00:00:02 → 00:00:13 [เพลง]
00:00:14 → 00:00:17 สำหรับวันนี้นะคะเราจะมารู้จักโรคนิ่วใน
00:00:17 → 00:00:20 ถุงน้ำดีกันหลายคนค่ะอาจจะไม่ได้สนใจว่า
00:00:20 → 00:00:22 โรคนี้มีความเกี่ยวข้องกับตัวเองอย่างไร
00:00:22 → 00:00:25 แต่เชื่อไหคะว่าการที่คุณผู้ชมค่ะมีท้อง
00:00:25 → 00:00:28 อืดท้องเฟ้อนะคะหรือว่าเวลาที่รับประทาน
00:00:28 → 00:00:31 อาหารไขมันแล้วรู้สึกท้องคุณอาจจะมี
00:00:31 → 00:00:34 เรื่องของโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้ไปติดตาม
00:00:34 → 00:00:37 พร้อมๆกันค่ะความเสี่ยงโรคนิ่วในถุงน้ำดี
00:00:37 → 00:00:40 มักจะมาพร้อมกับไขมันและความอ้วนโรคนิ่ว
00:00:40 → 00:00:43 ในถุงน้ำดีเคยพบได้มากในผู้ที่อายุมาก
00:00:43 → 00:00:46 กว่า 40 ปีขึ้นไปแต่ปัจจุบันมีแนวโน้มพบ
00:00:46 → 00:00:49 ได้มากขึ้นตั้งแต่อายุน้อยๆโดยพบในผู้
00:00:49 → 00:00:52 หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่าปัจจัยเสี่ยง
00:00:52 → 00:00:55 สำคัญของโรคนี้เกิดจากความอ้วนและ
00:00:55 → 00:00:58 พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่มีไขมันและ
00:00:58 → 00:01:01 คอเลสเตอรอลสูงทำให้น้ำดีไม่สามารถช่วย
00:01:01 → 00:01:03 ย่อยอาหารกลุ่มไขมันและโคเลสเตอรอลที่สูง
00:01:03 → 00:01:06 เหล่านี้ได้หมดจึงเกิดการสะสมกลายเป็น
00:01:06 → 00:01:09 นิ่วขึ้นมาได้ดังนั้นพฤติกรรมชอบรับ
00:01:09 → 00:01:12 ประทานอาหารไขมันสูงเป็นประจำโดยเฉพาะของ
00:01:12 → 00:01:16 ทอดของปิ้งย่างเช่นหมูกระทะชาบูอาจส่งผล
00:01:16 → 00:01:19 ให้ความสมดุลของน้ำดีเสียไปเกิดก้อนผลึก
00:01:19 → 00:01:22 ขึ้นในถุงน้ำดีเกิดเป็นนิ่วในถุงน้ำดี
00:01:22 → 00:01:25 ขึ้นได้โรคนิ่วในถุงน้ำดีเป็นโรคในระบบ
00:01:25 → 00:01:28 ทางเดินน้ำดีที่พบได้บ่อยที่สุดโดยลักษณะ
00:01:28 → 00:01:32 นิ่วมี 3 ประประได้แก่่นิจากคอเลสเตอรอล
00:01:32 → 00:01:35 อาจเป็นสีเหลืองขาวเขียวเกิดจากการตก
00:01:35 → 00:01:38 ตะกอนไขมันเนื่องจากโคเลสเตอรอลเพิ่มมาก
00:01:38 → 00:01:42 ขึ้นในถุงน้ำดีนิ่วจากเม็ดสีอาจเป็นสี
00:01:42 → 00:01:45 คล้ำดำเกิดจากความผิดปกติของเลือดโลหิต
00:01:45 → 00:01:50 จ้างตับแข็งนิ้วโคลนเป็นลักษณะคล้ายโคลน
00:01:50 → 00:01:53 เหนียวหนืดเกิดจากการติดเชื้อใกล้ตับท่อ
00:01:53 → 00:01:57 น้ำดีตับอ่อนแล้วมีพฤติกรรมอะไรบ้างที่ทำ
00:01:57 → 00:02:00 ให้เสี่ยงการเป็นโรคนิ่วในุเหมือนดีคนที่
