00:00:00 → 00:00:03 This Is Thai PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:04 world vi The
00:00:04 → 00:00:08 Voice เราปัสสาวะนี่ต้องขับเกลือแร่ส่วน
00:00:08 → 00:00:10 เกินโดยเฉพาะพวกหินปูนพวกแคลเซียมต่างๆ
00:00:10 → 00:00:12 พวกเนี้ยพอถ้าเกิดเข้มข้นมันจะตกตะกอนนะ
00:00:12 → 00:00:14 มันกลายเป็นเป็นหินปูนหรือเรียกว่าเป็น
00:00:14 → 00:00:16 ก้อนหินก้อนกวดที่เรียกว่านิ่้วคนไทยโดย
00:00:16 → 00:00:19 เฉพาะต่างจังหวัดภาคอีสานเป็นนิ่วเยอะมาก
00:00:19 → 00:00:21 นิ่้วในไตนะนิส่วนหนึงคือว่าทำงานกลาง
00:00:21 → 00:00:24 แจ้งก็ไม่ไม่ไม่ดื่มน้ำน้อยไปเพราะะนั้น
00:00:24 → 00:00:26 การการดื่มน้ำมากๆจะทำให้ให้ไม่เป็นโรค
00:00:26 → 00:00:28 นิ่วเพราะเป็นโรคนิ่วนปวดนะปวดเอวปวด
00:00:28 → 00:00:30 กระเพาะปัสสาวะเยอะว่ามันหินมันราคาย
00:00:31 → 00:00:33 เครื่องนะฮะบางคนก็ทำให้ติดเชื้อไตวายได้
00:00:33 → 00:00:36 ังนั้นก็ต้องตื่มน้ำให้ให้เยอะวันนึง
00:00:36 → 00:00:39 ประมาณสัก 8 6-8 แก้วแต่ถ้าทำงานกลาง
00:00:39 → 00:00:42 แจ้งนะกินไปเลย 10
00:00:42 → 00:00:46 แก้วฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทย
00:00:46 → 00:00:49 ฟังรายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงสถิตพร
00:00:49 → 00:00:53 ค่ะ This Is tha PBS podcast เอาล่ะ
00:00:53 → 00:00:56 ค่ะคุณผู้ฟังคะวันนี้เราจะมาพูดคุยกันถึง
00:00:56 → 00:01:00 เรื่องของพฤติกรรมที่ทำร้ายไตนะคะเราจะ
00:01:00 → 00:01:02 นึกถึงว่าเออถ้าเกิดจะเป็นโรคตายหรืออะไร
00:01:02 → 00:01:04 เงี้ยมันก็น่าจะเกี่ยวกับเรื่องของความ
00:01:04 → 00:01:07 เค็มอะไรต่างๆเหล่านี้นะคะแต่เชื่อมว่า
00:01:07 → 00:01:09 บางทีบางอย่างพฤติกรรมบางอย่างเนี่ยถึง
00:01:09 → 00:01:12 แม้เราจะไม่ได้กินเค็มแต่มันก็สามารถที่
00:01:12 → 00:01:14 จะทำร้ายไตของเรากันได้ค่ะเดี๋ยววันนี้
00:01:14 → 00:01:16 เราคุยกับรองศาสตราจารย์นายแพทย์
00:01:16 → 00:01:19 สุรศักดิ์กันตชูเวสสิริอาจารย์ประจำหน่วย
00:01:19 → 00:01:22 โรคไตพรรควิชาอายุรศาสตร์คณะแพทยศาสตร์
00:01:22 → 00:01:25 โรงพยาบาลรามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดลค่ะ
00:01:25 → 00:01:28 สวัสดีค่ะคุณหมอขาครับสวัสดีครับสวัสดี
00:01:28 → 00:01:31 ท่านผู้ฟังด้วยครับค่ะวันนี้เราคุยกันถึง
00:01:31 → 00:01:33 เรื่องของพฤติกรรมทำร้ายตายถึงแม้ว่าจะ
00:01:33 → 00:01:35 ไม่ได้กินเค็มคือเคยคุยกับคุณหมอมาโดย
00:01:35 → 00:01:38 ตลอดอ่ะนะคะถึงเรื่องของการกินเค็มเนาะ
00:01:38 → 00:01:41 เราแบบกินเค็มเยอะไปมันจะทำร้ายไตนะมันมี
00:01:41 → 00:01:45 ผลอะไรยังไงบ้างใช่มั้ยคะแต่กำลังสงสัย
00:01:45 → 00:01:48 ค่ะเอ๊ะต่อให้ไม่กินเค็มเนี่ยนะคะมันทำ
00:01:48 → 00:01:51 ร้ายไตของเราได้ยังไงอ่ะคะคุณหมอคะครับ
00:01:51 → 00:01:55 คือไตมีหน้าที่ในการที่จะปรับสมดุลของ
00:01:55 → 00:01:58 เกลือแรกของยาสารพิษต่างๆนนะครับกำจัดสาร
00:01:58 → 00:02:01 พิษเพราะฉะนั้นมันมีหลายปัจจัยที่มันมา
00:02:01 → 00:02:04 กระทบไตโดยเฉพาะพวกความหวานความเค็มแล้ว
00:02:04 → 00:02:09 ก็ยาต่างๆที่มันจะทำร้ายตายได้นันะครับ
00:02:09 → 00:02:11 มันก็มีหลายปัจจัยเพราะฉะนั้นมันไม่ใช่แ
00:02:11 → 00:02:14 เค็มอย่างเดียวค่ะมันก็ขึ้นอยู่กับ
00:02:14 → 00:02:17 พฤติกรรมด้วยใช่มั้ยครับว่าเรากินหวานกิน
00:02:17 → 00:02:20 เค็มหรือว่าเราไปกินยาที่มันมีพิษต่อไต
00:02:20 → 00:02:22 สะสมนานๆนะครับหรือแม้ก็ทั่งบางคนสูบ
00:02:23 → 00:02:25 บุหรี่ก็เป็นสูบุหรี่ก็ทำร้ายหลอดเลือด
00:02:26 → 00:02:29 ต่างๆหัวใจไตก็จะไปไปหมดนั่นนครับก็จาก
00:02:29 → 00:02:32 จากอ่าหลายๆอย่างพฤติกรรมหลายๆอย่างของ
00:02:32 → 00:02:36 เราซึ่งมันอาจจะนำไปสู่การเป็นโรคไตคือพอ
00:02:36 → 00:02:39 คำว่าโรคไตเนี่ยค่ะคุณหมอมันอาจจะดูกว้าง
00:02:39 → 00:02:41 แต่ว่าการเป็นโรคไตมันอาจจะมีแบบอย่าง
00:02:41 → 00:02:45 อื่นที่เกี่ยวข้องกับโรคไตด้วยใช่มั้ยคะ
00:02:45 → 00:02:49 เป็นผลจากโรคอื่นๆที่มาทำลายหลอดเลือดที่
00:02:49 → 00:02:52 ไตนะครับเพราะว่าที่ไตมันมีหลอดเลือดค่อน
00:02:52 → 00:02:54 ข้างเยอะในการหลอดเลี้ยงแล้วก็ในการที่จะ
00:02:54 → 00:02:57 ทำหน้าที่เหมือนตัวกรองเลือดอให้เอามา
00:02:57 → 00:02:59 เป็นปัสสวะเพราะฉะนั้นเป็นหลอดเลือดที่ทำ
00:02:59 → 00:03:02 หน้าที่พิเศษเศษในการกรองค่ะของเสียต่างๆ
00:03:02 → 00:03:04 ออกมาจากร่างกายเพราะฉะนั้นหลอดเลือดที่
