00:00:00 → 00:00:02 การเลือกใช้น้ำมันพืชที่ถูกต้องในการทำ
00:00:02 → 00:00:04 อาหารเนี่ยเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆนะครับไม่
00:00:04 → 00:00:06 ใช่แค่เพื่อให้อาหารที่เราทำเนี่ยมัน
00:00:06 → 00:00:09 อร่อยแต่ว่าเพื่อสุขภาพของเราด้วยเพราะ
00:00:09 → 00:00:12 ว่าเวลาที่เราเอาน้ำมันเนี่ยไปเจอกับความ
00:00:12 → 00:00:14 ร้อนเป็นระยะเวลานานๆเนี่ยนะครับความร้อน
00:00:14 → 00:00:16 นั่นแหละมันสามารถให้เปลี่ยนโมเลกุลในน้ำ
00:00:17 → 00:00:19 มันให้เป็นโมเลกุลที่มันไม่ค่อยเสถียแล้ว
00:00:19 → 00:00:21 ก็สามารถที่จะทำให้เกิดอันตรายกับร่างกาย
00:00:21 → 00:00:23 ไม่ว่าการอักเสบเอยหรือว่าเป็นสารอนุมูล
00:00:23 → 00:00:26 อิสระเอยนะครับที่สามารถทำให้ DNA เนี่ย
00:00:26 → 00:00:28 ทำงานได้ไม่ดีทีนี้เวลาที่เราไปตาม
00:00:28 → 00:00:31 ซุปเปอร์มาร์เก็ตหรือตลาดแล้วก็เจอโอ้โห
00:00:31 → 00:00:34 มันมีน้ำมันพืชให้เลือกหลากหลายชนิดมากนะ
00:00:34 → 00:00:36 ครับแล้วก็บนฉลากเนี่ยก็มีคำอะไรเยอะแยะ
00:00:36 → 00:00:40 เต็มไปหมดเลยรีฟบ้างแหละไม่ unine บ้าง
00:00:40 → 00:00:43 หรือว่าบางฉลากเนี่ยก็จะบอกว่ามีกรดไขมัน
00:00:43 → 00:00:46 ที่ไม่อิ่มตัวเยอะนะหรือว่ามีสารสำคัญจาก
00:00:46 → 00:00:50 พืชที่เป็นสารแอนติออกซิแดนท์ด้วยนะครับท
00:00:50 → 00:00:52 นี้แล้วเราจะรู้ได้ยังไงอ่ะว่าน้ำมันพืช
00:00:52 → 00:00:54 ชนิดไหนหรือแบบไหนที่เหมาะแล้วก็ตอบโจทย์
00:00:54 → 00:00:57 กับเราวันนี้เดี๋ยวผมพาไปตะลุยแล้วก็รู้
00:00:57 → 00:00:59 จักกับน้ำมันพืชทุกชนิดเลยนะครับว่าเรา
00:00:59 → 00:01:02 ควรจะเลือกน้ำมันพืชมาใช้ที่บ้านยังไง
00:01:02 → 00:01:04 ครับ This is the Standard podcast
00:01:04 → 00:01:07 Eye Opening for your
00:01:07 → 00:01:11 ears Top tole podcast สุขภาพที่ใช้
00:01:11 → 00:01:15 วิทยาศาสตร์ไขปัญหาตั้งแต่หัวจด
00:01:15 → 00:01:18 เท้าอย่างแรกนะครับอยากจะพาทุกคนเนี่ยไป
00:01:18 → 00:01:20 รู้จักกระบวนการในการทำน้ำมันก่อนเพราะ
00:01:20 → 00:01:22 ว่าสำคัญมากที่เราจะเข้าใจ process ของ
00:01:22 → 00:01:24 มันนะครับเพื่อที่จะเลือกได้อย่างเหมาะสม
00:01:24 → 00:01:27 นะฮะน้ำมันพืชแน่นอนมันต้องมีวัตถุดิบ
00:01:27 → 00:01:29 หลักมาจากพืชซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นเมล็ดหรือ
00:01:29 → 00:01:32 ว่าจะเป็นผลของพืชนะครับแล้วเขาก็จะเอา
00:01:32 → 00:01:34 เมล็ดพืชหรือว่าผลของพืชเนี่ยมาผ่าน
00:01:34 → 00:01:36 กระบวนการบดหรือทำอะไรสักอย่างนึงเพื่อ
00:01:36 → 00:01:40 ที่จะเค้นหรือคั้นเอาน้ำมันออกมานะครับ
00:01:40 → 00:01:43 ซึ่งไอ้น้ำมันที่ได้ออกมาจากพืชในกระบวน
00:01:43 → 00:01:45 การแรกเนี่ยครับเรียกว่าเป็นน้ำมันดิบ
00:01:45 → 00:01:47 แล้วกันนะครับก็คือภาษาอังกฤษอีกคำนึงคือ
00:01:47 → 00:01:50 unrefined คือไม่มีการปรุงแต่งอะไรเลยนะ
00:01:50 → 00:01:52 ฮะทีนี้ไอ้น้ำมันดิบที่ได้เนี่ยครับถาม
00:01:52 → 00:01:55 ว่ามันมีอะไรอยู่ในนั้นนะครับมันก็จะมี
00:01:55 → 00:01:57 กรดไขมันหรือจริงๆมันคือไตรกีซาไลน์
00:01:57 → 00:01:59 ไตรกีซาไลน์เนี่ยมันคือกรดไขมันหรือว่า
00:01:59 → 00:02:03 fty Acid ที่มาเกาะกับกลีเซอนะครับกลาย
00:02:03 → 00:02:06 เป็นไตรกลีเซอไรด์นะครับนอกจากจะมี
00:02:06 → 00:02:08 ไตรกลีเซอไรด์ในน้ำมันดิบแล้วเนี่ยครับ
00:02:08 → 00:02:11 มันยังมีสารอื่นๆอยู่ที่มันเจือปนมีอะไร
00:02:11 → 00:02:14 บ้างอ่ะสารที่มันเจือปนที่เป็นของดีที่
00:02:14 → 00:02:16 ร่างกายต้องการก็จะมีวิตามินอย่างเช่น
00:02:16 → 00:02:20 วิตามินอนะครับหรือว่าสารพวกแอนตี้ออกซิน
00:02:20 → 00:02:22 ต่างๆซึ่งเป็นสารประกอบที่ได้มาจากพืช
00:02:22 → 00:02:24 นั่นแหละพืชแต่ละชนิดเนี่ยมันก็จะมีสาร
00:02:24 → 00:02:26 ต่างๆที่ไม่เหมือนกันนะครับเพราะฉะนั้น
00:02:26 → 00:02:28 มันจะมีไฟต Chemical ที่เป็นประโยชน์กับ
00:02:28 → 00:02:30 ร่างกายที่แตกต่างกันบางอันก็จะมีสาร
00:02:30 → 00:02:33 กลุ่มที่โอ้สามารถจะต้านมะเร็งได้พวกิิอ
00:02:33 → 00:02:35 อยู่ค่อนข้างเยอะแตกต่างกันไปนะครับนอก
00:02:35 → 00:02:37 จากเนี้ยกรดไขมันเองที่นอกจากสามารถจะไป
00:02:37 → 00:02:39 กรอกกับกรีซเป็นไตกีแล้วเนี่ยตัวกรดไขมัน
00:02:39 → 00:02:41 เองยังมีกรดไขมันอิสระด้วยนะครับที่มัน
00:02:41 → 00:02:44 ล่องลอยอยู่ในไขมันดิบนะครับเจ้ากรดไขมัน
00:02:44 → 00:02:46 อิสระนี่ครับเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการ
00:02:46 → 00:02:49 เนี่ยอาจจะไม่ค่อยต้องการเท่าไหร่เพราะ
00:02:49 → 00:02:51 ว่ามันจะไปลด Smoke Point หรือว่า
00:02:51 → 00:02:53 อุณหภูมิที่จะทำให้ไอ้เจ้าน้ำมันเนี่ย
00:02:53 → 00:02:55 สามารถไปใช้ในการประกอบอาหารได้นะครับ
00:02:55 → 00:02:57 เดี๋ยวเล่าให้ฟังทีหลังเนาะนอกจากนี้นะ
00:02:57 → 00:02:59 ครับสารอื่นๆที่มันเจือปนอยู่ในน้ำมันพืช
00:02:59 → 00:03:01 ดิดิบแล้วก็ร่างกายไม่ต้องการนะครับพวก
00:03:01 → 00:03:05 สารพิษต่างๆยาฆ่าแมลงนะครับหรือว่าเป็นไข
