00:00:00 → 00:00:02 4 สาเหตุปวดกระบอกตาเกิดจากอะไรได้บ้าง
00:00:02 → 00:00:04 คนไข้ของหมอนะคะเคยเป็นไมเกรนมาก่อน
00:00:05 → 00:00:07 ไมเกรนเนี่ยหายสนิทไปหลายสิบปีมากๆะแล้ว
00:00:07 → 00:00:10 ก็อยู่ดีๆเนี่ยปวดหัวมีตาแดงน้ำตาไหล
00:00:10 → 00:00:13 เพราะอะไรปวดศีรษะชนิดคลาสเตอร์อันที่ 2
00:00:13 → 00:00:16 ก็คือเป็นโรคทางตาอันที่ 3 เป็นกลุ่ม
00:00:16 → 00:00:19 อาการตาล้าหรือว่ากลุ่มอาการที่ใช้สายตา
00:00:19 → 00:00:22 เยอะมากๆนะคะอันที่ 4 ไซนัสอักเสบนั่นเอง
00:00:22 → 00:00:25 สังเกตอาการตัวเองได้ยังไงบ้างที่อันตราย
00:00:25 → 00:00:27 ต้องรีบไปพบแพทย์มาฟังกันเลยนะคะกลับมา
00:00:27 → 00:00:29 เจอกันอีกแล้วนะคะวันนี้เราจะมาคุยกัน
00:00:29 → 00:00:32 เรื่องเรื่อง 4 สาเหตุปวดกระบอกตานะคะว่า
00:00:33 → 00:00:35 เกิดจากอะไรได้บ้างมาให้ฟังกันนะคะหลายคน
00:00:35 → 00:00:38 นะคะเวลามีอาการปวดตาก็จะเข้าใจว่าเราอ่ะ
00:00:38 → 00:00:41 น่าจะเป็นโรคทางตาใช่มั้คะแต่ว่าจริงๆ
00:00:41 → 00:00:43 แล้วเนี่ยการปวดกระบอกตาอย่างนะคะหรือโดย
00:00:43 → 00:00:46 เฉพาะคนที่มีอาการปวดศีรษะร่วมด้วยอันนี้
00:00:46 → 00:00:48 เนี่ยอาจจะไม่ได้เกิดจากโรคทางตาอย่าง
00:00:48 → 00:00:50 เดียวนะคะวันนี้หมอก็รวมมา 4 สาเหตุเลย
00:00:50 → 00:00:53 ซึ่งเป็น 4 สาเหตุที่เจอได้กับคุณหมอทุก
00:00:53 → 00:00:56 แผนกเลยนะคะเนาะอันแรกก็จะเป็นเรื่องของ
00:00:56 → 00:00:58 ปวดศีรษะชนิดคลาสเตอร์ซึ่งเป็นโรคของหมอ
00:00:58 → 00:01:01 สมองของเราเองรวมไปถึงไมเกรนด้วยอันที่ 2
00:01:01 → 00:01:04 ก็คือเป็นโรคทางตาโดยเฉพาะกลุ่มต้อหิน
00:01:04 → 00:01:08 เฉียบพันธุอันที่ 3 เป็นกลุ่มอาการตาล้า
00:01:08 → 00:01:10 หรือว่ากลุ่มอาการที่ใช้สายตาเยอะมากๆนะ
00:01:10 → 00:01:12 คะจนทำให้ปวดหัวหรือที่เราเรียกพวก
00:01:12 → 00:01:14 computer Vision Syndrome และสุดท้าย
00:01:14 → 00:01:17 อันที่ 4 ก็คือกลุ่มอาการของหูคอจมูกหรือ
00:01:17 → 00:01:19 ไซนัสอักเสบนั่นเองทีนี้นะคะเดี๋ยวเรามา
00:01:19 → 00:01:22 ฟังกันนะคะว่าแต่ละสาเหตุเนี่ยเราจะมี
00:01:22 → 00:01:26 วิธีการสังเกตอาการตัวเองได้ยังไงบ้างนะ
00:01:26 → 00:01:29 คะแล้วอาการปวดหัวปวดกระบอกตาของเราเนี่ย
00:01:29 → 00:01:32 เข้าขายได้กับกลุ่มไหนแบบไหนที่อันตราย
00:01:32 → 00:01:36 ต้องรีบไปพบแพทย์แบบไหนที่รอได้ก็มาฟัง
00:01:36 → 00:01:39 กันเลยนะคะอันแรกค่ะโรคแรกเลยนะคะก็คือ
00:01:39 → 00:01:43 เป็นโรคปวดศีรษะคลัสเตอร์หลายคนน่ะจะเคย
00:01:43 → 00:01:46 ได้ยินเ่าปวดศีรษะคลัสเตอร์จากคลิปที่หมอ
00:01:46 → 00:01:49 เคยพูดแล้วแต่บางคนอาจจะได้ยินครั้งนี้
00:01:49 → 00:01:52 เป็นครั้งแรกปวดศีรษะคลัสเตอร์คืออะไรก็
00:01:52 → 00:01:56 คือถือเป็นโรคปวดศีรษะชนิดนึงซึ่งคนไข้
00:01:56 → 00:01:58 เนี่ยก็จะมีอาการปวดหัวข้างเดียวได้คล้าย
00:01:59 → 00:02:02 ๆกับไมเกรนเลยซึ่งเดี๋ยวเราจะต้องแยก 2
00:02:02 → 00:02:04 โรคนี้ออกจากกันแต่ปวดศีรษะคลัสเตอร์ที่
00:02:04 → 00:02:06 เอามาพูดเนี่ยเพราะว่าปวดศีรษะคลัสเตอร์
00:02:06 → 00:02:10 เนี่ยเป็นอะไรที่ปวดหัวแล้วปวดบริเวณ
00:02:10 → 00:02:13 กระบอกตาเด่นๆเลยเพราะฉะนั้นหลายครั้ง
00:02:13 → 00:02:16 เนี่ยคนไข้เนี่ยปวดตาปวดเหมือนแบบมีอะไร
00:02:16 → 00:02:19 ทะลุออกมาปวดเหมือนมีอะไรทิ่มอยู่ในตา
00:02:19 → 00:02:21 เนี่ยบางทีโอเคไม่ได้มาหาเหมอสมองไปหาหมอ
00:02:21 → 00:02:24 ตาก่อนแต่บางครั้งถ้ามีอาการปวดหัวร่วม
00:02:24 → 00:02:27 ด้วยเราก็จะได้มาเจอเ่อคุณหมอสมองกันที
00:02:27 → 00:02:29 นี้เรามารู้จักกันนะคะว่าปวดศีรษะ
00:02:29 → 00:02:31 คลาสเตอร์นะคะคะอาการเป็นยังไงจากรูปนี้
00:02:31 → 00:02:36 จะเห็นว่าตาเค้านะคะมีอาการยังไงบ้างคะตา
00:02:36 → 00:02:40 แดงมีน้ำตาไหลมีน้ำมูกไหลแล้วก็หนังตา
00:02:40 → 00:02:43 เนี่ยดูเหมือนตกกว่าอีกข้างใช่มยคะถ้าเรา
00:02:43 → 00:02:46 ส่องเข้าไปในบริเวณรูม่านตาจริงๆจะเห็น
00:02:46 → 00:02:49 ว่ารูม่านตาจุดกลางๆดำๆของคนไข้นะคะจะ
00:02:49 → 00:02:51 เล็กลงกว่าอีกข้างแต่บางครั้งเราก็ไม่ได้
00:02:51 → 00:02:53 สังเกตอันนี้เนี่ยส่วนใหญ่อ่ะคนไข้ที่ปวด
00:02:53 → 00:02:56 คลาสเตอร์จริงๆนะเอาจริงๆอ่ะเขาไม่ได้มา
00:02:56 → 00:02:58 บอกหมอหรอกว่าปวดหัวแล้วก็มีตาแดงน้ำตา
00:02:58 → 00:03:00 ไหลด้วยเพราะว่าตอนที่เวลาเราปวดหัวเรา
00:03:00 → 00:03:02 ไม่ได้สังเกตเราไม่ได้ส่องกระจกเราก็จะ
00:03:03 → 00:03:05 ไม่รู้หรอกว่าเรามีสิ่งนี้ร่วมด้วยหลายคน
00:03:05 → 00:03:07 อาจจะคิดว่าเอ้ยมันปวดหัวมากจนน้ำตามัน
00:03:07 → 00:03:10 ไหลออกมาเองจนเหมือนร้องไห้แล้วก็น้ำมูก
00:03:10 → 00:03:13 ไหลก็เหมือนแบบคนร้องไห้อ่ะน้ำหูน้ำตาไหล
00:03:13 → 00:03:15 อะไรแบบเนี้ยเลยไม่ได้คิดว่าเอ้ยนี่น่าจะ
00:03:15 → 00:03:17 เป็นอาการปวดคลัสเตอร์นะก็ไปคิดว่าเป็น
00:03:17 → 00:03:20 ไมเกรนก็ได้ซึ่งอาการของตัวอ่าอาการระบบ
00:03:20 → 00:03:23 ประสาทอัตโนมัติที่ผิดปกติอันนี้เนี่ย
00:03:23 → 00:03:25 ส่วนใหญ่จะเกิดข้างเดียวซึ่งเป็นข้าง
00:03:25 → 00:03:27 เดียวกับที่ปวดศีรษะอันเนี้ยเป็นสิ่งที่
00:03:27 → 00:03:30 สังเกตได้ง่ายเพราะถ้าเกิดเราเป็นน้ำตา
00:03:30 → 00:03:32 ไหลหรือว่าน้ำมูกไหลจากที่มีสาเหตุอย่าง
00:03:32 → 00:03:34 อื่นเช่นเราเป็นภูมิแพ้อากาศหรืออะไร
00:03:34 → 00:03:36 อย่างเงี้ยร่วมด้วยแบบนั้นก็ควรจะ 2 ข้าง
00:03:36 → 00:03:39 เพราะฉะนั้นพอเราซักประวัตไปจริงๆว่าอื
00:03:39 → 00:03:42 ตอนปวดหัวที่รู้สึกปวดตาเนี่ยมีอาการแบบ
00:03:42 → 00:03:44 นี้ร่วมด้วยไมแล้วมีกี่ข้างถ้ามีข้าง
00:03:44 → 00:03:47 เดียวเป็นข้างเดียวกับที่ปวดศีรษะก็บ่ง
00:03:47 → 00:03:49 ชี้เป็นคลัสเตอร์มากขึ้นซึ่งคลัสเตอร์นะ
00:03:49 → 00:03:52 คะส่วนใหญ่เราก็จะเจอในเ่อผู้ชายมากกว่า
00:03:52 → 00:03:54 ผู้หญิงเนาะแต่ถ้าเป็นไมเกรนอย่างเงี้ย
00:03:54 → 00:03:56 เราก็จะเจอผู้หญิงมากกว่าฉะนั้นเนี่ย
00:03:56 → 00:03:58 คัสเตอร์ก็เลยเป็นอะไรที่เราอาจจะไม่ได้
00:03:58 → 00:04:00 แบบเจอกันบ่อยมากหรือเราไม่ได้นึกถึง่า
00:04:00 → 00:04:02 เป็นแรกๆนะคะถ้าเทียบกับไมเกรนก็คือเจอ
00:04:02 → 00:04:05 น้อยกว่ามากแต่ถ้าเราเจอลักษณะของอาการตา
00:04:05 → 00:04:08 ร่วมกันแบบเนี้ยมันก็ช่วยบ่งชี้ไปในทาง
00:04:09 → 00:04:11 คลัสเตอร์มากขึ้นซึ่งการปวดคลัสเตอร์
00:04:11 → 00:04:14 เนี่ยก็จะปวดได้ตั้งแต่แบบประมาณ 5 นาที
00:04:14 → 00:04:17 นะคะหรือไปจนถึง 3 ชม 2-3 ชั่วมงเลยได้
00:04:17 → 00:04:20 แล้วก็มาแบบเป็นชุดๆอ่ะค่ะคำว่าคัสเตอร์
00:04:20 → 00:04:22 คือมันมาเป็นแบบเหมือนเป็นกลุ่มเป็นกล้อน
00:04:22 → 00:04:24 เป็นชุดๆเพราะฉะนั้นเนี่ยเวลาคนไข้ปวด
00:04:24 → 00:04:27 เนี่ยก็จะแบบปวดรุนแรงตึ๊กๆๆๆแล้วก็พัก
00:04:27 → 00:04:29 แล้วก็มาใหม่วันนึงก็เป็นได้หลายๆรอบเลย
00:04:29 → 00:04:32 ซึ่งคลัสเตอร์นะคะเอ่อเป็นโรคปวดศีรษะที่
00:04:33 → 00:04:35 ควรจะมารักษาเพราะว่ามันเป็นอาการปวดที่
00:04:35 → 00:04:38 รุนแรงบางครั้งเขาก็เรียกว่าเป็นซอ Head
00:04:38 → 00:04:40 เลยคือเป็นอาการปวดศีรษะที่คนไข้รู้สึก
00:04:40 → 00:04:43 ว่าไม่ไหวะไม่อยากอยู่ละเอาหัวไปทุบกำแพง
00:04:43 → 00:04:46 หรือแบบช่วยตัดหัวออกไปทีได้ไั้ยอะไรอย่า
00:04:46 → 00:04:47 เงี้ยเพราะว่ามันไม่รู้ว่าจะจัดการกับ
00:04:47 → 00:04:49 ความปวดนี้ยังไงเพราะฉะนั้นคลาสเตอร์ก็
00:04:49 → 00:04:52 ควรจะมารักการรักษาอย่างถูกต้องทั้งใน
00:04:52 → 00:04:54 กรณีระยะเฉียบพันธนะคะที่มีอาการปวด
00:04:54 → 00:04:58 รุนแรงมากๆหรือในการในกรณีที่เป็นการป้อง
00:04:58 → 00:05:00 กันสำหรับคนที่มีอาการบ่อยบ่อยทีนี้
00:05:00 → 00:05:03 คลัสเตอร์กับไมเกรนแยกกันยังไงล่ะพูดถึง
00:05:03 → 00:05:05 คลัสเตอร์ก็ต้องพูดถึงไมเกรนด้วยเพราะว่า
00:05:05 → 00:05:08 จริงๆไมเกรนเป็นอะไรที่เจอบ่อยกว่ามากๆ
00:05:08 → 00:05:10 แต่ว่าในคลิปนี้ที่หมอไม่ได้เอามาเอา
00:05:10 → 00:05:12 ไมเกรนมาพูดเป็นอย่างแรกเพราะว่าเราพูด
00:05:12 → 00:05:15 กันเรื่องปวดกระบอกตาใช่มั้ยคะของไมเกรน
00:05:15 → 00:05:17 เนี่ยจริงๆถามว่ามีปวดกระบอกตาได้ไมยปวด
00:05:17 → 00:05:20 ได้ตามรูปด้านซ้ายนะคะก็คือจะเป็นรูปปวด
00:05:20 → 00:05:23 ศีรษะไมเกรนจะเห็นว่ามีอาการปวดได้ตั้ง
00:05:23 → 00:05:26 แต่บริเวณกระบอกตาแต่มักจะมาถึงบริเวณ
00:05:26 → 00:05:28 ขมับและไปถึงไททอยด้วยอันนี้คือตำแหน่ง
00:05:28 → 00:05:32 ของไมเกรนในขณะที่ปวดขั้นด้านขวานะคะจะ
00:05:32 → 00:05:36 เห็นว่าเป็นรูปสีที่แดงๆที่บริเวณกระบอก
00:05:36 → 00:05:38 ตาเด่นๆเนี่ยอันเนี้ยเป็นคลาสเตอร์คือเขา
00:05:38 → 00:05:41 จะปวดอยู่แค่ตรงเนี้ยเด่นๆเลยส่วนใน
00:05:41 → 00:05:43 ไมเกรนเนี่ยถามว่าปวดกระบอกตาอย่างเดียว
00:05:44 → 00:05:46 ได้ไหมจริงๆมันก็มีกลุ่มอาการไมเกรนบางคน
00:05:46 → 00:05:49 นะคะที่เคปวดกระบอกตาอย่างเดียวเขาไม่ไป
00:05:49 → 00:05:51 ขมับเขาไม่ไปท้ายทอยเลยได้เหมือนกันนะคะ
00:05:51 → 00:05:54 โดยเฉพาะคนเป็นไมเกรนที่มีอาการแบบทางตา
00:05:54 → 00:05:58 เยอะๆเนาะมีแบบ Visual ออด้วยมีเอ่ออาการ
00:05:58 → 00:06:01 แบบเห็นแสงจ้าเหเห็นแสงซิกแซกนำมาก่อนนะ
00:06:01 → 00:06:04 คะหรือเป็นไมเกรนชนิดพิเศษเลยที่เราเรียก
00:06:04 → 00:06:06 ว่าเป็นอูไมเกรนหรือว่า retinal ไมเกรนก็
00:06:06 → 00:06:08 คือเป็นไมเกรนเฉพาะที่มีอาการทางตาอย่าง
00:06:08 → 00:06:10 เดียวเลยไม่มีอาการผิดปกติอย่างอื่นเลยก็
00:06:10 → 00:06:13 ได้นะคะแต่ว่าก็จะเป็นฟอร์มที่เจอน้อย
00:06:13 → 00:06:16 กว่าคนไข้ไมเกรนทั่วไปนะคะเพราะฉะนั้นถ้า
00:06:16 → 00:06:19 เกิดคนไข้ปวดหัวปวดกระบอกตาก็อาจจะยัง
