00:00:00 → 00:00:02 โลคเวรโรคกรรมกรรมหรือการกระทำมันก็จะ
00:00:02 → 00:00:05 แบ่งเป็น 3 อย่าง 1 โรคทางพันธุกรรม 2
00:00:05 → 00:00:09 โรคที่เกิดขึ้นจากการกระทำของเราเองอัน
00:00:09 → 00:00:12 ที่ 3 โลกเวรโรคกรรมก็เป็นกรรมในอดีตชาติ
00:00:12 → 00:00:16 ที่เราไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์
00:00:16 → 00:00:19 สมัยใหม่คนไข้ถามมาคำนึงหมอโลกที่ดิฉัน
00:00:19 → 00:00:22 เป็นอยู่เนี่ยมันเกิดเพราะอะไรฉันดูแลตัว
00:00:22 → 00:00:25 เองดีมาตลอดแล้วอยู่ดีๆอ่ะทำไมภูมิคุ้ม
00:00:25 → 00:00:28 กันมันถึงมาทำร้ายตัวเซลล์ของหนูล่ะหมอ
00:00:28 → 00:00:31 ทำไมคนอื่นๆน่ะเไม่เป็นมันคงเป็นกรรมเวร
00:00:31 → 00:00:35 ของดิฉันทั้งโรครอเรือและโลครอลิงถึงได้
00:00:35 → 00:00:37 ทำร้ายฉันอย่างนี้จิตใจกับร่างกายเนี่ย
00:00:37 → 00:00:40 มันไปด้วยกันเสมอพอเราเริ่มยอมแพ้ภูมิ
00:00:40 → 00:00:43 คุ้มกันต่างๆเราก็ยอมแพ้ตามไปด้วยเมื่อ
00:00:43 → 00:00:46 เรามีทุกข์ทุกของเรามันจะแผ่ไปสู่คนรอบ
00:00:46 → 00:00:48 ตัวเราคนที่รักเราพอเราป่วยเขาก็มีความ
00:00:48 → 00:00:51 ทุกข์ด้วยชีวิตของมนุษย์เปรียบเสมือน
00:00:51 → 00:00:54 คลื่นขึ้นลงจะมีทั้งดีและแย่สลับกันไม่มี
00:00:54 → 00:00:57 ใครมีความสุขตลอดและก็ไม่มีใครที่มีความ
00:00:57 → 00:01:00 ทุกข์ตลอดดังนั้นเมื่อมีความทุกข์ให้มอง
00:01:00 → 00:01:05 ไว้ว่าสุดท้ายมันก็จะมีความสุขตามมาเกลา
00:01:05 → 00:01:09 แก้โรคเกลานิสัยห่างไกล
00:01:09 → 00:01:12 โรคสวัสดีค่ะกลับมาพบกันอีกแล้วนะคะกับ
00:01:12 → 00:01:15 รายการเกาแก้โลกค่ะซึ่งวันนี้นะคะเราก็
00:01:15 → 00:01:17 อยู่กันกับคุณหมอเกมจากเพจแพทย์เฉพาะทาง
00:01:17 → 00:01:19 บาดเดียวค่ะสวัสดีค่ะคุณหมอสวัดีสวัสดี
00:01:19 → 00:01:22 ค่ะสวัสดีค่ะซึ่งท็อปปิกที่เราจะมาคุยกัน
00:01:22 → 00:01:24 ในวันนี้นะคะเชื่อว่าคนไทยหลายๆคนเนี่ยจะ
00:01:24 → 00:01:26 ต้องสนใจอย่างแน่นอนเพราะมันคือเรื่อง
00:01:26 → 00:01:28 เกี่ยวกับแก้โรคกรรมทำได้จริงไมแล้วก็
00:01:28 → 00:01:31 วิธีการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางใจค่ะแต่
00:01:31 → 00:01:33 ก่อนที่จะไปเข้าคำถามเนี่ยขอถามคุณหมอนิด
00:01:33 → 00:01:35 นึงว่าคุณหมอเชื่อเรื่องเวรกรรมมยคะโดย
00:01:35 → 00:01:38 พื้นฐานถ้าเป็นศาสนาพุทธนะแล้วหมอก็นับ
00:01:38 → 00:01:40 ถือศาสนาพุทธเพราะฉะนั้นเรื่องเวรกรรม
00:01:40 → 00:01:43 เนี่ยสำหรับหมอและหมอเชื่อต้องบอกเลยว่า
00:01:43 → 00:01:47 มันไม่ใช่เรื่องความงมงายนะแต่ว่าเวรกรรม
00:01:47 → 00:01:50 หรือกฎแห่งกรรมเนี่ยมันเป็นกฎที่ควบคุม
00:01:50 → 00:01:53 ธรรมชาติอยู่สำหรับเรื่องโลกเวรโลกกรรม
00:01:53 → 00:01:56 ที่หลายคนฟังมาหรือว่าคิดมาเนี่ยต้องบอก
00:01:56 → 00:01:59 แบบนี้ก่อนว่ากรรมหรือการกระทำเนี่ยนะจิ
00:01:59 → 00:02:02 จริงๆแล้วเนี่ยถ้าเกี่ยวกับทางด้านโรคนะ
00:02:02 → 00:02:05 มันก็จะแบ่งเป็น 3 อย่าง 3 อย่างอันนี้
00:02:05 → 00:02:08 คิดเองนะบางทีท่านไปหา Reference อาจจะ
00:02:08 → 00:02:11 ไม่ไม่เจอนะแต่ว่าเท่าที่ประเมินเนี่ยมัน
00:02:11 → 00:02:14 มี 3 อย่างอันที่ 1 ก็คือกรรมโดยเผา
00:02:14 → 00:02:16 พันธุ์ก็คือโลกทางพันธุกรรมถามว่าโรกทาง
00:02:16 → 00:02:21 พันธุกรรมรักษาได้มแก้ได้มณปัจจุบันยังทำ
00:02:21 → 00:02:24 ไม่ได้นะเพราะวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถจะ
00:02:25 → 00:02:27 ตัดแต่งยอ่าตัดต่อพันธุกรรมคือบางโรค
00:02:27 → 00:02:30 สามารถตัดต่อพันธุกรรมออกไปได้แล้วแต่ว่า
00:02:30 → 00:02:33 ยังมีอีกหลายๆโรคที่เป็นโรคทางพันธุกัไม่
00:02:33 → 00:02:36 สามารถรักษาได้อย่างคนไทยเนี่ยเป็นโรค
00:02:36 → 00:02:40 ซีเมียซีเมียเนี่ยเป็นโรคเลือดชนิดหนึ่ง
00:02:40 → 00:02:42 ที่ทำให้เอ่อเขาเรียกว่าเม็ดเลือดแดงแตก
00:02:42 → 00:02:45 ตัวง่ายลักษณะเม็ดเลือดแดงผิดปกติอันนี้
00:02:45 → 00:02:48 ก็เป็นโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมทุก
00:02:48 → 00:02:50 ปัจจุบันนี้ยังรักษาได้มั้คะหรือว่าการ
00:02:50 → 00:02:52 รักษาก็คือเป็นการคืออย่างที่บอกว่าเรา
00:02:52 → 00:02:56 ไม่สามารถไปเคลียร์คนที่เป็นทาสเมียให้
00:02:56 → 00:02:59 กลับมาเป็นเลือดปกติแต่เราสามารถรักษาแบบ
00:02:59 → 00:03:02 อการถ่ายเลือดการถ่ายเหล็กอะไรอย่างเงี้ย
00:03:02 → 00:03:04 แล้วก็การให้เลือดเพื่อประคองชีวิตเขาได้
00:03:04 → 00:03:08 จนหมดอายุไข่ได้อันนี้เป็นลักษณะนั้นข้อ 2
00:03:08 → 00:03:12 ก็คือโรคที่เกิดขึ้นจากการกระทำของเราเอง
00:03:12 → 00:03:14 ก็คือพฤติกรรมหรือนิสัยของเราอ่าทาง
00:03:14 → 00:03:17 พฤติกรรมยกตัวอย่างเช่นโรก ncd ทั้งหลาย
00:03:17 → 00:03:20 อืสูบบุหรี่กินเหล้าโรคพวกนี้เรารู้อยู่
00:03:20 → 00:03:22 แล้วก็เกิดจากพฤติกรรมเรานี่คุณสูบบุหรี่
00:03:22 → 00:03:26 เยอะสุดท้ายคุณก็เป็นมะเร็งปอหรือคุณกิน
00:03:26 → 00:03:29 เหล้าเยอะสุดท้ายคุณก็กลายเป็นเอ่อตับ
00:03:29 → 00:03:32 แข็งนะหรือถ้าสมมติว่าคุณกินของหวานมากๆ
00:03:32 → 00:03:35 คุณก็อาจจะกลายเป็นโรคอ้วนเบาหวานส่วนหนึ
00:03:35 → 00:03:39 เนี่ยเป็นโรคทางพฤติกรรมอีกส่วนหนึงเป็น
00:03:39 → 00:03:41 โรคทางพันธุกรรมเพราะเบาหวานส่วนใหญ่ก็
00:03:41 → 00:03:45 มักจะตรวจสอบเจอว่าญาติพี่น้องก็เป็นเบา
00:03:45 → 00:03:48 หวานคุณก็จะมีโอกาสเป็นเบาหวานสูงขึ้นถูก
00:03:48 → 00:03:51 ต้องอันนี้คือโรคทางอย่างที่บอกว่า
00:03:51 → 00:03:53 พันธุกรรมเรารู้แล้วอันที่ 2 ก็คือโรคจาก
00:03:54 → 00:03:57 พฤติกรรมนะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองของตัว
00:03:57 → 00:04:00 คุณ 2 โลกเนี้ยมันเป็นสิ่งที่เราสัสามารถ
00:04:00 → 00:04:03 อธิบายได้อเพราะมันเป็นกรรมที่เราเห็น
00:04:03 → 00:04:06 กรรมที่เราเห็นเลยนี่โลกธรมทุกรรมโลกที่
00:04:06 → 00:04:08 เกิดขึ้นจากการกระทำเป็นกรรมที่เราเห็น
00:04:08 → 00:04:12 สมองเราสามารถจดจำและรู้ได้โรคอันที่ 3
00:04:12 → 00:04:15 ที่เราบอกว่าเป็นโรคเวรโรคกรรมเนี่ยมัน
00:04:15 → 00:04:18 เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถจดจำได้ทุกคนจะ
00:04:18 → 00:04:21 บอกว่าโลกเวรโลกกรรมก็เป็นกรรมในแต่
00:04:22 → 00:04:25 อดีตชาติมั้งที่คุณทำมาอย่างงู้นอย่างงี้
00:04:25 → 00:04:27 อย่างงั้นนึกออกปแต่ไม่มีใครพฟได้ว่ามัน
00:04:27 → 00:04:30 จริงว่ามันจริงเพราะคุณไม่สามารถระลึก
00:04:30 → 00:04:33 ชาติได้คุณไม่สามารถนั่งสมาธิแล้วไประลึก
00:04:33 → 00:04:36 ว่าอ๋อคุณทำแบบนี้แบบนี้มาจึงมาเกิดแบบ
00:04:37 → 00:04:40 นี้ดังนั้นการที่บอกว่าโรคเวรโรคกลับอัน
00:04:40 → 00:04:42 ที่ 1 เรามักจะอธิบายในโรคที่เราไม่
00:04:42 → 00:04:45 สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
00:04:45 → 00:04:48 ยกตัวอย่างเช่นคนแข็งแรงดีสุขภาพแข็งแรง
00:04:48 → 00:04:51 เล่นกล้ามเป็นมัดๆเลยอยู่ดีๆเป็นโรคตุ่ม
00:04:51 → 00:04:54 น้ำพุพองผิวหนังลอกทั้งตัวอย่างเงี้ยเรา
00:04:54 → 00:04:56 ไม่สามารถอธิบายได้ก็เดูแลตัวเองดีอ่ะ
00:04:56 → 00:05:00 ทำไมอยู่ดีๆเเป็นอ่ะหรือบางคนก็บอกว่าฉัน
00:05:00 → 00:05:02 ดูแลตัวเองดีมาตลอดสูบบุหรี่กินเหล้าไม่
00:05:03 → 00:05:06 เคยเลยทำไมฉันกลายเป็นมะเร็งปอดทำไมฉัน
00:05:06 → 00:05:09 กลายเป็นมะเร็งลำไส้ฉันกินอาหารคลีนทุก
00:05:09 → 00:05:11 อย่างหรือบางคนก็ป่วยเป็นลูคีเมียเราก็จะ
00:05:11 → 00:05:14 เห็นตามหน้าข่าวในณปัจจุบันใช่ค่ะเราจะ
00:05:14 → 00:05:16 เห็นแบบตามข่าวแบบไม่ว่าจะเป็นดาราหรือคน
00:05:16 → 00:05:19 ทั่วไปเขาดูแลตัวเองดีมากเลยแต่จู่ๆกับ
00:05:19 → 00:05:21 เป็นโรคซะงั้นแล้วหาสาเหตุไม่ได้ด้วยใช่
00:05:21 → 00:05:24 ในเนืมัน Un explain หรือหาสาเหตุไม่ได้
00:05:24 → 00:05:28 เนี่ยค่ะเราก็มักจะปลอบใจตัวเองอด้วยบอก
00:05:28 → 00:05:32 ว่ามันคือโรคเวรโลคกรรมการที่บอกว่ามัน
00:05:32 → 00:05:34 คือโรคเวรโรกกรรมมันเป็นการปลอบใจตัวเอง
00:05:34 → 00:05:38 ทำให้เราคิดบวกและยอมรับในสิ่งที่มันเกิด
00:05:38 → 00:05:40 ขึ้นอันนี้คือวิธีการที่คุณหมอแนะนำใช่มย
00:05:40 → 00:05:41 คะถ้าสมมุติว่าอยู่ดีๆเราป่วยแล้วผา
00:05:41 → 00:05:43 สาเหตุไม่ได้เงี้ยเราจะมีวิธีรับมือหรือ
00:05:43 → 00:05:46 ฮีลใจหรือแบบว่าวางใจยังไงดีให้เราไม่ไม่
00:05:46 → 00:05:48 เครียดกว่าเดิมให้เราไม่ทุกข์กว่าเดิมคือ
00:05:48 → 00:05:52 จริงๆถ้าถามว่าหมอแนะนำแบบนี้มบอกให้ทำใจ
00:05:52 → 00:05:55 คือต้องบอกว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่เป็นคำ
00:05:55 → 00:05:58 แนะนำที่ที่หมอคิดเองมันเป็นความคิดที่
00:05:58 → 00:06:01 หมอได้คุยกับคนไข้จะขอเล่าก็ให้ฟังก็แล้ว
00:06:01 → 00:06:04 กันเรื่องของกรรมเนี่ยตอนนั้นเนี่ยหมอ
00:06:04 → 00:06:07 เป็นนักศึกษาแพทย์ที่ศิริราชก็ย้อนกลับไป
00:06:07 → 00:06:10 ก็ 30 กว่าปีแล้วล่ะหมอไปเจอคนไข้คนนึง
00:06:10 → 00:06:12 เป็นคนไข้ผู้หญิงป่วยเป็นโรค sle เห็น
00:06:12 → 00:06:14 มั้ยผู้หญิงเนี่ยจะป่วยเป็นไม่ใช่กล้าม
00:06:15 → 00:06:18 เนื้ออ่อนแรงเป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัว
00:06:18 → 00:06:21 เองบางคนก็บอกว่าเป็นโรคภูมิเพี้ยนภูมิ
00:06:21 → 00:06:23 อยู่ดีๆภูมิคุ้มกันเราเม็ดเลือดขาวเนี่ย
00:06:23 → 00:06:26 ปกติจะต้องสู้ชืโลกใช่มั้ยอ่าปรากฏว่า
00:06:26 → 00:06:29 ทำลายเซลล์ของเราคือจริงๆต้องบอกว่า sle
00:06:29 → 00:06:32 เนี่ยจะมีทั้งหมด 11-12 อาการอาการแสดง
00:06:32 → 00:06:36 แต่คนไข้คนเนี้ยเบอกว่ามีครบ 4 ก็ครบและ
00:06:36 → 00:06:38 วินิจฉัยได้แล้วว่าเป็น s แต่คนไข้คน
00:06:38 → 00:06:40 เนี้ยมีครบ 11 ข้อเลยก็จะเป็นอะไรที่นัก
00:06:40 → 00:06:44 ศึกษาแพทย์สนใจใช่มยต้องไปดูว่าโอเฮ้ยคน
00:06:44 → 00:06:46 นี้เมีครบ 11 โลกเลยสิ่งที่เราเรียนรู้
00:06:46 → 00:06:49 จากคนไข้เนี่ยคนไข้เองก็สอนเราสิ่งที่คน
00:06:49 → 00:06:54 ไข้อยากรู้คนไข้ถามมาคำนึงว่าหมอโลกที่
00:06:54 → 00:06:56 ดิฉันเป็นอยู่เนี่ยมันเกิดเพราะอะไรเราก็
00:06:56 → 00:06:59 อธิบายทางวิทยาศาสตร์ก็เมื่อกี้นี่ไงภูมิ
00:06:59 → 00:07:02 คุ้มกันมันทำร้ายตัวเองคนไข้ก็ถามต่อว่า
00:07:02 → 00:07:05 แล้วอยู่ดีๆอ่ะทำไมภูมิคุ้มกันมันถึงมาทำ
00:07:05 → 00:07:08 ร้ายตัวเซลล์ของหนูล่ะหมอทำไมคนอื่นๆเขา
00:07:08 → 00:07:12 ไม่เป็นหมอก็นั่งคิดว่าเออว่ะทำไมถึงมาทำ
00:07:12 → 00:07:16 กับคนนี้ไม่ทำกับคนนั้นคนไข้พูดขึ้นมาเอง
00:07:16 → 00:07:19 ว่ามันคงเป็นกรรมเวรของดิฉันนี่คือสิ่ง
00:07:19 → 00:07:21 ที่คนไข้พูดแล้วมันเป็นครั้งแรกที่เรา
00:07:21 → 00:07:24 นั่งฟังว่าเออมันเป็นโรคกรรมพอคนไข้มอง
00:07:24 → 00:07:27 ว่ามันเป็นโรคกรรมว่ามันเป็นโลคกรรมโลก
00:07:27 → 00:07:30 เวรของดิฉันเองเขาทำใจยอมรับมนุษย์เรา
00:07:30 → 00:07:33 เนี่ยนะเวลาป่วยไข้ค่ะเคยป่วยมั้ยเคยค่ะ
00:07:33 → 00:07:36 เคยเข้าโรงพยาบาลมั้ยก็ตอนเด็กๆบ่อยอ่า
00:07:36 → 00:07:38 โอเคตอนเด็กๆอาจจะยังไม่เท่าไหร่แต่ถ้า
00:07:38 → 00:07:42 เราป่วยไข้ตอนโตอืสิ่งแรกก็คือพอเราป่วย
00:07:42 → 00:07:45 ปุ๊บเขาจับเราเข้านอนโรงพยาบาลสิ่งที่เรา
00:07:45 → 00:07:49 มองขึ้นไปก็คือเพดานนะเพดานห้องห้องสี่
00:07:49 → 00:07:51 เหลี่ยมไม่ให้เราไปไหนสิ่งแรกที่เราตั้ง
