00:00:00 → 00:00:02 มันไม่แฟร์กับตัวเรามากๆเลยเว้ยไม่ควรจะ
00:00:02 → 00:00:04 เอาเลเวล 10 ของเราไปเทียบกับเลเวล 100
00:00:04 → 00:00:06 ของคนบางคนแล้วก็มาตีตัวเองแค่ว่าเราอยู่
00:00:06 → 00:00:09 ในยุคที่เราฟังคนอื่นมากเกินไปมากๆเลยอ่ะ
00:00:09 → 00:00:11 คือมันเป็นยุคที่เสียงข้างนอกมันเสียงดัง
00:00:11 → 00:00:13 มากๆบรรทัดฐานสังคมเยอะไปหมดแล้วบางทีเรา
00:00:13 → 00:00:15 เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับบรรทัดฐานจำนวน
00:00:15 → 00:00:17 มากสมมุติเราคิดเรื่องความสวยเราจะเทียบ
00:00:17 → 00:00:20 ตัวเองกับคนนึงคิดเรื่องการออกกำลังกาย
00:00:20 → 00:00:22 เราจะเทียบตัวเองอีกคนนึงคิดเรื่องการดู
00:00:22 → 00:00:24 แลพ่อแม่ให้ดีเราเทียบกับอีกคนนึงคิด
00:00:24 → 00:00:25 เรื่องการทำงานเก่งเป็นหัวหน้าเราเทียบ
00:00:25 → 00:00:27 กับอีกคนนึ่งและที่เราบอกว่าไม่แฟร์กับ
00:00:27 → 00:00:29 ตัวเองคือไรเราจะทำให้ได้เท่าพอทุกคนเลย
00:00:29 → 00:00:31 นะแต่ว่าเขาเป็นแต่ละอย่างที่มันเป็นคนละ
00:00:32 → 00:00:34 เรื่องอ่ะสิ่งที่เราน่าจะมีไว้ในใจก็คือ
00:00:34 → 00:00:36 ฉันดีกว่าตัวฉันเองเมื่อวานอย่างไรบ้าง
00:00:36 → 00:00:38 เรามีความสุขมากขึ้นเราทำบางอย่างได้ดี
00:00:39 → 00:00:41 ขึ้นเรากล้าไปทำสิ่งใหม่ๆมากขึ้นแค่ฉัน
00:00:41 → 00:00:42 ได้ดูแลตัวเองมากกว่าเมื่อวานอย่างไรฉัน
00:00:42 → 00:00:44 รักตัวเองมากกว่าเมื่อวานอย่างไรแค่นี้
00:00:44 → 00:00:46 มันก็ถือว่าเป็นโสของเราทุกคนแล้วอะไร
00:00:46 → 00:00:48 อย่า
00:00:48 → 00:00:52 เงี้ยสวัสดีค่ะลูกเพจเรานิสัยอันตรายแพท
00:00:52 → 00:00:55 นะคะแพทวงเคลียร์ค่ะพี่แพทมาเกลาเนี่ยพี่
00:00:55 → 00:00:58 แพทคิดว่าการเกลาตัวเองมันสำคัญยังไงคะ
00:00:58 → 00:01:00 คิดว่าการเกลาตัวเองไม่มีวันจบอยู่แล้วนะ
00:01:00 → 00:01:02 จริงๆแล้วส่วนตัวคิดว่าคิดว่าเออเรื่อง
00:01:02 → 00:01:05 นึงที่เราแก้ได้หรือว่าเราดีขึ้นเงี้ยมัน
00:01:05 → 00:01:07 ก็จะนำไปสู่บางอย่างที่เราอยากจะทำให้มัน
00:01:07 → 00:01:09 ดีขึ้นอีกอะไรเงี้ยมันไม่ใช่คำว่าดีขึ้น
00:01:09 → 00:01:11 คำว่าดีขึ้นในที่นี้แไม่ได้หมายถึงการที่
00:01:11 → 00:01:12 เรา Drive for perfection หมายถึงว่า
00:01:13 → 00:01:15 พุ่งไปสู่ความสมบูรณ์แบบซึ่งมันไม่มีอยู่
00:01:15 → 00:01:19 แล้วมันแค่ทำให้เราไปสู่สภาวะในใจที่มัน
00:01:19 → 00:01:20 ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแล้วก็เบาแล้วก็
00:01:21 → 00:01:22 สว่างมากขึ้นกว่าเดิมมากกว่าคงไม่ได้คิด
00:01:23 → 00:01:25 ว่าคำว่าสมบูรณ์แบบตอนนี้สำหรับแพทเป็นคำ
00:01:25 → 00:01:27 ที่ค่อนข้าง Negative ไปแล้วใช่ก็เลยคิด
00:01:27 → 00:01:30 ว่าการเกลาเนี่ยมันคือการเกลาให้เราเรามี
00:01:30 → 00:01:32 ชีวิตอยู่อย่างมีความสุขและสนุกกับชีวิต
00:01:32 → 00:01:34 ทั้งกับตัวเองและกับคนอื่นมากขึ้นเพราะ
00:01:34 → 00:01:35 ฉะนั้นทุกครั้งที่เราเจออะไรอย่างนึงเฮ้ย
00:01:35 → 00:01:37 มันมีอะไรสักอย่างมาทริกเกอร์เราทำให้เรา
00:01:37 → 00:01:39 รู้ว่าอันนี้เป็นเรื่องที่เรายังอยากแก้
00:01:39 → 00:01:41 อยู่หรืออยากทำให้มันดีขึ้นอยู่เราก็จะ
00:01:41 → 00:01:43 ลองเวิร์คกับเรื่องนั้นดูแล้วพอจบเรื่อง
00:01:43 → 00:01:45 นั้นปุ๊บชีวิตก็จะอนุญาตให้เราใช้ชีวิต
00:01:45 → 00:01:47 อย่างมีความสุขสักพักนึงมันก็จะมีอีก
00:01:47 → 00:01:48 เรื่องนึงเข้ามาที่ทำให้รู้สึกว่าเอ๊มัน
00:01:48 → 00:01:51 อันมีอันนี้อีกนิดนึงแต่ว่ารู้สึกว่ามัน
00:01:51 → 00:01:53 จะคล้ายๆการปอกหัวหอมที่แบบมันก็ค่อยๆบอก
00:01:53 → 00:01:55 เข้าไปปอกเข้าไปจนเชื่อว่าข้างในสุดน่าจะ
00:01:56 → 00:01:57 เป็นเหมือนแก้วใสๆอันนึงซึ่งมันก็ยังไม่
00:01:57 → 00:02:00 ถึงหรอกเนาะเป็นเลอเลออะไรอย่าเงี้ยพี่
00:02:00 → 00:02:02 แพทบอกว่าตอนนี้คำว่าสมบูรณ์แบบเป็น
00:02:02 → 00:02:04 Negative ไปแล้วอยากรู้ค่ะว่าคือเมื่อ
00:02:04 → 00:02:05 ก่อนเนี่ยเราเคยเป็นคนที่แบบ
00:02:05 → 00:02:08 perfectionist ด้วยมยคะเคยแพทเชื่อว่า
00:02:08 → 00:02:10 ทุกคนเคยนะแล้วมันก็อาจจะเป็นทั้งสภาพแวด
00:02:10 → 00:02:13 ล้อมหรืออาจจะมีครอบครัวที่เขาไม่ได้ตั้ง
00:02:13 → 00:02:15 ใจหรอกแต่เขาอยากให้เราได้สิ่งที่ดีที่
00:02:15 → 00:02:17 สุดพ่อแม่หรือว่าคนรอบตัวอะไรเงี้ยแล้วก็
00:02:17 → 00:02:21 พอโตมาสังคมอีกสิ่งแวดล้อมครูเพื่อนหรือ
00:02:21 → 00:02:23 แม้แต่โซเชียลมีเดียหรืออะไรก็ตามอ่ะมัน
00:02:23 → 00:02:26 ค่อนข้างจะประโคมบอกให้เรามุ่งสู่ความ
00:02:26 → 00:02:29 เป็นที่สุดในทางใดทางหนึ่งซึ่งแพทเองก็
00:02:29 → 00:02:31 เป็นคนนึงนั้นที่ก็เป็นอย่างงั้นมาตั้ง
00:02:31 → 00:02:33 แต่เด็กๆบางทีเราอาจจะไม่รู้ตัวว่าเราคิด
00:02:33 → 00:02:34 ว่าเราจะต้องเก่งเพื่อที่เราจะเป็นที่รัก
00:02:34 → 00:02:37 อ่ะไส้ในสุดมันคือทุกคนอยากเป็นที่รักเฉย
00:02:37 → 00:02:39 ๆอ่ะแต่พอมันกลายเป็นว่าเฮ้ยฉันต้องเก่ง
00:02:39 → 00:02:41 เพื่อที่จะเป็นที่รักซ่อนอยู่ข้างในนะไม่
00:02:41 → 00:02:43 รู้ตัวนะฉันต้องเป็นคนดีเพื่อที่จะเป็น
00:02:43 → 00:02:45 ที่รักอะไรอย่างเงี้ยซึ่งเราก็เคยซอร์จาก
00:02:45 → 00:02:47 ความเป็น perfectionist ซึ่งเราเคยภูมิใจ
00:02:47 → 00:02:49 กับมันด้วยตอนที่เราเด็กๆเด็กในที่นี้คือ
00:02:49 → 00:02:52 ตั้งแต่ตอนเรียนเลยนะประถมมัธยมมป้า
00:02:52 → 00:02:55 มหาลัยจนกระทั่งทำงานก็ยังเชื่อว่าความ
00:02:55 → 00:02:56 เป็น perfectionist ของฉันเนี่ยมันทำให้
00:02:57 → 00:02:59 ฉันเหมือนทำงานเหมือนเก่งอ่ะอัตรฐานสูง
00:02:59 → 00:03:02 อะไรเงี้ยเงี้ยแต่สุดท้ายแล้วก็กลับมารู้
00:03:02 → 00:03:04 ตัวว่ามันไม่ดีตรงที่มันทำร้ายทั้ง mental
00:03:04 → 00:03:06 แล้วก็ physical wellbeing ของเราอ่ะและ
00:03:07 → 00:03:09 ไม่ใช่แค่ของเราอ่ะมันทำร้ายคนอื่นด้วยนะ
00:03:09 → 00:03:11 ความ perfectionist ของเราเราก็เลยกลับมา
00:03:11 → 00:03:14 คิดว่าแล้วมันมีทางไหนมอ่ะที่จะทำให้เรา
00:03:14 → 00:03:16 ทำงานได้ดีที่สุดโดยที่ทุกคนยังมีความสุข
00:03:16 → 00:03:19 อยู่มันก็เลยมีคำอีกคำนึงที่แพทเชื่อว่า
00:03:19 → 00:03:20 ตอนนี้ในโลกก็เริ่มรู้จักแล้วคือคำว่า
00:03:20 → 00:03:22 optimism คือแทนที่จะเป็น perfectionism
00:03:22 → 00:03:24 มันเป็น optimal แทนที่จะหา Perfect
00:03:24 → 00:03:27 solution ไปหา optimal solution คือทาง
00:03:27 → 00:03:29 ที่เหมาะสมและดีที่สุดสำหรับทุกๆฝ่ายก็
00:03:29 → 00:03:31 คือ W situation สำหรับทุกคนอะไรเงี้ย
00:03:31 → 00:03:33 ค่ะแต่ว่าพอมาเปลี่ยนวิธีการเนี่ยแต่ตัว
00:03:33 → 00:03:36 เราเองเคยเป็นคนที่มุ่งไปหาผลลัพธ์มากๆพอ
00:03:36 → 00:03:38 เปลี่ยนวิธีการเราเองก็ต้องลดบารของตัว
00:03:38 → 00:03:40 เองลงมาเยอะอยู่ใช่มั้ยคะไม่แน่ใจว่าใช้
00:03:40 → 00:03:43 คำว่าลดบารได้ไหมเพราะว่าสุดท้ายพอเรา
00:03:43 → 00:03:45 เปลี่ยนวิธีแล้วบางทีผลออกมามันอาจจะไม่
00:03:45 → 00:03:48 ใช่แบบเดิมที่เราตั้งไว้แต่มันดีกว่าอีก
00:03:48 → 00:03:50 อ่ะดีกว่าแล้วมีความสุขกว่าแต่ว่ามันเป็น
00:03:50 → 00:03:53 เพราะว่าเรา Open กับคนอื่นๆคือเมื่อก่อน
00:03:53 → 00:03:55 ถ้าเราเป็น perfectionist เรามักจะพยายาม
00:03:55 → 00:03:57 ประคองทุกอย่างหรือแบบควบคุมทุกอย่างให้
00:03:57 → 00:03:59 อยู่ในมือเราใช่ป่ะแต่พอเราทำอย่างงั้น
00:03:59 → 00:04:01 มันจะมีความเครียดและความเกร็งอยู่ในนั้น
00:04:01 → 00:04:03 ค่อนข้างเยอะผลออกมาเนี่ยมันอาจจะได้ตาม
00:04:03 → 00:04:06 เป้าเราแต่พอเรา Open ปุ๊บอ่ะมันกลายเป็น
00:04:06 → 00:04:08 ว่ามันมีคนอื่นอีกมากมายที่มาร่วมทางกับ
00:04:08 → 00:04:10 เราแล้วก็อาจจะเก่งกว่าเราในหลายๆด้าน
00:04:10 → 00:04:11 แล้วผลลัพธ์มันอาจจะเบี้ยวไปอีกทางนึงอ่ะ
00:04:12 → 00:04:13 แต่กลายเป็นว่ามัน exceptional ไปเลยคือ
00:04:14 → 00:04:16 มันพิเศษมากๆไปเลยอะไรเงี้ยค่ะแล้วก็ข้อ
00:04:16 → 00:04:18 สำคัญอีกเรื่องนึงคืออันนี้ก็ความสำเร็จ
00:04:18 → 00:04:21 เนี่ยมันจะมีความสุขอยู่ชั่วคราวมากๆเลย
00:04:21 → 00:04:23 เวลาที่เราไปถึงจุดนั้นน่ะไม่เกินวันนึง
00:04:23 → 00:04:25 หรอกเราจะต้องตั้งหาความสำเร็จใหม่อีก
00:04:25 → 00:04:27 แล้วะสมมุติว่าเราพยายามเรื่องใดเรื่อง
00:04:27 → 00:04:29 นึงประมาณ 1 ปีแล้วมีความสุขกับเรื่อง
00:04:29 → 00:04:31 นั้นอยู่ 1 วันแต่ระหว่างทาง 1 ปีอ่ะทุกๆ
00:04:31 → 00:04:33 วันเลยนะพอเครียดแล้วพอจบปุ๊บแล้วก็ต้อง
00:04:33 → 00:04:36 หาเป้าหมายใหม่ใช่ป่ะแล้วทีเนี้ยเส้นทาง
00:04:36 → 00:04:38 ความสำเร็จแรกอ่ะเราต้องกลับมาถามตัวเอง
00:04:38 → 00:04:41 ว่าเรากำลังสร้างอดีตแบบไหนให้กับตัวเรา
00:04:41 → 00:04:43 เหรอเราย้อนกลับไปมองเส้นทางความสำเร็จ
00:04:43 → 00:04:45 นั้นแล้วเราเห็นอะไรเหรอนั่นคือสาเหตุนึง
00:04:45 → 00:04:47 ที่เราเปลี่ยนเพราะว่าเรารู้สึกว่าชีวิต
00:04:47 → 00:04:49 มันคือการเดินทางเนาะแล้วมันต้องเป็นการ
00:04:49 → 00:04:51 เดินทางที่มีความสุขทุกๆครั้งที่เรากำลัง
00:04:51 → 00:04:53 ทำอะไรเรากำลังสร้างอดีตให้กับตัวเองเสมอ
00:04:53 → 00:04:55 สร้างความทรงจำให้กับตัวเองเสมอเพราะ
00:04:55 → 00:04:57 ฉะนั้นทำไมเราถึงไม่ทำให้ทุกระยะระหว่าง
00:04:57 → 00:04:59 การเดินทางมันมีความสุขตลอดทางล่ะมันกิน
00:04:59 → 00:05:01 เวลา 1 ปีนะกับ 1 วันที่เรามีความสุขกับ
00:05:01 → 00:05:03 ความสำเร็จอะไรเงี้ยเพราะฉะนั้นเรารู้สึก
00:05:03 → 00:05:06 ว่ามันเทรดกันไม่ได้แต่ว่าการที่แบบคิด
00:05:06 → 00:05:08 ได้แบบนี้แล้วทำแบบนี้หมายความว่าเราต้อง
00:05:08 → 00:05:10 ค่อนข้างที่จะตัดบรรทัดฐานหรือว่ามาตรฐาน
00:05:10 → 00:05:13 ของสังคมออกไปด้วยใช่มั้ยคะแคว่าเราอยู่
00:05:13 → 00:05:16 ในยุคที่เราฟังคนอื่นมากเกินไปมากๆเลยอ่ะ
00:05:16 → 00:05:17 คือมันเป็นยุคที่เสียงข้างนอกมันเสียงดัง
00:05:17 → 00:05:20 มากๆบรรทัดฐานสังคมเยอะไปหมดแล้วบางทีเรา
00:05:20 → 00:05:22 เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับบรรทัดฐานจำนวน
00:05:22 → 00:05:25 มากซึ่งไม่แฟร์กับตัวเองอย่างเช่นสมมุติ
00:05:25 → 00:05:27 เราคิดเรื่องความสวยเราจะเทียบตัวเองกับ
00:05:27 → 00:05:29 คนนึงคิดเรื่องการออกกำลังกายเราจะเทียบ
00:05:29 → 00:05:31 ตัวเอีกคนนึงคิดเรื่องการดูแลพ่อแม่ให้ดี
00:05:31 → 00:05:33 เราเทียบกับอีกคนนึงคิดเรื่องการทำงาน
00:05:33 → 00:05:35 เก่งเป็นหัวหน้าเราเทียบกับอีกคนนึงและ
00:05:35 → 00:05:37 ที่เราบอกว่าไม่แฟร์กับตัวเองคือไรเราจะ
00:05:37 → 00:05:39 ทำให้ได้เท่าทอทุกคนเลยนะแต่ว่าเขาเป็น
00:05:39 → 00:05:41 แต่ละอย่างที่มันเป็นคนละเรื่องอ่ะเหมือน
00:05:41 → 00:05:43 คนนึงเป็นนักวิ่งคนนึงเป็นนักว่ายน้ำคน
00:05:43 → 00:05:44 นึงเป็นนักกระโดดไกลแล้วเราบอกว่าฉันจะ
00:05:44 → 00:05:46 วิ่งแล้วว่ายน้ำแล้วกระโดดไกลให้ได้ที่ 1
00:05:46 → 00:05:48 หมดเลยมันไม่แฟร์กับตัวเรามากๆเลยเว้ยเรา
00:05:48 → 00:05:51 ก็เลยคิดว่าคำว่าบรรทัดฐานสังคมหรือคำว่า
00:05:51 → 00:05:53 มาตรฐานของคนอื่นน่ะมันควรจะถูกเอาออกไป
00:05:53 → 00:05:55 จากกรอบหัวของเราทุกคนได้แล้วอ่ะเพราะว่า
00:05:55 → 00:05:58 เราว่าแทนที่มันจะเป็นแรงผลักดันให้เราไป
00:05:58 → 00:06:01 ได้ไกลมันจะเป็นแรงดึงให้เราไปได้ช้ามาก
00:06:01 → 00:06:04 กว่าสิ่งที่เราน่าจะมีไว้ในใจฉันดีกว่า
00:06:04 → 00:06:06 ตัวฉันเองเมื่อวานอย่างไรบ้างด้านใดด้าน
00:06:06 → 00:06:08 หนึงก็ได้แบบวิ่งได้เร็วกว่าเดิมหน่อยนึง
00:06:08 → 00:06:11 หรือวันนี้ฉันแค่ไปซ้อมวิ่งแล้วก็คือคุณ
00:06:11 → 00:06:13 ควรจะภูมิใจกับตัวเองให้มากๆเรามีความสุข
00:06:13 → 00:06:15 มากขึ้นเราทำบางอย่างได้ดีขึ้นเรากล้าไป
00:06:15 → 00:06:17 ทำสิ่งใหม่ๆมากขึ้นสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เรา
00:06:17 → 00:06:19 เหมือนฉันดีกว่าตัวฉันเองเมื่อวานอย่างไร
00:06:19 → 00:06:21 อ่ะแค่ฉันได้ดูแลตัวเองมากกว่าเมื่อวาน
00:06:21 → 00:06:22 อย่างไรฉันรักตัวเองมากกว่าเมื่อวานอย่าง
00:06:22 → 00:06:24 ไรแค่นี้มันก็ถือว่าเป็น progress ของเรา
00:06:24 → 00:06:26 ทุกคนแล้วอะไรเงี้ยไม่ควรจะเอาเลเวล 10
00:06:26 → 00:06:28 ของเราไปเทียบกับเลเวล 100 ของคนบางคน
00:06:28 → 00:06:30 แล้วก็มาตีตัวเองอะไรแบบเนี้ยค่ะพี่แพท
00:06:30 → 00:06:33 คิดว่าตั้งแต่เด็กๆมาเนาะนิสัยอะไรเป็น
00:06:33 → 00:06:36 นิสัยที่ดีที่แบบอยู่ในตัวเราบางทีเราอาจ
00:06:36 → 00:06:38 จะหลงลืมมันไปเมื่อเราโตขึ้นแต่จริงๆแล้ว
00:06:38 → 00:06:40 มันยังอยู่กับเราเสมอค่ะความชอบผจญภัยมง
00:06:40 → 00:06:43 คะซึ่งเคยมีช่วงนึงที่หายไปก็คือช่วงที่
00:06:43 → 00:06:46 เราเข้าไปสู่เลนของบรรทัดฐานสังคมเนาะ
00:06:46 → 00:06:49 หรือแบบกรอบของความสำเร็จในรูปแบบของ
00:06:49 → 00:06:51 สังคมอ่ะที่ทำให้เราลืมความชอบผจญภัยของ
00:06:51 → 00:06:53 เราตั้งแต่เด็กๆไปแต่เกๆก็คือเป็นคน
00:06:53 → 00:06:55 เหมือนชอบผจนภัยชอบทำนู่นนี่นั่นชอบทำ
00:06:55 → 00:06:57 อะไรออกนอกกรอบเยอะๆอะไรเงี้ยค่ะเราก็พอ
00:06:57 → 00:07:00 ช่วงนึงที่หายไปแต่ทุกวันเยเรากลับไปหา
00:07:00 → 00:07:02 ตัวเราตอนที่เราเป็นเด็กค่อนข้างเยอะตอน
00:07:02 → 00:07:04 เด็กๆเราไม่เห็นเคยกลัวทำอะไรผิดเลยอ่ะ
00:07:04 → 00:07:07 แบบหรือทำอะไรพลาดทุกอย่างที่พลาดมันเป็น
