00:00:05 → 00:00:12 โดยหมอผิงแพทย์หญิงธิดาการรุจิพัฒนกุล
00:00:12 → 00:00:14 ให้เขาในถิ่น distortion พวกเรามีกันทุก
00:00:14 → 00:00:18 คนแต่เราจะมีมากน้อยต่างกันไปแล้วกรอบ
00:00:18 → 00:00:20 ความคิดที่บิดเบี้ยวมันมีหลายรูปแบบเลย
00:00:20 → 00:00:23 เราลองดูว่าเราชอบใช้กรอบความคิดที่บิด
00:00:24 → 00:00:25 เบี้ยวนี้หรือเปล่ามันทำให้เรามองไม่เห็น
00:00:25 → 00:00:27 ความเป็นจริงหรือเปล่ามันก็จะทำให้เรามี
00:00:27 → 00:00:30 awareness นะตระหนักว่าเอ๊ะเรามีสิ่งนี้
00:00:30 → 00:00:34 เราก็อาจจะพยายามที่จะแก้ไขซึ่งมันก็จะทำ
00:00:34 → 00:00:36 ให้เรามองอะไรต่างๆได้ตรงกับความเป็นจริง
00:00:36 → 00:00:40 มากขึ้นมันจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้นไม่
00:00:40 → 00:00:42 ว่าจะในเรื่องของการทำงานเรื่องของความ
00:00:42 → 00:00:44 สัมพันธ์หรือรวมไปถึงเรื่องของการดูแล
00:00:44 → 00:00:47 สุขภาพด้วยนะคะเรามาเรียนรู้เรื่องนี้ไป
00:00:47 → 00:00:48 ด้วยกันในวันนี้ค่ะ
00:00:48 → 00:00:52 [เพลง]
00:00:52 → 00:00:58 ให้รักดูแลชีวิตให้ประกันชีวิต
00:00:58 → 00:01:02 [เพลง]
00:01:02 → 00:01:04 สวัสดีค่ะคุณกำลังอยู่กับหมอผิงแพทย์หญิง
00:01:04 → 00:01:08 ธิดาการรุจิพัฒนกุลและ Single Being
00:01:08 → 00:01:10 podcast ที่จะทำให้คุณสนุกและก็มีความ
00:01:10 → 00:01:13 สุขกับการอยู่ตัวคนเดียวมากขึ้นค่ะคุณผู้
00:01:13 → 00:01:15 ฟังคะวันนี้หมออยากจะมาเล่าถึงคอนเซ็ปต์
00:01:15 → 00:01:17 ของเรื่อง communive distortion นะคะ
00:01:17 → 00:01:20 ซึ่งเป็น Concept ที่หมอเองพอดีบังเอิญ
00:01:20 → 00:01:23 ได้อ่านใน publish
00:01:23 → 00:01:27 ก็เขียนโดยคุณหมอที่ชื่อว่า Peter Green
00:01:27 → 00:01:29 School นะคะเป็นแพทย์ที่แมช General
00:01:29 → 00:01:31 Hospital ซึ่งจริงๆ Concept นี้
00:01:31 → 00:01:34 distortion ไม่ใช่เรื่องใหม่เลยมันเป็น
00:01:34 → 00:01:37 Concept ที่มีมายาวนานและตั้งแต่ปี 1960
00:01:37 → 00:01:40 ถ้าแปลเป็นไทยเนี่ยเราอาจจะพูดได้ว่ามัน
00:01:40 → 00:01:42 เป็นรูปแบบความคิดที่บิดเบี้ยวไปจากความ
00:01:42 → 00:01:44 เป็นจริงกรอบความคิดที่บิดเบี้ยวไปจาก
00:01:44 → 00:01:47 ความเป็นจริงแล้วก็นำมาซึ่งความคิดทาง
00:01:47 → 00:01:51 ด้านลบหรือว่าอารมณ์เชิงลบทำให้เรามองโลก
