00:00:00 → 00:00:03 This Is Thai PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:05 world by the
00:00:05 → 00:00:08 voice การพูดบางครั้งมันก็มาจากาวะ
00:00:08 → 00:00:10 อารมณ์ตรงนั้นที่เราตอบสนองด้วยการใช้
00:00:10 → 00:00:12 ภาษาตรงเนี้ยสื่อสารออกไปทำไมการพูดตอบ
00:00:12 → 00:00:15 สนองตรงนั้นมันถึงสร้างปัญหาได้เพราะเรา
00:00:15 → 00:00:17 ขาดวิสัยทัศที่จะมองไปข้างหน้าว่าการพูด
00:00:17 → 00:00:21 นี้การตอบสนองสิ่งนี้จะสร้างผลลูกโซ่อะไร
00:00:21 → 00:00:24 บ้างเราพูดด้วยความหวังดีและจังหวะนั้น
00:00:24 → 00:00:26 เหมือนกับเราอาจจะเผลอไปนึกถึงสิ่งที่เรา
00:00:26 → 00:00:28 ให้ความหมายมากกว่าความรู้สึกอีกคนนึงเรา
00:00:28 → 00:00:30 อาจจะมีความหวังดีเพราะเราอยากเห็นเขา
00:00:30 → 00:00:32 เป็นสุขแต่บางทีคนที่เขารับคำพูดจากเราไป
00:00:32 → 00:00:34 เขาอาจจะไม่ได้พร้อมทีนี้พอเรามัวแต่
00:00:34 → 00:00:37 โฟกัสหรือว่ามุ่งเป้าที่เราอยากจะพูดให้
00:00:37 → 00:00:39 เขาเชื่อจะได้แก้แล้วเราจะรู้สึกสำเร็จ
00:00:39 → 00:00:41 เพราะว่าถ้าเขาตอบรับภาษาเราเราจะรู้สึก
00:00:41 → 00:00:43 ว่าเราสำเร็จมันกลายเป็นว่าเรากำลังพูด
00:00:43 → 00:00:45 เพื่อตัวเราอ่ะ
00:00:45 → 00:00:49 ครับฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทย
00:00:49 → 00:00:53 ฟังรายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงสถิตพร
00:00:53 → 00:00:57 ค่ะ This Is tha PBS podcast วันนี้
00:00:57 → 00:01:00 เราจะคุยกันถึงเรื่องของประโยท็อกซิกที่
00:01:00 → 00:01:04 ไม่ควรพูดใส่กันค่ะนะคะประโยคท็อกซิก
00:01:04 → 00:01:07 เนี่ยก็อาจจะมีคำพูดหลายๆอย่างที่บางคน
00:01:07 → 00:01:10 อาจจะรู้สึกว่าเออทำไมฟังแล้วมันแย่จัง
00:01:10 → 00:01:13 เลยคำพูดนี้ไม่ควรพูดออกมาเลยฉันไม่ได้
00:01:13 → 00:01:15 อยากได้ยินเลยหรืออะไรประมาณนี้นะคะก็แตก
00:01:15 → 00:01:17 ต่างกันออกไปเนาะแต่ว่าเรื่องนี้คุยคน
00:01:17 → 00:01:20 เดียวไม่ได้ต้องคุยกับดรสุววุฒิวงษ์ทาง
00:01:20 → 00:01:22 สวัสดิ์นางจิตวิทยาการปรึกษาคะสวัสดีค่ะ
00:01:22 → 00:01:24 คุณเอิ้นค่ะสวัสดีครับคุณลีสวัสดีครับคุณ
00:01:24 → 00:01:27 ผู้ฟังประโยคท็อกซิกที่ไม่ควรพูดใส่กัน
00:01:27 → 00:01:31 ครับนะคะก็เดี๋ยวนี้ใครๆก็ท็อกซิกอีกเนาะ
00:01:31 → 00:01:34 ทำไมพูดตัดพร้อมแต่ต้นรายการตัดตัดเลยอ่ะ
00:01:34 → 00:01:36 ไม่ไม่มีอะไรต่อแล้วหมดเวลาเลยได้มั้ยไม่
00:01:36 → 00:01:41 ใช่สิคือคำท้องสีกคือคำพูดที่ไม่คนพูดพูด
00:01:41 → 00:01:46 ไปคนได้ยินสะเทือนใจไปอเป็นชาติเลยอ่ะเออ
00:01:46 → 00:01:48 คนพูดไม่คิดอะไรเลยครับคนฟังไปแล้วเรียบ
00:01:48 → 00:01:52 ร้อยพังทลายอครับมีทั้งในโมเมนของความ
00:01:52 → 00:01:56 เป็นครอบครัวพ่อแม่ลูกก็ได้ที่ทำงานก็ได้
00:01:56 → 00:01:59 เพื่อนก็ได้คนรักก็ได้อืมันได้หลากหลาย
00:01:59 → 00:02:02 รูปแบบหรือคนที่กำลังรู้สึกว่าย่ำแย่กับ
00:02:02 → 00:02:04 ชีวิตเช่นป่วยซึมเศร้าบางประโยคยิ่งไม่
00:02:04 → 00:02:07 ควรพูดเลยด้วยซ้ำไปอ่ะมันต้องระวังอ่ะ
00:02:07 → 00:02:10 เนาะใช่ครับอืจริงๆแล้วคำว่าทกิเนี่ยครับ
00:02:10 → 00:02:11 บางทีท่านผู้ฟังอาจจะงงเอ้ยอะไรคือ
00:02:11 → 00:02:14 ท็อกซิกนะครับมันคือภาษาอังกฤษแล้วตัวตัว
00:02:14 → 00:02:16 คำแปลก็คือคำว่าเป็นพิษนั่นแหละค่ะ
00:02:16 → 00:02:19 ท็อกซิกคือพิษเนาะทีนี้คุณสมบัติของพิษ
00:02:19 → 00:02:24 คืออะไรครับถ้าเรารับพิษเข้ามาความหายนะ
00:02:24 → 00:02:28 ความหายนะความเฉาความเหี่ยวความย่ำแย่อ
00:02:28 → 00:02:31 มันก็จะเกิดขึ้นมาคู่กับการได้รับสารพิษ
00:02:31 → 00:02:33 เข้าไปค่ะถูกมั้ยครับในขณะเดียวกันฝั่ง
00:02:33 → 00:02:36 ตรงข้ามของสิ่งที่ไม่เป็นพิษคือสิ่งที่
00:02:36 → 00:02:38 เป็นประโยชน์สิ่งที่เป็นการบำรุงมันก็จะ
00:02:38 → 00:02:41 เกิดความงอกงามเกิดความรู้สึกดีรู้สึกใจ
00:02:41 → 00:02:45 ฟูเอใจฟูอย่างเงี้ยฮะพวกเนี้ยมันจะเห็น
00:02:45 → 00:02:48 มันจะเห็นเลยว่าผลลัพธ์หรือปลายทางเนี่ย
00:02:48 → 00:02:51 จากการรับสารพิษกับการรับสิ่งที่บำรุง
00:02:51 → 00:02:53 เข้าไปเนี่ยโอ้โหผลลัพธ์มันแตกต่างกันมาก
00:02:53 → 00:02:55 อืเพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะต้องใช้เป็น
00:02:55 → 00:02:58 เกณฑ์พิจารณาครับในการบอกว่าสิ่งใดเป็น
00:02:58 → 00:03:01 พิษหรือไม่เป็นพิษคือดูเถอะว่าผลลัพธ์อ่ะ
00:03:01 → 00:03:03 จะเป็นตัวกำกับค่ะต่อให้ประโยคเดียวกัน
00:03:03 → 00:03:07 เนี่ยครับพูดผิดเวลาผิดคนก็เป็นพิษได้
00:03:07 → 00:03:09 เหมือนกันอืๆใช่ๆอ่าใช่ครับเพราะฉะนั้น
00:03:09 → 00:03:12 ต้องดูเหมือนกันว่าประโยคนี้ควรพูดกับใคร
00:03:12 → 00:03:14 เป็นประโยคที่เป็นจริงมั้ยเป็นประโยชน์มย
00:03:14 → 00:03:17 แล้วก็เหมาะสมกับการเวลาหรือเปล่าเถึงบอก
00:03:17 → 00:03:19 ว่าก่อนพูดก่อนจะพูดอะไรอ่ะให้คิดก่อน
00:03:19 → 00:03:22 เพราะคำพูดเป็นนายคนใช่ครับใช่ครับคิด
00:03:22 → 00:03:24 ก่อนพูดไม่ใช่พูดแล้วค่อยมาคิดใช่ครับบาง
00:03:24 → 00:03:27 ทีพูดไปแล้วมาคิดทีหลังมันอาจจะทำให้อีก
00:03:27 → 00:03:30 คนนึงแย่ไปแล้วก็ได้ใช่ครับใช่เพราะงั้น
00:03:30 → 00:03:32 การพูดนะครับบางทีมันเป็นมันเป็นสิ่งที่
00:03:32 → 00:03:35 เป็นพฤติกรรมเนาะในการตอบสนองภาวะอารมณ์ณ