00:07:07 → 00:07:09 ความสนุกที่เราได้ลองอะไรใหม่ๆแต่พอเราโต
00:07:09 → 00:07:10 ขึ้นมาแบบทำไมความผิดความพลาดมันใหญ่
00:07:10 → 00:07:13 จังวะมันมันถึงมากะเกนเราอะไรเงี้ยแต่ว่า
00:07:13 → 00:07:15 มันก็เป็น Survival Mode ของเราคือแพท
00:07:15 → 00:07:17 แบบเป็นคนชอบขุดข้างในตัวเองเราก็เลยจะ
00:07:17 → 00:07:19 ศึกษาเรื่องจิตวิทยาหรือเรื่องสมองคนหรือ
00:07:19 → 00:07:21 เรื่องจิตเยอะอะไรอย่าเงี้ยเราก็จะรู้เลย
00:07:21 → 00:07:23 ว่าสมองเรามันมีหลายส่วนแล้วทุกส่วนเนี่ย
00:07:23 → 00:07:25 เขาทำงานร่วมกันเพื่อให้เราเติบโตไอ้สมอง
00:07:25 → 00:07:28 ส่วน Survival เนี่ยที่เขาจะชอบมาบอกเรา
00:07:28 → 00:07:30 เวลาที่เราจะกำลังทำอะไรใหม่ใหม่เขาจะบอก
00:07:30 → 00:07:32 ว่ามันไม่ปลอดภัยทั้งทจริงๆคือเขาแค่อยาก
00:07:32 → 00:07:35 จะทำให้เราอยู่ในสภาวะปลอดภัยแหละแต่เขา
00:07:35 → 00:07:37 บอกว่าอย่าทำอย่าเสี่ยงไม่ได้แต่พอเรา
00:07:37 → 00:07:39 เข้าใจว่าสมองตัวนั้นเขากำลังพูดกับเรา
00:07:39 → 00:07:41 อยู่อ่ะเราก็จะสามารถที่จะไปจับมือสมอง
00:07:41 → 00:07:44 ตัวนั้นแล้วบอกไม่เป็นไรไปได้สนุกดีคือแพ
00:07:44 → 00:07:46 ว่าการรู้ทันั้งในใจเราพูดขึ้นมาอย่าง
00:07:46 → 00:07:48 เงี้ยมันมาจากอะไรอ่ะมันทำให้เราจัดการ
00:07:49 → 00:07:50 เป็นเพื่อนกับตัวเองได้ง่ายขึ้นได้มาก
00:07:50 → 00:07:52 ขึ้นอย่าเงี้ยค่ะรู้มว่าพี่แพทอ่ะเมื่อ
00:07:52 → 00:07:55 ก่อนเคยเป็นคนที่โกรธทุกอย่างรอบตัวเลย
00:07:55 → 00:07:59 ด้วยใช่มั้ยคะโกรธใช่มั้ยใช่ๆทำไมถึงโกรธ
00:07:59 → 00:08:01 เพราะว่ามันมีเหตุการณ์ที่เราไม่คาดฝัน
00:08:01 → 00:08:03 เกิดขึ้นเนาะตอนนั้นก็คือเรื่องคุณพ่อ
00:08:03 → 00:08:05 ซึ่งจริงๆเมื่อกี้บนเครื่องบินเพิ่งอ่าน
00:08:05 → 00:08:07 เรื่องนึงมาเลยว่าเวลาที่เรามีชีวิตมา
00:08:07 → 00:08:10 ปกติมาตลอดเลยแบบตัวมาในครอบครัวแบบนี้
00:08:10 → 00:08:12 เรียนเรื่องนี้ฐานะประมาณนี้เราจะมีภาพ
00:08:12 → 00:08:15 ฝันของเราอ่ะว่าชีวิตเราจะต้องปูไปแบบไหน
00:08:15 → 00:08:17 ต่อแต่ตอนนี้เป็นต้นไปแล้วพอมันมีเหตุ
00:08:17 → 00:08:18 การณ์อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นที่เหมือน
00:08:18 → 00:08:21 กับฟ้าผ่าเปรี้ยงงมันจะมี denial ของเรา
00:08:21 → 00:08:23 เกิดขึ้นมันจะมีการปฏิเสธของเราเกิดขึ้น
00:08:23 → 00:08:26 ว่าชีวิตฉันจะต้องไม่เจอสิ่งนี้สิชีวิต
00:08:26 → 00:08:27 ฉันมาแบบเนี้ยมันต้องไม่เจอสิ่งนี้สิซึ่ง
00:08:27 → 00:08:30 เนี่ยเป็นสาเหตุที่ทำให้เราหาสิ่งที่จะ
00:08:30 → 00:08:32 โทษว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้นคือโทษข้างนอก
00:08:32 → 00:08:34 ให้หมดแล้วก็โทษตัวเองด้วยคือโทษหมดเลย
00:08:34 → 00:08:36 โทษทุกอย่างเพราะว่าความคิดที่ว่าสิ่งไม่
00:08:36 → 00:08:38 ดีอาจจะเกิดขึ้นได้กับทุกคนน่ะมันไม่
00:08:38 → 00:08:41 register ในตัวเราฉันมาอย่างเงี้ยเดินมา
00:08:41 → 00:08:44 แบบเเดินมาดีๆฉันจะตกหลุมได้ไงตกไม่ได้
00:08:44 → 00:08:47 ถ้าตกหลุมแปลว่าคนนู้นผิดคนนี้ผิดฟ้าผิด
00:08:47 → 00:08:48 แล้วถ้าโทษใครเราโทษไม่ได้เลยสุดท้ายก็จะ
00:08:48 → 00:08:50 กลับมาโทษตัวเองว่าฉันผิดก็นั่นก็เป็น
00:08:50 → 00:08:53 โมเมนที่ตอนนั้นคุณพ่อแพทเสียมันคืออย่าง
00:08:53 → 00:08:55 นี้เลยอ่ะคือชีวิตเดินมาปกติสุขดีมากแล้ว
00:08:55 → 00:08:57 ก็แบบมันเหมนมันเปรี้ยงลงมาแล้วเราก็แบบ
00:08:57 → 00:08:59 ไม่เข้าใจว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นกับเราเราได้
00:08:59 → 00:09:02 ยังไงอะไรเงี้ยค่ะแล้วตอนนั้นมันเกิดขึ้น
00:09:02 → 00:09:04 แล้วเราก็ต้องยอมรับว่ามันเกิดขึ้นจริงๆ
00:09:04 → 00:09:06 ตอนนั้นพี่แพทมีแผนใหม่มั้คะหรือว่าผ่าน
00:09:06 → 00:09:08 ช่วงเวลาตรงนั้นมาได้ยังไงผ่านไม่ได้หรอก
00:09:08 → 00:09:10 ค่ะตอนนั้นก็คือถึงว่าไม่ได้มีแผนอะไรเลย
00:09:10 → 00:09:12 ก็เป็นไปตามสิ่งที่มันควรจะเป็นก็คือเรา
00:09:12 → 00:09:14 เจอแล้วเราก็ไม่เข้าใจไม่เข้าใจแล้วเราก็
00:09:14 → 00:09:16 โกรธโกรธแล้วเราก็ปฏิเสธหลังๆที่แพทเริ่ม
00:09:16 → 00:09:18 มาศึกษาเรื่องการ healing อะไรอย่าเงี้ย
00:09:18 → 00:09:20 ค่ะมันทำให้เราเห็นว่าเส้นทางที่เราผ่าน
00:09:20 → 00:09:22 มาตอนนั้นเนี่ยมันเป็นไปตามสิ่งที่มันควร
00:09:22 → 00:09:25 จะเป็นในการที่เราจะ Recover ตัวเองคือ
00:09:25 → 00:09:27 เราจะต้องผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นเราจะต้อง
00:09:27 → 00:09:29 ผ่านการปฏิเสธผ่านการโกรธผ่านการเสียใจ
00:09:29 → 00:09:31 อย่างขั้นสุดแล้วถ้าเราไม่สามารถ Go
00:09:31 → 00:09:33 though มันได้อ่ะเส้นทางเยไม่มีทางอื่น
00:09:33 → 00:09:35 นอกจากเผชิญหน้ากับมันอย่างเดียวคือไม่มี
00:09:35 → 00:09:37 ทางที่คุณจะกลบฝังมันไว้เอามันไปซ่อนที่
00:09:37 → 00:09:40 อื่นหรือปิดไว้แล้วชีวิตจะกลับมาแฮปปี้
00:09:40 → 00:09:42 ได้อ่ะคือแฮปปี้ได้แค่ภายนอกเท่านั้นแต่
00:09:42 → 00:09:44 ข้างในคุณจะไม่มีทางหายแต่ตอนย้อนกลับไป
00:09:44 → 00:09:46 ตอนนั้นเราเราหลงทางเลยนะเราไม่รู้เลยว่า
00:09:46 → 00:09:48 แผนที่ที่เคยมีอ่ะค่ะมันถูกฉีกเป็นชิ้น
00:09:48 → 00:09:50 เล็กชิ้นน้อยหมดเลยแล้วเราไม่รู้แล้วว่า
00:09:50 → 00:09:52 สรุปแล้วชีวิตคืออะไรแผนที่ชีวิตเราคือ
00:09:52 → 00:09:54 อะไรอะไรอย่าเงี้ยค่ะความโชคดีตอนนั้นน่า
00:09:54 → 00:09:57 จะเป็นเพราะว่า 1 มีวงเคลียร์พอดีแพเชื่อ
00:09:57 → 00:09:59 ว่ามันเป็น emotional Outlet ที่เตี้มาก
00:09:59 → 00:10:02 ๆของเราเพราะว่าไม่งั้นเราไม่มีที่ที่เรา
00:10:02 → 00:10:05 จะระบายอารมณ์ด้านลบออกไม่มีที่จะระบาย
00:10:05 → 00:10:07 ไม่มีไดอารี่ที่เราจะไวเขียนว่าเรากำลัง
00:10:07 → 00:10:09 ไม่เข้าใจเรากำลังสับสนเรากำลังโกรธถ้า
00:10:09 → 00:10:11 ทุกคนย้อนกลับไปฟังอัลบั้ม 1 นั่นมันคือ
00:10:11 → 00:10:13 ไดอารี่ของช่วงเวลานั้นของเราเลยบันทึก
00:10:13 → 00:10:16 ความรู้สึกพลังที่มันแบบพร้อมจะระเบิดมาก
00:10:16 → 00:10:18 ๆอยู่ในนั้นแต่ว่านั่นแหละมันก็เป็นหนึ่ง
00:10:18 → 00:10:20 ในการรักษาตัวเราในรูปแบบนึงที่เราไม่รู้
00:10:20 → 00:10:23 ตัวตอนนั้นเราคิดแค่ว่าดีนะมีวงเคียน
00:10:23 → 00:10:25 ระเบิดแม่มเลยแบบระเบิดทุกอย่างลงไปในน้ำ
00:10:25 → 00:10:27 นัเลยอะไรเงี้ยไวงเคลียร์เนี่ยถือว่าเป็น
00:10:27 → 00:10:29 ที่ยึดที่ดีของเราตอนนั้นโดยที่ไม่ไม่รู้
00:10:29 → 00:10:31 ตัวแต่ว่าสิ่งที่เสียจริงๆตอนนั้น 2
00:10:31 → 00:10:33 เรื่องคือคุณแม่กับเรื่องความรักคือคุณ
00:10:33 → 00:10:36 แม่เนี่ยเสียหายไปเลยเพราะว่าสนิทกับคุณ
00:10:36 → 00:10:38 แม่ตั้งแต่เด็กสนิทมากเหมือนเพื่อนสนิท
00:10:38 → 00:10:39 แต่พอมีเรื่องคุณพ่อเข้ามามันเหมือนกับ
00:10:39 → 00:10:41 บอนบางอย่างมันมันไม่ได้ถูกฉีบกจากกันนะ
00:10:41 → 00:10:43 แต่เราเข้าใกล้กันไม่ได้อ่ะมันเปาะบาง
00:10:43 → 00:10:45 เกินไปทั้งคู่แตะกันแล้วมันแบบมันแตะกัน
00:10:45 → 00:10:47 ไม่ได้เลยกลายเป็นว่าเป็นช่วงที่ห่างกับ
00:10:47 → 00:10:50 คุณแม่ไปเลยคือห่างในเชิง bonding ที่มัน
00:10:50 → 00:10:52 ลึกนะภายนอกเนี่ยก็คือยังเหมือนเรายัง
00:10:52 → 00:10:54 อยู่กับเขาเพราะเราก็คือเราสนิทกันมาตั้ง
00:10:54 → 00:10:56 แต่เด็กก็ยังโทรคุยยังคงเจอกันยังคงอะไร
00:10:56 → 00:10:58 เงี้ยมันขาดการบอิระดับลึกเพราะว่าเรื่อง
00:10:58 → 00:11:00 ที่เป็นปัญหาจริงๆที่มันเปาะบางที่สุดอ่ะ
00:11:00 → 00:11:02 เราเลี่ยงที่จะคุยเพราะว่าจริงๆเชื่อว่า
00:11:02 → 00:11:04 ต่างคนก็กำลัง Go through emotional
00:11:04 → 00:11:06 Pain ของตัวเองอยู่เช่นเดียวกันแต่ว่า
00:11:06 → 00:11:09 ตอนนั้นเราไม่รู้ไม่รู้ว่าวิธีทางที่จะ
00:11:09 → 00:11:11 หายได้อ่ะคือการเอาสิ่งนั้นแหละที่เรา
00:11:11 → 00:11:13 กลัวที่สุดอ่ะหันมาเจอกันแต่ันตอนนั้นเรา
00:11:13 → 00:11:15 เลือกที่จะใช้วิธีไม่เจอกันในเรื่องของ
00:11:15 → 00:11:17 ความเจ็บปวดนี้แล้วเรื่องความรักก็เลยพัง
00:11:17 → 00:11:19 อีกเหมือนกันเพราะว่าย้อนกลับไปเนี่ยน่า
00:11:19 → 00:11:21 จะเป็นเพราะว่าเราพยายามจะหาคนมาแทนพ่อ
00:11:22 → 00:11:24 แล้วเราก็เควงควางมากจนกระทั่งเราเอาจริง
00:11:24 → 00:11:26 ๆมันเหมือนกับมุมนั้นคือใครที่อยู่ตรง
00:11:26 → 00:11:28 นั้นในตอนนั้นน่ะเราก็เหมือนขวาไว้เหมือน
00:11:28 → 00:11:31 คนจมน้ำอ่ะแล้วแบบมีขอนไม้มาก็เกาไว้ก่อน
00:11:31 → 00:11:33 โดยที่ไม่ได้ดูว่าขอนไม้นมันดีหรือมันผุ
00:11:33 → 00:11:35 มันเน่าหรือเปล่ามันเป็นอะไรหรือเปล่า
00:11:35 → 00:11:37 อะไรเงี้ยก็เลยไม่เข้าใจเป็นช่วงที่พัง
00:11:37 → 00:11:39 ทั้งเรื่องในครอบครัวกับคุณแม่แล้วก็พัง
00:11:39 → 00:11:41 เรื่องความรักด้วยแต่ณวันนั้นที่มันพัง
00:11:41 → 00:11:43 เราก็ยังไม่เข้าใจว่ามันพังเพราะอะไรใช่
00:11:43 → 00:11:45 มั้ยคะเข้าใจแล้วช่วงนั้นโทษอะไรหรือ
00:11:45 → 00:11:48 เปล่าค่ะโทษโชชะตาโทษๆแบบโทษว่าทำไมโลก
00:11:48 → 00:11:50 มันถึงเลวร้ายกับเราขนาดนี้แล้วก็รู้สึก
00:11:50 → 00:11:53 ว่าโกรธมากๆว่าเราพยายามทำดีที่สุดของเรา
00:11:53 → 00:11:56 มาตลอดแล้วนี่คือสิ่งที่เราได้รับหรอมัน
00:11:56 → 00:11:58 ไม่แฟร์แล้วก็มาโทษตัวเองแล้วก็ไม่ชอบ
00:11:58 → 00:12:00 นิสัยที่ตัวเองทำกับคุณแม่แล้วก็ไม่ชอบ
00:12:00 → 00:12:02 ที่ตัวเอง aggressive ไม่ชอบที่ตัวเอง
00:12:02 → 00:12:04 ขึ้นเวทีแล้วเป็นแบบนั้นแต่ก็ไม่เข้าใจ
00:12:04 → 00:12:06 ว่าแล้วฉันจะน่ารักกับคนอื่นได้ยังไงฉัน
00:12:06 → 00:12:08 จะน่ารักกับโลกได้ยังไงในเมื่อโลกมันร้าย
00:12:08 → 00:12:10 กับฉันขนาดนี้นี่คือสิ่งที่เราคิดตอนนั้น
00:12:10 → 00:12:12 แต่ก็ไม่ได้ชอบนะสิ่งที่ตัวเองทำอ่ะเห็น
00:12:12 → 00:12:14 ตัวเองก็ไม่เคยดูคลิปตัวเองไม่มีความสุข
00:12:14 → 00:12:16 ในการขึ้นเวทีด้วยซ้ำแล้วก็รู้ด้วยว่าคน
00:12:16 → 00:12:18 อื่นเขาเห็นเราน่ากลัวแล้วก็ไม่ชอบไม่มี
00:12:18 → 00:12:21 ความสุขแต่ก็ไม่รู้ว่าจะแก้ไขยังไงแต่ว่า
00:12:21 → 00:12:23 พอมองยอะกลับไปก็เลยรู้สึกว่าเออแต่เราก็
00:12:23 → 00:12:25 ต้องชมตัวเองในตอนนั้นที่เราเป็นคนที่
00:12:25 → 00:12:29 กล้าที่จะลงไปอ่ะลงไปแล้วเห็นจริงๆว่าคน
00:12:29 → 00:12:31 เรามันเวลามันลงไปในที่มืดของตัวเองอ่ะ
00:12:31 → 00:12:34 มันไปได้ขนาดไหนมันคิดอะไรได้ขนาดไหนคือ
00:12:34 → 00:12:36 แพ็คเคยได้เรียนรู้ศาสตร์ของ ifs เนาะ
00:12:36 → 00:12:38 Internal Family System โดยที่ไม่รู้
00:12:38 → 00:12:40 ตัวแต่เรากลายเป็นว่าย้อนกลับไปขอบคุณ
00:12:40 → 00:12:43 เด็กคนนั้นเด็กอายุ 19 20 ตอนนั้นเหมือน
00:12:43 → 00:12:46 เราได้กลับไปเหมือนกอดไหลน้องเาแล้วบอก
00:12:46 → 00:12:47 ว่าแบบขอให้รู้ว่าตัวเองโคตรกล้าหาญเลย
00:12:47 → 00:12:49 อ่ะที่เผชิญหน้ากับความรู้สึกด้านดาร์ค
00:12:49 → 00:12:51 ทั้งหมดได้ขนาดนั้นแล้วก็แบบเฮ้ยขอบคุณ
00:12:51 → 00:12:54 น้องนะถ้าไม่มีน้องวันนั้นน่ะก็ไม่มีเรา
00:12:54 → 00:12:56 วันนี้แล้วเอาจริงถ้าเราไม่ใช่คนที่เจอ
00:12:56 → 00:12:58 เรื่องเหล่านั้นมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องคุณ
00:12:58 → 00:13:00 พ่อหรือเรื่องการผิดหวังเรื่องความรัก
00:13:00 → 00:13:02 หรือการเจออารมณ์ด้าน Dark ทั้งหมดของตัว
00:13:02 → 00:13:04 เองอ่ะแพคงไม่ใช่คนที่พูดได้เต็มปากเต็ม
00:13:04 → 00:13:06 คำวันนี้ว่าแบบเราเข้าใจสิ่งที่ทุกคนเจอ
00:13:06 → 00:13:08 อยู่เว้ยถึงแม้วันนี้เราอาจจะเป็นคนที่
00:13:08 → 00:13:10 บอกว่าบอกทุกคนว่าแบบเฮ้ยหาแฟนใหม่แบบ
00:13:10 → 00:13:12 เลิกร้องไห้หาแฟนเก่าแต่ว่าที่เราพูดได้
00:13:12 → 00:13:14 เต็มปากอ่ะเพราะว่าเราผ่านตรงนั้นมาแล้ว
00:13:14 → 00:13:16 จริงๆมันก็เลยกลายเป็นว่ามุมนึงมันคือ it
00:13:16 → 00:13:18 wasn't a curse อ่ะ it was a
00:13:18 → 00:13:20 blessing แต่ว่ามันเป็น a blessing in
00:13:20 → 00:13:22 disguise สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับเรา
00:13:22 → 00:13:25 ในอดีตอ่ะมันไม่ใช่คำสาปมันไม่ใช่ความซวย
00:13:25 → 00:13:27 อ่ะแต่มันเป็นพรเว้ยจริงๆแล้วมันเป็นพร
00:13:27 → 00:13:29 แต่คุณต้องหากุญแจให้เจอ
00:13:29 → 00:13:31 ว่ามันเป็นพรให้คุณได้ยังไงมันเป็นของ
00:13:31 → 00:13:34 ขวัญจากฟ้าในรูปแบบแห่งความเลวร้ายอ่ะแต่
00:13:34 → 00:13:36 จริงๆมันเป็นของขวัญนะถ้าคุณหากุญแจขาย
00:13:36 → 00:13:38 เจออ่ะนั่นน่ะคือสิ่งที่คุณจะมาส่งต่อให้
00:13:38 → 00:13:40 คนอื่นและเป็นแสงสว่างให้คนอื่นเว้ยแต่น
00:13:40 → 00:13:41 นี้ก็เพิ่งเข้าใจนะคือตอนนั้นก็ไม่ได้
00:13:41 → 00:13:44 เข้าใจอะไรทั้งนั้นอ่ะวันเวลาผ่านมาจนมา
00:13:44 → 00:13:46 เป็นพี่เพชรปัจจุบันเนี้ยมันเห็นได้ชัด
00:13:46 → 00:13:48 เลยว่าพี่แพทเปลี่ยนไปเยอะเลยอยากทราบว่า
00:13:48 → 00:13:50 แล้วนิสัยอะไรที่เปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน
00:13:50 → 00:13:52 บ้างคะเวลาที่เกิดสิ่งไม่ดีเกิดขึ้นกับ
00:13:52 → 00:13:55 เราอ่ะถ้าเป็นเมื่อก่อนเราจะจมอยู่กับมัน
00:13:55 → 00:13:57 เราก็จะรู้สึกว่าเราโชคร้ายแต่วันเนี้ย
00:13:57 → 00:13:59 รู้เลยว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดจริงไม่ดี
00:13:59 → 00:14:01 ขึ้นน่ะเราจะถามทันทีว่าสิ่งนี้จะสอนอะไร