00:01:51 → 00:01:55 ผิดหรือว่าแย่ไปจากความเป็นจริงซึ่งบิดา
00:01:55 → 00:01:57 ของทฤษฎีนี้จริงๆแล้วก็เป็นจิตแพทย์นะคะ
00:01:57 → 00:02:00 ที่ชื่อแอรอนซ์แต่เขาทำงานวิจัยกับกลุ่ม
00:02:00 → 00:02:03 คนไข้ที่เป็นโรคซึมเศร้าโรควิตกกังวลและ
00:02:03 → 00:02:06 เขาก็พบว่าหนึ่งในจิ๊กซอว์ที่ทำให้คนไข้
00:02:06 → 00:02:08 กลุ่มนี้มีเรื่องของซึมเศร้าเนี่ยก็คือ
00:02:08 → 00:02:10 เรื่องของ Cock distortion หรือความคิด
00:02:10 → 00:02:12 ที่บิดเบี้ยวไป
00:02:12 → 00:02:14 ซึ่งจริงๆต้องบอกเลยว่าเขานี่ถือ
00:02:14 → 00:02:17 distortion พวกเรามีกันทุกคนแต่เราจะมี
00:02:17 → 00:02:20 มากน้อยต่างกันไปแล้วกรอบความคิดที่บิด
00:02:20 → 00:02:22 เบี้ยวมันมีหลายรูปแบบเลยซึ่งเดี๋ยวหมอจะ
00:02:22 → 00:02:25 มาเล่าให้ฟังแต่ละคนอาจจะใช้รูปแบบนู้น
00:02:25 → 00:02:27 เยอะรูปแบบนี้น้อยมากน้อยต่างกันไปแล้วก็
00:02:27 → 00:02:30 แล้วแต่สถานการณ์แล้วแต่เรื่องด้วยหลายๆ
00:02:30 → 00:02:33 ครั้งเราไม่รู้ตัวดังนั้นหมอคิดว่าถ้า
00:02:33 → 00:02:35 เดี๋ยววันนี้หมอมาเล่าให้ฟังแล้วเราลองดู
00:02:35 → 00:02:38 ว่าเราชอบใช้กรอบความคิดที่บิดเบี้ยวนี้
00:02:38 → 00:02:40 หรือเปล่ามันทำให้เรามองไม่เห็นความเป็น
00:02:40 → 00:02:42 จริงหรือเปล่ามันก็จะทำให้เรามี awareness
00:02:42 → 00:02:45 นะตระหนักว่าเอ๊ะเรามีสิ่งนี้เราก็อาจจะ
00:02:45 → 00:02:48 พยายามที่จะแก้ไขซึ่งมันก็จะทำให้เรามอง
00:02:48 → 00:02:51 อะไรต่างๆได้ตรงกับความเป็นจริงมากขึ้น
00:02:51 → 00:02:54 มันจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้นไม่ว่าจะใน
00:02:54 → 00:02:56 เรื่องของการทำงานเรื่องของความสัมพันธ์
00:02:56 → 00:02:59 หรือรวมไปถึงเรื่องของการดูแลสุขภาพด้วย
00:02:59 → 00:03:01 นะคะเรามาเรียนรู้เรื่องนี้ไปด้วยกันใน
00:03:01 → 00:03:04 วันนี้ค่ะกรอบความคิดแรกที่หมออยากจะมา
00:03:04 → 00:03:07 เล่าให้ฟังก็คือเรื่องของเอ่อ Nothing
00:03:07 → 00:03:10 คือขาวหรือดำนะคะทั้งหมดหรือไม่ได้ทั้ง
00:03:10 → 00:03:12 หมดคือ
00:03:12 → 00:03:14 หลายๆครั้งเราก็ต้องเข้าใจว่าโลกนี้มันก็
00:03:14 → 00:03:16 อาจจะมีเทาๆมันอาจจะได้บ้างไม่ได้บ้าง
00:03:16 → 00:03:20 กลางๆนะแต่ว่าหลายครั้งเราเองเนี่ยชอบที่