00:03:04 → 00:03:08 ถูกทำลายไม่ว่าจะเป็นจากโรคเบาหวานโกความ
00:03:08 → 00:03:13 ดันโลหิตสูงอืโรคอื่นๆมันก็จะส่งผลกระทบ
00:03:13 → 00:03:17 มาถ้าเป็นเบาหวานหรือความิตสูงอยู่นานๆ
00:03:17 → 00:03:21 แล้วก็รักษาไม่สม่ำเสมอหรือว่าไม่ถูกต้อง
00:03:21 → 00:03:24 ก็จะมากระทบที่ไตนะฮะมันก็จะเป็นต่อ
00:03:24 → 00:03:26 เนื่องกันมานั่นนะครับคุณหมออันนี้ถามนิด
00:03:26 → 00:03:28 นึงอันนี้ไม่แน่ใจเพราะว่าอย่างของคุณแม่
00:03:28 → 00:03:32 เนี่ยค่ะคือโดยปกติแล้วเนี่ยไม่ได้ไม่ได้
00:03:32 → 00:03:34 เป็นโรคไตอะไรนะคะค่อนข้างจะสุขภาพแข็ง
00:03:35 → 00:03:38 แรงแล้วก็อาจจะมีเรื่องความดันที่ต้องวัด
00:03:38 → 00:03:40 ในทุกๆวันบ้างแหละอะไรเงี้ยแต่พอวันนึง
00:03:41 → 00:03:43 ที่แบบต้องเข้า ICU เข้าโรงพยาบาลเงี้ย
00:03:43 → 00:03:46 ค่ะปรากฏว่าคุณหมอบอกว่าเป็นโรคไตก็เลยงง
00:03:46 → 00:03:49 ว่าเอ๊ะเอ่อเราไม่เคยตรวจพบว่าเป็นโรคตาย
00:03:50 → 00:03:52 หรือว่าต้องไปฟอกไตหรือหรืออะไรที่เกี่ยว
00:03:52 → 00:03:55 กับไตเลยแต่เป็นด้วยเพราะอายุที่มากขึ้น
00:03:55 → 00:03:58 ไตมันก็เลยทำงานได้ประสิทธิภาพน้อยลงหรือ
00:03:58 → 00:04:00 อะไรอย่าเงี้ยมันมันเกี่ยวด้วยด้วยใช่
00:04:00 → 00:04:04 มั้ยคะครับๆคืออวัยวะทุกทุกอวัยวะนะครับ
00:04:04 → 00:04:08 มันก็เสื่อมไปตามกาลเวลาตามอายุนะครับอัน
00:04:08 → 00:04:11 นี้ว่าพออายุมากขึ้นตายก็จะทำงานน้อยลงน้
00:04:11 → 00:04:15 ลงอรเฉลี่ยจะค่อยๆลดลงประมาณปีละ 0.5 -
00:04:15 → 00:04:19 1% ต่อต่อปีค่ะเพราะฉะนั้น 50 ปีก็จะหาย
00:04:19 → 00:04:23 ไป 50% สมมุติอายุ 80 เนี่ยค่ะก็จะตายทำ
00:04:23 → 00:04:27 ประมาณ 50 60% เท่านั้นเองตามสถิติที่
00:04:27 → 00:04:30 เสริมให้ไตเสื่อมเร็วขึ้นนะฮะอย่างเช่น
00:04:30 → 00:04:32 ความดโลหิตสูงในกรณีที่คุณแม่เป็นเนี่ย
00:04:32 → 00:04:35 มันความดโลหิตสูงนี่มันก็จะเป็นแรงดันใน
00:04:35 → 00:04:37 หลอดเลือดใช่มั้ยฮะแรงดันสูงเมื่อเมื่อ
00:04:37 → 00:04:40 แรงดันสูงไอ้ตรงผนังหลอดเลือดหรือท่อ
00:04:40 → 00:04:42 เลือดหรือว่าท่อประปาก็ตามถ้ามีแรงดันสูง
00:04:42 → 00:04:44 ๆเนี่ยท่อประปามันก็จะเสื่อมจะแตกได้ง่าย
00:04:44 → 00:04:47 ใช่มั้ยครับมันก็จะทำให้หลอดเลือดก็
00:04:47 → 00:04:49 เหมือนกันมันก็จะเสื่อมไปตามแรงดันที่สูง
00:04:49 → 00:04:51 เพราะฉะนั้นถ้าคนที่เป็นความโดหิตสูงแล้ว
00:04:51 → 00:04:54 รักษาไม่ถูกต้องหรือไม่ดีมากเนี่ยความ
00:04:54 → 00:04:57 ความดันก็จะทำร้ายหลอดเลือดรวมทั้งความ
00:04:57 → 00:05:02 ดันทำร้ายหลอดเลือดที่ไตด้วยอเลือเสือเสม
00:05:02 → 00:05:04 คือคำว่าที่คุณหมอเขใช้คำว่าโรคไตเราทำ
00:05:04 → 00:05:07 ให้เราเลยเข้าใจว่าเอ๊ะไปเป็นโรคไตตั้ง
00:05:07 → 00:05:09 แต่เมื่อไหร่ไม่ได้กินเค็มนี่หนาหรืออะไร
00:05:09 → 00:05:11 มันเกี่ยวกับเรื่องของเรื่องของหลอดเลือด
00:05:11 → 00:05:15 ที่อยู่ในไตของเราใช่มั้ยที่ที่บอกคุณหมอ
00:05:15 → 00:05:18 บอกว่ามันมีเส้นเลือดเยอะใช่ๆครับแล้วมัน
00:05:18 → 00:05:21 ก็เอาเลือดไปเลี้ยงไตแล้วมันก็ทำหน้าที่
00:05:21 → 00:05:23 เป็นตัวกรองด้วยกรองมาเป็นน้ำปัสสาวะหลอด
00:05:23 → 00:05:26 เลือดที่ทำหน้าที่พิเศษในการกรองคงเสีย
00:05:26 → 00:05:29 ออกไปคราวนี้ความโิสูงเนี่ยบางทีมันเป็น
00:05:29 → 00:05:32 เป็นไม่มากคนคนไข้บางคนนก็ไม่มีอาการมาก
00:05:32 → 00:05:35 ปวดหัวนิดหน่อยหรือบางทีก็ชินแล้วก็ไม่
00:05:35 → 00:05:37 ไม่ปวดะเพราะฉะนั้นมันจะเป็นภัยเงียบ
00:05:37 → 00:05:39 อย่างนึงจะทำลายไตทีละน้อยแล้วก็โรคไต
00:05:39 → 00:05:42 ระยะเริ่มต้นจะไม่มีอาการพอเป็นแล้วก็
00:05:42 → 00:05:44 เป็นมากเพราะฉะนั้นบางทีบอกอ๊ะไม่เคยมี
00:05:44 → 00:05:47 โรคไตตรวจไม่เคยเจอเลยพอมาเตออีกทีอ้า
00:05:47 → 00:05:51 ระยะที่ 4 ระยะที่ 5 แล้วโอค่ะคือมัน
00:05:51 → 00:05:54 สัญญาณอะไรสักนิดสักนึงก็ไม่มีบอกเลยหรอ
00:05:54 → 00:05:58 คะส่วนใหญ่ระยะต้นๆไตยจะไม่มีอาการยกเว้น
00:05:58 → 00:06:01 ว่าไตเสื่อมไปหรือว่าเสียไปมากกว่า 70%
00:06:01 → 00:06:04 แล้วหายไป 70% แล้วถึงเริ่มมีอาการนะเช่น
00:06:04 → 00:06:08 แบบว่ามีกินอาหารแล้วบวมบวมขาบวมหน้าบวม
00:06:08 → 00:06:11 ตาค่ะกินเค็มไม่ได้กินเค็มแล้วบวมความดัน
00:06:11 → 00:06:17 โลหิตสูงขึ้นมีอาการโลหิตจางมีผิวแห้งนะ
00:06:17 → 00:06:19 ครับหน้าบวมฉุๆหรือเป็นมากก็ขึ้นแส้
00:06:19 → 00:06:21 อาเจียนอันนั้นมันมันเป็นระยะหลังๆคือไต
00:06:21 → 00:06:26 ทำงานน้อยลงกว่าเดิมเหลือแค่ 30% น่ะนะ
