00:00:00 → 00:00:03 This Is Thai PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:04 world vi The
00:00:04 → 00:00:08 Voice คำว่า S Talk มันเป็นคำกลางๆเนาะ
00:00:08 → 00:00:09 มันก็เหมือนปกติเราคุยกับเพื่อนอะไรเงี้ย
00:00:09 → 00:00:11 ครับแต่ว่า S Talk นี่คือการคุยกับตัว
00:00:11 → 00:00:13 เองทีนี้การคุยกับตัวเองจริงๆมันจะมีการ
00:00:13 → 00:00:16 พูดรำพึงรำพันทั่วๆไปก็มีนะบางทีมันเป็น
00:00:16 → 00:00:18 การถามตัวเองทีนี้ผมเชื่อว่าทุกคนนะครับ
00:00:18 → 00:00:20 จะมีกระบวนการอย่างเงี้ยที่เกิดขึ้นอยู่
00:00:20 → 00:00:22 แล้วละบางคนออกเสียงบางคนไม่ออกเสียงบาง
00:00:22 → 00:00:24 คนเป็นการคิดในใจแล้วถามตัวเองแต่บางคน
00:00:24 → 00:00:26 รู้สึกอยากพูดออกเสียงอ่ะแต่บางทีถ้าพูด
00:00:26 → 00:00:29 เยอะไปก็น่ากลัวคนบางคนจะชอบใช้กระบวนการ
00:00:29 → 00:00:31 นี้กับตัวเองเยอะบางทีเหงาก็คุยกับตัวเอง
00:00:31 → 00:00:33 ก็มีครับเก็เลยอาจจะแบบจินตนาการว่ามีตัว
00:00:33 → 00:00:35 เองอีกคนนึงคุยกับตัวเองในกระจกก็มีแต่
00:00:35 → 00:00:36 ถ้ามากไปก็ไม่ค่อยดีครับเพราะว่าความเหงา
00:00:37 → 00:00:39 บางทีมันก็กัดกินให้เราแบบเอ่อรู้สึกโดด
00:00:39 → 00:00:41 เดี่ยวหรืออาจจะคล้ายๆเริ่มีบุคลิกบาง
00:00:41 → 00:00:43 อย่างแปลกแยกจากสังคมก็
00:00:43 → 00:00:47 มีฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทยฟัง
00:00:47 → 00:00:51 รายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงษ์สถิตพรค่ะ
00:00:51 → 00:00:53 This Is Toy PBS
00:00:53 → 00:00:56 podcast ติดตามกันค่ะสำหรับในวันนี้นะคะ
00:00:56 → 00:00:59 คุณผู้ฟังมีเรื่องที่น่าสนใจที่เรียกได้
00:00:59 → 00:01:02 ว่าหลายคนอาจจะไม่เคยเซลฟ Talk กับตัวเอง
00:01:02 → 00:01:04 อะไรคือเซล Talk คือก็การคุยกับตัวเอง
00:01:04 → 00:01:07 นั่นแหละนะคะชุบชูชีวิตด้วย Positive S
00:01:07 → 00:01:10 ทคนะคะกับดรสุววุฒิวงษ์ทาสวัสดิ์ณ
00:01:11 → 00:01:13 จิตวิทยาการปรึกษาค่ะสวัสดีค่ะคุณเอิ้นขา
00:01:13 → 00:01:16 สวัสดีครับคุณรีสวัสดีครับคุณผู้ฟังค่ะ
00:01:16 → 00:01:20 คุยกับตัวเองนะคะคือคุยกับตัวเองต้องคุย
00:01:20 → 00:01:22 ยังไงไม่ได้บ้านะไม่ได้บ้าไม่ได้บ้าใช่
00:01:22 → 00:01:24 มั้ยเออเพราะเดี๋ยวนี้เห็นคนคุยกับตัวเอง
00:01:24 → 00:01:27 บ่อยเยอะตามหน้าข่าวอะไรอย่างเงี้ยอัน
00:01:27 → 00:01:31 นั้นเคุยคุยคนเดียวหรือคุยกับตัวเอง
00:01:31 → 00:01:34 เดี๋ยวนะอันนี้ข่าวไหนอ่ะข่าวที่มีอยู่
00:01:34 → 00:01:36 ทุกคือการการคุยกับตัวเองอ่ะครับต้องต้อง
00:01:36 → 00:01:39 ดูให้ดีว่าเอ่อเจ้าตัวที่กำลังพูดเนี่ย
00:01:39 → 00:01:42 ครับเค้ารับรู้จริงๆใช่มั้ยว่าเากำลังแค่
00:01:42 → 00:01:45 ออกเสียงออกมาเพราะเขาไม่ได้แบบคล้ายๆจะ
00:01:45 → 00:01:47 เอาความคิดมาในหัวแล้วแบบเป็นแค่เสียง
00:01:47 → 00:01:49 ความคิดในหัวแต่เขาแค่อยากพูดเพื่อเรียบ
00:01:49 → 00:01:52 เรียงพูดเพื่อทบทวนอะไรบางอย่างอืถ้าเขา
00:01:52 → 00:01:55 รู้ตัวอันเนี้ยไม่ได้เป็นโรคทางจิตเวท
00:01:55 → 00:01:58 อะไรออฮแต่ก็ถ้าเกิดสมมุติเป็นการพูดที่
00:01:58 → 00:02:01 แบบเหมือนมีตัวละครบางอย่างที่แบบเฮ้ยอัน
00:02:01 → 00:02:03 นี้ตัวละครอะไรมาจากไหนอแล้วเจ้าตัวบอก
00:02:03 → 00:02:06 ว่ามีจริงๆอือะไรเงี้ยฮะอันนี้สมมุติถ้า
00:02:06 → 00:02:09 ถ้าเป็นทางแบบทางสายนับนับือผีอาจจะบอก
00:02:09 → 00:02:12 ว่าโอเคเาอาจจะมีจิตสัมผัสแต่เราจะไม่พูด
00:02:12 → 00:02:14 เรื่องนั้นเพราะผมไม่รู้สจินตนาการ
00:02:14 → 00:02:17 จินตนาการนะแต่เเชื่อว่ามีจริงแต่มันดู
00:02:17 → 00:02:19 แบบเอ้ยมันดูกระทบชีวิตแล้วทุกอย่างมัน
00:02:19 → 00:02:21 กลายเป็นคุยกับตัวละครอะไรก็ไม่รู้เต็มไป
00:02:21 → 00:02:23 หมดแล้วเขาใช้ชีวิตแปลกๆอย่างเงี้ยครับ
00:02:23 → 00:02:25 มันก็อาจจะเป็นไปได้ว่าคนๆเนี้อาจจะกำลัง
00:02:25 → 00:02:28 มีภาวะของโรคจิตเภทก็ได้อืที่เห็นภาพหลอน
00:02:28 → 00:02:30 หรือหูแว่วหรืออะไรก็แล้วแต่เพราะฉะนั้น
00:02:30 → 00:02:33 การเฟ Talk เนี่ยกับตัวเองเนี่ยก็คือการ
00:02:33 → 00:02:36 คุยกับตัวเองเพื่อถามอะไรบางอย่างเองใช่
00:02:36 → 00:02:38 ครับตอบข้อสงสัยในตัวเองบางอย่างก็มีก็มี
00:02:38 → 00:02:42 หรือหรือจะต้องเป็นในแง่มุมในเรื่องของ
00:02:42 → 00:02:46 Positive การคิดบวกอย่างงั้นอย่างครับ
00:02:46 → 00:02:48 จริงๆแล้วคำว่า Self Talk มันเป็นคำกลาง
00:02:48 → 00:02:50 ๆเนาะเ Talk มันก็เหมือนปกติเราคุยกับ
00:02:50 → 00:02:51 เพื่อนอะไรเงี้ยครับแต่ว่า Self Talk
00:02:51 → 00:02:54 นี่คือการคุยกับตัวเองทีนี้การคุยกับตัว
00:02:54 → 00:02:56 เองจริงๆมันจะมีการพูดรำพึงรำพันทั่วๆไป
00:02:56 → 00:02:58 ก็มีนะอย่างเช่นแบบทำงานบ้านแล้วบ่นมันจะ
00:02:58 → 00:03:01 สกปรกอะไรเยอะแยะอะไรอย่าเงี้ยฮะเออหรือ
00:03:01 → 00:03:03 จะอันนี้คูกับตัวเองเหรอหรือว่าบ่นอาจจะ
00:03:03 → 00:03:05 บ่นด้วยแล้วอาจจะมีการพูดกับตัวเองเช่น
00:03:05 → 00:03:07 แบบสมมุติผมไปซื้อของออแล้วแบบตัดสินใจ
00:03:07 → 00:03:10 ไม่ได้ผมอาจจะมีจุดที่ถามกับตัวเองว่า
00:03:10 → 00:03:13 เอิ้นเราเอาอะไรเป็นหลักวะเนี่ย
00:03:14 → 00:03:17 อออืคิดนานจังเดี๋ยวนะเอาอะไรเป็นหลักถาม
00:03:17 → 00:03:18 ตัวเองดีๆบางทีผมอาจะพูดตัวอย่างงี้ก็ได้
00:03:18 → 00:03:21 ครับจำจำเป็นต้องซื้อมั้ยน้ออะไรอย่าง
00:03:21 → 00:03:22 เงี้ยใช่มั้ยใช่ครับบางทีมันเป็นการถาม