00:14:01 → 00:14:04 เมาทำไมเมาทำให้เราเป็นเราที่มีความสุข
00:14:04 → 00:14:07 ขึ้นมีแบบดีขึ้นกว่าวันเนี้ยต้องหาให้เจอ
00:14:07 → 00:14:09 ว่าเากำลังสอนอะไรซึ่งเรารู้สึกว่านี่
00:14:09 → 00:14:11 เป็นนิสัยที่โคตรดีใจที่เปลี่ยนได้จาก
00:14:11 → 00:14:13 เมื่อก่อนที่เททุกอย่างจิ้มเข้าตัวหมดแต่
00:14:13 → 00:14:15 นี่ไม่นี่คือของขวัญนี่คือของขวัญทุก
00:14:15 → 00:14:17 อย่างคือของขวัญแม้แต่เวลามีคนมาพูดไม่ดี
00:14:17 → 00:14:19 ใส่เราอ่ะถ้าเขาพูดไม่ดีใส่เราแล้วมัน
00:14:19 → 00:14:21 ทริกเกอร์อะไรบางอย่างในเราอ่ะต้องขอบคุณ
00:14:21 → 00:14:23 เนะเกำลังมาบอกว่าเหลืออะไรในใจที่ต้อง
00:14:23 → 00:14:25 เคลียร์บ้างเพราะฉะนั้นทุกครั้งจะกลาย
00:14:25 → 00:14:26 เป็นว่าเปลี่ยนหมดเลยอ่ะจากเมาทำร้ายเรา
00:14:26 → 00:14:28 เป็นแบบโหขอบคุณมากเลยอ่ะที่บอกที่มา
00:14:28 → 00:14:30 ทริกเกอร์เรื่องนี้ทำให้เรารู้ว่าเรื่อง
00:14:30 → 00:14:31 นี้เรายังไม่หายนี่หว่าอะไรอย่าเงี้ย
00:14:31 → 00:14:33 เพราะว่าถ้าเปลี่ยนมุมมองหรือว่าตรงนี้
00:14:33 → 00:14:35 ได้มันจะอันล็อคเนาะเพราะว่าไม่ว่าเราจะ
00:14:35 → 00:14:37 เจอสิ่งที่แย่ขนาดไหนเราจะไม่โทษทุกสิ่ง
00:14:37 → 00:14:39 แล้วจะไม่ฟูมไฟเหมือนเดิมอีกแล้วแล้วมัน
00:14:39 → 00:14:41 กลายเป็นว่าไม่มี Bad Event ใดๆแล้วอ่ะ
00:14:42 → 00:14:43 คือไม่มีคนไม่ดีแล้วด้วยซ้ำอ่ะไม่มีคน
00:14:43 → 00:14:46 ทำลายไม่มีใครที่ทำลายเราไม่มีเหตุการณ์
00:14:46 → 00:14:48 ไหนที่เราซวยอ่ะต้องคิดให้ออกว่าไม่ใช่
00:14:48 → 00:14:50 นี่ไม่ใช่การซวยแต่เขากำลังสอนอะไรเราสัก
00:14:51 → 00:14:52 อย่างนึงมันก็ไม่ได้ทำได้แน่ทันทีแรกๆ
00:14:52 → 00:14:54 เนาะแรกๆก็จะเป็นโอไม่ไหวแล้วทำไมต้องซวย
00:14:54 → 00:14:56 อย่างงี้ด้วยแต่มันก็จะมีพี่สติมาคอยตก
00:14:56 → 00:14:58 ว่าแบบไม่แกกำลังฝึกเรื่องนี้อยู่ไม่แก
00:14:58 → 00:15:01 กำลังกำลังฝึกอยู่อ่ะพอฝึกก็คิดได้ว่าแบบ
00:15:01 → 00:15:03 อ่ะคิดให้ออกในความซวยนี้กูได้อะไรวะใน
00:15:03 → 00:15:04 ความซวยนี้กูได้อะไรวะอะไรเงี้ยมันจะต้อง
00:15:05 → 00:15:07 มีตัวสติใช่มั้ยไม่ใช่ตัวสติหรเฮ้ยแกฝึก
00:15:07 → 00:15:08 เรื่องนี้อยู่แกฝึกเรื่องนี้อยู่อ่ะมัน
00:15:08 → 00:15:10 ไม่ใช่ว่าเราอยากจะเปลี่ยนนิสัยแล้วมัน
00:15:10 → 00:15:12 คิดว่าอยากจะเปลี่ยนปึ๊กอ่ะใช่มันเป็น
00:15:12 → 00:15:14 เคทูปอดแรกมันเป็นพลุแรกแต่ว่ามันไม่ได้
00:15:14 → 00:15:16 แปลว่าครั้งต่อไปที่มันเกิดเหตุการณ์นี้
00:15:16 → 00:15:18 ขึ้นอีกเราจะสามารถทำได้เลยมันเป็นเหมือน
00:15:18 → 00:15:20 ร่องน้ำอ่ะค่ะเราเป็นร่องความคิดเดิมเรา
00:15:20 → 00:15:22 ที่แบบถ้าเกิดเหตุการณ์นี้เราจะลงไปร่อง
00:15:22 → 00:15:24 เยเสมอแล้วพอเราบอกว่าเฮ้ยร่องนี้มันไม่
00:15:25 → 00:15:27 ดีว่ะเราอยากทำร่องใหม่อ่ะมันไม่ได้แปล
00:15:27 → 00:15:29 ว่าเราขุดร่องใหม่แล้วมันจะลึกเเดิมเลย
00:15:29 → 00:15:31 อ่ะน้ำไหลมามันก็ลงร่องเดิมตลอดอยู่แล้ว
00:15:31 → 00:15:32 เพราะฉะนั้นร่องความคิดใหม่เนี่ยมันจะ
00:15:33 → 00:15:35 ต้องขุดซ้ำแล้วซ้ำอีกซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่า
00:15:35 → 00:15:37 มันจะลึกพอแล้วจนกว่าร่องเดิมมันจะตื้น
00:15:37 → 00:15:39 อ่ะที่ทำให้ครั้งต่อไปที่เหตุการณ์เดินมา
00:15:39 → 00:15:41 กระทบอ่ะแล้วมันไม่ลงร่องเก่าแล้วมันไปลง
00:15:41 → 00:15:43 ร่องใหม่อ่ะซึ่งมันต้องใช้ความต้องใช้
00:15:43 → 00:15:46 ความอดทนของเราในการที่จะคอยบอกตัวเองว่า
00:15:46 → 00:15:48 ไม่ฉันจะไปลงร่องใหม่ไม่ฉันจะลงร่องใหม่
00:15:48 → 00:15:50 ตัวพี่แพทเนี่ยหนูมั่นใจว่าหลายๆคนเห็น
00:15:50 → 00:15:53 เนาะต้องเป็นคนที่ sensitive มากๆพี่แพท
00:15:53 → 00:15:54 คิดว่าคนที่ sensitive กับคนที่ไม่
00:15:54 → 00:15:56 sensitive เนี่ยเขามีข้อดีหรือว่าข้อ
00:15:56 → 00:15:59 เสียแตกต่างกันยังไงบ้างคะเรามีนอสังคม
00:15:59 → 00:16:01 เกี่ยวกับคำว่า sensitive ที่แพส่วนตัวแพ
00:16:01 → 00:16:04 ไม่เห็นด้วยเลยมากๆการที่คน sensitive
00:16:04 → 00:16:07 แปลว่าเขามีกำแพงระหว่างตัวเขากับความรู้
00:16:07 → 00:16:09 สึกอ่ะมันเล็กแต่กับคนที่ไม่ sensitive
00:16:09 → 00:16:11 มันหนาใช่มไม่แสดงความรู้สึกข้างในอะไร
00:16:11 → 00:16:13 อย่างเงี้ยแต่ลองลองสังเกตดีๆจริงๆอ่ะ
00:16:13 → 00:16:15 ส่วนมากคนที่ sensitive อ่ะจริงๆแล้ว
00:16:15 → 00:16:17 สุขภาพจิตดีกว่าคนที่บอกว่าตัวเองไม่
00:16:17 → 00:16:18 sensitive นะเพราะว่าเขาคือคนที่เผชิญ
00:16:18 → 00:16:20 หน้ากับความรู้สึกตัวเองบ่อยๆเผชิญหน้า
00:16:20 → 00:16:22 กับอารมณ์ตัวเองบ่อยๆแล้วนั่นมันเป็นหน
00:16:22 → 00:16:25 ทางแห่ง True liberation คือหนทางแห่ง
00:16:25 → 00:16:27 การเป็นอิสระอย่างแท้จริงอ่ะมันคือการที่
00:16:27 → 00:16:30 คุณรู้ทัน Meditation หรืออะไรก็ตามมัน
00:16:30 → 00:16:32 คือการที่เรารู้ว่าเรารู้สึกอะไรอาจจะยัง
00:16:32 → 00:16:34 ไม่ได้ไปถึงขั้นที่เราควบคุมได้ก็ได้แต่
00:16:34 → 00:16:36 การที่เรารู้ก่อนว่าเรารู้สึกอะไรอมันจะ
00:16:36 → 00:16:38 ทำให้เราบริหารจัดการชีวิตและอารมณ์เรา
00:16:38 → 00:16:41 ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นกับบางคนที่
00:16:41 → 00:16:43 บอกว่าตัวไม่ sensitive อ่ะแต่ถมลงไปหรือ
00:16:43 → 00:16:46 กลบมันหรือน้ำมันด้วยสิ่งต่างๆอ่ะเลเยอร์
00:16:47 → 00:16:49 มันหนาก็เยอะนะกว่าจะปอกลงไปถึงขั้นที่
00:16:49 → 00:16:52 มันจะใสอ่ะมันจะหนามากเพราะว่าถมด้วยแบบ
00:16:52 → 00:16:54 ไปเที่ยวกินเหล้าแม้แต่จริงๆดูหนังฟัง
00:16:54 → 00:16:56 เพลงเนี่ยก็ถือว่าเป็นการน้ำชั่วคราวมัน
00:16:56 → 00:16:59 ไม่ใช่การรักษาที่ต้นจริงๆอ่ะส่วนคนที่เ
00:16:59 → 00:17:01 sensitive คือคนที่เขารู้ว่าตัวเองกำลัง
00:17:01 → 00:17:03 รู้สึกอะไรอาจจะควบคุมไม่ได้ควบคุมมัน
00:17:03 → 00:17:05 เป็นสเต็ปต่อๆไปเนาะแต่แบบเรารู้ว่าเรา
00:17:05 → 00:17:08 กำลังโกรธเรารู้ว่าเรากำลังไม่พอใจเรารู้
00:17:08 → 00:17:11 ว่าเรากำลังอิจฉาเรารู้ว่าเรากำลังโกรธเ
00:17:11 → 00:17:13 เรารู้ว่าเรากำลังโกรธตัวเองซึ่งแพทมอง
00:17:13 → 00:17:15 ว่าการที่เป็นคน sensitive มันเป็นแต้ม
00:17:15 → 00:17:17 ต่อของการที่เราจะเข้าถึงการตื่นรู้มั้ง
00:17:17 → 00:17:19 ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรอ่ะเออเพราะฉะนั้น
00:17:19 → 00:17:21 เวลาที่ไปดูคอนเสิร์ตแพทก็จะพูดบิวให้คน
00:17:21 → 00:17:23 ร้องไห้ตลอดเพราะว่ามัน Counter attack
00:17:23 → 00:17:26 กับสิ่งที่นอมของสังคมพูดก็เลยจะ Build
00:17:26 → 00:17:28 คนตลอดจริงๆการร้องให้้คือความกล้าหาญการ
00:17:29 → 00:17:30 ที่คุณกล้าเผชิญหน้ากับหัวใจจตัวเองคือ
00:17:30 → 00:17:32 ความกล้าหาแบบขอให้คลิกสิ่งที่สังคมบอก
00:17:32 → 00:17:35 กับคุณไปเถอะอะไรเงี้อีกในนึงก็คือว่าเรา
00:17:35 → 00:17:37 ควรที่จะซื่อสัตย์กับความรู้สึกของตัวเอง
00:17:37 → 00:17:39 ให้มันมากๆหนูไม่แน่ใจว่าทุกวันนี้อาจจะ
00:17:39 → 00:17:41 เปลี่ยนแล้วหรือเปล่าแต่ว่านมของสังคม
00:17:41 → 00:17:44 อย่างที่พี่แพทบอกมันทำให้เรากดเก็บสิ่ง
00:17:44 → 00:17:46 ที่เป็นความต้องการจริงๆไว้อ่ะแล้วก็ยอม
00:17:46 → 00:17:48 ที่จะทำอะไรก็ได้เพื่อให้เป็นที่ยอมรับ
00:17:48 → 00:17:50 ของสังคมแต่ว่าสุดท้ายแล้วคือเราก็
00:17:50 → 00:17:53 ซัฟเฟอร์ของตัวเราเองก็คงต้องกลับมาถาม
00:17:53 → 00:17:55 มั้งคะว่าเราใช้ชีวิตเพื่อใครกันแน่เรา
00:17:55 → 00:17:57 ใช้ชีวิตเพื่อคนอื่นหรออะไรเงี้ยใช้ชีวิต
00:17:57 → 00:17:58 เพื่อให้คนอื่นมีความสุขเพราะเราคิดว่า
00:17:58 → 00:18:00 ถ้าเามีความสุขแล้วเราจะมีความสุขแต่สุด
00:18:00 → 00:18:02 ท้ายถ้ามันไม่ตรงกันข้างนอกข้างในอ่ะมัน
00:18:02 → 00:18:05 ไม่อนกันน่ะคุณมีความสุขจริงๆหรอสมมุติ
00:18:05 → 00:18:07 คุณกำลังใช้ชีวิตในสิ่งที่ในรูปแบบที่คุณ
00:18:07 → 00:18:09 คิดว่าคนเนี้ย approve of คนนี้เห็นด้วย
00:18:09 → 00:18:11 คนนี้ว่าดีคนนั้นว่าดีแต่ข้างในคุณไม่ได้
00:18:11 → 00:18:13 มีความสุขเลยอ่ะสุดท้ายแล้วคุณใช้ชีวิต
00:18:13 → 00:18:15 เพื่อใครกันแน่เราไม่ใช่เพื่อนสนิทที่สุด
00:18:15 → 00:18:17 ของตัวเราหรออะไรเงี้ยแล้วเรากำลังทำร้าย
00:18:17 → 00:18:19 หัวใจตัวเองแบบนั้นทำไมแบบหัวใจเรามัน
00:18:19 → 00:18:21 ต้องการเรานะเว้ยแต่นั่นคือสิ่งที่เราไม่
00:18:21 → 00:18:23 ฟังเลยอ่ะเราปิดเขไว้ข้างในแล้วเก็บเข้า
00:18:23 → 00:18:25 ไว้ในลินฉักฮัลโลคุณครูเพื่อนสนิทของกัน
00:18:25 → 00:18:27 และกันน่ะใช้ชีวิตเพื่อตัวเองกันมยแล้ว
00:18:27 → 00:18:29 ถ้าเราเติมหัวใจตัวเองให้เตเต็มอ่ะเราทำ
00:18:29 → 00:18:31 ให้คนอื่นโดยที่เราไม่เหนื่อยเลยนะมัน
00:18:31 → 00:18:33 เหมือนเทน้ำจากแก้วที่มันมีน้ำอยู่ในนั้น
00:18:33 → 00:18:35 น่ะคุณจะเทน้ำจากแก้วที่ว่างเปล่าได้ไงวะ
00:18:35 → 00:18:37 ไม่ได้อ่ะก็ต้องรู้จักวิธีที่จะเติมน้ำ
00:18:37 → 00:18:39 ให้ตัวเองด้วยจริงๆน่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่
00:18:39 → 00:18:42 สุดเลยเพราะว่าหลังๆเจอคนที่ดูแลคนอื่นมา
00:18:42 → 00:18:44 เยอะแล้วเขาเองก็เติมตนเหนื่อยแล้วเคย
00:18:44 → 00:18:46 สังเกตมยเวลาที่เราเหนื่อยหรือเวลาที่เรา
00:18:46 → 00:18:49 ดูแลคนอื่นเยอะๆอ่ะเจอสมมุตินะขอโทษนะคะ
00:18:49 → 00:18:50 มนุษย์ป้ามนุษย์ลุงอะไรนิดหน่อยหงุดหงิด
00:18:50 → 00:18:53 ไปหมดคนนู้นทำไม่ดีคนนู้นพูดไม่ดีเข้าหู
00:18:53 → 00:18:56 หงุดหงิดไปหมดเลยหรือบางทีทำให้เขาอยู่
00:18:56 → 00:18:58 แต่ดันรู้สึกเป็นบุญเป็นคุณกับเขาทั้งๆ
00:18:58 → 00:19:00 ที่จริงๆอ่ะให้มันคือให้ถ้าให้แล้วอยากจะ
00:19:00 → 00:19:02 ชมบุญคุณไม่แน่ใจว่านี่คือให้หรือจะเอาอ
00:19:02 → 00:19:05 แน่เพราะฉะนั้นการที่เราต้องดูแลตัวเอง
00:19:05 → 00:19:07 ให้ดีหรือเติมน้ำตัวเองให้เต็มแก้วมัน
00:19:07 → 00:19:09 เป็นการที่เราทำเผื่อคนอื่นอยู่แล้วในที
00:19:09 → 00:19:11 นั้นเลยเพราะว่าถ้าเรามีความสุขของเรา
00:19:11 → 00:19:14 แฮปปี้ของเราแก้วน้ำเราเต็มเราเทสให้ได้
00:19:14 → 00:19:16 หมดเลยนะไม่คิดจะเอาคืนด้วยแล้วใครพูดไม่
00:19:16 → 00:19:18 ดีใส่อ่ะไม่เป็นไรเลยนะเพราะว่าเราเต็ม
00:19:18 → 00:19:20 อยู่ไงแต่ถ้าวันไหนเราพร่องเราขาดคนพูด
00:19:20 → 00:19:22 ไม่ดีนิดเดียวอ่ะก็หงุดหงิดแล้วอ่ะเ้ย
00:19:22 → 00:19:25 ทำไมเราถึงไม่หวงเหมือนไม่ห่วงความสงบและ
00:19:25 → 00:19:27 ความสุขในใจเราให้มากเมื่อไหร่ที่เรารู้
00:19:27 → 00:19:30 สึกว่าเราจะไม่ไหวกำลังจะปริมละขอเวลานอก
00:19:30 → 00:19:33 เลยทำไมถึงไม่กล้าทั้งๆที่ในระยะยาวอ่ะ
00:19:33 → 00:19:34 คุณกำลังทำสิ่งที่ดีกับตัวเองและคนอื่น
00:19:34 → 00:19:36 อยู่ด้วยการขอเวลานอกด้วยการบอกว่าเฮ้ย
00:19:36 → 00:19:38 โมเมนต์นี้เราไม่ไหวแล้วอ่ะพูดถึงเรื่อง
00:19:38 → 00:19:40 การให้เมื่อกี้ที่เราคอยเติมให้คนอื่นให้
00:19:40 → 00:19:43 หรือจะเอาแต่มันจะมีอีกแบบนึงที่อาจจะ
00:19:43 → 00:19:46 เป็นการให้ที่ไม่ค่อย Hey คือการหวังดี
00:19:46 → 00:19:49 และเป็นห่วงคนอื่นหรือคิดแทนคนอื่น
00:19:49 → 00:19:52 อันเนี้ยหวังดีนี่ฉันหวังดีกับเธอนะคิด
00:19:52 → 00:19:54 แทนเธอนะตกลงอยากให้เขาได้ดีหรืออยากให้
00:19:54 → 00:19:56 เขาเชื่อตัวเองกันแน่ตกลงอันไหนกันแน่ถ้า
00:19:56 → 00:19:58 ใครอยากให้เขาได้ดีอ่ะก็แค่พูดแล้วก็ไม่
00:19:58 → 00:20:00 ต้องมีอารมณ์ความรู้สึกอะไรป่ะแคบเอ้ยนี่
00:20:00 → 00:20:02 คือความเห็นเราเ้าไม่ทำก็ไม่โกรธป่ะแต่
00:20:02 → 00:20:04 ถ้าหวังดีแล้วบอกว่าทำไมเธอไม่เชื่อฉัน
00:20:04 → 00:20:07 น่ะตกลงอยากให้เขาได้ดีหรืออยากจะถูกกัน
00:20:07 → 00:20:09 แน่มันคืออีโก้เต็มๆเลยอันเนี้ยเรารู้สึก
00:20:09 → 00:20:11 ว่านี่คือการให้ที่เต็มไปด้วยอีโก้แพไม่
00:20:11 → 00:20:13 รู้ถูกหรือเปล่านะคะขออภัยแต่ว่าแพเชื่อ
00:20:13 → 00:20:15 ว่ามันเป็นกิเลสอย่างละเอียดมันคือข้าม
00:20:15 → 00:20:17 คั้นความคนที่จะทำสิ่งไม่ดีไปละนี่คือ
00:20:17 → 00:20:19 พยายามจะทำดีแล้วอยากจะให้ทุกคนในโลก
00:20:19 → 00:20:21 เหมือนกับเป็นเป็น World pol อ่ะฉันเป็น
00:20:21 → 00:20:23 ตำรวจของความดีเธอต้องทำแบบที่ฉันบอกเท่า
00:20:23 → 00:20:25 นั้นแต่เนี่ยคือต้องระวังเพราะเนี่ยมัน
00:20:25 → 00:20:27 คือการติดดีแล้วการติดดีมันจะกลายเป็นว่า
00:20:27 → 00:20:29 เราไปบงการคนอื่นโดยที่เราไม่รู้ตัวแล้ว
00:20:30 → 00:20:32 สุดท้ายเราไม่ได้อย่างใจอีกตัวเองก็สภาพ
00:20:32 → 00:20:34 จิตไม่ดีอีกฉะนั้นก็อาจจะแค่รีเช็คตัวเอง
00:20:34 → 00:20:37 บ่อยๆมงคะว่าเราเรากำลังให้เพื่อที่จะให้
00:20:37 → 00:20:39 หรือเราให้เพื่อที่จะเอาประโยคเแจำติด
00:20:40 → 00:20:43 แน่นในใจเลยว่าเออจะมาให้ก็มาให้เออถ้ามา
00:20:43 → 00:20:44 ให้แล้วหวังอะไรตอบแทนหรือหวังให้เขา
00:20:45 → 00:20:46 เชื่อเราหรือหวังให้เขารักเราอ่ะนั่นเป็น
00:20:46 → 00:20:49 การให้เพื่อที่จะเอานะเรายอมไปตอนแรกว่า
00:20:49 → 00:20:52 การเกลาอ่ะมันไม่มีวันเกลาแล้วมันจบสิ้น
00:20:52 → 00:20:54 น่ะแม้แต่พระหรือที่ท่านบรรลุแล้วอ่ะถ้า
00:20:55 → 00:20:56 ยังไม่ได้ไปถึงจุดที่เป็นไม่รู้ว่าแพไม่
00:20:56 → 00:20:58 รู้จุดไหนนะอรหันต์หรือนิพานอ่ะก็ยัง
00:20:58 → 00:21:01 สามารถที่จะเหมือนหลงอยู่ในกิเลสละเอียด