00:07:51 → 00:07:55 คำถามคือทำไมมันเกิดขึ้นกับเราสมมุติว่า
00:07:56 → 00:07:58 เราเป็นโรคที่อธิบายได้เราก็เข้าใจแหละ
00:07:58 → 00:08:00 สูบุหรี่กินเหล้าแล้วผมเป็นมะเร็งปอดเป็น
00:08:00 → 00:08:03 มะเร็งตับเป็นกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือกแต่
00:08:03 → 00:08:05 สมมุติเราเป็นโรคที่มันอธิบายไม่ได้หา
00:08:05 → 00:08:08 สาเหตุไม่เจอเราก็จะต้องตั้งคำถามว่า
00:08:08 → 00:08:10 เพราะอะไรมันเกิดกับเราได้อย่างไรคราวนี้
00:08:10 → 00:08:13 เราก็นั่งคิดเกิดกับเราได้ยังไงอันที่ 2
00:08:13 → 00:08:16 พอเราคิดแล้วเราก็เกิดคำถามหาคำตอบไม่ได้
00:08:17 → 00:08:21 ก็จะเป็นความไม่พอใจอ้าความโกรธความโกรธ
00:08:21 → 00:08:24 เยอาจจะแสดงออกโดยการปฏิเสธการรักษาหมอ
00:08:24 → 00:08:26 มันทำอะไรเนี่ยจาดเลือดไปอีกละวันนึงจาด
00:08:26 → 00:08:28 เลือดตั้งกี่ครั้งเนี่ยหมอจะไปตรวจอะไร
00:08:28 → 00:08:32 ด้วยมยเคยสมมุติว่าถ้าหนูเข้าโรงพยาบาล
00:08:32 → 00:08:34 บ่อยๆมาเจาะเลือดอีกแล้วจะดูอะไรหมอเจาะ
00:08:34 → 00:08:36 เลือดทุกวันเลยสิ่งที่หมอพูดไปเนี่ยเชื่อ
00:08:36 → 00:08:39 ว่าจะต้องตรงใจหลายๆคนก็จะเกิดความไม่พอ
00:08:39 → 00:08:42 ใจแล้วเจาะไปแล้วตรวจไปแล้วหนูเจ็บตัว
00:08:42 → 00:08:45 แล้วหาคำตอบไม่ได้คราวนี้มันก็จะเป็น
00:08:45 → 00:08:47 สเต็ปต่อไปว่าเมื่อเราโกรธแล้วเนี่ยสิ่ง
00:08:47 → 00:08:50 ที่พัฒนาทางด้านจิตใจเราต่อแล้วก็คือเรา
00:08:50 → 00:08:55 จะเศร้าซึมเศร้า deess รบทำไมทั้งโรครอ
00:08:55 → 00:08:58 เรือและโรครอลิงถึงได้ทำร้ายฉันอย่างนี้
00:08:58 → 00:09:01 ฉันแข็งแรงมาดีดีๆอ่ะทำไมฉันต้องมาป่วย
00:09:01 → 00:09:04 ไข้เราก็จะเริ่มซึมเศร้าถ้าเราผ่านโหมด
00:09:04 → 00:09:06 เนี้ยไปไม่ได้เราก็จะดิ่งกว่าเดิมเราก็จะ
00:09:06 → 00:09:10 ยิ่งดิ่งลงไปอีกเราก็จะสังเกตว่าหลายคน
00:09:10 → 00:09:12 ที่บอกว่าอย่าไปบอกเค้านะว่าเป็นมะเร็ง
00:09:12 → 00:09:16 อ่ะเดี๋ยวเขาคจะแย่ก็จะเป็นโหมดนี้แหละ
00:09:16 → 00:09:18 เพราะบางทีคนไข้รับรู้ว่าอ้าเป็นมะเร็งที
00:09:18 → 00:09:21 นี้เลยสุดสมมติเออเป็นมะเร็งตับก้อน 8 ซม
00:09:21 → 00:09:24 จะรอดวะไม่ไหวละซึมเศร้าร่างกายอย่างที่
00:09:24 → 00:09:28 บอกว่าจิตใจกับจิตใจกับร่างกายเนี่ยมันไป
00:09:28 → 00:09:31 ด้วยกันเมอพอเราเริ่มยอมแพ้ทุกอย่างเรา
00:09:31 → 00:09:34 ยอมแพ้ลภูมิคุ้มกันต่างๆเราก็ยอมแพ้ตามไป
00:09:34 → 00:09:37 ด้วยอืร่างกายมันก็จะออกทางร่างกายเราก็
00:09:37 → 00:09:40 จะสังเกตว่าหลายคนพอรับรู้ว่าเป็นโรคที่
00:09:40 → 00:09:43 รักษาไม่หายอีกไม่กี่วันไม่กี่เดีถอดใจไป
00:09:43 → 00:09:46 เลยเออเขาก็ถอดใจแล้วก็ Dead ไปเลยใช่มย
00:09:46 → 00:09:49 ซึมเศร้า depress แล้วก็ Death แต่ในอีก
00:09:49 → 00:09:52 กลุ่มหนึที่มีพื้นฐานจิตใจอืที่แข็งแรง
00:09:52 → 00:09:54 ที่เข้มแข็งซึ่งมันไม่รู้นะว่าตัวเราเข้ม
00:09:54 → 00:09:57 แข็งจริงรือเปล่ามันไม่มีตัววัดว่าตอนนี้
00:09:57 → 00:10:00 จิตใจเราเข้มแข็งแค่ไหนจะบอกว่ารับได้รับ
00:10:00 → 00:10:03 ได้รับได้หมอรับได้บอกมาเลยหมอบอกมาเลย
00:10:03 → 00:10:06 ว่าหนูเป็นอะไรบอกมาเลยอิฉันเป็นอะไรถึง
00:10:06 → 00:10:10 เวลาจริงๆรับได้มากน้อยแค่ไหนไม่มีใครรู้
00:10:10 → 00:10:13 สมมุติว่าในกลุ่มที่จิตใจเข้มแข็งจริงรับ
00:10:13 → 00:10:16 ได้ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับฉันนะฉันยอม
00:10:17 → 00:10:19 รับฉันพร้อมที่จะเดินไปพร้อมกับมันฉัน
00:10:19 → 00:10:22 พร้อมที่จะสู้มันพวกเนี้ก็จะเป็นกลุ่มที่
00:10:22 → 00:10:25 เรียกว่า acceptable ะใช่มจาก Angry
00:10:25 → 00:10:28 depress เริ่มเป็น acceptable อยู่กับ
00:10:28 → 00:10:31 มันไปตอนนี้พออยู่กับมันไปได้ก็จะมีผู้
00:10:31 → 00:10:34 ชนะกับผู้แพ้อืวินเนอร์ก็คือชนะจากโลค
00:10:34 → 00:10:38 โอเคฉันหายไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็งหรือโรค
00:10:38 → 00:10:42 อะไรก็แล้วแต่ถึงแม้จะทำใจได้แต่ก็พ่าย
00:10:42 → 00:10:45 แพ้กับโรคอืก็มีงั้นแบบนี้เราพอจะแบบว่า
00:10:45 → 00:10:47 อนุมานมันเือพอจะ assume ได้มว่าเออ
00:10:47 → 00:10:49 อารมณ์อ่ะมันก็มีผลต่อร่างกายเหมือนกัน
00:10:49 → 00:10:50 เหมนที่คุณหมอชอบพูดว่าจิตเป็นนายกลาย
00:10:50 → 00:10:53 เป็นบาวใช่ค่ะแล้วทีนี้เราจะรักษาอารมณ์
00:10:53 → 00:10:54 ของเรายังไงดีให้มันแบบว่า stable หรือ
00:10:54 → 00:10:56 ให้มันอยู่ในหมุดที่แบบอารมณ์ดีตลอดเงค่ะ
00:10:56 → 00:10:58 เพราะอารมณ์ดีมันก็ช่วยให้เราสุขภาพดีถูก
00:10:58 → 00:11:02 มั้ยคะสิ่งที่ศาสนาพุทธสอนเมื่อเรามี
00:11:02 → 00:11:07 ทุกข์อโรคป่วยไม่สบายมันคือทุกข์อย่างนึง
00:11:07 → 00:11:10 ทุกข์ทั้งตัวเราและทุกข์ของเรามันจะแผ่ไป
00:11:10 → 00:11:14 สู่คนรอบตัวเราด้วยอ่าคนที่รักเราเไม่ได้
00:11:14 → 00:11:16 มีความสุขกับเราด้วยหรอกพอเราป่วยเขาก็มี
00:11:16 → 00:11:19 ความทุกข์ด้วยเมื่อมีทุกข์เกิดขึ้นให้นึก
00:11:19 → 00:11:22 ถึงขันธ์ 5 รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ
00:11:22 → 00:11:25 ประเด็นของขันธ์ 5 ก็คือว่าเมื่อมีอะไรมา
00:11:25 → 00:11:28 กระทบอะไรก็แล้วแต่ที่เป็นทุกข์ของเราอ่ะ
00:11:28 → 00:11:31 มากระทบใจเราให้เราวางไว้ให้เรานิ่งๆไว้
00:11:31 → 00:11:34 เหมือนกับว่ามันไม่ใช่ทุกข์มันเป็นสิ่ง
00:11:34 → 00:11:36 ที่เราจะต้องประสบถ้าฟังเรื่องของขันธ์ 5
00:11:36 → 00:11:40 แล้วยากเอานี่ก็แล้วกันทุกข์สมุทัยนิโรธ
00:11:40 → 00:11:43 มรรคอ่านิโรธแล้วก็มรรคใช่มยเมื่อมีทุกข์
00:11:43 → 00:11:47 เกิดขึ้นใช่ป่ะทุกข์ก็คือผลสมุทัยก็คือ