00:02:01 → 00:02:03 ชอบรับประทานอาหารที่มีไขมันอาหาร
00:02:03 → 00:02:06 คอเลสเตอรอลสูงพฤติกรรมรับประทานอาหาร
00:02:06 → 00:02:10 ประเภทกากใหญ่ไม่เพียงพอกินผักผลไม้น้อย
00:02:10 → 00:02:13 ผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดเป็นประจำ
00:02:13 → 00:02:16 จะเสี่ยงต่อการมีนิ่้วในถุงน้ำดีเนื่อง
00:02:16 → 00:02:19 จากฮอร์โมนเพชรหญิงที่ได้รับเพิ่มจากยา
00:02:19 → 00:02:20 อาจกระตุ้นการเพิ่มคล้องปริมาณ
00:02:20 → 00:02:24 คอเลสเตอรอลในน้ำดีส่งผลให้เกิดการตกตะกอ
00:02:24 → 00:02:28 กลายเป็นก้อนนิ่วได้ง่ายการรับประทานยาลด
00:02:28 → 00:02:31 ไขมันบางชนิดคนที่เร่งลดน้ำหนักเพราะจะทำ
00:02:31 → 00:02:35 ให้ตับมีการหลั่งของคอเลสเตอรอลออกมามาก
00:02:35 → 00:02:38 ขึ้นส่วนถุงน้ำดีก็จะบีบตัวน้อยลงดังนั้น
00:02:38 → 00:02:41 จึงมีน้ำดีค้างอยู่ในถุงน้ำดีมากขึ้นและ
00:02:41 → 00:02:45 นานขึ้นมีโอกาสตกตะกอนจับตัวกันมากขึ้น
00:02:45 → 00:02:48 ตามไปด้วยโดยพฤติกรรมเหล่านี้อาจไปเพิ่ม
00:02:48 → 00:02:50 ปริมาณของโคเลสเตอรอลหรือบิลี่รูบินในน้ำ
00:02:50 → 00:02:54 ดีทำให้มีสัดส่วนที่สูงกว่าปกติและปัจจัย
00:02:54 → 00:02:56 บางส่วนก็ทำให้ถุงน้ำดีบีบขับน้ำดีได้
00:02:56 → 00:02:59 น้อยลงทำให้น้ำดีค้างค้างและจับเป็นเป็น
00:02:59 → 00:03:03 ผลึกนิ่วใครคือกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคนิ่วใน
00:03:03 → 00:03:05 ถุงน้ำดีนอกจากพฤติกรรมที่เพิ่มความ
00:03:06 → 00:03:08 เสี่ยงให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดีแล้วยังมี
00:03:08 → 00:03:10 ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆดังต่อไปนี้ที่อาจ
00:03:10 → 00:03:13 เสี่ยงต่อการมีนิ่วในถุงน้ำดีเพิ่มขึ้น
00:03:13 → 00:03:17 ได้เช่นผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากผู้ที่มี
00:03:17 → 00:03:20 อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปหลายคนอาจสงสัย
00:03:20 → 00:03:24 ว่าทำไมนิ่วในถุงน้ำดีพบมากในผู้หญิงโดย
00:03:24 → 00:03:27 เฉพาะผู้หญิงวัย 40 ปีนั่นเป็นเพราะ
00:03:27 → 00:03:30 ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีส่วนทำให้โคเลสเตอรอล
00:03:30 → 00:03:34 ในน้ำดีสูงขึ้นเพศหญิงมีโอกาสเป็นมากกว่า
00:03:34 → 00:03:36 เพศชายเนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนและการ
00:03:36 → 00:03:39 ตั้งครรภ์มีผลต่อการเพิ่มปริมาณ
00:03:39 → 00:03:41 คอเลสเตอรอลและลดการเคลื่อนตัวของถุงน้ำ
00:03:41 → 00:03:44 ดีทำให้เป็นนิ่วได้ง่ายขึ้นผู้ป่วยโรค
00:03:44 → 00:03:47 เลือดบางชนิดที่มีการแตกตัวของเมลแดงเร็ว
00:03:47 → 00:03:51 กว่าปกติเช่นโรคซีเมียผู้ป่วยโรคเบาหวาน
00:03:51 → 00:03:54 เพราะถุงน้ำดีจะมีการบีบตัวน้อยลงในผู้
00:03:54 → 00:03:58 ที่มีน้ำตาลในเลือดสูงกรพันธ์โดยเฉพาะผู้
00:03:58 → 00:04:00 ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนิ่วใน
00:04:00 → 00:04:04 ถุงน้ำดีมาก่อนอาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดี
00:04:04 → 00:04:07 สังเกตได้ดังนี้อาการในช่วงแรกถ้ายังไม่
00:04:07 → 00:04:11 รุนแรงมากมักจะเกิดขึ้นเป็นระยะๆะโดย
00:04:11 → 00:04:14 เฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รับประทานอาหาร
00:04:14 → 00:04:16 ที่มีไขมันสูงเข้าไปซึ่งจะไปกระตุ้นให้
00:04:16 → 00:04:20 เกิดอาการบวมตึงในถุงเพราะการคั่งของของ
00:04:20 → 00:04:24 เหลวมีลักษณะอาการที่สังเกตได้ดังนี้ท้อง
00:04:24 → 00:04:28 อืดท้องเฟ้อเหมือนมีลมอยู่ข้างในข้อ
00:04:28 → 00:04:31 สังเกตคือมักจะมีอาการหลังรับประทานอาหาร
00:04:31 → 00:04:34 มันๆหรือช่วงเวลากลางคืนและมักจะเป็นอยู่
00:04:34 → 00:04:37 1-2 ชั่วโมงก็หายและขณะมีอาการผู้ป่วยจะ
00:04:37 → 00:04:41 ยังพอขยับตัวได้แน่นท้องหลังรับประทาน
00:04:41 → 00:04:43 อาหารโดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารที่มีไข
00:04:43 → 00:04:47 มันมากปวดท้องข้างขวาหรือใต้ชายโครงขวา
00:04:47 → 00:04:51 เป็นครั้งเป็นคราวปวดท้องข้างขวาอย่าง
00:04:51 → 00:04:54 รุนแรงและมักจะปวดร้าวไปถึงสะบักด้านขวา
00:04:54 → 00:04:58 ร่วมด้วยมีไข้สูงเฉียบพลันในกรณีที่มีการ
00:04:58 → 00:05:02 อักเสบของถุงน้ำดีอย่างเฉียบพลันคลื่นไส้
00:05:02 → 00:05:06 อาเจียนตัวเหลืองตาเหลืองปัสสาวะมีสีเข้ม
00:05:06 → 00:05:10 อุจจาระมีสีซีดลงเนื่องจากลำไส้ขาดน้ำดี
00:05:10 → 00:05:12 อย่างไรก็ตามคนที่มีนิ่วในถุงน้ำดีอาจไม่
00:05:13 → 00:05:15 มีอาการแสดงข้างต้นเพราะอาจมีก้อนนิ่ที่
00:05:15 → 00:05:18 เล็กหรือฝังตัวอยู่ลึกในก้นถูกน้ำดีก็
00:05:18 → 00:05:21 เป็นได้ค่ะแต่หากก้นนิ่วออกมาอุดกั้น
00:05:21 → 00:05:25 บริเวณท่อน้ำดีอาการแสดงจะค่อนข้างชัด
00:05:25 → 00:05:28 เช่นมีอาการปวดท้องเฉียบพลันและรุนแรงปวด