00:03:35 → 00:03:38 ซึ่งหน้าอืเราเรารู้สึกบางอย่างเช่น
00:03:38 → 00:03:41 สมมุติเราคันเราก็เลยเกาอมันเป็นมันเป็น
00:03:41 → 00:03:43 แบบความคิดซึ่งหน้าเลยมากๆอ่ะเพราะงั้น
00:03:43 → 00:03:46 การพูดบางครั้งมันก็มาจากภาวะอารมณ์ตรง
00:03:46 → 00:03:48 นั้นที่เราตอบสนองด้วยการใช้ประภาษาตรง
00:03:48 → 00:03:50 เนี้ยสื่อสารออกไปเป็นปฏิกิริยาใช่ครับ
00:03:50 → 00:03:52 มันเป็นทันด่วนนะตรงนั้นแต่ประเด็นคือนะ
00:03:52 → 00:03:55 ครับทำไมการพูดตอบสนองตรงนั้นมันถึงสร้าง
00:03:55 → 00:04:00 ปัญหาได้อือเพราะเราขาดวิสัยทัศน์อืวิสัย
00:04:00 → 00:04:02 ท้าที่จะมองไปข้างหน้าว่าแล้วการพูดนี้
00:04:02 → 00:04:05 การตอบสนองสิ่งนี้จะสร้างผลลูกโซ่อะไร
00:04:05 → 00:04:08 บ้างค่ะพอเราไม่คิดปั๊บมันก็เลยมาพังตรง
00:04:08 → 00:04:10 ข้างหน้านั่นแหละบางทีบางทีมันอาจจะบาง
00:04:11 → 00:04:12 ไม่ใช่แค่ว่าไม่ไม่ได้คิดด้วยนะบางทีไม่
00:04:13 → 00:04:15 ทันคิดไม่ทันคิดใช่ไม่ทันคิดใช้คำนี้ใช่
00:04:15 → 00:04:19 แบบเผลอพูดไปโดยที่ไม่คิดว่ามันจะมีผล
00:04:19 → 00:04:22 กระทบกับความรู้สึกของใครแล้วก็ค่อยมารู้
00:04:22 → 00:04:24 ตัวทีหลังก็เป็นไปได้หรือบางทีไม่รู้สึก
00:04:24 → 00:04:27 ตัวเลยไปเลยก็ก็ได้อีกเหมือนกันใช่ใช่
00:04:27 → 00:04:28 ซึ่งเกิดขึ้นได้ครับต้องบอกว่าไม่มีใคร
00:04:28 → 00:04:30 สมบูรณ์หรอกมันก็ต้องมีคนที่แบบพลั้งพลาด
00:04:30 → 00:04:33 ออแต่ประเด็นคืออย่างแรกเนาะจะกำกับความ
00:04:33 → 00:04:36 เสียหายไว้ในระดับไหนขึ้นกับระดับความรุน
00:04:36 → 00:04:39 แรงที่เราใช้ภาษาอืถ้าถ้าระดับมันรุนแรง
00:04:39 → 00:04:42 มากเราขาดความถ่อมตัวหรือเราพูดโดยบันดาล
00:04:42 → 00:04:45 โทสะระดับความเสียหายมันสูงนี่คือข้อแรก
00:04:45 → 00:04:47 ค่ะถ้าเกิดเราพอจะมีการสามารถควบคุมกำกับ
00:04:47 → 00:04:50 ความรู้สึกได้บ้างความเสียหายอาจจะน้อยลง
00:04:51 → 00:04:54 ค่ะอย่างที่ 2 คือนะครับอยู่ที่ว่าถ้ามัน
00:04:54 → 00:04:57 เกิดผลลัพธ์ทางร้ายขึ้นแล้วตัวเราได้ไป
00:04:57 → 00:05:00 ตามแก้ไขหรือรับผิดชอบมันได้แค่ไหน
00:05:00 → 00:05:02 อืเออเพราะบางคนมันแบบไม่ตั้งใจเหมือนที่
00:05:02 → 00:05:05 พี่รีพูดนะครับเราพูดด้วยความหวังดีและ
00:05:05 → 00:05:07 จังหวะนั้นเหมือนกับเราอาจจะเผลอเผอไปนึก
00:05:07 → 00:05:10 ถึงเอ่อสิ่งที่เราให้ความหมายมากกว่าความ
00:05:10 → 00:05:13 รู้สึกอีกคนนึงเช่นเช่นเรากำลังโฟกัส
00:05:13 → 00:05:15 เรื่องการแก้ปัญหาเราก็เลยพูดถึงการแต่
00:05:15 → 00:05:17 การแก้ปัญหาเฮ้ยทำอย่างงี้ทำอย่างงั้นสิ
00:05:17 → 00:05:19 เราอาจจะมีความหวังดีเพราะเราอยากเห็น
00:05:19 → 00:05:22 เา้าเป็นสุขแต่บางทีคนคนที่เขารับคำพูด
00:05:22 → 00:05:25 จากเราไปเอาจจะไม่ได้พร้อมค่ะเขาอาจจะยัง
00:05:25 → 00:05:28 ไม่อยากแก้ไขอืทีนี้พอเรามัวแต่เอ่อโฟกัส
00:05:28 → 00:05:31 หรือว่ามุ่งเป้าที่เราอยากจะพูดให้เขา
00:05:31 → 00:05:33 เชื่อจะได้แก้แล้วเราจะรู้สึกสำเร็จอือฮึ
00:05:33 → 00:05:35 เพราะว่าถ้าเขาตอบรับภาษาเราเราจะรู้สึก
00:05:36 → 00:05:38 ว่าเราสำเร็จค่ะมันกลายเป็นว่าเรากำลัง
00:05:38 → 00:05:41 พูดเพื่อตัวเราอ่ะครับซ้อนไปอีกซ้อนกัน
00:05:41 → 00:05:44 เรานึกว่าเราพูดเพื่อเขานะแต่มันมีความ
00:05:44 → 00:05:47 ต้องการของตัวเราที่อยากจะแบบสำเร็จแกได้
00:05:47 → 00:05:49 แก้ปัญหานี้แล้วฉันรู้สึกสบายใจอมันกลาย
00:05:49 → 00:05:51 เป็นว่ามันมีตัวเราแฝงเข้าไปในนั้นนะครับ
00:05:52 → 00:05:53 เราเลยไม่ได้ดูความพร้อมของคนที่รับเข้า
00:05:53 → 00:05:55 ไปทีนี้แน่นอนบางคนอาจจะพูดด้วยความ
00:05:55 → 00:05:58 ปรารถนาดีแต่ไม่ทันระมัดระวังแต่ถ้าเกิด
00:05:58 → 00:06:00 เขาได้สติปั๊บเก็สสามารถไปบอกว่าเฮ้ยตอน
00:06:00 → 00:06:04 นั้นฉันก็โฟกัสแต่อยากจะแบบแก้ปัญหาให้แก
00:06:04 → 00:06:06 มากไปจนกระทั่งแบบฉันก็เอาความต้องการตัว
00:06:06 → 00:06:09 เองไปใส่มากเกินไปอืฉันขอโทษแล้วกันบางที
00:06:09 → 00:06:12 พวกเนี้ยมันก็ยังพอไปตามแก้ไขได้ครับไม่
00:06:12 → 00:06:14 ได้หมายความว่าเฮ้ยตัวเราจะต้องระวังห้าม
00:06:14 → 00:06:18 พูดผิดห้ามไปพูดท็อกซิกอะไรเลยมันมัน
00:06:18 → 00:06:20 เหนือมนุษย์ไปหน่อยผมว่าผมว่าคนที่จะไม่
00:06:20 → 00:06:25 ท็อกซิกคือคนที่ไม่พูดอ่ะครับอ่าหรือต้อง
00:06:25 → 00:06:27 ต้องมี 2 เงื่อนไขคนที่จะไม่สร้างพิษกับ
00:06:27 → 00:06:30 ใครเลยอันแรกคือคนที่ไม่พูดเพราะการไม่
00:06:30 → 00:06:34 พูดก็คือไม่ต้องอะไรเลยกับอันที่ 2 คือ
00:06:34 → 00:06:37 เป็นผู้ที่ผ่านชีวิตมาพอสมควรค่ะและได้ทบ
00:06:37 → 00:06:40 ทวนมาเยอะมากจนพอจะรู้ว่าการพูดสิ่งใด
00:06:40 → 00:06:42 เป็นประโยชน์หรือพูดสิ่งใดแล้วไม่เป็น
00:06:42 → 00:06:45 ประโยชน์เขาก็เลยจะเกิดการกำกับตัวเองว่า
00:06:45 → 00:06:48 ถ้าเป็นบทบาทตรงเนี้ยไม่พูดดีกว่ากับอัน
00:06:48 → 00:06:51 ที่ 2 คือเขาจะคัดกรองได้ว่าเาควรพูดอะไร
00:06:51 → 00:06:54 เพื่อให้ได้ประโยชน์ทุกคนอืออันนี้ต้อง
00:06:54 → 00:06:56 เป็นผู้ที่ขัดเกลามาดีประมาณนึงแต่แน่นอน
00:06:57 → 00:07:00 พวกเราทุกคนอยู่ระหว่างทางของการกัดเาตัว
00:07:00 → 00:07:03 เองหรือต่อให้ขัดมาดีมันก็จะมีบางจังหวะ
00:07:03 → 00:07:06 ที่แบบตัวเราอาจจะแบบจิตแกว่งอาจจะดีบ้าง
