00:23:30 เนี่ยก็อาจจะทำให้มีการขับน้ำตาลออกมาใน
00:23:30 → 00:23:33 ปัสสาวะมากขึ้นค่ะหรืออันนั้นเป็นอันที่ 1
00:23:33 → 00:23:37 อันที่ 2 ก็คือการที่เขาเอ่อมีับน้ำตาลเ
00:23:37 → 00:23:39 สูงขึ้นจากโรคเบาหวาดเนี่ยนั่นหมายความ
00:23:39 → 00:23:43 ว่าไม่มีอินซูลินหรืออินซูลินไม่เพียงพอ
00:23:43 → 00:23:46 ที่จะเอาน้ำตาลในเลือดเนี่ยไปเก็บในกล้าม
00:23:46 → 00:23:49 เนื้อหรือในตับเพื่อสะสมเอาไว้ให้ร่างกาย
00:23:49 → 00:23:52 ใช้เป็นพลังงานเพราะฉะนั้นเนี่ยร่างกายก็
00:23:52 → 00:23:56 จะขาดพลังงานจากน้ำตาลจึงต้องใช้พลังงาน
00:23:56 → 00:23:59 จากส่วนอื่นแทนเช่นอาจจะใช้พลังงานจากไข
00:23:59 → 00:24:02 มันหรือกล้ามเนื้อเพราะฉะนั้นเอ่อคนไข้
00:24:02 → 00:24:07 เบาหวานก็ให้หอมลงได้ใช่ค่ะมันเหมือนดีนะ
00:24:07 → 00:24:11 ในความรู้สึกของแต่ว่าเราจะรู้สึกว่าเอ้ย
00:24:11 → 00:24:14 ผอมอย่างผิดปกติเลยอ่ะอ่ามันผิดปกติเพราะ
00:24:14 → 00:24:16 จะไม่ได้ผอทเดียวเก็อาจจะมีอาการอ่อน
00:24:16 → 00:24:20 เพลียร่วมด้วยอาจจะกระหายน้ำบ่อยเพราะว่า
00:24:20 → 00:24:24 เขาจะปัสสาวะเยอะขึ้นเพราะว่าเอ่อร่างกาย
00:24:24 → 00:24:26 จะขับเอ่อขับน้ำตาลออกทางปัสสาวะจะมี
00:24:26 → 00:24:29 ปัสสาวะเยอะรู้สึกอ่อนเพลียจะไม่ได้ผอม
00:24:29 → 00:24:35 แบบไม่แรงค่ะโอ้โหถ้าถ้าเกิดภาวะนี่คือ
00:24:35 → 00:24:39 อันตรายแล้วใช่มั้ยคะคุณบอคะก็ก็ก็ก็ถาม
00:24:39 → 00:24:43 ว่าอันตรายมก็คือก็เริ่มเริ่มที่จะคนจะทำ
00:24:43 → 00:24:46 ให้คนไข้เนี่ยต้องมาครบแพทย์แล้วแเอ๊ะฉัน
00:24:46 → 00:24:49 ผิดปกติอะไรหรือเปล่าอืก็อาจจะเป็นน้ำตาล
00:24:49 → 00:24:53 ในเลือดสูงมาในระยะเวลาประมาณนึงและที่ทำ
00:24:53 → 00:24:56 จนทำให้เกิดมีอาการอย่างที่บอกเพราะว่า
00:24:56 → 00:24:58 ช่วงแรกเอ่อหรือว่าคนที่แบบน้ำตาลสูงไม่
00:24:58 → 00:25:01 มากอะไรเงี้ยเอาจจะไม่ได้มีอาการอะไรค่ะ
00:25:02 → 00:25:08 อืออืครับคอยสังเกตตัวเองอืครับเอ่อเมื่อ
00:25:08 → 00:25:12 ๆมื่อคนเอ่อรู้อย่างนี้แล้วรู้ว่าตัวเอง
00:25:12 → 00:25:18 เอ่อชอบรับประทานตัวเองออกกำลังกายเอ่อ
00:25:18 → 00:25:21 อาจจะไม่ได้เต็มที่นักอาจจะสัปดาห์ะครั้ง
00:25:21 → 00:25:23 2 ครั้งค่ะ
00:25:23 → 00:25:26 เอ่อเราควรบริหารจัดการตัวเองยังไงดี
00:25:26 → 00:25:29 เพื่อที่จะลดความเสี่ยงเอ้ยไม่ก็ไม่อยาก
00:25:29 → 00:25:32 เป็นนะแต่ก็ยังอยากอยากกินอยู่แต่ว่าออก
00:25:32 → 00:25:37 กำลังกายก็เออเพิ่มสักนิดนึงก็ได้แต่ว่า
00:25:37 → 00:25:39 แบบนี้มันจะมีวิธีการบริหารจัดการหรือว่า