00:05:28 → 00:05:31 ท้องในลักษณะปวดปดบิดเกรงโดยแต่ละครั้งจะ
00:05:31 → 00:05:35 มีอาการปวดนานประมาณ 15-30 นาทีหรือนาน
00:05:35 → 00:05:39 กว่า 2-6 ชมเลยก็ได้แต่อาการปวดท้อง
00:05:39 → 00:05:42 เนื่องจากนิ่วในถุงน้ำดีจะเป็นๆหายๆมัก
00:05:42 → 00:05:45 ไม่ใช่อาการปวดท้องทุกวันจะตรวจพบว่ามี
00:05:45 → 00:05:48 นิ่วก็ต่อเมื่ออันซาวทั้งนี้ก้อนนิ่้วที่
00:05:48 → 00:05:51 ตกตะกอนอาจมีขนาดเล็กเท่าเมดทรายหรือใหญ่
00:05:51 → 00:05:54 เท่าลูกกอล์ฟจำนวนมีได้ตั้งแต่ 1 ก้อนไป
00:05:54 → 00:05:57 จนถึงหลายร้อยก้อนก็ได้หากมีขนาดใหญ่อาจ
00:05:57 → 00:06:01 เป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดม็เรงถุงน้ำดีได้
00:06:01 → 00:06:04 ทั้งนี้ค่ะหลายคนอาจจะเคยได้ยินเสียงข่าว
00:06:04 → 00:06:08 ลืมอค่ะว่าการรับประทานชานมไขมุก 2-3
00:06:08 → 00:06:11 แก้วต่อวันต่อเนื่องกันจะทำให้เสี่ยงเป็น
00:06:11 → 00:06:14 โรคนิ่วในถุงน้ำดีซึ่งตรงนี้ค่ะกระทรวง
00:06:14 → 00:06:18 สาธารณสุขค่ะได้มีข้อความออกมาแถลงโดยที่
00:06:18 → 00:06:22 บอกว่าข้อมูลนี้มีความบิดเบือนค่ะกรณีที่
00:06:22 → 00:06:25 มีการส่งต่อข้อมูลว่าการรับประทานชานมไข่
00:06:25 → 00:06:29 มุกวันละ 2-3 แก้วเป็นระยะเวลานานทำให้
00:06:29 → 00:06:31 เป็นนิ้วในถุงน้ำดีนั้นทางกรมอนามัย
00:06:31 → 00:06:35 กระทรวงสาธารณสุขได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้
00:06:35 → 00:06:38 แจงว่าชานมไข่มุกและน้ำหวานอาจไม่ได้เป็น
00:06:38 → 00:06:42 สาเหตุโดยตรงเพราะว่าโรคนิ่วนั้นมาจาก
00:06:42 → 00:06:45 หลายสาเหตุซึ่งอาหารและเครื่องดื่มจะเป็น
00:06:45 → 00:06:48 ส่วนหนึ่งหรือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำ
00:06:48 → 00:06:51 ให้เกิดโรคได้มากขึ้นโดยเฉพาะอาหารทอด
00:06:51 → 00:06:55 อาหารมันอาหารหวานจำพวกที่มีไขมันสูงซึ่ง
00:06:55 → 00:06:58 อาหารจำพวกนี้มีส่วนประกอบที่ทำให้เกิด
00:06:58 → 00:07:00 ภาวะน้ำหนักเก
00:07:00 → 00:07:03 หรือโรคอ้วนโดยคนอ้วนจะมีโอกาสเกิดนิ่้ว
00:07:03 → 00:07:05 จากคอเลสเตอรอลได้มากขึ้นเนื่องจาก
00:07:05 → 00:07:08 คอเลสเตอรอลเพิ่มมากขึ้นในถุงน้ำดีแต่การ
00:07:08 → 00:07:13 บีบตัวของถุงน้ำดีลดลงขอบคุณนะคะสำหรับ
00:07:13 → 00:07:16 การรับชมรายการ TNN Health ค่ะและอย่า
00:07:16 → 00:07:19 ลืมค่ะกด Subscribe กดดไลคกดแชร์ในทุก
00:07:19 → 00:07:23 ช่องทางออนไลน์์ของ TNN ช่อง 16 ค่ะเพื่อ