00:03:05 → 00:03:07 มันอื่นๆที่ร่างกายไม่ได้เอาไปใช้แล้ว
00:03:07 → 00:03:10 สามารถจะทำให้เกิดกระบวนการกลิ่นหืนหรือ
00:03:10 → 00:03:13 ว่าเกิดออกซิเดชันได้ง่ายมากยิ่งขึ้นสิ่ง
00:03:13 → 00:03:15 เจือปนเหล่าเนี้ยที่ร่างกายไม่ต้องการ
00:03:15 → 00:03:18 หรือว่ามันจะทำให้คุณภาพของน้ำมันพืชลดลง
00:03:18 → 00:03:21 หรือว่าลด SH Life ของน้ำมันพืชที่ขาย
00:03:21 → 00:03:24 ได้เนี่ยจะถูกกำจัดออกไปในกระบวนการปรับ
00:03:24 → 00:03:26 ปรุงน้ำมันพืชเมื่อไหร่ก็ตามที่น้ำมันพืช
00:03:26 → 00:03:28 ดิบหรือ unrefined Vegetable Oil เนี่ย
00:03:28 → 00:03:32 ถูกปรับปรุงมันจะถูกเรียกว่า refine
00:03:32 → 00:03:34 Vegetable Oil เท่าที่ผมไปเดินดูใน
00:03:34 → 00:03:36 ซุปเปอร์มาร์เก็ตนะครับน้ำมันพืชที่ขายใน
00:03:36 → 00:03:39 เมืองไทยส่วนใหญ่มันจะเป็น refine ก็คือ
00:03:39 → 00:03:42 ถูกปรับปรุงคุณภาพมาหมดแล้วนะครับให้ตอบ
00:03:42 → 00:03:45 โจทย์ทั้งผู้ประกอบการเองก็คือ CH of
00:03:45 → 00:03:47 Life เนี่ยนานขึ้นสามารถที่จะเก็บ
00:03:47 → 00:03:49 Storage ที่บ้านของคุณเนี่ยได้นานมาก
00:03:49 → 00:03:51 ยิ่งขึ้นก็คือเหม็นหืนช้าลงใช้ได้นานมาก
00:03:51 → 00:03:54 ยิ่งขึ้นนะครับแล้วก็ตอบโจทย์ในการทำกับ
00:03:54 → 00:03:57 ข้าวได้หลากหลายมากขึ้นก็คือสามารถที่จะ
00:03:57 → 00:03:59 ใช้น้ำมันพืชเหล่าเนี้ยผัดแกงทอดที่
00:03:59 → 00:04:02 อุณหภูมิสูงๆได้นะครับเพราะว่า refinement
00:04:02 → 00:04:05 process มันจะกระทบกับ Smoke Point
00:04:05 → 00:04:07 หรือว่าอุณหภูมิที่น้ำมันเนี่ยสามารถที่
00:04:07 → 00:04:10 จะทำกับข้าวได้นะครับเพราะฉะนั้นเป็นที่
00:04:10 → 00:04:13 มาว่าถ้าเกิดเราจะเลือกน้ำมันพืชให้ตอบ
00:04:13 → 00:04:16 โจทย์เนี่ยอย่างแรกที่เราจะดูก็คือดูที่
00:04:16 → 00:04:19 Smoke Point ของน้ำมันครับ Smoke Point
00:04:19 → 00:04:22 เนี่ยครับมันคืออุณหภูมิที่น้ำมันพืชที่
00:04:22 → 00:04:25 เป็นของเหลวเนี่ยมันเริ่มเกิดควันครับ
00:04:25 → 00:04:28 เมื่อไหร่ก็ตามที่น้ำมันเนี่ยมันเจอกับ
00:04:28 → 00:04:30 ความร้อนนะครับโมเลกุลที่อยู่ในน้ำมันจาก
00:04:30 → 00:04:33 เดิมที่มันจะเสถียรอยู่นะครับมันจะเริ่ม
00:04:33 → 00:04:36 ไม่เสถียรมันจะเริ่มแตกตัวแล้วเมื่อไหร่
00:04:36 → 00:04:38 ที่อุณหภูมิที่เราทำอาหารเนี่ยมันเกิน
00:04:38 → 00:04:41 กว่า Smoke Point ของน้ำมันแต่ละชนิดนะ
00:04:41 → 00:04:44 ครับมันก็จะให้ควันไอ้ควันนั่นแหละเริ่ม
00:04:44 → 00:04:47 เป็นสัญญาณบอกและว่ามันจะเกิดสิ่งที่ไม่
00:04:47 → 00:04:50 ค่อยดีเท่าไหร่สารที่ไม่ค่อยเสถียแล้วก็
00:04:50 → 00:04:53 สามารถที่จะเป็นอันตรายกับร่างกายเมื่อ
00:04:53 → 00:04:55 เรากินเข้าไปนะครับเพราะฉะนั้นโดยหลักการ
00:04:55 → 00:04:59 แล้วนะครับเราควรจะเลือกน้ำมันที่มี Smoke
00:04:59 → 00:05:02 Point สูงกว่าอุณหภูมิที่เราเลือกประกอบ
00:05:02 → 00:05:05 อาหารนะครับอย่างเช่นถ้าเราประกอบอาหาร
00:05:05 → 00:05:07 ด้วยการ Deep fry หรือการทอดด้วยน้ำมัน
00:05:07 → 00:05:09 เยอะๆเนี่ยนะครับ Deep fry มันจะมี
00:05:09 → 00:05:13 อุณหภูมอยู่ที่ประมาณ 160 -180 องศเซซ
00:05:13 → 00:05:15 อันนี้โดยเฉลี่ยนะครับเราก็ควรจะต้อง
00:05:15 → 00:05:18 เลือกน้ำมันที่มี Smoke Point สูงกว่า
00:05:18 → 00:05:21 180 ก็คือ 200 ขึ้นไปยิ่งเกิน 200 มาก
00:05:21 → 00:05:24 เท่าไหร่ยิ่งเซฟในการ Deep Fly นะครับ
00:05:24 → 00:05:26 เพราะเอาจริงๆเวลาเรา Deep Fly นะครับ
00:05:26 → 00:05:28 ยิ่งเราเร่งไฟแรงมากขึ้นอุณหภูมิก็จะสูง
00:05:28 → 00:05:30 มากขึ้นไปอีกนะครับเพราะฉะนั้นยิ่ง Smoke
00:05:30 → 00:05:34 Point สูงยิ่งเซฟกับเรามากขึ้นในการปรุง
00:05:34 → 00:05:36 อาหารนั่นเองนะครับมาดูกันก่อนว่า Smoke
00:05:36 → 00:05:38 Point ของน้ำมันแต่ละชนิดเนี่ยมันขึ้น
00:05:38 → 00:05:42 กับอะไรบ้างนะครับอย่างแรกขึ้นกับว่าน้ำ
00:05:42 → 00:05:45 มันมันผ่านกระบวนการ refinement หรือว่า
00:05:45 → 00:05:48 ปรับปรุงมาหรือเปล่านะครับน้ำมันที่ไม่
00:05:48 → 00:05:50 refine ก็คือ Un refine ก็คือน้ำมันดิบ
00:05:50 → 00:05:52 ที่ไม่ได้ปรุงแต่งอะไรเลยนะครับส่วนใหญ่
00:05:52 → 00:05:55 Smoke Point จะต่ำเพราะว่ามันมีสารที่
00:05:55 → 00:05:58 มันเป็นสารเจือปนแปลกปลอมที่มันง่ายต่อ
00:05:58 → 00:06:01 การเกิดอออกซิเดชันเนี่ยเยอะนะครับกระบวน
00:06:01 → 00:06:04 การ refine มันคือการกำจัดสารเหล่านั้น
00:06:04 → 00:06:06 ออกไปอย่างเช่นกำจัดกรดไขมันที่เป็นอิสระ
00:06:06 → 00:06:08 ไอ้เจ้ากรดไขมันอิสระเนี่ยครับมัน
00:06:08 → 00:06:10 sensitive กับความร้อนครับเมื่อไหร่ที่
00:06:10 → 00:06:12 มันเจอความร้อนปุ๊บมันก็จะเปลี่ยนรูปร่าง
00:06:12 → 00:06:14 ให้กลายเป็นสถานะที่มันไม่เสถียแล้วก็
00:06:14 → 00:06:17 อันตรายกับร่างกายได้แล้วมันก็จะลด Smoke
00:06:17 → 00:06:20 Point ลงไปด้วยนะครับเพราะฉะนั้น refine
00:06:20 → 00:06:22 Vegetable Oil เนี่ยส่วนใหญ่แล้ว Smoke