00:03:22 → 00:03:25 ตัวเองอืเออมันจะเป็นการคุยรำพึงรำพัน
00:03:25 → 00:03:27 อะไรเงี้ยครับคุยกับตัวเองใช่ครับเอ่าแต่
00:03:27 → 00:03:30 คนอื่นได้ยินอ่าคนอื่นได้ยินทีนี้ทีนี้ผม
00:03:30 → 00:03:32 เชื่อว่าทุกคนนะครับจะมีกระบวนการอย่าง
00:03:32 → 00:03:34 เงี้ยที่เกิดขึ้นอยู่แล้วละผมว่าทุกคน
00:03:34 → 00:03:37 ผ่านการคุยกับตัวเองมาหมดบางคนออกเสียง
00:03:37 → 00:03:39 บางคนไม่ออกเสียงอือบางคนเป็นการคิดในใจ
00:03:39 → 00:03:42 แล้วถามตัวเองแต่บางคนรู้สึกว่าแบบเรารู้
00:03:42 → 00:03:44 สึกอยากพูดออกเสียงอ่ะมันรำพึงรำพันได้
00:03:44 → 00:03:47 คุยกับตัวเองแล้วมันรู้สึกว่าเออมันจับ
00:03:47 → 00:03:49 ต้องได้มันมีเสียงที่เป็นรูปธรรมมากกว่า
00:03:49 → 00:03:51 เป็นความรู้สึกเนาะว่าใช่ครับเพราะฉะนั้น
00:03:51 → 00:03:53 คนอื่นเนี่ยพอเห็นปรากฏการณ์เดียวกันกับ
00:03:53 → 00:03:56 คนใกล้ๆตัวอาจจะพอมีความเข้าใจว่าเอออัน
00:03:56 → 00:03:59 นี้มันคือการพูดกับตัวเองอือแต่บางทีถ้า
00:03:59 → 00:04:02 พูดเยอะเยอะไปก็น่ากลัวน่ากลัวไปหน่อยคน
00:04:02 → 00:04:04 อาจจะไม่เข้าใจเรื่องนี้เรื่องนี้ก็เลย
00:04:04 → 00:04:06 ต้องอยู่ที่ว่าแบบระดับความพอดีหรือแม้
00:04:06 → 00:04:08 กระทั่งการเข้าอกเข้าใจกันน่ะมันระดับไหน
00:04:08 → 00:04:10 คนบางคนจะชอบใช้กระบวนการนี้กับตัวเอง
00:04:10 → 00:04:12 เยอะใช่คนใกล้ตัวถ้าเข้าใจก็จะแบบเออ
00:04:12 → 00:04:15 ธรรมดาคนๆนี้ก็ชอบคุยกับตัวเองแต่เขายัง
00:04:15 → 00:04:18 คงใช้ชีวิตปกติสามารถทำงานทำการคุยกับทุก
00:04:18 → 00:04:20 คนรู้เรื่องนัหมายความว่าจริงๆแล้วการพูด
00:04:20 → 00:04:22 กับตัวเองที่เยอะอย่างนั้นนะครับอาจจะไม่
00:04:22 → 00:04:24 ใช่ปัญหาหรอกแต่แค่คนอาจจะังไม่เก็ดว่า
00:04:24 → 00:04:26 คืออะไรที่คุยกับตัวเองเยอะๆเนี่ยเพราะ
00:04:26 → 00:04:28 ว่าไม่รู้จะคุยกับใครด้วยได้รือเปล่าก็มี
00:04:28 → 00:04:30 ครับมีความเหงาเพราะบางทีเหงาก็คุยกับตัว
00:04:30 → 00:04:32 เองก็มีครับเก็เลยอาจจะแบบจินตนาการว่ามี
00:04:32 → 00:04:35 ตัวเองอีกคนนึงนั่งคุยกันเองหรือคุยกับ
00:04:35 → 00:04:37 ตัวเองในกระจกก็มีเป็นเรื่องเป็นราวเลย
00:04:37 → 00:04:39 อ่ะนะใช่ครับใช่แต่ถ้ามากไปก็ไม่ค่อยดี
00:04:39 → 00:04:41 ครับเพราะว่าความเหงาบางทีมันก็กัดกินให้
00:04:41 → 00:04:43 เราแบบเอ่อรู้สึกโดดเดี่ยวหรืออาจจะคล้าย
00:04:43 → 00:04:45 ๆเริ่มบุคลิกบางอย่างแปลกแยกจากสังคมก็มี
00:04:45 → 00:04:48 อ้าแล้วเราจะรู้ได้ไงว่ามันมันเกินความพอ
00:04:48 → 00:04:50 ดีในการที่จะคุยกับตัวเองไปแล้วต้องต้อง
00:04:50 → 00:04:52 มองเรื่องการกระทบการใช้ชีวิตนะครับถ้า
00:04:52 → 00:04:55 เราถ้าเราเริ่มไม้ๆคุยอยู่กับตัวเองมาก
00:04:55 → 00:04:57 คุยกับตัวเองมากแล้วบางทีเรามีความคิด
00:04:57 → 00:05:00 ฟุ้งซ่านสับสนอค่ะอ่าพวกนี้ก็อาจจะจะเป็น
00:05:00 → 00:05:02 สิ่งที่ชี้ว่าเอ้ยเรากำลังคุยกับตัวเอง
00:05:02 → 00:05:04 แบบหลุดหลุดทางไปละอือย่างเงี้ยฮะเราก็
00:05:04 → 00:05:06 เริ่มอาจจะแบบไม่ค่อยเข้าสังคมถนัดเท่า
00:05:06 → 00:05:08 ไหร่เข้าสังคมไม่ค่อยได้ค่ะเนาะแต่อันนี้
00:05:08 → 00:05:10 มันจะเป็นจุดที่เราสังเกตได้ว่าเออสิ่ง
00:05:10 → 00:05:12 พวกนี้มันอาจจะเป็นกระบวนการคุยกับตัวเอง
00:05:12 → 00:05:17 ที่อาจจะสะท้อนถึงเอ่อปัญหาบางอย่างในใจ
00:05:17 → 00:05:19 อะไรเงี้ยครับอันนี้ก็เลยเล่าเป็นภาพ
00:05:19 → 00:05:20 กว้างๆว่าจริงๆแล้วการคุยกับตัวเองเนี่ย
00:05:20 → 00:05:22 มันก็จะมีสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่แล้วละอือ
00:05:22 → 00:05:25 เนาะนะครับทีนี้วันเนี้ยเรามาคุยกัน
00:05:25 → 00:05:27 เรื่อง Positive S Talk ค่ะมันก็จะเป็น
00:05:27 → 00:05:30 ภาพที่เป็นคลภาพกับเแยะที่เรากำลังพูดกัน
00:05:30 → 00:05:33 ว่าเฮ้ยคุยกับคนเดียวเพราะเหงาหรือว่าคุย
00:05:33 → 00:05:35 กับคนเดียวแบบอะไรก็ไม่รู้งเงี้ยฮะอ่าไม่
00:05:35 → 00:05:37 ใช่แค่การรำพึงรำพันเฉยๆะนะครับไม่ใช่แค่
00:05:38 → 00:05:40 การคุยกับตัวเองรำพึงรำพันแต่ว่าเรื่อง
00:05:40 → 00:05:42 เนี้ยจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับการที่เราจะมี
00:05:42 → 00:05:45 กำลังใจในการใช้ชีวิตแต่ละวันด้วยอโอหก็
00:05:45 → 00:05:48 แบบว่าเป็น Positive คือในแง่บวกใช่ครับ
00:05:48 → 00:05:50 มันคือการพูดคุยกับตัวเองในแง่บวกจริงๆ
00:05:50 → 00:05:52 แล้วครับเหมือนที่ผมย้ำไปตะกี้ว่าการคุย
00:05:52 → 00:05:54 กับตัวเองเนี่ยมันเป็นไปเพื่อการประมวลผล
00:05:54 → 00:05:56 เป็นการจัดระบบความคิดหรือเป็นการสะท้อน
00:05:56 → 00:05:59 ความคิดตัวเองก็แล้วแต่ค่ะนะครับซึ่งบาง
00:05:59 → 00:06:03 คนก็จะพูดในใจบางคนก็พูดออกเสียงเนาะแล้ว
00:06:03 → 00:06:05 ทีเนี้ยครับไอ้คำว่าเสียงในใจพวกเนี้ยบาง
00:06:05 → 00:06:08 ทีในมุมจิตวิทยามันอาจจะมาจากสิ่งที่เรา
00:06:09 → 00:06:11 มีความเชื่อมีทัศนคติบางอย่างกับชีวิตที่
00:06:11 → 00:06:15 สะสมอยู่ในตัวก็ได้นะครับค่ะบางคนบางคน
00:06:15 → 00:06:18 เติบโตมากับครอบครัวที่แบบทุกคนพูดลบหรือ
00:06:18 → 00:06:21 พูดถึงเขาครบและเขาคก็รู้สึกกับตัวเองลบ
00:06:21 → 00:06:24 อย่างเงี้ยครับพอเค้าพอเค้ามีทัศนคติที่
00:06:24 → 00:06:26 สะสมกับตัวเองว่าตัวเองลบอย่างเงี้ยครับ
00:06:26 → 00:06:28 มันก็เป็นไปได้ว่าประโยคที่เขาจะพูดกับ
00:06:28 → 00:06:31 ตัวเองมันก็จะแบบมีแต่คำตัดเพ้อว่าแบบเออ
00:06:31 → 00:06:33 ที่มันพังเพราะฉันไม่ดีเองแหละเป็นต้นอ