00:07:23 → 00:07:26 ที่จะไม่พลาดการรับชมรายการสดคลิปวดีโอ
00:07:26 → 00:07:32 ที่น่าสนใจของทาง TNN นะคะ y
00:00:02 → 00:00:13 [เพลง]
00:00:14 → 00:00:17 สำหรับวันนี้นะคะเราจะมารู้จักโรคนิ่วใน
00:00:17 → 00:00:20 ถุงน้ำดีกันหลายคนค่ะอาจจะไม่ได้สนใจว่า
00:00:20 → 00:00:22 โรคนี้มีความเกี่ยวข้องกับตัวเองอย่างไร
00:00:22 → 00:00:25 แต่เชื่อไหคะว่าการที่คุณผู้ชมค่ะมีท้อง
00:00:25 → 00:00:28 อืดท้องเฟ้อนะคะหรือว่าเวลาที่รับประทาน
00:00:28 → 00:00:31 อาหารไขมันแล้วรู้สึกท้องคุณอาจจะมี
00:00:31 → 00:00:34 เรื่องของโรคนิ่วในถุงน้ำดีได้ไปติดตาม
00:00:34 → 00:00:37 พร้อมๆกันค่ะความเสี่ยงโรคนิ่วในถุงน้ำดี
00:00:37 → 00:00:40 มักจะมาพร้อมกับไขมันและความอ้วนโรคนิ่ว
00:00:40 → 00:00:43 ในถุงน้ำดีเคยพบได้มากในผู้ที่อายุมาก
00:00:43 → 00:00:46 กว่า 40 ปีขึ้นไปแต่ปัจจุบันมีแนวโน้มพบ
00:00:46 → 00:00:49 ได้มากขึ้นตั้งแต่อายุน้อยๆโดยพบในผู้
00:00:49 → 00:00:52 หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 2 เท่าปัจจัยเสี่ยง
00:00:52 → 00:00:55 สำคัญของโรคนี้เกิดจากความอ้วนและ
00:00:55 → 00:00:58 พฤติกรรมการรับประทานอาหารที่มีไขมันและ
00:00:58 → 00:01:01 คอเลสเตอรอลสูงทำให้น้ำดีไม่สามารถช่วย
00:01:01 → 00:01:03 ย่อยอาหารกลุ่มไขมันและโคเลสเตอรอลที่สูง
00:01:03 → 00:01:06 เหล่านี้ได้หมดจึงเกิดการสะสมกลายเป็น
00:01:06 → 00:01:09 นิ่วขึ้นมาได้ดังนั้นพฤติกรรมชอบรับ
00:01:09 → 00:01:12 ประทานอาหารไขมันสูงเป็นประจำโดยเฉพาะของ
00:01:12 → 00:01:16 ทอดของปิ้งย่างเช่นหมูกระทะชาบูอาจส่งผล
00:01:16 → 00:01:19 ให้ความสมดุลของน้ำดีเสียไปเกิดก้อนผลึก
00:01:19 → 00:01:22 ขึ้นในถุงน้ำดีเกิดเป็นนิ่วในถุงน้ำดี
00:01:22 → 00:01:25 ขึ้นได้โรคนิ่วในถุงน้ำดีเป็นโรคในระบบ
00:01:25 → 00:01:28 ทางเดินน้ำดีที่พบได้บ่อยที่สุดโดยลักษณะ
00:01:28 → 00:01:32 นิ่วมี 3 ประประได้แก่่นิจากคอเลสเตอรอล
00:01:32 → 00:01:35 อาจเป็นสีเหลืองขาวเขียวเกิดจากการตก
00:01:35 → 00:01:38 ตะกอนไขมันเนื่องจากโคเลสเตอรอลเพิ่มมาก
00:01:38 → 00:01:42 ขึ้นในถุงน้ำดีนิ่วจากเม็ดสีอาจเป็นสี
00:01:42 → 00:01:45 คล้ำดำเกิดจากความผิดปกติของเลือดโลหิต
00:01:45 → 00:01:50 จ้างตับแข็งนิ้วโคลนเป็นลักษณะคล้ายโคลน
00:01:50 → 00:01:53 เหนียวหนืดเกิดจากการติดเชื้อใกล้ตับท่อ
00:01:53 → 00:01:57 น้ำดีตับอ่อนแล้วมีพฤติกรรมอะไรบ้างที่ทำ