00:11:47 → 00:11:51 เหตุอะไรล่ะคือเหตุแต่จริงๆแล้วเนี่ยเหตุ
00:11:51 → 00:11:55 เนี่ยมันเกิดก่อนออมันใช่เหตุมันเกิดก่อน
00:11:55 → 00:11:57 ที่เราจะทุกข์เพราะฉะนั้นเนี่ยถ้าเรา
00:11:57 → 00:12:00 กำจัดเหตุไปได้ทุกข์นั้นก็จะไม่เกิดคราว
00:12:00 → 00:12:04 นี้อะไรที่จะทำให้เหตุนั้นหายไปคือสมุทัย
00:12:04 → 00:12:07 หายไปคือมรรคมรรคคือแนวทางในการกำจัด
00:12:07 → 00:12:09 ทุกข์ใช่มั้ยแต่มรรคเนี่ยถ้าเราไปอ่าน
00:12:09 → 00:12:12 เนี่ยนะสัมมาทิฏฐิสัมมาวายามะนู่นนี่นั่น
00:12:12 → 00:12:14 นะ 8 ข้อเนี่ยมรรคองค์ 8 เนี่ยถ้าเรา
00:12:14 → 00:12:18 ดำเนินตามมรรคมันจะไม่เกิดเหตุนึกออกป
00:12:18 → 00:12:22 สมมุติว่าเอาง่ายๆสัมมาอาชีพก็แล้วกันอ่ะ
00:12:22 → 00:12:25 สมมุติว่าเราไม่ไปขโมยของเอ่ะเราไม่คิด
00:12:25 → 00:12:27 อยากมีอยากได้เราก็ไม่ไปขโมยของเเราก็ไม่
00:12:28 → 00:12:31 โดนจับใช่มั้อดังนั้นเนี่ยถ้าคุณใช้ชีวิต
00:12:31 → 00:12:34 ในการดำเนินตามแบบของมรรค 8 เนี่ยนะคุณก็
00:12:34 → 00:12:37 จะไม่เกิดสิ่งที่เกิดเหตุที่ทำไปเกิด
00:12:37 → 00:12:39 ทุกข์นิโรธก็คือดับทุกข์ได้ใช่มั้ยเพราะ
00:12:39 → 00:12:42 งั้นนิโรธเนี่ยจริงๆถ้าถามก็คือนิโรธมา
00:12:42 → 00:12:45 สุดท้ายเพราะฉะนั้นอะไรก็แล้วแต่ที่มัน
00:12:45 → 00:12:48 เกิดขึ้นกับชีวิตเราโรคก็เป็นทุกอย่างดัง
00:12:48 → 00:12:51 นั้นส่วนใหญ่คนมักจะถึงไปหาเหตุก่อนว่า
00:12:51 → 00:12:54 แล้วทำไมเล่าฉันถึงต้องมาเป็นแบบนี้หอถึง
00:12:54 → 00:12:57 ได้บอกว่าเวลาป่วยแล้วนอนเนี่ยมันจะคิด
00:12:57 → 00:13:00 แหละว่าเพราะอะไรเล่าสิได้มาเหตุมันฟุ้ง
00:13:00 → 00:13:03 ซ่านอ่าใช่มั้ยเพราะฉะนั้นน่ะสิ่งที่เา
00:13:03 → 00:13:06 คิดก็คือสมุทัยนั่นแหละว่ามันเกิดเพราะ
00:13:06 → 00:13:10 อะไรถ้าเขาหาทางแก้ได้การแก้โรคของตัวเอง
00:13:10 → 00:13:14 มันก็จะเป็นส่วนที่หมอนั้นมารักษาถูกป่ะ
00:13:14 → 00:13:17 แต่ถ้าสมมุติว่าเเดินตามแบบตั้งแต่ต้นมา
00:13:17 → 00:13:20 ก็คือรค 8 เนี่ยเไม่ไปสู่บุหรี่ไม่กิน
00:13:20 → 00:13:23 เหล้าเขาก็จะไม่เกิดทุกข์นั้นถ้าพูดให้
00:13:23 → 00:13:25 เข้าใจง่ายๆก็คือว่าการที่เขาไปคิดถึง
00:13:25 → 00:13:27 สมุทัยก็คือการที่เขาอ่ะไปโฟกัสที่ปัญหา
00:13:27 → 00:13:30 แต่เขาอ่ะไม่โฟกัสที่วิธีแก้เหตุคืออย่าง
00:13:30 → 00:13:31 บางโลกอ่ะอย่างที่คุณหมอบอกมันคือโลกเป็น
00:13:31 → 00:13:33 โรกกรรมใช่มเราก็แบบอยู่ดีๆก็เป็นหา
00:13:33 → 00:13:36 สาเหตุไม่ได้เราไม่รู้สมุทัยอเราจะมีวิธี
00:13:36 → 00:13:37 เช็คได้มว่าเออตอนนี้ฉันมีความเสี่ยงที่
00:13:38 → 00:13:40 จะเป็นโรคอะไรมอย่างหนูเคยเห็นเทคโนโลยี
00:13:40 → 00:13:43 แบบไปตรวจยีนตรวจอะไรเงี้ยค่ะเพื่อดูการ
00:13:43 → 00:13:46 ตรวจยีนเนี่ยหรือตรวจ DNA นะเ๋นี้ก็มีแลป
00:13:46 → 00:13:49 หลายแลปเนี่ยเขาตรวจถามว่ามันจะรู้ได้ม
00:13:49 → 00:13:52 อ่าใช้คำพูดว่าหมอดูก็แล้วกันหมอดู
00:13:52 → 00:13:54 วิทยาศาสตร์ยกตัวอย่างสมมุติว่าหนูไปตรวจ
00:13:54 → 00:13:58 DNA เขาก็จะออกมาว่าอืคุณจะมีโอกาสเกิด
00:13:58 → 00:14:02 โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด 20% คุณจะมี
00:14:02 → 00:14:06 โอกาสเกิดมะเร็งลำไส้ 50% สมมุติดูจาก DNA
00:14:06 → 00:14:09 แต่มันเป็นเเรียกว่ามันเป็นหมอดูสิ่งที่
00:14:09 → 00:14:12 เขาพูดหรือในลิสในรายการเนี่ยมันอาจจะไม่
00:14:12 → 00:14:15 ได้เกิดขึ้นก็ได้หลายคนเอามาส่งให้หมอดู
00:14:15 → 00:14:19 หรือหลายคนเกิดทุกข์เมื่อไปตรวจ DNA ดู
00:14:19 → 00:14:22 นึกออกป่ะแต่ตอนแรกไม่คิดอะไรมากเตอนแรก
00:14:22 → 00:14:26 ไม่คิด้ยโอ้โหโลกนี่ลิส์รายการเพียบเลย
00:14:26 → 00:14:29 ว่าฉันจะเกิดโรคเกิดนี้กี่เปอร์เซ็นต์ 8
00:14:29 → 00:14:32 10% บ้าง 70% บ้างกลุ่มนึงก็เหมือนเดิม
00:14:32 → 00:14:35 กลุ่มนึงรับได้ถ้าฉันรับได้ฉันมีโอกาส
00:14:35 → 00:14:37 เกิดโรคพวกนี้ใช่มั้ยอืงั้นฉันป้องกัน
00:14:38 → 00:14:40 ก่อนอ่าฉันป้องกันก่อนสมมุติฉันมีโอกาส
00:14:40 → 00:14:42 เกิดมะเร็งลำไส้ใช่มั้ยฉันไม่กินเนื้อ
00:14:42 → 00:14:45 สัตว์เนื้อแดงนะกินผักผลไม้เยะเยอะไม่
00:14:45 → 00:14:48 พยายามท่องผูกอ่าเขาก็จะไปปรับตัวได้แต่
00:14:48 → 00:14:51 พวกที่บอกว่าโฉันปรับตัวไม่ได้ยอมรับชะตา
00:14:52 → 00:14:54 กรรมยังไงต้องเกิดอยู่แล้วสักวันนึงคนเรา
00:14:54 → 00:14:55 มันก็ต้อง
00:14:55 → 00:15:00 ตายพวกนี้ก็จะยังดำรงชีวิตแบบปกติแบบปกติ
00:15:00 → 00:15:03 อโดยที่ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
00:15:03 → 00:15:07 ดังนั้นมันจึงเป็นดาบ 2 คงในการที่คุณไป
00:15:07 → 00:15:11 ตรวจ DNA แล้วรู้ว่าคุณเป็นโรคนู้นโรคนี้
00:15:11 → 00:15:13 แต่เดี๋ยวเนี้ยมันมีเรื่องของค่าใช้จ่าย
00:15:13 → 00:15:17 การรักษาพยาบาลเกิดขึ้นอืทำประกันยังทำ
00:15:17 → 00:15:20 แล้วใช่มถ้าหนูไปตรวจ DNA ป๊าดปรากฏว่า
00:15:20 → 00:15:24 หนูมีความเสี่ยงในประมาณสัก 10 โรคร้าย
00:15:24 → 00:15:26 หนูเลยคิดในใจเฮ้ยฉันไปตรวจก่อนแล้วฉันจะ
00:15:26 → 00:15:30 ได้ไปทำประกันอ้าแต่ประกันบอกว่าเฮ้ยคุณ
00:15:30 → 00:15:33 ตรวจมาแล้วนี่แล้วคุณรู้นี่หว่าคุณรู้นี่
00:15:33 → 00:15:36 ว่าคุณมีโอกาสเสี่ยงโรคร้ายคุณปิดบังหรือ
00:15:36 → 00:15:40 เปล่าคุณไม่แถลงก่อนิว่าคุณมีโอกาสเกิด
00:15:41 → 00:15:44 เหเขาก็จะเอาไอ้ตรงเนี้ยที่เขาไปหาเจอมา
00:15:44 → 00:15:47 เนี่ยค่ะมาบอกว่าไม่รับประกันนะจ๊ะตอนที่
00:15:47 → 00:15:52 หนูป่วยเพราะว่าหนูอ่าแต่เขาจะคืนเงิน
00:15:52 → 00:15:55 เบี้ยประกันให้หนูอืก็มีเรื่องค่าใช้จ่าย