00:06:33 → 00:06:35 อ้าโทษตัวเองไปอครับอันนี้เป็นอันนี้ยก
00:06:35 → 00:06:37 ตัวอย่างไปๆก่อนเพราะว่าเดี๋ยวเราจะไปพูด
00:06:37 → 00:06:39 ลงรายละเอียดอีกทีนึงนะครับค่ะหรือบางคน
00:06:39 → 00:06:42 ถ้าเติบโตมากับการที่ทุกคนชวนมองในแง่บวก
00:06:42 → 00:06:45 อย่าเงี้ยครับเค้าก็มีแนวโน้มที่จะบอกว่า
00:06:45 → 00:06:47 เฮ้ยเรื่องนี้ฉันมีข้อดีอะไรบ้างเฮ้ย
00:06:47 → 00:06:49 เรื่องนี้เอิ้นใช้ได้เลยเรื่องนี้พูดดี
00:06:49 → 00:06:54 หลอนะเนี่ยเป็นต้นเป็นต้นเป็นต้นทัศนคติ
00:06:54 → 00:06:56 อย่างงี้ก็จะทำให้เรารู้สึกมีกำลังใจนะ
00:06:56 → 00:06:58 ครับหรือบางทีการออกเสียงหรือว่าเป็น
00:06:58 → 00:07:01 เสียงความคิดเนี่ยอาจจะเป็นการตอบสนอง
00:07:01 → 00:07:03 ตะกี้เป็นเรื่องทัศนคติในอดีตเนาะทัศนคติ
00:07:03 → 00:07:06 ที่เป็นพื้นของเราในการจะพูดกับตัวเองกับ
00:07:06 → 00:07:08 อีกอันนึงคือเป็นการตอบสนองโดยตรงกับสิ่ง
00:07:08 → 00:07:11 ที่เกิดขึ้นตรงหน้าค่ะนะครับบางทีเช่นแบบ
00:07:11 → 00:07:15 เอ่อสมมุติเราขับรถมาแล้วเลี้ยวผิดแบบ
00:07:15 → 00:07:18 เอิ้นทำไมทำอย่างงี้ทำไมทำอย่างงี้เลี้
00:07:18 → 00:07:20 ผิดกลัวว่าคำประโยคว่าเอิ้นทำไมเลี้ยวผิด
00:07:20 → 00:07:22 เนี่ยน่าจะเป็นคนข้างๆพูดือเปล่าอันนี้ผม
00:07:22 → 00:07:25 พูดกับตัวเองพูเองมีมีเหมือนกันครับบางที
00:07:25 → 00:07:28 แบบน่าจะเลี้ยวซ้ายตะกี้เลยต้องไปอ้อมอีก
00:07:28 → 00:07:31 เลยไกลอ่าใช่ครับแล้วผมเป็นประจำเลยแล้ว
00:07:31 → 00:07:32 ก็ไป
00:07:32 → 00:07:37 สายครับขออภัยทุทุกรายการอ่ะฟังตรงนี้นะ
00:07:37 → 00:07:40 คะอ่าอันนี้อันนี้เป็นตัวอย่างนะฮะทีนี้
00:07:40 → 00:07:42 เหมือนที่ผมย้ำตะกี้ฮะการคุยกับตัวเอง
00:07:42 → 00:07:45 จริงๆแล้วมันจะมีผลต่อสุขภาพจิตเราแน่ๆนะ
00:07:45 → 00:07:48 ครับไม่ว่าจะบวกหรือลบทีนี้นะครับการคุย
00:07:48 → 00:07:50 กับตัวเองเชิงลบเหมือนที่ผมย้ำไปตะกี้มัน
00:07:50 → 00:07:52 คือการที่เราอาจจะมีความรู้สึกคิดลบนะ
00:07:53 → 00:07:55 ครับมีการมองโลกในแง่ไลฟเป็นทุนเดิมหรือ
00:07:55 → 00:07:58 เรามีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีกับตัวเองแล้วก็
00:07:58 → 00:08:01 โลกนี้นะครับซึ่งไอ้ปรากฏการณ์เนี้ยลอง
00:08:01 → 00:08:04 นึกภาพเนาะตัวเราเป็นคนอยู่กับตัวเองตลอด
00:08:04 → 00:08:07 เวลาและนานที่สุดในชีวิตการที่มีเสียงพวก
00:08:07 → 00:08:10 เนี้ยครับพูดกับตัวเองตลอดเวลาว่ามันไม่
00:08:10 → 00:08:13 ดีอย่างงั้นอย่างงี้ตัวฉันมันไม่โอเคอื
00:08:13 → 00:08:15 เออไม่สำเร็จหรอกอย่าไปพยายามเลยเงี้ย
00:08:15 → 00:08:18 ครับมันเหมือนเรามีเพื่อนแบบไม่ค่อยดีัก
00:08:18 → 00:08:20 คนนึงอ่ะที่อยู่ข้างหูเราแล้วก็กรอกหูเรา
00:08:20 → 00:08:23 ตลอดเวลาว่าอย่าพยายามเลยเจรียมตัวไว้
00:08:23 → 00:08:26 อย่างเงี้ยหรือแบบอย่าอย่าคิดใฝ่สูงเงี้ย
00:08:26 → 00:08:29 ครับผมว่าบางคนมีมีคำพูดพวกนี้นะอบางีพูด
00:08:29 → 00:08:31 พวกเนี้ยอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจากตัวเาโดย
00:08:31 → 00:08:33 ตรงก็ได้แต่เขาอาจจะเคยถูกใครสักคนพูดว่า
00:08:33 → 00:08:37 ให้เจรียมตัวไว้เอออย่าใฝ่สูงอืแล้วบางที
00:08:37 → 00:08:39 คำพวกเนี้ยมันเหมือนมันเหมือนฝังเข้าไปใน
00:08:39 → 00:08:42 เมมี่ในหัวเราอ่ะครับในความทรงจำแล้วมัน
00:08:42 → 00:08:44 กลายเป็นว่าตัวเราก็กลายเป็นคนที่แบบ
00:08:44 → 00:08:47 พยายามเบรกตัวเองตลอดเวลาจะได้รับสิ่งดีๆ
00:08:47 → 00:08:49 ได้รับโอกาสอะไรก็ตามหรือแม้กระทั่งได้
00:08:49 → 00:08:51 รับการชื่นชมหรือเรามีโอกาสบางอย่างที่ทำ
00:08:51 → 00:08:54 ให้ชีวิตเราก้าวหน้าอืเราอาจจะบอกว่าอย่า
00:08:54 → 00:08:56 เลยเราไม่คู่ครัวหรอกเจรียมตัวไว้เราเกิด
00:08:57 → 00:09:00 ะโตมาในแบบบ้านที่แบบเรียกอะไรนะบ้านเรา
00:09:00 → 00:09:02 ตระกูลไม่ได้ดีอ่ะออย่าไปมักใหญ่ใฝ่ใฝ่
00:09:02 → 00:09:05 สูงเงี้ยครับอบางทีคำพูดพวกเนี้ยมันจะทำ
00:09:05 → 00:09:10 ให้เราค่อยๆเชื่อไปจริงๆแล้วมันก็จะฝัง
00:09:10 → 00:09:12 เราไปทุกๆวันแม้กระทั่งเรากลับไปที่บ้าน
00:09:12 → 00:09:16 คำพูดลบๆก็จะยังอยู่กับเราอะไรเงี้ยฮะมัน
00:09:16 → 00:09:18 เหมือนมันเหมือนกับว่าจริงๆแล้วเอ่อเรา
00:09:18 → 00:09:20 เกิดมาเนี่ยมันยังไม่ได้มีอะไรอยู่ในหัว
00:09:20 → 00:09:22 เราหรอกครับใช่มั้เรายังไม่ได้คิดสามารถ
00:09:22 → 00:09:25 จะคิดอะไรในในทในอันนั้นได้แต่ว่าก็มีคน
00:09:25 → 00:09:28 มาพูดใช่ครับบางทีเป็นคนมาพูดพูดของบางคน
00:09:28 → 00:09:31 มีอิทธิพลต่อความรู้สึกเราเไปอีกอ่ะทีนี้
00:09:31 → 00:09:35 ฝังเลยต่อให้จะมีในการพูดในเชิงบวกเข้ามา
00:09:35 → 00:09:38 ให้เราอ่ะไม่ได้อ่ะเราไปติดกับตรงคำพูด
00:09:38 → 00:09:40 ของคนคนี้ไปแล้วอ่ะใช่ครับบางทีเป็น
00:09:40 → 00:09:42 เรื่องคำพูดแต่ว่าต้องบอกว่าจากคนจากคน
00:09:42 → 00:09:44 ข้างนอกเป็นแค่มิตินึงอแต่จริงๆแล้วอ่ะ
00:09:44 → 00:09:47 ครับมันจะมีหลายๆคนที่การพร้อมจะเชื่อว่า
00:09:47 → 00:09:49 มันรบหรือว่าไม่ดีเนี่ยมันมาจากตัวเอง
00:09:49 → 00:09:52 ด้วยก็มีโออืเพราะลองนึกภาพนะว่ามัน
00:09:52 → 00:09:55 เหมือนกับอผมลองเปรียบเทียบให้ดูนะบางที
00:09:55 → 00:09:59 ในบ้านบ้านนึงเงี้ยครับที่ลูก 2 คนเกิดมา
00:09:59 → 00:10:02 ในบ้านที่พ่อแม่เดียวกันสภาพแวดล้อมเดียว
00:10:02 → 00:10:05 กันอแต่บางครั้งพี่น้องก็มีทัศนคติในการ
00:10:05 → 00:10:08 ใช้ชีวิตไม่เหมือนกันค่ะคนบางคนก็คือจมจม