00:21:01 → 00:21:03 ได้เลยอ่ะแล้วมันนับอะไรกับเราอ่ะเราคิด
00:21:03 → 00:21:05 ว่าเราเกาเรื่องนี้ได้แล้วอ่ะพอเราผ่าน
00:21:05 → 00:21:07 เลเวลเนี้ยผ่านด่านบอสของเลเวลเนี้ยเราก็
00:21:07 → 00:21:09 จะต้องขึ้นสู่เลเวลต่อไปซึ่งแภว่าการติด
00:21:09 → 00:21:12 ดีอ่ะมันคือการที่คุณน่ะจริงๆอวลแล้วนะ
00:21:12 → 00:21:14 คือคุณอยากจะเป็นคนดีแล้วแต่มันคือมันคือ
00:21:14 → 00:21:16 บอสของด่านนี้อ่ะอยู่ดีก็ต้องผ่านอันนี้
00:21:16 → 00:21:18 ไปให้ได้แล้วพอผ่านได้ก็ขึ้นไปอีกคือแม้
00:21:18 → 00:21:20 แต่สายฟิวเจอร์ของโลกแล้วกันเนาะเขายังมี
00:21:20 → 00:21:22 อีกเช็คกันอยู่ตลอดเลยอ่ะเพราะว่า
00:21:22 → 00:21:24 spiritual Ego ก็เยอะแล้วมันต้องระวัง
00:21:24 → 00:21:26 มากเลยกับโกในเรื่องเนี้ยมันมันดีทคยาก
00:21:26 → 00:21:29 มากๆพอพูดถึงอีกอ่ะค่ะพี่แพทก็เลยอยากรู้
00:21:29 → 00:21:31 ว่าแบบแล้วอีโก้กับความมั่นใจอ่ะมันคือ
00:21:31 → 00:21:34 สิ่งเดียวกันมยหรือว่ามันแยกยังไงดีเพราะ
00:21:34 → 00:21:36 ว่าบางทีอาจจะมั่นใจแล้วก็เฮ้ยอันนี้คือ
00:21:36 → 00:21:39 อีกหรือเปล่าคืออีก้ดั้งเดิมเนี่ยมันก็
00:21:39 → 00:21:41 คือสมองส่วนนั้นแหละสมองที่ส่วนให้เรา
00:21:41 → 00:21:43 Survival เนาะมันคือสมองส่วนที่ทำให้เรา
00:21:43 → 00:21:45 มีความสามารถที่จะทำอะไรสักอย่างนึงได้
00:21:45 → 00:21:47 ด้วยตัวเองของเราอะไรเงี้ยแต่ว่าความมั่น
00:21:47 → 00:21:49 ใจเนี่ยเรารู้สึกสบายใจในสิ่งที่เราเป็น
00:21:49 → 00:21:51 มากกว่ารู้ในขอบเขตความสามารถเราเราทำได้
00:21:51 → 00:21:54 ประมาณไหนและอันไหนที่เราคิดว่าเรารู้แบบ
00:21:54 → 00:21:56 นี้แต่ไม่ได้แปลว่าเราไม่เคารพผู้อื่น
00:21:56 → 00:21:58 เนาะใรู้สึกว่าอีโก้เนี่ยมันคือไปถึงจุด
00:21:58 → 00:22:01 ที่มันก้าวข้ามเส้นของคนอื่นหรือว่าเริ่ม
00:22:01 → 00:22:03 ไม่เคารพในคนอื่นหรือแม้แต่ในตัวเองด้วย
00:22:03 → 00:22:05 ซ้ำอ่ะมันน่าจะมีเส้นบางๆระหว่างความมั่น
00:22:05 → 00:22:08 ใจกับอีโก้อีโก้แพรู้สึกว่าพอคุยกันอย่าง
00:22:08 → 00:22:10 เงี้ยรู้สึกว่าอีก้มันมีความมีคำว่า
00:22:10 → 00:22:12 เปรียบเทียบอยู่ในนั้นคือจะต้องมีฝ่ายใด
00:22:12 → 00:22:14 ฝ่ายหนึ่งดีและดีกว่าและด้อยกว่าแต่แพรู้
00:22:14 → 00:22:17 สึกว่าคำว่าความมั่นใจมันทุกคนมีได้เท่าๆ
00:22:17 → 00:22:19 กันไม่ใช่เท่าๆกันมีได้เหมือนกันหมดทุกคน
00:22:19 → 00:22:21 มั่นใจตัวเองได้หมดทุกคนอยู่ร่วมกันแล้ว
00:22:21 → 00:22:24 สวยงามมันเหมือนป่าที่มีดอกไม้ลานาชนิด
00:22:24 → 00:22:26 ขึ้นมาแล้วทุกคนก็คือมั่นใจมั่นใจมั่นใจ
00:22:26 → 00:22:27 มั่นใจแต่มันไม่ใช่ว่าอีโก้เทียบว่าอัน
00:22:27 → 00:22:29 นี้ดีกว่าอันนั้นน่ะเรู้สึกว่าอีโกมันจะ
00:22:29 → 00:22:31 มีความแบบเปรียบเทียบอยู่ในนั้นค่อนข้าง
00:22:31 → 00:22:33 เยอะเวลาทำงานร่วมกับวงเนี่ยวงเคลียร์มี
00:22:33 → 00:22:35 พี่แพทเป็นผู้หญิงหนึ่งเดียวเลยซึ่งพี่
00:22:35 → 00:22:38 แพทก็เคยพูดพูดมาบ้างเลยว่าเออตอนแรกๆก็
00:22:38 → 00:22:40 ปรับตัวเยอะเลยอยากรู้ว่าแล้วนิสัยอะไร
00:22:40 → 00:22:42 ที่ทำให้อยู่ร่วมกันได้จนถึงแบบทุกวันนี้
00:22:42 → 00:22:46 อ่ะค่ะตามชื่อวงเลยค่ะเคลียร์กันบ่อยๆ
00:22:46 → 00:22:48 เคลียร์กันชิบหายเลยเคลียร์แล้วเคลียร์
00:22:48 → 00:22:51 อีกจะแตกแล้วแตกอีกตอนแรกๆการเป็นผู้หญิง
00:22:51 → 00:22:53 มันดูเหมือนจะเป็น disadvantage เนาะแต่
00:22:53 → 00:22:55 ตอนนี้เรากลับมาว่าการเป็นผู้หญิงคือ
00:22:55 → 00:22:57 advantage ของวงนี้เพราะว่าเรามีความ
00:22:57 → 00:22:59 สามารถที่จะมีลูกรก็ลูกชนบางอย่างเรามี
00:22:59 → 00:23:02 ความสามารถที่จะนำโดยไม่นำไม่รู้มีใครเคย
00:23:02 → 00:23:05 อ่านเรื่องอ่านหนังสือเรื่อง Y Men Love
00:23:05 → 00:23:07 Beach หรือเปล่าเป็นหนังสือเรื่องความ
00:23:07 → 00:23:09 สัมพันธ์ชายหญิงแต่ว่าเขาอธิบายเรื่อง
00:23:09 → 00:23:12 สมองผู้ชายสมองผู้หญิงไเยอะมากเลย Men
00:23:12 → 00:23:14 are from Women are from Venus อ่ะ
00:23:14 → 00:23:16 มาอธิบายเรื่องความต่างตรงนี้ไว้เยอะมาก
00:23:16 → 00:23:18 แล้วมันทำให้แพทก็ปราบใช้สิ่งเหล่านั้น
00:23:18 → 00:23:20 น่ะกับคนในวงแล้วทำให้เราเข้าใจว่าวิธี
00:23:20 → 00:23:23 การคิดเวิธีการคิดเรามันต่างกันแล้วจริงๆ
00:23:23 → 00:23:25 ผู้หญิงเนี่ยเป็นเพศที่มีความสามารถในการ
00:23:25 → 00:23:28 ที่จะทั้ง compromise และ Read ได้ดีมาก
00:23:28 → 00:23:29 มากคืออย่างเช่นถ้าสมมุติมีครอบครัว
00:23:29 → 00:23:31 ครอบครัวนึงบอกผู้ายเป็นชาเช่าหน้าผู้
00:23:31 → 00:23:33 หญิงชาวเ่าหลังใช่มั้ยแต่จริงๆคนที่คุม
00:23:33 → 00:23:35 ทุกอย่างอ่ะคือผู้หญิงอยู่ดีนะถูกป่ะแต่
00:23:35 → 00:23:37 ว่าทำยังไงให้มันรู้สึกว่าเขาได้รับการ
00:23:37 → 00:23:39 resect ในแบบของเขาแล้วเราก็ได้รับการ
00:23:39 → 00:23:41 resect ในแบบของเราแล้วเราทำเติมเต็ม
00:23:41 → 00:23:43 ซึ่งกันและกันชายหญิงคือแพมองว่าทำวงสุด
00:23:43 → 00:23:45 ท้ายแล้วไม่ได้ต่างจากการมีคู่แต่งงานเลย
00:23:45 → 00:23:48 กึ่งคู่แต่งงานกึ่งพาร์ทเนอร์บริษัทกัน
00:23:48 → 00:23:50 น่ะก็เลยมองว่าพอมันเข้าใจซึ่งกันและกัน
00:23:50 → 00:23:52 แล้วปรับแล้วอ่ะมันกลายเป็นว่าเอาข้อดี
00:23:52 → 00:23:54 ข้อเสียของการเป็นหญิงชายอ่ะมาทำให้มัน
00:23:54 → 00:23:57 แข็งแรงในวันนี้แล้วในช่วงแรกๆอ่ะค่ะที่
00:23:57 → 00:23:59 ทำวงเจากที่ที่พี่แพทเล่ามาเมื่อก่อนก็
00:23:59 → 00:24:01 เป็นคนดักๆหรืออะไรช่วงนั้นเนี่ยไม่ค่อย
00:24:01 → 00:24:04 กล้าสื่อสารกับคนอื่นด้วยแล้วพี่แพทเริ่ม
00:24:04 → 00:24:06 พัฒนาทักษะการสื่อสารของตัวเองจนมาเป็น
00:24:06 → 00:24:09 ปัจจุบันนี้ได้ยังไงบ้างคะจริงๆตอนนั้น
00:24:09 → 00:24:12 สื่อสารนะแต่สื่อสารแบบ aggressive คือ
00:24:12 → 00:24:14 หมายถึงว่าวงจะรู้เลยว่าแบบแพทแตะนิด
00:24:14 → 00:24:16 แตะหน่อยร้องไห้แตะนิดแตะหน่อยโกรธซึ่ง
00:24:16 → 00:24:18 นั่นก็เป็นการสื่อสารในรูปแบบหนึ่งในวัย
00:24:18 → 00:24:20 นั้นของเราเป็นการสื่อสารที่ฉันจะไม่เก็บ
00:24:20 → 00:24:22 อ่ะคือเป็นคนที่ไม่เก็บหรือเป็นคนที่ถ้า
00:24:22 → 00:24:24 รู้สึกอะไรจะต้องบอกอาจจะยิงผิดทิศบ้าง
00:24:24 → 00:24:26 อะไรบ้างตอนเด็กๆเพราะว่าเราไม่รู้วิธี
00:24:26 → 00:24:29 การสื่อสารที่มัน Healthy เรารู้แค่ฉัน
00:24:29 → 00:24:31 ต้องปล่อยออกไปอะไรเงี้ยค่ะแต่ว่าก็อย่าง
00:24:31 → 00:24:34 ที่บอกคือเติบโตมากับวงแล้ววงก็เป็นส่วน
00:24:34 → 00:24:36 หนึงที่ทำให้เรากูมเราให้มาเป็นวันนี้
00:24:36 → 00:24:38 เพราะว่าเขาก็เป็นวงที่ต่อให้เจอเราในรูป
00:24:38 → 00:24:41 แบบนั้นน่ะเขาก็ยังอยู่รอบๆเราแล้วก็
00:24:41 → 00:24:43 ซัพพอร์ตแล้วคอยประคองเราในวันที่เราเอง
00:24:44 → 00:24:46 ก็ไม่ไหวคือวงก็เป็นคนที่เห็นสภาพแพทมา
00:24:46 → 00:24:48 แล้วทุกสภาพจริงๆแบบว่าไม่ว่าจะเรื่องคุณ
00:24:48 → 00:24:50 พ่อหรือว่าเรื่องความรักเห็นการพังมาแล้ว
00:24:50 → 00:24:54 ทุกรูปแบบแบกกันขึ้นไหลแบบช่วยกันนู่นนี่
00:24:54 → 00:24:56 นั่นก็ต้องเรียกว่าโตมาด้วยกันหรอกจริงๆ
00:24:56 → 00:24:57 น่าจะเป็นหลักเลยแหละเป็นส่วนหลักที่ทำ
00:24:57 → 00:25:00 ให้เราสามาสื่อสารนกับเพศตรงข้ามได้อย่าง
00:25:00 → 00:25:03 มีประสิทธิภาพเขาก็พยายามบอกว่าแบบแกผู้
00:25:03 → 00:25:05 ชายเป็นอย่างนี้และสิ่งที่เขาแสดงให้เรา
00:25:05 → 00:25:07 เห็นน่ะมันคือสิ่งที่ผู้ชายปกติไม่แสดง
00:25:07 → 00:25:09 ให้เห็นเข้าใจป่ะสมมติเราเดดกับคนคนนึง
00:25:09 → 00:25:10 อ่ะเขาไม่แสดงด้านนี้ให้เราเห็นหรอกเว้ย
00:25:10 → 00:25:12 แต่เรามาเห็นกับวงแล้วเราบอกว่าเรารับไม่
00:25:12 → 00:25:14 ได้พี่วงบอกว่ารับไม่ได้ก็ต้องรับเพราะ
00:25:14 → 00:25:16 นี่คือความจริงของผู้ชายเขาแค่ไม่ทำให้แก
00:25:16 → 00:25:18 เห็นเฉยๆอันนี้ก็แบบเออมันก็ทำให้เราโลค
00:25:18 → 00:25:21 แบบแก่นแทนที่จะโลคสวยหรือโลคที่เอาแต่ใจ
00:25:21 → 00:25:23 ตัวเองโลกที่ฉันอยากให้มันเป็นแบบนั้นน่ะ
00:25:23 → 00:25:25 กลับมามองว่าแบบเอาใหม่นี่คือความจริง
00:25:25 → 00:25:26 แล้วฉันจะมีความสุขกับความจริงนี้อย่างไร
00:25:26 → 00:25:29 อะไรเงี้ยแล้วก็ก็ค่อยๆโตมาด้วยกันเราก็
00:25:29 → 00:25:31 เลยค่อยๆโอเคเข้าใจและผู้ชายเนี่ยนะเขาจะ
00:25:31 → 00:25:33 เป็นคนที่เขาจะไม่คิดซับซ้อนไม่อยากได้
00:25:33 → 00:25:36 ใครบอกว่าไม่อยากได้หรือถ้าอยากได้สิ่ง
00:25:36 → 00:25:38 นี้อย่าอ้อมเไม่รู้จริงๆเไม่รู้จริงๆ
00:25:38 → 00:25:42 สมมุติอยากให้เขาช่วยยกของอย่าแบบยืนเฉยๆ
00:25:42 → 00:25:44 หรืองอนว่าทำไมไม่ช่วยยกเขาเป็นพี่หมีที่
00:25:44 → 00:25:46 ไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆต้องแบบยกให้หน่อย
00:25:46 → 00:25:49 นะแล้วพอเยกให้ขอบคุณนะคือเขาจะเป็นคนที่
00:25:49 → 00:25:51 ตรงไปตรงมาแล้วจริงๆแล้วเราจะทำให้เราแบบ
00:25:51 → 00:25:53 ใช้ชีวิตง่ายขึ้นมากก็เลยอยากจะบอกผู้
00:25:53 → 00:25:54 หญิงทุกคนว่าไม่ใช่แค่กับเพื่อนร่วมงานนะ
00:25:54 → 00:25:56 คะยิ่งกับแฟนกับอะไรอย่าเงี้ยย้อนกลับไป
00:25:56 → 00:25:59 สมัยมนุษย์ถ้ำนี่คือทำให้เข้าใจเพศหญิง
00:25:59 → 00:26:01 เพศชายหน้าที่ของผู้หญิงก็คืออยู่รวมกัน
00:26:01 → 00:26:03 เป็นหมู่คณะเลี้ยงลูกลูกเนี่ยถูกเลี้ยง
00:26:03 → 00:26:04 โดยคนทั้งหมู่เหล่าผู้ชายเนี่ยเขาจะรวม
00:26:05 → 00:26:06 กลุงกันไปออกไปล่าสัตว์เพราะฉะนั้นนี่คือ
00:26:06 → 00:26:09 วิธีการที่เราถูกสร้างสมาธิหรือการโฟกัส
00:26:09 → 00:26:11 ของเราก็คือผู้ชายเขาจะไปกันเงียบๆห้าม
00:26:11 → 00:26:14 เสียงดังเดี๋ยวสัตว์มันตื่นเขาโฟกัสเดียว
00:26:14 → 00:26:17 คือกระทิงตัวนั้นเขาวางแผนกันเสร็จปึ๊บ
00:26:17 → 00:26:20 เขาแยกย้ายแล้วเนิ่งล่ากระทิงปุ้งเย้
00:26:20 → 00:26:22 เสร็จแล้วภารกิจวันนี้กลับบ้านถูกป่ะแต่
00:26:22 → 00:26:25 ว่าโฟกัสเขาคือชารโฟกัสเขาไม่สามารถัิ
00:26:25 → 00:26:27 tasking ได้อยู่แล้วเขาจะแบบชารโฟกัสผู้
00:26:27 → 00:26:30 หญิงต้องทำอะไรูกูก็ต้องแบกเข้าป่าไปเก็บ
00:26:30 → 00:26:31 เบอร์รี่กันต้องเมาทกันตลอดเวลาเพราะ
00:26:31 → 00:26:34 เดี๋ยวมีสัตว์ป่ามาก็ต้องพูดๆแล้วจะต้อง
00:26:34 → 00:26:36 แยกแยะเบอร์รี่ได้ว่าเบอร์รี่สีนี้กินได้
00:26:36 → 00:26:39 สีนั้นกินไม่ได้สัตว์เล็กมีอะไรแบบคือราย
00:26:39 → 00:26:40 ละเอียดเยอะมากแล้วก็ต้องเสียงดังตลอด
00:26:40 → 00:26:42 เวลาต้องเมาท์ตลอดเวลาเพราะว่าเดี๋ยว
00:26:42 → 00:26:44 สัตว์ป่ามาเพราะฉะนั้นมือนึงก็ต้องเลี้ยง
00:26:44 → 00:26:46 ลูกมือนึงต้องเก็บเบอร์รี่ปากต้องพูด
00:26:46 → 00:26:48 เพราะฉะนั้นผู้หญิงมันถูกกูมมาให้เป็น
00:26:48 → 00:26:51 multitasking ผู้ชายเขาเป็นวันๆโฟกัส
00:26:51 → 00:26:53 เสร็จแล้วปัญหาเหล่านี้มันลากมาถึงทุกวัน
00:26:53 → 00:26:55 นี้ยังไงเคยมั้ยที่ผู้ชายทำอะไรอย่างนึง
00:26:55 → 00:26:56 แล้วไปชวนเคุยอีกอย่างนึงอ่ะเขาไม่สนใจ
00:26:56 → 00:26:59 แล้วทะเลากันเทำไม่ได้ได้เาลากกระทิ้ง
00:26:59 → 00:27:01 อยู่มันไม่เหมือนเราที่แบบมือนึงอุ้มหลุ
00:27:01 → 00:27:03 มือนึงผัดข้าวแล้วหูคุยโทรศัพท์กับเพื่อน
00:27:03 → 00:27:06 มันไม่ใช่เวลาผู้หญิงใช้ผู้ชายสมมุตินะ
00:27:06 → 00:27:08 ทิชชู่ยี่ห้อนี้รุ่นนี้เท่านั้นนะเดิน
00:27:08 → 00:27:11 เข้าเชลฟไฟอยู่เชลฟที่ 3 งี่ๆนะให้ไปซื้อ
00:27:11 → 00:27:13 กลับมาซื้อผิดผู้ชายบอกว่าก็นี่ไงทิชชู่
00:27:13 → 00:27:14 ก็แล้วเป็นอย่างเงี้ยทุกบ้านเพราะว่า
00:27:14 → 00:27:17 มิชั่นคือลากกระทิงแต่เราบอกเขาว่าเอา
00:27:17 → 00:27:19 เบอร์รี่ที่มันสุกกำลังดีลูกไซส์เท่านี้
00:27:19 → 00:27:21 เท่านั้นสีเหลืองแต่เขาบอกก็นี่ไง
00:27:21 → 00:27:23 เบอร์รี่ผิดเพราะฉะนั้นมันเหมือนกับจริงๆ
00:27:23 → 00:27:25 สมองเรามันถูกสร้างมาไม่เหมือนกันน่ะแล้ว
00:27:25 → 00:27:27 พอเราเข้าใจเรื่องพวกเนี้ยมันทำให้เราใช้
00:27:27 → 00:27:29 ชีวิตอยู่กับสิ่งมีชีวิตอีกดาวนึงได้
00:27:29 → 00:27:32 อย่างมีความสุขแล้ววงเคลียร์เป็นวงทำ
00:27:32 → 00:27:34 ดนตรีก็จริงแต่ว่าเป็นเหมือนที่ปรึกษาให้
00:27:34 → 00:27:38 กับบรรดาน้องๆและชาวเน็ตและแฟนคลับก็คือ
00:27:38 → 00:27:41 มีเรื่องเล่ามีเรื่องที่มาปรึกษาพี่แพท
00:27:41 → 00:27:44 อยู่เสมอๆอยากรู้ว่าปัญหาอะไรที่เจอบ่อย
00:27:44 → 00:27:46 ที่สุดเลยอ่ะค่ะเมื่อก่อนเนี่ยเรื่องความ
00:27:46 → 00:27:48 รักเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นเรื่องความรักอยู่
00:27:48 → 00:27:50 แต่ว่าที่แถมมาจะเป็นเรื่องครอบครัว
00:27:50 → 00:27:52 ครอบครัวบวกกับอีกเรื่องนึงที่เยอะช่วง
00:27:52 → 00:27:55 นี้ก็คือเหมือนซึมเศร้าแล้วไม่กล้าบอกใคร
00:27:55 → 00:27:57 เงี้ยก็จะมาบอกเราแต่ถ้าสังเกตว่า mindset
00:27:57 → 00:28:00 คนหรอเปลี่ยนไปเมื่อก่อนน่ะเวลาที่เขา
00:28:00 → 00:28:03 เศร้าเขาจะค่อนข้างจมเศร้าแบบความรักเจะ
00:28:03 → 00:28:05 แบบทำยังไงดีทำยังไงดีจมแต่ตอนเมันจะเป็น
00:28:05 → 00:28:07 ว่าเขาอยาก Move อนแต่เขาูไม่ได้จริงๆจะ
00:28:07 → 00:28:11 แพว่าเิทัศนคติโดยรวมของสังคมอ่ะมันก็โต
00:28:11 → 00:28:13 ขึ้นมากแล้วนะจากเมื่อก่อนก็เป็นเรื่อง
00:28:13 → 00:28:15 ความรักแต่ว่าจะเป็นเรื่องของชีวิตด้วย
00:28:15 → 00:28:17 อ่ะความรักที่อยากจะไปต่อไปไม่ได้จาก