00:06:19 → 00:06:22 ต้องนึกถึงไมเกรนไว้ด้วยไม่ได้นึกถึงแค่
00:06:22 → 00:06:24 คลัสเตอร์อย่างเดียวนะคะซึ่งอันนี้เราก็
00:06:24 → 00:06:26 จะต้องดูว่าเออคนไข้เนี่ยลักษณะแพทเทิร์น
00:06:26 → 00:06:29 ของอาการปวดเป็นมายังไงถ้าเป็นไมเกรน
00:06:29 → 00:06:31 เนี่ยส่วนใหญ่จะเจอในผู้หญิงมากกว่าอย่าง
00:06:31 → 00:06:34 ในไมเกรนเนี่ยก็จะเจอผู้หญิงสัก 70% เลย
00:06:34 → 00:06:36 ในขณะที่ผู้ชายสัก 30 แต่ในทางกลับการถ้า
00:06:36 → 00:06:38 เกิดเป็นคลาสเตอร์เนี่ยก็เจอผู้ชายเยอะ
00:06:38 → 00:06:40 กว่า 50-70 per เลยผู้หญิงก็น้อยกว่า
00:06:40 → 00:06:43 เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคุณผู้หญิงเนี่ยส่วน
00:06:43 → 00:06:45 ใหญ่ก็จะยังนึกถึงไมเกรนไว้ก่อนแล้วเราก็
00:06:45 → 00:06:48 ไปซักประวัตินะคะว่าคนไข้มีอาการร่วม
00:06:48 → 00:06:51 ไมเกรนอื่นๆมนะคะเช่นเอ่อลักษณะไมเกรนก็
00:06:51 → 00:06:53 จะเป็นปวดตุบๆใช่มั้ยคะส่วนใหญ่ปวดข้าง
00:06:53 → 00:06:55 เดียวแต่โอเคบางครั้งก็จะมี 2 ข้างได้แต่
00:06:55 → 00:06:58 ว่ามักจะมีตัวกระตุ้นที่ค่อนข้างชัดเจน
00:06:58 → 00:07:01 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพวกแสงแดดอากาศร้อน
00:07:01 → 00:07:05 อากาศเปลี่ยนนะคะกลิ่นนะคะหรือคนไข้มักจะ
00:07:05 → 00:07:08 มีลักษณะพิเศษก็คือที่เราเรียกว่าแพ้แสง
00:07:08 → 00:07:10 แพ้เสียงนะคะไม่ชอบเสียงดังไม่ชอบแสงจ้า
00:07:11 → 00:07:14 นะคะที่เป็นพวกโฟโฟเบียฟนฟเบียนะคะแล้วก็
00:07:14 → 00:07:16 มักจะมีคื่นไส้อาเจียนร่วมด้วยนะคะถ้า
00:07:16 → 00:07:18 เกิดมีลักษณะโบ่งชี้ไปทางแบบนี้ก็มักจะไป
00:07:18 → 00:07:21 นึกถึงไมเกรนมากกว่าแต่ถ้าเกิดแบบว่ามี
00:07:21 → 00:07:24 อาการของระบบประสาทอัตโนมัติเด่นๆที่
00:07:24 → 00:07:26 เมื่อกี้โชว์รูปแรกตาแดงน้้ำตาไหลอะไร
00:07:26 → 00:07:28 อย่างเงี้ก็อาจจะเป็นกลุ่มพวกคลัสเตอร์
00:07:28 → 00:07:31 มากกว่ายังไงก็ตามนะคะคะคือให้คนไข้เนี่ย
00:07:31 → 00:07:34 สังเกตว่าเราเป็นกลุ่มปวดหัวที่มีปวด
00:07:34 → 00:07:37 กระบอกตาแล้วดูอาการร่วมว่าเรามีอย่างที่
00:07:37 → 00:07:39 หมอบอกไปมเนาะมีระบบประสาทอัตโนมัติผิด
00:07:40 → 00:07:44 ปกติมยมีตัวกระตุ้นหรือว่ามีอ่าลักษณะ
00:07:44 → 00:07:46 อะไรที่มาทำให้เรานึกถึงโรคแดมเป็นพิเศษ
00:07:46 → 00:07:48 หรือเปล่าอันนี้คนไข้ไม่ต้องวินิจฉัยเอง
00:07:48 → 00:07:50 นะคะแค่เพียงว่ามีลักษณะที่เข้าข่ายแบบ
00:07:50 → 00:07:53 นี้ก็ควรไปพบแพทย์นะคะเฉพาะทางเพื่อได้
00:07:53 → 00:07:55 รับการรักษาอย่างถูกต้องนะคะเพราะว่า
00:07:55 → 00:07:57 กลุ่มพวกนี้นะคะไม่ว่าจะเป็นคัสเตอร์
00:07:57 → 00:08:00 ไมเกรนเนี่ยมันจะมี 2 แบบแบบนึงก็คือเป็น
00:08:00 → 00:08:03 ชั่วคราวนะคะนานๆทีมาทีนะคะหรือที่เราว่า
00:08:03 → 00:08:05 เรียกว่าเป็นพวกกลุ่ม episodic แต่ว่าถ้า
00:08:05 → 00:08:08 เกิดปล่อยไว้ไม่รักษาปล่อยไว้เป็นนานๆ
00:08:08 → 00:08:11 เกิดอาการกำเริบบ่อยเรื่อยๆสุดท้ายก็จะ
00:08:11 → 00:08:13 กลายเป็นกลุ่มโคนิคหรือว่ากลุ่มที่เรียก
00:08:13 → 00:08:15 ว่าเรื้อรังซึ่งจะรักษามากยิ่งขึ้นแล้วก็
00:08:15 → 00:08:19 สุดท้ายมักจะนำไปสู่ภาวะสมองติดยาแก้ปวด
00:08:19 → 00:08:21 ใช้ยาแก้ปวดมากเกินไปหรือปัญหาโรคร่วม
00:08:21 → 00:08:24 อื่นๆเช่นเรื่องของวิตกกังวลซึมเศร้า
00:08:24 → 00:08:26 ปัญหาเรื่องอารมณ์ตามมาได้อ่าเมื่อกี้
00:08:26 → 00:08:28 เป็นสาเหตุของปวดศีรษะจากกลุ่มโรคปวด
00:08:28 → 00:08:30 ศีรษะก็คือเป็นคลัส
00:08:30 → 00:08:32 แล้วก็ติดไมเกรนไว้นิดนึงอันที่ 2 นะคะ
00:08:32 → 00:08:36 สาเหตุของอาการปวดหัวแล้วปวดกระบอกตาเด่น
00:08:36 → 00:08:38 ๆเลยอันนี้นะคะอาจจะไม่ใช่โรคของหมอสมอง
00:08:38 → 00:08:41 นะคะแต่เป็นโรคของคุณหมอตาซึ่งเราต้องนึก
00:08:41 → 00:08:45 ถึงแยกโรคร่วมกันไว้เสมอเลยโดยเฉพาะกลุ่ม
00:08:45 → 00:08:48 ที่เอ่อต้องรีบไปรักษาอย่างเร่งด่วนหรือ
00:08:48 → 00:08:50 ที่เราเรียกว่าต้อหินมุมปิดเฉียบพันธุ
00:08:50 → 00:08:53 อันเนี้ยน่าสนใจมากๆก็คือหมอเพิ่งเจอเคส
00:08:53 → 00:08:55 นะคะที่มาตรวจกับหมอเองโดยตรงเลยเดี๋ยวจะ
00:08:55 → 00:08:57 ขออนุญาตเล่าเคสให้ฟังเพื่อให้ทุกคนเนี่ย
00:08:57 → 00:08:59 ได้ระลึกถึงไว้ด้วยว่าเอจริงๆแล้วเราปวด
00:08:59 → 00:09:01 หัวเนี่ยเราอาจจะไม่ใช่เป็นแค่สาเหตุจาก
00:09:01 → 00:09:04 โรคสมองนะแต่เราเป็นสาเหตุจากโรคตาก็ได้
00:09:04 → 00:09:06 อันนี้นะคะเป็นรูปของคนไข้ของหมอนะคะขอ
00:09:06 → 00:09:09 อนุญาตนำมาใช้แล้วนะคะก็คือคนไข้เนี่ย
00:09:09 → 00:09:11 อายุประมาณ 69 ปีจริงๆคนไข้เนี่ยเคยเป็น
00:09:11 → 00:09:15 ไมเกรนมาก่อนตั้งแต่สมัยอายุน้อยๆ 20-30
00:09:15 → 00:09:18 ปีแต่ไมเกรนเนี่ยหายสนิทไปหลายสิบปีมากๆะ
00:09:18 → 00:09:20 นะคะแล้วอยู่ดีๆก่อนที่คนไข้จะมาเจอหมอ
00:09:20 → 00:09:23 เนี่ยก็คืออยู่ดีๆก็ปวดหัวมามากๆเลย
00:09:23 → 00:09:25 ประมาณสัก 3 วันเขาบอกว่าอยู่ดีๆอ 3 วัน
00:09:25 → 00:09:28 ปวดหัวแบบเหมือนจากเดิมที่คิดว่าไมเกรน
00:09:28 → 00:09:30 เราหายไปแล้วเอทำไมอยู่ดีๆกลับมาปวดซึ่ง
00:09:30 → 00:09:33 ลักษณะอาการปวดหัวเนี่ยเด่นอยู่ที่ตรง
00:09:33 → 00:09:35 กระบอกตาแล้ววันนั้นเนี่ยก็คือมีอาการของ
00:09:35 → 00:09:39 ตาแดงนะคะรู้สึกน้ำตาไหลนะคะรู้สึกเคือง
00:09:39 → 00:09:43 ตาแสบตาร่วมด้วยคนไข้ก็กินยาก็ไม่ดีขึ้น
00:09:43 → 00:09:45 วันนั้นวัดความดันก็คือความดันก็ขึ้นสูง
00:09:45 → 00:09:49 ปรีดไปเลยก็โอเคนอนไปแล้วก็รอดูอาการ
00:09:49 → 00:09:52 ปรากฏว่าวัน 2 วันแล้วก็ยังอาการไม่ดี
00:09:53 → 00:09:55 ขึ้นก็ยังมีอาการปวดศีรษะอยู่ก็เลยไป
00:09:55 → 00:09:58 เสิร์ชหาข้อมูลว่าเอปวดตาตาแดงอะไรเงี้ย
00:09:58 → 00:10:00 คนไข้บอกว่าก็คือจะคลิปหมอคลิปที่เป็น
00:10:00 → 00:10:03 เรื่องของอาการปวดศีรษะคลาสเตอร์คนไข้ก็
00:10:03 → 00:10:06 ฟังเลยฟังจนจบคลิปแล้วบอกว่าใช่แน่ๆก็เลย
00:10:06 → 00:10:08 มาตรวจตอนคนไข้เดินเข้ามาตรวจเนี่ยก็บอก
00:10:08 → 00:10:10 ว่าหมอคะคิดว่าเป็นคลัสเตอร์ค่ะหมอก็อ่ะ
00:10:11 → 00:10:13 เล่าให้ฟังซิเป็นยังไงนะคะคนไข้ก็เล่าให้
00:10:13 → 00:10:15 ฟังว่าอยู่เอ่อเคยเป็นไมเกรนมาก่อนแล้วก็
00:10:15 → 00:10:18 อยู่ดีๆเนี่ย 3-4 วันนี้ก็คือปวดหัวมีตา
00:10:18 → 00:10:20 แดงน้ำตาไหลนะคะคิดว่าน่าจะเป็นคลัสเตอร์
00:10:20 → 00:10:22 แน่ๆแต่ว่าหมอฟังประวัติแล้วก็เอคนเนี้ย
00:10:22 → 00:10:26 ไม่น่าใช่คลัสเตอร์นะเพราะอะไรอันแรกคือ
00:10:26 → 00:10:30 คนไข้เนี่ยเป็นไมเกรนที่หายสนิทไปแล้วคน
00:10:30 → 00:10:33 ไข้ไม่ได้แอคทีฟแล้วอ่ะหายไป 20-30 ปีจน
00:10:33 → 00:10:35 ตอนเนี้อายุ 69 และอยู่ดีๆจะกลับมาเป็น
00:10:35 → 00:10:38 กลุ่มปวดหัวไมเกรนคลาสเตอร์ใหม่เนี่ยก็
00:10:38 → 00:10:40 ค่อนข้างยากนะคะส่วนใหญ่กลุ่มพวกเนี้ยเรา
00:10:40 → 00:10:43 ก็จะไม่ได้เจอในคนไข้ที่อายุเยอะมากๆอัน
00:10:43 → 00:10:46 ที่ 2 คือมันเป็นเฉียบพันธมากถ้าเป็น
00:10:46 → 00:10:48 กลุ่มพวกกลุ่มคัสเตอร์ไมเกรนอย่างเงี้ย
00:10:48 → 00:10:51 บางทีอ่ะคนไข้อ่ะมักจะมีอาการปวดเป็นเป็น
00:10:51 → 00:10:53 หายๆอ่ะนำมาก่อนมักไม่ได้มาหาเราแบบเฉียบ
00:10:53 → 00:10:56 พันธขนาดนั้นแล้วก็คนไข้ก็ไม่ได้อยู่ใน
00:10:56 → 00:10:58 กลุ่มเสียงที่น่าจะเป็นคลาสเตอร์ด้วยเป็น
00:10:58 → 00:11:00 ผู้หญิงแล้วก็ก็อายุก็แบบไม่ได้เข้าขาย
00:11:00 → 00:11:02 อาการอื่นก็ไม่เหมือนอะไรเงี้ยค่ะตอนนั้น
00:11:02 → 00:11:04 หมอก็เลยตรวจเรื่องกายเพิ่มเติมก็คือเจอ
00:11:04 → 00:11:07 เป็นภาพนี้จะเห็นว่าด้านนึงเนี่ยเ่ารูแมน
00:11:07 → 00:11:09 ตาปกตินะคะแต่จะเห็นอีกอันนึงนะคะที่ไฟ
00:11:09 → 00:11:12 ส่องไว้ก็คือเ่อรูม่านตาเนี่ยขยายใหญ่เลย
00:11:12 → 00:11:15 เนาะก็คือเหเนี่ยเอาง่ายๆ 2 ภาพเนี่ยคนดู
00:11:15 → 00:11:17 ก็รู้ว่ารูม่านตา 2 ข้างมันไม่เท่ากันถูก
00:11:17 → 00:11:20 มยคะอ่าแล้วก็ในภาพของจริงเนี่ยจริงๆคน
00:11:21 → 00:11:23 ไข้จะมีตาแดงๆมากกว่าด้วยแต่ไม่มีหนังตา
00:11:23 → 00:11:26 ตกไม่มีอะไรแต่วันที่คนไข้มาหาหมอคือ
00:11:26 → 00:11:29 อาการปวดหัวดีขึ้นแล้วหมอเจอภาพเนี้ยหมอ
00:11:29 → 00:11:31 ก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ใช่คลัสเตอร์แน่ๆเพราะ
00:11:31 → 00:11:33 อะไรรูม่านตานี่แหละค่ะเพราะถ้าเป็น
00:11:33 → 00:11:36 คลัสเตอร์อ่ะรูม่านตาเขาจะเล็กแต่เนี่ยรู
00:11:36 → 00:11:39 ม่านตาเขาขยายตอนนั้นเนี่ยก็เลยเอ่อคิด
00:11:39 → 00:11:41 ถึงอาการปวดหัวที่ทำให้รูม่านตาขยายได้
00:11:41 → 00:11:44 เนี่ยเ่ออยู่ 2 เรื่องอันแรกนะคะก็อาจจะ
00:11:44 → 00:11:46 เป็นโรคกลุ่มโรคในสมองที่เป็นในสมองเลย
00:11:46 → 00:11:49 จริงๆหรือเปล่านะคะพวกเอ่อหลอดเลือดสมอง
00:11:49 → 00:11:51 โปร่งพองอะไรพวกเยนะคะที่มันไปกดทับที่ทำ
00:11:51 → 00:11:54 ให้รูม่านตาผิดปกติหรืออันที่ 2 ก็คือคน
00:11:54 → 00:11:56 เป็นโรคจากทางตาเองเนี่ยแหละโดยเฉพาะ
00:11:56 → 00:11:59 กลุ่มพวกต้อหินเสียบพันตอนนั้นก็เอ่อได้
00:11:59 → 00:12:03 ตรวจคนไข้นะคะเรียบร้อยก็คือทำ M สมอง
00:12:03 → 00:12:05 อะไรก็ไม่มีเรื่องของมีมีเส้นเลือดโป่ง
00:12:05 → 00:12:08 พองนะมีพอดีด้วยแต่มันเล็กมากเล็กจนไม่
00:12:08 → 00:12:11 อธิบายอาการคนไข้ก็เลยคิดว่าคนไข้เนี่ย
00:12:11 → 00:12:13 น่าจะเป็นเรื่องของกลุ่มต้อหินเฉียบพันธุ
00:12:13 → 00:12:15 แบบมุมปิดมากกว่าก็เลยรีบให้คนไข้เนี่ยไป
00:12:15 → 00:12:18 หาหมอตาต่อเพราะว่าภาวะเนี้ยถือว่าเป็น
00:12:18 → 00:12:21 ภาวะเร่งด่วนของทางหมอตาเพราะว่าต้าหิน
00:12:21 → 00:12:24 มุมปิดคืออะไรจะเห็นว่าต้อหินเนี่ยชื่อ