00:25:39 → 00:25:42 มีแนะนำวิธีการเลือกรับประทานมั้ยฮะมี
00:25:42 → 00:25:46 หลักยังไงคุณหมอก็คือจริงๆอ่าหลักในการ
00:25:46 → 00:25:49 รับประทานอาหารเนี่ยจริงๆเอ่อถ้าสำหรับ
00:25:49 → 00:25:53 ที่แบบแนะนำคนไข้เนี่ยมันจะมีเอ่อหรือว่า
00:25:53 → 00:25:56 ทางทางกระทรวงสาธารณสุขที่แนะนำก็จะใช้
00:25:56 → 00:26:00 ส่วนใช้สู 2 นั่นหมายความว่าสมมุติเราทาน
00:26:00 → 00:26:03 อาหาร 1 จานนึกภาพอาหารจานเป็นวงกมใช่มคะ
00:26:03 → 00:26:06 แบ่งครึ่งนึงเอ่อแล้วก็
00:26:06 → 00:26:10 เอ่อครึ่งนึงเนี่ยเป็นผักอือก็คือผัก
00:26:10 → 00:26:12 ครึ่งนึงอย่างอื่นอีกครึ่งนึงหมายอย่าง
00:26:12 → 00:26:15 อื่นก็คืออาจจะมีในส่วนของโปรตีน 1 ส่วน
00:26:15 → 00:26:18 แล้วก็ส่วนของคาร์โบไฮเดรตเอีก 1 ส่วน
00:26:18 → 00:26:21 เพราะฉะนั้นเราแนะนำว่าใน 1 มื้อที่เรา
00:26:21 → 00:26:24 รับประทานเนี่ยก็ควรจะมีผักประมาณครึ่ง
00:26:24 → 00:26:28 นึงคิดว่านึกภาพแล้วอาจารย์มันไปได้ยาก
00:26:28 → 00:26:31 มากๆเลยผักครึ่งนึงเนี่ยอือค่ะใช่ค่ะ
00:26:31 → 00:26:33 อาจารย์เออคนเราจะกินข้าวเยอะเลยนะคะ
00:26:33 → 00:26:36 อาจารย์มีคำแนะนำเกี่ยวกับข้าวมั้ยคะบาง
00:26:36 → 00:26:39 คนบอกว่าเฮ้ยทำไมทำไมมาบอกให้กินข้าวน้อย
00:26:39 → 00:26:44 มันไม่อิ่มนะเออข้าวไม่ใช่ศัตรูของเรานะ
00:26:44 → 00:26:46 เราต้องกินให้ข้าวต้องแบบครึ่งนึงเลย
00:26:46 → 00:26:50 อาจารย์เออคือจริงๆอ่ะก็อย่างที่บอกคือ
00:26:50 → 00:26:54 เอ่อสัดส่วนอาหารเนี่ยจะต้องเหมาะสมเรา
00:26:54 → 00:26:57 เราสามารถทานได้แหละแต่ว่าสัดส่วนน่ะต้อง
00:26:57 → 00:27:00 ต้องเหมาะสมไม่ใช่ว่าทานข้าวแบบครั้งจาน
00:27:00 → 00:27:03 นึงแบบ 3-4 ทับพีอะไรเงี้ยมันก็อาจจะเไม่
00:27:03 → 00:27:08 ใช่ใช่มั้ยคะอืก็จะ้า 1-2 ทับพีและข้าวก็
00:27:08 → 00:27:10 อาจจะเลือกเป็นข้าวที่เน้นว่าไม่ขัดสี
00:27:10 → 00:27:13 เพราะว่าข้าวที่ไม่ขัดสีเช่นพวกข้าวกล้อง
00:27:13 → 00:27:16 ข้าวซ้อมมือข้าวไรเบอร์รี่เงี้ยค่ะมันจะ
00:27:16 → 00:27:19 มีดัชนีน้ำตาลต่ำค่ะ
00:27:19 → 00:27:22 นหมายความว่าก็คือเมื่อเราทานไปแล้วเนี่ย
00:27:23 → 00:27:26 มันจะค่อยๆสูงระดับน้ำตาลจะค่อยๆสูงขึ้น
00:27:26 → 00:27:29 ในเลือดก็คือไม่ไม่ได้สูงขึ้นปูดปาดที
00:27:29 → 00:27:31 เดียวอะไรประมาณนี้ก็จะทำให้ลาน้ำตาล
00:27:31 → 00:27:33 เลือดเนี่ยไม่ค่อยสูงมากแล้วก็จะทำให้
00:27:33 → 00:27:36 อยู่ท้องเพราะว่ามันมีไฟเบอร์อ่ะเยอะถ้า
00:27:36 → 00:27:39 เทียบกับข้าวแล้วก็ถ้าเทียบกับข้าวเหนียว