00:03:20 → 00:03:22 จะตัดสินว่ามันจะต้องขาวไปเลยหรือดำไปเลย
00:03:22 → 00:03:25 ต้องได้หรือต้องไม่ได้นะคะซึ่งตรงนี้มัน
00:03:25 → 00:03:28 ก็จะทำให้เรามองไม่ตรงกับความเป็นจริง
00:03:28 → 00:03:30 แล้วก็เกิดความทุกข์ขึ้นมาได้หรือว่าอาจ
00:03:30 → 00:03:32 จะทำให้เราเนี่ยทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จ
00:03:33 → 00:03:36 ได้อย่างเช่นว่าเราตั้งใจจะลดน้ำหนักเรา
00:03:36 → 00:03:38 ตั้งใจจะทำ intermittent fasting ตั้งใจ
00:03:38 → 00:03:42 จะอดอาหารแต่เราก็เผลอไปทานแบบขนมไปนิด
00:03:42 → 00:03:46 นึงนะคะสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือเราใช้กรอบ
00:03:46 → 00:03:49 ความคิดบอกว่าเฮ้ยไหนๆก็ขาวหรือดำอ่ะไหนๆ
00:03:49 → 00:03:52 วันนี้ก็กินไปละกินให้เต็มที่ไปเลยหลุดไป
00:03:52 → 00:03:54 เลย 1 วันนั่นก็คือกรอบความคิดที่บอกว่า
00:03:54 → 00:03:57 Nothing ซึ่งมันก็จะทำให้เราเนี่ยทำอะไร
00:03:57 → 00:04:01 ที่มันผิดพลาดไปได้อันที่ 2 นะคะคือ Over
00:04:01 → 00:04:05 generalization หรือคิดแบบเหมารวมหลายๆ
00:04:05 → 00:04:07 ครั้งเนี่ยเราเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นมานะ
00:04:07 → 00:04:11 คะนิดนึงเหตุการณ์เดียวแต่เราก็จะคิดเหมา
00:04:11 → 00:04:13 รวมว่าเดี๋ยวจะต้องเกิดอีกและเกิดอีกและ
00:04:13 → 00:04:16 เกิดอีกซ้ำๆแล้วเราก็จะรู้สึกแบบเสีย
00:04:16 → 00:04:19 กำลังใจหรือผิดหวังหรืออะไรต่างๆได้นะคะ
00:04:19 → 00:04:23 เช่นสมมุติเราไปเดทนะคะไปเดทกับคนนึงแล้ว
00:04:23 → 00:04:26 ก็มันไม่คลิกกันเราก็กลับมาบ้านแล้วก็คิด
00:04:26 → 00:04:29 ว่าโอ้ยชีวิตนี้ฉันคงต้องแบบเป็นโสดไป
00:04:29 → 00:04:31 ทั้งชีวิตแหละนอนฟังสติก็บีอิ้งต่อไปแล้ว
00:04:31 → 00:04:34 กันอะไรอย่างนี้ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่ใช่
00:04:34 → 00:04:37 นะคะหรือเช้านี้เราตั้งใจจะออกกำลังตื่น
00:04:37 → 00:04:40 มาออกกำลังไม่สำเร็จไม่ได้ออกกำลังเราก็
00:04:40 → 00:04:44 เหมารวมเลยอาทิตย์นี้ทั้งอาทิตย์แหละยัง
00:04:44 → 00:04:46 ไงก็คงไม่ได้ออกกำลังแน่ๆแล้วก็เสียกำลัง
00:04:46 → 00:04:48 ใจเองก็ดาวน์เองแล้วก็สรุปก็เลยไม่ได้ออก
00:04:48 → 00:04:51 กำลังนะเพราะเราคิดเหมารวมไปจากเหตุการณ์