00:12:24 → 00:12:27 เ้าตือต้อหินใช่มั้ยคะแต่ไม่ใช่มีหินใน
00:12:27 → 00:12:31 ลูกตานะจริงๆหินเป็นคำเรียกของไทยในภาษา
00:12:31 → 00:12:33 อังกฤษเราจะเรียกว่าเป็นกลอโคม่าเนาะเกิด
00:12:33 → 00:12:36 จากอะไรนะคะเดี๋ยวดูรูปนี้นะคะก็คือในดวง
00:12:36 → 00:12:39 ตาของเราเนี่ยรูปถัดไปนะคะในดวงตาของเรา
00:12:39 → 00:12:42 เนี่ยก็จะมีอันเนี้ยเป็นลูกตากระจกใสๆ
00:12:42 → 00:12:46 เห็นมั้ยคะกระจกใสๆเลนแล้วก็จะมีม่านตา
00:12:46 → 00:12:49 แล้วก็รูม่านตาปกติเนี่ยลูกตาเราอ่ะจะ
00:12:49 → 00:12:51 เห็นเราต้องมีน้ำมาหลอดเลี้ยงลูกตานะคะ
00:12:51 → 00:12:53 อยู่ตลอดซึ่งน้ำเข้ามาหลอดเลี้ยงเสร็จ
00:12:53 → 00:12:56 ปุ๊บมันก็จะดูดซึมออกไปทำให้ความดันลูกตา
00:12:56 → 00:12:58 เนี่ยเราอยู่ในเกณฑ์ปกติแต่เมื่อไหร่ที่
00:12:58 → 00:13:00 มันมีสสาเหตุอะไรที่มาทำให้ม่านตาเนี่ย
00:13:00 → 00:13:04 มันไปปิดรูม่านตาตรงรูที่จะทำระบายน้ำของ
00:13:04 → 00:13:06 เหลวออกเนี่ยมันก็เลยทำให้ของเหลวหรือว่า
00:13:06 → 00:13:08 น้ำที่มามันเลี้งหล่อเลี้ยงลูกตาเนี่ยมัน
00:13:08 → 00:13:10 ระบายออกไม่ได้ก็เกิดเหมือนแรงดันน่ะ
00:13:10 → 00:13:12 เหมือนท่อตันน่ะค่ะเหมือนท่อน้ำตันเนาะ
00:13:12 → 00:13:15 แรงดันมันก็เยอะซึ่งดันเนี่ยมันไม่รู้จะ
00:13:15 → 00:13:17 ดันไปไหนเนี่ยมันก็ดันไปด้านหลังสีเหลือง
00:13:17 → 00:13:20 ก็คือเส้นประสาทตานั่นเองคนไข้ก็จะมี
00:13:20 → 00:13:22 อาการเค่ะตาพร่ามัวรู้สึกมองไม่ชัดแล้วพอ
00:13:22 → 00:13:25 แรงดันเยอะๆนึกสภาพแบบในเนี้ยแรงดันมัน
00:13:25 → 00:13:28 เยอะมากอ่ะค่ะก็ต้องปวดอยู่ละปวดตาอยู่ละ
00:13:28 → 00:13:31 แล้วด้วยด้วยความที่ปวดตาค่อนข้างรุนแรง
00:13:31 → 00:13:33 ก็เลยจะทำให้รู้สึกว่ามันเป็นปวดศีรษะไป
00:13:33 → 00:13:36 ด้วยนะคะเพราะฉะนั้นอารต้อหินเฉียบพันธุ
00:13:36 → 00:13:40 นะก็จะมาด้วยปวดตารุนแรงปวดหัวตาแดงน้ำำ
00:13:40 → 00:13:44 ตาไหลนะคะรู้สึกตาผ้ามัวเห็นมั้ยคะพอฟัง
00:13:44 → 00:13:47 อาการเหมือนคลาสเตอร์เลยหรือเหมือนไมเกรน
00:13:47 → 00:13:49 ด้วยเพราะฉะนั้นเนี่ยไม่แปลกใจที่คนไข้
00:13:49 → 00:13:52 อ่ะบางครั้งก็ไม่สามารถแยกได้ชัดเจนหรอก
00:13:52 → 00:13:55 ว่าจริงๆแล้วสาเหตุของปวดหัวปวดตาเขาคอ่ะ
00:13:55 → 00:13:57 มาจากอะไรแต่ว่าเป็นหน้าที่ของแพทย์มาก
00:13:57 → 00:14:00 กว่าที่อาจจะต้องช่วยในการวินิจฉัยนะคะ
00:14:00 → 00:14:02 แล้วก็คนไข้ก็อาจจะต้องอ่าสมมุติเราเจอ
00:14:02 → 00:14:05 กรณีแบบนี้เนี่ยเคนไข้ก็อาจจะต้องรีบนะคะ
00:14:05 → 00:14:07 ไปตรวจเนาะอย่าคิดว่าเอ้ยสมมุติว่าบางคน
00:14:07 → 00:14:09 น่ะเป็นไมแบบอย่างเงี้ยค่ะเป็นไมเกรนแล้ว
00:14:09 → 00:14:11 ก็เออรู้สึกว่ามันคงเป็นไมเกรนเหมือนเดิม
00:14:11 → 00:14:13 นี่แหละไม่ได้มีอะไรหรอกแต่ถ้าเกิดลักษณะ
00:14:13 → 00:14:16 อาการปวดหัวของเราไม่เหมือนเดิมเปลี่ยนไป
00:14:16 → 00:14:19 ปวดรุนแรงมากขึ้นอย่างในกรณีคนไข้คนนี้นะ
00:14:19 → 00:14:21 คะที่เขาเคยเป็นไมเกรนแล้วเหายไปแล้วอ่ะ
00:14:21 → 00:14:23 แล้วอยู่ดีๆก็ปวดขึ้นมาใหม่อย่าเพิ่งไป
00:14:23 → 00:14:25 นึกถึงเรื่องเดิมก่อนนะคะเราต้องหาสาเหตุ
00:14:25 → 00:14:28 เรื่องอื่นก่อนแล้วก็เคสเนี้ยพอโ2องตาก็
00:14:28 → 00:14:31 เห็นเลยว่าผิดปกติแต่คนไข้ไม่รู้นะคนไข้
00:14:31 → 00:14:33 ไม่ได้รู้เลยนะคะว่าตัวเองตาแดงตัวเองน้ำ
00:14:33 → 00:14:36 ตาไหลเพราะอย่างที่บอกเวลาเราปวดหัวเรา
00:14:36 → 00:14:38 ไม่ได้ส่องกระจกดูอ่ะค่ะมันจะไม่ได้เห็น
00:14:38 → 00:14:40 ความผิดปกติอันนั้นเราจะรู้สึกแค่ว่าเรา
00:14:40 → 00:14:42 ปวดตานั่นแหละซึ่งคนนี้นะคะสุดท้ายนะคะก็
00:14:42 → 00:14:45 รีบให้คุณไปหาคุณหมอตาแล้วก็คนไข้ก็ได้
00:14:45 → 00:14:48 รับการทำเรเซอร์ต้อหินนะคะอย่างเร่งด่วน
00:14:48 → 00:14:51 ก็ผลการรักษาก็ดีแล้วก็อาการก็หายสนิภาวะ
00:14:51 → 00:14:53 นี้เนี่ยที่หมอต้องเอามาพูดในวันนี้หมอ
00:14:53 → 00:14:56 พูดในเชิงหมอสมองที่คนไข้มาด้วยอาการปวด
00:14:56 → 00:14:59 หัวและปวดกระบอกตานะคะหมออาจจะไม่ได้แบบ
00:14:59 → 00:15:02 มีความรู้เท่ากับคุณหมอตาที่รักษาแต่อยาก
00:15:02 → 00:15:04 ให้คนไข้เอะใจไว้นิดนึงว่าบางครั้งที่เรา
00:15:05 → 00:15:08 ปวดศีรษะเราปวดกระบอกตาสาเหตุมันมาจากโรค
00:15:08 → 00:15:10 ตาก็ได้นะไม่ใช่จำเป็นจะเป็นโรคปวดหัว
00:15:10 → 00:15:12 อย่างเดียวเพราะคนส่วนใหญ่เวลาปวดหัว
00:15:12 → 00:15:14 รุนแรงมากๆอ่ะสิ่งนึงที่กลัวคือกลัว
00:15:14 → 00:15:17 เรื่องในสมองมากกว่ากลัวเนื้องอกกลัวเส้น
00:15:17 → 00:15:19 เลือดแตกแต่บางครั้งเราก็นืมนึกไปว่ามัน
00:15:19 → 00:15:22 มีสาเหตุอื่นๆนอกเหนือจากในสมองที่ก็เร่ง
00:15:22 → 00:15:24 ด่วนเหมือนกันเพราะว่าภาวะต้อหินเสียบ
00:15:24 → 00:15:26 พันธุ์แบบมุมปลิ่นนี้นะคะถ้าเกิดเรารักษา
00:15:26 → 00:15:29 ช้านะคะรักษาไม่ทันทุกทีแล้วมันกดประสาท
00:15:29 → 00:15:32 ตามากๆเนี่ยสุดท้ายก็คือถ้ารุนแรงก็คือ
00:15:32 → 00:15:34 อาจจะเกิดการสูญเสียการมองเห็นได้เหมือน
00:15:34 → 00:15:36 กันนะคะหรือบางครั้งเนี่ยเลเซอร์อาจจะไม่
00:15:36 → 00:15:39 ได้และก็อาจจะต้องผ่าตัดการรักษาก็จะยาก
00:15:39 → 00:15:41 มากยิ่งขึ้นใครนะคะมีอาการปวดหัวปวด
00:15:41 → 00:15:43 กระบอกตาอย่าลืมนะคะว่าเราอาจจะเป็นโรคตา
00:15:43 → 00:15:46 ก็ได้ทีนี้ต้อหินเนี่ยเรามีวิธีการป้อง
00:15:46 → 00:15:49 กันมั้ยจริงๆแล้วเนี่ยการวัดต้อหินเี่คือ
00:15:49 → 00:15:51 เราก็จะวัดความดันในลูกตาจะเป็นเครื่อง
00:15:51 → 00:15:53 วัดของคุณหมอตาโดยเฉพาะนะคะเพราะฉะนั้น
00:15:53 → 00:15:56 ถ้าใครมีความเสี่ยงนะเช่นอายุเริ่มเยอะ
00:15:56 → 00:16:00 สักหลัง 50-60 ปีมีมีต้อกระจกเคยมีอาการ
00:16:00 → 00:16:02 อย่างเงี้ยปวดตาแต่ว่าไม่ได้รุนแรงมากนัก
00:16:02 → 00:16:05 หรือมีประวัติครอบครัวเป็นอันนี้ก็แนะนำ
00:16:05 → 00:16:07 ให้ตรวจตาอย่างสม่ำเสมอนอกเหนือจากการ
00:16:07 → 00:16:10 ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อให้คุณหมอตาเคอย
00:16:10 → 00:16:12 เช็คอย่างละเอียดจะได้ป้องกันไม่ให้เกิด
00:16:12 → 00:16:15 ภาวะฉุกเฉินขึ้นมาต่อไปนะคะอันที่ 3 ภาวะ
00:16:15 → 00:16:19 ตาล้า E strain นะคะก็คือมันเหมือนๆเวลา
00:16:19 → 00:16:21 เราออกกำลังกายเยอะๆแล้วกล้ามเนื้ออ่อน
00:16:21 → 00:16:23 ล้าแหละอันนี้ก็คือการใช้สายตามากเกินไป
00:16:23 → 00:16:25 แล้วเกิดกล้ามเนื้อตาอ่อนล้านะคะซึ่ง
00:16:25 → 00:16:28 ปัจจุบันเนี่ยเราก็มีคำเรียกว่าเป็นจ
00:16:28 → 00:16:32 Digital ey strain นะคะหรือคพต Vision
00:16:32 → 00:16:34 Syndrome นะคะก็เป็นไปตามยุคสมัยที่
00:16:34 → 00:16:37 เดี๋ยวนี้เราใช้หน้าจอกันมากขึ้นใช้
00:16:37 → 00:16:40 คอมพิวเตอร์ใช้มือถือกันมากขึ้นกลุ่มนี้
00:16:40 → 00:16:42 นะคะคืออะไรก็จะคล้ายๆกับกลุ่ม Office
00:16:43 → 00:16:44 syndrome เนาะเราคงเคยได้ยิน Office
00:16:44 → 00:16:46 syndrome อันนี้รู้จักกันอยู่ละกลุ่ม
00:16:46 → 00:16:48 Office syndrome ก็คือกลุ่มที่นั่งทำ
00:16:48 → 00:16:50 งานนานๆท่าใดท่านึงนานๆจนเกิดกล้ามเนื้อ
00:16:50 → 00:16:54 เกรงปวดคอปวดหลังอ่าใช้มือเยอะนิ้วล็อ
00:16:54 → 00:16:55 อะไรอย่างเงี้ยนะคะเพราะฉะนั้นคอมพิวเตอ
00:16:55 → 00:16:58 Vision Syndrome ก็คือกลุ่มอาการที่
00:16:59 → 00:17:01 เป็นอาการทางตาที่จะเกิดจากการใช้สายตา
00:17:01 → 00:17:04 หรือใช้คอมพิวเตอร์ใช้จอมอนิเตอร์ใช้มือ
00:17:04 → 00:17:06 ถือมากเกินไปนั่นเองนะคะซึ่งในที่นี้
00:17:06 → 00:17:08 เนี่ยคนไข้จะมีอาการอะไรได้บ้างส่วนใหญ่
00:17:08 → 00:17:11 ก็คือรู้สึกตาล้าจะรู้สึกล้าๆบริเวณรอบ
00:17:11 → 00:17:14 ดวงตาจะไม่ได้ปวดหนักเท่ากับ 2 สาเหตุแรก
00:17:14 → 00:17:16 อันนั้นคือปวดแบบเหมือนตาจะถลนออกมาเลย
00:17:16 → 00:17:19 แต่อันเนี้ยมันจะเป็นแบบความหนักๆล้าๆ
00:17:19 → 00:17:23 เหมือนมีอะไรบีบๆรัดๆตึงๆมากกว่าแล้วก็
00:17:23 → 00:17:25 ถ้าเป็นมากๆเข้าเนี่ยส่วนใหญ่ก็มักจะมี
00:17:25 → 00:17:28 อาการปวดศีรษะร่วมด้วยได้แล้วก็สาเหตุของ
00:17:28 → 00:17:31 การใช้ใช้หน้าจอหรือใช้คอมพิวเตอร์เนี่ย
00:17:31 → 00:17:33 คือเราก็มักจะอยู่ในท่าเดิมนานๆใช้สายตา
00:17:33 → 00:17:35 มากเกินไปเพราะฉะนั้นเนี่ยก็จะไม่ได้แค่
00:17:36 → 00:17:38 ตาร้าปวดหัวอย่างเดียวนะคะแต่ก็มักจะปวด
00:17:38 → 00:17:41 รวดรามไปถึงต้นคอปวดคอบาไหล่ร่วมด้วย
00:17:41 → 00:17:44 อาการจะไม่ได้รุนแรงมากความปวดก็จะเป็น
00:17:44 → 00:17:46 ปวดคล้ายๆกลุ่มปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึง
00:17:46 → 00:17:48 อ่ะค่ะปวดแบบเทนชั่นน่ะค่ะก็คือรู้สึก
00:17:48 → 00:17:51 เหมือนมีอะไรมาบีบรัดตึงไม่ต้องทานยาแก้
00:17:51 → 00:17:54 ปวดก็ได้หรือไม่ต้องหยุดงานแค่รู้สึกพัก
00:17:54 → 00:17:57 ก็อาจจะดีขึ้นแต่บางคนถ้าสะสมมานานเป็น
00:17:57 → 00:18:01 มากๆเข้าก็ก็อาจจะรู้สึกอากามันรบกวน
00:18:01 → 00:18:03 ชีวิตประจำวันหรือทำให้รู้สึกเหมือนคิด
00:18:03 → 00:18:05 งานอะไรไม่ออกรเงี้ยได้เหมือนกันเพราะว่า
00:18:05 → 00:18:08 ความรำคาญของบริเวณรอบดวงตาหรือว่าแถว
00:18:08 → 00:18:10 บริเวณขมับเนี่ยบางทีมันทำให้รู้สึก
00:18:10 → 00:18:12 เหมือนหัวมันไม่โล่งอ่ะค่ะคิดงานแล้วมัน
00:18:12 → 00:18:14 ไม่ Flow เนาะกลุ่มนี้นะคะคอมพิวเตร์
00:18:14 → 00:18:16 Vision Syndrome เนี่ยลองดูนะคะก็คือ
00:18:16 → 00:18:19 ถ้าเกิดใครเป็นนะเราก็จะรู้สึกว่าตาเรา
00:18:19 → 00:18:23 แบบแห้งตาร้าเมื่อยตายิ่งโดยเฉพาะ
00:18:23 → 00:18:25 สัมพันธ์กับการที่เรานั่งทำงานมาหลายๆ