00:06:26 → 00:06:29 ครับซึ่งอันตรายงั้นแสดงว่าคนที่มีความ
00:06:29 → 00:06:31 เสี่ยงก็จะต้องเป็นคนที่อาจจะต้องเฉพาะ
00:06:31 → 00:06:35 อายุมากๆมเพราะว่าเมื่อกี้บอกว่ามันมี
00:06:35 → 00:06:38 เรื่องของความเสื่อมของไตใช่มั้ยคะที่มี
00:06:38 → 00:06:42 เออคนอายุมากจะเป็นมากกว่าคนอายุน้อยแต่
00:06:42 → 00:06:46 ว่าคนอายุน้อยถ้าดูแลเบาหวานความดลหิตสูง
00:06:46 → 00:06:49 ไม่ดีก็มีความเสี่ยงนะฮะคนไข้ที่เริ่ม
00:06:49 → 00:06:51 เป็นบาหวาดหรือคนที่กินเค็มตั้งแต่อายุ
00:06:51 → 00:06:53 น้อยๆก็เอาล่ะพออายุ 20 25 ก็เป็นความ
00:06:54 → 00:06:56 ดันสูงหรือว่าโลคตายกันเพราะฉะนั้นก็เป็น
00:06:56 → 00:07:00 อะไรที่ที่ต้องระมัดระวังนนะครับไม่ใช่
00:07:00 → 00:07:03 คนอายุน้อยจะไม่เป็นน่ะนะครับค่ะนี่นี่ก็
00:07:03 → 00:07:06 บอกว่าออคือเ่อเราต้องกินเค็มอย่างเดียว
00:07:06 → 00:07:08 อ้าไม่ใช่ะปัจจัยมันมีจากพฤติกรรมของเรา
00:07:08 → 00:07:11 นี่แหละหลายอย่างด้วยนะคะทีนี้แล้วอย่าง
00:07:11 → 00:07:13 อาการบวมอย่างบวมหน้าบวมฉูอย่างเงี้ยค่ะ
00:07:13 → 00:07:18 คุณหมอพวกเนี้ยมันมันบวมนานมยคะหรือว่า
00:07:18 → 00:07:21 มันแบบเออเดี๋ยวพอสักวัน 2 วันมันก็จะยุบ
00:07:22 → 00:07:24 ลงละหน้าก็จะกลับมาปกติละหน้าไม่บวมแล้ว
00:07:24 → 00:07:27 อะไรเงี้ยอันนี้มันจะมีข้อสังเกตมั้ยคะ
00:07:27 → 00:07:30 เอ๊ะมันดูอ๋อแสดงว่าต้องไปกินเค็มมาแน่
00:07:30 → 00:07:32 เลยมันถึงบวมอะไรอย่างงี้มั้ยคะระยะเริ่ม
00:07:32 → 00:07:35 ต้นคือหมายถึงว่าเริ่มเริ่มตตเริ่มเสื่อม
00:07:35 → 00:07:38 ถึงต่ำหายไป 70% นี่นะครับไก็ตอนแรกก็จะ
00:07:38 → 00:07:42 ไปบวมเป็นครั้งเป็นคราวอืเฉพาะเวลาที่กิน
00:07:42 → 00:07:46 อาหารเค็มหรือว่าเรามากินโซเดียมมากเกิน
00:07:46 → 00:07:48 ไปอันนั่นก็จะทำโซเดียมหรือว่าเค็มอัน
00:07:48 → 00:07:50 เดียวกันน่ะนะครับก็จะทำให้อาการบวมแต่พอ
00:07:50 → 00:07:55 เราพักเรายกขาสูงเป็นนอนอ่าขาก็จะยุบบวม
00:07:55 → 00:07:58 แล้วก็อาจจะมาบวมที่หน้าที่ตาตื่นเช้ามา
00:07:58 → 00:08:00 บวมตาบวมหน้า
00:08:00 → 00:08:03 มันเปลี่ยนจากน้ำมันก็มาจากไปไหลไปตามแรง
00:08:03 → 00:08:06 โน้มถ่วงนันะครับออก็ก็นั้นก็เป็นเป็นอัน
00:08:06 → 00:08:08 นึงซึ่งเป็นอาการเตือนแต่ว่าพอระยะที่ 5
00:08:08 → 00:08:12 ใกล้ๆจะไตวายหรือว่าล้างไตเนี่ยเขาจะบวม
00:08:12 → 00:08:14 ตลอดนะครับอันนี้ก็จะอาจจะชัดเจนเห็นแบบ
00:08:14 → 00:08:18 ว่าผิดปกติแน่ๆใช่มั้ยคะเวลาใช่ๆเวลามัน
00:08:18 → 00:08:21 บวมเนี่ยค่ะคุณหมอมันบวมทั้งตัวมั้ยคะ
00:08:21 → 00:08:24 หรือว่ามันบวมเฉพาะส่วนส่วนใหญ่จะบวมตาม
00:08:24 → 00:08:27 แรงโน้มถ่วงถ้ายืนจะบวมที่เท้าก่อนออแล้ว
00:08:27 → 00:08:32 ก็มามาที่หน้าแข้งมาที่น่องนะครับถ้าบวม
00:08:32 → 00:08:36 มากถถึงจะมาบวมที่ท้องแต่พอพอพอช่วงนอน
00:08:36 → 00:08:40 หลับเนี่ยน้ำมันก็จะไหลจากแรมน้มถ่วมก็จะ
00:08:40 → 00:08:42 มาอยู่ที่ตาที่หน้าใช่มครับตื่นเช้ามาอ่า
00:08:42 → 00:08:46 บวมบวมหน้าบวมตาแล้วก็ขขาก็ยุบบวมบวมน้อย
00:08:46 → 00:08:50 ลงอันนั้นก็เป็นเป็นลักษณะเริ่มต้นแต่พอ
00:08:50 → 00:08:53 ระยะหลังๆมันจะบวมทั้งตัวนครับบวมทั้ง
00:08:53 → 00:08:56 หน้าทั้งตาทั้งท้องทั้งมตลอดนะฮะบอกน่อง
00:08:56 → 00:09:00 โตนองโตหน้ากลมอะไรเี้ครับอันนี้ไม่ได้
00:09:00 → 00:09:03 เป็นเป็นแบบว่าเอ่อดูแบบจะฟิลน่ารักเลยนะ
00:09:03 → 00:09:06 มันน่ากลัวมากกว่านะคะเนี่ยความแบบมันบวม
00:09:06 → 00:09:09 ขึ้นมาแบบดูผิดปกติแต่คุณหมอก็คุยกับคุณ
00:09:09 → 00:09:12 หมอมาหลายครั้งเรื่องของการที่แบบว่าหลีก
00:09:12 → 00:09:15 เลี่ยงความเค็มนะหรือกินให้น้อยลงไม่เกิน
00:09:15 → 00:09:17 เท่าไหร่ต่อต่อวันอะไรอย่าเงี้ยแต่แบบยัง
00:09:17 → 00:09:21 ไงมันก็รู้สึกว่าเออมันแฝงไปอยู่กับอาหาร
00:09:21 → 00:09:24 ทุกอย่างเลยค่ะใช่ๆมันเป็นเกลือแฝงเกลือ
00:09:24 → 00:09:29 ที่ไม่เค็มก็มีนะเช่นผงชูรสหึซุปก้อนอือ
00:09:29 → 00:09:32 อืออนั้นก็เป็นโซเดียมแฝงเพราะมันไม่เค็ม
00:09:32 → 00:09:35 นะครับค่ะผงเดี๋ยวนี้กลายเป็นผงผงปรุง
00:09:35 → 00:09:39 แล้วผงผัดผงใช่มั้ยฮะตอนนี้ผงใช่ๆทั้ง
00:09:39 → 00:09:42 หลายที่ใส่เข้าไปนัวทั้งหลายเี่ส่วนใหญ่
00:09:42 → 00:09:44 ก็คือเป็นเป็นผงชูรสกับเกลือปนๆกันอยู่
00:09:44 → 00:09:47 มันก็เปลี่ยนชื่อแต่ผงชูรสก็เป็นเป็นผง
00:09:47 → 00:09:51 ปรุงหรือว่าเป็นซุปก้อนอะไรเงี้ยซุปก้อน
00:09:51 → 00:09:53 จริงๆก็คือผงชูรสบวกกับเกลือนั่นเแหละ