00:01:57 → 00:02:00 ให้เสี่ยงการเป็นโรคนิ่วในุเหมือนดีคนที่
00:02:01 → 00:02:03 ชอบรับประทานอาหารที่มีไขมันอาหาร
00:02:03 → 00:02:06 คอเลสเตอรอลสูงพฤติกรรมรับประทานอาหาร
00:02:06 → 00:02:10 ประเภทกากใหญ่ไม่เพียงพอกินผักผลไม้น้อย
00:02:10 → 00:02:13 ผู้หญิงที่รับประทานยาคุมกำเนิดเป็นประจำ
00:02:13 → 00:02:16 จะเสี่ยงต่อการมีนิ่้วในถุงน้ำดีเนื่อง
00:02:16 → 00:02:19 จากฮอร์โมนเพชรหญิงที่ได้รับเพิ่มจากยา
00:02:19 → 00:02:20 อาจกระตุ้นการเพิ่มคล้องปริมาณ
00:02:20 → 00:02:24 คอเลสเตอรอลในน้ำดีส่งผลให้เกิดการตกตะกอ
00:02:24 → 00:02:28 กลายเป็นก้อนนิ่วได้ง่ายการรับประทานยาลด
00:02:28 → 00:02:31 ไขมันบางชนิดคนที่เร่งลดน้ำหนักเพราะจะทำ
00:02:31 → 00:02:35 ให้ตับมีการหลั่งของคอเลสเตอรอลออกมามาก
00:02:35 → 00:02:38 ขึ้นส่วนถุงน้ำดีก็จะบีบตัวน้อยลงดังนั้น
00:02:38 → 00:02:41 จึงมีน้ำดีค้างอยู่ในถุงน้ำดีมากขึ้นและ
00:02:41 → 00:02:45 นานขึ้นมีโอกาสตกตะกอนจับตัวกันมากขึ้น
00:02:45 → 00:02:48 ตามไปด้วยโดยพฤติกรรมเหล่านี้อาจไปเพิ่ม
00:02:48 → 00:02:50 ปริมาณของโคเลสเตอรอลหรือบิลี่รูบินในน้ำ
00:02:50 → 00:02:54 ดีทำให้มีสัดส่วนที่สูงกว่าปกติและปัจจัย
00:02:54 → 00:02:56 บางส่วนก็ทำให้ถุงน้ำดีบีบขับน้ำดีได้
00:02:56 → 00:02:59 น้อยลงทำให้น้ำดีค้างค้างและจับเป็นเป็น
00:02:59 → 00:03:03 ผลึกนิ่วใครคือกลุ่มเสี่ยงเป็นโรคนิ่วใน
00:03:03 → 00:03:05 ถุงน้ำดีนอกจากพฤติกรรมที่เพิ่มความ
00:03:06 → 00:03:08 เสี่ยงให้เกิดนิ่วในถุงน้ำดีแล้วยังมี
00:03:08 → 00:03:10 ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆดังต่อไปนี้ที่อาจ
00:03:10 → 00:03:13 เสี่ยงต่อการมีนิ่วในถุงน้ำดีเพิ่มขึ้น
00:03:13 → 00:03:17 ได้เช่นผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากผู้ที่มี
00:03:17 → 00:03:20 อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปหลายคนอาจสงสัย
00:03:20 → 00:03:24 ว่าทำไมนิ่วในถุงน้ำดีพบมากในผู้หญิงโดย
00:03:24 → 00:03:27 เฉพาะผู้หญิงวัย 40 ปีนั่นเป็นเพราะ
00:03:27 → 00:03:30 ฮอร์โมนเอสโตรเจนมีส่วนทำให้โคเลสเตอรอล
00:03:30 → 00:03:34 ในน้ำดีสูงขึ้นเพศหญิงมีโอกาสเป็นมากกว่า
00:03:34 → 00:03:36 เพศชายเนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนและการ
00:03:36 → 00:03:39 ตั้งครรภ์มีผลต่อการเพิ่มปริมาณ