00:18:25 → 00:18:28 ชั่วโมงฉะนั้นใครเป็นอาการแบบนี้นะอันนี้
00:18:28 → 00:18:30 ดูแลตัว a เบื้องต้นได้อย่างในรูปนี้นะคะ
00:18:30 → 00:18:33 เขาก็จะเป็นวิธีการป้องกันเราจะป้องกัน
00:18:33 → 00:18:36 ไม่ให้เกิดอาการคพต Vision Syndrome ได้
00:18:36 → 00:18:38 ยังไงสำหรับคนที่ใช้งานคอมพิวเตอร์เยอะๆ
00:18:38 → 00:18:41 หรือดูหน้าจอมือถือเยอะๆเนาะอันแรกเลยคือ
00:18:41 → 00:18:44 เราใช้กด 20 20 20 ก็คือทุกๆ 20 นาที
00:18:45 → 00:18:48 ให้เราพักสายตาห่างจากหน้าจอแล้วมองไล่
00:18:48 → 00:18:51 เพราะเอ่อโดยเฉพาะถ้าเกิดใครที่ทำงานแบบ
00:18:51 → 00:18:53 มีมองออกไปทางหน้าต่างแบบเป็นธรรมชาติมอง
00:18:54 → 00:18:56 ต้นไม้มองอะไรอย่างเงี้ยได้นะคะก็ใช้พัก
00:18:56 → 00:18:59 สายตาไปการมองไกลเพราะว่าเวเวลาเรามอง
00:18:59 → 00:19:01 คอมพิวเตอร์เรามองมือถือมองหน้าจอเนี่ย
00:19:01 → 00:19:04 เอ่อเราจะใช้ระยะที่เป็นการโฟกัสดวงตาแบบ
00:19:04 → 00:19:08 การมองใกล้กล้ามเนื้อดวงตาก็จะใช้แบบมัด
00:19:08 → 00:19:10 ใดมัดนึงมากกว่าปกติเพราะฉะนั้นการพักก็
00:19:10 → 00:19:13 คือการมองออกไปไกลๆ 20 สุดท้ายก็คือ 20
00:19:13 → 00:19:18 วินาทีนะคะก็คือให้ทุกๆ 20 นาทีพัก 20
00:19:18 → 00:19:20 วินาทีโดยการมองไกลๆไปสัก 20 ฟุตไม่ต้อง
00:19:20 → 00:19:23 กะดระยะแบบวัดเป๊ะๆเนาะเอามองไกลก็พออัน
00:19:23 → 00:19:26 นี้ก็คือถ้าใครเริ่มรู้สึกว่าเออปวดตาะตา
00:19:26 → 00:19:28 ร้าและก็ลองใช้วิธีนี้ดูวิธีอื่นๆที่เขา
00:19:28 → 00:19:30 บอกให้แก้ได้ก็อาจจะใช้ตัวอักษรให้ใหญ่
00:19:30 → 00:19:33 ขึ้นกระพริบตาบ่อยๆหรือถ้าใครรู้สึกว่าตา
00:19:33 → 00:19:36 แห้งมากๆอาจจะใช้น้ำตาเทียมร่วมด้วยได้
00:19:36 → 00:19:38 หรือถ้าใครที่ใช้หน้าจอคอมพิวเตอร์เนี่ย
00:19:38 → 00:19:40 เดี๋ยวนี้มันก็จะมีพวกกองแสงสีฟ้าอะไร
00:19:40 → 00:19:43 ต่างๆนะคะปรับสภาวะแวดล้อมให้เหมาะสมก็
00:19:43 → 00:19:47 คือใช้เ่อแสงไฟต้องเพียงพออย่าทำงานในที่
00:19:47 → 00:19:50 มืดเกินไปแล้วก็ทานอาหารที่แบบมีประโยชน์
00:19:50 → 00:19:53 บำรุงดวงตาอะไรแบบนี้ก็จะช่วยได้แล้วก็
00:19:53 → 00:19:55 คอยตรวจตาเป็นประจำก็จะช่วยป้องกันได้
00:19:55 → 00:19:57 แล้วสุดท้ายอันนึงที่สำคัญก็คือเรื่องของ
00:19:57 → 00:20:00 การปรับ๊ทำงานของเราเนี่ยให้เหมาะสมนะ
00:20:00 → 00:20:02 อันเนี้ยขอพูดเลยเพราะว่ามันก็ป้องกัน
00:20:02 → 00:20:05 เรื่องกล้ามเนื้อตึงพวก Office syndrome
00:20:05 → 00:20:07 My official Pain Syndrome อะไรไป
00:20:07 → 00:20:09 ด้วยเลยเพราะคนส่วนใหญ่ที่เวลาทำงานหน้า
00:20:09 → 00:20:11 คอมพิวเตอร์เนี่ยอ่าส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ถ้า
00:20:11 → 00:20:14 ทำมือถืออันนี้ก็เป็นแบบการก้มคอที่มาก
00:20:14 → 00:20:16 เกินไปหรือบางคนใช้โน้ตบุ๊คโน้ตบุ๊กก็จะ
00:20:16 → 00:20:18 เป็นระดับสายตาที่ก้มต่ำเหมือนกันอ่าหรือ
00:20:18 → 00:20:21 บางคนแม้แต่คอมพิวเตอร์แต่ว่ามักจะชินใน
00:20:21 → 00:20:23 ท่าเป็นมั้ยคะที่แบบยื่นเข้าโต๊ะแล้วก็
00:20:23 → 00:20:25 ยื่นไปอย่างนี้นะคะก็จะเป็นวิธีที่ทำให้
00:20:26 → 00:20:28 เรามีปัญหาจากการทำงานไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม
00:20:28 → 00:20:31 กล้ามเนื้อหรือว่ากลุ่มตาได้นะคะอันนี้ก็
00:20:31 → 00:20:33 เลยโชว์ท่านั่งที่ถูกต้องใครมีอาการลอง
00:20:33 → 00:20:37 ปรับตามนี้ดูการทำงานที่ดีนะคะจะหน้าจอจะ
00:20:37 → 00:20:40 ต้องอยู่ระดับสายตาเรานะคะประมาณขอบจอบน
00:20:40 → 00:20:42 น่ะค่ะจะต้องอยู่ใน Range ของที่ตาเรามอง
00:20:43 → 00:20:46 ไปตรงๆเพราะฉะนั้นหน้าหรือศีรษะเราอ่ะจะ
00:20:46 → 00:20:49 ไม่ได้ก้มลงจะแต่จะอยู่ในระดับสายตาถ้า
00:20:49 → 00:20:52 ใครใช้โน้ตบุ๊คอาจจะต้องหาแท่นปรับเสริม
00:20:52 → 00:20:55 เพื่อให้ระดับหน้าจอมันอยู่กับระดับสายตา
00:20:55 → 00:20:59 เราระดับโต๊ะนะคะก็คือแแขนเนี่ยจะต้อง
00:20:59 → 00:21:02 ตั้งฉาก 90 องศกับความสูงของโต๊ะพอดีไม่
00:21:02 → 00:21:05 แหงนขึ้นแบบนี้นะบางคนโต๊ะสูงก็จะเป็น
00:21:05 → 00:21:08 แหงนหรือบางคนโตะเตี้ยไปก็จะเป็นงอลงนะคะ
00:21:08 → 00:21:11 งั้นก็ปรับระดับความสูงโตให้แขนเราตั้ง
00:21:11 → 00:21:14 ฉาก 90 องศประมาณนี้มองจอแบบมองตรงนะคะ
00:21:14 → 00:21:17 นั่งตัวตรงอาจจะมีหาอะไรมาพิงเบาะหลังให้
00:21:17 → 00:21:20 เราไม่ไม่ไม่นั่งแบบเก็งหลังหรือว่างอตัว
00:21:20 → 00:21:23 มากเกินไปนะคะแล้วก็ขาก็เหมือนกันก็ต้อง
00:21:23 → 00:21:26 ปล่อยสบายๆแต่ถ้าเกิดใครสมมุติว่าขาไม่
00:21:26 → 00:21:28 ถึงหรือว่ามีปัญหาในการเกรงขาเนี่ยก็อาจ
00:21:28 → 00:21:31 จะต้องหาเบาะมาลองเพื่อให้มุมองศาของขา
00:21:31 → 00:21:33 เนี่ยเหมาะสมอันนี้ก็เป็นที่นั่งที่เหมาะ
00:21:33 → 00:21:36 สมนะคะลองปรับดูนะคะเอ่อระยะห่างจากหน้า
00:21:36 → 00:21:40 จอก็ควรประมาณซัก 60 ซมประมาณนี้นะคะอย่า
00:21:40 → 00:21:43 เอาเข้ามาใกล้เกินไปไม่งั้นเนี่ยก็พอทำ
00:21:43 → 00:21:45 งานมากๆเนาะก็กลายเป็นปวดหัวปวดตาตาร้า
00:21:45 → 00:21:49 ได้กลุ่มนี้นะคะก็ไม่รุนแรงนะคะยังไม่
00:21:49 → 00:21:51 ต้องรีบไปพบแพทย์แต่ลองปรับการใช้ชีวิต
00:21:51 → 00:21:54 ปรับท่าทางการทำงานแล้วก็ลองพักสายตาเป็น
00:21:54 → 00:21:57 ประจำรวมถึงการสลับการไปออกกำลังกายนะคะ
00:21:57 → 00:22:00 แล้วก็การการนอนพักผ่อนอย่างเพียงพอด้วย
00:22:00 → 00:22:02 แต่ถ้าเกิดปรับแล้วไม่ใช่ก็อ่ะอาจจะไม่
00:22:02 → 00:22:04 ใช่อันนี้ละก็อาจจะต้องไปตรวจและสุดท้าย
00:22:04 → 00:22:07 นะคะก็คือสาเหตุที่ 4 สาเหตุที่ 4 เนี่ย
00:22:07 → 00:22:11 เป็นโรคของคุณหมอหูคอจมูกนะวันนี้รวมรวม
00:22:11 → 00:22:13 สาเหตุให้ครบทุกแผนกไว้เลยว่าจริงๆแล้ว
00:22:13 → 00:22:15 ปวดหัวปวดตามันเป็นอะไรได้หลากหลายมาก
00:22:15 → 00:22:18 สาเหตุที่ 4 ก็คือเรื่องของไซนัสอักเสบ
00:22:18 → 00:22:21 นั่นเองหลายคนก็มีอาการภูมิแพ้เป็นประจำ
00:22:21 → 00:22:25 มีอาการไซนัสเป็นเป็นหายๆมีวันนึงอาจจะมี
00:22:25 → 00:22:27 อาการไซนัสอักเสบขึ้นมานะคะทำให้เรารู้
00:22:27 → 00:22:31 สึกปวดปวดบริเวณโพรงไซนัสมากๆพอปวดมากๆ
00:22:31 → 00:22:33 เข้าเนี่ยแรงดันมันเยอะก็อาจจะทำให้อาการ
00:22:33 → 00:22:35 เนี่ยปวดศีรษะร่วมด้วยได้ซึ่งอันนี้นะคะ
00:22:35 → 00:22:38 ก็จะเป็นภาพโชว์ตำแหน่งของไซนัสเราเนี่ย
00:22:38 → 00:22:40 มีตำแหน่งตรงไหนบ้างจะเห็นว่าอันที่สำคัญ
00:22:40 → 00:22:42 เนี่ยก็จะเป็นเรื่องของตรงนี้นะคะเรา
00:22:42 → 00:22:45 เรียกว่าเ่อไซนัสส่วนหน้า frontal sinus
00:22:45 → 00:22:49 แล้วก็ไัตรงโหนกแก้มนะคะหรือว่า Mail ไั 2
00:22:49 → 00:22:52 ตำแหน่งเนี่ยจะเป็นตำแหน่งที่เอ่อเวลามี
00:22:52 → 00:22:56 อ่าการอักเสบมีสารคัดหลั่งนะคะก็คือพวก
00:22:56 → 00:22:58 น้ำมูกหนอกอะไรอย่าเงี้ยมันก็จะมีโอกาส
00:22:58 → 00:23:00 ค้างอยู่ข้างในได้ค้างนานๆเข้าถ้าเราไม่
00:23:01 → 00:23:03 ได้รักษาเนี่ยมันตรงเนี้ยมันเกิดการ
00:23:03 → 00:23:05 อักเสบมากๆเกิดการบวมก็จะเกิดแรงดันก็ทำ
00:23:05 → 00:23:08 ให้เรารู้สึกปวดบริเวณด้านหลังแถวหลัง
00:23:08 → 00:23:11 หน้าผากดวงตาบางทีก็ลามไปถึงปวดศีรษะแถวๆ
00:23:11 → 00:23:14 นี้ได้เหมือนกันซึ่งเอ่อไซนัสอักเสบอัน
00:23:14 → 00:23:16 นี้แยกไม่ไม่ยากนะคะส่วนใหญ่คนไข้ก็มักจะ
00:23:16 → 00:23:18 ต้องมีอาการของไซนัสร่วมด้วยอ่ะคืออย่าง
00:23:18 → 00:23:21 เช่นเคยเป็นมีน้ำมูกเป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว
00:23:21 → 00:23:24 นะคะมีความเสี่ยงที่จะมีน้ำมูกเป็นประจำ
00:23:24 → 00:23:26 นะคะหรือว่าน้ำมูกเนี่ยมีกลิ่นที่ผิด
00:23:26 → 00:23:29 เปลี่ยนไปน้ำมูกจากเดิมใส่ใสกลายเป็นน้ำ
00:23:29 → 00:23:32 มูกมีสีเขียวๆมีกลิ่นลมหายใจมีกลิ่นเพราะ
00:23:32 → 00:23:34 ว่ามันเกิดจากหนองที่มันคั่งอยู่ในเนี่ย
00:23:34 → 00:23:37 เนาะพอหายใจผ่านออกมามันก็จะเป็นลมหายใจ
00:23:37 → 00:23:40 ที่มีกลิ่นออกมาได้เหมือนกันถ้าเกิดใครมี
00:23:40 → 00:23:42 อาการแบบนี้นะคะอันนี้ก็อาจจะต้องไปพบคุณ
00:23:42 → 00:23:46 หมอหูคอจมูกเพื่อตรวจแล้วก็รักษาต่อไปก็
00:23:46 → 00:23:49 อันนี้นะคะจะเห็นว่าเป็นการรวม 4 สาเหตุ
00:23:49 → 00:23:52 ปวดหัวปวดกระบอกตานะคะจริงๆก็จะเด่นอยู่
00:23:52 → 00:23:55 ที่กระบอกตาเนาะว่าเกิดจากอะไรได้บ้างก็
00:23:55 → 00:23:58 สรุปมาให้ 4 อย่างแล้วก็ลองดูว่าเราเนี่ย
00:23:58 → 00:24:01 เป็นอาการปวดหัวแบบไหนมีลักษณะอาการร่วม
00:24:01 → 00:24:03 อะไรบ้างจะเห็นว่าแต่ละอย่างเนี่ยอาการ
00:24:03 → 00:24:05 ร่วมเขาแตกต่างกันเพราะฉะนั้นถ้าเราจับ
00:24:05 → 00:24:08 อาการสังเกตอาการดีๆก็จะทำให้เราพอ
00:24:08 → 00:24:10 วินิจฉัยตัวเองแล้วก็รู้ว่าเราควรจะไป
00:24:10 → 00:24:13 ตรวจกับคุณหมออะไรเพื่อการรักษาอย่างถูก
00:24:13 → 00:24:15 ต้องเหมาะสมต่อไปโดยในคลิปนี้นะคะก็อยาก
00:24:15 → 00:24:19 ให้เน้นย้ำนะคะว่าสำหรับใครที่มีอาการปวด
00:24:19 → 00:24:22 หัวเฉียบพันปวดกระบอกตาเฉียบพันแบบที่ไม่
00:24:22 → 00:24:26 เคยเป็นมาก่อนอย่าลืมนะคะนึกถึงโรคทาง
00:24:26 → 00:24:28 อื่นๆนอกเหนือจากสมองถ้าในทางสมองที่เรา
00:24:28 → 00:24:30 กลัวก็จะเป็นเรื่องเส้นเลือดสมองโป่งพอง
00:24:30 → 00:24:32 เฉียบพันธุ์นะคะเส้นเลือดสมองแต่แล้วก็
00:24:32 → 00:24:34 เรือโรคอื่นๆก็คือโรคทางตานะโดยเฉพาะต้อ
00:24:34 → 00:24:37 หินเฉียบพันธ์ด้วยเพราะว่าถือว่าเป็นภาวะ
00:24:37 → 00:24:41 เร่งด่วนที่ต้องรีบรักษาใครมีคำถามนะคะ
00:24:41 → 00:24:44 หรือว่ามีเรื่องอะไรที่อยากจะให้หมอมาพูด
00:24:44 → 00:24:47 มาคุยมาแชร์กันฟังเนี่ยก็สามารถคอมเมนต์