00:07:06 → 00:07:09 ร้ายบ้างเป็นกราฟขึ้นลงขึ้นลงอครับบางวัน
00:07:09 → 00:07:10 เราก็อาจจะไม่ได้อยู่ในสภาพจิตใจที่
00:07:10 → 00:07:13 สมบูรณ์มันก็จะมีวันที่เผลอแบบอย่างเช่น
00:07:13 → 00:07:16 เหนื่อยเกินไปวันนี้พักไม่พอวันนี้ประจำ
00:07:16 → 00:07:19 เดือนจะมาเอออันนี้น่ากลัวไม่ได้ตั้งใจ
00:07:19 → 00:07:21 หรอกแต่แบบประจำเดือนมันควบคุมเราอยู่บาง
00:07:21 → 00:07:24 คนไวยทองบางคนอาจจะมีความเครียดจากเรื่อง
00:07:24 → 00:07:26 อื่นมาเต็มเต็มถังะแล้วบังเอิญเจอแบบ
00:07:27 → 00:07:29 เรื่องเล็กๆน้อยๆจากคนใกล้ชิดที่เอาจมา
00:07:29 → 00:07:31 เพิ่มงานให้เรานิดหน่อยแล้วเราแบบรับไม่
00:07:31 → 00:07:33 ไหวมันก็อาจจะเผลอโพล่งด้วยอารมณ์บาง
00:07:33 → 00:07:36 อย่างได้เพราะฉะนั้นเอ่อผู้ฟังเนาต้องบอก
00:07:36 → 00:07:38 ว่าท่านผู้ฟังอย่าไปเครียดกับตัวเองมาก
00:07:38 → 00:07:42 เกินไปว่าฉันจะต้องเป็นคนที่ไม่ท็อกซิกอื
00:07:42 → 00:07:44 แต่เรามีปณิธานว่าเราจะมีท็อกซิกน้อยๆก็
00:07:44 → 00:07:46 ถือเป็นเรื่องดีงามมากแล้วใช่ครับแต่ถ้า
00:07:46 → 00:07:50 มันเกิดขึ้นเรายังคงสามารถตามไปแก้ไขตาม
00:07:50 → 00:07:52 ไปแสดงความรับผิดชอบหรือการเข้าไปห่วงใย
00:07:53 → 00:07:55 ได้ถ้าเกิดเรายังคงมีความปรารถนาดีต่อกัน
00:07:55 → 00:07:58 นะฮะค่ะอือฮึหรือไม่ก็อาจจะในแง่มุมที่
00:07:58 → 00:08:03 ว่าพยายามที่จะเรียนรู้ในการพูดในการสื่อ
00:08:03 → 00:08:05 สารใช่ครับต้องเห็นทางเรื่องของภาษานะผม
00:08:05 → 00:08:09 ว่าหลายๆคนมีข้อจำกัดทางภาษาครับเเลยเเลย
00:08:09 → 00:08:12 ใช้ภาษาเท่าที่เรู้จักอ่าการคอการ
00:08:12 → 00:08:14 คอมเมนต์ก็จะคอมเมนต์ตามประโยคเท่าที่เา
00:08:14 → 00:08:16 รู้จักมันก็ย้อนกลับไปได้อีกแหละเรื่อง
00:08:16 → 00:08:19 ของการเติบโตมาในครอบครัวคือคือถ้าเกิด
00:08:19 → 00:08:22 แบบเป็นครอบครัวที่แบบการใช้ภาษาแนวเนี้ย
00:08:22 → 00:08:25 อเออมันแดกกันันประชดอย่างเงี้ยฮะอมันก็
00:08:25 → 00:08:27 จะอยู่กับอย่างเงี้ยมาใช่ๆเพราะเค้ามอง
00:08:27 → 00:08:29 เห็นมันเป็นเรื่องปกติแต่ว่าพอไปอยู่ใน
00:08:29 → 00:08:32 สังคมจริงๆมันไม่ปกตินะแต่ถ้าแบบไปอยู่ใน
00:08:32 → 00:08:36 บ้านที่แบบโอ้โหภาษาสลสรวดคือการสื่อสาร
00:08:36 → 00:08:39 ที่แบบดีอ่ะครับอันนั้นเขาก็จะไม่ได้มีคำ
00:08:39 → 00:08:41 พูดอะไรเพราะมีนะบางคนที่เราที่เคยเจอ
00:08:41 → 00:08:44 เหมือนกันนะคุณเอิ้นว่าโอ้โหทำไมเพูดดี
00:08:44 → 00:08:47 จังเลยค่ะอเอออยากพูดได้อย่างเงี้ยมีมี
00:08:47 → 00:08:49 เหมือนกันนะคะในสำหรับบางคนที่เรามองเห็น
00:08:49 → 00:08:52 เขาคุยหรือแบบเฮ้ยคิดคำนี้ได้ยังไงอ่ะ
00:08:52 → 00:08:57 เฮ้ยเออทำไมใช้ภาษาแบบนี้คำพูดแบบนี้เออ
00:08:57 → 00:09:01 เนอะมันทำให้เวลาฟังอ่ะมันใจฟูจริงๆเว้ย
00:09:01 → 00:09:04 มันรู้สึกได้จริงๆแต่แบบแต่เวลาเราพูดเรา
00:09:04 → 00:09:07 อาจจะไม่ได้เท่าเลเวลของเขาก็ได้ออืทีนี้
00:09:07 → 00:09:09 ทีนี้ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละคนมีความละเมียด
00:09:09 → 00:09:12 เชิงภาษาระดับไหนโอ้โหความละเมียดเพราะ
00:09:12 → 00:09:15 เรื่องพวกเครับใช้คำนี้แล้วกันภาษาภาษา
00:09:15 → 00:09:18 จริงๆก็ไม่ต่างจากอาหารน่ะอ่าเรามีประสาท
00:09:18 → 00:09:21 สัมผัสถูกมั้ยครับตาหูจมูกลิ้นกายใจออือ
00:09:21 → 00:09:24 อ่าหูนี่ก็เป็นเรื่องของการรับเสียงรับ
00:09:24 → 00:09:27 ฟังภาษาค่ะถ้าลิ้นก็เป็นเหมือนการรับรส
00:09:27 → 00:09:29 ชาติใช่มันก็จะมีรสชาติที่แบบไม่ได้
00:09:29 → 00:09:32 ละเอียดมากอะไรเงี้ยฮะแต่มันจะมี Texture
00:09:32 → 00:09:34 เนาสมมุติถ้าเราพูดถึงความแบบมิติของ
00:09:34 → 00:09:37 อาหารเออเดี๋ยวนี้เชอบรีวิวแบบนี้กันที่
00:09:37 → 00:09:40 แบบอะไรนะเปรี้ยวหวานปลายหวานแล้วเปรี้ยว
00:09:40 → 00:09:44 ปลายอะไรเงี้ยมันจะมีเลอร์ความละเอียด
00:09:44 → 00:09:46 ขึ้นไปอีกอ่ะครับอแล้วมันจะเกี่ยวข้องกับ
00:09:46 → 00:09:51 ความรู้สึกจรรโลงใจคำคำดูเก่ามเออเก่า
00:09:51 → 00:09:54 ความรู้สึกอิ่มใจความชื่นใจจากการได้กิน
00:09:54 → 00:09:56 รสชาติอาหารนั้นอย่างเงี้ยครับเพราะงั้น
00:09:56 → 00:09:58 เรื่องเรื่องการได้ยินเสียงการได้รับภาษา
00:09:58 → 00:10:01 จริงๆมันคล้ายเหมือนเรื่องอาหารนั่นแหละ
00:10:01 → 00:10:03 ว่าเรามีความละเมียดกับการปรุงภาษากับการ
00:10:03 → 00:10:06 ปรุงรสชาติอาหารแค่ไหนถ้ามีความละเมียด
00:10:06 → 00:10:09 มากเราจะรู้ว่าเราอยากจะกำกับให้ผลลัพธ์
00:10:09 → 00:10:11 เนี่ยมันได้ทรงเนี้ยมันได้รสชาติแบบเนี้ย
00:10:11 → 00:10:14 กลมๆประมาณเนี้ยอย่างเงี้ยฮะภาษาก็เหมือน
00:10:14 → 00:10:18 กันเราจะคาดการณ์ว่าเราอยากให้ผู้ฟังรู้
00:10:18 → 00:10:21 สึกประมาณเนี้ยค่ะเราก็จะพยายามเลือกว่า
00:10:21 → 00:10:25 ภาษาไหนคำไหนการเรียบเรียงแบบไหนนะที่จะ
00:10:25 → 00:10:28 ให้รสชาติเนี้ยกับผู้ฟังอืเราอาจจะไม่ได้
00:10:28 → 00:10:31 อยากให้ผู้ฟังรู้สึกขมค่ะเราไม่อยากให้
00:10:31 → 00:10:33 เค้าขมอ่ะมันไม่อร่อยอ่ะนึกออกมั้ยฮะแต่
00:10:34 → 00:10:36 ถ้าเราแบบไม่สนหรอกเธอจะขมไม่ขมไม่รู้ฉัน
00:10:36 → 00:10:38 จะพูดเออมันก็เหมือนการยัดแยดอาหารบาง
00:10:38 → 00:10:40 อย่างให้ลูกค้ากินน่ะค่ะไม่รู้หรอกว่า