00:04:51 → 00:04:54 เพียงเหตุการณ์เดียวเป็นบ้างไหมอันที่ 3
00:04:54 → 00:04:58 นะคะ mental filter หรือว่าคิดแบบกรองนะ
00:04:58 → 00:05:01 คะก็คือเรากรองเลือกหยิบเฉพาะด้านที่แบบ
00:05:01 → 00:05:05 เป็นด้านลบอ่ะเข้ามาแทนที่จริงๆแล้ว
00:05:05 → 00:05:07 สมมุติเหตุการณ์ในวันนั้นน่ะมันมีตั้ง
00:05:07 → 00:05:10 เยอะตั้งแยะแต่เราอ่ะกลับมองเห็นแต่
00:05:10 → 00:05:12 เรื่องที่ลบแล้วก็ย้ำๆเรื่องนั้นอยู่ในใจ
00:05:12 → 00:05:14 เรานะยกตัวอย่างเช่นสมมุติวันนี้เราไปทำ
00:05:14 → 00:05:19 งานวันแรกเราก็อ่าได้ทำนู่นทำนี่ได้เรียน
00:05:19 → 00:05:23 รู้เยอะแยะได้รับคำชมแต่พอท้ายวันเจ้านาย
00:05:23 → 00:05:25 จะมี feedback ว่าเออเรื่องภาษาอังกฤษ
00:05:25 → 00:05:29 ต้องพัฒนานะอ่ะสมมุติเรากลับมาบ้านเราก็
00:05:29 → 00:05:32 คิดแต่ประโยคลบประโยคเดียวที่เราได้รับมา
00:05:32 → 00:05:34 ทั้งที่จริงมันมีประโยชน์เชิงบวกอีกตั้ง
00:05:34 → 00:05:37 เยอะแต่เรากลับไม่ได้สนใจเลยนะคะก็คือคิด
00:05:37 → 00:05:39 แบบกรองเลือดแต่เอาสิ่งที่ลบเนี่ยเข้ามา
00:05:39 → 00:05:41 ก็ทำให้ตัวเองเนี่ยเครียดหรือว่าเศร้าได้
00:05:41 → 00:05:44 นะคะหรืออย่างถ้ายกตัวอย่างการยกน้ำหนัก
00:05:44 → 00:05:47 หมอว่าอันนี้หลายคนเป็นคือดูแลสุขภาพแบบ
00:05:47 → 00:05:50 ออกกำลังมาตลอดทั้งอาทิตย์เลยแต่เย็นวัน
00:05:50 → 00:05:53 ศุกร์ค่ะเผลอไปกินไก่ทอด 1 ชิ้นเท่านั้น
00:05:53 → 00:05:56 แหละเครียดกับเรื่องนี้ตลอดเสาร์อาทิตย์
00:05:56 → 00:05:59 เลยก็คือคิดแบบกรองเอาเฉพาะเรื่องลบเข้า
00:05:59 → 00:06:02 มาทำให้ตัวเองเครียดอันต่อมาค่ะอันเนี้ย
00:06:02 → 00:06:05 หลายคนก็อาจจะเป็นก็คือ discolifying The
00:06:05 → 00:07:07 Positive ก็คือคิดบวกให้เป็นลบอ่า
00:07:07 → 00:07:09 คิดว่าเขาจะต้องหมายความอย่างนั้นอย่าง
00:07:09 → 00:07:12 นี้แน่ๆเลยและด่วนสรุปไปในทางลบแล้วก็
00:07:12 → 00:07:15 เครียดเองหรือความคิดอีกแบบหนึ่งคือ
00:07:15 → 00:07:17 Fortune telling ก็คือคิดว่าฉันเนี่ย
00:07:17 → 00:07:21 รู้อนาคตแต่ก็เป็นอนาคตเชิงลบเช่นสมมุติ
00:07:21 → 00:07:26 แฟนกลับบ้านผิดเวลาแฟนกลับบ้านผิดเวลาคิด
00:07:26 → 00:07:30 ไปแล้วรถชนหรือเปล่าได้เกิดอะไรขึ้นเนี่ย
00:07:30 → 00:07:32 ฉันรู้สึกว่ามันมีลางสังหรณ์อะไรไม่ดี