00:24:47 → 00:24:52 ทิ้งไว้ได้ก็สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ
00:00:00 → 00:00:02 4 สาเหตุปวดกระบอกตาเกิดจากอะไรได้บ้าง
00:00:02 → 00:00:04 คนไข้ของหมอนะคะเคยเป็นไมเกรนมาก่อน
00:00:05 → 00:00:07 ไมเกรนเนี่ยหายสนิทไปหลายสิบปีมากๆะแล้ว
00:00:07 → 00:00:10 ก็อยู่ดีๆเนี่ยปวดหัวมีตาแดงน้ำตาไหล
00:00:10 → 00:00:13 เพราะอะไรปวดศีรษะชนิดคลาสเตอร์อันที่ 2
00:00:13 → 00:00:16 ก็คือเป็นโรคทางตาอันที่ 3 เป็นกลุ่ม
00:00:16 → 00:00:19 อาการตาล้าหรือว่ากลุ่มอาการที่ใช้สายตา
00:00:19 → 00:00:22 เยอะมากๆนะคะอันที่ 4 ไซนัสอักเสบนั่นเอง
00:00:22 → 00:00:25 สังเกตอาการตัวเองได้ยังไงบ้างที่อันตราย
00:00:25 → 00:00:27 ต้องรีบไปพบแพทย์มาฟังกันเลยนะคะกลับมา
00:00:27 → 00:00:29 เจอกันอีกแล้วนะคะวันนี้เราจะมาคุยกัน
00:00:29 → 00:00:32 เรื่องเรื่อง 4 สาเหตุปวดกระบอกตานะคะว่า
00:00:33 → 00:00:35 เกิดจากอะไรได้บ้างมาให้ฟังกันนะคะหลายคน
00:00:35 → 00:00:38 นะคะเวลามีอาการปวดตาก็จะเข้าใจว่าเราอ่ะ
00:00:38 → 00:00:41 น่าจะเป็นโรคทางตาใช่มั้คะแต่ว่าจริงๆ
00:00:41 → 00:00:43 แล้วเนี่ยการปวดกระบอกตาอย่างนะคะหรือโดย
00:00:43 → 00:00:46 เฉพาะคนที่มีอาการปวดศีรษะร่วมด้วยอันนี้
00:00:46 → 00:00:48 เนี่ยอาจจะไม่ได้เกิดจากโรคทางตาอย่าง
00:00:48 → 00:00:50 เดียวนะคะวันนี้หมอก็รวมมา 4 สาเหตุเลย
00:00:50 → 00:00:53 ซึ่งเป็น 4 สาเหตุที่เจอได้กับคุณหมอทุก
00:00:53 → 00:00:56 แผนกเลยนะคะเนาะอันแรกก็จะเป็นเรื่องของ
00:00:56 → 00:00:58 ปวดศีรษะชนิดคลาสเตอร์ซึ่งเป็นโรคของหมอ
00:00:58 → 00:01:01 สมองของเราเองรวมไปถึงไมเกรนด้วยอันที่ 2
00:01:01 → 00:01:04 ก็คือเป็นโรคทางตาโดยเฉพาะกลุ่มต้อหิน
00:01:04 → 00:01:08 เฉียบพันธุอันที่ 3 เป็นกลุ่มอาการตาล้า
00:01:08 → 00:01:10 หรือว่ากลุ่มอาการที่ใช้สายตาเยอะมากๆนะ
00:01:10 → 00:01:12 คะจนทำให้ปวดหัวหรือที่เราเรียกพวก
00:01:12 → 00:01:14 computer Vision Syndrome และสุดท้าย
00:01:14 → 00:01:17 อันที่ 4 ก็คือกลุ่มอาการของหูคอจมูกหรือ
00:01:17 → 00:01:19 ไซนัสอักเสบนั่นเองทีนี้นะคะเดี๋ยวเรามา
00:01:19 → 00:01:22 ฟังกันนะคะว่าแต่ละสาเหตุเนี่ยเราจะมี
00:01:22 → 00:01:26 วิธีการสังเกตอาการตัวเองได้ยังไงบ้างนะ
00:01:26 → 00:01:29 คะแล้วอาการปวดหัวปวดกระบอกตาของเราเนี่ย
00:01:29 → 00:01:32 เข้าขายได้กับกลุ่มไหนแบบไหนที่อันตราย
00:01:32 → 00:01:36 ต้องรีบไปพบแพทย์แบบไหนที่รอได้ก็มาฟัง
00:01:36 → 00:01:39 กันเลยนะคะอันแรกค่ะโรคแรกเลยนะคะก็คือ
00:01:39 → 00:01:43 เป็นโรคปวดศีรษะคลัสเตอร์หลายคนน่ะจะเคย
00:01:43 → 00:01:46 ได้ยินเ่าปวดศีรษะคลัสเตอร์จากคลิปที่หมอ
00:01:46 → 00:01:49 เคยพูดแล้วแต่บางคนอาจจะได้ยินครั้งนี้
00:01:49 → 00:01:52 เป็นครั้งแรกปวดศีรษะคลัสเตอร์คืออะไรก็
00:01:52 → 00:01:56 คือถือเป็นโรคปวดศีรษะชนิดนึงซึ่งคนไข้
00:01:56 → 00:01:58 เนี่ยก็จะมีอาการปวดหัวข้างเดียวได้คล้าย
00:01:59 → 00:02:02 ๆกับไมเกรนเลยซึ่งเดี๋ยวเราจะต้องแยก 2
00:02:02 → 00:02:04 โรคนี้ออกจากกันแต่ปวดศีรษะคลัสเตอร์ที่
00:02:04 → 00:02:06 เอามาพูดเนี่ยเพราะว่าปวดศีรษะคลัสเตอร์
00:02:06 → 00:02:10 เนี่ยเป็นอะไรที่ปวดหัวแล้วปวดบริเวณ
00:02:10 → 00:02:13 กระบอกตาเด่นๆเลยเพราะฉะนั้นหลายครั้ง
00:02:13 → 00:02:16 เนี่ยคนไข้เนี่ยปวดตาปวดเหมือนแบบมีอะไร
00:02:16 → 00:02:19 ทะลุออกมาปวดเหมือนมีอะไรทิ่มอยู่ในตา
00:02:19 → 00:02:21 เนี่ยบางทีโอเคไม่ได้มาหาเหมอสมองไปหาหมอ
00:02:21 → 00:02:24 ตาก่อนแต่บางครั้งถ้ามีอาการปวดหัวร่วม
00:02:24 → 00:02:27 ด้วยเราก็จะได้มาเจอเ่อคุณหมอสมองกันที
00:02:27 → 00:02:29 นี้เรามารู้จักกันนะคะว่าปวดศีรษะ
00:02:29 → 00:02:31 คลาสเตอร์นะคะคะอาการเป็นยังไงจากรูปนี้
00:02:31 → 00:02:36 จะเห็นว่าตาเค้านะคะมีอาการยังไงบ้างคะตา
00:02:36 → 00:02:40 แดงมีน้ำตาไหลมีน้ำมูกไหลแล้วก็หนังตา
00:02:40 → 00:02:43 เนี่ยดูเหมือนตกกว่าอีกข้างใช่มยคะถ้าเรา
00:02:43 → 00:02:46 ส่องเข้าไปในบริเวณรูม่านตาจริงๆจะเห็น
00:02:46 → 00:02:49 ว่ารูม่านตาจุดกลางๆดำๆของคนไข้นะคะจะ
00:02:49 → 00:02:51 เล็กลงกว่าอีกข้างแต่บางครั้งเราก็ไม่ได้
00:02:51 → 00:02:53 สังเกตอันนี้เนี่ยส่วนใหญ่อ่ะคนไข้ที่ปวด
00:02:53 → 00:02:56 คลาสเตอร์จริงๆนะเอาจริงๆอ่ะเขาไม่ได้มา
00:02:56 → 00:02:58 บอกหมอหรอกว่าปวดหัวแล้วก็มีตาแดงน้ำตา
00:02:58 → 00:03:00 ไหลด้วยเพราะว่าตอนที่เวลาเราปวดหัวเรา
00:03:00 → 00:03:02 ไม่ได้สังเกตเราไม่ได้ส่องกระจกเราก็จะ
00:03:03 → 00:03:05 ไม่รู้หรอกว่าเรามีสิ่งนี้ร่วมด้วยหลายคน
00:03:05 → 00:03:07 อาจจะคิดว่าเอ้ยมันปวดหัวมากจนน้ำตามัน
00:03:07 → 00:03:10 ไหลออกมาเองจนเหมือนร้องไห้แล้วก็น้ำมูก
00:03:10 → 00:03:13 ไหลก็เหมือนแบบคนร้องไห้อ่ะน้ำหูน้ำตาไหล
00:03:13 → 00:03:15 อะไรแบบเนี้ยเลยไม่ได้คิดว่าเอ้ยนี่น่าจะ
00:03:15 → 00:03:17 เป็นอาการปวดคลัสเตอร์นะก็ไปคิดว่าเป็น
00:03:17 → 00:03:20 ไมเกรนก็ได้ซึ่งอาการของตัวอ่าอาการระบบ
00:03:20 → 00:03:23 ประสาทอัตโนมัติที่ผิดปกติอันนี้เนี่ย
00:03:23 → 00:03:25 ส่วนใหญ่จะเกิดข้างเดียวซึ่งเป็นข้าง
00:03:25 → 00:03:27 เดียวกับที่ปวดศีรษะอันเนี้ยเป็นสิ่งที่
00:03:27 → 00:03:30 สังเกตได้ง่ายเพราะถ้าเกิดเราเป็นน้ำตา
00:03:30 → 00:03:32 ไหลหรือว่าน้ำมูกไหลจากที่มีสาเหตุอย่าง
00:03:32 → 00:03:34 อื่นเช่นเราเป็นภูมิแพ้อากาศหรืออะไร
00:03:34 → 00:03:36 อย่างเงี้ยร่วมด้วยแบบนั้นก็ควรจะ 2 ข้าง
00:03:36 → 00:03:39 เพราะฉะนั้นพอเราซักประวัตไปจริงๆว่าอื
00:03:39 → 00:03:42 ตอนปวดหัวที่รู้สึกปวดตาเนี่ยมีอาการแบบ
00:03:42 → 00:03:44 นี้ร่วมด้วยไมแล้วมีกี่ข้างถ้ามีข้าง
00:03:44 → 00:03:47 เดียวเป็นข้างเดียวกับที่ปวดศีรษะก็บ่ง
00:03:47 → 00:03:49 ชี้เป็นคลัสเตอร์มากขึ้นซึ่งคลัสเตอร์นะ
00:03:49 → 00:03:52 คะส่วนใหญ่เราก็จะเจอในเ่อผู้ชายมากกว่า
00:03:52 → 00:03:54 ผู้หญิงเนาะแต่ถ้าเป็นไมเกรนอย่างเงี้ย
00:03:54 → 00:03:56 เราก็จะเจอผู้หญิงมากกว่าฉะนั้นเนี่ย
00:03:56 → 00:03:58 คัสเตอร์ก็เลยเป็นอะไรที่เราอาจจะไม่ได้
00:03:58 → 00:04:00 แบบเจอกันบ่อยมากหรือเราไม่ได้นึกถึง่า
00:04:00 → 00:04:02 เป็นแรกๆนะคะถ้าเทียบกับไมเกรนก็คือเจอ
00:04:02 → 00:04:05 น้อยกว่ามากแต่ถ้าเราเจอลักษณะของอาการตา
00:04:05 → 00:04:08 ร่วมกันแบบเนี้ยมันก็ช่วยบ่งชี้ไปในทาง
00:04:09 → 00:04:11 คลัสเตอร์มากขึ้นซึ่งการปวดคลัสเตอร์
00:04:11 → 00:04:14 เนี่ยก็จะปวดได้ตั้งแต่แบบประมาณ 5 นาที
00:04:14 → 00:04:17 นะคะหรือไปจนถึง 3 ชม 2-3 ชั่วมงเลยได้
00:04:17 → 00:04:20 แล้วก็มาแบบเป็นชุดๆอ่ะค่ะคำว่าคัสเตอร์
00:04:20 → 00:04:22 คือมันมาเป็นแบบเหมือนเป็นกลุ่มเป็นกล้อน
00:04:22 → 00:04:24 เป็นชุดๆเพราะฉะนั้นเนี่ยเวลาคนไข้ปวด
00:04:24 → 00:04:27 เนี่ยก็จะแบบปวดรุนแรงตึ๊กๆๆๆแล้วก็พัก
00:04:27 → 00:04:29 แล้วก็มาใหม่วันนึงก็เป็นได้หลายๆรอบเลย
00:04:29 → 00:04:32 ซึ่งคลัสเตอร์นะคะเอ่อเป็นโรคปวดศีรษะที่
00:04:33 → 00:04:35 ควรจะมารักษาเพราะว่ามันเป็นอาการปวดที่
00:04:35 → 00:04:38 รุนแรงบางครั้งเขาก็เรียกว่าเป็นซอ Head
00:04:38 → 00:04:40 เลยคือเป็นอาการปวดศีรษะที่คนไข้รู้สึก
00:04:40 → 00:04:43 ว่าไม่ไหวะไม่อยากอยู่ละเอาหัวไปทุบกำแพง
00:04:43 → 00:04:46 หรือแบบช่วยตัดหัวออกไปทีได้ไั้ยอะไรอย่า
00:04:46 → 00:04:47 เงี้ยเพราะว่ามันไม่รู้ว่าจะจัดการกับ
00:04:47 → 00:04:49 ความปวดนี้ยังไงเพราะฉะนั้นคลาสเตอร์ก็
00:04:49 → 00:04:52 ควรจะมารักการรักษาอย่างถูกต้องทั้งใน
00:04:52 → 00:04:54 กรณีระยะเฉียบพันธนะคะที่มีอาการปวด
00:04:54 → 00:04:58 รุนแรงมากๆหรือในการในกรณีที่เป็นการป้อง
00:04:58 → 00:05:00 กันสำหรับคนที่มีอาการบ่อยบ่อยทีนี้
00:05:00 → 00:05:03 คลัสเตอร์กับไมเกรนแยกกันยังไงล่ะพูดถึง
00:05:03 → 00:05:05 คลัสเตอร์ก็ต้องพูดถึงไมเกรนด้วยเพราะว่า
00:05:05 → 00:05:08 จริงๆไมเกรนเป็นอะไรที่เจอบ่อยกว่ามากๆ
00:05:08 → 00:05:10 แต่ว่าในคลิปนี้ที่หมอไม่ได้เอามาเอา
00:05:10 → 00:05:12 ไมเกรนมาพูดเป็นอย่างแรกเพราะว่าเราพูด
00:05:12 → 00:05:15 กันเรื่องปวดกระบอกตาใช่มั้ยคะของไมเกรน
00:05:15 → 00:05:17 เนี่ยจริงๆถามว่ามีปวดกระบอกตาได้ไมยปวด
00:05:17 → 00:05:20 ได้ตามรูปด้านซ้ายนะคะก็คือจะเป็นรูปปวด
00:05:20 → 00:05:23 ศีรษะไมเกรนจะเห็นว่ามีอาการปวดได้ตั้ง
00:05:23 → 00:05:26 แต่บริเวณกระบอกตาแต่มักจะมาถึงบริเวณ
00:05:26 → 00:05:28 ขมับและไปถึงไททอยด้วยอันนี้คือตำแหน่ง
00:05:28 → 00:05:32 ของไมเกรนในขณะที่ปวดขั้นด้านขวานะคะจะ
00:05:32 → 00:05:36 เห็นว่าเป็นรูปสีที่แดงๆที่บริเวณกระบอก
00:05:36 → 00:05:38 ตาเด่นๆเนี่ยอันเนี้ยเป็นคลาสเตอร์คือเขา
00:05:38 → 00:05:41 จะปวดอยู่แค่ตรงเนี้ยเด่นๆเลยส่วนใน
00:05:41 → 00:05:43 ไมเกรนเนี่ยถามว่าปวดกระบอกตาอย่างเดียว
00:05:44 → 00:05:46 ได้ไหมจริงๆมันก็มีกลุ่มอาการไมเกรนบางคน
00:05:46 → 00:05:49 นะคะที่เคปวดกระบอกตาอย่างเดียวเขาไม่ไป
00:05:49 → 00:05:51 ขมับเขาไม่ไปท้ายทอยเลยได้เหมือนกันนะคะ
00:05:51 → 00:05:54 โดยเฉพาะคนเป็นไมเกรนที่มีอาการแบบทางตา
00:05:54 → 00:05:58 เยอะๆเนาะมีแบบ Visual ออด้วยมีเอ่ออาการ
00:05:58 → 00:06:01 แบบเห็นแสงจ้าเหเห็นแสงซิกแซกนำมาก่อนนะ
00:06:01 → 00:06:04 คะหรือเป็นไมเกรนชนิดพิเศษเลยที่เราเรียก
00:06:04 → 00:06:06 ว่าเป็นอูไมเกรนหรือว่า retinal ไมเกรนก็
00:06:06 → 00:06:08 คือเป็นไมเกรนเฉพาะที่มีอาการทางตาอย่าง
00:06:08 → 00:06:10 เดียวเลยไม่มีอาการผิดปกติอย่างอื่นเลยก็
00:06:10 → 00:06:13 ได้นะคะแต่ว่าก็จะเป็นฟอร์มที่เจอน้อย