00:06:22 → 00:06:24 Point ก็เลยจะสูงกว่าครับน้ำมันมะกอก
00:06:24 → 00:06:26 หรือว่า Olive Oil เนี่ยเขาจะมีคำด้าน
00:06:26 → 00:06:30 หน้าเป็นคำว่า extra vergin Virgin
00:06:30 → 00:06:33 หรือว่า Light Extra Light นะครับไอ้
00:06:33 → 00:06:36 เจ้าคำเหล่าเยครับเป็นการบอกว่ามันผ่าน
00:06:36 → 00:06:39 กระบวนการ refinement มาเยอะหรือน้อยนั่น
00:06:39 → 00:06:42 เองนะครับคำแรกคือคำว่า Extra vergin นะ
00:06:42 → 00:06:44 ครับ Extra vergin เนี่ยมันเทียบเท่ากับ
00:06:44 → 00:06:46 unrefined ก็คือเป็นน้ำมันมะกอกที่ไม่
00:06:46 → 00:06:49 ผ่านกระบวนการ refinement เลยเพราะฉะนั้น
00:06:49 → 00:06:51 นะครับ Smoke Point ของ Extra vergin
00:06:51 → 00:06:54 เนี่ยก็จะต่ำที่สุดถามว่าเหมาะกับการเอา
00:06:54 → 00:06:57 ไปทำอะไรเหมาะกับเอาไปทำอาหารที่ไม่ผ่าน
00:06:57 → 00:06:59 ความร้อนก็จะเซฟที่สุดนะครับอย่างเชเป็น
00:06:59 → 00:07:02 พวกสลัดหรือว่า dressing ต่างๆทีนี้ถ้า
00:07:02 → 00:07:05 เกิดว่าเอา Extra vergin ไปผ่านกระบวน
00:07:05 → 00:07:07 การ refine นิดนึงมันจะกลายเป็นคำว่า
00:07:07 → 00:07:09 Virgin หรือเป็นคำว่า Classic Olive
00:07:09 → 00:07:12 Oil นะครับก็คือมีการปรุงแต่งเล็กน้อย
00:07:12 → 00:07:14 แหละเพราะงั้น Smoke Point ก็จะสูงมาก
00:07:14 → 00:07:16 ยิ่งขึ้นเราก็สามารถเอาไปทำอาหารได้หลาก
00:07:16 → 00:07:19 หลายมากยิ่งขึ้นก็คือสามารถไปเจอความร้อน
00:07:19 → 00:07:21 ที่อุณหภูมิกลางๆไม่สูงมากอย่างเช่นการทำ
00:07:21 → 00:07:25 ซอเต้นะครับหรือการเอาไปจี่ไพวกเนื้อ
00:07:25 → 00:07:27 สัตว์ต่างๆได้นะครับทีนี้ถ้าเอา Classic
00:07:27 → 00:07:30 Olive Oil เนี่ยไป refine เพิ่มขึ้นอีก
00:07:30 → 00:07:32 มันก็จะกลายเป็นคำว่า Light หรือว่า Extra
00:07:32 → 00:07:35 Light นะครับ Smoke Point ก็จะสูงมาก
00:07:35 → 00:07:37 ยิ่งขึ้นอีกก็ทำให้เหมาะกับการเอาไปทำ
00:07:37 → 00:07:40 อาหารที่ใช้อุณหภูมิสูงหรือเอาไปทำอาหาร
00:07:40 → 00:07:43 ที่ต้องใช้ความร้อนสูงเป็นระยะเวลานานๆนะ
00:07:43 → 00:07:45 ครับเพราะฉะนั้นนั่นคือ Factor แรกที่ส่ง
00:07:45 → 00:07:47 ผลกระทบต่อ Smoke Point นะครับ Factor
00:07:47 → 00:07:49 ที่ 2 ที่ส่งผลกระทบกับ Smoke Point ก็
00:07:49 → 00:07:53 คือว่าในน้ำมันเนี่ยมันมีสัดส่วนของไขมัน
00:07:53 → 00:07:56 ที่อิ่มตัวกับไม่อิ่มตัวแบบต่างๆเนี่ยมาก
00:07:56 → 00:07:59 น้อยต่างกันแค่ไหนถ้าเกิดว่าน้ำมันไหนนะ
00:07:59 → 00:08:03 ครับมีไขมันที่ไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่งภาษา
00:08:03 → 00:08:07 อังกฤษมันคือ Poly unsaturated fatty
00:08:07 → 00:08:12 Acid ย่อว่า pufa หรือว่า pfa ค่อนข้าง
00:08:12 → 00:08:14 เยอะนะครับ Smoke Point เนี่ยจะค่อนข้าง
00:08:14 → 00:08:16 ต่ำเทียบกันนะครับถ้าเกิดว่าน้ำมันไหนมี
00:08:16 → 00:08:19 สัดส่วนของกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัวตำแหน่ง
00:08:19 → 00:08:21 เดียวภาษาอังกฤษเรียกว่า Mono
00:08:21 → 00:08:24 unsaturated fatty Acid ย่อว่า mufa
00:08:24 → 00:08:27 หรือว่า mufa เพิ่มมากขึ้นนะครับ Smoke
00:08:27 → 00:08:30 Point ก็จะสูงขึ้นนะครับและถ้าเกิดว่า
00:08:30 → 00:08:33 น้ำมันพืชไหนมี saturated Fat หรือว่าไข
00:08:33 → 00:08:36 มันที่อิ่มตัวมากหน่อยก็จะดึง Smoke
00:08:36 → 00:08:37 Point ให้สูงขึ้นไปอีกนั่นเองนะครับ
00:08:38 → 00:08:40 เพราะงั้น Smoke Point ขึ้นกับว่าถ้ามี
00:08:40 → 00:08:43 pfa เยอะต่ำ mufa ทำให้กลางๆขึ้นมาถ้า
00:08:43 → 00:08:45 เป็น saturated หรือว่า saf เนี่ยก็จะดึง
00:08:45 → 00:08:47 ให้ Smoke Point มันสูงขึ้นไปอีกนั่นเอง
00:08:48 → 00:08:51 นะครับโดยทั่วๆไปเนาะ Factor ที่ 3 ที่จะ
00:08:51 → 00:08:54 ส่งผลต่อ Smoke Point คืออายุของน้ำมัน
00:08:54 → 00:08:57 พืชครับคืออายุของมันเนี่ยนับตั้งแต่เรา
00:08:57 → 00:09:00 สกัดน้ำมันออกมาจากพืชพืชเลยนะครับเพราะ
00:09:00 → 00:09:02 ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่สกัดออกมาจากพืชปึ๊บ
00:09:02 → 00:09:04 แน่นอนแล้วว่ามันสามารถที่จะสัมผัสกับ
00:09:04 → 00:09:07 อากาศหรือมันสามารถที่สัมผัสกับความร้อน
00:09:07 → 00:09:09 ที่อยู่ในสภาพแวดล้อมได้นะครับเพราะ
00:09:09 → 00:09:11 ฉะนั้นโมเลกุลในน้ำมันเองจากที่มันอยู่
00:09:11 → 00:09:14 ของมันดีๆที่มันเสถียนเนี่ยมันก็จะเริ่ม
00:09:14 → 00:09:17 ค่อยๆไม่เสถียรได้เมื่อเจอกับอากาศหรือ
00:09:17 → 00:09:19 ว่าเจอกับความร้อนนะครับเพราะฉะนั้นเวลา
00:09:19 → 00:09:21 ที่ผู้ประกอบการเนี่ยเขาคสกัดน้ำมันออกมา
00:09:21 → 00:09:23 จากพืชเนี่ยครับดีที่สุดเลยถ้าเกิดว่า
00:09:23 → 00:09:26 อยากจะให้มันเจินะครับคือรีบบรรจุเลยใน
00:09:26 → 00:09:29 ขวดนะครับก็จะลดการเกิดออกซิเดชันได้นะ
00:09:29 → 00:09:31 ครับเมื่อไหร่ก็ตามที่น้ำมันเจอกับอากาศ
00:09:31 → 00:09:33 หรือความร้อนแล้วเกิดออกซิไดซ์เนี่ยนะ
00:09:33 → 00:09:36 ครับ Smoke Point ของมันเนี่ยก็จะต่ำลง