00:07:32 → 00:07:34 ต้องเกิดขึ้นแน่เลยอะไรอย่างนี้ค่ะอันนี้
00:07:34 → 00:07:36 ก็คือเป็นเขาชันทั้งที่มันยังไม่ได้มี
00:07:36 → 00:07:38 สัญญาณอะไรแบบนั้นเลยนะคะหรือว่าถ้าใน
00:07:38 → 00:07:40 เรื่องสุขภาพนะเพราะว่าตัวอย่างคลาสสิค
00:07:40 → 00:07:43 เลยก็อย่างเช่นว่าอาบน้ำอยู่เอ๊ะคำเจอ
00:07:43 → 00:07:46 อะไรสักอย่างเฮ้ยฉันต้องเตรียมมะเร็งแน่ๆ
00:07:46 → 00:07:49 เลยว่ะแล้วก็จิตตกไปเลยนะซึ่งจริงๆอาจจะ
00:07:49 → 00:07:51 ไม่ใช่ก็ได้นะคะก็ในร่างกายมันมีได้ตั้ง
00:07:51 → 00:07:54 หลายอย่างก็ไปพบแพทย์ปรึกษานะไม่ใช่ต้อง
00:07:54 → 00:07:58 มานั่งจิตตกกรอบความคิดต่อมานะคะซึ่งหลาย
00:07:58 → 00:08:00 ๆคนก็อาจจะเป็นก็คือคิดมากไปหรือว่าคิด
00:08:00 → 00:08:03 น้อยไปอันเนี้ยบอกว่าหลายคนเป็นบ่อยคิด
00:08:03 → 00:08:05 มากไปก็อ่ะแน่นอนอยู่แล้วเนาะมีเรื่องนิด
00:08:05 → 00:08:08 เดียวแต่เราก็คิดมากไปใหญ่โตเหมือนว่าก็
00:08:08 → 00:08:11 ขยายเหมือนเอาแว่นขยายมาขยายว่าเรื่องนี้
00:08:11 → 00:08:13 มันเป็นเรื่องใหญ่มากๆเลยในชีวิตอย่าง
00:08:13 → 00:08:15 เงี้ยทั้งจริงๆมันอาจจะเป็นเรื่องเล็กนิด
00:08:15 → 00:08:18 เดียวในชีวิตก็ตามหรือคิดน้อยไปอันนี้น่า
00:08:18 → 00:08:20 สนใจนะคะเช่นเราอาจจะเริ่มมีปัญหาบาง
00:08:20 → 00:08:23 อย่างคนรอบข้างเห็น Pattern หรือเห็น
00:08:23 → 00:08:27 ปัญหาเช่นมีคนเตือนว่าแฟนเตือนว่าช่วงนี้
00:08:27 → 00:08:30 เครียดงานมากนะดูแบบนอนไม่ดีเลยนะหรือว่า
00:08:30 → 00:08:33 เจ้านายก็เตือนว่าเราเครียดมากไปหรือ
00:08:33 → 00:08:37 เปล่าทำไมงานมันถึงเป็นแบบนี้นะคะก็คือมี
00:08:37 → 00:08:39 ทั้งคนรอบข้างทุกคนน่ะเตือนว่าเราเนี่ย
00:08:39 → 00:08:41 อาจจะมี work Life Balance ที่เสีย
00:08:41 → 00:08:43 สมดุลแต่เราเองกับคิดน้อยไปว่าโอ๊ยไม่
00:08:43 → 00:08:45 เห็นเป็นไรเลยเรื่องนิดเดียวนะจริงๆแล้ว
00:08:45 → 00:08:49 อ่ะถ้าหลายๆคนรอบข้างอ่ะมาเตือนเราในคำ
00:08:49 → 00:08:50 เตือนเดียวกันน่ะเราก็อาจจะต้องคิดแล้ว
00:08:50 → 00:08:53 ว่ามันใช่หรือเปล่าต่อมานะคะคือเรื่องของ
00:08:53 → 00:08:56 Level นะคะคือการแปะป้ายตัวเองซึ่ง
00:08:56 → 00:08:59 อันเนี้ยบอกว่าหลายคนน่ะเผลอทำเผลอเป็นนะ
00:08:59 → 00:09:02 แล้วก็ทำให้เสียกำลังใจเองก็คือแปะป้าย