00:27:39 → 00:27:41 อะไรประมาณนี้อาจารย์ข้าวเหนียวเนี่ยคือ
00:27:41 → 00:27:43 อะไรเนี่ยค่ะข้าวเหนียวประเด็นเลยเพราะ
00:27:43 → 00:27:46 ว่าเอ่อคือพี่นกเนี่ยเป็นคนที่แพ้ข้าว
00:27:46 → 00:27:49 เหนียวทานแล้วมันจะแบบมันไม่ได้เลยอ่ะมัน
00:27:49 → 00:27:52 มันเหมือนไม่ย่อยกินกับหมูปิ้งอร่อยจะตาย
00:27:52 → 00:27:54 พี่นกไม่ไม่ได้เลยมีความรู้สึกตัวเองเลย
00:27:54 → 00:27:59 ว่ามีภาวะเหมือนน้ำตาลน้ำตาลจะเยอะเลย
00:27:59 → 00:28:01 แล้วก็ไม่ไม่ได้เลยค่ะเป็นอาจารย์เป็นคน
00:28:01 → 00:28:03 ที่ปฏิเสธข้าวเหนียวทานข้าวเจ้าข้าว
00:28:03 → 00:28:06 เหนียวเป็นสิ่งที่เป็นข้าวที่ให้พลังงาน
00:28:06 → 00:28:09 เยอะมีน้ำตาลเยอะมั้ยคะอาจารย์อืใช่แล้ว
00:28:09 → 00:28:11 ก็มีมีเาเรียกว่ามีดัีเป็นข้าวที่มีดัชนี
00:28:12 → 00:28:15 น้ำตาลสูงก็หคว่าเมื่อเราทานเข้าไปเนี่ย
00:28:15 → 00:28:17 จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดของเราเนี่ยสูง
00:28:17 → 00:28:20 เมื่อเทียบกับข้าวขาวหรือว่าข้าวข้าวกแต่
00:28:20 → 00:28:22 คนน่ะชอบนะคะเพราะว่าเามองว่าข้าวเหนียว
00:28:22 → 00:28:26 อิ่มนานค่ะอาจารย์อืใช่อิ่มแต่ว่าอย่าง
00:28:26 → 00:28:28 อย่าลืมว่าเราก็ทานแบบ
00:28:28 → 00:28:31 เยอะยกตัวอย่างเช่นข้าวเหนียวประมาณซัก
00:28:31 → 00:28:34 ครึ่งทัพพีอย่างเงี้ยคจะเท่าจะให้พลังงาน
00:28:34 → 00:28:39 เท่ากับข้าวประมาณ 1 ทัพพีแต่ว่าครึ่งๆ
00:28:39 → 00:28:42 ใช่มากกว่าเลยดเวลาสมมุติเรากินเอ่อข้าว
00:28:42 → 00:28:45 เหนียวกับหมูปิ้งเนี่ยบางทีเราไม่ได้กิน
00:28:45 → 00:28:47 แค่แค่ห่อเดียวบางทีห่อนึงอาจจะเข้า
00:28:47 → 00:28:50 ประมาณแบบฝ่ามือใช่มคะเราก็แบบกินข้าว
00:28:50 → 00:28:52 เหนียวเยอะนั่นหมายความว่าเราก็ได้พลัง
00:28:52 → 00:28:57 งานเข้าไปเยอะมากน้ำตาลเยอะมากใช่นี้แ
00:28:57 → 00:29:00 สุขภาพเรานะคุณหมอขอให้ลด
00:29:00 → 00:29:03 ปริมาณเมื่อก่อน 10 บาทมันมันได้เยอะนะ
00:29:03 → 00:29:07 เดี๋ยวนี้มันใช่มันลงไปครึ่งนึงนะคุณหมอ
00:29:07 → 00:29:09 อันนี้เขาห่วงเขาอันนี้เขาห่วงเราใช่มั้ย
00:29:09 → 00:29:12 หรือว่าหรือเศรษฐกิจหนอทำให้เป็นเรื่อง
00:29:12 → 00:29:15 เรื่องเรื่องที่แบบว่าเอ่อเพลิดๆนนะใน
00:29:15 → 00:29:17 เรื่องของการกินข้าวเหนียวเนี่ยอาจารย์
00:29:18 → 00:29:20 ต้องต้องเตือนแล้วใช่มั้ยคะอาจารย์ว่า
00:29:20 → 00:29:23 เอ่อทานได้แต่อย่าอย่าไปเป็นหลักอย่าเอา
00:29:23 → 00:29:26 ข้าวเหนียวเป็นเป็นสรณะได้มั้ยคะอาจารย์