00:10:40 → 00:10:44 อร่อยมั้ยกินไปแล้วจ่ายตังค์มาอย่าเงี้ย
00:10:44 → 00:10:46 คือมันต้องรสชาตินี้เท่านั้นอะไรอย่างงี้
00:10:46 → 00:10:49 ใช่มั้ยแต่บางทีการเจอท็อกซิกเนี่ยบางที
00:10:49 → 00:10:54 มันอาจจะไม่ได้เป็นประโยคที่เป็นคำร้ายๆ
00:10:54 → 00:10:57 ใส่เรานะแต่คำท็อกซิกเนี่ยบางทีแค่เจอคน
00:10:57 → 00:11:00 หน้าคนเนี้ยก็จะมีเรื่องมาละแบบบ่นตลอด
00:11:00 → 00:11:03 เวลาว่าเห็นหน้าก็ท็อกซิกท็อกซิกแล้วอ่ะ
00:11:03 → 00:11:05 ไม่ต้องพูดเลยอ่ะท็อกซิกแล้วหรือว่าเไม่
00:11:05 → 00:11:09 ได้พูดคำท็อกซิกใส่เรานะแต่เไปเจออะไรมา
00:11:09 → 00:11:11 ก็ไม่รู้แหละสารพัดอย่างอ่ะแต่พอเจอหน้า
00:11:12 → 00:11:14 เราอะไรอย่างเงี้ยคำหรือใครก็แล้วแต่เออ
00:11:14 → 00:11:18 ไม่ใช่เราแค่คนเดียวแต่คำพูดน่ะมันจะบ่นๆ
00:11:18 → 00:11:20 ๆคือเจอหน้าแล้วบ่นให้ฟังอย่างเดียวอ่ะ
00:11:20 → 00:11:23 เนี่ยไปเจออันนู้นอันนี้มามีแต่เรื่องลบๆ
00:11:23 → 00:11:25 เต็มไปหมดเลยอย่างเงี้ยอันนี้ก็ท็อกซิก
00:11:25 → 00:11:27 ได้เหมือนกันนะแต่แค่ไม่ได้พูดใส่เราเฉยๆ
00:11:27 → 00:11:30 อือๆๆมันเกิดกับเแต่ว่าบรรยากาศบางทีเรา
00:11:30 → 00:11:33 แค่รับรู้ว่าแบบเพื่อนเราคนนึงด่าเพื่อน
00:11:33 → 00:11:35 อีกคนนึงในห้องทำงานเดียวกันอย่างเงี้ยฮะ
00:11:35 → 00:11:37 เราสามารถรับรู้ถึงแรงอัดบางอย่างเข้ามา
00:11:37 → 00:11:40 ที่เราได้เหมือนกันสะท้อนมางใช่สะท้อนมา
00:11:40 → 00:11:41 อารมณ์เหมือนสมมุติเนี่ยเรานั่งอัดรายการ
00:11:41 → 00:11:43 อยู่ในศัตรูเงี้ยครับแล้วจู่ๆมีคนต่อย
00:11:43 → 00:11:45 อยู่ข้างๆ
00:11:45 → 00:11:47 ศัตรูเราก็จะรู้สึกได้ว่าเราจะรู้สึกได้
00:11:47 → 00:11:50 แบบเ้ยมันไม่ปลอดภัยใช่มันมีแรงอัดมันมี
00:11:50 → 00:11:52 แรงปะทะของความโกรธบางอย่างอยู่อเพราะ
00:11:52 → 00:11:55 ฉะนั้นต่อให้ตัวเราไม่ต้องเป็นตัวละครที่
00:11:55 → 00:11:58 ถูกพ่นพิใสค่ะแต่เราสามารถรับผลพอยได้หร
00:11:58 → 00:12:01 ว่าผลกระทบทางอ้อมจากบรรยากาศตรงนั้นได้
00:12:01 → 00:12:03 เหมือนกันครับจนบางทีต้องถามเลยว่าทำไม
00:12:03 → 00:12:06 เขาถึงแบบว่ามีเรื่องท็อกซิกได้ตลอดเวลา
00:12:06 → 00:12:08 ขนาดนี้คือเขาไม่เหนื่อยหรออะไรอย่าง
00:12:08 → 00:12:10 เงี้ยนะอทีนี้ต้องไปดูประวัติชีวิตเขาคผม
00:12:10 → 00:12:13 ว่าโอโหประวัติชีวิตเพราะว่าแต่ละคนนะ
00:12:13 → 00:12:15 ครับเขาจะมีพื้นหลังภูมิหลังชีวิตไม่
00:12:15 → 00:12:18 เหมือนกันอืบางทีสิ่งที่เราเห็นเขาในทุก
00:12:18 → 00:12:20 วันนี้ที่ทำงานนะครับมันอาจจะเป็นแค่ส่วน
00:12:20 → 00:12:23 เล็กๆจากภาพใหญ่ทั้งหมดที่เขาเป็นก็ได้
00:12:23 → 00:12:25 ค่ะอ่าเพราะว่าจริงๆ background ข้างหลัง
00:12:25 → 00:12:27 เขาอ่ะครับมันต้องมีแหละในส่วนที่เขาเจอ
00:12:27 → 00:12:30 ความกดดันอาจจะไม่ค่อยมีผู้คนที่อ่อนโยน
00:12:30 → 00:12:34 อยู่รอบตัวเอืเขาอาจจะมีความรับผิดชอบสูง
00:12:34 → 00:12:36 คือบางคนต้องบอกว่าเอาจจะไม่ใช่ว่าผู้คน
00:12:36 → 00:12:39 รอบตัวไม่ดีนะแต่ตัวเามีภาระต้องรับผิด
00:12:39 → 00:12:42 ชอบเยอะอือแล้วตัวเขาเกิดการพักผ่อนไม่พอ
00:12:42 → 00:12:44 ค่ะการพักผ่อนไม่พอมันจะเกิดความเหนื่อย
00:12:44 → 00:12:47 ล้าแล้วร่างกายจะเริ่มฟ้องว่าอยากพักค่ะ
00:12:47 → 00:12:49 เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่เป็นภาระทางใจ
00:12:49 → 00:12:53 ภาระทางงานที่มันโหลดเขเพิ่มอ่ะครับเขาจะ
00:12:53 → 00:12:55 รู้สึกว่าสิ่งพวกนั้นเป็นอริหรือเป็นตัว
00:12:55 → 00:12:58 ขัดขวางต่อการพักอืเพราะงั้นใครก็ตามที่
00:12:58 → 00:13:02 มาขัดขวางการพักของฉันเตรียมต้องโดนต้อง
00:13:02 → 00:13:05 โดนต้องโดนเพราะว่าถ้าเา้าไม่ขัดขวางก็จะ
00:13:06 → 00:13:08 ไม่โดนแต่เมื่อขัดขวางปั๊บเราก็จะก้าว
00:13:08 → 00:13:12 ร้าวเราก็จะโมโหอืเหมือนคนโมโหหิวอ่ะใคร
00:13:12 → 00:13:15 มาขวางไม่ให้กินก็จะแบบโกรธไม่ได้มีเหตุ
00:13:15 → 00:13:18 ผลด้วยแค่แค่หิวเออแล้วถ้าอย่างงั้นเนี่ย
00:13:18 → 00:13:21 พอจะมีประโยคตัวอย่างที่แบบว่ามันท็อกซิก
00:13:21 → 00:13:24 ท็อกซิกได้มยแบบเออประโยคนี้อย่าพูดเลยอื
00:13:24 → 00:13:26 บางทีมันเป็นเรื่องการตัดสินเหมือนกัน
00:13:26 → 00:13:29 ครับเช่นแบบว่าเฮ้ยเธอดีไม่พอหรอกก็เกิด
00:13:29 → 00:13:33 มาแค่นี้ก็ทำได้แค่นี้อุ้ยแงอ่ะเงี้ยอ่า
00:13:33 → 00:13:35 หรือแบบเธอไม่น่าจะหัวดีนะอุยดูอย่าง
00:13:35 → 00:13:37 เพื่อนสิอันนี้ท็อกซิกมั้ยโคตรท็อกซิกเลย
00:13:37 → 00:13:39 อ่ะอ่าใช่มั้ครับอันเนี้ยเหมือนที่ผมพูด
00:13:39 → 00:13:43 ตอนต้นรายการว่าให้ดูผลลัพธ์ว่าประโยค
00:13:43 → 00:13:45 เนี้ยก่อให้เกิดความเสื่อมก่อให้เกิดความ
00:13:45 → 00:13:48 ย่ำแย่หรือเปล่าอซึ่งไอ้ประโยคที่บอกว่า
00:13:48 → 00:13:50 เธอมันได้แค่นี้แหละอือๆแค่เราฟังเรายัง
00:13:50 → 00:13:54 แบบโอ้โหมันอะไรวะเนี่ยดูถูกจังเลยใช่
00:13:54 → 00:13:55 ครับอืไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ต้องการเลย
00:13:55 → 00:13:58 มนุษย์ต้องการความงอกงามความการได้รับการ
00:13:58 → 00:14:00 กำลังใจอแต่นี้มันกลายเป็นว่ามันเป็นการ
00:14:00 → 00:14:03 ตัดเป็นการดูแคลนเป็นการบอกว่าคุณดีไม่พอ
00:14:03 → 00:14:05 คุณมาได้แค่นี้มันคือการลดทอนศักยภาพ