00:09:53 → 00:09:57 ครับครึ่งๆนะฮะค่ะคือก็ใช้อาจจะเป็นศัท์
00:09:57 → 00:09:59 ที่ไว้ใช้เรียกแบบเผื่อว่าแบบอย่างน้อย
00:09:59 → 00:10:03 คือมันไม่ใช่ผงชุรสคำว่าไม่คำว่าผงชุรส
00:10:03 → 00:10:05 มันก็จะชัดเจนกว่ามันก็จะดูแบบอันนี่มาก
00:10:05 → 00:10:09 ไปใช่มบางคนบางคนบางคนก็กลัวผงชรสไงฮะอเ
00:10:09 → 00:10:11 บอกว่าโอ๊ผมบอกแม่ค้าบอกว่าไม่ก๋วยเตี๋ยว
00:10:11 → 00:10:14 ผมไม่ใส่ผงชรสนะอ่าแม่ค้าบอกไม่ไม่ได้ใส่
00:10:14 → 00:10:18 เลยมันอยู่ในอยู่ในน้ำแกงอยู่เรียบร้อย
00:10:18 → 00:10:21 แล้วมันใส่ในซุปก้อนอยู่เรียบร้อยแล้วเออ
00:10:21 → 00:10:24 ผมไม่ได้ใส่เลยผงชรสแล้วก็พวกอะไรนะคะ
00:10:24 → 00:10:27 อาหารบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอาหารที่แบบฟรีซ
00:10:27 → 00:10:31 แช่แข็งอะไรพวกซ่นฟีใช่ๆพวกนี้เยอะอันนี้
00:10:31 → 00:10:33 ก็เป็นแบมี่คือสำเร็จเนี่ยโซเดียมสูงมาก
00:10:33 → 00:10:37 เลยนะฮะ 1,500 1,800 มิลลิกรัมซึ่งคน
00:10:37 → 00:10:40 ปกติเราบอกว่าวันนึงไม่เกินกินโซเดียมไม่
00:10:40 → 00:10:43 เกิน 2,000 มิลลิกรัมอืก็หมี่ 1 ซองหมดไป
00:10:43 → 00:10:45 1,800 แล้วอย่างเงี้ยยังไม่รวมอย่างอื่น
00:10:45 → 00:10:48 ที่กินอีกอ่าไม่กลวเพราะฉะนั้นก็คือว่า
00:10:48 → 00:10:51 กินวันนึงก็หมดโควต้ากิน 1 ซองหมดโควต้า
00:10:51 → 00:10:54 ไปเกือบวันนึงนะพออีกมืต่อไปแไม่ต้องกิน
00:10:54 → 00:10:57 โซเดียมเลยเพราะว่ามันมันเกินค่ะครับ
00:10:57 → 00:10:58 เพราะฉะนั้นถ้ากินบมีสำเร็จก็อย่าไปกิน
00:10:59 → 00:11:01 บ่อยหรือว่าไม่กินเลยก็ดีนะครับถ้ากินก็
00:11:01 → 00:11:04 แบบอน้อยๆใส่เครื่องปรุงน้อยๆผงปรุงทั้ง
00:11:04 → 00:11:07 หลายที่อยู่ในซอนใส่น้อยๆนะครับค่ะหรือ
00:11:07 → 00:11:11 เฉพาะเส้นๆก็คือเอาเอาเอาไปลวกักลวกน้ำ
00:11:11 → 00:11:13 สัก 1 น้ำก่อนค่อยคมาต้มกินนันะครับอออ๋อ
00:11:13 → 00:11:17 ลวก 1 น้ำก่อนพอพอจะคลายความเ่อโซเดียม
00:11:17 → 00:11:20 ของมันที่แฝงอยู่ออกไปกับน้ำได้ส่วนนึงก็
00:11:20 → 00:11:23 คือไอ้อยู่ในเครื่องปรุงที่อยู่ในซองใ
00:11:23 → 00:11:25 น้อยหน่อยแล้วก็ใส่น้ำให้น้อยหน่อยขุกขิก
00:11:25 → 00:11:28 หน่อยมันก็จะทำให้รสชาติใกล้เคียงเดิมอื
00:11:28 → 00:11:30 ครับแล้วก็อาจจะเติมผักก็ไม่ไม่แนะนำไป
00:11:31 → 00:11:34 กินกินบ่อยๆนะเติมผักเติมไข่เติมเนื้อ
00:11:34 → 00:11:37 สัตว์ก็จะช่วยเติมผักเข้าไปจะได้อาหารครบ
00:11:37 → 00:11:40 5 หมู่นะครับค่ะก็ก็นี้ก็เป็นเป็นอาหาร
00:11:40 → 00:11:43 กึ่งสำเร็จก็แช่เย็นแช่แข็งนี่ก็ก็มักจะ
00:11:43 → 00:11:46 มีโซเดียมสูงนะฮะเพราะว่ามันมันบางทีมัน
00:11:46 → 00:11:49 อยู่ในพวกสารกันบูดหรือว่า preservative
00:11:49 → 00:11:51 พวกนั้นก็เป็นกลุ่มโซเดียมทั้งหลายนันะ
00:11:51 → 00:11:56 ครับค่ะอารของอาหารที่พร้อมบริโภคใส่
00:11:56 → 00:11:59 ไมโครเวฟกินได้เลยพวกเยก็โซเดียมมักจะสูง
00:11:59 → 00:12:02 เพราะฉะนั้นก็กินนานๆครั้งคือกินอาหารสด
00:12:02 → 00:12:04 จะดีที่สุดนะกินแบบเอ่อเรียกอะไร่ะเป็น
00:12:04 → 00:12:06 แบบธรรมชาติธรรมชาติปรุงแต่งน้อยๆมันทำ
00:12:07 → 00:12:09 ให้สุขภาพดีแต่รสชาติมันอาจจะกลางๆเรา
00:12:09 → 00:12:12 อย่าไปกินแบบรสชาติจัดจ้านมากนักค่ะถ้า
00:12:12 → 00:12:15 กินจัดจ้านก็นานๆครั้งอย่ากิน
00:12:15 → 00:12:19 บ่อยอย่าไปกินชาบูหมาหมาล่าทุกุทุกวันงี้
00:12:19 → 00:12:23 ก็ไม่ไหวครับไม่ไหวเพราะว่าเงินหมดค่ะอ
00:12:23 → 00:12:26 เงินหมดด้วยแล้วมันมันบางบางทีมันบางคับ
00:12:27 → 00:12:30 ไม่กินเยอะมันเป็นบุฟเฟ่ต์ใชมั้ยฮะอ่าใช่
00:12:30 → 00:12:34 อืก็ก็ทำให้ได้ทั้งทั้งเกลือทั้งไขมัน
00:12:34 → 00:12:39 ทั้งบางทีก็หวานด้วยเนาอใช่อุตส่าห์ไม่
00:12:39 → 00:12:41 กินปิ้งย่างค่ะเลยมาชาบูเผื่อสุขภาพเพื่อ
00:12:41 → 00:12:45 สุขภาพปรากฏว่าอ้าโซเดียมเยอะอีกนะคะอๆ
00:12:45 → 00:12:48 แล้วชาบูผมก็แนะนำว่ากินเฉพาะเนื้อๆนะฮะ
00:12:48 → 00:12:51 น้ำๆก็กินน้อยๆหน่อยอืไอ้น้ำมันจะค่อน
00:12:51 → 00:12:54 ข้างค่อนข้างรสจัดมันดำน้ำดำอ่ะเนาะค่ะ
00:12:54 → 00:12:58 ใช่ๆยิ่งแบบว่าต้มเคี้ยวนานๆยิ่งแบบมัน
00:12:58 → 00:13:00 ยิ่งลดาตุเค็มใช่มั้ยคะคุณหมอมันจะเค็ม
00:13:00 → 00:13:03 ขึ้นน่ะรู้สึกอย่างงั้นมันมันยิ่งงวดๆ
00:13:03 → 00:13:05 ยิ่งงวดเท่าไหร่ยิ่งต้มงวดเท่าไหร่ก็ยิ่ง
00:13:05 → 00:13:08 เค็มมากเท่านั้นนะฮะมันระเหยไปหมดเจะ
00:13:08 → 00:13:11 เกลือไม่แต่คนไทยชอบกินเค็มนะคะเท่าที่
00:13:11 → 00:13:15 สังเกตดูอ่ะคือแบบยังไงก็ต้องมีอ่าโต๊ะ