00:15:55 → 00:15:58 เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งที่มันไม่ดีละแต่
00:15:58 → 00:16:01 การตรวจสุขภาพประจำปีอมันแตกต่างกันส่วน
00:16:01 → 00:16:05 ตัวหมอหมอสนับสนุนให้ตรวจสุขภาพประจำปี
00:16:05 → 00:16:08 ค่ะปีละครั้งคิดง่ายๆมีรถใช่มั้ยทุกคนมี
00:16:08 → 00:16:13 รถไม่มีค่ะไม่มีอ้าหรอโอเคคนที่มีรถโดย
00:16:13 → 00:16:17 ปกติเขาจะมีเอารถเข้าศูนย์เช็คอเช็คอะไ
00:16:17 → 00:16:20 อ่าเช็ค 10,000 กล 50,000 กล 100,000 กล 2
00:16:20 → 00:16:23 กลเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องนู่นนี่นร่าง
00:16:23 → 00:16:26 กายคนเราก็เหมือนกันเราก็ควรจะเช็คทุกๆปี
00:16:26 → 00:16:28 อ่าทุกๆปีว่ามันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
00:16:29 → 00:16:32 คนเรานะมันไม่ได้แข็งแรงไปเปืนทุกๆปีหรอก
00:16:32 → 00:16:35 มันต้องมีการเปลี่ยนแปลงดีขึ้นหรือเลวลง
00:16:35 → 00:16:37 เอาง่ายๆเรื่องคอเลสเตอรอลเนี่ยเจาะเลือด
00:16:37 → 00:16:41 มาปีนี้ปกติปีหน้าไม่ได้บอกว่าจะปกติ
00:16:41 → 00:16:43 เพราะพฤติกรรมของเราอาจจะเปลี่ยนไปปีนี้
00:16:43 → 00:16:45 อาจจะกินเยอะอันนี้นึกออกใช่มั้เพราะ
00:16:45 → 00:16:48 ฉะนั้นเนี่ยการตรวจสุขภาพประจำปียังแนะนำ
00:16:48 → 00:16:51 อยู่บางคนคิดว่าตัวเองแข็งแรงดีบางคนนจะ
00:16:51 → 00:16:54 บอกว่าจะไปรู้ทำไมอย่าไปรู้เลยถูมอย่าไป
00:16:54 → 00:16:56 ตรวจสุขภาพจำปีเลยอย่าไปรู้เลยใช่บางคนเา
00:16:56 → 00:16:59 ถือคติที่ว่าถ้าไม่รู้ก็คือไม่เป็นก็ไม่
00:16:59 → 00:17:01 รู้ไม่เป็นอะไรเงี้ยแต่จริงๆแล้วพวกที่
00:17:01 → 00:17:05 คิดแบบเหลายคนหรือคิดว่าตัวเองแข็งแรงนะ
00:17:05 → 00:17:07 เรามักจะเห็นว่าสุดท้ายก็จะลงเอยว่าไป
00:17:07 → 00:17:11 อยู่ในหน้าข่าวแข็งแรงเป็นนักวิ่งมาราธอน
00:17:11 → 00:17:14 วิ่งประจำเลยปรากฏไปออกงานวิ่งหัวใจวาย
00:17:14 → 00:17:17 ตายได้ไงอ่ะแข็งแรงออกอย่างงั้นวิ่งอยู่
00:17:17 → 00:17:20 ทุกวันวันละ 10 ก 10 กลอยู่ดีๆไป Heart
00:17:20 → 00:17:23 แทคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดคาถนนเไอ้
00:17:23 → 00:17:26 เรื่องข่าวเนี่ยเราจะเจอประจำเพราะฉะนั้น
00:17:27 → 00:17:29 ไม่ได้ห้ามการออกกำลังกายเดี๋ยวคบอกว่า
00:17:29 → 00:17:32 อุ้ยแสดงว่าอย่างงี้ฉันไม่ไปวิ่งะนอนอ้วน
00:17:32 → 00:17:35 ๆอยู่ที่บ้านดีกว่าไม่ใช่เออต้องบอกว่า
00:17:35 → 00:17:38 ก่อนคุณจะออกกำลังกายคุณเช็คร่างกายก่อน
00:17:38 → 00:17:41 สุขภาพประจำปีปีละครั้งถ้าคุณแข็งแรงดี
00:17:41 → 00:17:44 คุณก็ออกไปสิเพราะภายใน 1 ปีอ่ะถ้าเกิด
00:17:44 → 00:17:47 อะไรขึ้นมันคงไม่แย่มันคงจะแก้ไขไทันอ่า
00:17:47 → 00:17:50 นะนึกออกป่ะหรือถ้าสมมุติว่าเป็นโรคร้าย
00:17:50 → 00:17:53 มันก็ได้เจอก่อนแต่ส่วนใหญ่ของเราก็คือไป
00:17:53 → 00:17:57 มาตอนที่แบบระยะ 3 ระยะ 4 นึกออกะที่มัน
00:17:57 → 00:17:59 ออกอาการแล้วอย่างเงี้ยรักษายากแล้วพูด
00:17:59 → 00:18:02 จริงๆคือสมมุตินะอค่ะคุณมาระยะ 4 เนี่ย
00:18:02 → 00:18:06 หมอเก็รักษาไปเค้าก็จะมีแนวทางรักษาให้
00:18:06 → 00:18:08 เคมีบำบัดให้นู่นให้นี่อะไรอย่างเงี้ย
00:18:08 → 00:18:11 ระยะที่ 4 จะหายสักกี่เปอร์เซ็นต์ออใช่
00:18:11 → 00:18:13 ถูกมยเดี๋ยวคราวเนี้ยมันจะเข้ามาสู่ใน
00:18:13 → 00:18:16 เรื่องว่าเมื่อคุณรู้ว่าโอกาสที่คุณจะมี
00:18:16 → 00:18:19 ชีวิตอยู่รอดหมอผมจะยุหรือได้กี่เดือน
00:18:19 → 00:18:22 อะไรเงี้ยจะมีคนไข้เนี่ยชอบมาเค้นคอว่าจะ
00:18:22 → 00:18:25 มีุได้กี่เดือนหมอโดยทั่วไปเจะจะไม่ค่อย
00:18:25 → 00:18:27 พูดหรอกเพราะอะไรคะอันที่ 1 เหมือนเดิม
00:18:27 → 00:18:31 จิตใจบอกคูดคงไม่เกิน 4 เดือนนี้หรอก
00:18:31 → 00:18:34 พรุ่งนี้ตายแล้วนึกออก่ะหรือบางคนบอกว่า
00:18:34 → 00:18:38 อ๋ออย่างงี้ก็สมาณปีนึงเอ่อปีนึงยังมี
00:18:38 → 00:18:40 เวลาทำอย่างองคอย่างอื่นก่อนปรากฏอ้าวไหน
00:18:40 → 00:18:44 หมอบอกผมว่าปีนึงอ่ะ 2 เดือนผมก็ไปซะแล้ว
00:18:44 → 00:18:46 หมอส่วนใหญ่เขาจึงไม่ค่อยบอกกันถ้าไม่ไป
00:18:46 → 00:18:49 เค้นคอเขาให้พูดแต่บางคนก็จะพูดว่ากราบ่ะ
00:18:49 → 00:18:53 คุณหมอช่วยบอกผมเถอะว่ามีเวลาอีกกี่เดือน
00:18:53 → 00:18:57 ผมเนี่ยจะได้เตรียมตัวได้ถูกอผมจะได้มี
00:18:57 → 00:18:59 สมบัติหมื่นล้านของผมเนี่ยจะได้แบ่งได้
00:18:59 → 00:19:02 ถูกจะได้แบ่งได้ถูกลูกหลานไม่ต้องทะเลาะ
00:19:02 → 00:19:04 กันบางคนเขก็มองแบบนั้นเพราะฉะนั้นมันก็
00:19:04 → 00:19:07 ขึ้นอยู่กับพื้นฐานจิตใจแล้วแต่แต่ละเคสต
00:19:07 → 00:19:11 ก็ต่างกันแต่แน่นอนว่าตอนคนไข้มารักษาโรค
00:19:11 → 00:19:14 ด้วยโรคนั้นโรคนี้เราไม่รู้ว่าจิตใจเเป็น
00:19:14 → 00:19:17 ยังไงมันไม่ได้แบบอใช่โชว์มาหรือมี
00:19:17 → 00:19:19 มอนิเตอร์ให้เห็นว่าคนนี้พูดแล้วเขจะรับ
00:19:19 → 00:19:23 ได้มันไม่มีงั้นแบบนี้ก็บางอย่างก็หมอคิด
00:19:23 → 00:19:25 ว่าไม่รู้จะดีกว่าเนาะให้เขาแบบอันนี้ก็
00:19:25 → 00:19:29 แล้วแต่คนถึงได้บอกไงว่าเป็นเราเราเราจะ
00:19:29 → 00:19:32 เลือกทางไหนแล้วมันก็จะมีส่วนสำคัญในการ
00:19:32 → 00:19:36 เลือกที่จะลงเอยวาระสุดท้ายของเราด้วย
00:19:36 → 00:19:39 กระบวนการไหนเหมือนกันที่มีข้อถกเถียงกัน
00:19:39 → 00:19:42 เข้าใจมแบบนี้เเถึงบอกไงว่าให้ทำวันนี้
00:19:42 → 00:19:45 ให้ดีที่สุดให้โฟกัส่วันนี้ใชอมันก็ถูก
00:19:45 → 00:19:48 ต้องก็คือทำวันนี้ให้มันดีที่สุดแหละ
00:19:48 → 00:19:50 เพราะเราก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะเกี่ยวกอะไร
00:19:50 → 00:19:52 ขึ้นกับเราจากที่คุณหมอบอกว่าเออที่คุณ
00:19:52 → 00:19:54 หมอแนะนำให้ตรจสุขภาพประจำปีเพื่อจะแบบ