00:09:36 → 00:09:38 ทันทีเพราะว่าน้ำมันจากที่มันเสถียรนะ
00:09:38 → 00:09:40 ครับมันจะเริ่มแตกตัวแล้วเมื่อไหร่ที่มัน
00:09:40 → 00:09:42 เริ่มเริ่มแตกตัวแล้วเป็นตัวอิสระเล็กๆ
00:09:42 → 00:09:45 น้อยๆเนี่ยนะครับมันจะ sensitive กับทั้ง
00:09:45 → 00:09:48 ความร้อนแล้วก็อากาศมากยิ่งขึ้นนั่นเองนะ
00:09:48 → 00:09:50 ครับเพราะฉะนั้นนะครับต่อให้เราเลือกซื้อ
00:09:50 → 00:09:52 น้ำมันพืชที่มี Smoke Point สูงหวังว่า
00:09:52 → 00:09:55 จะมาทำการทอดแบบ Deep fry เลยนะครับการ
00:09:55 → 00:09:57 ใช้น้ำมันนั้นในการทอดครั้งแรกนะครับ
00:09:57 → 00:09:59 Smoke Point น้ำมันนั้นน่ะสูงแน่ๆแต่
00:09:59 → 00:10:02 ถ้าเราอยากจะประหยัดเงินแล้วก็เก็บน้ำมัน
00:10:02 → 00:10:05 นั้นไว้พักให้เย็นแล้วเอามาทอดซ้ำเนี่ยนะ
00:10:05 → 00:10:07 ครับ Smoke Point ที่มันเคยสูงเนี่ยนะ
00:10:07 → 00:10:12 ครับมันจะค่อยๆลดลงลดลงลดลงไปเรื่อยๆแม้
00:10:12 → 00:10:14 ว่าเดิมนะครับ Smoke มันจะสูงก็ตามแต่
00:10:14 → 00:10:17 ยิ่งใช้น้ำมันซ้ำแล้วซ้ำเหล่านะครับ Smoke
00:10:17 → 00:10:19 พอยจะต่ำลงแล้วก็เพิ่มความเสี่ยงที่จะทำ
00:10:19 → 00:10:22 ให้เกิดสารที่มันไม่ค่อยเสถียงแล้วก็
00:10:22 → 00:10:25 อันตรายกับสุขภาพได้ครับนั่นคืออย่างแรก
00:10:25 → 00:10:27 เวลาที่เราจะเลือกน้ำมันดูจาก Smoke
00:10:27 → 00:10:29 Point นะครับอย่างที่ 2 ครับที่ที่จะ
00:10:29 → 00:10:31 เลือกน้ำมันคือดูจากว่าในน้ำมันนั้นเครับ
00:10:31 → 00:10:36 มันมีไขมันดีหรือไขมันไม่ดีมากน้อยกว่า
00:10:36 → 00:10:38 กันนะครับอันนี้มันต้องอ่านฉลากแล้วนะฮะน
00:10:38 → 00:10:42 นี้ไขมันดีกับไขมันไม่ดีมันแบ่งยังไงเอา
00:10:42 → 00:10:44 แบบกว้างๆแล้วกันนะครับไขมันที่ดีคือไข
00:10:44 → 00:10:47 มันชนิดที่ไม่อิ่มตัวก็คือ unsaturated
00:10:47 → 00:10:50 Fat ก็จะแบ่งเป็นพูฟ่ากับมูฟ่าไขมันที่
00:10:50 → 00:10:52 ดีน้อยกว่าหรือว่าไขมันที่ไม่ดีแล้วะกัน
00:10:52 → 00:10:55 นะครับมันคือ saturated Fat หรือว่าไข
00:10:55 → 00:10:57 มันที่อิ่มตัวย่อว่า sfa นะครับคือ
00:10:57 → 00:11:01 saturated fat Acid นะครับทีนี้ไขมัน
00:11:01 → 00:11:04 ที่อิ่มตัวเนี่ยครับถามว่าทำไมคนถึงบอก
00:11:04 → 00:11:07 ว่าไม่ดีเพราะว่ามันมี evidence อยู่ครับ
00:11:08 → 00:11:10 เวลาที่เรากินไขมันที่อิ่มตัวเข้าไปใน
00:11:10 → 00:11:13 ร่างกายเยอะมากยิ่งขึ้นนะครับมันสามารถ
00:11:13 → 00:11:16 ที่จะไปเพิ่มระดับโคเลสเตอรอลในเลือดของ
00:11:16 → 00:11:19 เราได้ถามว่ามันเพิ่มได้ยังไงปกติแล้ว
00:11:19 → 00:11:20 เวลาที่เรากินอาหารแล้วมันมีคอเลสเตอรอล
00:11:21 → 00:11:23 เข้าไปนะครับคอเลสเตอรอลเนี่ยมันก็จะวิ่ง
00:11:23 → 00:11:25 อยู่ในเลือดใช่ไมั้ยครับแล้วเมื่อไหร่ก็
00:11:25 → 00:11:27 ตามที่คอเลสเตอรอลมันวิ่งผ่านตับเนี่ยนะ
00:11:28 → 00:11:30 ครับตับเองจะมีความสามารถในการดึง
00:11:30 → 00:11:33 โคเลสเตอรอลออกจากเลือดเพื่อจะทำให้ลด
00:11:33 → 00:11:35 ความเสี่ยงว่าโคเลสเตอรอลเนี่ยมันจะไป
00:11:35 → 00:11:38 เกาะตามผนังหลอดเลือดทำให้เราเกิดเป็น
00:11:38 → 00:11:40 ผนังหล่อเลือดอุตันแล้วก็ทำให้เกิดโรคหัว
00:11:40 → 00:11:44 ใจโรคสกตามมานะครับไอ้เจ้า saturated Fat
00:11:44 → 00:11:48 เนี่ยนะครับมันไปทำให้รตรที่อยู่ที่ตับ
00:11:48 → 00:11:50 ที่ทำหน้าที่ในการดึงโคเลสเตอรอลเนี่ย
00:11:50 → 00:11:53 ครับมันทำงานได้มีประสิทธิภาพน้อยลงพูด
00:11:53 → 00:11:55 ง่ายๆคือตับเนี่ยก็จะดึงโคเลสเตอรอลออกมา
00:11:55 → 00:11:57 จากเลือดได้น้อยลงนั่นเองนั่นคือเป็นเหตุ
00:11:57 → 00:12:00 ผลนึงที่ทำไมมันถึงโดนเลเวลว่าเป็นไขมัน
00:12:00 → 00:12:02 ที่ไม่ดีนะครับอีกหนึ่งเหตุผลนะครับคือ
00:12:02 → 00:12:04 saturated Fat เนี่ยครับพอกินเข้าไป
00:12:04 → 00:12:07 แล้วมันไปเพิ่มกระบวนการผลิต AP B ครับ
00:12:07 → 00:12:11 และไอ้เจ้า a b นี่นะครับถ้าใครฟังผมตอน
00:12:11 → 00:12:14 a b ไปจะรู้ว่า a b เนี่ยนะครับมันคือ
00:12:14 → 00:12:17 ตัวที่ไปเกาะกับผนังหลอดเลือดแล้วมันก็จะ
00:12:17 → 00:12:21 อยู่ในถุงบรรจุไขมันตัวที่ไม่ดีอย่าง ldl
00:12:21 → 00:12:24 vldl นะครับมันเป็นคียสำคัญมาเกอร์สำคัญ
00:12:24 → 00:12:26 เลยที่ทำให้เราเป็นโรคหัวใจเพราะฉะนั้น
00:12:26 → 00:12:28 การกินไขมันอิ่มตัวเยอะเนี่ยนะครับก็จะ
00:12:28 → 00:12:30 เป็นทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดเพิ่มแล้วก็
00:12:31 → 00:12:33 ทำให้เกิดปัญหาตามมาไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ
00:12:33 → 00:12:36 หรือว่าสกนั่นเองนะครับกลับมาที่ฝั่งที่
00:12:36 → 00:12:38 เป็นไขมันดีครับคือ unsaturated Fat
00:12:38 → 00:12:40 เนี่ยครับที่แบ่งเป็น pfa กับ mufa เนี่ย
00:12:41 → 00:12:43 ครับพูด pfa mufa คนอาจจะไม่ค่อยคุ้นแต่
00:12:43 → 00:12:47 ถ้าพูดว่าโอเมก้า 3 69 น่าจะคุ้นกว่านะ
00:12:47 → 00:12:49 ครับเพราะโอเมก้า 3 กับโอเมก้า 6 เนี่ย
00:12:49 → 00:12:54 จัดเป็นฟ่าโอเมก้า 9 จัดเป็นมูฟ่านะครับ