00:28:17 → 00:28:19 เมื่อก่อนร้องไห้แล้ววนๆๆตอนนี้มันจะไม่
00:28:20 → 00:28:22 ใช่แหละก็คือเขามาหาเราเพื่อที่จะอยากได้
00:28:22 → 00:28:25 solution คจากปัญหาเหล่านั้นเนาะใช่แล้ว
00:28:25 → 00:28:28 ก็ช่วงที่มีคนมาปรึกษาเยอะเๆเราก็เลยต้อง
00:28:28 → 00:28:30 ไปหาคนปรึกษาว่าเราจะรับคำปรึกษาอย่างไร
00:28:30 → 00:28:33 ไม่ให้มันพาเไปในที่ที่มันไม่โอเคใช่ป่ะ
00:28:33 → 00:28:35 สุดท้ายก็เลยได้เข้ามาทางสายนี้แหละค่ะทำ
00:28:36 → 00:28:38 ให้เราเริ่มศึกษาเรื่องการ healing ศึกษา
00:28:38 → 00:28:40 เรื่องการเป็นที่ปรึกษารวมถึงคุณยายแม่ชี
00:28:40 → 00:28:43 สัญชนีท่านก็เองก็เคยพูดเรื่องการเราต้อง
00:28:43 → 00:28:45 ไปเจอกับพลังหนักๆหรือความทุกข์ของคนอ
00:28:46 → 00:28:47 เยอะเราต้องเคลียร์ตัวเองยังไงอะไรแบบเย
00:28:47 → 00:28:50 ค่ะแล้วก็สุดท้ายทุกคนที่มาปรึกษาเนี่ยคำ
00:28:50 → 00:28:52 ตอบที่ดีที่สุดของเราก็คือให้เขารู้ว่า
00:28:52 → 00:28:55 เราฟังอยู่ให้เขารู้ว่ามีคนคหนึ่งบนโลก
00:28:55 → 00:28:57 ได้ยินในสิ่งที่เขาพูดซึ่งโดยส่วนมาก
00:28:57 → 00:28:59 เนี่ยเขารู้คำตอบอยู่แล้วเขาไม่ได้
00:28:59 → 00:29:01 ต้องการ solution เวลาคนปรึกษาใครอ่ะไม่
00:29:01 → 00:29:03 ได้ต้องการที่อีกคนนึงบอกว่ามึงทำงี้ดิทำ
00:29:03 → 00:29:06 งี้ดิทำงี้ดิแต่คือให้เขารู้ว่าเขามีคน
00:29:06 → 00:29:08 อยู่ข้างๆแล้วให้ถามเขาว่าเราคิดว่าอยาก
00:29:08 → 00:29:12 จะทำยังไงมีอะไรในใจอยู่บ้างแล้วแค่ทำให้
00:29:12 → 00:29:14 เขามั่นใจอ่ะว่าสิ่งที่เขาคิดอ่ะถูกแล้ว
00:29:14 → 00:29:16 ให้เขากล้าที่จะเดินออกให้เขากล้าที่จะทำ
00:29:16 → 00:29:18 มันนั่นคือกลายเป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุด
00:29:18 → 00:29:20 คำว่าได้ต้องการทางออกอ่ะเพราะบางทีอ่ะ
00:29:20 → 00:29:22 ต้องระวังเลยเวลาที่เราไปชี้ทางออกให้เขา
00:29:22 → 00:29:24 อ่ะมันคือการที่เขารู้สึกว่าเราเห็นว่า
00:29:24 → 00:29:27 เขาโง่กว่าเราหรอนึกออกป่ะทั้งๆจริงๆอ่ะ
00:29:27 → 00:29:29 ทุกคนน่ะรู้อยู่แล้วต้องทำไงเว้ยเวลาที่
00:29:29 → 00:29:32 มีใครมาบอกเราว่าเธอทำงี้ดิทำงี้ดิทำงงี้
00:29:32 → 00:29:34 ดิเรารู้สึกว่าเราโง่นเว้ยเหมือนมโดนว่า
00:29:34 → 00:29:36 อ่ะว่าแบบมึงคิดว่ากูคิดไม่ออก่ะวะจริงๆ
00:29:36 → 00:29:39 ไม่ใช่คือทุกคนรู้รู้ทางออกเขาแค่ต้องการ
00:29:39 → 00:29:41 คนจับมือเขาอยู่ข้างๆแล้วบอกว่าเฮ้ยลุย
00:29:41 → 00:29:43 เลยแกทำได้ใช่แล้วอะไรอย่าเงี้ยจะเรียก
00:29:43 → 00:29:46 ว่าเป็น support System ได้ไมมคะก็คงได้
00:29:46 → 00:29:48 มั้งคะ 1 เป็น suport System ที่ดีของ
00:29:48 → 00:29:50 เขา 2 ก็คือเป็นเบาะนิ่มๆให้เขาคล้มลงมา
00:29:50 → 00:29:53 เนาะแลอันที่ 3 อันนี้ขอรีเฟอร์กลับไป
00:29:53 → 00:29:55 ขอบคุณดรแพมนะคะก็บอกว่าให้เป็น service
00:29:55 → 00:29:58 Dog ที่ดีให้กับเขาหรือแเพื่อนเพื่อ่
00:29:58 → 00:29:59 สนิทเราเป็น service ตอกนึกถึงนะนึกถึง
00:29:59 → 00:30:03 service ตอกหันไปแล้วมันทำอะไรกดิกหางหู
00:30:03 → 00:30:06 ลูแบบรักจังเลยอะไรอย่างเงี้ยเออพูดถึง
00:30:06 → 00:30:09 การปรึกษาถ้าคนทั่วไปที่อาจจะไม่ได้แบบ
00:30:09 → 00:30:12 ศึกษาวิธีการเหมือนพี่แพทอย่างเงี้ยแต่
00:30:12 → 00:30:14 ว่าเขามีหน้าที่เป็นศิราณีหรือว่าเป็นที่
00:30:14 → 00:30:16 ปรึกษาให้คนอื่นๆเหมือนกันเราจะเป็นที่
00:30:16 → 00:30:19 ปรึกษายังไงให้มันไม่ทำร้ายตัวเราเองอ่ะ
00:30:19 → 00:30:20 ค่ะอันดับแรกเป็นหูก่อนเนาะที่ปรึกษา
00:30:21 → 00:30:22 เนี่ยแน่ๆเลยคือเป็นหูคำว่าที่ปรึกษาไม่
00:30:23 → 00:30:25 ใช่เป็นปากเป็นหูต้องเน้นตรงนี้เลยว่าให้
00:30:25 → 00:30:27 หุบปากตัวเองไว้อยากจะพูดอะไรให้หุบไปจน
00:30:27 → 00:30:29 กว่าเขาจะถามถตัวเขาจะถามว่าทำยังไงดี
00:30:29 → 00:30:31 ค่อยเป็นปากแต่ถ้าเขายังไม่ถามอเป็นหูไป
00:30:31 → 00:30:34 ก่อนเสร็จปุ๊บเป็นหูที่เป็นฟองน้ำก็ซับ
00:30:34 → 00:30:36 ไว้เสร็จแล้วบีบออกด้วยบีบออกให้หมดเพราะ
00:30:36 → 00:30:38 ว่าอะไรไม่ใช่หน้าที่เราแล้วอ่ะคือผลของ
00:30:38 → 00:30:41 มันน่ะไม่ใช่ความรับผิดชอบของเราแล้วเรา
00:30:41 → 00:30:43 มีแค่หน้าที่แค่ตรงนั้นคือเป็นหูรับฟัง
00:30:43 → 00:30:46 เขาให้ความเห็นในตอนที่เขาถามจบจากนั้น
00:30:46 → 00:30:48 น่ะผลเป็นยังไงอ่ะไม่ใช่ความรับผิดชอบของ
00:30:48 → 00:30:50 เราถ้าคุณเก็บกลับมาเป็นความรับผิดชอบของ
00:30:50 → 00:30:52 เราอ่ะนั่นคืออีโก้เรานะนั่นคือคุณกำลัง
00:30:52 → 00:30:55 อยากให้ผลเป็นไปอย่างที่คุณพูดแปลว่าคุณ
00:30:55 → 00:30:58 ไม่ได้จะให้นะนี่คุณจะเอาจะเอาความดีความ
00:30:58 → 00:31:00 ชอบแหละก็คือต้องจบที่การแบบตรงนั้นเออ
00:31:00 → 00:31:03 ใครที่ติดตามเพจเานิสาอตราอยู่นะคะพลาด
00:31:03 → 00:31:05 ไม่ได้เลยเพราะว่าตอนนี้เาออกหนังสือเล่ม
00:31:06 → 00:31:08 แรกแล้วนะคะ How to Grow ชีวิตให้ดี
00:31:08 → 00:31:10 กว่าเดิมหนังสือ Self help ที่ไม่ได้มา
00:31:10 → 00:31:12 จากการเรียนคอร์สต่างประเทศแล้วมาสอนคน
00:31:12 → 00:31:14 ไทยนะคะแต่เกิดจากภูมิปัญญาคนไทยนี่ล่ะ
00:31:14 → 00:31:17 ค่ะที่ได้ศึกษาฝึกฝนอบรมตนเองมากว่า 30
00:31:17 → 00:31:20 ปีแล้วยังจะเอาไปสอนชาวต่างชาติอีก 200
00:31:20 → 00:31:23 ประเทศทั่วโลกด้วยค่ะมันจึงเป็นการรวบรวม
00:31:23 → 00:31:26 เคล็ดลับการกราวแบบอินเตอร์เพื่อให้เรา
00:31:26 → 00:31:30 เป็น Better เัในแต่ละวันค่ะถ้าสนใจนะคะ
00:31:30 → 00:31:32 อยากรู้รายละเอียดเพิ่มเติมก็ไปดูที่คลิป
00:31:32 → 00:31:35 ของกรารีวิวได้นะคะหรือว่าถ้าเิดอยากจะ
00:31:35 → 00:31:38 กล่าอิแวก็สั่งซื้อได้เลยตามร้านหนังสือ
00:31:38 → 00:31:41 ชั้นนำทั่วประเทศ
00:31:41 → 00:31:44 ค่ะแล้วพี่แพทเนี่ยคิดยังไงกับ Beauty
00:31:44 → 00:31:46 Standard ในทุกวันนี้อ่ะค่ะตอนนี้แพทคิด
00:31:46 → 00:31:49 ว่าไม่แน่ใจว่าคุ้นเคยกับคำว่า polarity
00:31:49 → 00:31:51 คือเหวี่ยงซ้ายสุดกับขวาสุดก่อนหน้าเยมัน
00:31:51 → 00:31:53 มี Beauty Standard อยู่อย่างนึงทุกวัน
00:31:53 → 00:31:55 นี้มันเป็นโลกที่กำลัง polarity คือกำลัง
00:31:55 → 00:31:57 เหวี่ยงไปอีกข้างนึงกำลังจะตีทุกอย่างจาก
00:31:57 → 00:31:59 สิ่งที่เป็นอยู่อ่ะไปอีกข้างนึงที่สุดเรา
00:31:59 → 00:32:01 จะเห็นว่าเป็นยุคที่เราเรียกร้องเรื่อง
00:32:01 → 00:32:03 ความเท่าเทียมกันทั้งเพศเท่าเทียมกันทุก
00:32:03 → 00:32:07 อย่างอายุชี้ผิวฐานะรวมถึงเพศคือ lgbtq
00:32:07 → 00:32:09 ก็ดังสุดในยุคนี้มันคือ polarity ของการ
00:32:09 → 00:32:11 ที่เราจะตีของเดิมให้แตกแต่เมันคือวิธี
00:32:11 → 00:32:13 การที่สังคมพยายามจะ Balance กลับมาตรง
00:32:13 → 00:32:15 กลางแคิดว่ายุคเยมันเป็นยุคที่มันกำลัง
00:32:15 → 00:32:17 เวี่ยงไปทางนี้ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีแต่ก็
00:32:17 → 00:32:20 เป็นเรื่องที่ต้อง aware และต้องมี
00:32:20 → 00:32:22 conscious กับมันมากๆสติกับมากๆว่าแล้ว
00:32:22 → 00:32:25 จริงๆแล้วอ่ะมันมันคือตรงนี้มันคือการที่
00:32:25 → 00:32:27 เราจะเรียกร้อง beuty Standard แบบใดก็
00:32:27 → 00:32:30 ตามมันต้อง based on respect ที่เรามี
00:32:30 → 00:32:33 ต่อทุกๆคนจริงๆมันไม่ใช่ว่าสิ่งใดเสียง
00:32:33 → 00:32:35 ดังในตอนนั้นแล้วเราจะต้อง respect เราจะ
00:32:35 → 00:32:38 ต้อง resp ในสิ่งที่เขาไม่มีเสียงด้วยถ้า
00:32:38 → 00:32:40 ถามความเห็นส่วนตัวเราที่เข้าใจง่ายกว่า
00:32:40 → 00:32:42 เมื่อกี้ก็คือแว่า Beauty Standard มัน
00:32:42 → 00:32:44 ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ที่ไหนในโลกคุณอยู่
00:32:44 → 00:32:46 ในสังคมไหนในโลกอยู่ที่นี่ที่นี่แบบนี้
00:32:46 → 00:32:49 สวยที่นู่นแบบนั้นสวยมันก็เลยคิดว่าไม่มี
00:32:49 → 00:32:51 อ่ะถ้าสมมุติว่าเราไปเจอ be ที่อยู่นอก
00:32:51 → 00:32:54 โลกเราจะเห็นเขาสวยไหมมเจะเห็นเราสวยหรือ
00:32:54 → 00:32:56 เปล่าไม่ใช่หน้าตาแบบมนุษย์สมมุติว่ามี 4
00:32:56 → 00:32:58 ตาแล้วเราเขียนว่าสวยยเดินสีขาเราเห็นว่า
00:32:58 → 00:33:00 สวยหรือเปล่าสมมุตินะมันคือ Beauty
00:33:00 → 00:33:01 Standard มันขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่ที่
00:33:02 → 00:33:05 ไหนแวดล้อมไปด้วยสิ่งใดแล้วคุณถูกไอเดีย
00:33:05 → 00:33:07 ความคิดใส่หัวไว้ mindset คุณแบบสนารคุณ
00:33:07 → 00:33:09 เป็นอะไรอย่างเงี้ยมากกว่ามันก็เลยค่อน
00:33:09 → 00:33:11 ข้างตอนนี้รู้สึกค่อนข้างแบบไม่สามารถให้
00:33:11 → 00:33:13 คำตอบได้อ่ะว่าสำหรับ Beauty Standard
00:33:14 → 00:33:16 คืออะไรสำหรับเราคนไหนที่แบบเราเห็นเขา
00:33:16 → 00:33:18 แล้วเรารู้สึกว่าเขา affable in their
00:33:18 → 00:33:20 own Skin น่ะนั่นคือความสวยสำหรับเรา
00:33:20 → 00:33:22 มั่นใจในสิ่งที่เราเป็นเรียกว่ามีความสุข
00:33:22 → 00:33:24 ในสิ่งที่เเป็นแล้วกันไม่อยากใช้คำว่า
00:33:24 → 00:33:26 มั่นใจด้วยอยรู้สึกว่าเาสบายๆกับสิ่งที่
00:33:26 → 00:33:28 เขาเป็นก็คือแบบแบบว่าไม่ไม่ต้อง Proud
00:33:28 → 00:33:30 to Present ว่าฉันเป็นอะไรเพราะว่าถ้า
00:33:30 → 00:33:31 Proud to Present แปลว่าคุณกำลังรู้
00:33:31 → 00:33:33 สึกว่าคุณขาดนะคุณเลยเรียกร้องการที่ใคร
00:33:33 → 00:33:35 บางคน scream for Attention น่ะมันคือ
00:33:35 → 00:33:38 เขาขาดอะไรบางอย่างกับคนที่เฉยๆแล้วก็แบบ
00:33:38 → 00:33:41 ใครจะให้ความสำคัญกับฉันใครจะให้ความสนใจ
00:33:41 → 00:33:43 กับฉันหรือไม่ให้อ่ะมีค่าเท่ากันสำหรับ
00:33:43 → 00:33:45 ฉันเพราะฉันบับเบิ้ฉันมันเต็มอ่ะก็แพทจะ
00:33:45 → 00:33:47 เวลาเจอคนอีกเราจะรู้สึกแโอโหอยากรู้ความ
00:33:47 → 00:33:49 ลับเขามากอยากจะไปคุยกับเขาอยากจะรู้ว่า
00:33:49 → 00:33:52 เขาทำยังไงมันถึงแบบบับเบิ้ลเขาถึงได้แบบ
00:33:52 → 00:33:54 เต็มพอดีแบบนี้อะไรเงี้ยพี่แพรคิดว่าทุก
00:33:54 → 00:33:56 วันเนี้ยเรื่องความสวยความหล่อยัง
00:33:56 → 00:33:59 สัมพันธ์กับการมีความรักที่ดีอยู่มคะไม่
00:33:59 → 00:34:01 เห็นความเกี่ยวโยงของ 2 เรื่องนี้เลยอ่ะ
00:34:01 → 00:34:03 ก็ต้องระวังว่าถ้าคนเามองเราที่ความสวย
00:34:03 → 00:34:04 หล่อแล้วมันเป็นความรักที่เปลือกหรือ
00:34:04 → 00:34:06 เปล่าล่ะกจะเอาอย่างงั้นมยล่ะก็จะเอาก็
00:34:06 → 00:34:08 เอาเลยถ้าจะรักกันเพราะความสวยหล่อก็ต้อง
00:34:08 → 00:34:11 ยอมรับด้วยว่าสิ่งที่ attract เราอ่ะคือ
00:34:11 → 00:34:12 เปลือกนะแล้วคุณก็ต้องอยู่ consequence
00:34:13 → 00:34:15 ของการเลือกของคุณคือเราว่ามันก็แล้วแต่
00:34:15 → 00:34:17 แต่ว่าการที่เราพยายามจะเปลี่ยนตัวเอง
00:34:17 → 00:34:19 เพื่อคนที่เรารักมันเป็นเรื่องที่ควรทำมย
00:34:19 → 00:34:22 แล้วลิมิหรือขอบเขตของมันน่ะคือจุดไหนคะ
00:34:22 → 00:34:24 แค่คำพูดว่าเปลี่ยนตัวเองเพื่อคนอื่นก็ดู
00:34:24 → 00:34:26 unhealthy เต็มที่แล้วค่ะถ้าคุณจะ
00:34:26 → 00:34:27 เปลี่ยนตัวเองคุณต้องเปลี่ยนตัวเองเพื่อ
00:34:27 → 00:34:29 ตัวตัวเองไม่ต้องเปลี่ยนเพื่อคนอื่นแค่
00:34:29 → 00:34:31 เราเริ่มว่าเราจะเปลี่ยนตัวเองเพื่อคน
00:34:31 → 00:34:33 อื่นน่ะนี่เตรียมตัววงบุญคุณเรียบร้อย
00:34:33 → 00:34:34 แล้วนะฉันเปลี่ยนตัวเองเพื่อเธอนะฉัน
00:34:34 → 00:34:36 เปลี่ยนมาขนาดเนี้ยนี่คือแบบตั้งแต่เริ่ม
00:34:36 → 00:34:38 อ่ะก็ตั้งเป้าจะทวงบุญคุณเขแหละเพราะ
00:34:38 → 00:34:40 ฉะนั้นจริงๆถ้าคิดจะเปลี่ยนอะไรสักอย่าง
00:34:40 → 00:34:42 อ่ะก็ต้องแน่ใจว่ามันดีกับตัวเราจริงๆโดย
00:34:42 → 00:34:44 ที่ไม่โกหกตัวเองว่าเปลี่ยนเพื่อให้เขค
00:34:44 → 00:34:46 ยังอยู่อ่ะมันเหมือนกับเราฟังมุมมองเเรา
00:34:46 → 00:34:48 รู้สึกว่าเอ้อมันมันเข้าท่าว่ะอยากทำก็
00:34:48 → 00:34:50 ค่อยทำไม่ใช่ฟังเแล้วแบบเยถ้าไม่ทำเดี๋ยว
00:34:50 → 00:34:52 เดี๋ยวทะเลาะกันหรือถ้าไม่ทำเดี๋ยวเดี๋ยว
00:34:52 → 00:34:54 เขาจะไม่อยู่กับเราอะไรอย่าเงี้ยคือถ้า
00:34:54 → 00:34:55 เราเป็นตัวเราเองแล้วเขาจะไม่อยู่กับเรา
00:34:55 → 00:34:57 อ่ะเฮ้ยปล่อยเขาไปเหอะคุณจะอยู่กับคนที่
00:34:57 → 00:34:59 ที่ทำให้คุณไม่เป็นตัวเองตลอดชีวิตแล้ว
00:34:59 → 00:35:00 คุณจะเออย่างงั้นจริงๆหรอคุณจะมีชีวิตแบบ
00:35:00 → 00:35:02 นั้นจริงๆหรอแต่พี่เคยเป็นยังเคยแบบใส่
00:35:02 → 00:35:04 กระโปรงยาวไม่ใส่เสื้อแขนกรุดไม่ใส่เสื้อ
00:35:04 → 00:35:07 เอลอยเพราะแฟนไม่ชอบเพราะขี้เกียจทะเลาะ
00:35:07 → 00:35:08 กันก็เลยต้องแต่งตัวแบบนั้นแล้วสุดท้ายก็
00:35:08 → 00:35:11 ซอร์ทั้งคู่เพราะว่าไม่เรื่องนี้ก็เรื่อง
00:35:11 → 00:35:13 อื่นอยู่ดีที่ทะเลาะกันสุดท้ายมันก็จบ
00:35:13 → 00:35:15 อยู่ดีเพราะว่าเราไม่ได้เป็นตัวเองเต็ม
00:35:15 → 00:35:17 ที่เขาก็ไม่ได้รักแบบที่เราเป็นอยู่ไปมัน
00:35:17 → 00:35:20 ก็งัดกันตลอดเวลาแล้วความรักที่ดีจริงๆ
00:35:20 → 00:35:23 แล้วเนี่ยมันหน้าตาเป็นแบบไหนคะโอก็คง
00:35:23 → 00:35:25 ต้องตอบเองมั้งของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน
00:35:25 → 00:35:28 น่ะออแต่สำหรับเราก็คงเป็นความรักที่ัพ
00:35:28 → 00:35:30 กันและกันให้เติบโตไปเป็น Better Version
00:35:30 → 00:35:33 of yourself ได้ทุกๆวันการที่เรามีคู่
00:35:33 → 00:35:35 ชีวิตหรือว่าการที่เรามาอยู่ร่วมกันน่ะ
00:35:35 → 00:35:37 หนูก็จะได้ยินจากหลายๆที่ว่ามันคือสังคม