00:06:13 → 00:06:16 กว่าคนไข้ไมเกรนทั่วไปนะคะเพราะฉะนั้นถ้า
00:06:16 → 00:06:19 เกิดคนไข้ปวดหัวปวดกระบอกตาก็อาจจะยัง
00:06:19 → 00:06:22 ต้องนึกถึงไมเกรนไว้ด้วยไม่ได้นึกถึงแค่
00:06:22 → 00:06:24 คลัสเตอร์อย่างเดียวนะคะซึ่งอันนี้เราก็
00:06:24 → 00:06:26 จะต้องดูว่าเออคนไข้เนี่ยลักษณะแพทเทิร์น
00:06:26 → 00:06:29 ของอาการปวดเป็นมายังไงถ้าเป็นไมเกรน
00:06:29 → 00:06:31 เนี่ยส่วนใหญ่จะเจอในผู้หญิงมากกว่าอย่าง
00:06:31 → 00:06:34 ในไมเกรนเนี่ยก็จะเจอผู้หญิงสัก 70% เลย
00:06:34 → 00:06:36 ในขณะที่ผู้ชายสัก 30 แต่ในทางกลับการถ้า
00:06:36 → 00:06:38 เกิดเป็นคลาสเตอร์เนี่ยก็เจอผู้ชายเยอะ
00:06:38 → 00:06:40 กว่า 50-70 per เลยผู้หญิงก็น้อยกว่า
00:06:40 → 00:06:43 เพราะฉะนั้นถ้าเป็นคุณผู้หญิงเนี่ยส่วน
00:06:43 → 00:06:45 ใหญ่ก็จะยังนึกถึงไมเกรนไว้ก่อนแล้วเราก็
00:06:45 → 00:06:48 ไปซักประวัตินะคะว่าคนไข้มีอาการร่วม
00:06:48 → 00:06:51 ไมเกรนอื่นๆมนะคะเช่นเอ่อลักษณะไมเกรนก็
00:06:51 → 00:06:53 จะเป็นปวดตุบๆใช่มั้ยคะส่วนใหญ่ปวดข้าง
00:06:53 → 00:06:55 เดียวแต่โอเคบางครั้งก็จะมี 2 ข้างได้แต่
00:06:55 → 00:06:58 ว่ามักจะมีตัวกระตุ้นที่ค่อนข้างชัดเจน
00:06:58 → 00:07:01 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของพวกแสงแดดอากาศร้อน
00:07:01 → 00:07:05 อากาศเปลี่ยนนะคะกลิ่นนะคะหรือคนไข้มักจะ
00:07:05 → 00:07:08 มีลักษณะพิเศษก็คือที่เราเรียกว่าแพ้แสง
00:07:08 → 00:07:10 แพ้เสียงนะคะไม่ชอบเสียงดังไม่ชอบแสงจ้า
00:07:11 → 00:07:14 นะคะที่เป็นพวกโฟโฟเบียฟนฟเบียนะคะแล้วก็
00:07:14 → 00:07:16 มักจะมีคื่นไส้อาเจียนร่วมด้วยนะคะถ้า
00:07:16 → 00:07:18 เกิดมีลักษณะโบ่งชี้ไปทางแบบนี้ก็มักจะไป
00:07:18 → 00:07:21 นึกถึงไมเกรนมากกว่าแต่ถ้าเกิดแบบว่ามี
00:07:21 → 00:07:24 อาการของระบบประสาทอัตโนมัติเด่นๆที่
00:07:24 → 00:07:26 เมื่อกี้โชว์รูปแรกตาแดงน้้ำตาไหลอะไร
00:07:26 → 00:07:28 อย่างเงี้ก็อาจจะเป็นกลุ่มพวกคลัสเตอร์
00:07:28 → 00:07:31 มากกว่ายังไงก็ตามนะคะคะคือให้คนไข้เนี่ย
00:07:31 → 00:07:34 สังเกตว่าเราเป็นกลุ่มปวดหัวที่มีปวด
00:07:34 → 00:07:37 กระบอกตาแล้วดูอาการร่วมว่าเรามีอย่างที่
00:07:37 → 00:07:39 หมอบอกไปมเนาะมีระบบประสาทอัตโนมัติผิด
00:07:40 → 00:07:44 ปกติมยมีตัวกระตุ้นหรือว่ามีอ่าลักษณะ
00:07:44 → 00:07:46 อะไรที่มาทำให้เรานึกถึงโรคแดมเป็นพิเศษ
00:07:46 → 00:07:48 หรือเปล่าอันนี้คนไข้ไม่ต้องวินิจฉัยเอง
00:07:48 → 00:07:50 นะคะแค่เพียงว่ามีลักษณะที่เข้าข่ายแบบ
00:07:50 → 00:07:53 นี้ก็ควรไปพบแพทย์นะคะเฉพาะทางเพื่อได้
00:07:53 → 00:07:55 รับการรักษาอย่างถูกต้องนะคะเพราะว่า
00:07:55 → 00:07:57 กลุ่มพวกนี้นะคะไม่ว่าจะเป็นคัสเตอร์
00:07:57 → 00:08:00 ไมเกรนเนี่ยมันจะมี 2 แบบแบบนึงก็คือเป็น
00:08:00 → 00:08:03 ชั่วคราวนะคะนานๆทีมาทีนะคะหรือที่เราว่า
00:08:03 → 00:08:05 เรียกว่าเป็นพวกกลุ่ม episodic แต่ว่าถ้า
00:08:05 → 00:08:08 เกิดปล่อยไว้ไม่รักษาปล่อยไว้เป็นนานๆ
00:08:08 → 00:08:11 เกิดอาการกำเริบบ่อยเรื่อยๆสุดท้ายก็จะ
00:08:11 → 00:08:13 กลายเป็นกลุ่มโคนิคหรือว่ากลุ่มที่เรียก
00:08:13 → 00:08:15 ว่าเรื้อรังซึ่งจะรักษามากยิ่งขึ้นแล้วก็
00:08:15 → 00:08:19 สุดท้ายมักจะนำไปสู่ภาวะสมองติดยาแก้ปวด
00:08:19 → 00:08:21 ใช้ยาแก้ปวดมากเกินไปหรือปัญหาโรคร่วม
00:08:21 → 00:08:24 อื่นๆเช่นเรื่องของวิตกกังวลซึมเศร้า
00:08:24 → 00:08:26 ปัญหาเรื่องอารมณ์ตามมาได้อ่าเมื่อกี้
00:08:26 → 00:08:28 เป็นสาเหตุของปวดศีรษะจากกลุ่มโรคปวด
00:08:28 → 00:08:30 ศีรษะก็คือเป็นคลัส
00:08:30 → 00:08:32 แล้วก็ติดไมเกรนไว้นิดนึงอันที่ 2 นะคะ
00:08:32 → 00:08:36 สาเหตุของอาการปวดหัวแล้วปวดกระบอกตาเด่น
00:08:36 → 00:08:38 ๆเลยอันนี้นะคะอาจจะไม่ใช่โรคของหมอสมอง
00:08:38 → 00:08:41 นะคะแต่เป็นโรคของคุณหมอตาซึ่งเราต้องนึก
00:08:41 → 00:08:45 ถึงแยกโรคร่วมกันไว้เสมอเลยโดยเฉพาะกลุ่ม
00:08:45 → 00:08:48 ที่เอ่อต้องรีบไปรักษาอย่างเร่งด่วนหรือ
00:08:48 → 00:08:50 ที่เราเรียกว่าต้อหินมุมปิดเฉียบพันธุ
00:08:50 → 00:08:53 อันเนี้ยน่าสนใจมากๆก็คือหมอเพิ่งเจอเคส
00:08:53 → 00:08:55 นะคะที่มาตรวจกับหมอเองโดยตรงเลยเดี๋ยวจะ
00:08:55 → 00:08:57 ขออนุญาตเล่าเคสให้ฟังเพื่อให้ทุกคนเนี่ย
00:08:57 → 00:08:59 ได้ระลึกถึงไว้ด้วยว่าเอจริงๆแล้วเราปวด
00:08:59 → 00:09:01 หัวเนี่ยเราอาจจะไม่ใช่เป็นแค่สาเหตุจาก
00:09:01 → 00:09:04 โรคสมองนะแต่เราเป็นสาเหตุจากโรคตาก็ได้
00:09:04 → 00:09:06 อันนี้นะคะเป็นรูปของคนไข้ของหมอนะคะขอ
00:09:06 → 00:09:09 อนุญาตนำมาใช้แล้วนะคะก็คือคนไข้เนี่ย
00:09:09 → 00:09:11 อายุประมาณ 69 ปีจริงๆคนไข้เนี่ยเคยเป็น
00:09:11 → 00:09:15 ไมเกรนมาก่อนตั้งแต่สมัยอายุน้อยๆ 20-30
00:09:15 → 00:09:18 ปีแต่ไมเกรนเนี่ยหายสนิทไปหลายสิบปีมากๆะ
00:09:18 → 00:09:20 นะคะแล้วอยู่ดีๆก่อนที่คนไข้จะมาเจอหมอ
00:09:20 → 00:09:23 เนี่ยก็คืออยู่ดีๆก็ปวดหัวมามากๆเลย
00:09:23 → 00:09:25 ประมาณสัก 3 วันเขาบอกว่าอยู่ดีๆอ 3 วัน
00:09:25 → 00:09:28 ปวดหัวแบบเหมือนจากเดิมที่คิดว่าไมเกรน
00:09:28 → 00:09:30 เราหายไปแล้วเอทำไมอยู่ดีๆกลับมาปวดซึ่ง
00:09:30 → 00:09:33 ลักษณะอาการปวดหัวเนี่ยเด่นอยู่ที่ตรง
00:09:33 → 00:09:35 กระบอกตาแล้ววันนั้นเนี่ยก็คือมีอาการของ
00:09:35 → 00:09:39 ตาแดงนะคะรู้สึกน้ำตาไหลนะคะรู้สึกเคือง
00:09:39 → 00:09:43 ตาแสบตาร่วมด้วยคนไข้ก็กินยาก็ไม่ดีขึ้น
00:09:43 → 00:09:45 วันนั้นวัดความดันก็คือความดันก็ขึ้นสูง
00:09:45 → 00:09:49 ปรีดไปเลยก็โอเคนอนไปแล้วก็รอดูอาการ
00:09:49 → 00:09:52 ปรากฏว่าวัน 2 วันแล้วก็ยังอาการไม่ดี
00:09:53 → 00:09:55 ขึ้นก็ยังมีอาการปวดศีรษะอยู่ก็เลยไป
00:09:55 → 00:09:58 เสิร์ชหาข้อมูลว่าเอปวดตาตาแดงอะไรเงี้ย
00:09:58 → 00:10:00 คนไข้บอกว่าก็คือจะคลิปหมอคลิปที่เป็น
00:10:00 → 00:10:03 เรื่องของอาการปวดศีรษะคลาสเตอร์คนไข้ก็
00:10:03 → 00:10:06 ฟังเลยฟังจนจบคลิปแล้วบอกว่าใช่แน่ๆก็เลย
00:10:06 → 00:10:08 มาตรวจตอนคนไข้เดินเข้ามาตรวจเนี่ยก็บอก
00:10:08 → 00:10:10 ว่าหมอคะคิดว่าเป็นคลัสเตอร์ค่ะหมอก็อ่ะ
00:10:11 → 00:10:13 เล่าให้ฟังซิเป็นยังไงนะคะคนไข้ก็เล่าให้
00:10:13 → 00:10:15 ฟังว่าอยู่เอ่อเคยเป็นไมเกรนมาก่อนแล้วก็
00:10:15 → 00:10:18 อยู่ดีๆเนี่ย 3-4 วันนี้ก็คือปวดหัวมีตา
00:10:18 → 00:10:20 แดงน้ำตาไหลนะคะคิดว่าน่าจะเป็นคลัสเตอร์
00:10:20 → 00:10:22 แน่ๆแต่ว่าหมอฟังประวัติแล้วก็เอคนเนี้ย
00:10:22 → 00:10:26 ไม่น่าใช่คลัสเตอร์นะเพราะอะไรอันแรกคือ
00:10:26 → 00:10:30 คนไข้เนี่ยเป็นไมเกรนที่หายสนิทไปแล้วคน
00:10:30 → 00:10:33 ไข้ไม่ได้แอคทีฟแล้วอ่ะหายไป 20-30 ปีจน
00:10:33 → 00:10:35 ตอนเนี้อายุ 69 และอยู่ดีๆจะกลับมาเป็น
00:10:35 → 00:10:38 กลุ่มปวดหัวไมเกรนคลาสเตอร์ใหม่เนี่ยก็
00:10:38 → 00:10:40 ค่อนข้างยากนะคะส่วนใหญ่กลุ่มพวกเนี้ยเรา
00:10:40 → 00:10:43 ก็จะไม่ได้เจอในคนไข้ที่อายุเยอะมากๆอัน
00:10:43 → 00:10:46 ที่ 2 คือมันเป็นเฉียบพันธมากถ้าเป็น
00:10:46 → 00:10:48 กลุ่มพวกกลุ่มคัสเตอร์ไมเกรนอย่างเงี้ย
00:10:48 → 00:10:51 บางทีอ่ะคนไข้อ่ะมักจะมีอาการปวดเป็นเป็น
00:10:51 → 00:10:53 หายๆอ่ะนำมาก่อนมักไม่ได้มาหาเราแบบเฉียบ
00:10:53 → 00:10:56 พันธขนาดนั้นแล้วก็คนไข้ก็ไม่ได้อยู่ใน
00:10:56 → 00:10:58 กลุ่มเสียงที่น่าจะเป็นคลาสเตอร์ด้วยเป็น
00:10:58 → 00:11:00 ผู้หญิงแล้วก็ก็อายุก็แบบไม่ได้เข้าขาย
00:11:00 → 00:11:02 อาการอื่นก็ไม่เหมือนอะไรเงี้ยค่ะตอนนั้น
00:11:02 → 00:11:04 หมอก็เลยตรวจเรื่องกายเพิ่มเติมก็คือเจอ
00:11:04 → 00:11:07 เป็นภาพนี้จะเห็นว่าด้านนึงเนี่ยเ่ารูแมน
00:11:07 → 00:11:09 ตาปกตินะคะแต่จะเห็นอีกอันนึงนะคะที่ไฟ
00:11:09 → 00:11:12 ส่องไว้ก็คือเ่อรูม่านตาเนี่ยขยายใหญ่เลย
00:11:12 → 00:11:15 เนาะก็คือเหเนี่ยเอาง่ายๆ 2 ภาพเนี่ยคนดู
00:11:15 → 00:11:17 ก็รู้ว่ารูม่านตา 2 ข้างมันไม่เท่ากันถูก
00:11:17 → 00:11:20 มยคะอ่าแล้วก็ในภาพของจริงเนี่ยจริงๆคน
00:11:21 → 00:11:23 ไข้จะมีตาแดงๆมากกว่าด้วยแต่ไม่มีหนังตา
00:11:23 → 00:11:26 ตกไม่มีอะไรแต่วันที่คนไข้มาหาหมอคือ
00:11:26 → 00:11:29 อาการปวดหัวดีขึ้นแล้วหมอเจอภาพเนี้ยหมอ
00:11:29 → 00:11:31 ก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ใช่คลัสเตอร์แน่ๆเพราะ
00:11:31 → 00:11:33 อะไรรูม่านตานี่แหละค่ะเพราะถ้าเป็น
00:11:33 → 00:11:36 คลัสเตอร์อ่ะรูม่านตาเขาจะเล็กแต่เนี่ยรู
00:11:36 → 00:11:39 ม่านตาเขาขยายตอนนั้นเนี่ยก็เลยเอ่อคิด
00:11:39 → 00:11:41 ถึงอาการปวดหัวที่ทำให้รูม่านตาขยายได้
00:11:41 → 00:11:44 เนี่ยเ่ออยู่ 2 เรื่องอันแรกนะคะก็อาจจะ
00:11:44 → 00:11:46 เป็นโรคกลุ่มโรคในสมองที่เป็นในสมองเลย
00:11:46 → 00:11:49 จริงๆหรือเปล่านะคะพวกเอ่อหลอดเลือดสมอง
00:11:49 → 00:11:51 โปร่งพองอะไรพวกเยนะคะที่มันไปกดทับที่ทำ
00:11:51 → 00:11:54 ให้รูม่านตาผิดปกติหรืออันที่ 2 ก็คือคน
00:11:54 → 00:11:56 เป็นโรคจากทางตาเองเนี่ยแหละโดยเฉพาะ
00:11:56 → 00:11:59 กลุ่มพวกต้อหินเสียบพันตอนนั้นก็เอ่อได้
00:11:59 → 00:12:03 ตรวจคนไข้นะคะเรียบร้อยก็คือทำ M สมอง
00:12:03 → 00:12:05 อะไรก็ไม่มีเรื่องของมีมีเส้นเลือดโป่ง
00:12:05 → 00:12:08 พองนะมีพอดีด้วยแต่มันเล็กมากเล็กจนไม่
00:12:08 → 00:12:11 อธิบายอาการคนไข้ก็เลยคิดว่าคนไข้เนี่ย
00:12:11 → 00:12:13 น่าจะเป็นเรื่องของกลุ่มต้อหินเฉียบพันธุ
00:12:13 → 00:12:15 แบบมุมปิดมากกว่าก็เลยรีบให้คนไข้เนี่ยไป
00:12:15 → 00:12:18 หาหมอตาต่อเพราะว่าภาวะเนี้ยถือว่าเป็น
00:12:18 → 00:12:21 ภาวะเร่งด่วนของทางหมอตาเพราะว่าต้าหิน