00:10:08 → 00:10:12 ไปเลยกับคนบางคนอาจจะบอกว่าใช่แหละฉันอาจ
00:10:12 → 00:10:15 จะเกิดมาแบบบ้านไม่ได้สมบูรณ์แต่ฉันไม่
00:10:15 → 00:10:17 ไม่อยากให้มันมีอิทธิพลต่อความก้าวหน้าใน
00:10:17 → 00:10:20 ชีวิตของฉันอือเพราะฉะนั้นฉันจะไม่พยายาม
00:10:20 → 00:10:23 ให้สิ่งเนี้ยมาขัดขวางให้ฉันเติบโตได้ค่ะ
00:10:23 → 00:10:26 ทีนี้มันเลยกลายเป็นว่าเออในสภาพแวดล้อม
00:10:26 → 00:10:29 เดียวกันเออทำไมล่ะคน 2 คนถึงต่างกันมัน
00:10:29 → 00:10:31 เป็นไปได้ว่ามันก็มีปัจจัยภายในจากตัวคนๆ
00:10:31 → 00:10:34 นั้นด้วยว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อหรือจะตาม
00:10:34 → 00:10:37 หรือไม่ตามอย่างเงี้ยครับเหมือนเหมือน
00:10:37 → 00:10:39 บ้านติดยาเสพติดอย่างเงี้ยมันก็จะมีเด็ก
00:10:39 → 00:10:42 ที่แบบติดยาตามพ่อแม่ไปด้วยค่ะกับเด็กบาง
00:10:42 → 00:10:44 คนที่เห็นว่าเราไม่จำเป็นต้องมีชีวิต
00:10:44 → 00:10:46 อย่างนี้ก็ได้อแล้วเขาจะเลือกทำตัวเองให้
00:10:46 → 00:10:49 แตกต่างเหมือนเรามีทุนทางความคิดที่ติด
00:10:49 → 00:10:52 ตัวมาใช่ครับมีคุณสมบัติทางความคิดบาง
00:10:52 → 00:10:55 อย่างที่ติดตัวมาแต่ละคนจะมีสิ่งพวกเนี้ย
00:10:55 → 00:10:57 ไม่เหมือนกันอืซึ่งผมอาจจะอธิบายในเชิง
00:10:57 → 00:11:00 แบบเค้าเรียกว่าิวิทยาศาสตร์การรับรู้ตรง
00:11:00 → 00:11:02 นี้ยากตัวผมจะมีความเชื่อว่าบางทีจิตแต่
00:11:02 → 00:11:05 ละดวงที่มาเกิดเนี่ยอาจจะมีบุคลิกไม่
00:11:05 → 00:11:07 เหมือนกันก็ได้ถึงทำให้เมื่อมาอยู่ในสภาพ
00:11:07 → 00:11:09 แวดล้อมเดียวกันการตอบสนองเลยไม่เหมือน
00:11:09 → 00:11:12 กันค่ะอย่างเงี้ยครับอืใช่ทีนี้ตัวอย่าง
00:11:12 → 00:11:15 คำพูดลบก็จะเป็นเช่นแบบเอ้ยเราทำไม่ได้
00:11:15 → 00:11:17 หรอกต้องเตรียมตัวหรือแบบน้ำหน้าอย่างฉัน
00:11:17 → 00:11:19 คงไม่ได้เพะเพราะพอเห็นตัวอย่างคำมฮะคำ
00:11:19 → 00:11:21 มันจะดูแบบลบๆน้ำหน้าอย่างฉันเนี่ยนะ
00:11:22 → 00:11:24 โอ้โหมันดูถูกตัวเองสุดๆเลยนะเอาจริงๆใช่
00:11:24 → 00:11:27 ครับหรือว่าโอ๊ยฉันมันโง่จริงๆเนี่ยฮะคือ
00:11:27 → 00:11:30 คำมันก็จะยังลบๆอือหรือแบบไม่มีใครรัก
00:11:30 → 00:11:33 หรือจริงใจกับเราหรอกอืมอันเอออย่าไปหวัง
00:11:33 → 00:11:35 สูงเนี่ยเหมือนที่ผมพูดตะกี้ครับคือคำมัน
00:11:35 → 00:11:37 จะแบบโอ้โหบั่นทอนสุดๆออฮอย่างเงี้ยฮะ
00:11:37 → 00:11:39 หรือว่าโอทุกอย่างที่มันพังก็พอชชั้นมัน
00:11:39 → 00:11:42 แย่มันก็สมควระเพราะมันเป็นชั้นนี่แหละ
00:11:42 → 00:11:44 นี่คือสิ่งที่พูดกับตัวเองใช่ครับทั้ง
00:11:44 → 00:11:46 นั้นเลยนะที่แบบว่าไม่มีอะไรที่เป็น
00:11:46 → 00:11:48 Positive สักอย่างเลยใช่อ่าใช่ครับคำมัน
00:11:48 → 00:11:51 ก็จะค่อนข้างลบคำที่พูดถึงตัวเองก็จะลบออ
00:11:51 → 00:11:53 มันจะไม่ใช่แค่ท้อแท้ธรรมดาแต่มันคือคำ
00:11:53 → 00:11:55 ที่แบบฝังลงไปในตัวเราเกินกว่าคำว่าสะกด
00:11:55 → 00:11:59 จิตตัวเองอีกนะเนี่ยครับผมฝังไปเลยค่ะฝัง
00:11:59 → 00:12:01 ลงไปเลยใช่ครับซึ่งแน่นอนครับลองนึกภาพ
00:12:01 → 00:12:03 ว่าเราใช้ชีวิตด้วยคำพูดพวกเนี้ยในแต่ละ
00:12:03 → 00:12:07 วันเราจะรู้สึกยังไงฮ่ะจะจะเดินยังไงก่อน
00:12:07 → 00:12:10 จะเดินยังไงจะแล้วมันจะคิดบวกได้ยังไงใช่
00:12:10 → 00:12:12 ยังไงยังไงสุดท้ายการที่เราใช้พวกนี้กับ
00:12:12 → 00:12:15 ตัวเองมากๆมันทำให้เราซึมเศร้าแน่นอนนอก
00:12:15 → 00:12:17 จากซึมเศร้าแล้วบางทีก็จะมีปรากฏการณ์
00:12:17 → 00:12:20 เรื่องความก้าวร้าวก็มีอ้าวเออก้าวร้าว
00:12:20 → 00:12:22 คือเป็นความโกรธชีวิตเป็นความโกรธตัวเอง
00:12:22 → 00:12:25 หลเงี้ยหาไม่พอใจเพราะว่าพอพอมองโลกลบรู้
00:12:25 → 00:12:28 สึกโลกไม่มีความหวังโลกมันโหดร้ายเออบาง
00:12:28 → 00:12:30 คนก็จะตอบสนองด้วยความรู้สึกโกรธว่าแบบ
00:12:30 → 00:12:33 ชีวิตไม่เป็นธรรมโทษโชคชะตาโทษโชคชะตา
00:12:33 → 00:12:35 ก้าวเราไม่เป็นมิตรกับคนอื่นอย่างเงี้ย
00:12:35 → 00:12:38 ครับก็มีเนาะหรือบางคนก็เป็นคนขวิตกกังวล
00:12:38 → 00:12:40 เพราะเหมือนที่บอกว่าพอตัวเองดีไม่พออือ
00:12:40 → 00:12:42 ฮึมันก็กังวลว่าจะทำอะไรจะสำเร็จมั้ยหรือ
00:12:42 → 00:12:46 ว่ามันจะมีปัญหามั้ยไม่เชื่อมั่นในตัวเอง
00:12:46 → 00:12:49 นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นได้กับการที่เรามีเ
00:12:49 → 00:12:52 เรียกว่าการใช้คำพูดเชิงลบ Negative Self
00:12:52 → 00:12:54 Talk กับตัวเองครับกับตัวเองนะอันนี้คือ
00:12:54 → 00:12:57 พยายามให้คุณผู้ฟังเข้าใจว่าอันเนี้ยคือ
00:12:57 → 00:12:59 โอเคมันอาจจะมีปัจจัยที่คนอื่นมาพูดให้
00:12:59 → 00:13:02 เราอะไรอย่างเงี้นะแต่มันก็เกิดจากตัวเรา
00:13:02 → 00:13:04 ด้วยด้วยๆเออแล้วพอหลังจากนั้นต่อให้คน
00:13:04 → 00:13:07 อื่นมาพูด่ะมันจะปัจจัยหลักๆมันคือตัวเรา
00:13:07 → 00:13:09 สุดท้ายเราก็ยังคิดอย่างเงี้ยอยู่ดีอ่ะ
00:13:09 → 00:13:11 ใช่ครับแล้วคนอื่นพูดมันก็คอนเฟิร์มไปอีก
00:13:11 → 00:13:13 หนักเข้าไปใหญ่เลยแบบจริด้วยอย่างเงี้ยโ
00:13:13 → 00:13:15 ไปกันใหญ่เลยจะมาเห็นด้วยกันอย่างนี้ก็
00:13:15 → 00:13:19 ไม่ได้นะอ่าแต่ทีนี้ว่าใช่ค่ะก็มีอีกบาง
00:13:19 → 00:13:21 คนที่เมื่อกี้คุณเอิ้นได้ยกตัวอย่างว่า
00:13:21 → 00:13:24 อ่ะบ้านนึงที่อยู่ในแหล่งของยาเสพติดน่ะ
00:13:24 → 00:13:26 ก็ไม่ได้จำเป็นที่ฉันจะต้องติดยาเหมือนคน
00:13:26 → 00:13:29 ในชุมชนหรือในพ่อแม่ของฉันใช่ครับนั้น
00:13:29 → 00:13:31 สามารถที่จะคิดได้ว่าเออไม่เอาตัวเองเข้า