00:35:37 → 00:35:40 ใหม่ที่เราจะต้องปรับตัวการปรับตัวตรงนี้
00:35:40 → 00:35:43 มันจะเกิดขึ้นในขอบเขตประมาณไหนอ่ะคะ
00:35:43 → 00:35:45 refer ไปคำพูดเมื่อกี้ที่บอกว่าแบบคนที่
00:35:45 → 00:35:46 supp กันและกันให้มันเป็น Better
00:35:46 → 00:35:49 Version of yourself เสมอใช่มคำว่า
00:35:49 → 00:35:51 Better Version เนี่ยมันเป็นคำด้านบวก
00:35:52 → 00:35:54 ของคำว่าเปลี่ยนนะมันคือการเปลี่ยนแปลงนะ
00:35:54 → 00:35:56 Better เัคือการเปลี่ยนแปลงนะซึ่งถ้าคู่
00:35:56 → 00:35:58 ไหนแช up การเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงกันไม่ทัน
00:35:58 → 00:36:00 ก็เลิกอยู่ดีนะสมมุติคนเนี้ย 2 คนเป็น
00:36:00 → 00:36:02 Better เวอร์ชั่นทั้งคู่อ่ะแต่มันดันไม่
00:36:02 → 00:36:04 ไม่ได้แช up กันและกันน่ะก็เลิกอยู่ดีนะ
00:36:04 → 00:36:06 คะต่อให้ฉันกลายเป็น Better เวอร์ชั่นของ
00:36:06 → 00:36:07 ฉันแล้วเธอเติบโเป็น Better เวอร์ชั่นของ
00:36:07 → 00:36:09 เธอมองหน้ากันต่อไม่ติด Grow apart ก็
00:36:09 → 00:36:11 เลิกอยู่ดีนะเพราะฉะนั้นอีกเรื่องนึงที่
00:36:11 → 00:36:13 แพ้ว่าสำคัญที่สุดในความสัมพัธ์คือการ
00:36:13 → 00:36:15 สื่อสารคือการแช up กันทุกวันว่าคุณกำลัง
00:36:15 → 00:36:17 เฮ้ยฉันไปเจอทางแยกนี้ฉันเลือกทางนี้นะ
00:36:17 → 00:36:20 แล้วพอเจอนี้เเจอสังคมใหม่แช up กันตลอด
00:36:20 → 00:36:22 เหมือนคนที่แบบชอบเลิกกันตอนเรียนจบจบ
00:36:22 → 00:36:25 มหาลัยหรือจบมปลายเข้ามหาลัยชีวิตเปลี่ยน
00:36:25 → 00:36:27 มักจะเลือกจุดเนี้ยเข้ามหาลัยทำงานชีวิต
00:36:27 → 00:36:29 เปลี่ยนเลิกจุดนี้เปลี่ยนที่ทำงานหรือไป
00:36:29 → 00:36:31 เข้าสังคมใหม่ๆเธอไปเจอกลุ่มเพื่อนใหม่ก็
00:36:31 → 00:36:33 มักจะเลิกกันตามข้อต่อเนี่ยเพราะว่าเรา
00:36:33 → 00:36:35 ไม่แช up กันเราไม่สื่อสารว่าตอนนี้เรา
00:36:35 → 00:36:37 อยู่สเตจไหนแล้วก็เลยคิดว่าการสื่อสาร
00:36:37 → 00:36:39 สำคัญมากๆแล้วอย่าลืมว่าเพศหญิงกับเพศชาย
00:36:39 → 00:36:41 มาจากดาวคนละดวงเพราะฉะนั้นการสื่อสาร
00:36:41 → 00:36:43 ต้องเป็นแบบที่เขาเข้าใจไม่ใช่แบบที่เรา
00:36:43 → 00:36:45 คิดว่าเราเข้าใจในวันนี้ที่หนูเชื่อว่า
00:36:45 → 00:36:47 พี่แพทเป็นคนนึงที่จะใช้คำว่ามีสติในการ
00:36:48 → 00:36:51 รักก็อาจจะได้แล้วพี่แพทอยากแบบว่าให้คำ
00:36:51 → 00:36:54 แนะนำหรือว่าแชร์บทเรียนอะไรที่จะทำให้คน
00:36:54 → 00:36:56 อื่นๆได้เข้าใจว่ารักยังไงให้มีสติอ่ะค่ะ
00:36:56 → 00:36:59 รักตัวเองให้มีมีสติก่อนแล้วถึงจะรับคน
00:36:59 → 00:37:01 อื่นอย่ามีสติได้จริงๆมันแค่นั้นเลยละมัน
00:37:01 → 00:37:04 คงกลับมาที่ตัวเองอยู่ดีกลับมารู้ทัน
00:37:04 → 00:37:07 อารมณ์ตัวเองซื่อสัตย์กับอารมณ์ตัวเอง
00:37:07 → 00:37:09 เผชิญหน้ากับตัวเองเป็นเพื่อนกับตัวเองลง
00:37:09 → 00:37:11 หลุมไปกับตัวเองไปนั่งดูว่าตัวเองรู้สึก
00:37:11 → 00:37:13 ยังไงเศร้าแล้วมันเป็นยังไงเจ็บแล้วมัน
00:37:13 → 00:37:15 เป็นยังไงแล้วค่อยเริ่มคิดว่าเราจะไปมีคน
00:37:15 → 00:37:18 ข้างๆยังไงเพราะว่าในวันที่เราเองยังไม่
00:37:18 → 00:37:20 ได้ซื่อสัตย์กับตัวเองมากพออเวลาที่เราไป
00:37:20 → 00:37:22 เจอใครอีกคนนึงมันก็จะเป็นความสัมพันธ์
00:37:22 → 00:37:24 ที่มันไม่ได้เอาข้างในมาเจอกันจริงๆอ่ะ
00:37:24 → 00:37:27 เนาะมันก็จะมีปัญหาอยู่ดีเราไม่มีสติกับ
00:37:27 → 00:37:29 ตัวเองยังไงเราก็จะไม่มีสติกับความรักแบบ
00:37:29 → 00:37:30 นั้นแหละก็คิดว่าสุดท้ายก็กลับมาที่ความ
00:37:30 → 00:37:32 รักตัวเองมันก็เป็นคำพูดคลีเชในยุคนี้มาก
00:37:33 → 00:37:35 เลยแต่ว่าก็ยังคิดว่ามันเป็นสิ่งที่สำคัญ
00:37:35 → 00:37:38 แล้วคนที่อกหักอ่ะค่ะพี่แพทเราจะอกหักยัง
00:37:38 → 00:37:40 ไงให้ชีวิตมันดีขึ้นอกหักแล้วชีวิตไม่แย่
00:37:40 → 00:37:42 ลงเงี้ยค่ะคิดให้ออกว่าอกหักครั้งนี้ทำ
00:37:42 → 00:37:44 ให้ชีวิตฉันดีขึ้นอย่างไรอย่างน้อยๆคนที่
00:37:44 → 00:37:47 ไม่ใช่ก็ออกไปแล้วเนาะถึงแม้ว่าจะเจ็บ
00:37:47 → 00:37:49 ขนาดไหนก็ตามแต่ว่าแบบเหมือนที่บอกไปตอน
00:37:49 → 00:37:53 แรกๆเลย่ะแพเชื่อว่าทุกอย่างคือ blessing
00:37:53 → 00:37:55 ทุกอย่างคือของขวัญขึ้นอยู่กับว่าเราอ่าน
00:37:55 → 00:37:58 มันออกหรือเปล่าทฤษฎีเนี่ยมันจะมีเส้น
00:37:58 → 00:38:01 กราฟเส้นหนึ่งจำชื่อไม่ได้ละเดี๋ยวไปหามา
00:38:01 → 00:38:04 ให้อีกทีว่าคุณจะต้องผ่าน Stage ไหนบ้าง
00:38:04 → 00:38:06 Stage of grief ซึ่งขอให้รู้ว่ามันจะ
00:38:06 → 00:38:09 มีสจต่างๆที่คุณต้องผ่านแล้วไม่ต้องตกใจ
00:38:09 → 00:38:11 แล้วสจเหล่านี้กระโดดข้ามกันไปกันมาได้
00:38:11 → 00:38:14 เช่นมันจะมีสจที่คุณโกรธมากๆอยากจะทำลาย
00:38:14 → 00:38:17 ข้าของอยากจะไปทำร้ายเ้าอยากจะไปเขียน
00:38:17 → 00:38:19 กระดาษด่าบ้านเสจนี้ก็จะเป็น Stage ที่
00:38:19 → 00:38:21 คุณควรจะต้องไปทำกิจกรรมแคทีเช่นไปต่อย
00:38:21 → 00:38:24 มวยไปทำกิจกรรมที่มันใช้พลังเยอะๆมันจะมี
00:38:24 → 00:38:26 สตกที่คุณดิ่งมากๆ deess มากหน้าอยู่กับ
00:38:26 → 00:38:28 บ้านกองอยู่กับพืนร้องให้น้ำตาเป็นสาย
00:38:28 → 00:38:30 เลือดก็ขอให้รู้ว่ามันเป็น Stage หนึงที่
00:38:30 → 00:38:32 มันต้องผ่านมันจะมี Stage denial denial
00:38:32 → 00:38:36 คือการปฏิเสธไม่หรอกเดี๋ยวก็กลับมาหรือสจ
00:38:36 → 00:38:38 ที่แบบว่าถ้าฉันทำแบบนั้นตอนนั้นตอนนี้คง
00:38:38 → 00:38:41 ไม่เลิกกันหรือถ้าตอนนี้ฉันทำแบบนี้เขา
00:38:41 → 00:38:42 อาจจะกลับมาอันนี้เป็น Stage deni All
00:38:43 → 00:38:45 ทั้งหมดคือแว่าการที่เรารู้ทฤษฎีอ่ะมันทำ
00:38:45 → 00:38:47 ให้เราทันว่าสิ่งที่เราเป็นอยู่อ่ะมัน
00:38:47 → 00:38:49 เป็นสจหนึของการเจ็บหลังจากเลิกนะเมื่อ
00:38:49 → 00:38:51 มันดิ่งลงไปถึงที่สุดอ่ะอย่าได้กลัวการ
00:38:51 → 00:38:54 ดิ่งเพราะการดิ่งคือสัญญาณของการยอมรับ
00:38:54 → 00:38:57 ความจริงการที่เราเริ่มดิ่งๆๆๆๆลงไปว่า
00:38:57 → 00:38:59 แบบมันมันไม่กลับมาแล้วแหละชีวิตจะยังไง
00:38:59 → 00:39:02 วะไม่ไหวแน่ๆตายแน่ๆทนไม่ได้แน่ๆอยู่ไม่
00:39:02 → 00:39:04 ได้แน่ๆไม่ไหวเลยว่ะเจ็บขอโทษนะเจ็บ
00:39:04 → 00:39:07 ฉิบหายนั่นน่ะคือสัญญาณดีด้วยซ้ำว่ากราฟ
00:39:07 → 00:39:10 กำลังจะผงบหัวขึ้นแล้วขอให้อยู่กับมัน
00:39:10 → 00:39:12 อยู่กับตัวเองแล้วเมื่อมันยอมรับความจริง
00:39:12 → 00:39:14 จริงๆว่าแบบใช่ชีวิตนี้มันจะไม่มีเขาอีก
00:39:14 → 00:39:16 แล้วเดี๋ยวมันจะขึ้นเองมันจะเริ่มคิดว่า
00:39:16 → 00:39:19 แบบโทรหาเพื่อนดีกว่าทำอะไรดีทำไงดีทำ
00:39:19 → 00:39:22 กิจกรรมใหม่ๆดีมยเนี่ยมันจะค่อยๆเริ่มงบ
00:39:22 → 00:39:24 หัวขึ้นอันนี้คือเป็นทางทฤษฎีที่เรารู้
00:39:24 → 00:39:26 สึกว่าพอรู้แล้วมันทำให้เข้าใจสภาพที่เรา
00:39:26 → 00:39:29 เป็นอยู่ว่าเป็นยังไงแต่ถ้าพูดง่ายๆก็คือ
00:39:29 → 00:39:31 คงอยู่เป็นเพื่อนความรู้สึกตัวเองให้มาก
00:39:31 → 00:39:33 มั้งคะคือถ้ามันไม่ไหวแล้วต้องการฉีดยาชา
00:39:33 → 00:39:35 จริงๆก็ทำฉีดยาชาคืออย่างเช่นแบบปาร์ตี้
00:39:35 → 00:39:37 เอาจริงๆกินเหล้ากับเพื่อนมันก็คือเราไม่
00:39:37 → 00:39:39 ได้บอกว่ามันดีแต่เราบอกว่ายุคนี้มันเป็น
00:39:39 → 00:39:41 เรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และเป็นหนึ่งใน
00:39:41 → 00:39:44 หนทางที่มันจะน้ำไปได้ไม่กี่ชั่วโมงแล้ว
00:39:44 → 00:39:45 เสร็จแล้วมันก็จะกลับมาสู่ความจริงอยู่ดี
00:39:46 → 00:39:47 แต่ว่าถ้าไม่ไหวจริงๆไปฉีดยาชาได้แต่พอ
00:39:47 → 00:39:49 ฉีดยาชาเสร็จแล้วให้กลับมาอยู่กับความรู้
00:39:49 → 00:39:51 สึกตัวเองต่อแต่พอมันเริ่มจะทนไม่ไหวเฉีย
00:39:51 → 00:39:54 จะทาอีกก็ได้ฟังเพลงออกไปหาเพื่อนทำ
00:39:54 → 00:39:56 กิจกรรมอะไรที่มันแบบถมๆไปก่อนแต่ว่าสิ่ง
00:39:56 → 00:39:59 นึงที่เราว่าสำหรับเรามันเป็นมันได้ผลดี
00:39:59 → 00:40:01 ที่สุดคือออกกำลังกายอะไรก็ได้ให้เสีย
00:40:01 → 00:40:03 เหงื่อเยอะๆทำไงก็ได้ให้ร่างกายมัน
00:40:03 → 00:40:05 เหนื่อยมากๆพอร่างกายเหนื่อยมากๆแล้วสมอง
00:40:05 → 00:40:07 มันจะไม่เพอเจอเองค่ะจริงๆตอนนั้นตอนที่
00:40:07 → 00:40:10 เราอกหักนะเราวิ่งวันละ 7 กวิ่งทุกวัน
00:40:10 → 00:40:12 วิ่งเพื่อให้มันร่างกายมันเหนื่อยมากจน
00:40:12 → 00:40:14 สมองมันคิดเรื่องอื่นไม่ได้นอกจากความ
00:40:14 → 00:40:16 เมื่อยแล้วก็กลับบ้านมาคือแบบเหนื่อยมาก
00:40:16 → 00:40:18 วิ่งไปบางทีวิ่งไปร้องไห้ไปวิ่งไปน้ำตาก็
00:40:18 → 00:40:21 ไหลไปก็ปล่อยให้มันแบบไหลก็ไหลร้องโกรธก็
00:40:21 → 00:40:24 โกรธก็วิ่งๆๆๆๆๆๆแล้วพอกลับบ้านมาแบบอาบ
00:40:24 → 00:40:27 น้ำเหนื่อยหลับแทนที่เมื่อก่อนร้องไห้ให้
00:40:27 → 00:40:29 จนหลับกลายเป็นว่าแไม่ไหวแล้วร้องไห้กูก็
00:40:29 → 00:40:31 ไม่ไหวแล้วคูนอนก่อนอะไรเงี้ยแล้วมันก็
00:40:31 → 00:40:33 กลายเป็นว่าพอร่างกายเรามันได้ออกกำลัง
00:40:33 → 00:40:35 กายสารดีๆในร่างกายมันก็หลัออกมาแล้ว
00:40:35 → 00:40:38 ชีวิตมันจะค่อย่อๆดีขึ้นเองก็ส่วนตัวก็
00:40:38 → 00:40:40 ยังคิดว่า physical Change การเปลี่ยน
00:40:40 → 00:40:43 แปลงทาง physical อ่ะมันกลับมาช่วยการ
00:40:43 → 00:40:45 เปลี่ยนแปลงาว emotional ได้จริงๆในวัน
00:40:45 → 00:40:47 ที่เราไม่สามารถใช้สติในการดึงเตนกลับมา
00:40:47 → 00:40:50 ได้อ่ะค่ะให้เปลี่ยนกิจกรรมให้เปลี่ยน
00:40:50 → 00:40:52 กายภาพพอเปลี่ยนกายภาพปุ๊บจิตใจมันจะ
00:40:52 → 00:40:55 เปลี่ยนเองแล้วทุกวันนี้ค่ะพี่แพทมีมุม
00:40:55 → 00:40:58 มองต่อเรื่องของการจากลายยังไงบ้างค่ะก็
00:40:58 → 00:41:00 ถ้าการจากลมันก็มีจากเป็นกับจากตายเนาะ
00:41:00 → 00:41:03 จากตายเราอาจจะเลือกไม่ได้มากนักจากเป็น
00:41:03 → 00:41:05 เลือกได้แล้วก็ค่อนข้างระมัดระวังกับการ
00:41:05 → 00:41:07 จากเป็นมากๆในทุกวันนี้ก็คือจะพยายาม make
00:41:07 → 00:41:10 ชัวว่าเราไม่จากเป็นกับใครในแบบที่เราจะ
00:41:10 → 00:41:12 เสียใจทีหลังถ้านี่เป็นครั้งสุดท้ายที่
00:41:12 → 00:41:15 เราเจอกันพยายามที่จะกลับไปเคลียร์ทุก
00:41:15 → 00:41:17 อย่างที่เราเคยมีความรู้สึกผิดใจไม่ว่า
00:41:17 → 00:41:19 เขาจะรู้หรือไม่ก็ตามอ่ะแต่เราจะกลับไป
00:41:19 → 00:41:21 เคลียร์กับเขาแล้วก็บอกเขาว่าเรารู้สึก
00:41:21 → 00:41:23 แบบนี้ไม่รู้ว่าคุณรู้สึกหรือเปล่าแต่เรา
00:41:23 → 00:41:25 รู้สึกเราอยากขอโทษหรือเราอะไรเงี้ก็ตาม
00:41:25 → 00:41:27 จะพยายามไม่จากเป็นกับใครแบบที่จะเสียใจ
00:41:27 → 00:41:29 ถ้านี่คือครั้งสุดท้ายที่เจอกันอันนี้คือ
00:41:29 → 00:41:31 เรื่องหนึส่วนการจากตายเนี่ยพี่แพทใช้คำ
00:41:31 → 00:41:33 ว่าอาจจะเลือกไม่ได้มากนักเนี่ยเพราะว่า
00:41:33 → 00:41:35 เราอาจจะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่แต่จริงๆเรา
00:41:35 → 00:41:37 เลือกได้ว่าเราจะจากกันอย่างไรแล้วโดย
00:41:37 → 00:41:39 ส่วนตัวก็ค่อนข้างเดินทางใส่จิตวิญญาณมา
00:41:39 → 00:41:41 สักพักทำให้เรารู้ว่าโของเราทุกคนอันนี้
00:41:41 → 00:41:43 ก็คือแล้วแต่วิจารณญาณทุกท่านนะคะแต่
00:41:43 → 00:41:45 สำหรับแพทคือแพทเชื่อแล้วว่าโของเราคือ
00:41:45 → 00:41:47 นักเดินทางเรามาอยู่ที่นี่เพื่อเรียนรู้
00:41:48 → 00:41:50 ชีวิตในฐานะมนุษย์ 1 ชีวิตแล้วเราเดินทาง
00:41:50 → 00:41:52 ต่อเพราะฉะนั้นมันไม่ได้มีการจักกันที่
00:41:52 → 00:41:54 แท้จริงอยู่แล้วมันเป็นการจักกันใน
00:41:54 → 00:41:56 conscious ของมนุษย์แต่ว่าจริงๆเราก็จะ
00:41:56 → 00:41:58 คงจะไปเจอกันอีกทีในสภาวะอื่นหรืออะไรได้
00:41:58 → 00:42:00 ก็ตามส่วนตัวก็เลยรู้สึกว่ามันไม่ได้น่า
00:42:00 → 00:42:02 กลัวขนาดนั้นมันคือการ depart จากสภาวะ
00:42:02 → 00:42:04 หนึ่งไปสู่อีกสภาวะหนึ่งแต่ที่บอกว่ามัน
00:42:04 → 00:42:06 เลือกมันเลือกได้ประมาณหนึ่งก็คือเรา
00:42:06 → 00:42:08 เตรียมตัวก่อนหน้านั้นได้ไม่ว่าจะเป็น
00:42:08 → 00:42:10 เตรียมตัวตัวเราเองหรือเตรียมตัวคนที่เรา
00:42:10 → 00:42:12 รักก็ตามเดี๋ยวนี้มันมีคอร์สความตายเกิด
00:42:12 → 00:42:15 ขึ้นเยอะแยะมากการที่มันเป็นเรื่องที่แบบ
00:42:15 → 00:42:18 สังคมไทยกรอบเดิมของเราอ่ะบอกว่าสิ่งเ
00:42:18 → 00:42:20 เป็นเรื่องไม่มงคลเป็นสิ่งที่ไม่ควรพูด
00:42:20 → 00:42:22 ถึงเป็นการแช่งกันเวลาที่เราคุยกันใน
00:42:22 → 00:42:24 ครอบครัวเรื่องความตายแต่ไอ้ความเชื่อ
00:42:24 → 00:42:26 เหล่านั้นน่ะมันทำให้เราเสียหายกันมาเท่า
00:42:26 → 00:42:28 ไหร่แล้วอ่ะมันทำให้เราแบบเมื่อมันเกิด
00:42:28 → 00:42:30 ขึ้นแล้วมันตั้งรับไม่ทันกันสักฝ่ายมันทำ
00:42:30 → 00:42:33 ให้เรามีความเสียใจภายหลังมี reget มาก
00:42:33 → 00:42:35 มายมีสิ่งที่เราอยากจะทำอยากจะขอโทษอยาก
00:42:35 → 00:42:37 จะอะไรมากมายมันควรจะเปลี่ยนได้แล้วไหม
00:42:37 → 00:42:39 ว่าแบบเรามาเตรียมตัวกันเถอะว่าเราจะไม่
00:42:39 → 00:42:42 เสียดายถ้าเราจากกันทำให้ดีที่สุดต่อให้
00:42:42 → 00:42:43 เราไม่รู้เมื่อไหร่อ่ะมันเตรียมตัวได้เรา
00:42:43 → 00:42:47 คุยกันไว้ก่อนได้แล้วก็สจก่อนตายอ่ะมันมี
00:42:47 → 00:42:50 หลักการของมันอยู่อยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นสา
00:42:50 → 00:42:52 ไหนก็ตามตะวันตกหรือว่าตอนออกมันมีอยู่
00:42:52 → 00:42:54 แล้วอ่ะอยากให้ทุกคนลองเรียนรู้สิ่งนั้นม
00:42:54 → 00:42:56 เราจะได้ไม่กลัวเวลาที่เราจะต้องผ่าน