00:12:54 → 00:12:56 ถามว่าทั้ง 3 ตัวควรจะกินอะไรควรจะกินครบ
00:12:56 → 00:12:59 ทั้ง 3 ตัวครับนี้ผมขอพูดแตะไปที่โอเมก้า
00:12:59 → 00:13:02 369 นิดนึงนะครับสิ่งที่คุณควรจะรู้ก็
00:13:02 → 00:13:05 คือ 1 โอเมก้า 3 กับโอเมก้า 6 เป็นสิ่ง
00:13:05 → 00:13:07 ที่ร่างกายสร้างไม่ได้เราต้องกินจากอาหาร
00:13:07 → 00:13:11 เข้าไปนะครับแต่โอเมก้า 9 สร้างได้แต่ก็
00:13:11 → 00:13:13 กินจากอาหารเพิ่มเติมได้เช่นกันนะครับ
00:13:13 → 00:13:16 อย่างที่ 2 นะครับโอเมก้า 3 กับโอเมก้า 6
00:13:16 → 00:13:19 จัดเป็น pfa โอเมก้า 9 จัดเป็นมูฟ่านะ
00:13:19 → 00:13:21 ครับจริงๆมันดีทั้งคู่แหละควรจะกินนะครับ
00:13:21 → 00:13:24 อย่างที่ 3 ทั้งโอเมก 369 เนี่ยนะครับ
00:13:24 → 00:13:27 สามารถที่จะไปช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลแล้ว
00:13:27 → 00:13:30 ก็ควบคุมพวก ldl เราได้นะครับเพราะฉะนั้น
00:13:30 → 00:13:32 กินไปเถอะนะครับไม่ต้องกลัวว่าเราจะกิน
00:13:32 → 00:13:34 เยอะเกินไปแล้วมันไม่ดีนะครับมันมีความ
00:13:34 → 00:13:38 เข้าใจผิดนึงนะครับว่าควรจะเลี่ยงการกิน
00:13:38 → 00:13:41 โอเมก้า 6 เพราะว่าการกินโอเมก้า 6 ที่
00:13:41 → 00:13:44 เยอะเกินไปเยอะเกินพอดีเนี่ยครับมันอาจจะ
00:13:44 → 00:13:47 ส่งผลเสียกับระบบไหลเวียนเลือดได้นะครับ
00:13:47 → 00:13:49 สิ่งที่ผมอยากจะแนะนำนะครับแทนที่เราจะลด
00:13:49 → 00:13:53 การกินโอเมก้า 6 ลงไปเนี่ยครับผมแนะนำให้
00:13:53 → 00:13:56 เรากินโอเมก้า 3 เพิ่มขึ้นน่าจะดีกว่านะ
00:13:56 → 00:13:58 ครับเพราะว่าโอเมก้า 3 เป็นสิ่งที่คนเรา
00:13:58 → 00:14:01 มักจะขาดแล้วถามว่าโอเมก้า 3 เจออในไหน
00:14:01 → 00:14:04 เจอในปลาที่มีไขมันที่เยอะๆนะครับส่วน
00:14:04 → 00:14:07 โอเมก้า 6 กับโอเมก้า 9 เนี่ยเจอในพวกพืช
00:14:07 → 00:14:09 หรือว่าถั่วเปลือกแข็งเพราะฉะนั้นการที่
00:14:09 → 00:14:11 เรากินน้ำมันพืชอยู่แล้วนะครับเราได้ 6
00:14:11 → 00:14:14 กับ 9 แน่ๆแหละแต่เราจะยังไม่ได้ 3 เพราะ
00:14:14 → 00:14:17 ฉะนั้นต้องไปกินพวกปลาที่มีไขมันเยอะๆ
00:14:17 → 00:14:20 หรือบางทีเนี่ยก็จะเป็นสาหร่ายบางประเภท
00:14:20 → 00:14:22 ที่เขาสกัดเอาโอเมก้า 3 ออกมาเป็นแคปซูล
00:14:22 → 00:14:26 หรือซัพนะครับก็จะดีมากก็สามารถจะช่วย
00:14:26 → 00:14:29 บำรุงทั้งสมองแล้วก็หัวใจอีกอย่างนึงที่
00:14:29 → 00:14:31 เวลาเลือกน้ำมันนะครับควรจะดูไปที่สาร
00:14:31 → 00:14:33 อื่นๆที่มีประโยชน์อย่างเช่น antioxidant
00:14:33 → 00:14:35 หรือว่าสารจากพืชนะเดี๋ยวผมจะพูดถึงบาง
00:14:35 → 00:14:37 ตัวที่ผู้ประกอบการเนี่ยเขามักจะใช้เป็น
00:14:37 → 00:14:40 จุดขายเวลาที่เขาขายน้ำมันพืชของเขานะ
00:14:40 → 00:14:41 ครับเพราะฉะนั้นนั่นคือทั้งหมดที่เราควร
00:14:41 → 00:14:43 จะดูเวลาเลือกนะครับคือ Smoke Point ดู
00:14:43 → 00:14:46 ว่ามีไขมันดีไม่ดีเยอะเท่าไหร่มีโอเมก้า
00:14:46 → 00:14:49 369 เยอะมั้ยหรือว่ามีสารอื่นๆที่เป็น
00:14:49 → 00:14:50 ประโยชน์อย่างเช่นแอนตี้ออกซินมากน้อยแค่
00:14:51 → 00:14:53 ไหนนะครับนี่มันถึงจุดที่หลายคนน่าจะอยาก
00:14:53 → 00:14:55 รู้และว่าแล้วต้องเลือกน้ำมันอะไรนะครับ
00:14:55 → 00:14:59 ผมไปใช้เวลาในซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วก็ไล่
00:14:59 → 00:15:01 ดูน้ำมันทีละตัวที่มีขายในซุปเปอร์แล้วผม
00:15:01 → 00:15:03 จะไล่เรียงให้ทุกคนฟังเลยนะครับเราจะแบ่ง
00:15:03 → 00:15:05 น้ำมันพืชที่มีขายตามท้องตลาดไทยเนี่ยผม
00:15:05 → 00:15:08 แบ่งเป็น 3 กลุ่มแล้วกันกลุ่มแรกคือกลุ่ม
00:15:08 → 00:15:11 ที่ Smoke Point สูงที่สุดนะครับมีอยู่ 4
00:15:11 → 00:15:14 ตัวที่ผมเจอมานะครับคือมีน้ำมัน
00:15:14 → 00:15:18 อะโวคาโดน้ำมันปาล์มน้ำมันรำข้าวแล้วก็
00:15:18 → 00:15:21 น้ำมันเมล็ดทานตะวันนะครับน้ำมันอะโวคาโด
00:15:21 → 00:15:24 เนี่ยสโมก Point สูงที่สุดเลยคือ 270
00:15:24 → 00:15:27 องศาcนะครับส่วนที่เหลือคือปาล์มรำข้าว
00:15:27 → 00:15:29 เมล็ดทันตวันเนี่ย Smoke Point อยู่ที่
00:15:29 → 00:15:30 ประมาณ
00:15:30 → 00:15:34 232 -235 นะครับเพราะฉะนั้นน้ำมันเหล่า
00:15:34 → 00:15:37 เนี้ยด้วยความที่มัน Smoke Point สูงมัน
00:15:37 → 00:15:39 ก็เหมาะที่จะเอาไปทำอาหารที่ต้องใช้ความ
00:15:40 → 00:15:42 ร้อนสูงๆไฟแรงๆหรือว่าต้อง Cooking ระยะ
00:15:42 → 00:15:44 เวลานานๆอย่างเช่นการทำ Deep fry นั่น
00:15:44 → 00:15:46 เองนะครับเพราะงั้นคนอาจจะคุ้นเคยว่าโอ้
00:15:46 → 00:15:47 ตามโฆษณาก็จะบอกว่าถ้าเกิดจะเอาไปทอด
00:15:47 → 00:15:50 เนี่ยต้องใช้น้ำมันปาล์มนะเหตุผลก็คือว่า
00:15:50 → 00:15:51 น้ำมันปาล์เนี่ยมัน Smoke Point สูงนั่น
00:15:51 → 00:15:54 เองนะครับทีนี้ใน 4 ตัวเนี้ยมันมีจุดเด่น
00:15:54 → 00:15:56 อะไรบ้างนะครับมาที่น้ำวันอโวคาโดก่อน
00:15:56 → 00:15:58 ครับน้ำวันโวคาโดเนี่ยสมก Point สูงแน่
00:15:58 → 00:16:01 นอนมีมีไขมันดีๆเยอะนะครับโดยเฉพาะมูฟ่า
00:16:01 → 00:16:03 เนี่ยเยอะมากเพราะฉะนั้นจะไม่ค่อยเจอ
00:16:03 → 00:16:05 ออกซิเดชันด้วยนะครับจะเก็บได้ค่อนข้าง