00:12:21 → 00:12:24 มุมปิดคืออะไรจะเห็นว่าต้อหินเนี่ยชื่อ
00:12:24 → 00:12:27 เ้าตือต้อหินใช่มั้ยคะแต่ไม่ใช่มีหินใน
00:12:27 → 00:12:31 ลูกตานะจริงๆหินเป็นคำเรียกของไทยในภาษา
00:12:31 → 00:12:33 อังกฤษเราจะเรียกว่าเป็นกลอโคม่าเนาะเกิด
00:12:33 → 00:12:36 จากอะไรนะคะเดี๋ยวดูรูปนี้นะคะก็คือในดวง
00:12:36 → 00:12:39 ตาของเราเนี่ยรูปถัดไปนะคะในดวงตาของเรา
00:12:39 → 00:12:42 เนี่ยก็จะมีอันเนี้ยเป็นลูกตากระจกใสๆ
00:12:42 → 00:12:46 เห็นมั้ยคะกระจกใสๆเลนแล้วก็จะมีม่านตา
00:12:46 → 00:12:49 แล้วก็รูม่านตาปกติเนี่ยลูกตาเราอ่ะจะ
00:12:49 → 00:12:51 เห็นเราต้องมีน้ำมาหลอดเลี้ยงลูกตานะคะ
00:12:51 → 00:12:53 อยู่ตลอดซึ่งน้ำเข้ามาหลอดเลี้ยงเสร็จ
00:12:53 → 00:12:56 ปุ๊บมันก็จะดูดซึมออกไปทำให้ความดันลูกตา
00:12:56 → 00:12:58 เนี่ยเราอยู่ในเกณฑ์ปกติแต่เมื่อไหร่ที่
00:12:58 → 00:13:00 มันมีสสาเหตุอะไรที่มาทำให้ม่านตาเนี่ย
00:13:00 → 00:13:04 มันไปปิดรูม่านตาตรงรูที่จะทำระบายน้ำของ
00:13:04 → 00:13:06 เหลวออกเนี่ยมันก็เลยทำให้ของเหลวหรือว่า
00:13:06 → 00:13:08 น้ำที่มามันเลี้งหล่อเลี้ยงลูกตาเนี่ยมัน
00:13:08 → 00:13:10 ระบายออกไม่ได้ก็เกิดเหมือนแรงดันน่ะ
00:13:10 → 00:13:12 เหมือนท่อตันน่ะค่ะเหมือนท่อน้ำตันเนาะ
00:13:12 → 00:13:15 แรงดันมันก็เยอะซึ่งดันเนี่ยมันไม่รู้จะ
00:13:15 → 00:13:17 ดันไปไหนเนี่ยมันก็ดันไปด้านหลังสีเหลือง
00:13:17 → 00:13:20 ก็คือเส้นประสาทตานั่นเองคนไข้ก็จะมี
00:13:20 → 00:13:22 อาการเค่ะตาพร่ามัวรู้สึกมองไม่ชัดแล้วพอ
00:13:22 → 00:13:25 แรงดันเยอะๆนึกสภาพแบบในเนี้ยแรงดันมัน
00:13:25 → 00:13:28 เยอะมากอ่ะค่ะก็ต้องปวดอยู่ละปวดตาอยู่ละ
00:13:28 → 00:13:31 แล้วด้วยด้วยความที่ปวดตาค่อนข้างรุนแรง
00:13:31 → 00:13:33 ก็เลยจะทำให้รู้สึกว่ามันเป็นปวดศีรษะไป
00:13:33 → 00:13:36 ด้วยนะคะเพราะฉะนั้นอารต้อหินเฉียบพันธุ
00:13:36 → 00:13:40 นะก็จะมาด้วยปวดตารุนแรงปวดหัวตาแดงน้ำำ
00:13:40 → 00:13:44 ตาไหลนะคะรู้สึกตาผ้ามัวเห็นมั้ยคะพอฟัง
00:13:44 → 00:13:47 อาการเหมือนคลาสเตอร์เลยหรือเหมือนไมเกรน
00:13:47 → 00:13:49 ด้วยเพราะฉะนั้นเนี่ยไม่แปลกใจที่คนไข้
00:13:49 → 00:13:52 อ่ะบางครั้งก็ไม่สามารถแยกได้ชัดเจนหรอก
00:13:52 → 00:13:55 ว่าจริงๆแล้วสาเหตุของปวดหัวปวดตาเขาคอ่ะ
00:13:55 → 00:13:57 มาจากอะไรแต่ว่าเป็นหน้าที่ของแพทย์มาก
00:13:57 → 00:14:00 กว่าที่อาจจะต้องช่วยในการวินิจฉัยนะคะ
00:14:00 → 00:14:02 แล้วก็คนไข้ก็อาจจะต้องอ่าสมมุติเราเจอ
00:14:02 → 00:14:05 กรณีแบบนี้เนี่ยเคนไข้ก็อาจจะต้องรีบนะคะ
00:14:05 → 00:14:07 ไปตรวจเนาะอย่าคิดว่าเอ้ยสมมุติว่าบางคน
00:14:07 → 00:14:09 น่ะเป็นไมแบบอย่างเงี้ยค่ะเป็นไมเกรนแล้ว
00:14:09 → 00:14:11 ก็เออรู้สึกว่ามันคงเป็นไมเกรนเหมือนเดิม
00:14:11 → 00:14:13 นี่แหละไม่ได้มีอะไรหรอกแต่ถ้าเกิดลักษณะ
00:14:13 → 00:14:16 อาการปวดหัวของเราไม่เหมือนเดิมเปลี่ยนไป
00:14:16 → 00:14:19 ปวดรุนแรงมากขึ้นอย่างในกรณีคนไข้คนนี้นะ
00:14:19 → 00:14:21 คะที่เขาเคยเป็นไมเกรนแล้วเหายไปแล้วอ่ะ
00:14:21 → 00:14:23 แล้วอยู่ดีๆก็ปวดขึ้นมาใหม่อย่าเพิ่งไป
00:14:23 → 00:14:25 นึกถึงเรื่องเดิมก่อนนะคะเราต้องหาสาเหตุ
00:14:25 → 00:14:28 เรื่องอื่นก่อนแล้วก็เคสเนี้ยพอโ2องตาก็
00:14:28 → 00:14:31 เห็นเลยว่าผิดปกติแต่คนไข้ไม่รู้นะคนไข้
00:14:31 → 00:14:33 ไม่ได้รู้เลยนะคะว่าตัวเองตาแดงตัวเองน้ำ
00:14:33 → 00:14:36 ตาไหลเพราะอย่างที่บอกเวลาเราปวดหัวเรา
00:14:36 → 00:14:38 ไม่ได้ส่องกระจกดูอ่ะค่ะมันจะไม่ได้เห็น
00:14:38 → 00:14:40 ความผิดปกติอันนั้นเราจะรู้สึกแค่ว่าเรา
00:14:40 → 00:14:42 ปวดตานั่นแหละซึ่งคนนี้นะคะสุดท้ายนะคะก็
00:14:42 → 00:14:45 รีบให้คุณไปหาคุณหมอตาแล้วก็คนไข้ก็ได้
00:14:45 → 00:14:48 รับการทำเรเซอร์ต้อหินนะคะอย่างเร่งด่วน
00:14:48 → 00:14:51 ก็ผลการรักษาก็ดีแล้วก็อาการก็หายสนิภาวะ
00:14:51 → 00:14:53 นี้เนี่ยที่หมอต้องเอามาพูดในวันนี้หมอ
00:14:53 → 00:14:56 พูดในเชิงหมอสมองที่คนไข้มาด้วยอาการปวด
00:14:56 → 00:14:59 หัวและปวดกระบอกตานะคะหมออาจจะไม่ได้แบบ
00:14:59 → 00:15:02 มีความรู้เท่ากับคุณหมอตาที่รักษาแต่อยาก
00:15:02 → 00:15:04 ให้คนไข้เอะใจไว้นิดนึงว่าบางครั้งที่เรา
00:15:05 → 00:15:08 ปวดศีรษะเราปวดกระบอกตาสาเหตุมันมาจากโรค
00:15:08 → 00:15:10 ตาก็ได้นะไม่ใช่จำเป็นจะเป็นโรคปวดหัว
00:15:10 → 00:15:12 อย่างเดียวเพราะคนส่วนใหญ่เวลาปวดหัว
00:15:12 → 00:15:14 รุนแรงมากๆอ่ะสิ่งนึงที่กลัวคือกลัว
00:15:14 → 00:15:17 เรื่องในสมองมากกว่ากลัวเนื้องอกกลัวเส้น
00:15:17 → 00:15:19 เลือดแตกแต่บางครั้งเราก็นืมนึกไปว่ามัน
00:15:19 → 00:15:22 มีสาเหตุอื่นๆนอกเหนือจากในสมองที่ก็เร่ง
00:15:22 → 00:15:24 ด่วนเหมือนกันเพราะว่าภาวะต้อหินเสียบ
00:15:24 → 00:15:26 พันธุ์แบบมุมปลิ่นนี้นะคะถ้าเกิดเรารักษา
00:15:26 → 00:15:29 ช้านะคะรักษาไม่ทันทุกทีแล้วมันกดประสาท
00:15:29 → 00:15:32 ตามากๆเนี่ยสุดท้ายก็คือถ้ารุนแรงก็คือ
00:15:32 → 00:15:34 อาจจะเกิดการสูญเสียการมองเห็นได้เหมือน
00:15:34 → 00:15:36 กันนะคะหรือบางครั้งเนี่ยเลเซอร์อาจจะไม่
00:15:36 → 00:15:39 ได้และก็อาจจะต้องผ่าตัดการรักษาก็จะยาก
00:15:39 → 00:15:41 มากยิ่งขึ้นใครนะคะมีอาการปวดหัวปวด
00:15:41 → 00:15:43 กระบอกตาอย่าลืมนะคะว่าเราอาจจะเป็นโรคตา
00:15:43 → 00:15:46 ก็ได้ทีนี้ต้อหินเนี่ยเรามีวิธีการป้อง
00:15:46 → 00:15:49 กันมั้ยจริงๆแล้วเนี่ยการวัดต้อหินเี่คือ
00:15:49 → 00:15:51 เราก็จะวัดความดันในลูกตาจะเป็นเครื่อง
00:15:51 → 00:15:53 วัดของคุณหมอตาโดยเฉพาะนะคะเพราะฉะนั้น
00:15:53 → 00:15:56 ถ้าใครมีความเสี่ยงนะเช่นอายุเริ่มเยอะ
00:15:56 → 00:16:00 สักหลัง 50-60 ปีมีมีต้อกระจกเคยมีอาการ
00:16:00 → 00:16:02 อย่างเงี้ยปวดตาแต่ว่าไม่ได้รุนแรงมากนัก
00:16:02 → 00:16:05 หรือมีประวัติครอบครัวเป็นอันนี้ก็แนะนำ
00:16:05 → 00:16:07 ให้ตรวจตาอย่างสม่ำเสมอนอกเหนือจากการ
00:16:07 → 00:16:10 ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อให้คุณหมอตาเคอย
00:16:10 → 00:16:12 เช็คอย่างละเอียดจะได้ป้องกันไม่ให้เกิด
00:16:12 → 00:16:15 ภาวะฉุกเฉินขึ้นมาต่อไปนะคะอันที่ 3 ภาวะ
00:16:15 → 00:16:19 ตาล้า E strain นะคะก็คือมันเหมือนๆเวลา
00:16:19 → 00:16:21 เราออกกำลังกายเยอะๆแล้วกล้ามเนื้ออ่อน
00:16:21 → 00:16:23 ล้าแหละอันนี้ก็คือการใช้สายตามากเกินไป
00:16:23 → 00:16:25 แล้วเกิดกล้ามเนื้อตาอ่อนล้านะคะซึ่ง
00:16:25 → 00:16:28 ปัจจุบันเนี่ยเราก็มีคำเรียกว่าเป็นจ
00:16:28 → 00:16:32 Digital ey strain นะคะหรือคพต Vision
00:16:32 → 00:16:34 Syndrome นะคะก็เป็นไปตามยุคสมัยที่
00:16:34 → 00:16:37 เดี๋ยวนี้เราใช้หน้าจอกันมากขึ้นใช้
00:16:37 → 00:16:40 คอมพิวเตอร์ใช้มือถือกันมากขึ้นกลุ่มนี้
00:16:40 → 00:16:42 นะคะคืออะไรก็จะคล้ายๆกับกลุ่ม Office
00:16:43 → 00:16:44 syndrome เนาะเราคงเคยได้ยิน Office
00:16:44 → 00:16:46 syndrome อันนี้รู้จักกันอยู่ละกลุ่ม
00:16:46 → 00:16:48 Office syndrome ก็คือกลุ่มที่นั่งทำ
00:16:48 → 00:16:50 งานนานๆท่าใดท่านึงนานๆจนเกิดกล้ามเนื้อ
00:16:50 → 00:16:54 เกรงปวดคอปวดหลังอ่าใช้มือเยอะนิ้วล็อ
00:16:54 → 00:16:55 อะไรอย่างเงี้ยนะคะเพราะฉะนั้นคอมพิวเตอ
00:16:55 → 00:16:58 Vision Syndrome ก็คือกลุ่มอาการที่
00:16:59 → 00:17:01 เป็นอาการทางตาที่จะเกิดจากการใช้สายตา
00:17:01 → 00:17:04 หรือใช้คอมพิวเตอร์ใช้จอมอนิเตอร์ใช้มือ
00:17:04 → 00:17:06 ถือมากเกินไปนั่นเองนะคะซึ่งในที่นี้
00:17:06 → 00:17:08 เนี่ยคนไข้จะมีอาการอะไรได้บ้างส่วนใหญ่
00:17:08 → 00:17:11 ก็คือรู้สึกตาล้าจะรู้สึกล้าๆบริเวณรอบ
00:17:11 → 00:17:14 ดวงตาจะไม่ได้ปวดหนักเท่ากับ 2 สาเหตุแรก
00:17:14 → 00:17:16 อันนั้นคือปวดแบบเหมือนตาจะถลนออกมาเลย
00:17:16 → 00:17:19 แต่อันเนี้ยมันจะเป็นแบบความหนักๆล้าๆ
00:17:19 → 00:17:23 เหมือนมีอะไรบีบๆรัดๆตึงๆมากกว่าแล้วก็
00:17:23 → 00:17:25 ถ้าเป็นมากๆเข้าเนี่ยส่วนใหญ่ก็มักจะมี
00:17:25 → 00:17:28 อาการปวดศีรษะร่วมด้วยได้แล้วก็สาเหตุของ
00:17:28 → 00:17:31 การใช้ใช้หน้าจอหรือใช้คอมพิวเตอร์เนี่ย
00:17:31 → 00:17:33 คือเราก็มักจะอยู่ในท่าเดิมนานๆใช้สายตา
00:17:33 → 00:17:35 มากเกินไปเพราะฉะนั้นเนี่ยก็จะไม่ได้แค่
00:17:36 → 00:17:38 ตาร้าปวดหัวอย่างเดียวนะคะแต่ก็มักจะปวด
00:17:38 → 00:17:41 รวดรามไปถึงต้นคอปวดคอบาไหล่ร่วมด้วย
00:17:41 → 00:17:44 อาการจะไม่ได้รุนแรงมากความปวดก็จะเป็น
00:17:44 → 00:17:46 ปวดคล้ายๆกลุ่มปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึง
00:17:46 → 00:17:48 อ่ะค่ะปวดแบบเทนชั่นน่ะค่ะก็คือรู้สึก
00:17:48 → 00:17:51 เหมือนมีอะไรมาบีบรัดตึงไม่ต้องทานยาแก้
00:17:51 → 00:17:54 ปวดก็ได้หรือไม่ต้องหยุดงานแค่รู้สึกพัก
00:17:54 → 00:17:57 ก็อาจจะดีขึ้นแต่บางคนถ้าสะสมมานานเป็น
00:17:57 → 00:18:01 มากๆเข้าก็ก็อาจจะรู้สึกอากามันรบกวน
00:18:01 → 00:18:03 ชีวิตประจำวันหรือทำให้รู้สึกเหมือนคิด
00:18:03 → 00:18:05 งานอะไรไม่ออกรเงี้ยได้เหมือนกันเพราะว่า
00:18:05 → 00:18:08 ความรำคาญของบริเวณรอบดวงตาหรือว่าแถว
00:18:08 → 00:18:10 บริเวณขมับเนี่ยบางทีมันทำให้รู้สึก
00:18:10 → 00:18:12 เหมือนหัวมันไม่โล่งอ่ะค่ะคิดงานแล้วมัน
00:18:12 → 00:18:14 ไม่ Flow เนาะกลุ่มนี้นะคะคอมพิวเตร์
00:18:14 → 00:18:16 Vision Syndrome เนี่ยลองดูนะคะก็คือ
00:18:16 → 00:18:19 ถ้าเกิดใครเป็นนะเราก็จะรู้สึกว่าตาเรา
00:18:19 → 00:18:23 แบบแห้งตาร้าเมื่อยตายิ่งโดยเฉพาะ
00:18:23 → 00:18:25 สัมพันธ์กับการที่เรานั่งทำงานมาหลายๆ