00:42:56 → 00:42:58 จังหวะนั้นจริงๆอแล้วแพ็คก็มีเพื่อนที่
00:42:58 → 00:43:01 อยู่ในกลุ่มที่เขาเพิ่งเพิ่งเสียแล้วเขา
00:43:01 → 00:43:03 ก็เลือกที่จะเหมือนกับจากโดยการอยู่กับ
00:43:03 → 00:43:05 ที่บ้านไม่อยู่กับที่โรงพยาบาลเนาะอยู่
00:43:05 → 00:43:07 กับที่บ้านแล้วก็จากไปในอ้อมกอดของพี่สาว
00:43:07 → 00:43:09 แต่เขาอ่ะเรียนรู้สเจนี้ไว้อยู่แล้วว่า
00:43:09 → 00:43:11 เขาจะต้องผ่านอะไรบ้างแล้วเขาบอกคนทุกคน
00:43:11 → 00:43:13 รอบตัวว่าเดี๋ยวมันจะเป็นแบบนี้นะมันจะ
00:43:13 → 00:43:15 ผ่านความเจ็บปวดแต่หลังจากความเจ็บปวด
00:43:15 → 00:43:17 แล้วเขาจะไม่เจ็บแล้วหลังจากเขาไม่เจ็บ
00:43:17 → 00:43:19 แล้วเนี่ยเขาจะย้อนกลับไปเป็นเด็กจะมีวัย
00:43:19 → 00:43:21 จะมีความทรงจำเด็กๆมากมายที่สวยงามมาแต่
00:43:21 → 00:43:24 ว่าถ้าเรารู้ทั้งตัวเราและคนรอบเราอ่ะสุด
00:43:24 → 00:43:27 ท้ายแล้วมันสวยงามมากแพทได้รับมาจากพี่
00:43:27 → 00:43:29 สาวของเพื่อนแพทเลยว่าแบบทุกคนแบบโมเมนต์
00:43:29 → 00:43:31 สุดท้ายจริงๆมันสวยงามมากเมื่อเราได้อยู่
00:43:31 → 00:43:33 ในอ้อมก่อนคนที่เรารักก็เลยรู้สึกว่าการ
00:43:33 → 00:43:36 จากลามันจริงๆมันสวยงามนะมันอาจจะเป็น
00:43:36 → 00:43:39 ความคิดถึงมันอาจจะมีความทรมานอยู่ในนั้น
00:43:39 → 00:43:41 แต่ว่ามันสวยงามในความที่ว่ามันเป็นหลัก
00:43:41 → 00:43:43 ถ่ายว่าเรามีชีวิตอยู่ในความรักอย่างแท้
00:43:43 → 00:43:46 จริงอย่างไรบ้างอ่ะก็เลยคิดว่ามุมมอง
00:43:46 → 00:43:48 สำหรับเราตอนนี้ก็คงไม่ได้บอกว่าพร้อมแต่
00:43:48 → 00:43:51 คิดว่ามีมุมมองต่อมันที่ค่อนข้างบวกเรียก
00:43:51 → 00:43:54 ว่าอย่างนี้ะกันถ้าคนที่จากเป็นหรือว่า
00:43:54 → 00:43:58 เคยมีบาดแผลที่เกิดขึ้นในดีพี่แพทมีคำแนะ
00:43:58 → 00:44:00 นำยังไงว่าเราจะสามารถ Move on จากบาด
00:44:00 → 00:44:02 แผลเรานั้นได้ยังไงบ้างคะแนะนำหนังสือให้
00:44:03 → 00:44:06 เล่มนึงได้มครับแพทอ่านอยู่พอดีเพราะว่า
00:44:06 → 00:44:08 แบบรู้สึกว่าจะได้ใช้ในการทำงานของตัวเอง
00:44:08 → 00:44:11 ทั้งตอนที่เล่นบนเวทีแล้วก็การเล่น
00:44:11 → 00:44:13 คริสตัลโบวแล้วก็การที่จะเดินทางต่อไปมัน
00:44:13 → 00:44:15 ชื่อว่า healing is the new High ค่ะ
00:44:15 → 00:44:18 เขาพูดถึงเรื่องการ process การผ่าน
00:44:18 → 00:44:20 ทราม่าของตัวเองทั้งหมดเลยเป็น Self work
00:44:21 → 00:44:22 เป็น Inner work แล้วก็แพว่าเป็นงาน
00:44:22 → 00:44:24 ละเอียดที่ควรจะเป็นศาสตร์พื้นฐานที่
00:44:24 → 00:44:26 มนุษย์ทุกคนได้รู้อ่ะมันจะกลับไปพูด
00:44:26 → 00:44:28 เหมือนเดิมอีกแล้วอ่ะคือตอนที่จริงๆการ
00:44:28 → 00:44:31 จากเป็นเนี่ยมันก็ผ่านกราฟเดียวกันก็คือ
00:44:31 → 00:44:33 มันต้องเข้าใจสกว่าตัวเองกำลังจะต้องผ่าน
00:44:33 → 00:44:35 สิ่งเหล่านี้เพื่อที่ฉันจะหายอ่ะหรือแม้
00:44:35 → 00:44:37 แต่เพื่อนที่อยู่ข้างๆอะไเงี้ยค่ะต้อง
00:44:37 → 00:44:38 เข้าใจว่าการที่เขากระโดดกลับไปกลับมา
00:44:38 → 00:44:40 ระหว่างคิดได้คิดไม่ได้คิดได้คิดไม่ได้
00:44:40 → 00:44:42 หรือว่าฉันจะไม่มีทางกลับไปหามันอีกแบ
00:44:42 → 00:44:44 เอ๊ะแต่หรือถ้าฉันจะกลับไปงอกเข้าดีอะไร
00:44:44 → 00:44:46 เงี้คือขอให้ทุกคนเข้าใจว่ามันเป็นคุณ
00:44:46 → 00:44:49 กำลังเริ่มต้นกันเส้นทางของการฮีลแล้วณ
00:44:49 → 00:44:51 โมเมนต์ที่คุณรู้ตัวว่าคุณอยากจะหายแบบ
00:44:51 → 00:44:54 รู้ตัวว่าแบบอยากดีขึ้นทำไงดีอะไรเงี้ย
00:44:54 → 00:44:55 นั่นคือเริ่มแล้วนะคะแต่ไม่ได้แปลว่าเส้น
00:44:55 → 00:44:58 ทางนี้มันจะเป็นเส้นทางที่สวยงามมันจะแบบ
00:44:58 → 00:45:00 มันจะมีบัมมันจะแบบว่าขุขะมันจะต้อง
00:45:00 → 00:45:02 เลี้ยวผิดเลี้ยวถูกคือขอให้รู้ว่าเส้นทาง
00:45:03 → 00:45:05 การทวได้เกิดขึ้นแล้วนะตั้งแต่วันที่เรา
00:45:05 → 00:45:08 รู้ตัวว่าเราอยากจะดีขึ้นแต่ว่าไม่อยาก
00:45:08 → 00:45:10 ต้องไม่คาดหวังว่ามันจะเป็นเส้นทางเรียบ
00:45:10 → 00:45:13 หรูสวยงามแล้วถ้าคนที่อยากเพิ่ม Self
00:45:13 → 00:45:15 esteem ให้กับตัวเองเนี่ยพี่แพทมีวิธี
00:45:15 → 00:45:18 แนะนำมคะว่าทำยังไงดีคือเราเชื่อว่าทุก
00:45:18 → 00:45:20 อย่างที่เป็นปัญหาในวันนี้ที่เรารู้สึก
00:45:20 → 00:45:22 ว่ามันติดอ่ะมันเกิดมาจากในอดีตสักเรื่อง
00:45:22 → 00:45:24 นึงมันถึงมาทริกเกอร์เราในวันนี้ S
00:45:24 → 00:45:26 esteem วันเนี้ที่เราไม่มีบางทีอาจจะ
00:45:26 → 00:45:28 ต้องไม่อยากให้ทำเองเลยเพราะว่ามันไม่
00:45:28 → 00:45:30 ค่อยปลอดภัยเชิงอารมณ์เท่าไหร่อ่ะแต่ส่วน
00:45:30 → 00:45:33 ตัวรู้สึกว่าการกลับไปค่อยๆดูว่าที่มาของ
00:45:33 → 00:45:34 การไม่มี Self esteem ของเราอ่ะมันเกิด
00:45:35 → 00:45:37 ขึ้นเมื่อไหร่มันเป็นการขุดต้นตอที่แบบ
00:45:37 → 00:45:39 หายสนิทที่สุดแล้วอ่ะสมมุติแพทมีปัญหา
00:45:39 → 00:45:42 เรื่องเมื่อก่อนเคยรู้สึกว่าเแออมแล้วตัว
00:45:42 → 00:45:44 ดำแล้วทุกครั้งที่มีคนพูดเรื่องเนี้ยเรา
00:45:44 → 00:45:46 จะไม่มั่นใจเสิมตกแต่พอมาย้อนกลับไปคิด
00:45:46 → 00:45:48 จริงๆอ่ะว่าตุเริ่มต้นเยมันมาจากเมื่อ
00:45:48 → 00:45:51 ไหร่มันมาจากตอนประถมเลยนะแล้วจังหวะนั้น
00:45:51 → 00:45:53 เราสมมุติเราเต้นบัลเลย์เรียนบัลเลย์แล้ว
00:45:53 → 00:45:54 มีครูคนนึงที่พูดอะไรบางอย่างกับเราที่
00:45:54 → 00:45:57 เขาไม่ได้ตั้งใจอ่ะแต่มันสร้างแผเด็กคน
00:45:57 → 00:45:58 นั้นแล้วแล้วเด็กคนนั้นน่ะอยู่กับเรา
00:45:58 → 00:46:01 เพราะฉะนั้นจริงๆการที่เรากลับไปเข้าใจ
00:46:01 → 00:46:03 ว่ามันเกิดขึ้นเมื่อไหร่แล้วไปแพทจะใช้คำ
00:46:04 → 00:46:06 ว่าไปเรคิเด็กคนนั้นน่ะคือเอาตัวเราในวัน
00:46:06 → 00:46:08 เนี้ยวันนี้แอยู่ 40 ถ้าเจอปุ๊บว่าโห
00:46:08 → 00:46:11 ตอนป 2 มีครูคนนึงเคยพูดอย่างงี้กับเรา
00:46:11 → 00:46:13 ไว้แล้วเราจำตั้งแต่ตอนนั้นน่ะมันต้องไป
00:46:13 → 00:46:15 อันนี้แน่เลยอ่ะที่ทำให้เราเซไตีเรืแล้ว
00:46:15 → 00:46:17 ต่ำแก็จะขับรถบัสอายุ 40 เป็นคนขับรถบัส
00:46:17 → 00:46:19 กลับไปเรสคิวเด็กคนนั้นไปทำความเข้าใจกับ
00:46:19 → 00:46:22 เขาแล้วพอถ้าเราเข้าใจแล้วจริงๆอ่ะมันหาย
00:46:22 → 00:46:24 จริงๆนะแต่ว่าเราอ่ะเลยบอกว่าอันนี้มัน
00:46:24 → 00:46:26 เป็นการบำบัดขั้นค่อนข้างลึกซึ่งแพไม่แน่
00:46:26 → 00:46:28 ใจว่าแบบมันมันทำได้ด้วยตัวเองหรือเปล่า
00:46:28 → 00:46:30 มันอาจต้องมีคนช่วยเราในครั้งแรกๆแต่ถ้า
00:46:30 → 00:46:33 เพิ่ม Self esteem ในแบบอื่นถ้าจะให้ตอบ
00:46:33 → 00:46:35 อ่ะแพทมองว่ามันเป็นการฉีดยาชาหมดเลยแน
00:46:35 → 00:46:37 บองว่ามันไม่หายขาดถ้าคุณไม่ได้แก้ที่ต้น
00:46:38 → 00:46:40 ต่อมันไม่หายขาดต่อให้คุณรู้สึกว่าคุณไม่
00:46:40 → 00:46:42 มั่นใจหน้าตาตัวเองคุณไปทำหน้ามันทำได้
00:46:43 → 00:46:44 ที่ภายนอกนะแต่ข้างในมั่นใจจริงๆหรือ
00:46:45 → 00:46:47 เปล่ามันหายจริงๆหรือเปล่าแล้วแล้วเมื่อ
00:46:47 → 00:46:48 ไหร่จะหายถ้าเกิดว่ามันจะต้องเติมจากข้าง
00:46:48 → 00:46:50 นอกไปเรื่อยๆมันจะต้องแก้ไขจากข้างนอกไป
00:46:50 → 00:46:52 เรื่อยๆเมื่อไหร่มันจะหายเมื่อไหร่ที่คุณ
00:46:52 → 00:46:55 จะหายก็ต่อเมื่อคุณรู้สึก Comfortable in
00:46:55 → 00:46:57 Everything that you are จริงๆอยู่ดี
00:46:57 → 00:46:59 เพราะว่าเติมหน้าหรือว่าแต่งตัวมันก็หลอก
00:46:59 → 00:47:01 คนได้แค่ข้างนอกเอาจริงๆแต่ข้างในมันไม่
00:47:01 → 00:47:04 ได้ถูกการดูแลมันก็ไม่หายขาดอ่ะค่ะ
00:47:04 → 00:47:06 ปัจจุบันนี้พี่แพทมีวิธีเคลียร์พลังงานลบ
00:47:06 → 00:47:09 แล้วก็เพิ่มพลังบวกให้กับตัวเองยังไงบ้าง
00:47:09 → 00:47:13 มาค่ะทุกคนเข้าสมาธิค่ะอ้าถามจริงๆใช่ป่ะ
00:47:13 → 00:47:15 ถามจริงเราเชื่อว่าทุกอย่างคือพลังงานตาง
00:47:15 → 00:47:18 วิทยาศาสตร์ก็เชื่อแบบนั้นแล้วคัมฟิสิกส์
00:47:18 → 00:47:20 ก็พูดแบบนั้นว่าในเซลล์ที่เล็กที่สุดของ
00:47:20 → 00:47:22 เราอะตอมของเรามันมีแบบนิวเคลียสใช่มย
00:47:22 → 00:47:24 แล้วมีอิเล็กตรอนวิ่งใช่มย 90% คืออากาศ
00:47:24 → 00:47:26 แล้วถ้างั้นตัวเราคืออะไรอ่ะสุดท้ายมัน
00:47:26 → 00:47:28 คืออากาศมาเชื่อมๆๆๆกันสุดท้ายเราคือพลัง
00:47:29 → 00:47:31 งานแล้วเราก็เป็นพลังงานที่เป็นฟองน้ำดูด
00:47:31 → 00:47:33 ซับทุกอย่างรอบตัวบวกลบบวกลบลับหมดแปลว่า
00:47:33 → 00:47:35 จริงๆมันบีบออกได้แต่ลว่ามันเคลียร์ออก
00:47:35 → 00:47:38 ได้วิธีการของแพรก็คือมันเป็นการผสมผสาน
00:47:38 → 00:47:40 ศาสตร์หลายๆศาสตร์อ่ะค่ะก็คือมีทั้งแบบ
00:47:40 → 00:47:42 จีนทิเบสฝรั่งพุทธหมดทุกอย่างเลยก็คือเอา
00:47:42 → 00:47:45 จริงๆก็คือทุกครั้งที่ก่อนขึ้นโชว์หรือ
00:47:45 → 00:47:47 หลังจากโชว์เสร็จหรือเมื่อไหร่ก็ตามที่
00:47:47 → 00:47:48 เรารู้สึกว่าพลังงานไม่บาานคำว่าไม่
00:47:48 → 00:47:51 Balance คือเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่ค่อย
00:47:51 → 00:47:52 เบาหรือเริ่มรู้สึกว่าอยู่ดีๆก็หงุดหงิด
00:47:52 → 00:47:54 หรืออยู่ดีๆก็หนักอย่างเงี้ยเมื่อไหร่ก็
00:47:54 → 00:47:56 ตามที่รู้สึกอย่างงั้นน่ะแพ้จะใช้การ
00:47:56 → 00:47:58 เชื่อมโยงฟ้าฟ้าคนดินซึ่งอันนี้ยถ้าเป็น
00:47:58 → 00:47:59 ภาษาจีนเนี่ยจะรู้อยู่แล้วคนที่เขาเรียน
00:47:59 → 00:48:01 เรื่องปลาเรื่องอะไรอย่างเงี้ยฟ้าคนดิน
00:48:01 → 00:48:03 แต่ฝรั่งเขาก็ก็ฟ้าคนดินเหมือนกันแต่เป็น
00:48:03 → 00:48:06 สัสัเขาก็คือเอาพลังงานสะอาดมาล้างเรา
00:48:06 → 00:48:08 แล้วก็คิดในใจว่าแบบอะไรที่มันส่วนเกิน
00:48:08 → 00:48:10 อะไรที่มันลบอะไรที่มันเป็นสีเทาอะไรที่
00:48:10 → 00:48:12 มันไม่บาลานซ์อยู่เราขออนุญาตฝากลงดินก็
00:48:12 → 00:48:15 คือเอาสว่างมาจากข้างบนล้างแล้วก็เท้า
00:48:15 → 00:48:17 เปล่าเหยียบดินได้ก็เหยียบคิดว่ามีลากลง
00:48:17 → 00:48:20 ไปเลยก็ได้เสร็จแล้วก็ขอขอเลยขอแบบขอโง่ๆ
00:48:21 → 00:48:22 เลยอ่ะคือเราเชื่อว่ามีพลังงานสว่างอยู่
00:48:22 → 00:48:25 เราเชื่อว่ามีพลังงานที่ดีงามอยู่พลังงาน
00:48:25 → 00:48:27 ระดับสูงอะไรก็ตามล้างให้หน่อยขออย่างงี้
00:48:27 → 00:48:30 เลยค่ะล้างแล้วก็บอกว่าฝากลงไปพระแม่ธรณี
00:48:30 → 00:48:33 ฝากลงไปไปไปไหนก็ได้ฝากไปล้างข้างล่างก็
00:48:33 → 00:48:35 ไม่รู้ว่าจริงไม่จริงยังไงแต่ว่าทุกวัน
00:48:35 → 00:48:37 นี้ก็คือไม่ค่อยมีผลกระทบแล้วอ่ะเมื่อ
00:48:37 → 00:48:39 ก่อนแทเป็น Post Performance depression
00:48:39 → 00:48:41 ทุกครั้งเพราะว่าเราขึ้นเวทีหรือเราขึ้น
00:48:41 → 00:48:42 ไปแสดงเสร็จปุ๊บเราเก็บพลังงานกลับมา
00:48:42 → 00:48:45 เสร็จแล้วมันเนออกไม่ได้ adar มันฉีด High
00:48:45 → 00:48:46 วันรุ่งขึ้นเราจะเกิดอาการ Post
00:48:46 → 00:48:47 Performance depression คือเป็น
00:48:48 → 00:48:49 depression ชั่วคราวเดี๋ยวนี้ไม่เป็น
00:48:49 → 00:48:52 แล้วนะไม่เป็นแบบหายสนิทเลยซึ่งเราก็คิด
00:48:52 → 00:48:54 ว่างั้นที่เราทำอยู่มันอาจจะใช่ในเมื่อ
00:48:54 → 00:48:57 เราทุกคนคือพลังงานก็ลองดูมันไม่ไม่มีข้อ
00:48:57 → 00:48:59 เสียอะไรเลยในสิ่งที่เรารู้สึกว่าต่อให้
00:48:59 → 00:49:00 เราไม่สามารถพิสูจน์ได้อ่ะแต่ว่ามันไม่
00:49:00 → 00:49:03 ได้มีผลเสียมยการที่เราขอให้พลังงานอันดี
00:49:03 → 00:49:05 งามผ่านตัวเราล้างของเราลงไปรพลังงานเสีย
00:49:05 → 00:49:08 แล้วฝากไปกับพื้นถ้าจะไปทางพุทธเลยแพก็
00:49:08 → 00:49:10 เคยไปถามพระอาจารย์ว่าพระอาจารย์คะเวลา
00:49:10 → 00:49:12 ที่มีคนสาพลังงานแบบไม่ดีใส่เราอ่ะทำไง
00:49:12 → 00:49:15 อะไรเงี้ยมีคนแบบเรารู้สึกว่าเราโดดอทค
00:49:15 → 00:49:16 อย่างเงี้ยพระอาจารย์บอกว่าก็เอาตัวไปรับ
00:49:16 → 00:49:18 ใช่มยล่ะเพราะแสดงว่ายังคิดว่ายังมีตัวมี
00:49:18 → 00:49:20 ตนอยู่ถ้าไม่มีตัวเราอ่ะแล้วอะไรจะไปรับ
00:49:21 → 00:49:23 สมมุติมีคนปาปาขี้ใส่เราเพราะว่าเราเอา
00:49:23 → 00:49:25 ตัวเราไปรับเราถือว่ามีตัวเราเราเลยรู้
00:49:25 → 00:49:28 สึกว่าเราเลอะแต่ถ้าเราไม่ถือล่ะถือทำไม
00:49:28 → 00:49:30 อ่ะหนักก็ไม่มีตัวเราเปามมามันก็ไม่โดน
00:49:30 → 00:49:33 เราอันนี้คือทางพุก็คือเป็นเทคนิคหรือ
00:49:33 → 00:49:35 เป็นวิธีการที่คล้ายๆกันก็คือเราเป็นสิ่ง
00:49:35 → 00:49:38 ผ่านน่ะผ่านไปแล้วก็อะไรที่ลบก็ไม่สามารถ
00:49:38 → 00:49:40 ผ่านเราได้เพราะว่าก็เราไม่รับอ่ะไม่ใช่
00:49:40 → 00:49:43 ไม่รับด้วยเราไม่มีอยู่ก็ผ่านเราไปเลย
00:49:43 → 00:49:46 หรือถ้ามีก็ก็ล้างล้างได้ก็คือเราเชื่อ
00:49:46 → 00:49:47 ว่าอย่างคือพลังงานมันล้างได้หมดตอนนี้
00:49:47 → 00:49:49 พี่แพทมีอะไรที่กำลังทำเพื่อพัฒนาตัวเอง
00:49:49 → 00:49:52 อยู่อีกบ้างมยคะก็กำลังฝึกเรื่องว่าแบบ
00:49:52 → 00:49:54 เวลาเจออะไรกระทบใจอ่ะค่ะหรือใครทำอะไร
00:49:54 → 00:49:57 พูดอะไรไม่ดีสำหเราเราเจ็บอ่ะก็จะทวสทุก
00:49:57 → 00:50:00 ครั้งทวสว่าไม่ไม่ไปโฟกัสที่เขาอ่ะจะมา
00:50:00 → 00:50:02 โฟกัสที่ตัวเองถ้าเราเจ็บเรื่องเนี้ยแปล
00:50:02 → 00:50:03 ว่าเรามีอะไรติดค้างกับเรื่องนี้อยู่แน่ๆ
00:50:04 → 00:50:05 เลยคือบางทีเรื่องเล็กเลยน้อยๆอ่ะอย่าง
00:50:05 → 00:50:07 เช่นแบบสมมุติเขาพูดอะไรที่ไม่เกี่ยวกับ
00:50:07 → 00:50:10 เราเลยอยู่ๆมันเข้าหูเราแล้วมันปึ้งจี๊ด
00:50:10 → 00:50:12 เข้ามาในหัวเราอ่ะก็จะไม่ได้ไปคิดว่าแบบ