00:29:26 → 00:29:30 ใช่ค่ะก็คือก็คืออาจจะไม่ได้ทานทุกมื้อทา
00:29:30 → 00:29:33 บ่อยทากีนละปริมาณเยอะอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:29:33 → 00:29:35 แต่โอเคแบบอาทิตย์นึงอยากทานส้มตำในข้าว
00:29:35 → 00:29:38 เหนียวิ้งตำอะไรเงี้ยได้แต่ว่าถ้าเกิดว่า
00:29:38 → 00:29:41 เป็นแบบข้าวเหนียวหมูปิ้งทุกเช้าอะไร
00:29:41 → 00:29:44 เงี้ยก็อาจจะต้องระวังเพราะว่าจริงๆข้าว
00:29:44 → 00:29:45 เหนียวหมูกิ้งอาจจะใช่มีคนทานอย่างงี้
00:29:45 → 00:29:48 เยอะนะคะคิดว่าอสะดวกใช่มันมันสะดวกแล้ว
00:29:48 → 00:29:52 มันก็อร่อยเนาะแต่ว่าจริงๆมันมีน้ำตาลแฝง
00:29:52 → 00:29:56 ในหมูปิ้งเยอะมากอือหือไม่ว่าจะเป็นแบบ
00:29:56 → 00:29:59 ซอสที่หมักอะไรอย่างเงี้ยค่ะมันก็ให้พลัง
00:29:59 → 00:30:03 งานเยอะเหมือนกันที่เราทานเข้าไปอืออือ
00:30:03 → 00:30:07 ค่ะไม่รู้จะพูดยังไงพูดถึงเนี้พูดถึงเอ่อ
00:30:07 → 00:30:10 ปริมาณผมไม่อยากกินเลยตอนนี้ต้องพูดถึงไ
00:30:10 → 00:30:14 อาจารย์ผักครึ่งนึงอ่ะนายจานน่ะที่ที่ที่
00:30:14 → 00:30:17 ที่เราก็เราก็รู้กันอยู่ทุกคนเราก็แบบเออ
00:30:17 → 00:30:20 มันทำไม่ได้อาจารย์ผักก็ไม่ได้ว่าเอ่อจะ
00:30:20 → 00:30:22 หาได้ง่ายแล้วก็อย่างผักสลัดที่เราเห็น
00:30:22 → 00:30:26 น่ะขายเป็นต้นนะคะเป็นเป็นช่อช่อละ 30 40
00:30:26 → 00:30:27 บาทจ
00:30:27 → 00:30:32 มีีราคาแพงด้วยค่ะใช่ก็อย่างน้อยก็ถ้าไม่
00:30:32 → 00:30:37 ได้ทุกมื้อก็สักวันนึงมื้อนึงก็ยังอค่ะนะ
00:30:37 → 00:30:40 คะคุณผู้ฟังมีทางเลือกเสมอมีทางออกเสมอนะ
00:30:40 → 00:30:43 ไม่ใช่แในวันนึงขอผักบ้างแล้วกันเนาะอย่า
00:30:43 → 00:30:47 อย่าไปเน้นที่แป้งอย่าว่าจะอิ่มนานเออเรา
00:30:47 → 00:30:50 จะอยู่โอ้าจารย์นอกจากแป้งที่เราจะไม่ทาน
00:30:50 → 00:30:54 เมากเราทานพวกเอ่อนมถั่วเหลืองเราทานอะไร
00:30:54 → 00:30:57 ทดทดแทนที่เป็นโปรตีนได้ใช่มั้ยคะอาจารย์
00:30:57 → 00:31:00 ระดับรองลงมาที่ทำให้เราความรู้สึกว่าเออ
00:31:00 → 00:31:03 เราอิ่มอืทานได้แต่ว่าก็ต้องระวังอย่าง
00:31:03 → 00:31:06 ที่บอกคือถ้าสมมุติว่าเราทานนมถั่วเหลือง
00:31:06 → 00:31:11 ที่น้ตาลเยอะที่หวานอันนั้นก็แน่นอนมันก็
00:31:11 → 00:31:13 ไม่ดี
00:31:13 → 00:31:18 อ๋อก็ต้องดูที่ไม่มีน้ำตาลมากใช่เพราะว่า
00:31:18 → 00:31:21 จริงๆเนี่ยถ้าถ้าเราลองลองดูเวลาเราซื้อ
00:31:21 → 00:31:24 ของซื้ออาหารนะค่ะต่าเซเว่นหรืออะไรเงี้ย
00:31:24 → 00:31:28 ลองดูเอ่อฉลากโภชนาการที่ที่แปะเอาไว้
00:31:28 → 00:31:31 ข้างขวดหรือข้างถุงข้างซองอาหารเขาก็จะมี