00:16:05 → 00:16:08 นานแต่ข้อเสียของอโวคาโดคือราคาแพงนั่น
00:16:08 → 00:16:09 เองนะครับเพราะฉะนั้นใครอยากกินน้ำมัน
00:16:09 → 00:16:12 อะโวคาโดนะครับก็ถ้า budget ไม่ใช่ปัญหา
00:16:12 → 00:16:14 ก็สามารถที่จะเลือกซื้อได้น้ำมันปาล์มถาม
00:16:14 → 00:16:17 ว่าทำไมเหมาะกับการทอดนะครับนอกจาก Smoke
00:16:17 → 00:16:19 Point สูงแล้วนะครับโครงสร้างของโมเลกุล
00:16:19 → 00:16:21 ที่อยู่ในน้ำมันปาล์เนี่ยนะครับมันค่อน
00:16:21 → 00:16:24 ข้างจับตัวกันแน่นมากคือเสถียรมากเวลาที่
00:16:24 → 00:16:26 เราไป Deep fry นานๆเครับมันจะไม่ค่อย
00:16:26 → 00:16:29 แตกตัวก็จะไม่ค่อยเกิดพวกสารที่ที่เป็น
00:16:29 → 00:16:31 อนุมูลอิสระนะครับก็จะค่อนข้างเซฟน้ำมัน
00:16:31 → 00:16:34 รำข้าวครับตอนนี้กำลังฮิตมากๆเลยน้ำมันรำ
00:16:34 → 00:16:37 ข้าวเนี่ยมีจุดเด่น 1 อย่างที่ผู้ประกอบ
00:16:37 → 00:16:40 การมักจะทำการตลาดก็คือมันจะมีสารดีๆที่
00:16:40 → 00:16:43 มาจากตัวเมล็ดข้าวนะครับอยู่ 2 ตัวที่เขา
00:16:43 → 00:16:47 มักจะทำ Marketing นะครับตัวแรกคือไสตตัว
00:16:47 → 00:16:50 ที่ 2 คือ oran นะครับถ้าไปอ่านฉลากของ
00:16:50 → 00:16:52 น้ำมันรำข้าวเนี่ยเคจะแข่งกันว่ามี 2 ตัว
00:16:52 → 00:16:56 เนี้ยในปริมาณเยอะหรือน้อยหน่วยของไอ้ 2
00:16:56 → 00:16:59 ตัวเจะอยู่เป็น ppm คือ Part permi คือ
00:16:59 → 00:17:01 จริงๆมันน้อยมากๆนะครับก็แข่งที่ตัวเลข
00:17:01 → 00:17:03 นั่นแหละเพราะว่าแี้ออกนเราไม่ต้องการ
00:17:03 → 00:17:05 เยอะอยู่แล้วนะครับถ้ามีปริมาณที่ถือว่า
00:17:05 → 00:17:08 โอถือว่าค่อนข้างดีแล้วนะครับถามว่าแิ
00:17:08 → 00:17:10 ออกซิน 2 ตัวนี้มันมีคุณสมบัติดีๆยังไง
00:17:10 → 00:17:12 บ้างคือ 1 มันเป็น Anti ออกซินเป็น Anti
00:17:12 → 00:17:14 inflammation คือลดการอักเสบได้ด้วยนะ
00:17:14 → 00:17:16 ครับแล้วก็สามารถจะลดคอเลสเตอรอลหรือว่า
00:17:16 → 00:17:19 ldl ได้ด้วยนะครับแล้วก็มีวิตามิน E
00:17:19 → 00:17:21 อยู่ค่อนข้างเยอะนะฮะเพราะฉะนั้นน้ำมันรำ
00:17:21 → 00:17:23 ข้าวจึงเป็นอีกหนึ่ง Good Choice ถ้า
00:17:23 → 00:17:25 เกิดว่าเราจะซื้อไปทำกับข้าวนั่นเองนะ
00:17:25 → 00:17:28 ครับนั่นคือน้ำมันกลุ่มแรกที่มี Smoke
00:17:29 → 00:17:31 พอย์ค่อนข้างสูงครับน้ำมันกลุ่มที่ 2 คือ
00:17:31 → 00:17:33 เป็น Smoke Point ที่ต่ำลงมาครับอยู่ที่
00:17:33 → 00:17:39 ประมาณ 200 นิดๆครับ 200 4 จนถึง 200
00:17:39 → 00:17:41 เกือบ 230 นะครับมีน้ำมันอะไรบ้างนะครับ
00:17:41 → 00:17:45 มีน้ำมันถั่วเหลืองน้ำมันคาน่าน้ำมัน
00:17:45 → 00:17:47 มะพร้าวครับ 3 อย่างเนี้ยด้วยความที่
00:17:47 → 00:17:50 Smoke Point เนี่ยมันต่ำกว่าก็อาจจะ
00:17:50 → 00:17:53 เหมาะกับการเอาไปทำอาหารที่ไม่เจอกับความ
00:17:53 → 00:17:56 ร้อนนานๆนะครับอาหารผัดเนี่ยก็เลยอาจจะ
00:17:56 → 00:17:58 เหมาะกับน้ำมันพืชเหล่านี้มากกว่าซึ่ง
00:17:58 → 00:18:00 เป็นผมว่าทำไมตามโฆษถบอกว่าน้ำมันถั่ว
00:18:00 → 00:18:02 เหลืองเหมาะกับการเอาไปผัดนะครับเพราะว่า
00:18:02 → 00:18:04 Smoke Point เนี่ยมันต่ำกว่านั่นเองฮะ
00:18:04 → 00:18:06 จริงๆหลายคนอาจะบอกว่าโหอาหารไทยเนี่ย
00:18:06 → 00:18:09 เวลาผัดเนี่ยชอบคั่วให้กระทะมันร้อนจริงๆ
00:18:09 → 00:18:12 อุณภูมันก็จะสูงไม่ได้ต่างกับ EP fry นะ
00:18:12 → 00:18:15 ใช่ครับแต่ไอ้การที่เอาไปผัดเนี่ยระยะ
00:18:15 → 00:18:17 เวลาสั้นกว่าเนี่ยน้ำมันที่เสถียรเนี่ยจะ
00:18:17 → 00:18:19 แตกตัวกลายเป็นตัวที่ไม่ค่อยดีเนี่ยน้อย
00:18:19 → 00:18:20 กว่าก็เลยจะเหมาะกับตัวที่ Smoke Point
00:18:20 → 00:18:22 ต่ำกว่านะครับในบรรดา 3 ตัวนี้ผมอยากจะ
00:18:22 → 00:18:24 เจาะไปที่น้ำมันมะพร้าวนิดนึงนะครับเพราะ
00:18:24 → 00:18:27 ว่าน้ำมันมะพร้าวมีขายค่อนข้างเยอะมาก
00:18:27 → 00:18:31 แล้วก็มันมีจุดนึงที่ผู้ประกอบการขายน้
00:18:31 → 00:18:33 มะพร้าวจะดึงออกมาเป็น Marketing Point
00:18:33 → 00:18:35 หรือว่า selling Point นะครับเค้ามักจะ
00:18:35 → 00:18:39 มีการเขียนว่าในน้ำมะพร้าวเนี่ยมี mct
00:18:39 → 00:18:42 เป็นกรดไขมันอิ่มตัวแต่เป็นกรดไขมันอิ่ม
00:18:42 → 00:18:45 ตัวชนิดที่ดีอยู่ค่อนข้างเยอะนะครับก็เลย
00:18:45 → 00:18:48 จะไปเล่าให้ฟังนิดนึงว่า mct เนี่ยมันคือ
00:18:48 → 00:18:50 อะไรครับ mct ชื่อเต็มๆของมันคือ medium
00:18:50 → 00:18:54 chain ไกีนะครับจริงๆมันเป็น saturated
00:18:54 → 00:18:56 Fat ที่ผมบอกไปว่าจริงๆมันตัวไม่ดีหรอก
00:18:56 → 00:18:59 แต่เผอิญ saturated Fat กลุ่มเงี้ครับ
00:18:59 → 00:19:02 มันเป็นสายสั้นๆพอเป็นสายสั้นๆปึ๊บกิน
00:19:02 → 00:19:04 เข้าไปในร่างกายปึ๊บร่างกายสามารถที่จะ
00:19:04 → 00:19:07 ย่อยได้เร็วเพราะฉะนั้นมันจะถูกเอาไปใช้
00:19:07 → 00:19:09 ได้เร็วแล้วก็ไม่ได้สะสมอยู่ในเลือดเป็น
00:19:09 → 00:19:11 ระยะเวลานานนะครับด้วยความที่มันย่อยได้
00:19:11 → 00:19:14 เร็วและตับสามารถที่จะเปลี่ยน mct ไปเป็น
00:19:14 → 00:19:17 คีโตนได้เนี่ยนะครับแล้วเจ้าคีโตนก็