00:14:05 → 00:14:08 มนุษย์นะครับเอจริงๆประโยชน์พวกเยได้ยิน
00:14:08 → 00:14:12 ตั้งแต่เด็กเลยนะความที่เอ่อสังคมให้ให้
00:14:12 → 00:14:16 ค่ากับคนที่ต้องสวยอ่ะใช่มยคนหน้าตาดีมี
00:14:16 → 00:14:18 ชัไปกว่าครึ่งอะไรแบบเนี้ยมันมีมาเนอนาน
00:14:18 → 00:14:20 มากแล้วค่ะคุณผู้ฟังไม่ใช่แค่ใเแบบอ้วน
00:14:20 → 00:14:23 บ้างผิวคล้ำบ้า่งอย่างเงี้ยโอโหถ้าถ้าไม่
00:14:23 → 00:14:24 ได้เป็นมาตรฐาน beuty Standard ขึ้นมา
00:14:25 → 00:14:27 ปุ๊บเนี่ยขี้เหร่เลยนะใช้คำว่าขี้เห่เลย
00:14:27 → 00:14:30 แบบงงๆมากเลยอ่ะไม่ใช่ beuty Standard
00:14:30 → 00:14:32 ก็เป็นเรื่องการเรียนเ้ยเธอเรียนคณะนี้
00:14:32 → 00:14:34 โอ้โหมันไม่ดีเท่าคณะนั้นหรอกอะไรอย่าง
00:14:34 → 00:14:38 เงี้ยฮะอ่าคุณค่าที่ที่สังคมให้ให้ใช่เออ
00:14:38 → 00:14:41 แล้วมันก็เลยทำแบางทีประโยคแบบอ้าได้
00:14:41 → 00:14:44 ประโยคทสิมาเฉยอันนี้ที่เคยโดนเลยก็คือ
00:14:44 → 00:14:46 สมัยเด็กๆเราก็จะมีความฝันเนาะคุณเอิ้น
00:14:46 → 00:14:49 เราก็ฝันไปเรื่อยเปื่อยแหละอยากเป็นครู
00:14:49 → 00:14:52 อยากเป็นตำรวจทหารหมอพยาบาลนักร้องอยาก
00:14:52 → 00:14:55 เป็นนักร้องอย่าไปนักร้องเอ็นดูเออหรือ
00:14:55 → 00:14:58 แม้กระทั่งแบบพี่เองก็อยากจะแบบเป็น
00:14:58 → 00:15:00 แอร์สดูหน้าตัวเองหรอกว่าเป็นได้มั้ยตอน
00:15:00 → 00:15:02 นั้นอ่ะเอผมว่าเป็นได้นะตอนไม่ตอนนู้น
00:15:02 → 00:15:06 เป็นไม่ได้ตอนนู้นครูนะคะก็จะบอกว่าหน้า
00:15:06 → 00:15:08 อย่างเธอเป็นไม่ได้หรอกแอร์ hostage อือ
00:15:08 → 00:15:10 ก็ก็ไม่ได้เป็นทุกวันนี้ก็ไม่ได้เป็นแอร์
00:15:10 → 00:15:13 hostage ค่ะอแต่เป็นคนที่ยืนอยู่ข้าง
00:15:13 → 00:15:15 หน้าในสังคมได้จ้ะอ่าใช่ค่ะเออก็ไม่ได้
00:15:15 → 00:15:18 สวยไงคะแต่ว่าฉันใช้ความสามารถอย่างอื่น
00:15:18 → 00:15:21 อือๆทำให้ฉันสวยขึ้นมาได้อะไรแบบนี้แต่ก็
00:15:21 → 00:15:23 ไม่ได้แบบว่าเอ่อเอาวิถีตรงนั้นเนี่ยมัน
00:15:23 → 00:15:27 เป็นแรงผลักดันนะไม่ใช่นะก็ยังคงใช้ชีวิต
00:15:27 → 00:15:29 ปกตินี่แหละก็แล้วแต่มันจะเป็นแต่ว่า
00:15:29 → 00:15:31 บังเอิญจังหวะชีวิตมันโชคดีหรือเปล่าไม่
00:15:32 → 00:15:34 แน่ใจมันก็เลยได้มายืนตรงนี้แล้วแล้วพอพอ
00:15:34 → 00:15:37 วันเนี้ยมาเป็นตรงนี้ปุ๊บมองย้อนกลับไป
00:15:37 → 00:15:40 แล้วรู้สึกว่านี่ไงดูถูกฉันไว้เห็นมั้ย
00:15:40 → 00:15:43 ฉันไม่สวยแต่ฉันก็อมาถึงวันนี้ได้มีทางไป
00:15:43 → 00:15:45 ของเราเห็นมั้ยฮ่ะมันก็ไม่ได้หมายความว่า
00:15:45 → 00:15:48 เดี๋ยวนี้จะเราจะเริ่มได้ยินประโยคที่บอก
00:15:48 → 00:15:51 ว่าทุกคนมีคุณค่าในตัวเองสวยตัวเองคุณ
00:15:51 → 00:15:54 เอิ้นก็หล่อในแบบของตัวเองใช่ผมอันนี้ผม
00:15:54 → 00:15:59 ค่อนข้างเชื่อใครๆก็พูดอย่างงี้ใช่ป่ะว่า
00:15:59 → 00:16:02 เราสวยในแบบของเราอมีเสนหในแบบของเราทุก
00:16:02 → 00:16:04 คนมีจุดๆนี้อยู่เพราะงั้นคำพูดบางอย่าง
00:16:04 → 00:16:07 ที่ทำให้เรารู้สึกว่าก็ไม่สวยอ่ะก็ไม่
00:16:07 → 00:16:10 หล่ออ่ะหรืออะไรเงี้ยเอ้ยแต่เรามีอย่าง
00:16:10 → 00:16:12 อื่นนะเฮ้ยใช่มีสิ่งอื่นทดแทนได้ใช่
00:16:12 → 00:16:15 ประโยคพวกนี้อย่าไปพูดนะเอาจริงๆบอกเลย
00:16:15 → 00:16:18 ไม่ว่าจะเป็นเป็นครูที่ต้องสอนเด็กหรือ
00:16:18 → 00:16:20 เป็นผู้ปกครองหรือเป็นเจ้านายคนหรือเป็น
00:16:20 → 00:16:23 อะไรที่ตัวเองมีลูกน้องอ่ะอย่าไปพูด
00:16:23 → 00:16:25 ประโยชน์พวกนี้เลยคำพูดมีผลของคนอื่นมาก
00:16:25 → 00:16:27 เลยอ่ะใช่เดิ่งได้เลยนะบางคนเราไม่รู้
00:16:27 → 00:16:31 หรอกเบังเอิญเเป็นภาวะซึมเศร้าอยู่อ่ะใช่
00:16:31 → 00:16:33 รู้เหรอยิ่งไปตอกตรงนั้นปั๊บโอ้โหยับเลย
00:16:33 → 00:16:36 โอหใช่มั้ยอ่ะชีวิตเ้าแบบแทนที่เขาจะได้
00:16:36 → 00:16:40 แบบว่าดีๆอ่ะมันแบบเฮ้ยเ้าพังไปเลยนะเออ
00:16:40 → 00:16:43 พวกเนี้ยมีอีกมั้ยมีคำพูดไหนอีกมั้ยอย่าง
00:16:43 → 00:16:46 เช่นทำให้รู้สึกอับอายอะไรเงี้ยฮะอายแบบ
00:16:46 → 00:16:49 ไปแฉต่อหน้าที่ประชุมเออเอาโพสต์
00:16:49 → 00:16:51 โซเชียลมีเดียแล้วก็แบบเอาไปนินทาอะไร
00:16:51 → 00:16:54 เงี้ยฮะใช่ๆอันนี้ก็เคยเจอนะนี้ก็ท็อกซิก
00:16:54 → 00:16:56 บางทีบางทีบางเป็นคำพูดของผู้ชายด้วยนะ
00:16:57 → 00:17:01 เออเออเฮอใช่ครับเหยียดเหยียดเพศเหยียด
00:17:01 → 00:17:03 รูปลักษณ์เหยียดอะไรเงี้ยฮะใช่อืพวกนี้
00:17:04 → 00:17:06 มันคือประโยคท็อกซิกหมดเลยหรือแม้กระทั่ง
00:17:06 → 00:17:08 ประโยคที่เอาไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
00:17:08 → 00:17:13 อืแบบเนี่ยดูลูกคนนั้นสิเค้ายังทำได้
00:17:13 → 00:17:16 เลยดูน้องเราสิโอ้โหเนี่ยพวกเนี้ท็อกซิก
00:17:16 → 00:17:19 ่ะโอ๋เปรียบเทียบกับคนอื่นนี่ยังพอทำเนา
00:17:19 → 00:17:23 นะแต่ถ้าเปรียบเทียบกับคนในบ้านเราดูพี่
00:17:23 → 00:17:26 เราสิดูน้องเราสิหรืออะไรเงี้ยโอ้โหมัน
00:17:26 → 00:17:29 เจ็บปวดมากเลยนะเอาจริงๆอใช่ๆครับแล้วก็เ
00:17:29 → 00:17:31 มีพวกประโยคประชดประชันอ่าคลาสสิคอะไรอัน
00:17:31 → 00:17:35 นี้แม่มันไม่ไม่เป็นที่รักใช่มั้ยล่ะใช่
00:17:35 → 00:17:38 สิแม่ไม่ต้องอยู่ก็ได้นี่ใช่ิอะไรเงี้ย
00:17:38 → 00:17:41 อะไรเงี้ยโอพวกนี้มันมันอยู่แล้วบรรยากาศ
00:17:41 → 00:17:43 มันแย่จริงๆนะอันนี้เราเอาเรื่องของเรามา