00:03:39 → 00:03:41 คอเลสเตอรอลและลดการเคลื่อนตัวของถุงน้ำ
00:03:41 → 00:03:44 ดีทำให้เป็นนิ่วได้ง่ายขึ้นผู้ป่วยโรค
00:03:44 → 00:03:47 เลือดบางชนิดที่มีการแตกตัวของเมลแดงเร็ว
00:03:47 → 00:03:51 กว่าปกติเช่นโรคซีเมียผู้ป่วยโรคเบาหวาน
00:03:51 → 00:03:54 เพราะถุงน้ำดีจะมีการบีบตัวน้อยลงในผู้
00:03:54 → 00:03:58 ที่มีน้ำตาลในเลือดสูงกรพันธ์โดยเฉพาะผู้
00:03:58 → 00:04:00 ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนิ่วใน
00:04:00 → 00:04:04 ถุงน้ำดีมาก่อนอาการของโรคนิ่วในถุงน้ำดี
00:04:04 → 00:04:07 สังเกตได้ดังนี้อาการในช่วงแรกถ้ายังไม่
00:04:07 → 00:04:11 รุนแรงมากมักจะเกิดขึ้นเป็นระยะๆะโดย
00:04:11 → 00:04:14 เฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รับประทานอาหาร
00:04:14 → 00:04:16 ที่มีไขมันสูงเข้าไปซึ่งจะไปกระตุ้นให้
00:04:16 → 00:04:20 เกิดอาการบวมตึงในถุงเพราะการคั่งของของ
00:04:20 → 00:04:24 เหลวมีลักษณะอาการที่สังเกตได้ดังนี้ท้อง
00:04:24 → 00:04:28 อืดท้องเฟ้อเหมือนมีลมอยู่ข้างในข้อ
00:04:28 → 00:04:31 สังเกตคือมักจะมีอาการหลังรับประทานอาหาร
00:04:31 → 00:04:34 มันๆหรือช่วงเวลากลางคืนและมักจะเป็นอยู่
00:04:34 → 00:04:37 1-2 ชั่วโมงก็หายและขณะมีอาการผู้ป่วยจะ
00:04:37 → 00:04:41 ยังพอขยับตัวได้แน่นท้องหลังรับประทาน
00:04:41 → 00:04:43 อาหารโดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารที่มีไข
00:04:43 → 00:04:47 มันมากปวดท้องข้างขวาหรือใต้ชายโครงขวา
00:04:47 → 00:04:51 เป็นครั้งเป็นคราวปวดท้องข้างขวาอย่าง
00:04:51 → 00:04:54 รุนแรงและมักจะปวดร้าวไปถึงสะบักด้านขวา
00:04:54 → 00:04:58 ร่วมด้วยมีไข้สูงเฉียบพลันในกรณีที่มีการ
00:04:58 → 00:05:02 อักเสบของถุงน้ำดีอย่างเฉียบพลันคลื่นไส้
00:05:02 → 00:05:06 อาเจียนตัวเหลืองตาเหลืองปัสสาวะมีสีเข้ม
00:05:06 → 00:05:10 อุจจาระมีสีซีดลงเนื่องจากลำไส้ขาดน้ำดี
00:05:10 → 00:05:12 อย่างไรก็ตามคนที่มีนิ่วในถุงน้ำดีอาจไม่
00:05:13 → 00:05:15 มีอาการแสดงข้างต้นเพราะอาจมีก้อนนิ่ที่
00:05:15 → 00:05:18 เล็กหรือฝังตัวอยู่ลึกในก้นถูกน้ำดีก็
00:05:18 → 00:05:21 เป็นได้ค่ะแต่หากก้นนิ่วออกมาอุดกั้น
00:05:21 → 00:05:25 บริเวณท่อน้ำดีอาการแสดงจะค่อนข้างชัด
00:05:25 → 00:05:28 เช่นมีอาการปวดท้องเฉียบพลันและรุนแรงปวด
00:05:28 → 00:05:31 ท้องในลักษณะปวดปดบิดเกรงโดยแต่ละครั้งจะ
00:05:31 → 00:05:35 มีอาการปวดนานประมาณ 15-30 นาทีหรือนาน