00:19:54 → 00:19:56 เช็คว่าเออร่างกายเรายังโอเคมั้ยเพื่อจะ
00:19:56 → 00:19:58 ได้แบบถ้ามีโรคเราจะได้รักษาได้ทันเงี้
00:19:58 → 00:20:00 ค่ะใช่จากการตรวจสุขภาพประจำปีแล้วคุณหมอ
00:20:00 → 00:20:03 มีวิธีแบบว่านิสัยหรือพฤติกรรมอะไรที่เรา
00:20:03 → 00:20:05 ควรจะทำให้มันชินจนแบบเป็นปกติในชีวิต
00:20:05 → 00:20:07 บ้างคะเพื่อให้ชีวิตให้สุขภาพเรามันดีออ
00:20:07 → 00:20:11 คือจริงๆเนี่ยอันนี้หมอหมอมองกลางๆนะหมอ
00:20:11 → 00:20:14 ว่าเชื่อว่าคนส่วนใหญ่รู้อยู่แล้วว่าอะไร
00:20:14 → 00:20:17 ดีอะไรไม่ดีอันนี้พูดจริงๆนะคือทุกคน
00:20:17 → 00:20:20 เนี่ยมีสติปัญญาที่รับรู้ได้ว่าดีหรือไม่
00:20:20 → 00:20:25 ดีอือแต่เลือกที่จะทำหรือไม่กทำถูกป่ะคือ
00:20:25 → 00:20:29 ไม่ต้องให้หมอพูดซ้ำคุณต้องนอนมา 8 ชั่ม
00:20:29 → 00:20:32 กินน้ำวันละ 8 แก้วนะต้องออกกำลังกายวัน
00:20:32 → 00:20:34 ละ 30 นาทีนะอย่างน้อยวันเว้นวันอะไร
00:20:34 → 00:20:37 อย่างเงี้ยนะมันไม่จำเป็นหรอกเพราะว่าทุก
00:20:37 → 00:20:39 อันเนี่ยก็รู้อยู่แล้วเรู้อยู่แล้วแต่
00:20:39 → 00:20:42 ประเด็นก็คือเราจะทำหรือเปล่าถ้าเราไม่ทำ
00:20:42 → 00:20:45 พูดไปให้ปากเปียกปากแฉะเขาก็ไม่ทำเพราะ
00:20:45 → 00:20:48 ฉะนั้นเนี่ยด้วยสติปัญญาคนที่รับฟังช่อง
00:20:48 → 00:20:50 นี้อยู่เนี่ยอืเเนี่ยจะต้องรู้อยู่แล้ว
00:20:50 → 00:20:55 ว่าอะไรดีก็ทำอะไรไม่ดีอะไรหลีกเลี่ยงได้
00:20:55 → 00:20:58 ก็ไม่ควรทำงั้นอันนี้ขอถามอีกนิดนึงถ้า
00:20:58 → 00:20:59 คุณบอกว่าทุกคนรู้อยู่แล้วเพราะสมัยนี้
00:20:59 → 00:21:01 มันมีสื่อโซเชียลเนาะคนก็แบบว่าสามารถ
00:21:01 → 00:21:03 เสิร์ชหาข้อมูลตัวเองได้แล้วแบบเนี้ยมัน
00:21:03 → 00:21:06 ก็มีเฟกนิวบ้างมีหมอที่ไม่ใช่หมอจริงบ้าง
00:21:06 → 00:21:08 ออกมาตาม tiktok ตามอะไรเงี้ยค่ะแล้วเรา
00:21:08 → 00:21:10 จะรู้ได้ไงว่าเออข้อมูลเนี้ยมันจริงแต่
00:21:10 → 00:21:13 ข้อมูลเยมันเท็จนะอะไรเงี้ยยกตัวอย่างของ
00:21:13 → 00:21:16 หมอเองก็แล้วกันตอนที่หมอทำช่องใหม่ๆค่ะ
00:21:16 → 00:21:18 สวัสดีครับผมนายแพทย์อดุลชัยทำมาแสงเสริ
00:21:18 → 00:21:21 สัแพทย์สัแพทย์ตกแต่งนะก็จะมีคนมาเมนต์
00:21:21 → 00:21:25 หมอจริงป่าวะเอหน้าตาไม่เหมือนเลยอ่ะอะไร
00:21:25 → 00:21:28 เงี้ยหมอต้องใส่แว่นขาวๆดิดูหน้าตาแบบ
00:21:28 → 00:21:31 นั่นหน่อยไอ้นี่มันไม่ใช่แล้วอะไรเงี้ย
00:21:31 → 00:21:34 เราก็บอกว่าช่วยกรุณาเอาชื่อปอเนี่ยนะ
00:21:34 → 00:21:39 ชื่อไปเสิร์ชในแพทยสภาอืท่านจะเห็นเลยว่า
00:21:39 → 00:21:42 ไอ้ที่พูดเนี่ยพูดตามแพทยสภาบอกทั้งนั้น
00:21:42 → 00:21:46 ว่าเป็นสัญแพทย์แล้วก็สัพท์ตกแต่งอ่าอัน
00:21:46 → 00:21:49 นี้ก็อันที่ 1 ะแต่เราจะเห็นว่าเดี๋ยวนี้
00:21:49 → 00:21:53 มีโค้ชโค้ชสุขภาพโค้ชสุขภาพเอ้ยบางที
00:21:53 → 00:21:56 เนี่ยเห็นดาราพูดเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ
00:21:56 → 00:21:58 เราไม่ได้ว่านะเราว่าเออก็ดีถ้าไม่มีมี
00:21:58 → 00:22:02 อะไรแฝงอถ้าทำโดยบริสุทธิ์ใจมาแนะนำคนให้
00:22:02 → 00:22:06 ดูแลสุขภาพแนะนำผลิตภัณฑ์สุขภาพด้วยความ
00:22:06 → 00:22:08 บริสุทธิ์ใจเค่ะมันต้องเป็นเรื่องดีอยู่
00:22:08 → 00:22:12 แล้วอืนึกออกมและสิ่งเหล่านั้นน่ะต้องให้
00:22:12 → 00:22:15 ดีจริงแม้เป็นโค้ชสุขภาพเขาอาจจะไม่ได้จบ
00:22:15 → 00:22:19 แพทย์อแต่เขามีความรู้พยาบาลก็ได้สมมุติ
00:22:19 → 00:22:22 เป็นคุณพยาบาลหรือเป็นบุคลากรทางการแพทย์
00:22:22 → 00:22:24 หรือเป็นนักวิทยาศาสตร์ Biology อะไรก็
00:22:24 → 00:22:28 แล้วแต่เขาสามารถพูดเรื่องสุขภาพได้ถ้าเา
00:22:28 → 00:22:32 นำนำความรู้ที่เป็นเรื่องจริงอือมาพูดแต่
00:22:32 → 00:22:36 ในมุมกลับกันแม้เป็นหมอก็ตามบางทีพูดอะไร
00:22:36 → 00:22:39 ก็ไม่รู้อย่าไปเชื่อเขาว่าสิ่งที่เขาพูด
00:22:39 → 00:22:42 มันจะถูกทั้งหมดถูกดังนั้นให้ใช้หลักพุทธ
00:22:42 → 00:22:45 เหมือนเดิมหลักกลสูตร 10 อย่ามองว่าเขา
00:22:45 → 00:22:48 เป็นอาจารย์อย่ามองว่าเขาเป็นผู้รู้แล้ว
00:22:48 → 00:22:52 คุณต้องเชื่อเขาตลอดคุณต้องไปเช็คว่าพื้น
00:22:52 → 00:22:54 ฐานเขานั้นเป็นอะไรเดี๋ยวนี้มันเช็คง่าย
00:22:54 → 00:22:56 ก็อย่างที่บอกว่าเช็คในอินเทอร์เน็ตก็ได้
00:22:56 → 00:22:59 เสิร์ชชื่อหมอเกมแพทยเทางแบดเดียวหรือ
00:22:59 → 00:23:01 อะไรก็แล้วแต่ท่านก็จะเจอประมาณสัก 20
00:23:01 → 00:23:04 หน้า Google ว่าไอ้เนี่ยมันทำอะไรมาบ้าง
00:23:04 → 00:23:06 แล้วแบบนี้มันเป็นไปได้มั้ยคะว่าวิธีการ
00:23:06 → 00:23:08 ของหมอแบบนึงมันอาจจะไม่ฟิตกับคนไข้อีก
00:23:08 → 00:23:11 แบบนึงคือมันอาจจะไม่ไม่แมชกันแน่นอนใช่
00:23:11 → 00:23:13 มนุษย์เราเนี่ยเป็นสิ่งมีชีวิตที่เค้า
00:23:13 → 00:23:17 เรียกว่ามีความหลากหลายนะทางด้านชีวภาพ
00:23:17 → 00:23:20 ค่ะไอ้หมอคนเจ่ายยาตัวเนี้ยยี่ห้อเนี้ย
00:23:20 → 00:23:23 ให้กับคนไข้ประมาณ 1000 คนอืไม่เกิดปัญหา
00:23:23 → 00:23:28 อะไรเลยแต่ปรากฏว่าเจอคนที่ 1,00 อืกินยา
00:23:28 → 00:23:33 ตัวนี้เข้าไปโอโหแพ้ผื่นขึ้นขึ้นหน้าขึ้น
00:23:33 → 00:23:37 ตัวแผลพุบพองทั้งร่างกายก็มีคำถามถามว่า
00:23:37 → 00:23:40 เค้ารักษามาตั้ง 1000 คนหายหมดเลยอ่ะอือ
00:23:40 → 00:23:44 แต่รักษาคนที่ 1,100 แล้วคนไข้คนเนี้ยแพ้
00:23:44 → 00:23:47 ยาเต้องติดคุกมั้ยหรือความดีที่เาทำมา
00:23:47 → 00:23:50 1,000 เคสมันจะละลายวับไปอโออันนี้ไม่
00:23:50 → 00:23:54 รู้เลยค่ะถ้าถ้าคนไข้คนนั้นไม่ใช่ญาติเรา
00:23:54 → 00:23:56 เราอาจจะคิดอีกแบบนึงแต่ถ้าคนไข้คนนั้น
00:23:56 → 00:23:57 เป็นคนที่เรารักเป็นญาติเราเราอาจจะมอง