00:17:43 → 00:17:46 ใช่มั้ยเอไม่ใช่ไม่ๆๆไม่ใช่เรื่องเราอัน
00:17:46 → 00:17:50 นี้ไม่ไม่ใกล้ผมเลยแต่แต่ผมว่าในกลุ่มใน
00:17:50 → 00:17:53 กลุ่มลูกค้าผมอ่ะครับจะมีเรื่องเล่าที่
00:17:53 → 00:17:55 เป็นประโยชน์พวกเนี้ยจากที่บ้านเยอะอือ
00:17:55 → 00:17:58 อือฮึการตัดเพ้อการประชดการบอกว่าใช่สิ
00:17:58 → 00:18:01 แม่ไม่มีคุณค่าแล้วนี่ใช่สิพ่อไม่สำคัญ
00:18:01 → 00:18:05 นี่อะไรเงี้ยครับอืมพวกนี้มันมันเป็นอะไร
00:18:05 → 00:18:07 ที่แบบค่อนข้างสร้างบรรยากาศที่ไม่ดีใน
00:18:07 → 00:18:11 บ้านมากๆเลยอแล้วอย่างคำประโยคว่าก็เห็น
00:18:11 → 00:18:15 มั้ยล่ะก็บอกแล้วไงเห็นมั้ยเอซ้ำเติมซ้ำ
00:18:15 → 00:18:18 เติมก็ท็อกซิกนะซ้ำเติมก็ท็อกซิกครับใช่
00:18:18 → 00:18:20 เพราะมันจะรู้สึกเหมือนเราแบบถูกถูกย้ำ
00:18:20 → 00:18:23 ถูกซ้ำแล้วก็ไม่ได้ช่วยเหลือด้วยนอกจาก
00:18:23 → 00:18:25 การแค่ย้ำว่าให้เรามานั่งเสียใจว่าทำไม
00:18:25 → 00:18:28 ไม่เชื่อเค้าตอนนั้นเอออืเพราะงั้นตรง
00:18:28 → 00:18:29 เนี้ยถ้าเราเห็นนะครับตัวอย่างประโยชน์
00:18:29 → 00:18:32 พวกเนี้ยจะเห็นเลยว่ามันมีผลลัพธ์ที่เป็น
00:18:32 → 00:18:35 ความเหี่ยวความห่อเหี่ยวเหลือควเหี่ยว
00:18:35 → 00:18:37 ความห่อเหี่ยวความถดถอยความรู้สึกเศร้า
00:18:37 → 00:18:40 ความรู้สึกดิ่งอือพวกเนี้ยคือประโยค
00:18:40 → 00:18:42 ท็อกซิกหมดเลยอืเอ้ยแต่บางทีเราอาจจะเป็น
00:18:42 → 00:18:45 คนท็อกซิกเองด้วยก็ได้นะในบางมุมอ่ะอใช่
00:18:45 → 00:18:47 ครับเราก็ต่างคนต่างรับเราก็ต่างให้
00:18:47 → 00:18:51 เหมือนกันเราต่างเป็นสารพิษให้กันและกัน
00:18:51 → 00:18:54 ไม่แต่ว่าสารพิษบางอย่างเนี่ยฉีดเข้าไป
00:18:54 → 00:18:57 แล้วอ่ะมันสร้างภูมินะก็มีครับก็มีเรื่อง
00:18:57 → 00:19:00 นี้มันเลยต้องอย่างที่บอกครับว่าแต่ละคน
00:19:00 → 00:19:02 จะมีภูมิคุ้มกันหรือมีความสามารถในการ
00:19:02 → 00:19:05 เปลี่ยนพิษให้เป็นประโยชน์ไม่เท่ากัน
00:19:05 → 00:19:07 เหนื่อยเนบางคนไปรับเอามาปึ๊บแล้วก็โอ้โห
00:19:07 → 00:19:11 ชีวิตฉันดิ่งไปแล้วชั้นซึมเศร้าเงี้ยครับ
00:19:11 → 00:19:13 แต่บางคนเราจะได้ยินเรื่องนี้บ่อยมาก
00:19:13 → 00:19:16 เปลี่ยนคำดูถูกให้เป็นแรงผลักดันอ่าเรา
00:19:16 → 00:19:18 เคยได้ยินเนาะใช่ๆๆใช่ครับเพราะงั้น
00:19:18 → 00:19:22 สำหรับบางคนที่เา้ามีไหวพริบมากพอมีสติ
00:19:22 → 00:19:25 มากพอเ้าจะรู้สึกว่าเฮ้ยไอ้ประโยคพวก
00:19:25 → 00:19:28 เนี้ยมันน่าโมโหเหมือนกันนะแต่เดี๋ยวชัน
00:19:28 → 00:19:30 มีมีโจทย์สนุกๆะฉันจะทำให้ดูว่าฉันไม่ได้
00:19:30 → 00:19:33 เป็นอย่างที่เขาพูดเออเออแล้วฉันจะแบบ
00:19:33 → 00:19:36 กลับไปให้เขาดูว่าฉันดีได้มากกว่าที่เขา
00:19:36 → 00:19:38 พูดอืแต่ตรงเนี้ยมันต้องระมัดระวังตรงที่
00:19:38 → 00:19:41 ว่าพอเราอยากพิสูจน์ตัวเองปั๊บนะครับบาง
00:19:41 → 00:19:44 ครั้งมันจะมีสิ่งที่ทำให้ตัวเราเนี่ยมด
00:19:44 → 00:19:47 แต่ไปโฟกัสเรื่องการเอาชนะจนกระทั่งลืมไป
00:19:47 → 00:19:50 ว่าเราชนะแล้วเราชนะจริงมหรือเราแค่เอา
00:19:50 → 00:19:53 ชนะคำพูดเขาแต่เราแพ้ในชีวิตเราเองอืเช่น
00:19:53 → 00:19:55 อ่ะสมมุติตะกี้เราพูดถึงหน้าอย่างเธอเป็น
00:19:55 → 00:19:58 แอร์โฮสเตจไม่ได้หรอกสมมุตินะสมมุติเอเอ
00:19:58 → 00:20:01 อย่างเงี้ยฮะเราก็เลยโกรธนะครับโกรธครูคน
00:20:01 → 00:20:04 นี้ออแล้วก็บอกว่าบอกกับตัวเองว่าเดี๋ยว
00:20:04 → 00:20:08 ฉันจะไปเป็นแอร์ H Stage ให้ดูเอออเออ
00:20:08 → 00:20:10 สู้เลยเนี่ยถ้าพูดเรื่องนี้หยามเรื่องนี้
00:20:10 → 00:20:12 เราก็แก้เรื่องนี้ไปเลยฝึกฝนภาษาอังกฤษทำ
00:20:12 → 00:20:15 ตัวเองให้สวยใช่ครับใช่สุดท้ายพอไปทำแอร์
00:20:15 → 00:20:18 H Stage จริงๆอาจจะค้นพบว่าเราไม่ได้
00:20:18 → 00:20:21 อยากอยู่บนเครื่องบินตลอดมันก็ไม่ใช่เออ
00:20:21 → 00:20:24 อะไก็ได้เนาะใช่ครับหรืออย่างเธอเราจะ
00:20:24 → 00:20:26 ซื้อซรคาร
00:20:27 → 00:20:30 โอย่างเธอเราซื้อซอคเออแล้วก็เลยกลายเป็น
00:20:30 → 00:20:33 ว่าเราอาจจะใช้วิธีคือถ้าพยายามแล้วรวยก็
00:20:33 → 00:20:36 ดีถูกมั้ยครับอแต่บางคนคือยังไม่ทันรวย
00:20:36 → 00:20:39 เลยไปกู้เงินมาซื้อรถะอ้าก็ไม่อืเราจะ
00:20:39 → 00:20:43 เห็นเยอะนะว่าคือในในสังคมบางชุมชนหรือใน
00:20:43 → 00:20:46 ในโซนจะได้ยินในโชวนชนบทค่อนข้างบ่อยอือ
00:20:46 → 00:20:49 เช่นแบบข้างบ้านดูถูกกันมีไอ้นั่นมั้ยเธอ
00:20:49 → 00:20:51 มีไอ้นี่มั้ยปั๊บเราอยากจะเอไปตอกหน้า
00:20:51 → 00:20:54 เค้าอ่ะเราก็เลยไปกู้เป็นหนี้สินเพื่อไป
00:20:54 → 00:20:56 ซื้อกระเป๋าแบรนด์เนมบ้า่งไปซื้อรถบ้างไป
00:20:56 → 00:20:59 ซื้อบ้านซื้ออะไรเงี้ยฮะอ่าเพื่อไปตอก
00:20:59 → 00:21:01 หน้าคนที่เราโกรธเออแต่สุดท้ายเนี่ยพอตอก
00:21:01 → 00:21:03 เสร็จปั๊บพอเรากลับมาอยู่กับตัวเองเราก็
00:21:03 → 00:21:06 ต้องมานั่งชำระหนี้สินอืหนี้สินที่เราไม่
00:21:06 → 00:21:08 ได้มีความพร้อมที่จะแบบรับผิดชอบมันแล้ว
00:21:08 → 00:21:11 ก็หนี้สินพวกนี้ไม่ได้ก่อให้เกิดความสุข
00:21:11 → 00:21:13 ในชีวิตน่ะแค่ได้ตอกหน้าแล้วมันสะใจอืแต่
00:21:14 → 00:21:16 สุดท้ายอครับมูลค่าของเงินที่มันถูกดึง
00:21:16 → 00:21:18 เข้าไปในส่วนที่มันไม่ควรจะใช้กับชีวิต
00:21:18 → 00:21:20 เนี่ยมันก็เลยทำไปต่อยอดส่วนอื่นไม่ได้