00:31:31 → 00:31:35 บอกว่าเอ่อสมมุตินมขวดเนี้ยมีน้ำตาลอยู่
00:31:35 → 00:31:37 กี่กรัมอะไรอย่างเงี้ยเป็นต้นก็จะทำให้
00:31:37 → 00:31:41 เราสวว่าเอ๊ะมันเยอะเกินไปหรือเปล่าอะไร
00:31:41 → 00:31:46 ประมาณอือค่ะครับอ่ะคุณคุณหมอครับพี่นกฮะ
00:31:46 → 00:31:48 เอ่อมีคุณผู้ฟังสอบถามมาค่อนข้างเยอะนะ
00:31:49 → 00:31:52 ทางชองช่องทางไนเอ่อช่องทางไลฟ์ของเรานะ
00:31:52 → 00:31:54 ครับหน้าแฟนเพจของเรา MCOT News FM
00:31:54 → 00:31:57 100.5 นะครับก็มีสอบถามเข้ามานะคุณหมอ
00:31:57 → 00:32:00 อันนี้น่าสนใจเลยเอ่อคุณหมอเคยพูดถึงตับ
00:32:00 → 00:32:03 อ่อนใช่มั้ยเกี่ยวกับเบาหวานอินเออคุณผู้
00:32:04 → 00:32:07 ฟังก็เลยถามว่าอย่างเงี้ยเราต้องบำรุงตับ
00:32:07 → 00:32:10 อ่อนให้แข็งแรงด้วยหรือเปล่าครับอเพื่อ
00:32:10 → 00:32:15 เขาจะได้ผลิตอินซูลินอืคือการการดูแลอัน
00:32:15 → 00:32:17 นี้ก็คือจะแนะนำในเรื่องของการรับประทาน
00:32:17 → 00:32:20 อาหารมากกว่าเช่นเราก็อาจจะต้องรับประทาน
00:32:20 → 00:32:23 อาหารที่เอ่ออย่างที่บอกอ่ะค่ะรสหวานรส
00:32:23 → 00:32:26 มันรสเค็มคือถ้าเกิดว่าเราไม่ทานอาหารที่
00:32:26 → 00:32:29 หวานมากก็ตับอ่อนก็อาจจะไม่ต้องแบบพยายาม
00:32:29 → 00:32:32 สร้างอินซูรินออกมาเยอะเพื่อเอาระดับน้ำ
00:32:32 → 00:32:35 ตาลในเลือดเนี่ยลงแต่ว่าก็คไม่ได้มีแบบ
00:32:35 → 00:32:38 อาหารอะไรหรือว่าวิตามินหรืออาหารเสริม
00:32:38 → 00:32:40 อะไรที่เคลมว่าจะบำรุงตับอ่อนอะไรอย่าง
00:32:40 → 00:32:42 นั้นน่ะค่ะ
00:32:42 → 00:32:46 อืซึ่งมันไม่มีในการที่จะบรุงตอ่อนนั่น
00:32:46 → 00:32:51 เองไม่มีตัวไหนที่บ่งชี้ได้ชัดค่ะอืมันก็
00:32:51 → 00:32:53 เลยจำเป็นจะต้องไปดูเนตแนในเรื่องของ
00:32:53 → 00:32:58 อาหารที่เรากินนั่นแหละใช่ๆออออฮะสำคัญท
00:32:58 → 00:33:01 ดีนะคะอืใช่ครับมีคุณผู้ฟังถามเพิ่มเติม
00:33:01 → 00:33:03 ครับคุณหมอค่ะ
00:33:03 → 00:33:06 เอ่ออาจจะถามมาเป็นความรู้สักนิดหน่อยนะ
00:33:06 → 00:33:08 ฮะอาการเบาหวาน
00:33:08 → 00:33:12 เอ่อนี่ไม่ใช่อาการที่ร่างกายไม่สามารถ
00:33:12 → 00:33:15 ควบคุมระดับน้ำตาลได้ในเลือดอืใช่หรือไม่
00:33:16 → 00:33:17 ครับ
00:33:17 → 00:33:22 อือะไรนะคะขอขอเารอาการเบาหวานนี่ใช่
00:33:22 → 00:33:26 อาการที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับน้ำ
00:33:26 → 00:33:30 ตาลในเลือดใช่หรือไม่ครับอาการเบาหวานอ่า
00:33:30 → 00:33:34 ใช่อาการที่ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับ
00:33:34 → 00:33:37 น้ำตาลในเลือดอ๋ออันนี้ไม่แน่ใจว่าะคือ
00:33:37 → 00:33:41 อันอที่อาจารย์บอกคือโรคเบาหวานเอางี้ค
00:33:41 → 00:33:45 โรคเโรคที่มีระดับน้ำตาลในเลือดที่สูง
00:33:45 → 00:33:51 เกินอืเกิดจากความปกติของการหลังใช่
00:33:51 → 00:33:54 ฮอร์โมนอินซูลินฮอร์โมนอินซูลินน่ะมันไม่
00:33:54 → 00:33:57 ไม่เหมือนปกติมันไม่ปกติอืค่ะอืโรคเบา
00:33:57 → 00:34:00 หวานคือโรคที่มีระดับน้ำตาลในลวดที่สูง
00:34:00 → 00:34:04 ผิดปกติอแต่ครับอาจจะทำให้มีอาการหรือไม่
00:34:04 → 00:34:09 มีอาการก็ได้ใช่อืฮะเมื่อมีอีกครับอือๆ
00:34:09 → 00:34:12 ต่อค่ะถามต่อเนื่องเลยนะฮะอือ
00:34:12 → 00:34:16 เอ่อตัวพูคุณผู้ฟังถามมาว่าตัวเขาเนี่ย
00:34:16 → 00:34:19 ไม่ค่อยทานอาหารหลักลับอ้าเหรอแต่จะทาน
00:34:19 → 00:34:23 น้ำหวานอแต่จะทานน้ำหวานเป็นหลักแต่ทาน
00:34:23 → 00:34:26 น่าจะเป็นอาหารอาหารเอ่ออื่นอืแล้วก็น้ำ
00:34:26 → 00:34:29 หวานเป็นหลักนะนานๆจะได้ทานอาหารหลักสัก
00:34:29 → 00:34:32 ครั้งหนึงมีอยู่ครั้งนึงตื่นเช้ามาพบว่า
00:34:32 → 00:34:37 เพลียมากถึงไปตรวจน้ำตาลพบว่าต่ำกว่า 90
00:34:37 → 00:34:39 ถามว่านี่ใช่อาการของเบาหวานหรือเปล่า
00:34:39 → 00:34:44 ครับอุ้ยต่น้ำตาต่อาจารย์คะอืเอ๊ะทำไม
00:34:45 → 00:34:47 อย่างงั้นถ้าน้ำตาลต่ำถ้าน้ำตาลน้ำตาลไม่
00:34:47 → 00:34:51 สูงก็ณตอนนั้นอาจจะก็อาจจะบอกไม่ได้ว่า
00:34:51 → 00:34:55 เป็นเบาหวานแต่ว่าพฤติกรรมที่เค้าเรียก
00:34:55 → 00:34:59 น้ำตาลตกมั้ยคะอาจารย์ที่เราเจะทำให้เกิด
00:34:59 → 00:35:03 เบาหวานอ้อเหรอค่ะอาจารย์คือพี่นกอ่ะเป็น
00:35:03 → 00:35:06 อาการที่เค้าเรียกว่าช่วงนึงเนี่ยมือสั่น
00:35:06 → 00:35:08 อาจารย์เหมือนเช้าๆถ้าเราไม่ได้ทานอะไร
00:35:08 → 00:35:11 เข้าไปเ้าเรียกน้ำตาลตอย่างเงี้เหมือนคุณ
00:35:11 → 00:35:14 ผู้ฟังคนนี้มั้ยคะน้ำตาลตกเราต้องหาอะไร
00:35:14 → 00:35:17 ทานเข้าไปเลยอือคือถ้าเกิดว่ามันน้ำตาล
00:35:17 → 00:35:20 ระดับน้ำตาล 90 กว่าประมาณนี้มันก็ไม่ได้
00:35:20 → 00:35:22 ขึ้นมันก็ไม่ได้เรียกว่าระดับน้ำตาลตกถ้า
00:35:22 → 00:35:25 เกิดว่าระดับน้ำตาลในเลือดต่ำที่มีอาการ
00:35:25 → 00:35:29 เนี่ยค่ะมันก็ก็เอ่อเเบอกว่าอาจจะน้อย
00:35:29 → 00:35:31 กว่าในคนที่ไม่เป็นเบาหวานเนี่ยน้อยกว่า
00:35:31 → 00:35:34 50 แต่ถ้าในคนที่เป็นเบาหวานเนี่ยคือ
00:35:34 → 00:35:38 น้อยกว่า 70 ถึงจะเป็นบบว่าเป็นอถึงถึงจะ
00:35:38 → 00:35:43 บอกว่าน้ำตาตับออต้องน้อยกว่านั้นค่ะอื
00:35:43 → 00:35:47 เออมีคำถามนึงที่น่าสนใจเอ่อคุณหมอครับ