00:23:57 → 00:23:59 อีกแบบนึงก็ได้เมื่อมันมีเหตุการณ์เกิด
00:23:59 → 00:24:02 ขึ้นเหมือนที่คำถามที่เราถามอ่ะก็คือว่า
00:24:02 → 00:24:05 เอ๊ะหมอคะคนไข้ด้วยความหลากหลายเนี่ยได้
00:24:05 → 00:24:08 ผลอย่างนึงกับคนนึงไม่ได้ผลอีกอย่างนึง
00:24:08 → 00:24:10 กับคนนึงเนี่ยอันเนี้ยเป็นเรื่องที่แน่
00:24:10 → 00:24:13 นอนแต่เราจะใช้คำพูดว่าก็คนส่วนใหญ่อ่ะ
00:24:13 → 00:24:17 มันได้ผลอืดังนั้นเนี่ยในคนส่วนน้อยที่
00:24:17 → 00:24:20 ไม่ได้ผลเขาก็อาจจะมีวิธีการอื่นเปรียบ
00:24:20 → 00:24:23 เสมือนเรื่องยาเหมือนกันไม่ใช่ว่าเารักษา
00:24:23 → 00:24:26 ไม่ดีเต้องรักษาดีสิ 1,000 กว่าคนหายแต่
00:24:26 → 00:24:29 คนน 1,100 เนี่ยอือาจจะไม่เหมาะกับยาตัว
00:24:29 → 00:24:32 นั้นเแพ้ยาเพราะฉะนั้นไม่ใช่บอกว่า 1,000
00:24:32 → 00:24:35 คนที่เขารักษามาเนี่ยมันจะไปทำลายคุณค่า
00:24:35 → 00:24:39 ของเขาาใช่ค่ะแล้วแบบนี้ก็เลยอยากรู้ว่า
00:24:39 → 00:24:41 อย่างที่คุณหมอเคยพูดมันมีทั้งโรคที่เรา
00:24:41 → 00:24:43 แบบหาสาเหตุได้หาสาเหตุไม่ได้หลายๆอย่าง
00:24:43 → 00:24:45 ก็เลยอยากรู้ว่าแล้วเราจะมีวิธีสร้างภูมิ
00:24:45 → 00:24:47 คุ้มกันทางใจให้ตัวเองได้ยังไงบ้างถ้าคุณ
00:24:47 → 00:24:49 หมอแบบอยากจะแนะนำคนทางบ้านอะไรเงี้ยค่ะ
00:24:49 → 00:24:52 เรื่องหลักๆเลยนะเรื่องการนอนเออการนอน
00:24:52 → 00:24:56 เนี่ยเป็นอะไรที่สำคัญมากๆบอกได้เลยสำคัญ
00:24:56 → 00:24:59 กว่าอาหารซะอีกนะอันนี้ในมุมมองของหมอนะ
00:24:59 → 00:25:01 แล้วต้องนอนยังไงให้มีคุณภาพค่ะอันที่ 1
00:25:01 → 00:25:04 เลยนอนอย่างไรให้ครบชั่วโมงก่อนหนูนอนเว
00:25:04 → 00:25:08 ละกี่ชั่วโมง 7-8 ประมาณนั้นเฮ้ยเยอะกว่ะ
00:25:08 → 00:25:11 ตื่นสายโดยปกติถ้านอนได้วันละ 8 ชั่วโมง
00:25:11 → 00:25:14 มันดีอยู่แล้วแต่อย่างที่บอกว่า 6-8 ก็พอ
00:25:14 → 00:25:16 โอเคคือการนอนเนี่ยมีงานวิจัยอยู่แล้วล่ะ
00:25:16 → 00:25:19 ว่าสมองมันรีเซตร่างกายรีเซตสิ่งต่างๆที่
00:25:19 → 00:25:22 ผ่านมาร่างกายเราก็อย่างที่บอกว่าก็หมอ
00:25:22 → 00:25:24 มักจะเปรียบเทียบเหมือนรถอ่ะถ้าหนูสตาร์ท
00:25:24 → 00:25:27 รถอยู่ตลอด 24 ชั่วโมงก็พังหนูก็ต้องหยุด
00:25:27 → 00:25:31 พักบ้างพักเครื่องบ้างนะร่างกายเราก็จะ
00:25:31 → 00:25:34 ได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหลอภูมิคุ้มกันของ
00:25:34 → 00:25:37 เราเม็ดเลือดขาวของเรามันก็จะได้ทำงานได้
00:25:37 → 00:25:41 ตามปกติอันเนี้ยคือช่วงเวลาการนอนมันมี
00:25:41 → 00:25:45 ความสำคัญแล้วการนอนที่สำคัญหรือนนอนตรง
00:25:45 → 00:25:48 เวลาเนี่ยมันจะเข้ากับระบบที่ชื่อว่า
00:25:48 → 00:25:51 circadian System ก็คือว่าแต่ละเวลาแต่
00:25:51 → 00:25:54 ละชั่วโมงเวลานั้นเวลานี้ฮอร์โมนตัวนั้น
00:25:54 → 00:25:56 ออกตัวนั้นตัวนี้นึออกมันก็จะแบ่งเป็น
00:25:56 → 00:25:58 เช้ากับเย็นอะไรอย่างเงี้ยอ่ะเพราะฉะนั้น
00:25:58 → 00:26:00 นั้นถ้าเรานอนตรงเวลาในช่วงที่ฮอร์โมนมัน
00:26:01 → 00:26:03 ออกฤทธิ์เอาง่ายๆเลยสมมุติเด็กน้อยถ้า
00:26:03 → 00:26:06 อยากจะให้ลูกสูงคุณอย่าให้ลูกคุณน่ะนอน
00:26:06 → 00:26:10 เกิน 22:00 นอืเพราะในช่วง 22:00 นถึง
00:26:10 → 00:26:13 เที่ยงคืนเนี่ยมันเป็นช่วงที่โกทฮอร์โมน
00:26:13 → 00:26:15 หลมันหลั่งออกมาถ้าเด็กมันนอนดึกไปกว่า
00:26:15 → 00:26:17 นั้นเนี่ยกว่ามันจะหลับสนิทเนี่ยโรส
00:26:17 → 00:26:20 ฮอร์โมนมันก็ไม่ออกมาแล้วเด็กคนนั้นก็อาจ
00:26:20 → 00:26:23 จะเตี้ยไม่สูงก็ได้นี่คือเรื่องของการนอน
00:26:23 → 00:26:26 เป็นอันดับต้นๆที่สำคัญมากที่สำคัญมาก
00:26:26 → 00:26:29 แล้วก็เห็นหลายคนเลยว่าว่าใช้ชีวิตการนอน
00:26:29 → 00:26:32 ที่ผิดปกติอืบางคนทำงานกะกลางคืนทำงานไม่
00:26:32 → 00:26:37 เป็นเวลาเงี้ยเออใช่ๆอย่าอาชีพนึงที่ใกล้
00:26:37 → 00:26:40 ชิดแพทย์ที่สุดก็คือพยาบาลพยาบาลจะมีกัก
00:26:40 → 00:26:43 ดึกอืกับกักกลางวันใช่มั้ยเจะอยู่ทุก 8
00:26:43 → 00:26:47 ช่วโมง 8 88 เงี้ย 8:00 นถึง 16:00 น
00:26:47 → 00:26:50 1600 นถึงเที่ยงเที่ยงถึง 8:00 นพยาบาล
00:26:51 → 00:26:55 สาวๆอืมักจะได้อยู่กับดึกกับกลางคืนเพราะ
00:26:55 → 00:26:57 ว่าผีบานอายุมากฉันก็อยู่กับกลางวันะไม่
00:26:57 → 00:27:02 หวร่างกายเนี่ยทำงานหนักมากคือคุณนอนไม่
00:27:02 → 00:27:05 เป็นเวลาคุณตื่นในเวลาที่คนอื่นเขานอน
00:27:05 → 00:27:08 แล้วคุณนอนในเวลาที่คนอื่นเขาตื่นแล้วคุณ
00:27:08 → 00:27:11 ก็ไม่ได้นอนค่ะแสงเสริงอะไรต่างๆมันก็
00:27:11 → 00:27:14 เข้ามาก็รบกวนการนอนตอนเช้าคุณต้องไปเข้า
00:27:14 → 00:27:18 เวรบ่ายอีกเวรบ่ายคือ 16:00 นถึง 2300 น
00:27:18 → 00:27:20 ถึงที่กลงคืนเงี้ยชีวิตพวกเนี้ยก็จะมี
00:27:20 → 00:27:23 ปัญหาเพราะฉะนั้นพยาบาลก็เป็นอาชีพที่
00:27:23 → 00:27:28 หนักหน่วงมากในช่วงวัยที่จบมาแรกๆแล้วก็
00:27:28 → 00:27:31 ทำให้พยาบาลหลายคนเนี่ยท้อแท้ลาออกหรือ
00:27:31 → 00:27:35 บางคนป่วยไข้เป็นโรคที่โรคแปลกๆที่เป็น
00:27:35 → 00:27:37 โรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกันนี่แหละเพราะ
00:27:37 → 00:27:39 ฉะนั้นก็อย่างที่บอกว่าเมื่อเราดำรงชีวิต
00:27:39 → 00:27:41 แบบนี้แล้วเราภูมิคุ้มกันเราเริ่มไม่ดี
00:27:41 → 00:27:43 เราก็จะป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับโรค
00:27:43 → 00:27:46 ออโตอิมมูนโรคภูมิคุ้มกันที่มาในหลากหลาย
00:27:46 → 00:27:49 รูปแบบอันนี้คือพยาบาลที่เราขอมองเห็น
00:27:50 → 00:27:54 ดาราออ่าดาราหรือนักร้องเใช้เวลาใช้ชีวิต
00:27:54 → 00:27:56 แบบอาจจะไม่เป็นเวลาคือพวกเนี้ยได้เงิน
00:27:56 → 00:27:59 ทองเยอะอแต่เต้องสูญเสียหลายอย่างในเวลา