00:13:31 → 00:13:33 มาอยู่ในนั้นไม่ได้คิดแบบใช่เพราะเราอยู่
00:13:33 → 00:13:35 ในสังคมแบบนี้ไงเราเลยไม่มีโอกาสหรืออะไร
00:13:35 → 00:13:38 อย่างเงี้ยไม่ใช่อันนี้กลับไปแสวงหาโอกาส
00:13:38 → 00:13:42 ที่ดีคุยกับตัวเองในทางที่แบบฉันต้องผ่าน
00:13:42 → 00:13:44 มันไปให้ได้หรืออะไรอย่างเงี้ยในทางที่ดี
00:13:44 → 00:13:46 ก็มีเนาะใช่เพราะงั้นจริงๆแล้วครับชีวิต
00:13:46 → 00:13:49 เรามีทางเลือกเสมอเราจะเป็นคนลบกับตัวเอง
00:13:49 → 00:13:53 ก็ได้อืนะครับเราจะเป็นคนบวกกับตัวเองก็
00:13:53 → 00:13:55 ได้แต่ขึ้นกับว่าเรามีสติมากพอมั้ยหรือ
00:13:55 → 00:13:59 ว่าเราคล้ายๆมีความได้คิดท้าทายชีวิตมั้ย
00:13:59 → 00:14:01 ว่าแบบจริงๆแล้วอ่ะเรามีโอกาสในการจะ
00:14:01 → 00:14:03 เลือกตลอดเวลาค่ะแม้กระทั่งที่ผมนั่งตรง
00:14:03 → 00:14:05 เนี้ยผมจะเลือกลุกออกไปจากห้องนี้ก็ได้
00:14:05 → 00:14:08 แต่แต่ผมเลือกยังไม่ไปอย่าครับอันนี้อัน
00:14:08 → 00:14:10 นี้แค่ยกให้ดูสุดโต่งจะได้เห็นภาพว่าจริง
00:14:10 → 00:14:13 ๆแล้วอ่ะเรายืนอยู่บนทางแยกของการเลือกใน
00:14:13 → 00:14:16 ชีวิตตลอดเวลาเลยอืนะครับเพราะฉะนั้น
00:14:16 → 00:14:18 ตะกี้เราคุยเรื่องพูดทางลบะเป็น 1 ทาง
00:14:18 → 00:14:20 เลือกแต่จริงๆเรามีอีกหนึ่งทางเลือกคือ
00:14:21 → 00:14:22 สิ่งที่เราจะย้ำวันนี้ก็คือ Positive S
00:14:22 → 00:14:24 Talk คือเรามีทางเลือกนะในการจะพูดกับ
00:14:25 → 00:14:29 ตัวเองดีๆก็ได้ถ้าคนที่คิดในเรื่องของ
00:14:29 → 00:14:33 เอ่อเีมาตลอดทางทางลบทัสติเชิงลบมาตลอด
00:14:33 → 00:14:36 เงี้ยจะสามารถปรับให้มาเป็นเชิงบวกได้ม
00:14:36 → 00:14:38 ได้ครับปรับได้ได้ใช่มปรับได้แต่ว่าของ
00:14:38 → 00:14:40 พวกนี้ครับมันเหมือนกับต้องใช้เอ่อเขาค
00:14:40 → 00:14:44 เรียกว่าการค่อยเป็นค่อยไปอืเพราะเพราะ
00:14:44 → 00:14:46 มันเหมือนลองนึกภาพว่าเรา Negative กับ
00:14:46 → 00:14:48 ตัวเองหรือว่าลบกับตัวเองบ่อยๆอครับมันจะ
00:14:48 → 00:14:50 เป็นเหมือนเครื่องจักรที่มันวิ่งวนๆๆไป
00:14:50 → 00:14:52 เรื่อยๆค่ะมันก็จะมีวิ่งอ่อนๆวิ่งแรงๆถูก
00:14:52 → 00:14:55 มยครับทีนี้ถ้าเกิดคนที่ใช้ตลอดเวลามันจะ
00:14:55 → 00:14:58 เป็นออโต้อ่ะออโต้แบบอัตโนมัติที่แบบวิ่ง
00:14:58 → 00:15:01 วิวิ่งทางเดิมทีนี้จู่ๆเราจะไปเบรคมันนะ
00:15:01 → 00:15:03 ครับถ้าเกิดเบรกแรงไปเนี่ยมันจะช็อกมันจะ
00:15:03 → 00:15:06 แบบปรับตัวไม่ทันอืมมีแรงเหวี่ยงเพราะ
00:15:06 → 00:15:08 ฉะนั้นมันต้องชะลอครับเริ่มต้นจากการชะลอ
00:15:08 → 00:15:10 ก่อนค่อยๆเี่ยนค่อยๆไปใช่ครับซึ่งซึ่งการ
00:15:10 → 00:15:12 เปลี่ยนแปลงมันก็ตั้งต้นมาจากการที่เรา
00:15:12 → 00:15:15 สังเกตสังเกตให้เห็นก่อนว่าเฮ้ยตัวเราอ่ะ
00:15:15 → 00:15:18 พื้นฐานเป็นคนชอบเรียกว่าใช้ภาษาทางลบกับ
00:15:18 → 00:15:22 ตัวเองหรือเปล่าอ่าเหมือนที่ผมย้ำตะกี้
00:15:22 → 00:15:26 ครับคนที่มีอัตความอัตโนมัติของการพูดกับ
00:15:26 → 00:15:29 ตัวเองลบค่ะความถี่มันจะสูงอือืนอกจาก
00:15:29 → 00:15:30 ความถี่ที่เกิดขึ้นในทั้งวันแล้วเนี่ยมัน
00:15:30 → 00:15:34 จะมีเรื่องคของความเข้มด้วยที่ใช้ยิ่งยิ
00:15:34 → 00:15:36 เข้มเท่าไหร่แสดงว่าเรายิ่งมีมุมมองทางลบ
00:15:36 → 00:15:38 ต่อตัวเองเยอะเท่านั้นยิ่งถี่เท่าไหร่
00:15:38 → 00:15:41 แสดงว่าตัวเราก็มีแนวโน้มที่จะเชื่อว่า
00:15:41 → 00:15:44 ตัวเองแบบไม่ดีในระยะกว้างๆมากเท่านั้น
00:15:44 → 00:15:46 ด้วยเพราะงั้นเราเลยต้องดูทั้งเรื่องความ
00:15:46 → 00:15:48 ถี่และความเข้มที่เราใช้ทีนี้ถ้าเรา
00:15:48 → 00:15:51 สังเกตเห็นแล้วว่าเฮ้ยตัวเราแบบมักใช้
00:15:51 → 00:15:55 ภาษาทางลบว่ะนะครับบางทีตอนต้นเนี่ยเรา
00:15:55 → 00:15:58 อาจจะแบบไม่รู้จะยึดยึดเหนี่ยวตรงไหนถ้า
00:15:58 → 00:15:59 ถ้าเราเราไม่รู้จะเริ่มต้นจากตัวเองยังไง
00:16:00 → 00:16:02 บางทีถ้าเรามีเอ่อคล้ายๆว่าผู้คนห้อมล้อม
00:16:02 → 00:16:05 ที่เขามีความคิดบวกอันนี้อันนี้คือใช้
00:16:05 → 00:16:08 เรียกใช้คำว่าใช้ตัวช่วยเราอาจจะยังไม่
00:16:08 → 00:16:10 ได้เริ่มจากตัวเองนะครับเราลองใช้ตัวช่วย
00:16:10 → 00:16:12 ก่อนตัวช่วยอาจจะเป็นเพื่อนเราเป็นสังคม
00:16:12 → 00:16:15 ที่เราพาเข้าไปคลุกคลีด้วยแล้วเราสังเกต
00:16:15 → 00:16:18 วิธีคิดของเขาว่าเออวิธีคิดของเขาเนี่ย
00:16:18 → 00:16:21 มันดูเหมือนกับเป็นการให้กำลังใจตัวเอง
00:16:21 → 00:16:24 แล้วการได้ฟังสิ่งเนี้ยมันกลับรู้สึกดี
00:16:24 → 00:16:27 กว่าแฮค่ะคือมันต้องสังเกตนะมันเหมือนชิม
00:16:27 → 00:16:29 อาหารอ่ะพอเราชิมความรู้สึกนี้ปั๊บเฮ้ย
00:16:29 → 00:16:32 มันรู้สึกดีกว่ามันดีกว่าความรู้สึกทางลบ
00:16:32 → 00:16:34 แล้วบางทีเราอาจจะเปิดโลกกระทัดก็ได้ว่า
00:16:34 → 00:16:37 เราอาจจะเคยเป็นคนที่มีเหมือนกรอบความคิด
00:16:37 → 00:16:39 จำกัดเช่น fix Minds อย่างเงี้ยแบบต้อง
00:16:39 → 00:16:42 คิดแบบนี้เท่านั้นอแต่พอได้ฟังคนอื่นปั๊บ
00:16:42 → 00:16:44 มันเหมือนเปิดโลกอ่ะว่าเฮ้ยมันมีตัวอย่าง
00:16:44 → 00:16:46 วิธีคิดแบบอื่นด้วย่ะที่เราไม่เคยรู้เลย
00:16:46 → 00:16:48 ว่ามันคิดแบบนี้ได้ด้วยอเออๆเข้าใจเลยพอ
00:16:48 → 00:16:51 เราฟังปั๊บเราจะเริ่มซึมซับครับพอซึมซับ
00:16:51 → 00:16:52 นั่นหมายความว่าตัวเราเห็นทางเลือกมาก
00:16:52 → 00:16:55 ขึ้นแล้วพอเห็นทางเลือกแล้วลองคิดแบบเลอง
00:16:55 → 00:16:58 ทำแบบเมันจะมีเค้าเรียกว่าผลลัพธ์ที่ย้อน
00:16:58 → 00:17:01 กลับมาหาตัวว่ามันอร่อยกว่าความรู้สึก