00:35:47 → 00:35:50 เวลาคุณผู้ฟังถามมาแหละแต่ผมผมผมผมสมมุติ
00:35:50 → 00:35:53 ให้เลยแล้วกันสมมุติเอ้ยทำไมเวลาเวลาที่
00:35:53 → 00:35:56 เราเอ่อทำงานเหนื่อยๆเพรียๆใช่รู้สึกหมด
00:35:56 → 00:35:58 เรี่ยวหมดอะไรแต่พอเติมน้ำตาลเข้าไปกิน
00:35:58 → 00:36:02 ช็อกโกแลตอ่ะหรือว่าซูดน้ำดื่มหวานๆเข้า
00:36:02 → 00:36:05 ไปสักอึ 2 อึกสักแก้วนึงเนี่ยอุ๊ยมันสด
00:36:05 → 00:36:08 ชื่นกระปี้กระเป่าจังเลยค่ะร่างกายมันมัน
00:36:08 → 00:36:11 กำลังต้องการเ้ารือเปล่าะต้องกอ๋อเพราะ
00:36:11 → 00:36:14 ว่าน้ำตามันก็เป็นเป็นเป็นตัวที่ให้พลัง
00:36:14 → 00:36:17 งานของเราอ่ะค่ะอือือฮึพลังงานในร่างกาย
00:36:17 → 00:36:19 แล้วก็ถ้าสมมุติว่าเป็นพวกเอ่อเครื่อง
00:36:19 → 00:36:22 ดื่มอะไรพวกเนี้ยก็ดื่มหวานๆหวานอะไร
00:36:22 → 00:36:25 เงี้ยมันเป็นมันเป็นน้ำตาลที่ดูดซึมได้
00:36:25 → 00:36:28 เร็วพอกินเข้าไปปึอเอ่อลำไส้ดูดซึมปึ๊บ
00:36:28 → 00:36:30 มันก็รู้สึกสดชื่นเพราะว่าเหมือนร่างกาย
00:36:30 → 00:36:34 ได้ได้พลังงานเพิ่มขึ้นค่ะ
00:36:34 → 00:36:37 อืมันเป็นเพราะการดูดซึมที่มันรวดเร็ว
00:36:37 → 00:36:41 กว่าสารอาหารอื่นๆที่ร่างกายเอาไปใช้งาน
00:36:41 → 00:36:47 ใชมันใช้ได้เร็วอืแต่ก็มันจินจินแบบพอให้
00:36:47 → 00:36:51 ฟื้นตัวเนี่ยพอพอได้นะอือย่าไปทำบ่อยมั้ย
00:36:51 → 00:36:55 คะอาจารย์อใช่ๆก็คืออย่าบ่อยอย่างที่บอกแ
00:36:55 → 00:36:57 น้ำอัดลมทุกวันทุกวันทุกวันอะไรอย่าง
00:36:57 → 00:37:01 เงี้ยมันก็น้ำตาลมันก็เยอะมากอันนั้นก็
00:37:01 → 00:37:03 อาจจะอาจจะไม่ควรอือันนั้นกลายเป็นเหมือน
00:37:03 → 00:37:06 หลอกตัวเองมหลอกว่าเอ้ยต้องกินแล้วมันจะ
00:37:06 → 00:37:09 สดชื่นนะเหมือนใช่บางทีบางคนจะมีอาการที่
00:37:09 → 00:37:13 แบบติดรสชาติหวานคือฉันต้องกินหอย่าง
00:37:13 → 00:37:15 เงี้ยอันนี้ก็ก็อาจจะมีความเสี่ยงเพิ่ม
00:37:15 → 00:37:17 ขึ้นในการเป็นเบาหวานเพราะว่าจะต้องกิน
00:37:17 → 00:37:21 หวานตลอดหรือกินทุกวันกินเอออาจารย์คะใน
00:37:21 → 00:37:23 สถานการณ์เบาหวานในช่วงสุดท้ายนี้อยากให้
00:37:23 → 00:37:27 อาจารย์เอ่อสรุปให้ว่าเออคนในวัยทำงาน
00:37:27 → 00:37:30 เนี่ยเป็นเบาหวันกันเพิ่มมากขึ้นยังไงมัน
00:37:30 → 00:37:34 มีข้อที่ต้องเอ่อต้องเฝ้าระวังแล้วก็ควร
00:37:34 → 00:37:38 จะให้มันลดลงมากน้อยแค่ไหนคะอาจารย์อืค่ะ
00:37:38 → 00:37:42 ในในปัจจุบันเนี่ยข้อมูลไม่ใช่แต่ใน
00:37:42 → 00:37:45 ประเทศไทยอย่างเดียวนะคะทั่วโลกเลยเราพบ
00:37:45 → 00:37:49 ว่าในคนที่คนวัยทำงานอายุน้อยๆนี่แหละ