00:05:35 → 00:05:39 กว่า 2-6 ชมเลยก็ได้แต่อาการปวดท้อง
00:05:39 → 00:05:42 เนื่องจากนิ่วในถุงน้ำดีจะเป็นๆหายๆมัก
00:05:42 → 00:05:45 ไม่ใช่อาการปวดท้องทุกวันจะตรวจพบว่ามี
00:05:45 → 00:05:48 นิ่วก็ต่อเมื่ออันซาวทั้งนี้ก้อนนิ่้วที่
00:05:48 → 00:05:51 ตกตะกอนอาจมีขนาดเล็กเท่าเมดทรายหรือใหญ่
00:05:51 → 00:05:54 เท่าลูกกอล์ฟจำนวนมีได้ตั้งแต่ 1 ก้อนไป
00:05:54 → 00:05:57 จนถึงหลายร้อยก้อนก็ได้หากมีขนาดใหญ่อาจ
00:05:57 → 00:06:01 เป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดม็เรงถุงน้ำดีได้
00:06:01 → 00:06:04 ทั้งนี้ค่ะหลายคนอาจจะเคยได้ยินเสียงข่าว
00:06:04 → 00:06:08 ลืมอค่ะว่าการรับประทานชานมไขมุก 2-3
00:06:08 → 00:06:11 แก้วต่อวันต่อเนื่องกันจะทำให้เสี่ยงเป็น
00:06:11 → 00:06:14 โรคนิ่วในถุงน้ำดีซึ่งตรงนี้ค่ะกระทรวง
00:06:14 → 00:06:18 สาธารณสุขค่ะได้มีข้อความออกมาแถลงโดยที่
00:06:18 → 00:06:22 บอกว่าข้อมูลนี้มีความบิดเบือนค่ะกรณีที่
00:06:22 → 00:06:25 มีการส่งต่อข้อมูลว่าการรับประทานชานมไข่
00:06:25 → 00:06:29 มุกวันละ 2-3 แก้วเป็นระยะเวลานานทำให้
00:06:29 → 00:06:31 เป็นนิ้วในถุงน้ำดีนั้นทางกรมอนามัย
00:06:31 → 00:06:35 กระทรวงสาธารณสุขได้ตรวจสอบข้อมูลและชี้
00:06:35 → 00:06:38 แจงว่าชานมไข่มุกและน้ำหวานอาจไม่ได้เป็น
00:06:38 → 00:06:42 สาเหตุโดยตรงเพราะว่าโรคนิ่วนั้นมาจาก
00:06:42 → 00:06:45 หลายสาเหตุซึ่งอาหารและเครื่องดื่มจะเป็น
00:06:45 → 00:06:48 ส่วนหนึ่งหรือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำ
00:06:48 → 00:06:51 ให้เกิดโรคได้มากขึ้นโดยเฉพาะอาหารทอด
00:06:51 → 00:06:55 อาหารมันอาหารหวานจำพวกที่มีไขมันสูงซึ่ง
00:06:55 → 00:06:58 อาหารจำพวกนี้มีส่วนประกอบที่ทำให้เกิด
00:06:58 → 00:07:00 ภาวะน้ำหนักเก
00:07:00 → 00:07:03 หรือโรคอ้วนโดยคนอ้วนจะมีโอกาสเกิดนิ่้ว
00:07:03 → 00:07:05 จากคอเลสเตอรอลได้มากขึ้นเนื่องจาก
00:07:05 → 00:07:08 คอเลสเตอรอลเพิ่มมากขึ้นในถุงน้ำดีแต่การ
00:07:08 → 00:07:13 บีบตัวของถุงน้ำดีลดลงขอบคุณนะคะสำหรับ
00:07:13 → 00:07:16 การรับชมรายการ TNN Health ค่ะและอย่า
00:07:16 → 00:07:19 ลืมค่ะกด Subscribe กดดไลคกดแชร์ในทุก
00:07:19 → 00:07:23 ช่องทางออนไลน์์ของ TNN ช่อง 16 ค่ะเพื่อ
00:07:23 → 00:07:26 ที่จะไม่พลาดการรับชมรายการสดคลิปวดีโอ
00:07:26 → 00:07:32 ที่น่าสนใจของทาง TNN นะคะ y