00:17:01 → 00:17:04 เนี้ยอ่าตรงเยครับจะเป็นจุดที่ทำให้เรา
00:17:04 → 00:17:07 เริ่มเปลี่ยนได้ง่ายขึ้นอืแต่มันต้องมี
00:17:07 → 00:17:09 สิ่งแวดล้อมรอบข้างแวล้อมบางคนก็หานักจิต
00:17:10 → 00:17:12 วิทยาก็มีครับเพราเคแบบคิดรบแล้วเไม่แน่
00:17:12 → 00:17:15 ใจว่าจะออกจากบางบนนี้ยังไงคนรอบตัวก็มี
00:17:15 → 00:17:18 แต่คนลบบางทีเคก็ต้องมาหานางจิตปิยาว่า
00:17:18 → 00:17:20 ช่วยช่วยดูหน่อยว่าแบบเไปติดตรงไหนแล้วเ
00:17:20 → 00:17:22 จะบวกกว่านี้ได้ยังไงมีมั้ยที่แบบว่าตัว
00:17:22 → 00:17:25 เองคิดลบอ่ะอยู่จนรู้สึกว่าอไม่เห็นได้
00:17:25 → 00:17:27 ฉันไม่ได้เป็นคนคิดลบนะมันเป็นอย่างเงี้
00:17:27 → 00:17:29 สังคมมันเป็นแบบนี้สิ่งวลมันเป็นแบบนี้
00:17:29 → 00:17:31 เรื่องราวมันเป็นแบบนี้อันนั้นแสดงว่า
00:17:32 → 00:17:35 เป็นการคิดตามจริงการคิดตามจริงจะต้องมี
00:17:35 → 00:17:39 เหตุมีผลนะครับอืเออว่าถ้ารอบตัวมันแย่
00:17:39 → 00:17:42 จริงก็ต้องบอกว่าสถานการณ์มันแย่แต่แต่
00:17:42 → 00:17:45 เขาจะไม่จี้ว่าตัวเองแย่ครับอ๋อมันต่าง
00:17:45 → 00:17:47 กันมุมนี้เออมันเป็นเรื่องของการให้คำ
00:17:47 → 00:17:50 อธิบายครับว่าโลกนี้มันแย่คนมันเลวร้าย
00:17:50 → 00:17:51 โอเคสมมุติถ้าเราอยู่ในที่ทำงานที่แบบ
00:17:51 → 00:17:55 โอ้โหทุกคนมันแบบเหี้ยมโหดไปทำงานหรือไป
00:17:55 → 00:17:58 ออกรบถูกมั้ยฮะเราก็จะบอกว่าตามจริงอ่ะ
00:17:58 → 00:18:00 ว่าเออที่ทำงานนี้คนมันแบบเขี้ยมโหดเนาะ
00:18:00 → 00:18:03 คนแบบใจแคบคนใจดำคนเอาแต่ตัวเองอก็ไม่
00:18:03 → 00:18:07 แปลกใจที่เขาคจะคิดลบเอ่อหรือว่าแบบผมคิด
00:18:07 → 00:18:09 ผมคิดว่ามันเป็นการใช้คำว่ามองว่าสิ่งรอบ
00:18:10 → 00:18:12 ตัวมีพิษมีภัยอย่างตรงตามจริงอ่ะเหมือน
00:18:12 → 00:18:15 เราเดินยืนเข้าไปในดงงูเห่าอ่ะครับงูเห่า
00:18:15 → 00:18:17 พ่นพิษแล้วกัดเราแล้วโฉกเราตายได้อือฮะ
00:18:17 → 00:18:19 คือเราก็มองตามจริงว่าสิ่งนี้เป็นพิษเป็น
00:18:19 → 00:18:21 ภัยอือฮึเราจะอธิบายปรากฏการณ์อย่างตรง
00:18:21 → 00:18:25 ตามจริงแต่เขาจะไม่แบบมาโทษตัวเองว่าเออ
00:18:25 → 00:18:27 ฉันมันแบบเป็นคนไม่ปรับตัวเองแหละฉันมัน
00:18:27 → 00:18:31 แย่ชันไม่เข้าพวกอคือคือประธานของประโยค
00:18:31 → 00:18:33 มันจะเปลี่ยนไปฮประธานมันจะกลับมาที่ตัว
00:18:33 → 00:18:35 เองออ๋อเข้าใจขอพนึกภาพออกมั้ยฮะแต่ว่า
00:18:35 → 00:18:38 เหมือนตเกี้ยต่อให้มันมีปรากฏการณ์เลว
00:18:38 → 00:18:40 ร้ายเกิดขึ้นรอบตัวเราแต่มันต้องมี
00:18:40 → 00:18:43 ปรากฏการณ์อื่นนอกสภาวะที่เขาอยู่บ้าง
00:18:43 → 00:18:46 แหละเช่นครอบครัวหรือเป็นที่อื่นหรือเป็น
00:18:46 → 00:18:48 การอยู่กับตัวเองอะไรก็ตามเขาจะมีจุดที่
00:18:48 → 00:18:50 ยังชื่นชมตัวเองได้เขาจะมีจุดที่บอกว่า
00:18:50 → 00:18:52 ชีวิตเขาดีในบางด้านได้แต่จะไม่ได้บอกว่า
00:18:52 → 00:18:55 ชีวิตทั้งหมดทั้งก้อนมันแย่ไปหมดอือย่าง
00:18:55 → 00:18:58 เงี้ยครับอันนี้คือจุดที่เป็นที่จะแยกว่า
00:18:58 → 00:19:00 เรากำลัง Negative แบบไม่สมเหตุสมผลไม่สม
00:19:00 → 00:19:03 จริงหรือเปล่าค่ะแต่ถ้าเราแบบมองตามจริง
00:19:03 → 00:19:07 แล้วเราสามารถมี 2 ส่วนได้ว่ามีส่วนที่
00:19:07 → 00:19:10 ชีวิตเจอความยากลำบากใช่แต่ก็มีส่วนที่
00:19:10 → 00:19:13 ชีวิตก็ดีงามอยู่ถ้าเราแยกออกตรงนี้แสดง
00:19:13 → 00:19:14 ว่าเรายังไม่ได้ Negative S Talk ครับ
00:19:14 → 00:19:17 อ๋ออ่าเรายังไม่ได้มองตัวเองแยกขนาดนั้น
00:19:17 → 00:19:19 ค่ะเพราะฉะนั้นเหมือนที่ตะกี้ที่พี่รีพูด
00:19:19 → 00:19:23 เลยครับว่าบางทีพอเรามีความเอ๊ะเรา
00:19:23 → 00:19:25 Negative หรือเปล่าลองท้าทายความคิดตัว
00:19:25 → 00:19:29 เองก่อนว่าเราเรามันแย่อย่างงั้นจริงดิ
00:19:29 → 00:19:31 ทุกอย่างที่มันพังพินาศเพราะเราจริงดิ
00:19:31 → 00:19:33 อะไรเงี้ยฮะบางครั้งมันอาจจะไม่ใช่เราก็
00:19:33 → 00:19:36 ได้ค่ะบางทีบางทีตัวเราก็จะว่าบจี้จากจาก
00:19:36 → 00:19:39 คำพูดคนอื่นคำพูดคนอื่นอาจจะปั่นเรามา
00:19:39 → 00:19:42 แล้วพอเรามีแนวโน้มจะรับเราก็จะแบบเออมัน
00:19:42 → 00:19:43 คงจริงอย่างที่เาพูดคือหรือคนอื่นอาจ
00:19:44 → 00:19:46 พยายามหาคนผิดอยู่ใช่ครับหาแพ้รับบาปซึ่ง
00:19:46 → 00:19:49 ซึ่งเดี๋ยวนี้มันเกิดขึ้นได้มากๆเพราะว่า
00:19:49 → 00:19:52 คนเราเหมือนอ่อนแอเกินไปที่จะรับที่จะรับ
00:19:52 → 00:19:54 ผิดชอบหรือว่าที่จะรับว่าตัวเองไม่ได้
00:19:54 → 00:19:56 สมบูรณ์นะครับเพราะคนยุคเนี้ยพอยิ่งพอ
00:19:56 → 00:19:58 ยิ่งอยู่ในปรากฏการณ์ของโซเชียลมีเดีย
00:19:58 → 00:20:00 อะไรก็ตามเนาะบางครั้งมันเหมือนทุกคน
00:20:00 → 00:20:02 พยายามจะรักษาภาพว่าตัวเองเป็นคนสมบูรณ์
00:20:02 → 00:20:05 ตลอดอ่ะค่ะแล้วมันเหมือนเปิดแผลไม่ได้ค่ะ
00:20:05 → 00:20:07 ทีนี้พอมันมีแผลปั๊บบางทีคนเราก็จะจิตใจ
00:20:08 → 00:20:10 เปอะบางเกินกว่าที่จะจะต้อนรับมันก็เลย
00:20:10 → 00:20:13 ผลักหาคนอื่นซะว้าวุ่นเลยทีนี้ว้าวุ่นเลย
00:20:13 → 00:20:16 ทีนี้เดือดร้อนเลยครับผมลำบากแล้วทีนี้
00:20:16 → 00:20:19 ครับผมเพราะงั้นเราเลยต้องต้องมีการท้า
00:20:19 → 00:20:21 ทายความคิดเหมือนกันนะว่าเราจริงๆดิมัน
00:20:21 → 00:20:23 แย่ขนาดนอะไรหรออย่างเงี้ยฮะบางทีมันอาจ
00:20:23 → 00:20:26 จะไม่ใช่ก็ได้อค่ะเนาะแล้วถัดมาครับคือ
00:20:26 → 00:20:28 การที่เราต้องตระหนักครับว่าบางทีการคิด
00:20:28 → 00:20:31 ลบไม่ได้เป็นประโยชน์อะไรกับชีวิตเราเลย