00:13:15 → 00:13:20 อาหารเนี่ยต้องมีพริกน้ำปลาอยู่ด้วยอใช่ๆ
00:13:20 → 00:13:23 อันนั้นก็เป็นอันที่เราก็พยายามรณรงนะฮะ
00:13:23 → 00:13:26 บบว่าเอากลางๆน่ะเดินสายกลางน่ะอย่าอย่า
00:13:26 → 00:13:28 เติมมากนักแล้ว
00:13:28 → 00:13:31 ก็ถ้าเป็นไปได้ก็กินแต่พริกเนี่ยพริกน้ำ
00:13:31 → 00:13:34 ปลาเนี่ยคือคนไทยจะติดพริกใช่มฮะก็ก็เอา
00:13:34 → 00:13:37 จากเฉพาะพริกๆมากินแล้วกันน้ำปลานี่มัน
00:13:37 → 00:13:40 อยู่ในข้าวที่เขาปรุงมาแล้วบางทีเผัดข้าว
00:13:40 → 00:13:43 มาแล้วเนี่ยค่ะมันก็ใส่น้ำปลาใส่ซีอิ้วมา
00:13:43 → 00:13:46 พอสมควรแล้วน่ะพอมันบนโต๊ะเอาเอาตักเฉพาะ
00:13:46 → 00:13:48 พริกแล้วกันนะฮะกินข้าวผัดก็ไม่ต้องกิน
00:13:48 → 00:13:52 พริกน้ำปลาก็ถ้าทำได้ก็ดีผมเป็นผมผมผมจะ
00:13:52 → 00:13:55 บีบมะนาวข้าผักเนี่ยแล้วก็กินหัวหอมกิน
00:13:55 → 00:13:58 ผักกินอะไรต่างๆเข้าไปช่วยแล้วก็กินแต่
00:13:58 → 00:14:00 พริกไม่กินน้ำปลาเพราะว่าข้าวผัดข้าปรุง
00:14:00 → 00:14:03 มาเรียบร้อยแล้วล่ะครับอ่าใช่อุบางบาง
00:14:03 → 00:14:06 ร้านนี่กินไปนี่โอ้โหเค็มจัดมากเลยนะคะ
00:14:06 → 00:14:09 แต่คนอื่นกินแล้วแบบว่าไม่เค็มเติมต่ออีก
00:14:09 → 00:14:13 เข้าไปโอต้องระวังนะเดี๋ยวใช่ๆโดยเฉพาะ
00:14:13 → 00:14:16 บางคนเค้าเคคชินอ่ะนะบางทีเ้าแบบว่ายัง
00:14:16 → 00:14:19 ไม่ทันชิมเลยอ่ะเขาก็เก็เก็เติมแล้วอ่ะเ
00:14:19 → 00:14:22 พอเติมเค็มเอ้าเติมเค็มเอาเติมน้ำตาลไป
00:14:22 → 00:14:24 ตัดหน่อยตัดหวานหน่อยมันก็เลยได้ทั้งหวาน
00:14:24 → 00:14:26 ทั้งเค็มบางคนเห็นสังเกตกินก๋วยเตี๋ยวอ่ะ
00:14:26 → 00:14:29 ค่ะชิมเอาเค็มไปอ่ะใส่น้ำตาลหน่อยออใยัง
00:14:29 → 00:14:32 หวานไปใส่ใส่น้้ำปลายกลายไปไปไปมาได้ทั้ง
00:14:32 → 00:14:34 หวานทั้ง
00:14:34 → 00:14:38 เค็มก็รสจัดละทีนี้นะคะจัดว่าจะทำร้ายไต
00:14:38 → 00:14:41 ไปละนะคะเพราะว่าคือถ้าถ้ากินกินเปรี้ยว
00:14:41 → 00:14:44 กับกินเผ็ดเนี่ยผมว่าไม่ไม่เป็นไรไม่ไม่
00:14:44 → 00:14:46 ทำร้ายไตแล้วไม่ทำร้ายสุขภาพด้วยคนที่กิน
00:14:46 → 00:14:48 พริกกับกินมะนาวเยอะๆเนี่ยสุขภาพดีครับ
00:14:48 → 00:14:53 อ๋อแต่อย่าหวานมันเค็มเใช่หวานมันเค็ม
00:14:53 → 00:14:55 เนี่ยก็หลีกเลี่ยงนะฮะแต่พริกเผ็ดกับ
00:14:55 → 00:14:57 เปรี้ยวอาหารไทยนี่ได้เปรียบอย่างนึงคือ
00:14:57 → 00:15:00 มีเผ็ดกับเปรี้ยวนำอยู่พอสมควรเพราะ
00:15:00 → 00:15:02 ฉะนั้นถ้าใส่มะนาวเยอะใส่พริกเยอะไม่เป็น
00:15:02 → 00:15:05 ไรก็ไม่ไม่ไม่ทำให้เป็นโรคโรคเบาหวานความ
00:15:05 → 00:15:08 ดันอะไรต่างๆไม่เกี่ยวค่ะขับดีแต่สุขภาพ
00:15:08 → 00:15:11 ด้วยซ้ำไปครับอืแล้วก็อันนี้เกี่ยวกับ
00:15:11 → 00:15:13 เรื่องของอาหารรสจัดแต่ว่ารสจัดเนี่ยคือ
00:15:13 → 00:15:16 เปรี้ยวกับเผ็ดได้อันนี้โอเคไม่เกี่ยวกับ
00:15:16 → 00:15:23 ไตนะคะใช่ๆ่แล้ว๋เว้นวาบางคนเคทั้งที่ตอน
00:15:23 → 00:15:26 นี้เปัญหาคือตอนนี้เขบอกเกินเผ็ดเผ็ดมาก
00:15:26 → 00:15:28 อาหารที่ตอนนี้คคนหลีกเลี่ยงเพราะว่ามัน
00:15:28 → 00:15:31 กินแล้วมีปัญหาลำไส้ท้องเสียปวดท้องแสบ
00:15:31 → 00:15:33 ท้องอันนั้นก็เป็นอีกเรื่องนึงคือเผ็ด
00:15:33 → 00:15:36 เผ็ดปานกลางนจะไปเผ็ดจัดมากครับอืออ๊แต่
00:15:36 → 00:15:39 บางคนกินน่ากลัวมากเลยค่ะผมแบบอย่างเพ็ด
00:15:39 → 00:15:42 เห็นแล้วโอ้โหไม่รู้จะกระเพาะทะลุพังไป
00:15:42 → 00:15:44 ขนาดไหนแล้วเหมือนกันนะคะแต่มันก็ความชอบ
00:15:44 → 00:15:46 เนาะคุณหมอเนาะอันนี้ก็ไม่ว่ากันแต่อยาก
00:15:47 → 00:15:50 กินเค็มดีที่สุดกับหวานเนาะใช่มั้ยคะหรือ
00:15:50 → 00:15:53 แม้กระทั่งกินดื่มน้ำน้อยหรืมากเกินไปก็
00:15:53 → 00:15:56 ไม่ดีกับไตใช่มั้คะใช่ครับๆเพราะดื่มน้ำ
00:15:56 → 00:15:59 น้อยมันก็ทำให้ของเสียเสต่างๆเกลือแร่
00:15:59 → 00:16:02 ต่างๆออกจากร่างกายโดยทางปัสสาวะเนี่ย
00:16:02 → 00:16:05 น้อยลงค่ะเพราะะนั้นก็ทำให้ทำให้เอ่อของ
00:16:05 → 00:16:07 เสียพวกนี้คั่งอยู่หรือว่าทางเกลือแร่
00:16:07 → 00:16:11 ต่างๆพวกนี้มันก็เข้มข้นเหมือนกับเวลาเรา
00:16:11 → 00:16:13 เราปัสสาวะนี่ต้องขับเกลือแร่ส่วนเกินโดย
00:16:13 → 00:16:15 เฉพาะพวกหินปูนพวกแคลเซียมต่างๆพวกเนี้ย
00:16:15 → 00:16:18 ค่ะพอพอถ้าเกิดเข้มข้นมันจะตกตะกอนนะมัน
00:16:18 → 00:16:21 กลายเป็นเป็นหินปูนหรือเรียกว่าเป็นก้อน
00:16:21 → 00:16:25 หินก้อนกวดที่เรียกว่านิ่วอ่าคนคนคนไทย
00:16:25 → 00:16:27 โดยเฉพาะต่างจังหวัดภาคอีสานเป็นนิ่วเยอะ