00:18:25 → 00:18:28 ชั่วโมงฉะนั้นใครเป็นอาการแบบนี้นะอันนี้
00:18:28 → 00:18:30 ดูแลตัว a เบื้องต้นได้อย่างในรูปนี้นะคะ
00:18:30 → 00:18:33 เขาก็จะเป็นวิธีการป้องกันเราจะป้องกัน
00:18:33 → 00:18:36 ไม่ให้เกิดอาการคพต Vision Syndrome ได้
00:18:36 → 00:18:38 ยังไงสำหรับคนที่ใช้งานคอมพิวเตอร์เยอะๆ
00:18:38 → 00:18:41 หรือดูหน้าจอมือถือเยอะๆเนาะอันแรกเลยคือ
00:18:41 → 00:18:44 เราใช้กด 20 20 20 ก็คือทุกๆ 20 นาที
00:18:45 → 00:18:48 ให้เราพักสายตาห่างจากหน้าจอแล้วมองไล่
00:18:48 → 00:18:51 เพราะเอ่อโดยเฉพาะถ้าเกิดใครที่ทำงานแบบ
00:18:51 → 00:18:53 มีมองออกไปทางหน้าต่างแบบเป็นธรรมชาติมอง
00:18:54 → 00:18:56 ต้นไม้มองอะไรอย่างเงี้ยได้นะคะก็ใช้พัก
00:18:56 → 00:18:59 สายตาไปการมองไกลเพราะว่าเวเวลาเรามอง
00:18:59 → 00:19:01 คอมพิวเตอร์เรามองมือถือมองหน้าจอเนี่ย
00:19:01 → 00:19:04 เอ่อเราจะใช้ระยะที่เป็นการโฟกัสดวงตาแบบ
00:19:04 → 00:19:08 การมองใกล้กล้ามเนื้อดวงตาก็จะใช้แบบมัด
00:19:08 → 00:19:10 ใดมัดนึงมากกว่าปกติเพราะฉะนั้นการพักก็
00:19:10 → 00:19:13 คือการมองออกไปไกลๆ 20 สุดท้ายก็คือ 20
00:19:13 → 00:19:18 วินาทีนะคะก็คือให้ทุกๆ 20 นาทีพัก 20
00:19:18 → 00:19:20 วินาทีโดยการมองไกลๆไปสัก 20 ฟุตไม่ต้อง
00:19:20 → 00:19:23 กะดระยะแบบวัดเป๊ะๆเนาะเอามองไกลก็พออัน
00:19:23 → 00:19:26 นี้ก็คือถ้าใครเริ่มรู้สึกว่าเออปวดตาะตา
00:19:26 → 00:19:28 ร้าและก็ลองใช้วิธีนี้ดูวิธีอื่นๆที่เขา
00:19:28 → 00:19:30 บอกให้แก้ได้ก็อาจจะใช้ตัวอักษรให้ใหญ่
00:19:30 → 00:19:33 ขึ้นกระพริบตาบ่อยๆหรือถ้าใครรู้สึกว่าตา
00:19:33 → 00:19:36 แห้งมากๆอาจจะใช้น้ำตาเทียมร่วมด้วยได้
00:19:36 → 00:19:38 หรือถ้าใครที่ใช้หน้าจอคอมพิวเตอร์เนี่ย
00:19:38 → 00:19:40 เดี๋ยวนี้มันก็จะมีพวกกองแสงสีฟ้าอะไร
00:19:40 → 00:19:43 ต่างๆนะคะปรับสภาวะแวดล้อมให้เหมาะสมก็
00:19:43 → 00:19:47 คือใช้เ่อแสงไฟต้องเพียงพออย่าทำงานในที่
00:19:47 → 00:19:50 มืดเกินไปแล้วก็ทานอาหารที่แบบมีประโยชน์
00:19:50 → 00:19:53 บำรุงดวงตาอะไรแบบนี้ก็จะช่วยได้แล้วก็
00:19:53 → 00:19:55 คอยตรวจตาเป็นประจำก็จะช่วยป้องกันได้
00:19:55 → 00:19:57 แล้วสุดท้ายอันนึงที่สำคัญก็คือเรื่องของ
00:19:57 → 00:20:00 การปรับ๊ทำงานของเราเนี่ยให้เหมาะสมนะ
00:20:00 → 00:20:02 อันเนี้ยขอพูดเลยเพราะว่ามันก็ป้องกัน
00:20:02 → 00:20:05 เรื่องกล้ามเนื้อตึงพวก Office syndrome
00:20:05 → 00:20:07 My official Pain Syndrome อะไรไป
00:20:07 → 00:20:09 ด้วยเลยเพราะคนส่วนใหญ่ที่เวลาทำงานหน้า
00:20:09 → 00:20:11 คอมพิวเตอร์เนี่ยอ่าส่วนใหญ่เดี๋ยวนี้ถ้า
00:20:11 → 00:20:14 ทำมือถืออันนี้ก็เป็นแบบการก้มคอที่มาก
00:20:14 → 00:20:16 เกินไปหรือบางคนใช้โน้ตบุ๊คโน้ตบุ๊กก็จะ
00:20:16 → 00:20:18 เป็นระดับสายตาที่ก้มต่ำเหมือนกันอ่าหรือ
00:20:18 → 00:20:21 บางคนแม้แต่คอมพิวเตอร์แต่ว่ามักจะชินใน
00:20:21 → 00:20:23 ท่าเป็นมั้ยคะที่แบบยื่นเข้าโต๊ะแล้วก็
00:20:23 → 00:20:25 ยื่นไปอย่างนี้นะคะก็จะเป็นวิธีที่ทำให้
00:20:26 → 00:20:28 เรามีปัญหาจากการทำงานไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม
00:20:28 → 00:20:31 กล้ามเนื้อหรือว่ากลุ่มตาได้นะคะอันนี้ก็
00:20:31 → 00:20:33 เลยโชว์ท่านั่งที่ถูกต้องใครมีอาการลอง
00:20:33 → 00:20:37 ปรับตามนี้ดูการทำงานที่ดีนะคะจะหน้าจอจะ
00:20:37 → 00:20:40 ต้องอยู่ระดับสายตาเรานะคะประมาณขอบจอบน
00:20:40 → 00:20:42 น่ะค่ะจะต้องอยู่ใน Range ของที่ตาเรามอง
00:20:43 → 00:20:46 ไปตรงๆเพราะฉะนั้นหน้าหรือศีรษะเราอ่ะจะ
00:20:46 → 00:20:49 ไม่ได้ก้มลงจะแต่จะอยู่ในระดับสายตาถ้า
00:20:49 → 00:20:52 ใครใช้โน้ตบุ๊คอาจจะต้องหาแท่นปรับเสริม
00:20:52 → 00:20:55 เพื่อให้ระดับหน้าจอมันอยู่กับระดับสายตา
00:20:55 → 00:20:59 เราระดับโต๊ะนะคะก็คือแแขนเนี่ยจะต้อง
00:20:59 → 00:21:02 ตั้งฉาก 90 องศกับความสูงของโต๊ะพอดีไม่
00:21:02 → 00:21:05 แหงนขึ้นแบบนี้นะบางคนโต๊ะสูงก็จะเป็น
00:21:05 → 00:21:08 แหงนหรือบางคนโตะเตี้ยไปก็จะเป็นงอลงนะคะ
00:21:08 → 00:21:11 งั้นก็ปรับระดับความสูงโตให้แขนเราตั้ง
00:21:11 → 00:21:14 ฉาก 90 องศประมาณนี้มองจอแบบมองตรงนะคะ
00:21:14 → 00:21:17 นั่งตัวตรงอาจจะมีหาอะไรมาพิงเบาะหลังให้
00:21:17 → 00:21:20 เราไม่ไม่ไม่นั่งแบบเก็งหลังหรือว่างอตัว
00:21:20 → 00:21:23 มากเกินไปนะคะแล้วก็ขาก็เหมือนกันก็ต้อง
00:21:23 → 00:21:26 ปล่อยสบายๆแต่ถ้าเกิดใครสมมุติว่าขาไม่
00:21:26 → 00:21:28 ถึงหรือว่ามีปัญหาในการเกรงขาเนี่ยก็อาจ
00:21:28 → 00:21:31 จะต้องหาเบาะมาลองเพื่อให้มุมองศาของขา
00:21:31 → 00:21:33 เนี่ยเหมาะสมอันนี้ก็เป็นที่นั่งที่เหมาะ
00:21:33 → 00:21:36 สมนะคะลองปรับดูนะคะเอ่อระยะห่างจากหน้า
00:21:36 → 00:21:40 จอก็ควรประมาณซัก 60 ซมประมาณนี้นะคะอย่า
00:21:40 → 00:21:43 เอาเข้ามาใกล้เกินไปไม่งั้นเนี่ยก็พอทำ
00:21:43 → 00:21:45 งานมากๆเนาะก็กลายเป็นปวดหัวปวดตาตาร้า
00:21:45 → 00:21:49 ได้กลุ่มนี้นะคะก็ไม่รุนแรงนะคะยังไม่
00:21:49 → 00:21:51 ต้องรีบไปพบแพทย์แต่ลองปรับการใช้ชีวิต
00:21:51 → 00:21:54 ปรับท่าทางการทำงานแล้วก็ลองพักสายตาเป็น
00:21:54 → 00:21:57 ประจำรวมถึงการสลับการไปออกกำลังกายนะคะ
00:21:57 → 00:22:00 แล้วก็การการนอนพักผ่อนอย่างเพียงพอด้วย
00:22:00 → 00:22:02 แต่ถ้าเกิดปรับแล้วไม่ใช่ก็อ่ะอาจจะไม่
00:22:02 → 00:22:04 ใช่อันนี้ละก็อาจจะต้องไปตรวจและสุดท้าย
00:22:04 → 00:22:07 นะคะก็คือสาเหตุที่ 4 สาเหตุที่ 4 เนี่ย
00:22:07 → 00:22:11 เป็นโรคของคุณหมอหูคอจมูกนะวันนี้รวมรวม
00:22:11 → 00:22:13 สาเหตุให้ครบทุกแผนกไว้เลยว่าจริงๆแล้ว
00:22:13 → 00:22:15 ปวดหัวปวดตามันเป็นอะไรได้หลากหลายมาก
00:22:15 → 00:22:18 สาเหตุที่ 4 ก็คือเรื่องของไซนัสอักเสบ
00:22:18 → 00:22:21 นั่นเองหลายคนก็มีอาการภูมิแพ้เป็นประจำ
00:22:21 → 00:22:25 มีอาการไซนัสเป็นเป็นหายๆมีวันนึงอาจจะมี
00:22:25 → 00:22:27 อาการไซนัสอักเสบขึ้นมานะคะทำให้เรารู้
00:22:27 → 00:22:31 สึกปวดปวดบริเวณโพรงไซนัสมากๆพอปวดมากๆ
00:22:31 → 00:22:33 เข้าเนี่ยแรงดันมันเยอะก็อาจจะทำให้อาการ
00:22:33 → 00:22:35 เนี่ยปวดศีรษะร่วมด้วยได้ซึ่งอันนี้นะคะ
00:22:35 → 00:22:38 ก็จะเป็นภาพโชว์ตำแหน่งของไซนัสเราเนี่ย
00:22:38 → 00:22:40 มีตำแหน่งตรงไหนบ้างจะเห็นว่าอันที่สำคัญ
00:22:40 → 00:22:42 เนี่ยก็จะเป็นเรื่องของตรงนี้นะคะเรา
00:22:42 → 00:22:45 เรียกว่าเ่อไซนัสส่วนหน้า frontal sinus
00:22:45 → 00:22:49 แล้วก็ไัตรงโหนกแก้มนะคะหรือว่า Mail ไั 2
00:22:49 → 00:22:52 ตำแหน่งเนี่ยจะเป็นตำแหน่งที่เอ่อเวลามี
00:22:52 → 00:22:56 อ่าการอักเสบมีสารคัดหลั่งนะคะก็คือพวก
00:22:56 → 00:22:58 น้ำมูกหนอกอะไรอย่าเงี้ยมันก็จะมีโอกาส
00:22:58 → 00:23:00 ค้างอยู่ข้างในได้ค้างนานๆเข้าถ้าเราไม่
00:23:01 → 00:23:03 ได้รักษาเนี่ยมันตรงเนี้ยมันเกิดการ
00:23:03 → 00:23:05 อักเสบมากๆเกิดการบวมก็จะเกิดแรงดันก็ทำ
00:23:05 → 00:23:08 ให้เรารู้สึกปวดบริเวณด้านหลังแถวหลัง
00:23:08 → 00:23:11 หน้าผากดวงตาบางทีก็ลามไปถึงปวดศีรษะแถวๆ
00:23:11 → 00:23:14 นี้ได้เหมือนกันซึ่งเอ่อไซนัสอักเสบอัน
00:23:14 → 00:23:16 นี้แยกไม่ไม่ยากนะคะส่วนใหญ่คนไข้ก็มักจะ
00:23:16 → 00:23:18 ต้องมีอาการของไซนัสร่วมด้วยอ่ะคืออย่าง
00:23:18 → 00:23:21 เช่นเคยเป็นมีน้ำมูกเป็นภูมิแพ้อยู่แล้ว
00:23:21 → 00:23:24 นะคะมีความเสี่ยงที่จะมีน้ำมูกเป็นประจำ
00:23:24 → 00:23:26 นะคะหรือว่าน้ำมูกเนี่ยมีกลิ่นที่ผิด
00:23:26 → 00:23:29 เปลี่ยนไปน้ำมูกจากเดิมใส่ใสกลายเป็นน้ำ
00:23:29 → 00:23:32 มูกมีสีเขียวๆมีกลิ่นลมหายใจมีกลิ่นเพราะ
00:23:32 → 00:23:34 ว่ามันเกิดจากหนองที่มันคั่งอยู่ในเนี่ย
00:23:34 → 00:23:37 เนาะพอหายใจผ่านออกมามันก็จะเป็นลมหายใจ
00:23:37 → 00:23:40 ที่มีกลิ่นออกมาได้เหมือนกันถ้าเกิดใครมี
00:23:40 → 00:23:42 อาการแบบนี้นะคะอันนี้ก็อาจจะต้องไปพบคุณ
00:23:42 → 00:23:46 หมอหูคอจมูกเพื่อตรวจแล้วก็รักษาต่อไปก็
00:23:46 → 00:23:49 อันนี้นะคะจะเห็นว่าเป็นการรวม 4 สาเหตุ
00:23:49 → 00:23:52 ปวดหัวปวดกระบอกตานะคะจริงๆก็จะเด่นอยู่
00:23:52 → 00:23:55 ที่กระบอกตาเนาะว่าเกิดจากอะไรได้บ้างก็
00:23:55 → 00:23:58 สรุปมาให้ 4 อย่างแล้วก็ลองดูว่าเราเนี่ย
00:23:58 → 00:24:01 เป็นอาการปวดหัวแบบไหนมีลักษณะอาการร่วม
00:24:01 → 00:24:03 อะไรบ้างจะเห็นว่าแต่ละอย่างเนี่ยอาการ
00:24:03 → 00:24:05 ร่วมเขาแตกต่างกันเพราะฉะนั้นถ้าเราจับ
00:24:05 → 00:24:08 อาการสังเกตอาการดีๆก็จะทำให้เราพอ
00:24:08 → 00:24:10 วินิจฉัยตัวเองแล้วก็รู้ว่าเราควรจะไป
00:24:10 → 00:24:13 ตรวจกับคุณหมออะไรเพื่อการรักษาอย่างถูก
00:24:13 → 00:24:15 ต้องเหมาะสมต่อไปโดยในคลิปนี้นะคะก็อยาก
00:24:15 → 00:24:19 ให้เน้นย้ำนะคะว่าสำหรับใครที่มีอาการปวด
00:24:19 → 00:24:22 หัวเฉียบพันปวดกระบอกตาเฉียบพันแบบที่ไม่
00:24:22 → 00:24:26 เคยเป็นมาก่อนอย่าลืมนะคะนึกถึงโรคทาง
00:24:26 → 00:24:28 อื่นๆนอกเหนือจากสมองถ้าในทางสมองที่เรา
00:24:28 → 00:24:30 กลัวก็จะเป็นเรื่องเส้นเลือดสมองโป่งพอง
00:24:30 → 00:24:32 เฉียบพันธุ์นะคะเส้นเลือดสมองแต่แล้วก็
00:24:32 → 00:24:34 เรือโรคอื่นๆก็คือโรคทางตานะโดยเฉพาะต้อ
00:24:34 → 00:24:37 หินเฉียบพันธ์ด้วยเพราะว่าถือว่าเป็นภาวะ
00:24:37 → 00:24:41 เร่งด่วนที่ต้องรีบรักษาใครมีคำถามนะคะ
00:24:41 → 00:24:44 หรือว่ามีเรื่องอะไรที่อยากจะให้หมอมาพูด
00:24:44 → 00:24:47 มาคุยมาแชร์กันฟังเนี่ยก็สามารถคอมเมนต์
00:24:47 → 00:24:52 ทิ้งไว้ได้ก็สำหรับวันนี้สวัสดีค่ะ