00:20:31 → 00:20:34 นอกจากจะทำให้เราหดหูซึมเศร้าแล้วก็โลกแ
00:20:34 → 00:20:36 ไม่น่าอยู่อ่ะทีนี้ถ้าเราอยู่กับมันจน
00:20:36 → 00:20:38 อิ่มตัวนะครับแล้วรู้สึกว่ามันไม่ได้เป็น
00:20:38 → 00:20:41 ประโยชน์เลยนะครับเราคงต้องตั้งคำถามกับ
00:20:41 → 00:20:45 ตัวเองใหม่ว่าเราจะมีทางเลือกในการคิดนอก
00:20:45 → 00:20:47 จากแบบที่เราคิดอยู่มยนะอืที่จะเป็น
00:20:47 → 00:20:50 ประโยชน์กับชีวิตเรามากกว่าค่ะแต่ถ้าเกิด
00:20:50 → 00:20:53 เราไม่มีไม่มีอชั่นในหัวไม่เคยมีทรัพยากร
00:20:53 → 00:20:55 ในหัวว่ามันมีทางเลือกอะไรบ้างผมก็จะย้อน
00:20:55 → 00:20:58 กลับไปที่ผมพูดว่าบางครั้งเราเราจำเป็น
00:20:58 → 00:21:01 ต้องหาวัเ่อทรัพยากรเพิ่มวัตถุดิบเพิ่ม
00:21:01 → 00:21:05 เช่นการเข้าหากลุ่มสังคมบางคนบางกลุ่มที่
00:21:05 → 00:21:07 เขาอาจจะมีทัศนะในการมองโลกที่แบบค่อน
00:21:07 → 00:21:10 ข้างดีอ่ะอือคือเขาจะไม่ใช่คนโลกสวยแบบ
00:21:10 → 00:21:13 ทุกอย่างสวยงามวนอมาสีม่วงใช่เราจะรู้สึก
00:21:13 → 00:21:17 ว่ามันปลอมคือคือมันเหมือนคนละขั้วครับคน
00:21:17 → 00:21:20 คิดลบก็จะดารๆแล้วถ้าไปเจอคนโลกสวยจจะรู้
00:21:20 → 00:21:22 สึกว่ามันสว่างเกิจรงอย่างเงี้ยฮะเพราะ
00:21:22 → 00:21:24 งั้นบางทีเราจำเป็นต้องหาคนที่เป็นค่อน
00:21:24 → 00:21:27 ข้างเป็นกลางเป็นกลางในการที่เขาไม่ไม่
00:21:27 → 00:21:29 ได้ละเลยในสิที่เรามองค่ะเพราะว่าบาง
00:21:29 → 00:21:34 อย่างการมองลบก็ตรงตามจริงก็มีนะครับแต่
00:21:34 → 00:21:36 มันต้องผสมให้มีสัดส่วนที่พอดีซึ่งมัน
00:21:36 → 00:21:39 ต้องมีทัศนะทางบวกผสมไปด้วยอือว่าเราจะ
00:21:39 → 00:21:41 มองชีวิตยังไงนะให้มันตรงตามจริงโดยที่มี
00:21:41 → 00:21:45 ทั้ง 2 ก้อนเนี้ยผสมอยู่ในตัวเราอือื
00:21:45 → 00:21:48 เพราะงั้นผมมองว่ามองโลกบวกไปก็ไม่ใช่มอง
00:21:48 → 00:21:51 โลกดำไปก็ไม่ใช่เหมือนกันก็ต้องกลางๆกลาง
00:21:51 → 00:21:54 ๆโดยต้อนรับมันทุกด้านนั่นแหละโอย่าง
00:21:54 → 00:21:58 เงี้ยคแต่ถ้าคนที่แบบมาสายดารคิดดตลอด
00:21:58 → 00:22:01 อย่างเงี้ยมุมมืดๆอยู่ตลอดคำพูดแต่ละ
00:22:01 → 00:22:03 อย่างมานี่แบบติดลบกับตัวเองเหลือเกิน
00:22:03 → 00:22:06 อย่างเงี้ยครับแล้วจะไปหาคนประเภทไหนคือ
00:22:06 → 00:22:10 คือตัวเองยังรู้สึกว่าไม่ไม่อยากไปคุยกับ
00:22:10 → 00:22:12 ใครหรืออะไรอย่างเงี้ยครับเราจะไปหายังไง
00:22:12 → 00:22:14 อ่ะอันนี้อันนี้บอกยากนิดนึงเพราะว่าคน
00:22:14 → 00:22:17 บางคนก็จะปิดก้านตระเวนจากสังคมด้วยอัน
00:22:17 → 00:22:19 นี้อันนี้มันเลยทำให้เราไม่สามารถเข้าถึง
00:22:19 → 00:22:22 ได้ทีนี้เอ่อสิ่งที่เราอาจจะพอเดิมพันได้
00:22:22 → 00:22:26 ในฐานะเพื่อนร่วมสังคมคือถ้าเขามีโอกาส
00:22:26 → 00:22:28 ได้ผ่านสื่อต่างๆเช่นสมมุติเราฟังรายการ
00:22:28 → 00:22:30 โรงหมอเคอาจแบบนึกครึ้มเปิดโรงหมอเราฟัง
00:22:30 → 00:22:33 เออแล้วก็มาเจอเทปนี้บังเอิญมากอ่าเค้า
00:22:33 → 00:22:35 อาจจะไม่ได้พาตัวเองเข้าสังคมแต่บังเอิญ
00:22:35 → 00:22:37 ว่าสื่อวิ่งเข้าหาเขาคแล้วเได้เจอสื่อนี้
00:22:37 → 00:22:40 พอดีอืมันก็เป็นไปได้นะที่เขาอาจจะแบบ
00:22:40 → 00:22:43 เกิดเกิดการตระหนักอะไรบางอย่างผ่านการ
00:22:43 → 00:22:46 ฟังสื่อเขาอาจจะไม่ต้องเข้าหาตัวคนเขาอาจ
00:22:46 → 00:22:48 จะไม่ต้องเข้าหาสังคมอือแต่เขาได้รับสา
00:22:48 → 00:22:51 บางอย่างตรงเข้าไปในระหว่างที่เขาอยู่กับ
00:22:51 → 00:22:53 ตัวเองเงียบๆอแล้วสิ่งนั้นเกิดการตกผลึก
00:22:53 → 00:22:55 บางอย่างขึ้นก็ได้เช่นกันซึ่งสิ่งเนี้ย
00:22:55 → 00:22:57 เป็นสิ่งที่เราหวังว่ารายการเราจะสามารถ
00:22:57 → 00:23:01 เอเื่อๆให้ผู้คนได้เข้าถึงสิ่งนี้แต่พูด
00:23:01 → 00:23:04 ไปไม่หัวเราะจะดีกว่าครับผมอ่ะล้อเล่นไม่
00:23:04 → 00:23:07 เหมือนว่าถ้าเรามองในอีกแง่มุมนึงเฮ้ยมี
00:23:07 → 00:23:11 ทางสว่างมาละมันถึงเวลาละจังหวะชีวิตพอดี
00:23:11 → 00:23:14 เอออะไรอย่างงี้ใช่มั้ยคะใช่ค่ะเป็นไปได้
00:23:14 → 00:23:16 บางทีมันมันอาจจะเกิดขึ้นกับร้านหนังสือ
00:23:16 → 00:23:18 ก็ได้นะคนบางคนก็แบบเออนึกครึ้มไปเข้า
00:23:18 → 00:23:21 ร้านหนังสือแล้วก็เปิดมาก็เจอแบบสิ่งที่
00:23:21 → 00:23:24 หนังสือพูดไว้ได้ตรงพอดีเอใช่เค้าก็อาจจะ
00:23:24 → 00:23:26 คิดได้ก็ได้ทั้งเล่มมีอยู่แค่ไม่กี่
00:23:26 → 00:23:29 บรรทัดอาจจะเป็นอย่างงั้นที่เหลือไม่ได้
00:23:29 → 00:23:31 ตรงเลยเอแต่มันมีนะคะเพราะว่าเป็นคนเข้า
00:23:31 → 00:23:34 ร้านหนังสือเหมือนกันซื้อหนังสือเพราะว่า
00:23:34 → 00:23:37 เจอประโยคที่แบบมันตรงกับชีวิตเราอ่ะแค่
00:23:37 → 00:23:39 นั้นแหละที่เหลือตรงไม่ตรงไม่รู้แหละแต่
00:23:39 → 00:23:42 มีประโยคที่แบบเฮ้ยเออกระทุ้งเราแบบสา
00:23:42 → 00:23:44 สว่างเลยกระทุ้งเราซื้อเลยอย่างเงี้ยใช่
00:23:44 → 00:23:46 ครับแล้วก็มีบางทีก็ไถโซเชียลมีเดียเนี่ย
00:23:46 → 00:23:50 ถมือถือไถไปไถมาบางคนอาจจะแบบไปเจอบทความ
00:23:50 → 00:23:53 แนะนำหรือคนแชร์มาแล้วพออ่านก็แบบเกิดการ
00:23:53 → 00:23:55 ตกผลึกนะครับเพราะงั้นการเข้าถึงสื่อพวก
00:23:56 → 00:23:57 เนี้ยจริงๆมันก็เป็นทางนึที่ทำให้คนที่อ
00:23:57 → 00:23:59 อาจจะแบบ Negative มากๆแล้วตัดตัวเองออก
00:23:59 → 00:24:02 จากสังคมเนี่ยอาจจะมีจุดที่ได้รับ
00:24:02 → 00:24:04 ประโยชน์จากสื่อในการช่วยเบสน้ำหนักหรือ
00:24:04 → 00:24:07 ช่วยประสานให้เค้ามีวิธีคิดที่สมดุลมาก
00:24:07 → 00:24:09 ขึ้นค่ะอะไรอย่าเงี้ยครับอือเพราะงั้นอัน
00:24:09 → 00:24:11 นี้ก็จะเป็นสิ่งที่อยากแนะนำนะครับใครก็