00:09:02 → 00:09:05 ตัวเองว่าเฮ้ยแบบฉันมันเกิดมาเป็นคนอ้วน
00:09:05 → 00:09:07 น่ะยังไงฉันก็จะต้องอ้วน
00:09:07 → 00:09:11 เราก็เลยไม่มีกำลังใจหรือแรงบันดาลใจที่
00:09:11 → 00:09:14 จะลุกขึ้นมาลดน้ำหนักนะคะหรือว่าบางคนก็
00:09:14 → 00:09:17 รู้สึกว่าเอ้ยฉันเกิดมาแบบก็ได้แค่นี้
00:09:17 → 00:09:21 แหละเออเป็นคนแบบสมองไม่ดีไม่มีทางที่จะ
00:09:21 → 00:09:23 แบบเรียนได้ดีๆหรอกอะไรเงี้ยอันนี้คือเรา
00:09:23 → 00:09:25 ไปแปะป้ายตัวเราเองทั้งที่จริงอ่ะมันไม่
00:09:25 → 00:09:29 มีมันไม่มีป้ายคนเราทุกคนสามารถที่จะปรับ
00:09:29 → 00:09:31 ปรุงเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้นได้นะอย่า
00:09:31 → 00:09:34 แปะป้ายตัวเองให้ตัวเองเสียกำลังใจอีกอัน
00:09:34 → 00:09:37 ซึ่งหมอว่าหลายๆคนเป็นเป็นเยอะมากแน่นอน
00:09:37 → 00:09:40 ก็คือชอบมีกรอบความคิดในการตำหนิตัวเอง
00:09:40 → 00:09:41 ค่ะ
00:09:41 → 00:09:45 เช่นแบบมันจะมีเสียงในหัวว่าแบบเฮ้ยทำไม
00:09:45 → 00:09:47 ทำหวยอย่างนี้เราอ่ะ
00:09:47 → 00:09:50 คือวิพากษ์วิจารณ์ตัวเองอ่ะบางทีเราก็รู้
00:09:50 → 00:09:52 ตัวบ้างไม่รู้ตัวบ้างนะแต่ว่าสิ่งเหล่า
00:09:52 → 00:09:55 นี้ค่ะมันคือทำให้เราอ่ะรู้สึกผิดรู้สึก
00:09:55 → 00:09:57 ไม่ดีได้ง่ายๆเลยเพราะความคิดในหัวเราเอง
00:09:57 → 00:10:01 เนี่ยมาวิจารณ์ตัวเองซึ่งมันมีเทคนิคนึง
00:10:01 → 00:10:03 นะคะสำหรับคนที่เป็นอย่างนี้บ่อยๆวิธีแก้
00:10:03 → 00:10:06 นึงก็คือให้ตั้งชื่อไอ้ตัวช่างติในตัวเรา
00:10:06 → 00:10:08 เนี่ยแหละตั้งชื่อเขาสักชื่อนึงสมมุติ
00:10:08 → 00:10:10 เวลาเสียงนี้ขึ้นมาเราตั้งชื่อเขาว่า
00:10:10 → 00:10:14 เอด้าเวลาเสียงนี้ขึ้นมาแล้วว่าแบบเอ๊ะ
00:10:14 → 00:10:17 วันนี้ทำไมแกแบบพรีเซนต์งานได้หวยจังก็
00:10:17 → 00:10:20 ด่าไปเลยค่ะเอด้าเธอไม่ต้องมายุ่งกับฉัน
00:10:20 → 00:10:23 เรื่องนี้มันก็จะทำให้เรามีสติได้ว่าอัน
00:10:24 → 00:10:26 นี้มันคือเสียงความคิดเชิงลบที่มันเกิด
00:10:26 → 00:10:30 ขึ้นแล้วก็มาตำหนิตัวเรานะคะอืมลองทบทวน
00:10:30 → 00:10:32 ดูค่ะคุณผู้ฟังว่าไอ้กรอบความคิดบิด
00:10:32 → 00:10:35 เบี้ยวที่หมอนำมาเล่าให้ฟังในวันนี้คุณมี
00:10:36 → 00:10:39 บ้างไหมนะแล้วมันมักจะโผล่มาเวลาไหนโผล่
00:10:39 → 00:10:42 มาเวลาเครียดงานโผล่มาเวลาทะเลาะกับแฟน