00:16:27 → 00:16:30 มากนิ่้วในไตนะอ๋อนิส่วนหนึงคือว่าทำงาน
00:16:30 → 00:16:33 กลางแจ้งก็ไม่ไม่ไม่ดื่มน้ำน้อยไปอ๋อเสี
00:16:33 → 00:16:35 เหนื่อเยอะเพราะะนั้นการการดื่มน้ำมากๆจะ
00:16:36 → 00:16:38 ทำให้ให้ไม่เป็นโร่งนิ่วเพราะเป็นโรกนิ่ว
00:16:38 → 00:16:40 นปวดนะปวดเอวปวดกระเพาะปัสสาวะเยอะเพราะ
00:16:40 → 00:16:43 มันหินมันระคายเครื่องนะฮะบางคนก็ทำให้
00:16:43 → 00:16:46 ติดเชื้อไตวายได้ังนั้นก็ต้องดื่มน้ำให้
00:16:46 → 00:16:49 ให้เยอะวันนึงประมาณสัก 8 6-8 แก้วแต่
00:16:49 → 00:16:52 ถ้าทำงานกางแจ้งนะกินไปเลย 10 แก้วอืถ้า
00:16:52 → 00:16:55 คนทำงานเสียเหงื่อมากๆค่ะครับถ้าอย่างน้ำ
00:16:55 → 00:16:59 น้อยกินน้ำน้อยมันก็อ่ะรู้และว่ามันมัน
00:16:59 → 00:17:02 เป็นอะไรแต่แบบไหนถึงเรียกว่ากินน้ำเยอะ
00:17:02 → 00:17:05 ไปก็มีผลกับไตอ่ะค่ะมีบ้างแต่ไม่ค่อยไม่
00:17:05 → 00:17:08 ค่อยไม่ค่อยบ่อยเพราะคือมันต้องกินขนาด
00:17:08 → 00:17:10 ที่เรียกว่าเป็น 10 ลิตรต่อวันอย่างงั้น
00:17:10 → 00:17:14 10 ลิตรก็เป็น 20 30 แก้วซึ่งซึ่งซึ่ง
00:17:14 → 00:17:18 คนปกติคนปกติเไม่กินกัน
00:17:18 → 00:17:22 น่ะยบางคนบางคนเป็นโรคเครียดหรือว่าเป็น
00:17:22 → 00:17:25 โรคที่ชอบดื่มน้ำมากๆอันนั้นก็จะมีเรียก
00:17:25 → 00:17:27 เป็นภาวะน้ำเอ่อ
00:17:27 → 00:17:31 เอเป็นที่จักเป็นการดื่มน้ำมากเกินไปเก
00:17:31 → 00:17:34 ได้ต่ำอันนี้แต่พบน้อยมากครับออืส่วนใหญ่
00:17:34 → 00:17:37 ต้องกินเป็น 10 ลิตรฮอ่าออแต่ว่าน้ำที่
00:17:37 → 00:17:39 ดื่มเนี่ยคือเป็นน้ำธรรมดาน้ำเปล่าธรรมดา
00:17:39 → 00:17:43 ไม่ใช่ว่าแบบไปเป็นชานมไข่มุกน้ำอัดลม
00:17:43 → 00:17:46 อะไรอย่างงี้หมอบอกว่า 7-8 แก้วเลยกินทุก
00:17:46 → 00:17:49 วันเลยอ่าัก 6 6 -8 แก้วกินน้ำเปล่าดี
00:17:49 → 00:17:53 กว่าน้ำเปล่าดีที่สุดนะน้ำน้ำปลาน้ำนมไข่
00:17:53 → 00:17:56 มุกต่างๆมันมีน้ำตาลเยอะอืน้ำตาลจะกิน
00:17:56 → 00:17:59 เข้าไปเยอะมากสังเกตดูว่าคนที่กินน้ำหวาน
00:17:59 → 00:18:02 น่ะน้ำหนักเยอะน้ำหนักเกินทุกคนค่ะเพราะ
00:18:02 → 00:18:05 ว่าพลังงานมันสูงมากเลยแล้วก็เป็นโรคนำ
00:18:05 → 00:18:07 โรคไปสู่เบาหวานความดันโรคอ้วนต่างๆเยอะ
00:18:07 → 00:18:10 มากเพราะะนั้นอือไานมไข่มุกอะไรเนี่ยผม
00:18:10 → 00:18:13 ว่านานๆค้างผมห่วงสุขภาพโดยเฉพาะเยาวชน
00:18:13 → 00:18:17 เรานะค่ะใช่มั้ยไปกินมันติดอ่ะชานมไข่มุก
00:18:17 → 00:18:20 กินแล้วมันสดชื่นหวานแล้วก็อร่อยแต่ว่า
00:18:20 → 00:18:22 ระยะยาวเี่ถ้ากินทุกวันเนี่น้ำหนักขึ้น
00:18:22 → 00:18:26 แน่นอนเลย่ะคนไข้ผมก็จะเป็นเป็นเบาหวานนะ
00:18:26 → 00:18:29 ถ้าหยุดชานมไข่มุกชานมไข่มุกได้แล้วหยุด
00:18:29 → 00:18:32 น้ำหวานได้นะโอ้โหน้ำตาลลงมาเกือบใกล้ๆ
00:18:32 → 00:18:34 ปกติเลยหรว่าไม่ต้องกินยาเลยบางคนไม่ชอบ
00:18:34 → 00:18:38 กินน้ำอัดลมชอบกินอือกาแฟเย็นเงี้ยโอ้โห
00:18:38 → 00:18:41 ค่ะกาแฟเย็นนี่หวานมากทั้งนมข้นทั้งน้ำ
00:18:41 → 00:18:44 ตาลทั้งอะไรต่างๆนะครับใช่เพรานั้นก็ก็ก็
00:18:44 → 00:18:47 เอาแบบพอสมควรนะนานๆทานครั้งนึงหรือว่า
00:18:47 → 00:18:51 ถ้าถ้าคนแก้ผมติดกาแฟผมก็บอกกินองกาแฟดำ
00:18:51 → 00:18:54 ได้มย้ากาแฟดำได้ก็ดีที่สุดอืถ้ากาแฟไม่
00:18:54 → 00:18:56 จำไม่ได้ก็เป็นกาแฟใส่นมนมสดแล้วกัน
00:18:56 → 00:18:59 เดี๋ยวใส่นมข้นเลยนะใส่นมสดน้ำตาลน้ำตาล
00:18:59 → 00:19:03 น้อยลงเรื่อยๆค่ะปกติปกติเราเราบอกว่าให้
00:19:03 → 00:19:06 กินน้ำตาลน้อยๆนะครับแต่ว่าบางคนติดใช่
00:19:06 → 00:19:09 มั้ยอืหักักกิเี่กินไม่ได้กาแฟกาแฟดำกิน
00:19:09 → 00:19:11 ไม่ได้ก็บอกว่าอ้าลดลงมาหน่อยักจากใส่ก
00:19:11 → 00:19:15 น้ำตาลช้อนนึงเอเหลือ 3-4 ช้อนก่อนอื
00:19:15 → 00:19:18 เดือนนึงเหลือครึ่งช้อนอ่าค่อยๆลดทีละ
00:19:18 → 00:19:20 น้อยทีละน้อยนะฮะจนกระทั่งใจแข็งจริงๆ
00:19:20 → 00:19:24 เป็นกาแฟดำได้อืเพค่อยๆค่อยๆลดลงคนเรามัน
00:19:24 → 00:19:27 ปรับได้ปลิ้นหรือว่าสมองโปรแกรมให้ความ
00:19:27 → 00:19:31 อร่อยอยู่ที่ลิ้นเนี่ยด้วยหวานน้อยหรือ
00:19:31 → 00:19:34 เค็มน้อยทำได้แต่ต้องค่อยๆทำค่อยๆปรับใช้
00:19:34 → 00:19:37 เวลานะอือันนี้คือดิบแต่หกักดิบเนี่ยมัน
00:19:38 → 00:19:41 จะมันทรมานเ่ะมันรับไม่ได้ครับเดี๋ยวจะ
00:19:41 → 00:19:43 กลายเป็นว่าไม่มีความสุขกับการกินเพียง
00:19:43 → 00:19:45 แต่ว่ากินให้มันให้มันเหมาะสมแต่เชื่อว่า
00:19:45 → 00:19:49 เอ่อการลดเค็มลดหวานหรืออะไรเงี้ยพอร่าง
00:19:49 → 00:19:51 กายปรับสภาพได้ลิ้นปรับสภาพได้แล้วอ่ะพอ