00:21:20 → 00:21:23 ค่ะอืต้องแบบเบียดเกษียณตัวเองแบบกิน
00:21:23 → 00:21:26 มาม่าเพื่อซื้อซุเปอร์คารมาม่าก็ไลตังค์
00:21:26 → 00:21:29 อยู่อ่าหือซื้อแบรนด์เนมแล้วก็ไม่ได้มี
00:21:29 → 00:21:32 อะไรมากกว่าแค่ฟังก์ชันกับกระเป๋าเฉยๆแต่
00:21:32 → 00:21:34 มันเป็นการโชว์ทางสังคมซึ่งผมไม่ได้บอก
00:21:34 → 00:21:36 ว่าการมีแบรนด์เนมแบบไม่ควรนะคือหมายถึง
00:21:36 → 00:21:39 ว่าเราสามารถมีกระเป๋าแบรนด์เนมได้ถ้าเรา
00:21:39 → 00:21:42 พร้อมถ้าเราชื่นชอบและเราเห็นว่าการที่
00:21:42 → 00:21:44 เรามีเงินเก็บสะสมอยู่มากพอเนี่ยมัน
00:21:44 → 00:21:46 สามารถแบ่งมาซื้อของที่ทำให้เรามีความสุข
00:21:46 → 00:21:49 ได้เฮ้ยเรื่องนี้ผมไม่ไม่ติดเลยอแต่ส่วน
00:21:49 → 00:21:51 ใหญ่อ่ะครับหลายๆคนมักจะพลาดตรงที่ว่าพอ
00:21:51 → 00:21:54 โดนประโยคท็อกซิกปั๊บโกรธอยากจะเอาชนะก็
00:21:55 → 00:21:57 เลยไปหาเรื่องใส่ตัวด้วยการนำนำกระเป๋า
00:21:57 → 00:21:58 แบรน์เนม
00:21:58 → 00:22:00 เอาตัวเองไปกู้หนี้ยืมสินเพื่อซื้อบาง
00:22:00 → 00:22:03 อย่างมาตอกหน้าแต่มันเป็นความความชนะที่
00:22:03 → 00:22:07 ฉาบฉวยอ่ะมันชนะแป๊บนึงแต่สุดท้ายข้าง
00:22:07 → 00:22:09 หลังจริงๆในชีวิตเรายังไม่ได้กำลังชนะนะ
00:22:09 → 00:22:11 อือแต่การชนะที่แท้จริงอ่ะครับคือตัวเรา
00:22:11 → 00:22:13 ต้องอยู่เหนือประโยคท็อกซิกทุกอย่างแล้ว
00:22:13 → 00:22:15 ไม่ให้ประโยคท็อกซิกมามีอิทธิพลอะไรกับ
00:22:15 → 00:22:18 เราเลยในการตัดสินใจคือถ้าจะบอกว่าไม่ใส่
00:22:18 → 00:22:20 ใจเลยไม่รู้สึกเลยมันเป็นไปไม่ได้หรอกมัน
00:22:20 → 00:22:22 ต้องมีกระทบอยู่แล้วแหละถ้าเราเป็นคน
00:22:22 → 00:22:24 ธรรมดานะความรู้สึกเออแล้วยิ่งถ้าเกิดคน
00:22:24 → 00:22:27 พูดใส่เราเนี่ยเป็นคนที่เราแบบว่ารัก
00:22:27 → 00:22:29 เคารพนับถือหรือคนที่เราแบบว่าชื่นชอบ
00:22:29 → 00:22:32 ชื่นชมอย่างเงี้ยพูดประโยคพวกนี้ใส่เรา
00:22:32 → 00:22:35 อ่ะโอ้โหไม่รู้จะทำยังไงเลยอ่ะมันมันก็
00:22:35 → 00:22:39 พังได้เหมือนกันแต่ว่าก็ถ้ามันจะเป็นถ้า
00:22:39 → 00:22:42 มันจะรู้สึกก็ให้รู้สึกแค่ช่วงระยะเวลา
00:22:42 → 00:22:44 นึงก็พออือๆๆอย่าเอามาเป็นทั้งหมดของ
00:22:44 → 00:22:48 ชีวิตใช่ๆครับหลายๆคนมักจะจมอเออได้พูด
00:22:48 → 00:22:49 ต่อ
00:22:49 → 00:22:52 ได้คือมันพูดง่ายแต่มันทำยากอ่ะทำยากทำ
00:22:53 → 00:22:54 ยากสำคัญสุดท้ายมันเป็นเรื่องของสติอ่ะ
00:22:54 → 00:22:57 ครับคือคือสมมุติตเกถ้าย้อนไปว่าเป็นคน
00:22:57 → 00:23:00 ที่รักพูดกับเราอือันนี้ต้องแยกก่อนว่า
00:23:00 → 00:23:02 เรื่องที่เกิดขึ้นคืออะไรเนาะเพูดด้วย
00:23:02 → 00:23:04 ความโมโหหรือเปล่าที่เราแบบไม่ดูแลตัวเอง
00:23:04 → 00:23:07 อ่าอ่าบางทีประโยคพวกนี้โอเคอาจจะฟังแล้ว
00:23:07 → 00:23:10 เจ็บเจตนารมแต่สาระมีจริงเพูดด้วยความรัก
00:23:10 → 00:23:12 เอือแต่ถ้าเกิดเป็นคนที่แบบโอ้โหไม่ได้มี
00:23:12 → 00:23:14 ความหวังดีกับเราเลยพวกเนี้ยฮะพวกนี้มัน
00:23:14 → 00:23:16 จะท็อกซิกทั้งประโยคและคนพูดตัวตนก็
00:23:16 → 00:23:19 ท็อกซิกด้วยไม่ไม่ควรเข้าใกล้เลยไม่ควร
00:23:19 → 00:23:21 เข้าใกล้อืใช่ครับแต่สุดท้ายใดๆก็ตามเรา
00:23:21 → 00:23:24 ควรจะใช้ชีวิตแบบมีดุลพินิจเ่ะในการแยก
00:23:24 → 00:23:27 แยะว่าอะไรควรฟังอะไรไม่ควรฟังค่ะไม่ใช่
00:23:27 → 00:23:30 ประโยคทุกอย่างในโลกนี้ที่จะต้องมารับรู้
00:23:30 → 00:23:32 หรือต้องไปใส่ใจทั้งหมดอือบางประโยคก็
00:23:32 → 00:23:35 เป็นประโยคที่มาจากคนท็อกซิกอือก็เลย
00:23:35 → 00:23:38 ท็อกซิกไปเป็นภาษาภาษาออกมาแล้วเราตัวเรา
00:23:38 → 00:23:41 ก็รับสารพิษค่ะแต่จะดีมากถ้าเราไม่ได้รับ
00:23:41 → 00:23:43 เอาสารพิษนั้นเข้ามาในตัวค่ะอืแล้วในขณะ
00:23:43 → 00:23:46 เดียวกันสิ่งที่เราจะต้องไม่ลืมคือในขณะ
00:23:46 → 00:23:49 ที่คนอื่นสามารถเป็นเป็นบุคคลที่มีมลพิษ
00:23:49 → 00:23:51 ได้ตัวเราเองก็ตกไปอยู่ในบทบาทของคนที่
00:23:51 → 00:23:53 สร้างมลพิษได้เหมือนกันได้เออเพราะงั้น
00:23:54 → 00:23:56 เพื่อที่เราอยากจะมีสังคมที่ดีแล้วอยู่
00:23:56 → 00:23:58 ด้วยความรู้สึกปลอดภัยครับเรื่องนี้เลย
00:23:58 → 00:24:00 เป็นหน้าหน้าที่ของคนทุกคนเลยนะที่จะจะ
00:24:00 → 00:24:03 ต้องขัดเกลาตัวเองว่าฉันจะเป็นส่วนหนึ่ง
00:24:03 → 00:24:06 ของสังคมที่ดีได้ยังไงอือฉันจะใส่ input
00:24:06 → 00:24:09 ฉันจะใส่คำพูดอะไรเข้าไปในสังคมหรือฉันจะ
00:24:09 → 00:24:11 วางตัวยังไงได้บ้างเพื่อที่จะอย่างน้อย
00:24:11 → 00:24:15 เป็นตัวแบบที่ดีอืเป็นเป็นคู่สนทนาที่ดี
00:24:15 → 00:24:17 หรืออย่างน้อยเป็นคนที่ไม่ใส่ขยะเข้าไปใน
00:24:17 → 00:24:19 สังคมอืเออแล้วตรงเถ้าทุกคนช่วยกันนะครับ
00:24:19 → 00:24:22 ผมว่าบรรยากาศในสังคมมันจะดีกว่าเนี้ย
00:24:22 → 00:24:24 เหมือนกับว่าเราต้องเริ่มที่ตัวเราเอง
00:24:24 → 00:24:27 ก่อนใช่ครับฝึกฝนด้วยตัวเราเองก่อนเราไม่
00:24:27 → 00:24:30 ไปพ่นพิใสใครเราต่อให้เรารับพิษมาเราก็
00:24:30 → 00:24:33 ไม่เอาพิษนั้นมาใส่ในตัวเราให้มันแบบว่า
00:24:33 → 00:24:35 บาดเจ็บสาหัดใช่ๆใครๆก็อยากได้คำพูดที่ดี
00:24:36 → 00:24:38 อ่ะครับมันไม่มีใครแบบโอชอบจังพูดฉันพูด
00:24:38 → 00:24:41 กับฉันแรงๆหน่อยมันผมว่ามันคงซาเด็ดไป