00:10:42 → 00:10:44 หรือเวลาที่มีเหตุการณ์สำคัญหรือมีความ
00:10:44 → 00:10:47 ท้าทายทางจิตใจต่างๆเนี่ยแล้วจับมันให้
00:10:47 → 00:10:49 ได้ค่ะพอจับได้ตระหนักได้ว่าเอ้ยอันนี้
00:10:49 → 00:10:51 มันเป็นกรอบความคิดที่บิดเบี้ยวนี้นะมัน
00:10:51 → 00:10:54 เป็นเค้ามีสิทธิ์ distortion นี่นาเราก็
00:10:54 → 00:10:56 ถอดมันออกไปนะมันจะทำให้เราเห็นภาพที่ชัด
00:10:56 → 00:10:58 เจนมากขึ้นและเป็นความเป็นจริงมากขึ้น
00:10:58 → 00:11:01 เทคนิคนึงนะคะที่ทำได้ก็คืออาจจะทำเป็น
00:11:01 → 00:11:04 ต๊อด Record นะคะเป็นบันทึกไว้ซึ่งบันทึก
00:11:04 → 00:11:07 เนี่ยบันทึก 3 เรื่องเรื่องแรกคือเหตุ
00:11:07 → 00:11:09 การณ์นั้นคืออะไรนะเขียนเหตุการณ์ 2 คือ
00:11:09 → 00:11:12 ความคิดที่เกิดขึ้นคือชั้นนี้คิดว่ามัน
00:11:12 → 00:11:15 เป็นยังไงและ 3 คือมันทำให้รู้สึกยังไง
00:11:15 → 00:11:17 เขียนเป็นข้อความบรรยายแบบที่เรานั้นเลย
00:11:17 → 00:11:19 แล้วก็เก็บไว้อ่านเองนั่นแหละนะคะบันทึก
00:11:19 → 00:11:22 ทันทีที่รู้สึกแล้วพอต่อมาเวลาผ่านไปกลับ
00:11:22 → 00:11:24 มานั่งอ่านเราจะเข้าใจตัวเองได้มากขึ้น
00:11:24 → 00:11:27 หมอเชื่อว่าคนเราทุกคนเนี่ยสามารถพัฒนา
00:11:27 → 00:11:30 ตัวเองให้ดีขึ้นได้ในทุกๆวันนะคะหมอเชื่อ
00:11:30 → 00:11:33 ว่าสาระต่างๆที่หมอพยายามจะเอามาฝากใน
00:11:33 → 00:11:34 Single belling เนี่ยจะทำให้คุณเนี่ย
00:11:34 → 00:11:37 รักตัวเองมากขึ้นนะมีความสุขกับการรักตัว
00:11:37 → 00:11:39 เองแล้วก็ดูแลตัวเองมากขึ้นทั้งในเรื่อง
00:11:39 → 00:11:43 ของสุขภาพกายสุขภาพใจแล้วก็สุขภาพความ
00:11:43 → 00:11:46 สัมพันธ์กับคนที่คุณรักให้รักดูแลชีวิตไป
00:11:46 → 00:11:49 ด้วยกันนะคะ
00:11:49 → 00:11:51 ถ้าคิดว่ามีประโยชน์ก็อย่าลืมนะคะฝากแชร์
00:11:51 → 00:11:55 ให้กับคนที่คุณรักเพื่อนครอบครัวนะคะแล้ว
00:11:55 → 00:11:59 พบกันใหม่ในวันศุกร์หน้าหมอก็จะนำยก
00:11:59 → 00:12:01 เรื่องราวดีๆมาเล่าให้ฟังทุกวันศุกร์ช่วง
00:12:01 → 00:12:07 เย็นๆค่ะขอบคุณที่ติดตามกันค่ะสวัสดีค่ะ
00:12:07 → 00:12:11 [เพลง]
00:12:11 → 00:12:16 โดยหมอผีแพทย์หญิงที่หน้ากากรุจิพัฒนกุล
00:12:16 → 00:12:19 ดีที่อยู่ดี
00:12:19 → 00:12:25 ให้รักดูแลชีวิตให้ประกันชีวิต