00:19:51 → 00:19:53 เรามากินอีกทีนึงอ่ะจะรู้สึกว่าเฮ้ยเรา
00:19:53 → 00:19:56 กินมาได้ยังไงเมื่อก่อนหวานขนาดนี้เค็ม
00:19:56 → 00:19:59 ขนาดนี้ใช่มั้ยคะใช่ครับใช่อืหลายคนเป็น
00:19:59 → 00:20:01 แบบนั้นเลยประสบการณ์จริงครับค่ะเพราะ
00:20:01 → 00:20:03 ฉะนั้นถ้าเกิดไม่อยากจะมานั่งฟอกไตหรือ
00:20:03 → 00:20:06 ว่ามาไตเสื่อมหรือไตวายหรืออะไรอย่าง
00:20:06 → 00:20:09 เงี้ยก็ไม่ควรนะคะเพราะว่ามันคือคือเรา
00:20:09 → 00:20:12 ระวังได้อ่ะมันมียังมีให้เราได้ระวังได้
00:20:12 → 00:20:14 หรือว่าดูแลป้องกันตัวเองได้อ่ะไม่ต้องรอ
00:20:14 → 00:20:17 แบบว่าเจ็บป่วยแล้วก็ค่อยมาหาหมอหรือว่า
00:20:17 → 00:20:20 มากินยาทีนี้กินยาตลอดชีวิตเลยใช่ไหมมคะ
00:20:20 → 00:20:22 ต้องเฟอกไตก็ฟอกกันทั้งชีวิตด้วยใช่ไมยคะ
00:20:22 → 00:20:25 กินยากินยาเบาหวานความดันน่ะส่วนใหญ่จะ
00:20:25 → 00:20:28 กินตลอดชีวิตถ้าถ้าไม่ปรับเปลี่ยน
00:20:28 → 00:20:30 พฤติกรรมนะไม่เปลี่ยนไม่ปรับไม่ปรับ
00:20:30 → 00:20:33 เปลี่ยนการกินก็ต้องกินยาไปตลอดคือกินไม่
00:20:33 → 00:20:36 ดีก็ต้องกินยาาเข้าไปสู้เข้าไปช่วยถ้ากิน
00:20:36 → 00:20:39 อาหารดีก็อาจจะกินยาน้อยหรือหยุดยาได้แต่
00:20:39 → 00:20:42 ถ้าเกิดเป็นมากๆแล้วพอไปล้างไตแล้วเนี่ย
00:20:42 → 00:20:44 คราวนี้ยาไม่ยาก็ไม่ช่วยไม่ได้แล้วครับ
00:20:44 → 00:20:47 อือก็ก็เรียกว่าทูทเพราะฉะนั้นบอกว่าอย่า
00:20:47 → 00:20:50 อย่าให้ถึงกับล้างไตเลยพอเริ่มเป็นก็ป้อง
00:20:50 → 00:20:53 กันไว้ดีกว่าคืออย่าให้มันไตวายเลยก็กิน
00:20:53 → 00:20:56 ยากินอาหารให้มันอิดหน่อยครับครับอืถ้า
00:20:56 → 00:20:59 อย่างงี้ไม่ไม่แน่ใจไปตรวจสุขภาพล้าตลอด
00:20:59 → 00:21:02 ชีวิตออใช่ไปตรวจสุขภาพก่อนเลยปีละครั้ง
00:21:02 → 00:21:04 ใช่มั้ยคะไปไปดูว่าเออสุขภาพเราเป็นยังไง
00:21:04 → 00:21:07 มีความเสี่ยงมั้ยอย่างเงี้ยเนาะแล้วผมว่า
00:21:07 → 00:21:10 เราเราเป็นชาวพุทธเี่นะผมว่าทำอะไรเดิน
00:21:10 → 00:21:13 สายกลางอ่ะดีที่สุดนะครับไม่ว่าจะ
00:21:13 → 00:21:16 พฤติกรรมไม่ว่าจะเป็นทางจิตใจนะฮะ
00:21:16 → 00:21:19 พฤติกรรมก็เช่นว่ากินอาหารก็รสชาติกลางๆ
00:21:19 → 00:21:23 อืน้อยแล้วก็อยากกินปริมาณมากนักกินพอพอ
00:21:23 → 00:21:26 อิ่มแล้วกินให้มีความสุขยการกินแต่ว่าไม่
00:21:26 → 00:21:28 ใช่สุขมากจนกระทั่งแบบเป็นป่วยเป็นโรคนะ
00:21:28 → 00:21:30 ครับเพราะฉะนั้นการกินอาหารหวานมันเค็มก็
00:21:30 → 00:21:34 มีความเสี่ยงนะออกกำลังกายให้เพียงพอนะ
00:21:34 → 00:21:37 ครับแล้วก็พักผ่อนให้ให้ให้ดีนะครับให้
00:21:37 → 00:21:41 เพียงพอรวมทั้งเรื่องของการดื่มน้ำให้พอ
00:21:41 → 00:21:44 เหมาะนะครับจะดื่มน้อยหรือมากเกินไปรวม
00:21:44 → 00:21:46 ทั้งหลีกเลี่ยงสิ่งที่อาจจะมีพิษต่อไตไม่
00:21:46 → 00:21:49 ว่าจะเป็นยาที่ไม่จำเป็นหรือว่าบุหรี่
00:21:49 → 00:21:52 แอลกอฮอล์ต่างๆพวกนี้ก็มีความเสี่ยงต่อ
00:21:52 → 00:21:56 ทั้งหัวใจแล้วก็โรคไตนะครับรวมทั้งเอ่อ
00:21:56 → 00:21:59 เราต้องตรวจสุขภาพเป็นเป็นจำเนี่ยนะครับ
00:21:59 → 00:22:01 เหมือนกับเราเช็คอัพปีละครั้งนึงก็แป๊บ
00:22:01 → 00:22:04 เดียวก็เสร็จแล้วแล้วเราก็จะได้รักเป็นไร
00:22:04 → 00:22:06 ก็รักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้นดีกว่ารอให้
00:22:06 → 00:22:08 เป็นมากซึ่งตอนนั้นมันก็ไม่ทันแล้วอาจจะ
00:22:08 → 00:22:10 ต้องล้างไตไปตลอดชีวิตป้องกันดีกว่ารักษา
00:22:10 → 00:22:12 นะครับค่ะอันนี้ก็ฝากไว้นะคะเพราะว่า
00:22:12 → 00:22:14 พฤติกรรมหลายอย่างต่อให้ไม่กินเค็มมันก็
00:22:14 → 00:22:16 มีอย่างอื่นที่ทำให้เราเสี่ยงกับการที่จะ
00:22:16 → 00:22:18 เป็นโรคตายได้เช่นเดียวกันนะคะก็วันนี้
00:22:18 → 00:22:21 ได้คำแนะนำดีๆจากคุณหมอไปแล้วนะคะลองดู
00:22:21 → 00:22:23 ค่ะคุณผู้ฟังถ้าอยากสุขภาพแข็งแรงก็เรา
00:22:24 → 00:22:26 ต้องทำด้วยตัวเราเองนะคะขอบคุณคุณหมอค่ะ
00:22:26 → 00:22:28 ที่มาร่วมพูดคุยกับรายการโรงหมอของเรา
00:22:28 → 00:22:31 ด้วยนะคะขอบคุณค่ะสดีครับสวัสดีครับค่ะ
00:22:31 → 00:22:34 สวัสดีค่ะเอาล่ะค่ะคุณผู้ฟังหมดเวลาแล้ว
00:22:34 → 00:22:36 ค่ะเราจะกลับมาพบกันใหม่ครั้งหน้ากับราย
00:22:36 → 00:22:39 การโรงหมอทางไย PBS podcast นะคะวันนี้
00:22:39 → 00:22:41 ลาไปก่อนสวัสดี
00:22:41 → 00:22:45 ค่ะ This Is Thai PBS podcast กรดไหล
00:22:45 → 00:22:47 ย้อนอาการที่เกิดจากพฤติกรรมการรับประทาน