00:24:41 → 00:24:43 แล้วอ่ะอาจจะอาจจะมีคนอย่างงั้นก็ได้นะ
00:24:43 → 00:24:46 แต่ผมว่าไม่ใช่ส่วนใหญ่อันนั้นออกแนว
00:24:46 → 00:24:48 ประชนแล้วใช่เลยพูดมาเลยหรืออะไรอย่างงี้
00:24:48 → 00:24:51 หรือเปล่าเออนะคะแต่ว่าบางทีคำพูดบาง
00:24:51 → 00:24:54 อย่างมันท็อกซิกกับเราก็จริงแต่มันก็เป็น
00:24:54 → 00:24:57 แรงผลักดันเราได้ในมุมนึงแต่ว่าคือเหมือน
00:24:57 → 00:25:01 กับว่าเราถ้าเรามองเรามองในแง่ดีมันก็อาจ
00:25:01 → 00:25:03 จะดีก็ได้ก็ได้แต่ระวังกับดักเหมือนที่ผม
00:25:03 → 00:25:05 ย้ำอ่ะบางครั้งพอไปติดกับคำพูดตรงนั้น
00:25:05 → 00:25:07 แล้วอยากเอาชนะมันกลายเป็นว่าตัวเราลืม
00:25:07 → 00:25:10 ได้ตั้งได้เรียกว่าได้กำหนดชีวิตแบบที่
00:25:10 → 00:25:12 เราจะต้องใช้อ่ะใช่มันเลยถูกชักจูมไปทาง
00:25:12 → 00:25:15 อื่นครับเราได้อะไรจากจากตรงนั้นใช่มั้ย
00:25:15 → 00:25:19 เออก็พูดจาดีๆใส่กันเป็นภาษาดอกไม้ให้ใจ
00:25:19 → 00:25:21 ฟูกันดีกว่าจะได้มีแรงมีพลังมันเหนื่อย
00:25:22 → 00:25:24 กันมากแล้วค่ะอย่าเอาใช่ครับคำพูดอะไรที่
00:25:24 → 00:25:27 มันแบบแย่ๆไปใส่กันเลยดีกว่าอันนี้ก็ได้
00:25:27 → 00:25:30 ทุกเ็ในความสัมพันธ์เลยนะคะครับแต่ว่าอัน
00:25:30 → 00:25:32 นี้ประโยคนี้ก็ไม่รู้เป็นประโยคท้องสิง
00:25:32 → 00:25:34 หรือเปล่าแต่ว่าหมดเวลาแล้วค่ะคุณเอิน
00:25:34 → 00:25:37 ครับผมครับไม่ท้องสิเนาะโอเคนะขอบคุณคุณ
00:25:37 → 00:25:40 เอิ้นค่ะสวัสดีค่ะหมดเวลาแล้วค่ะคุณผู้
00:25:40 → 00:25:43 ฟังพบกันใหม่ครั้งหน้านะคะวันนี้ลาไปก่อน
00:25:43 → 00:25:47 สวัสดีค่ะสวั This Is tha PBS podcast
00:25:47 → 00:25:50 ความสูงแต่ละคนแต่ละเพศมีปัจจัยที่แตก
00:25:50 → 00:25:52 ต่างกันผู้หญิงจะหยุดสูงตอนไหนผู้ชายสูง
00:25:52 → 00:25:55 ได้ถึงตอนไหนดรนายแพทย์จตุพลคงถาวรสกุล
00:25:55 → 00:25:57 แพทย์ผู้เชี่ยวชาญศูนย์กล้ามเนื้อกระดูก
00:25:57 → 00:26:01 และข้อมาบอกให้รู้ครับการทำให้สูงก่อนที่
00:26:02 → 00:26:05 กระดูกจะหมดสิทธิ์สูงนะความสูงเนี่ยจะ
00:26:05 → 00:26:07 เกิดในเด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชายไม่เหมือน
00:26:07 → 00:26:11 กันใช่จำได้ว่าตอนเด็กๆเนี่ยผู้หญิงอย่าง
00:26:11 → 00:26:14 ผู้หญิงจะสูงกว่าผู้ชายก่อนสูงกว่าสัก
00:26:14 → 00:26:16 แป๊บเดียวเหอะใช่ผู้หญิงจะยืดเร็วแล้วก็
00:26:16 → 00:26:19 หดเลยผู้ชายสักแป๊บเดียวก็ผู้ชายมันจะไป
00:26:19 → 00:26:23 ได้เรื่อยๆนะเพราะผู้หญิงมีฮอร์โมนเพศ
00:26:23 → 00:26:26 อ้าวแล้วทำเมื่อไหร่ก็ตามที่เมนมาหรือ
00:26:26 → 00:26:29 ประจำเดือนมาเนี่ยก็คือจบอ่าคุณพ่อคุณแม่
00:26:29 → 00:26:33 ดูอย่างงี้ถ้าเราจะดูว่าลูกเราจะสูงได้
00:26:33 → 00:26:37 แค่ไหนเนี่ยนะครับ 1 ให้เราไปดูอวัยวะ
00:26:37 → 00:26:43 ทั้งหมดทางเพศนะเช่นผู้หญิงก็จะเริ่มมีขน
00:26:43 → 00:26:46 ขนตามตัวตามนู่นตำนี่อะไรเงี้ยนะอ่าหน้า
00:26:46 → 00:26:51 อกเริ่มมานะครับแล้วก็สะโพกผายนะครับอัน
00:26:51 → 00:26:54 ที่ชัดที่สุดคือประจำเดือนมานับจากวันที่
00:26:54 → 00:26:58 1 หลังประจำเดือนมาไปอีก 2 ปีคือจบได้
00:26:58 → 00:27:00 เวลาแค่นั้นเองหรอได้แค่นั้นผู้หญิงเนี่ย
00:27:00 → 00:27:03 เขาจะยืดตั้งแต่ก่อนมีประจำเดือนนะพอ
00:27:03 → 00:27:05 เริ่มมีประจำเดือนปุ๊บเนี่ยฮอร์โมนตัวนึง
00:27:05 → 00:27:08 มันจะออกมาแล้วมันจะไปกดตัวโกดฮอร์โมน
00:27:08 → 00:27:12 เมื่อถึงเวลาหลังจากวันแรกมาแล้วอ่ะ 2 ปี
00:27:12 → 00:27:15 คำนวณแค่นี้เองฮะคือถ้าใครบอกโอ๊ยเดี๋ยว
00:27:15 → 00:27:19 จะสูงอีกสูงไม่ไม่ต้องคิดเยอะโอ่าจะโตอีก
00:27:19 → 00:27:21 เนี่ยไม่โตละซึ่งเพราะฉะนั้นในช่วง 2 ปี
00:27:21 → 00:27:24 เนี้ยเป็นโกเด้นพียคืออยากทำอะไรก็รีบทำ
00:27:24 → 00:27:29 จะใช้ฮอร์โมนจะออกกำลังจะทำอะไรก็รีบทำนะ
00:27:29 → 00:27:32 ครับในช่วงนี้เพราะว่ามันจะเป็นการยืดยาว
00:27:32 → 00:27:35 ของกระดูกตามธรรมชาติอนะครับหลังจาก 2 ปี
00:27:35 → 00:27:38 ไปแล้วกระดูกมันจะปิดซึ่งถ้าดูจากช่วง
00:27:38 → 00:27:41 อายุผู้หญิงอ่ะนะส่วนใหญ่ประจำเดือนเขาจะ
00:27:41 → 00:27:45 มาป 5 ป 6 นะก็คือประมาณซัก 12 ใช่ป่ะ 11
00:27:45 → 00:27:49 12 13 ประมาณนี้นะก็คือเอาเป็นว่า 12-14
00:27:49 → 00:27:51 เนี่ยเป็นช่วงที่เป็นเวลาสำคัญผู้หญิง
00:27:51 → 00:27:55 หลัง 14 ส่วนใหญ่ไม่สูงนะบางคนก็หลัง 15
00:27:55 → 00:27:57 อนะครับก็เอาเป็นว่าอย่าง Maximum ผู้
00:27:57 → 00:28:00 หญิงเนี่ยส่วนใหญ่ก็ 15 ทีนี้ผู้ชายล่ะ
00:28:00 → 00:28:03 ผู้ชายเนี่ยส่วนใหญ่เขาจะช้ากว่าผู้ชาย
00:28:03 → 00:28:07 บางคนไปยืดตอนม 3 ก็มีตอนอายุ 15 ถึง 18
00:28:07 → 00:28:11 ค่ะนะผู้ชายเนี่ยถ้ายืดเร็วก็หยุดเร็วยืด
00:28:11 → 00:28:14 ช้าก็หยุดช้านะครับแต่ว่ามันก็จะยืดไปได้
00:28:14 → 00:28:17 เรื่อยๆอ่ะถึงอายุ 18 ส่วนใหญ่นะหลัง 18
00:28:17 → 00:28:21 ก็ไม่ค่อยสูงะแต่ก็จะมีบางคนที่ตกสำรวจ
00:28:21 → 00:28:25 อาจจะไปยืดตอนเข้ามหาลัยก็มี 18-20 เพิ่ง
00:28:25 → 00:28:27 จะมาสูง
00:28:27 → 00:28:29 [เพลง]
00:28:29 → 00:28:32 This Is Thai PBS
00:28:32 → 00:28:36 podcast ติดตามรายการของ Thai PBS
00:28:36 → 00:28:37 podcast ได้ทางเว็บไซต์
00:28:37 → 00:28:52 www.thaipbs.or.th
00:28:52 → 00:28:58 [เพลง]
00:28:58 → 00:29:01 อ