00:19:17 → 00:19:19 สามารถจะวิ่งข้าม Blood Brain barrier
00:19:19 → 00:19:22 เข้าไปที่สมองได้นะครับเพราะฉะนั้นคนที่
00:19:22 → 00:19:24 กินอาหารเป็นคีโตไดเอทเนี่ยครับก็เลยมัก
00:19:24 → 00:19:27 จะนิยมจะกินโคโคนัท Oil น้ำมันมะพร้าว
00:19:27 → 00:19:31 หรือว่า MC T Oil นะครับเป็นแหล่งของไข
00:19:31 → 00:19:32 มันหลักเลยนะครับเพราะว่าร่างกายสามารถ
00:19:32 → 00:19:34 ที่ออกไปใช้ได้เร็วแล้วก็เพิ่มพลังงานให้
00:19:35 → 00:19:37 กับร่างกายได้นะครับถามว่า mct เนี่ยมัน
00:19:37 → 00:19:41 มีตัวอะไรบ้างนะครับผมลิมาให้ 4 ตัวครับ
00:19:41 → 00:19:43 ทั้ง 4 ตัวเครับจะแบ่งกันตามที่ขนาดความ
00:19:43 → 00:19:47 ยาวของจำนวนคาร์บอนอะตอมนะครับตัวแรกคือ
00:19:47 → 00:19:51 cpic Acid มีคาร์บอน 6 อะตอมคาพิ Acid
00:19:51 → 00:19:54 มีคาร์บอน 8 อะตอม capc Acid มีคาร์บอน
00:19:54 → 00:19:57 10 อะตอม lac Acid มีคาร์บอน 12 อะตอม
00:19:57 → 00:20:00 ที่พูดชื่อ 4 ตัวเไม่ใช่อะไรเวลาถ้าเกิด
00:20:00 → 00:20:02 ว่าใครกินน้ำมันมะพร้าวแล้วไปลองดูฉลากจะ
00:20:02 → 00:20:04 เจอคำเหล่านี้อยู่บนฉลากนะครับเพื่อที่จะ
00:20:04 → 00:20:07 บอกว่าเฮ้ยคุณซื้อน้ำมันมะพร้าวไปทำกับ
00:20:07 → 00:20:10 ข้าวเนี่ยคุณจะได้ saturated Fat ตัวดีๆ
00:20:10 → 00:20:13 เหล่านี้ไปด้วยนะครับทีนี้มีสิ่งที่น่า
00:20:13 → 00:20:15 ระวังนิดนึงถ้าเกิดใครกินน้ำมันมะพร้าวนะ
00:20:15 → 00:20:18 ครับถึงแม้ว่าน้ำมันมะพร้าวจะมี mct อยู่
00:20:18 → 00:20:21 แต่ 90% ของน้ำมันมะพร้าวเป็น saturated
00:20:21 → 00:20:24 Fat และใน 90 เนี่ยมันมี mct อยู่แค่
00:20:24 → 00:20:27 ประมาณ 50% เท่านั้นอีก 40% อาจจะเป็น
00:20:27 → 00:20:30 saturated Fat ตัวที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
00:20:30 → 00:20:32 และสามารถที่จะเพิ่มระดับโคเลสเตอรอลได้
00:20:32 → 00:20:35 เพราะฉะนั้นการกินน้ำมันมะพร้าวเยอะๆก็
00:20:35 → 00:20:38 เป็นสิ่งที่ต้องระวังเช่นกันนะครับบางคน
00:20:38 → 00:20:40 อาจจะเลือกว่าออถ้าเกิดอยากได้ mct ก็
00:20:40 → 00:20:43 เลือกที่จะไปกิน mct Oil โดยตรงไปเลย
00:20:43 → 00:20:46 เพราะว่า mct Oil นะครับมันคือการสกัด
00:20:46 → 00:20:49 mct จากน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันปลามา
00:20:49 → 00:20:51 แล้วให้มันเพียวมากยิ่งขึ้นนะครับโดย mct
00:20:51 → 00:20:54 Oil เนี่ยครับมันอาจจะไม่ได้เหมาะกับการ
00:20:54 → 00:20:56 เอาไปทำอาหารที่ผ่านความร้อนเท่าไหร่
00:20:56 → 00:20:58 เพราะว่า Smoke Point ของ MC Oil ค่อน
00:20:58 → 00:21:01 ข้างต่ำคือ 150 องเซเท่านั้นเองนะครับ
00:21:01 → 00:21:04 เพราะงั้นไปเลือกกินได้ครับใครที่ทำ
00:21:04 → 00:21:06 fasting หรือ If เนี่ยครับแล้วอยากจะ
00:21:06 → 00:21:09 เติมน้ำมันเข้าไปในกาแฟนะครับเพื่อให้รู้
00:21:09 → 00:21:12 สึกว่าให้ร่างกายได้พลังงานนิดหน่อยผมก็
00:21:12 → 00:21:14 เชียร์ mct Oil นะครับเป็นหนึ่งใน Good
00:21:14 → 00:21:16 Choice นะครับไปดูมาให้นะฮะ MC Oil 1
00:21:16 → 00:21:19 ช้อนชาเนี่ยครับมีแคลี่อยู่ที่ 30 แคเท่า
00:21:19 → 00:21:21 นั้นเองนะครับแต่ถ้าเกิด 1 ช้อนโต๊ะเนี่ย
00:21:21 → 00:21:24 มีประมาณ 115 แควเพราะฉะนั้นสามารถที่จะ
00:21:24 → 00:21:26 เติม mcd Oil นิดๆเข้าไปในกาแฟดำเป็น
00:21:26 → 00:21:29 bulletproof ระหว่างที่คุณทำ If ก็จะ
00:21:29 → 00:21:32 เป็นการอนุโลมครับว่า If จะไม่แตกแล้ว
00:21:33 → 00:21:35 ร่างกายอาจจะได้มีพลังงานมากขึ้นเพราะว่า
00:21:35 → 00:21:37 สมองสามารถที่จะเอา mct Oil ไปใช้เป็น
00:21:37 → 00:21:39 แหล่งพลังงานได้อย่างรวดเร็วมากนะครับน้ำ
00:21:39 → 00:21:41 มันกลุ่มสุดท้ายคือน้ำมันที่มี Smoke
00:21:41 → 00:21:43 Point ต่ำนะครับเท่าที่เจอมาที่มีขายใน
00:21:43 → 00:21:46 เมืองไทยคือ Flag Seed Oil นะครับ Smoke
00:21:46 → 00:21:48 พอยู่ที่ 107 เซซเท่านั้นเองมันไม่เหมาะ
00:21:48 → 00:21:49 กับการทำอาหารที่ต้องผ่านความร้อนอาจจะ
00:21:50 → 00:21:52 เหมาะกับการทำเดรสซิ่งน้ำสลัดนะครับหรือ
00:21:52 → 00:21:55 ว่าการการิหรือว่าโรยตกแต่งมากกว่านะครับ
00:21:55 → 00:21:58 เท่าที่ดูอ่ะเมืองไทยไม่ค่อยมีน้ำมันที่
00:21:58 → 00:21:59 มี Smoke Point ต่ำอาจจะเป็นเพราะว่า
00:21:59 → 00:22:01 วัฒนธรรมในการทำอาหารของเราอ่ะเกี่ยวข้อง
00:22:01 → 00:22:04 กับ Cooking method ที่ใช้อุณหภูมิสูง
00:22:04 → 00:22:07 คือการผัดการทอดนะครับระยะเวลานานๆมาก
00:22:07 → 00:22:09 กว่าเพราะฉะนั้นน้ำมันที่มีสโมกคอยต่ำจึง
00:22:09 → 00:22:11 ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในเมืองไทยผู้ประกอบ
00:22:11 → 00:22:13 การก็เลยไม่ค่อยทำนะครับนิดนึงครับขอพูด
00:22:13 → 00:22:15 ถึงน้ำมันมะกานะครับผมแยกน้ำมันมกาออกมา
00:22:15 → 00:22:18 เพราะว่ามันมีหลายตัวเนาะก็จะเทียบ Smoke
00:22:18 → 00:22:20 Point ให้ดูครับ Extra Virgin Olive
00:22:20 → 00:22:21 Oil นะครับ Smoke Point ต่ำสุดอยู่ที่