00:22:47 → 00:22:50 อาหารและการใช้ชีวิตผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร
00:22:50 → 00:22:52 เอกราชบำรุงพืชผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ
00:22:52 → 00:22:56 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตมาบอกให้รู้ครับ
00:22:56 → 00:22:58 สาเหตุของกฎไหลย้อนเนี่ยมันก็เกิดขึ้นจาก
00:22:58 → 00:23:01 ความดันของหูรูดหลอดอาหารเนี่ยครับมัน
00:23:01 → 00:23:04 เหมือนพูดง่ายๆว่ามันเกิดการเลื่อนหรือ
00:23:04 → 00:23:07 การเสื่อมซึ่งมันก็จะมีผลทำให้กรดเนี่ย
00:23:07 → 00:23:09 ที่มันอยู่ที่กระเพาะอาหารนะครับค่ะมัน
00:23:09 → 00:23:12 ย้อนขึ้นมาแล้วมันก็มาแบบทำลายทางเดิน
00:23:12 → 00:23:15 อาหารของเราส่วนต้นทำให้เรารู้สึกแบบโอโห
00:23:15 → 00:23:18 แสบแสบใช่อ่าขึ้นมาเลยเพราะว่ากรดเนี่ย
00:23:18 → 00:23:20 มันต้องย่อยโปรตีนอยู่ที่กระเพาะแต่มัน
00:23:20 → 00:23:22 ไม่หน้าที่ของมันเนี่ยคือกรดคือย่อยอาหาร
00:23:22 → 00:23:24 ประเภทโปรตีนหรือเนื้อสัตว์อยู่ที่
00:23:24 → 00:23:28 กระเพาะค่ะนะแต่ว่ามันย้อนขึ้นมาก็ทำให้
00:23:28 → 00:23:31 มันมันมีอาการอย่างที่เราเจอกันอยู่บ่อยๆ
00:23:31 → 00:23:33 นะครับอ่าซึ่งอาการเหล่าเนี้ยถามว่ามัน
00:23:34 → 00:23:37 สามารถลดลงได้มยมันก็สามารถลดลงได้นะไอ้
00:23:37 → 00:23:40 เจ้ากดไหลย้อนเนี่ยนะครับขึ้นอยู่กับ
00:23:40 → 00:23:42 อาหารที่เราบริโภคแลว่าเราไปกินอาหารที่
00:23:42 → 00:23:46 ไปเหนี่ยวนำหรือกระตุ้นให้เกิดอาการเนี้ย
00:23:46 → 00:23:49 มากน้อยแค่ไหนบางทีแบบเฮ้ยอายุเพิ่มมาก
00:23:49 → 00:23:53 ขึ้นมันก็เริ่มเสื่อมนะไอ้หูรูดอ่ะที่มัน
00:23:53 → 00:23:56 ป้องกันไม่ให้มันย้อนขึ้นมาเนี่ยก็เริ่ม
00:23:56 → 00:23:58 แบบเฮ้ยส่วนหรือเรากินอาหารเยอะเกิน
00:23:59 → 00:24:01 นึกออกมั้ยครับคือมันเยอะมากเกินน่ะมันก็
00:24:01 → 00:24:04 ล้นน่ะค่ะปรากฏการณ์ล้นกระเพาะอาหารล้น
00:24:04 → 00:24:07 กระเพาะอันนี้ก็เยอะเกินอันนั้นก็ไม่มีเพ
00:24:07 → 00:24:10 กินแบบแน่นเกินล้นเกินนะมันก็ทะลักย้อน
00:24:10 → 00:24:13 ขึ้นมาอแล้วก็จะต้องควบคุมอาหารมื้อที่
00:24:13 → 00:24:17 เรากินด้วยนะครับว่าแบบไม่ได้กินจุกเกิน
00:24:17 → 00:24:20 ไปอิ่มเกินไปนะครับแล้วพอกินเสร็จปุ๊บบาง
00:24:20 → 00:24:23 คนกินเสร็จแล้วนอนเลยก็มีผลคือยังไม่ทัน
00:24:23 → 00:24:25 ได้ย่อยยังไม่ทันดูดซึมขนส่งเลยอย่างน้อย
00:24:25 → 00:24:28 เนี่ยต้อง 3 ชั่วโมงนะหรือ 4 ช่วโมงค่ะถ
00:24:28 → 00:24:31 จะนอนแต่พอกินเสร็จปุ๊บนอนเลยซึ่ง
00:24:31 → 00:24:34 ธรรมชาติของคนนึกออกมั้ยครับค่ะพอนอนปุ๊บ
00:24:34 → 00:24:36 มันก็เอียงลงมาก็โอกาสที่กดจะไหลย้อนขึ้น
00:24:37 → 00:24:39 มานะที่หลอดอาหารทางเดินอาหารของเราเนี่ย
00:24:39 → 00:24:43 ส่วนต้นเนี่ยมากขึ้นซึ่งเราก็ต้องเรียก
00:24:43 → 00:24:45 เรียงอาหารที่มันกระตุ้นให้เกิดความเป็น
00:24:45 → 00:24:48 กรดไหลย้อนด้วยนะพวกอาหารที่มีความเป็น
00:24:48 → 00:24:51 เอ่อกรดสูงทั้งหลายแหล่เนาะบางคนชอบกิน
00:24:51 → 00:24:55 น้ำอัดลมเห็นมั้ยที่เราเอิกๆๆขึ้นมานั่น
00:24:55 → 00:24:57 น่ะค่ะมันก็เอาไอ้พวกน้ำย่อยพวกกรดเนี่ย
00:24:57 → 00:25:01 ขึ้นมาด้วยออนะพวกนั้นก็ต้องพึงระวังน้ำ
00:25:01 → 00:25:05 อัดลมทั้งหลายแหล่อาหารพวกเครื่องดื่มพวก
00:25:05 → 00:25:08 กาแฟนี่ต้องเลี่ยงเลยนะคนเป็นกรดไหลย้อน
00:25:08 → 00:25:11 เนี่ยอืเพราะมันมีความเป็นโรธอยู่สูงด้วย
00:25:11 → 00:25:13 แล้วก็มีโอกาสทำให้อาการรธไหลย้อนเนี่ย
00:25:13 → 00:25:17 กำเริบมากขึ้นนะอาหารที่มีอ่ากาแฟกาแฟนะ
00:25:17 → 00:25:22 ครับน้ำอัดรม์นะโอ้โหตัวดีทั้งนั้นอ่า
00:25:22 → 00:25:26 อาหารรสจัดรสจัดในที่นี้ก็คือพวกเผ็ดจัด
00:25:26 → 00:25:31 เค็มจัดนะไขมันสูงไขมันสูงนี่ก็ตัวดี
00:25:31 → 00:25:34 เหมือนกันที่มีโอกาสนะครับที่ทำให้เกิด
00:25:34 → 00:25:37 เอ่ออาการของกดไหลย้อนขึ้นมาได้นะครับอัน
00:25:37 → 00:25:39 พวกเนี้ยนะสำคัญเลยแล้วยิ่งที่กินเยอะ
00:25:39 → 00:25:43 ด้วยนะแล้วยิ่งแบบกินกาแฟดื่มแอลกอฮอล์
00:25:43 → 00:25:45 อะไรพวกเยครับส่วนใหญ่มันก็จะไม่ค่อย
00:25:45 → 00:25:48 healy สักเท่าไหร่นะอาหารมันจัดกินของ
00:25:48 → 00:25:51 มันๆเยอะๆค่ะนะโอกาสที่จะไปกระตุ้นทำให้
00:25:51 → 00:25:54 เกิดกดไหลย้อนก็มากขึ้น
00:25:54 → 00:26:00 อีก This Is Thai PBS podcast
00:26:00 → 00:26:03 ติดตามรายการของ Thai PBS podcast ได้
00:26:03 → 00:26:19 ทางเว็บไซต์ www.thaipbs.or.th
00:26:19 → 00:26:22 [เพลง]