00:24:11 → 00:24:14 ตามที่กำลัง Negative กับตัวเองเนาะลอง
00:24:14 → 00:24:17 ลองพยายามปรับปรับดูแล้วพูดดีๆกับตัวเอง
00:24:17 → 00:24:20 ครับค่ะเนาะชี้ให้เห็นหรือโฟกัสจุดที่แบบ
00:24:20 → 00:24:23 ชีวิตมันมีความหวังแล้วลองสังเกตตัวเองดู
00:24:23 → 00:24:25 นะว่าแบบเรารู้สึกดีกับชีวิตมากกว่าเดิม
00:24:25 → 00:24:27 มั้ยอืเพราะว่าจริงๆแล้วทุกคนนครับแสวงหา
00:24:27 → 00:24:29 การรู้สึกดีกับการใช้ชีวิตค่ะถ้าเรา
00:24:29 → 00:24:31 Negative มากๆเรารู้สึกว่าชีวิตไม่น่า
00:24:31 → 00:24:33 อยู่ผมว่าเราต้องลองปรับแล้วแหละเรามีทาง
00:24:33 → 00:24:36 เลือกในการที่จะต้องไม่ต้องมีความทุกข์ก็
00:24:36 → 00:24:37 ได้เราสามารถมีความสุขและเป็นเพื่อนที่ดี
00:24:37 → 00:24:39 ให้ตัวเองได้เหมือนกันครับนี่ทิ้งท้ายไว้
00:24:39 → 00:24:42 ได้ดีมากนะคะการ Positive S Talk ไม่
00:24:42 → 00:24:45 ใช่หลงตัวเองใช่มยอ่ะไม่ใช่หลงตัวเองครับ
00:24:45 → 00:24:48 ชชมตัวเอง Positive มันเป็นการปลอบใจให้
00:24:48 → 00:24:50 กำลังใจชื่นชมมองสิ่งที่ดีงามแต่จะไม่ใช่
00:24:50 → 00:24:52 การทนงตัวคนละเรื่องกันคนละเรื่องเดี๋ยวค
00:24:52 → 00:24:54 สงสัยต้องเอาเรื่องการทนงตัวมาคุยกันครับ
00:24:55 → 00:24:58 เพราะมันมีอะไรประมาณนี้นะคะอ่ะนี่ก็เป็น
00:24:58 → 00:25:01 แนวทางนะคะที่จะทำให้หลายคนได้มีมุมมอง
00:25:01 → 00:25:04 ทัศนคติที่ดีมากยิ่งขึ้นขอบคุณคุณเอิ้น
00:25:04 → 00:25:06 ค่ะสวัสดีค่ะหมดเวลาแล้วค่ะคุณผู้ฟังพบ
00:25:06 → 00:25:09 กันใหม่ครั้งหน้ากับรายการโรงหมอทางไย PBS
00:25:09 → 00:25:12 podcast ค่ะวันนี้ลาไปก่อนสวัสดีค่ะ This
00:25:12 → 00:25:15 Is tha PBS podcast การร่วมเพศกับการ
00:25:15 → 00:25:18 ร่วมรักแตกต่างกันอย่างไรโดยเฉพาะกิจกรรม
00:25:18 → 00:25:20 ระหว่างคนรักกับคนขายบริการผู้ช่วย
00:25:20 → 00:25:23 ศาสตราจารย์ดรจันวิภาดิลกสัมพันธ์ผู้
00:25:23 → 00:25:25 เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์และครอบครัวมา
00:25:25 → 00:25:29 เล่าให้ฟังครับการมีเซ็กซ์เนี่ยนะฮะหรือ
00:25:29 → 00:25:32 กิจกรรมรักหรือกิจกรรมบนเตียงหรือกิจการ
00:25:32 → 00:25:36 มันเป็นตัวสำคัญมากในชีวิตคู่มีคนเให้คำ
00:25:36 → 00:25:39 จำกัดความเขาบอกว่าการมีเพศสัมพันธ์เนี่ย
00:25:39 → 00:25:43 มันเป็นความใกล้ชิดที่สุดทางกายนะฮะแต่ใจ
00:25:43 → 00:25:46 เนี่ยอาจจะไปที่อื่นนะเราว่าไม่ได้นะอัน
00:25:46 → 00:25:49 นี้หมายถึงว่าการร่วมเพศอือแต่การร่วมรัก
00:25:49 → 00:25:51 มันต่างกันค่ะการร่วมรักนมันคือการที่
00:25:51 → 00:25:56 หลอมรวมทั้งกายและใจผนึกลงไปโดยเฉพาะคน
00:25:56 → 00:25:58 ที่มีคู่แล้วเนี่ยเราเราจะพบว่าการมี
00:25:58 → 00:26:02 เซ็กซ์กับคนที่เรารักกับคนทั่วๆไปที่เรา
00:26:02 → 00:26:05 ไม่ได้รักอ่ะเราแค่พึงพอใจทางกายของเขา
00:26:05 → 00:26:07 เนี่ยมันต่างกันเยอะเลยเพราะว่าการมี
00:26:07 → 00:26:10 เซ็ก์ระหว่างคนที่รักกันเอาคุณผู้ชายะกัน
00:26:10 → 00:26:13 ถ้าเรามีเซ็ก์กับคนที่เรารักโดยเฉพาะผู้
00:26:13 → 00:26:15 ชายที่ได้แต่งงานกับผู้หญิงที่ตัวเองรัก
00:26:15 → 00:26:17 เนี่ยเขาไม่ได้ตักตัวเอาความรักหรือเซ็ก์
00:26:18 → 00:26:20 จากผู้หญิงคนนั้นเหมือนกับที่เขาไปซื้อ
00:26:20 → 00:26:23 บริการทางเพศอืแต่เขคอยากให้ผู้หญิงที่
00:26:23 → 00:26:27 เขาร่วมรักด้วยนั้นน่ะมีความสุขไปกับเ
00:26:27 → 00:26:30 ด้วยในขณะที่มีเพศรสกันเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:26:30 → 00:26:32 หลายคนพอแต่งงานแล้วเนี่ยพอมีเซ็ก์กัน
00:26:33 → 00:26:36 สมมุติเจ้าสาวมือใหม่ที่มีเซ็กก์ครั้งแรก
00:26:36 → 00:26:39 กับสามีเนี่ยสามีก็จะถามว่าน้องถึงมั้ย
00:26:39 → 00:26:43 น้องน้องมีความสุขมั้ยน้องถึงมั้ยดีมั้ย
00:26:43 → 00:26:45 นะคะเจ้าสาวบางคนก็กลับมาถามจันท์วิภานะ
00:26:45 → 00:26:49 คะว่าอาจารย์คะสามีหนูเนี่ยมีเซ็กก์กัน
00:26:49 → 00:26:52 แล้วเาก็ถามหนูว่าถึงมยคะถึงมั้ยคะอะไร
00:26:52 → 00:26:55 ถึงคะอาจารย์หนูไม่เข้าใจนะคะอันนี้คือ
00:26:55 → 00:26:57 เจ้าสาวมือใหม่สะท้อนให้เห็นว่าผู้ชาย
00:26:57 → 00:27:00 เนี่ยเคแคร์นะคะกับผู้หญิงที่เารักเพราะ
00:27:00 → 00:27:02 ฉนั้นการที่เขไปมีเซ็ก์กับหญิงบริการ
00:27:02 → 00:27:06 เนี่ยเคไม่มานั่งถามหรอกว่าคุณถึงมั้ยคุณ
00:27:06 → 00:27:09 อะไรมั้ยนะคะนอกจากหญิงคนนั้นเนี่ยจะแสดง
00:27:09 → 00:27:12 ท่าทีว่าถึงจุดสุดยอดหรือว่ามีความสุข
00:27:12 → 00:27:14 เหลือเกินกับฝีมือของผู้ชายคนนี้ทำให้ผู้
00:27:14 → 00:27:17 ชายคนนี้เรู้สึกฮึเหิมซึ่งจริงๆแล้วเนี่ย
00:27:17 → 00:27:19 ผู้หญิงที่เป็นหญิงบริการเอาจจะไม่ได้รู้
00:27:19 → 00:27:22 สึกหรอกแต่เเสแสร้งเป็นการแสดงอย่างหนึ่ง
00:27:22 → 00:27:25 เพื่อให้ผู้ชายเฮึกเหิมนึกออกมั้ยคะแต่พอ
00:27:25 → 00:27:28 ผู้ชายเมีเพศสัมพันธ์กับร่วมรักกับผู้
00:27:28 → 00:27:31 หญิงที่เขรักจริงๆเป็นภรรยาเจริงๆเนี่ย
00:27:31 → 00:27:34 ความรู้สึกมันจะต่าง
00:27:35 → 00:27:39 กัน This Is Toy PBS
00:27:39 → 00:27:42 podcast ติดตามรายการทางเว็บไซต์และ
00:27:42 → 00:27:46 Application ของ Thai PBS podcast
00:27:46 → 00:27:48 spotify soundcloud Google podcast
00:27:48 → 00:27:51 Apple podcast และ YouTube Channel
00:27:51 → 00:27:55 Thai PBS podcast Thai PBS podcast
00:27:55 → 00:27:58 View the world via The Voice
00:27:58 → 00:28:07 [เพลง]
00:28:07 → 00:28:10 ส