00:37:49 → 00:37:52 เป็นเบาหวานเพิ่มขึ้นเพราะอะไรก็อย่างที่
00:37:52 → 00:37:56 บอกคือไลฟ์สไตล์ในการดำเนินชีวิตอาหารการ
00:37:56 → 00:37:57 กิน
00:37:57 → 00:38:01 ภาวะอ้วนด้วยเดี๋ยวนี้คนแบบคนอ้วนเยอะก็
00:38:01 → 00:38:03 เป็นภาวะทั้งหมดที่ส่งเสริมทำให้เกิดเบา
00:38:03 → 00:38:05 หวานได้เยอะขึ้น
00:38:05 → 00:38:10 อเอ่อเราต้องก็มีการประเมินความเสี่ยงใช่
00:38:10 → 00:38:13 มว่าจะจากอายุจากอ่าน้ำหนักตัวจาก
00:38:13 → 00:38:17 พฤติกรรมการกินอย่างเงี้ยคือสมมุติว่าเรา
00:38:17 → 00:38:19 เรามีความเสี่ยงหรือเราเป็นกลุ่มเสี่ยง
00:38:19 → 00:38:22 เงี้ยก็อาจจะต้องตรวจเร็วขึ้นอตรวจร่าง
00:38:22 → 00:38:25 กายเอ่อประจำปีหรือว่ามีการตรวจเช็คปรยา
00:38:25 → 00:38:28 เพื่อดูว่าเอ๊ะเราเป็นเบาหวานหรือเปล่า
00:38:28 → 00:38:31 หรือว่ามีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน
00:38:31 → 00:38:34 การออกกำลังกายให้ดีขึ้นเพื่อที่จะได้หลด
00:38:34 → 00:38:37 ความเสี่ยงของการเกิดโรคเบาหวานค่ะอืแล้ว
00:38:37 → 00:38:40 เคเคสามารถหายได้ใช่มั้ยคะอาจารย์ถ้าเรา
00:38:40 → 00:38:44 ปรับพฤติกรรมอืก็ถ้าปรับพฤติกรรมอย่างที่
00:38:44 → 00:38:47 บอกคือถ้าคนที่ยังไม่เป็นเบาหวานก็โอกาส
00:38:47 → 00:38:51 ที่จะเป็นก็จะน้อยลงแต่ถ้าเกิดคนที่คนที่
00:38:51 → 00:38:55 เป็นอยู่แล้วโอกาสเอ่อจะไม่เรียกว่าหาย
00:38:55 → 00:38:59 ขาดเราจะเรียกว่าาสงบสงบอือใช่อือเก็อาจ
00:38:59 → 00:39:03 จะมีช่วงที่แบบโอเคน้ำตาลดีไม่ต้องทานยา
00:39:03 → 00:39:05 อะไรอย่าเงี้ยแต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเขาต้อง
00:39:05 → 00:39:09 เอ่อปรับพฤติกรรมหรือว่าใช้ใช้การควบคุม
00:39:09 → 00:39:12 อาหารออกกำลังกายพฤติกรรมดีควบคู่ไปด้วย
00:39:12 → 00:39:15 ค่ะก็คือตรวจเลือดแล้วก็ระมัดระวังตัวเอง
00:39:15 → 00:39:18 นะคะไม่เป็นเบาหวานแล้วก็จะไม่นำไปสู่โรค
00:39:18 → 00:39:21 ร้ายแรงอื่นๆโรคไต้โรคอะไรก็ไม่ถามหาใช่
00:39:21 → 00:39:25 ใช่ค่ะค่ะในช่วงนี้ก็ขอขอบพระคุณอาจารย์
00:39:25 → 00:39:28 มากนะคะโอกาสหนเราจะเชิญอาจารย์มาให้ความ
00:39:28 → 00:39:31 รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้เพราะว่าเป็นโรคที่
00:39:31 → 00:39:34 ใกล้ชิดกับพวกเราในวัยทำงานในวัยสูงวัย
00:39:34 → 00:39:37 หรือแทบทุกคนทั้งนั้นเลยนะคะเรื่องของเบา
00:39:37 → 00:39:39 หวานขอบพระคุณมากค่ะอาจารย์คะสวัสดีค่ะ
00:39:39 → 00:39:44 ขอบคุณครับคุณหมอครับสวัสดีครับสวัสดีค่ะ