00:50:12 → 00:50:14 ทำไมเขาเป็นคนแบบนี้หรือทำไมเขาพูดแบบนี้
00:50:14 → 00:50:16 แต่มันจะกลับมาทำงาน Inner work ของตัว
00:50:16 → 00:50:18 เองแทนว่าแบบทำไมประเด็นนี้ถึงจี๊ดกับเรา
00:50:18 → 00:50:20 มันก็มีเรื่องอย่างเงี้ยเข้ามาให้เรา
00:50:20 → 00:50:22 เหมือนกับเรียนกับตัวเองทุกวันน่าจะ
00:50:22 → 00:50:24 ประมาณนี้มากกว่าที่ที่ทุกวันนี้ทำอยู่
00:50:24 → 00:50:26 เพราะว่าเป้าหมายของเราในระยะเรียกว่า 10
00:50:26 → 00:50:28 ปีแล้วกันเนาะคือแบบเราเพิ่งพึ่ง 40 ไป
00:50:28 → 00:50:30 เมื่อเเดือนเดือนนี้แล้วก็เป้าหมายของเรา
00:50:30 → 00:50:32 ใน 10 ปีคือเราอยากจะเป็นคนที่อยู่อย่าง
00:50:32 → 00:50:35 มีความสุขอ่ะอยู่อย่างเบาสบายและเป็น
00:50:35 → 00:50:38 อิสระในทางใจก็เลยคิดว่าจริงเหลนี้แหละ
00:50:38 → 00:50:40 ที่จะก็ต้องฝึกไปทุกวันน่ะเพื่อที่จะไป
00:50:40 → 00:50:42 ถึงจุดที่มันอาจจะไม่มีจุดนั้นน่ะจุดที่
00:50:42 → 00:50:44 เรื่องที่กระทบมันน้อยลงเรื่อยๆแล้วเรา
00:50:44 → 00:50:46 เข้าใจว่ามันกระทบเราในจุดไหนในปมไหนของ
00:50:46 → 00:50:49 เราเราก็ค่อยๆค่อยๆเคลียร์ไปไม่ได้รู้สึก
00:50:49 → 00:50:51 ว่าใจร้อนอะไรกับตัวเองก็ค่อนข้างใจเย็น
00:50:51 → 00:50:54 กับตัวเองอยู่เป็นเพื่อนกับหัวใจตัวเองไป
00:50:54 → 00:50:56 แล้วจับมืออยู่ข้างๆกันโอเคเรื่องนี้มัน
00:50:56 → 00:50:58 กระทบเราแล้วยังไงดีอะไรเงี้ยเลือกที่จะ
00:50:58 → 00:51:00 เวิร์คกับตัวเองมากกว่าเนาะในหลายๆอย่าง
00:51:00 → 00:51:02 เพราะว่ารู้สึกว่าการที่เราเวิร์คกับตัว
00:51:02 → 00:51:04 เองแล้วมันมันออโต้ไปเวิร์คเรื่องอื่นหมด
00:51:04 → 00:51:06 เลยอ่ะมันกลายเป็นว่าทำงานทุกอย่างง่าย
00:51:06 → 00:51:09 ขึ้นทำงาน long hour ได้โดยที่ไม่รู้สึก
00:51:09 → 00:51:11 เหนื่อยสามารถที่จะแบบทำงานติดๆๆๆกันโดย
00:51:11 → 00:51:13 ที่เราไม่มีอารมณ์เสียเลยทั้งหมดทั้งปวง
00:51:13 → 00:51:14 นี้มันมาจากการที่เราทำ Inner work
00:51:14 → 00:51:16 อย่างเดียวเลยอ่ะเออมันรู้สึกว่าพอข้างใน
00:51:16 → 00:51:18 เราเบาข้างในเราสบายประสิทธิภาพในการทำ
00:51:18 → 00:51:20 งานก็เยอะขึ้นฉลาดขึ้นหมายถึงว่าตัดสินใจ
00:51:20 → 00:51:23 อะไรได้คมมากขึ้นมีเวลาในการทำทุกอย่าง
00:51:23 → 00:51:25 ได้อย่างไม่น่าเชื่อออกกำลังกายได้ออก
00:51:25 → 00:51:27 กำลังกายได้นั่งสมาธิได้อ่านหนังสือตลอด
00:51:27 → 00:51:30 เวลาแล้วได้ทำงานเยอะมากๆแล้วแถมยังได้ทำ
00:51:30 → 00:51:32 อะไรใหม่ๆตลอดเวลาถ้าเป็นตอนที่มัวแต่ไป
00:51:32 → 00:51:34 เครียดหรือมัวแต่ทำอย่างอื่นน่ะมันไม่ได้
00:51:34 → 00:51:35 เลยอ่ะกลายเป็นว่าพอเราเคลียร์ข้างใน
00:51:35 → 00:51:37 เคลียร์ข้างในกลายเป็นว่าทุกอย่างชีวิตโว
00:51:37 → 00:51:39 มากก็เลยคิดว่าน่าจะสำหรับเราคงจะถูกทาง
00:51:39 → 00:51:41 แล้วกับการที่เราทำข้างในตัวเองเราสามารถ
00:51:42 → 00:51:44 ที่จะให้คนอื่นได้ได้อย่างไม่เน็ดไม่
00:51:44 → 00:51:46 เหนื่อยทั้งๆที่เมื่อก่อนคืออยากจะทำให้
00:51:46 → 00:51:48 คนอื่นนะแต่ทำแล้วเหนื่อยจังเลยอะไรอย่า
00:51:48 → 00:51:50 เงี้ยตอนนี้มันเหมือนแบบพอเราทำข้างในเรา
00:51:50 → 00:51:52 เลยๆแล้วก็แบบทำได้ทำได้ทำได้ทำได้ทำได้
00:51:52 → 00:51:54 Flow มากอะไรเงี้ยพี่แพทมีมุมมองต่อ
00:51:54 → 00:51:57 เรื่องการมีน้ำใจเพื่อนมันมนุษย์เนี่ยมี
00:51:57 → 00:52:00 น้ำำใจต่อกันยังไงบ้างคะจริงๆแล้วในพื้น
00:52:00 → 00:52:02 ฐานของมนุษย์ทุกคนน่ะเรารักกันมากนะคะ
00:52:02 → 00:52:05 ข้างในเราทุกคนรักกันมากเรารู้ว่าเพื่อน
00:52:06 → 00:52:08 มนุษย์ทุกคนน่ะเมื่อเราเห็นเขาเป็นเหมือน
00:52:08 → 00:52:10 เราอ่ะเราจะเข้าใจว่าเราอยากให้เขาได้ใน
00:52:10 → 00:52:12 สิ่งที่ดีเหมือนกับที่เราอยากได้ให้กับ
00:52:12 → 00:52:14 ตัวเองอ่ะคือแว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เรา
00:52:14 → 00:52:16 เมตตากับตัวเองจริงๆอ่ะแล้วเราจะเมตตากับ
00:52:16 → 00:52:19 ทุกคนเลยอ่ะคำว่าน้ำใจมันจะมันเป็นโปดัก
00:52:19 → 00:52:21 ของมันมันเป็นการทำที่ออโต้เพียงแต่ว่าพอ
00:52:21 → 00:52:24 เราเหนื่อยมากๆหรือเรารู้สึกว่าเราเหมือน
00:52:24 → 00:52:26 เรารู้สึกว่าโลกทำร้ายเรามากๆอ่ะเรามักจะ
00:52:26 → 00:52:28 เผเผตัวเห็นแก่ตัวแล้วมันจะเผลอตัวไม่ได้
00:52:28 → 00:52:29 ให้น้ำไม่ได้ให้อะไรกับคนอื่นไม่ได้มีน้ำ
00:52:29 → 00:52:31 ใจกับคนอื่นน่ะเพราะฉะนั้นจริงๆส่วนตัว
00:52:32 → 00:52:34 แล้วคิดว่าแค่ย้อนกลับไปในส่วนที่ลึกที่
00:52:34 → 00:52:36 สุดของจิตใจจทุกคนว่าจริงๆแล้วเราเกิดมา
00:52:36 → 00:52:38 จากความรักแล้วเราทุกคนดำรงอยู่ได้ด้วย
00:52:38 → 00:52:40 ความรักกันทั้งนั้นแล้วจริงๆลึกๆแล้วอ่ะ
00:52:40 → 00:52:42 เมื่อเรารู้จักเขาจริงๆอ่ะเราก็หวังดีกับ
00:52:42 → 00:52:44 ทุกคนนะคือแม้แต่คนที่เราทะเลาะด้วยอ่ะ
00:52:44 → 00:52:46 ถึงเวลานั่งคุยกันจริงๆจับมือกันจริงๆมอง
00:52:46 → 00:52:48 หน้ากันจริงๆอ่ะเราก็รู้ว่าข้างในจริงๆ
00:52:48 → 00:52:50 แล้วเราแบบเราอยากให้และรับความรักต่อกัน
00:52:50 → 00:52:51 อยู่ดีอะไรเงี้ยเราก็เลยรู้สึกว่าเรายัง
00:52:51 → 00:52:53 คงเชื่อในจิตใจเบื้องลึกของมนุษย์ทุกคน
00:52:53 → 00:52:56 ว่าแบบเรามีความหวังดีให้กันเป็นพื้นฐาน
00:52:56 → 00:52:59 อยู่แล้วก็เลยคิดว่าคำว่าน้ำใจมันเป็นมัน
00:52:59 → 00:53:00 ดูเป็นสิ่งเป็นสิ่งที่ควรจะเป็นเรื่อง
00:53:00 → 00:53:02 ธรรมดาไม่ไม่ควรจะเป็นสิ่งที่ควรจะต้อง
00:53:02 → 00:53:04 เอามายกย่องเชื่อชูกันด้วยซ้ำอะไรเงี้ย
00:53:04 → 00:53:06 เหมือนเวลาที่คนพูดว่าการไม่นอกใจแฟนเป็น
00:53:06 → 00:53:08 เรื่องที่ต้องเชิดชูคือเราไม่ใช่นั่นคือ
00:53:08 → 00:53:10 เรื่องธรรมดานั่นคือสิ่งที่มนุษย์ปกติเขา
00:53:10 → 00:53:12 ต้องทำกันอยู่แล้วการมีน้ำใจก็คือการที่
00:53:12 → 00:53:14 เราอยากให้คนอื่นเขาอยู่ในความสบายแบบ
00:53:14 → 00:53:16 เดียวกับที่เราอยู่ก็ก็แค่นั้นเองมันไม่
00:53:16 → 00:53:19 ใช่สิ่งที่แบบโหคนนี้เป็นคนดีมีน้ำใจแล้ว
00:53:19 → 00:53:21 สำหรับเรามันไม่ใช่อ่ะเออถ้าฉันอยู่ใน
00:53:21 → 00:53:23 สภาวะที่ทำให้เธอได้ฉันก็จะทำแค่นั้นเอง
00:53:23 → 00:53:25 แล้วก็ไม่ได้คิดว่ามันเป็นการที่เราเป็น
00:53:25 → 00:53:27 คนดีหรืออะไรหรือเวลาที่ใครทำอะไรให้เรา
00:53:27 → 00:53:29 เราขอบคุณเให้มากแต่ว่าเวลาที่เราทำอะไร
00:53:29 → 00:53:31 ให้คนอื่นมันเราแค่อยากให้เขาได้ในสิ่ง
00:53:31 → 00:53:33 ที่มันโอเคอ่ะเหมือนกับที่เราก็อยากได้
00:53:33 → 00:53:34 ให้กับตัวเองอะไรอย่างเงี้ยค่ะพี่แพท
00:53:34 → 00:53:37 เนี่ยเคยอยากเปลี่ยนใครมคะเมื่อก่อนก็
00:53:37 → 00:53:39 ต้องอยากเปลี่ยนทุกคนอยู่แล้วมอ่ะคือ
00:53:39 → 00:53:41 เหมือนแบบยิ่งช่วยแรกๆที่เราเริ่มค้นพบ
00:53:41 → 00:53:43 เส้นทางเยเราจะแอีโก้ใหญ่มากว่าอยากจะ
00:53:43 → 00:53:44 เล่าให้คนอื่นฟังอยากจะอะไรเงี้ยแต่ว่า
00:53:44 → 00:53:46 ไอ้ตอนที่อยากจะเปลี่ยนเนี่ยก็ก็มีช่วง
00:53:46 → 00:53:49 นึงแต่ทำแล้วทุกข์มากเลยไม่ได้อย่างใจไ
00:53:49 → 00:53:50 แล้วก็ต้องมาถามตัวเองว่าทำทำไมนะหมายถึง
00:53:50 → 00:53:52 ว่าอยากจะเปลี่ยนคนอื่นเหมือนจะหวังดีกับ
00:53:52 → 00:53:54 เขแต่สุดท้ายแล้วทุกข์ทุก์ทั้งเทุกข์ทั้ง
00:53:54 → 00:53:56 เราแล้วเราทำอะไรอยู่วะอะไรอย่างเงี้ย
00:53:56 → 00:53:57 เหมือนแบบทำไมเราถึงอยากเปลี่ยนเขาย้อน
00:53:58 → 00:53:59 กลับไปข้อแรกๆเลยก็คือสุดท้ายเราอยาก
00:53:59 → 00:54:01 เปลี่ยนเขาเพราะว่าจะเติมอีโก้ตัวเองใช่
00:54:01 → 00:54:03 มั้ยอยากให้เขาเปลี่ยนตามที่เราบอกใช่
00:54:03 → 00:54:04 มั้ยแล้วพะมันก็สะท้อนจิ้มมาที่เราอย่าง
00:54:05 → 00:54:07 งี้เรารู้สึกเลยว่าตัวเองเป็นจอมวงการน่ะ
00:54:07 → 00:54:09 ไม่ใช่คนที่เป็นคนหวังดีกับคนอื่นจริงๆ
00:54:09 → 00:54:11 อ่ะมันคือจริงๆเราคือจอมวงการอยากไป
00:54:11 → 00:54:13 เปลี่ยนเขาอะไรเงี้ยปัจจุบันนี้ไม่ไม่ได้
00:54:13 → 00:54:15 อยากเปลี่ยนใครแล้วใช่มมคะคิดว่าทุกคน
00:54:15 → 00:54:17 ต้องทำเองคิดว่าการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง
00:54:17 → 00:54:19 ของเขาเป็นเรื่องของเขาเป็นชีวิตของเขา
00:54:19 → 00:54:21 แล้วมันเพิ่งมีประโยคก็เป็นอาจารย์คนนึง
00:54:21 → 00:54:23 ท่านเขียนไว้เหมือนกันมันอาจจะเป็นคำคนละ
00:54:23 → 00:54:26 คำอ่ะันนี้เเป็นเเป็นคำที่เไว้สอน healer
00:54:26 → 00:54:27 คือหมาถึงว่าสอนนักบำบัดแต่แพว่ามันก็
00:54:27 → 00:54:29 คล้ายๆกันแหละคนที่อยากไปเปลี่ยนแปลงคน
00:54:29 → 00:54:30 อื่นก็คือคิดว่าตัวเองจะแบบฉันจะเป็นนัก
00:54:30 → 00:54:32 บำบัดฉันจะแบบฉันจะเปลี่ยนชีวิตเธอฉันจะ
00:54:32 → 00:54:34 อะไรอย่างเงี้ยเค้าบอกว่าจริงๆหน้าที่ของ
00:54:34 → 00:54:37 ีอจริงๆแล้วอ่ะมันคือการที่เราอ่ะแผ่พลัง
00:54:37 → 00:54:40 งานของ healed state Heal Ed นะ Heal
00:54:40 → 00:54:43 state คือสภาวะของการสบายดีส่งออกไปให้
00:54:43 → 00:54:46 ทุกคนแล้วถ้าผู้ดรับคนไหนอ่ะเขารับพลัง
00:54:46 → 00:54:48 งานนั้นได้แล้วเรู้สึกว่าโหฉันอยากจะแช
00:54:48 → 00:54:50 พลังงานนี้จังหรืออยากจะมีพลังงานแบบนี้
00:54:50 → 00:54:52 จังนั่นแหละแค่นั้นเลยคือหน้าที่ของ
00:54:52 → 00:54:55 ฮีลเลอร์ส่งพลังงานแบบนี้ออกไปของสภาวะ
00:54:55 → 00:54:57 ความสบายดีเสร็จแล้วคนนั้นน่ะเขาจะฮีลตัว
00:54:57 → 00:55:00 เขาเองไม่ใช่เราไปจับเขาฮีลเขาจะเป็นคน
00:55:00 → 00:55:03 เริ่มต้นถามเราเองว่าต้องทำยังไงหรือเขา
00:55:03 → 00:55:06 จะเป็นคนสแสวงหาวิธีการที่จะให้ได้สภาวะ
00:55:06 → 00:55:08 Heal สตของเขาเองก็เลยค่อนข้างเชื่อใน
00:55:08 → 00:55:10 ศักยภาพของมนุษย์แต่ละคนว่าจริงๆแล้วสุด
00:55:11 → 00:55:12 ท้ายการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้เกิดขึ้น
00:55:12 → 00:55:14 จากตัวเขาคนเดียวที่ไม่สามารถมีใครไป
00:55:14 → 00:55:16 บังคับเขาได้ต่อให้บังคับได้ก็จะไม่ใช่ผล
00:55:16 → 00:55:18 ที่ยั่งยืนก็เลยคิดว่าถ้าอยากเปลี่ยนแปลง
00:55:18 → 00:55:21 อะไรก็คงอยากจะไปเปลี่ยนใครก็คงต้องทำตัว
00:55:21 → 00:55:24 เองให้อยู่ในสภาวะ Heal ตดอ่ะแบบว่าดู
00:55:24 → 00:55:26 เป็นคนที่อยู่ในสภาวะสะภายดีแล้วเขาจะ
00:55:26 → 00:55:29 อยากมาแมชกับสิ่งนี้เองพี่เพชรว่าคน1ึคน
00:55:29 → 00:55:32 น่ะสามารถที่จะทำให้โลกนี้มันดีขึ้นได้
00:55:32 → 00:55:34 ยังไงคะถ้าคิดขนาดนั้นมันก็จะดูท้อแท้
00:55:34 → 00:55:36 เหมือนกันนะคือแพว่ามันเป็นความคิดที่
00:55:36 → 00:55:38 ยิ่งใหญ่ก็จริงแต่ว่าแพว่าการคิดแบบนั้น
00:55:38 → 00:55:40 มันจะทำให้คนคิดจะท้อแท้การที่คิดว่าแสง 1
00:55:40 → 00:55:42 แสงจะทำให้โลกสว่างมันเป็นไปไม่ได้อยู่
00:55:42 → 00:55:44 แล้วอ่ะมันคือเราทุกคนต้องช่วยกันทำให้
00:55:44 → 00:55:47 มันสว่างแล้วก็วิธีการเดียวก็คือรักษาแสง
00:55:47 → 00:55:49 ของตัวเองไว้เจอใครก็เติมไฟให้กันจุดไฟ
00:55:49 → 00:55:51 ให้กันเสร็จแล้วรอบๆตัวเราก็สว่างใช่มย
00:55:51 → 00:55:53 แล้วก็ไอ้ก้อนที่สว่างนี้ก็กระจายตัวไป
00:55:53 → 00:55:55 แล้วไปจุดที่อื่นสว่างจุดที่อื่นสว่าง
00:55:55 → 00:55:57 แล้วสุดท้ายมันคือทุกคนน่ะอยากจะสว่าง
00:55:57 → 00:55:59 ด้วยตัวเองคือมันไม่มีใครคนใดนคนนึงที่
00:55:59 → 00:56:01 สามารถทำให้โลกทั้งโลกสว่างได้เราคิดว่า
00:56:01 → 00:56:03 การคิดอย่างงั้นน่ะดูจะถือตัวเองยิ่งใหญ่
00:56:03 → 00:56:06 เกินเหมือนกันนะก็ดูเป็นอีโก้อย่างนึงดู
00:56:06 → 00:56:08 เป็นถือตัวถือตนว่าตัวเองเก่งกว่าคนอื่น
00:56:08 → 00:56:10 ซึ่งมันไม่ใช่มันเรามีหน้าที่แค่ประคอง
00:56:10 → 00:56:13 แสงของเราแล้วถ้าเราได้ไปเจอใครไปแลก
00:56:13 → 00:56:15 เปลี่ยนพลังงานกับใครก็แค่ทำให้กันและกัน
00:56:15 → 00:56:17 สว่างแล้วเสร็จแล้วเราก็กระจายไปทำให้ที่
00:56:17 → 00:56:19 อื่นแบบสว่างอะไรอย่างเงี้ยมันน่าจะเป็น
00:56:19 → 00:56:21 แบบนั้นมากกว่าว่าโลกทางโลกมันต้องสว่าง
00:56:21 → 00:56:23 ด้วยคนทุกคนที่อยากจะยกระดับทางจิตใจไป
00:56:23 → 00:56:27 ด้วยกันอะไรเงี้ยค่ะสวัสดีค่ะแพทวงเคลีย
00:56:27 → 00:56:29 นะคะวันนี้แพทอยากจะมาอวยพรปีใหม่นะคะให้
00:56:29 → 00:56:31 กับเพื่อนๆในเพจเกลานิสัยอันตรายนะคะที่
00:56:31 → 00:56:34 เห็นถืออยู่ในมือนี่คือแต่งเพลงให้ค่ะทุก
00:56:34 → 00:56:36 คนเป็นเพลงอวยพรปีใหม่นะคะแต่ว่าแปลงมา
00:56:36 → 00:56:39 จากเพลงคำยินดีนะคะจะได้มีคำยินดี
00:56:39 → 00:56:41 เวอร์ชั่นที่มันแบบว่าสำหรับอวยพรปีใหม่
00:56:41 → 00:56:43 นะคะแต่งสดๆเมื่อกี้เลยนะคะก็หวังว่าจะ
00:56:43 → 00:56:45 เป็นปีที่ดีที่สุดแล้วก็ง่ายที่สุดสำหรับ
00:56:45 → 00:56:50 ทุกๆคนแล้วกันเนาะขอให้ชีวิตมีแต่ความสด
00:56:50 → 00:56:58 ใสไหว่าสิ่งไหนง่ายไปหมดทุกอย่างขอให้
00:56:58 → 00:57:05 ชีวิตง่ายและดีไม่มีจืดจางมีรักเียงข้าง
00:57:05 → 00:57:12 ไม่มีความทุกข์ใดขอให้ชีวิตดียิ่งกว่าที่
00:57:12 → 00:57:19 ฝันข้ามความเปลี่ยนผันเกลานิสัยง่ายรายขอ
00:57:19 → 00:57:26 ให้ชีวิตดีที่สุดทั้งใจและกายสองแสงดงาม
00:57:26 → 00:57:31 ตลอดไปให้รักคุ้มครองจิตใจไม่รู้
00:57:31 → 00:57:35 ใครเยสวัสดีพี่ใหม่นะคะขอให้ชีวิตนั่น
00:57:35 → 00:57:38 แหละค่ะง่ายและดีแล้วก็ขอให้จิตใจเบาสบาย
00:57:38 → 00:57:41 ตลอดปีค่ะทำไมเราไม่เกลาตัวเองก่อนที่เรา
00:57:41 → 00:57:55 จะไปเกลาคน
00:57:55 → 00:57:59 อื่นอ