00:22:21 → 00:22:24 207 องเซซนะครับก็จะเหมาะกับอาหารที่ไม่
00:22:24 → 00:22:26 ค่อยผ่านความรนานๆนะครับพวกสลัดหรือว่า
00:22:26 → 00:22:29 dressing Gage เนี่ยใช้ได้นะครับ Virgin
00:22:29 → 00:22:31 หรือว่า Classic Smoke Point จะสูงขึ้น
00:22:31 → 00:22:34 มาเป็น 216 องเซซแล้วก็ Extra Light
00:22:34 → 00:22:37 Smoke Point จะอยู่ที่ 242 องศเซซก็
00:22:37 → 00:22:39 สามารถจะไปเลือก Olive Oil ที่เหมาะสม
00:22:39 → 00:22:41 กับ Cooking method ที่คุณใช้ได้นะครับ
00:22:41 → 00:22:44 หลังจากที่ผมพาทุกคนไปรู้จักกับน้ำมันพืช
00:22:44 → 00:22:46 ทุกชนิดที่มีขายในท้องตลาดแล้วนะครับคำ
00:22:46 → 00:22:50 ถามสำคัญคือแล้วเราจะเลือกตัวไหนเอาจริงๆ
00:22:50 → 00:22:52 ในมุมมองของผมเองนะครับพอไปทำความรู้จัก
00:22:52 → 00:22:55 กับน้ำมันพืชแต่ละตัวแต่ละตัวนะครับผมคิด
00:22:55 → 00:22:58 ว่ามันไม่ได้มีตัวไหนดีกว่ากันหรือเรียก
00:22:58 → 00:23:00 ว่าเป็น Best Vegetable Oil เลยครับ
00:23:00 → 00:23:03 จริงๆอ่ะน้ำมันเราสามารถจะเลือกซื้อได้
00:23:03 → 00:23:07 ทุกชนิดทุกยี่ห้อเลยนะครับเพราะว่าความ
00:23:07 → 00:23:10 น่ากลัวมันไม่ได้อยู่ที่ตัวน้ำมันหรือของ
00:23:10 → 00:23:12 ที่อยู่ในน้ำมันครับผมว่าความน่ากลัวของ
00:23:12 → 00:23:15 การใช้น้ำมันมันอยู่ที่พฤติกรรมในการเอา
00:23:16 → 00:23:18 น้ำมันพืชไปใช้ในการประกอบอาหารมากกว่านะ
00:23:18 → 00:23:21 ครับถามว่าทำไมพฤติกรรมถึงสำคัญครับถ้า
00:23:21 → 00:23:24 เกิดว่าเราทำอาหารเองที่บ้านเนี่ยครับเรา
00:23:24 → 00:23:27 จะมีความสามารถในการควบคุมการเลือกใช้น้ำ
00:23:27 → 00:23:30 มันหรือว่าไม่เพิ่มความเสี่ยงในการทำให้
00:23:30 → 00:23:33 น้ำมันเนี่ยกลายร่างเป็นโมเลกุลที่มันไม่
00:23:33 → 00:23:35 ค่อยดีนะครับเราสามารถที่จะเลือกซื้อน้ำ
00:23:35 → 00:23:37 มันที่มี Smoke Point ที่ตอบโจทย์
00:23:37 → 00:23:39 Cooking method ของเราอย่างแรกนะครับ
00:23:39 → 00:23:41 อย่างที่ 2 คือเราสามารถที่จะใช้น้ำมัน
00:23:41 → 00:23:43 ครั้งเดียวแล้วก็ทิ้งเลยนะครับเพื่อลด
00:23:43 → 00:23:45 ความเสี่ยงว่าเอ้ยเดี๋ยวน้ำมันจะเกิดการ
00:23:45 → 00:23:47 ออกซิไดซ์ไม่เก็บก็ได้เพื่อความปลอดภัย
00:23:47 → 00:23:50 ของร่างกายของเรานะครับซึ่งมันแตกต่างกัน
00:23:50 → 00:23:53 กับเวลาที่เราต้องไปพึ่งอาหารนอกบ้านนะ
00:23:53 → 00:23:55 ครับต้องไปกินอาหารตามร้านอาหารอ่าตาม
00:23:56 → 00:23:58 ร้านสะดวกซื้อหรือว่าข้างทางเนี่ยครับเรา
00:23:58 → 00:24:01 ไม่สามารถจะควบคุมได้เลยว่าพ่อค้าแม่ค้า
00:24:01 → 00:24:03 เนี่ยเขาจะเลือกใช้น้ำมันที่ Smoke Point
00:24:03 → 00:24:06 เหมาะสมกับไอ้กระบวนการที่เขาทำอาหารหรือ
00:24:06 → 00:24:09 เปล่า 2 คือเราไม่รู้เลยว่าน้ำมันที่เขา
00:24:09 → 00:24:11 ใช้ทำอาหารให้เรานะครับมันผ่านการใช้มา
00:24:11 → 00:24:13 แล้วกี่ครั้งนะครับอย่างที่บอกไปว่ายิ่ง
00:24:13 → 00:24:16 น้ำมันใช้ซ้ำหลายๆครั้งเนี่ยครับมันเพิ่ม
00:24:16 → 00:24:18 โมเลกุลที่มันไม่เสถียรลด Smoke Point
00:24:18 → 00:24:22 ลงไปอีกนะครับจะไปโทษเค้าเนี่ยก็ก็พูดได้
00:24:22 → 00:24:25 ไม่เต็มปากเพราะว่าการใช้น้ำมันครั้ง
00:24:25 → 00:24:27 เดียวแล้วทิ้งเนี่ยครับมันก็ไปเป็นเพิ่ม
00:24:27 → 00:24:30 เป็นต้นทุของผู้ประกอบการแต่มันก็คือ
00:24:30 → 00:24:32 สุขภาพของเราเช่นกันเพราะฉะนั้นเนี่ยเรา
00:24:32 → 00:24:34 อาจจะต้อง Balance นะครับมันอยู่ที่ตัว
00:24:34 → 00:24:37 เราเองแหละว่าถ้าเรามีเวลาพอผมแนะนำให้
00:24:37 → 00:24:39 เราเลือกซื้อน้ำมันแล้วก็มาทำกับข้าวเอง
00:24:39 → 00:24:43 ก็จะดีที่สุดแต่ถ้าเกิดว่าเราไม่มีเวลาพอ
00:24:43 → 00:24:45 แล้วก็จำเป็นต้องพึ่งกับอาหารนอกบ้าน
00:24:46 → 00:24:49 เนี่ยนะครับก็อาจจะต้องเลือกร้านอาหารที่
00:24:49 → 00:24:52 ดูแล้วดูเค้าใช้น้ำมันซ้ำน้อยหน่อยนะครับ
00:24:52 → 00:24:55 เพราะมันจะมีร้านอาหารบางประเภทที่ใครๆก็
00:24:55 → 00:24:58 รู้ว่าน้ำมันที่เขาใช้เนี่ยโอ้โหใช้ซ้ำ
00:24:58 → 00:25:01 อาจจะไม่ใช่แค่ตลอดทั้งวันแต่อาจจะหลาย
00:25:01 → 00:25:04 วันด้วยซ้ำเพื่อลดต้นทุนของเค้านะครับ
00:25:04 → 00:25:06 เพราะฉะนั้นความรู้ทั้งหมดที่ให้เนี่ย
00:25:06 → 00:25:08 หวังว่าทุกคนสามารถที่จะเอาไปใช้ต่อยอดใน
00:25:08 → 00:25:11 การเลือกซื้อน้ำมันให้เหมาะสมกับอ่า
00:25:11 → 00:25:13 กระบวนการ Cooking ที่บ้านของคุณแล้วก็
00:25:14 → 00:25:16 ตอบโจทยกับสุขภาพของคุณมากที่สุดยังไงลอง
00:25:16 → 00:25:18 ไปสังเกตดูนะครับว่าน้ำมันที่เราใช้อยู่
00:25:18 → 00:25:21 ทุกวันนี้ที่บ้านเนี่ยมันเหมาะกับกระบวน
00:25:21 → 00:25:23 การทำกับข้าวของคุณหรือเปล่าถ้าไม่เหมาะ
00:25:23 → 00:25:24 อาจจะถึงเวลาที่คุณจะเดินไป
00:25:24 → 00:25:27 ซุปเปอร์มาร์เก็ตแล้วก็ไปพลิกอ่านฉลาก
00:25:27 → 00:25:29 ข้างหลังขวดน้ำมันดูแล้วก็เลือกอันที่มัน
00:25:29 → 00:25:33 เหมาะสมก็จะเป็นประโยชน์กับสุขภาพของคุณ
00:25:33 → 00:25:38 ครับ Top to the Standard podcast ey
00:25:38 → 00:25:42 Opening for your ears