00:28:00 → 00:28:03 กินไม่ได้กินเวลานอนไม่ได้นอนนอนต้องไป
00:28:03 → 00:28:06 นอนบนรถเพราะต้องขับไปอีกที่นึงะแล้วก็ไป
00:28:06 → 00:28:09 ขึ้นแสดงคอนเสิร์ตต้องเอาพาเวอร์ของตัว
00:28:09 → 00:28:13 เองออกมาเพื่อที่จะส่งความสุขพิคนอื่นอ
00:28:13 → 00:28:16 มันหมดพลังโรคภัยก็จะถามหาอย่างถ้าเรา
00:28:16 → 00:28:20 เป็นระดับโลกก็เป็นิอใช่มั้ยโรค stiffness
00:28:20 → 00:28:23 Person คือโรคคนตัวแข็งเกิดจากภาวะ
00:28:23 → 00:28:26 autoimmune disease ก็คือเป็นโรคภูมิ
00:28:26 → 00:28:29 คุ้มกันเมันทำลายตัวเองมันก็เลยทำให้ร่าง
00:28:29 → 00:28:33 กายเกิดสภาวะดังกล่าวนี่คือระดับโลกนะถ้า
00:28:33 → 00:28:36 บอกว่าทัวร์คอนเสิร์ต World Tour เนี่ย
00:28:36 → 00:28:38 จะได้นอนที่ไหนคุณไปตื่นอีกประเทศนึง
00:28:38 → 00:28:41 เนี่ยคุณก็เจ็ทแแล้วนี่คือเรื่องของการ
00:28:41 → 00:28:43 นอนก็เหมือนเป็นสิ่งที่ต้องแลกใช่เป็น
00:28:43 → 00:28:45 สิ่งที่ต้องแลกแล้วก็อย่างที่บอกว่าการ
00:28:45 → 00:28:48 นอนน่าจะเป็นอันดับต้นๆเลยในเรื่องของการ
00:28:48 → 00:28:51 ดูแลสุขภาพค่ะอันดับถัดไปก็จะเป็นเรื่อง
00:28:51 → 00:28:54 ของการกินซึ่งการกินน่ะท่านพอรู้อยู่แล้ว
00:28:54 → 00:28:57 ล่ะกินผักให้มากๆกินเนื้อสัตว์ให้น้อยลง
00:28:57 → 00:29:01 กินดรตให้พอสมควรไม่ได้มากจนเกินไปกิน
00:29:01 → 00:29:03 เนื้อสัตว์ก็กินเนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพกิน
00:29:03 → 00:29:05 เนื้อปลากินเนื้ออะไรพวกนี้เงี้อแล้ว
00:29:05 → 00:29:07 เมื่อกี้ที่คำถามถามว่าวิธีสร้างภูมิคุ้ม
00:29:07 → 00:29:09 กันทางใจคุณหมอก็แนะนำมาว่าโอเคเราต้อง
00:29:09 → 00:29:11 นอนให้พอแล้วก็เราต้องกินอาหารให้ดีแล้ว
00:29:12 → 00:29:14 อย่างเงี้ยว่าอันนี้คือในด้านของิิอถ้า
00:29:14 → 00:29:16 ใจ่กว่าในด้านของพวก mental Health พวก
00:29:16 → 00:29:18 อะไรเงี้ยค่ะการที่เรานั่งสมาธิหรือเจริญ
00:29:18 → 00:29:20 สติอะไรเงี้ยมันมันช่วยได้มากน้อยขนาดไหน
00:29:20 → 00:29:23 ต้องพูดว่าเรานั่งสมาธิเนี่ยเป้าหมายคือ
00:29:23 → 00:29:27 อะไรการนั่งสมาธิของคนหลายคนอืมีจุดมุ่ง
00:29:27 → 00:29:30 หมายไม่เหมือนกันเอาเอาคนในประเทศไทยนะ
00:29:30 → 00:29:34 ถ้าต่างประเทศอยากจะนั่งสมาธิกำหนดลมหาย
00:29:34 → 00:29:37 ใจเนี่ยเพื่อคลายกังวลผ่อนคลายความเครียด
00:29:37 → 00:29:41 อันนี้คือนั่งแบบโดยทั่วๆไปเขาก็จะมองแค่
00:29:41 → 00:29:44 จุดนี้ยกตัวอย่างเช่น Angle management
00:29:44 → 00:29:48 คนโกรธอือๆๆเขาบอกว่าหายใจเข้าลึกๆช้าๆ
00:29:48 → 00:29:51 อันนี้คือการกำหนดลมหายใจละแล้วเดี๋ยวมัน
00:29:51 → 00:29:54 ก็จะค่อยๆเบาลงเพราะอะไรมันถึงเบาลงคะอ
00:29:54 → 00:29:57 เพราะว่าความคิดของเรานั้นไม่ได้ไปโฟกัส
00:29:57 → 00:30:00 ตรงนเหมือนเราย้ายโฟกัสมาไว้ที่ลมหายใจ
00:30:00 → 00:30:02 ของเราแทนอ่าใช่เคสที่พบบ่อยในห้อง
00:30:02 → 00:30:04 ฉุกเฉินคือเคส
00:30:04 → 00:30:08 hyperventilation Syndrome คือภาวะหาย
00:30:08 → 00:30:13 ใจเครียดมือจีบมือจีบเลยเกร็งตัวเข้ามา
00:30:13 → 00:30:16 พ่อแม่เห็นแล้วตกใจพาลูกจากที่บ้านเนี่ย
00:30:16 → 00:30:19 มาโรงพยาบาลหายใจหายใจอันเนี้ยหมอก็จะเจอ
00:30:19 → 00:30:22 บ่อยเพราะว่าหมอเนี่ยยเป็นหมอห้องฉุกเฉิน
00:30:22 → 00:30:24 คือเป็นศัลแพทย์ที่ชอบอยู่ห้องฉุกเฉินน่ะ
00:30:24 → 00:30:27 มันจะมีความสนุกของมันหายใจมาอย่างงี้เลย
00:30:27 → 00:30:31 พพ่อแม่อุ้มมาเราเห็นละเด็กวัยรุ่นอายุ
00:30:31 → 00:30:34 1516 ปีซักประวัติพ่อแม่ก่อนทะเลาะอะไร
00:30:34 → 00:30:39 กันมาอปป่าไม่ได้ทะเลาะนู่นนี่นั่นซักไป
00:30:39 → 00:30:43 ซักมาก็ได้เรื่องว่าไปพูดอะไรบางอย่างที่
00:30:43 → 00:30:46 ทำร้ายจิตใจก็แล้วกันเกิดความเครียดยกตัว
00:30:46 → 00:30:49 อย่างเด็กเล่นมือถืออยู่ใช่มยพ่อโกรธจัด
00:30:49 → 00:30:51 เล่นมาตั้งแต่เช้าแล้วแย่งมือถือออกไป
00:30:51 → 00:30:56 ทะเลาะกันว่ากันตอนนี้อยู่ดีๆลูกสาวเริ่ม
00:30:56 → 00:30:59 หายใจเร็วเฮ้ยพ่อตกใจลูกไม่ได้แกล้งไม่
00:30:59 → 00:31:02 เคยมีหนีมาก่อนพามาโรงพยาบาลสิ่งแรกที่
00:31:02 → 00:31:04 หมอเห็นหมอก็รู้ะ hyperventilation
00:31:04 → 00:31:06 Syndrome เพราะมาบ่อยเหลือเกินสิ่งแรก
00:31:06 → 00:31:09 ที่เขาบอกคนไข้คืออะไรือเปล่าค่ะเขาบอก
00:31:09 → 00:31:12 ว่าเอามือไปจับปึ๊บใจเย็นๆฟังหมอนะได้ยิน
00:31:12 → 00:31:17 หมอมให้ไม่ยักหน้าได้ยินกำหนดลมหายใจฝัง
00:31:17 → 00:31:23 เสียงหมอหายใจเข้าออกอืพยายามกำหนดตามนะ
00:31:23 → 00:31:27 ค่อยๆหายใจเข้าลึกนะออกอย่างเงี้ยนะเพื่อ
00:31:27 → 00:31:29 ให้เขาแบบแบบว่าย้ายโฟกัสจากเรื่องที่
00:31:29 → 00:31:32 เครียดมาอยู่ที่เสียหมอแทนะคะการหายใจที่
00:31:32 → 00:31:36 สั้นและตื้นของเขามันจะเริ่มค่อยๆลึกขึ้น
00:31:36 → 00:31:40 เพราะเฟังะเมียังหูยังได้ยินอยู่เออหายใจ
00:31:40 → 00:31:44 แทนที่จะตึดๆๆเไปโฟกัสในเรื่องของการ
00:31:44 → 00:31:47 กำหนดลมหายใจตามเสียงของแพทย์ที่เป็นคน
00:31:47 → 00:31:52 บอกความคิดอื่นๆมันก็จะหายไปอ่าแต่คราว
00:31:52 → 00:31:55 นี้กลับบ้านไปใหม่ก็อาจจะเป็นแบบเดิมอีกบ
00:31:55 → 00:31:56 ว่าบางทีพ่อแม่เขาไม่รู้ว่าไอ้วิธีนั้น
00:31:56 → 00:31:59 น่ะที่เขาทำมันทำให้ลูกเป็นแบบนั้นส่วน
00:31:59 → 00:32:01 ใหญ่ไปครั้งแรกเนี่ยหมอรู้แล้วว่าเป็นหมอ
00:32:01 → 00:32:04 ก็จะบอกพ่อแม่แหละว่าลูกอ่ะเป็นนะอย่าไป
00:32:05 → 00:32:08 ขัดใจคำถามคือหมอไม่อ่านหนังสือจะสอบอยู่
00:32:08 → 00:32:11 แล้วไม่ให้ผมเตือนได้ยังไงหมอแล้วจะไม่
00:32:11 → 00:32:13 ให้ผมขัดใจได้ไงอ่ะลูกผมไม่อ่านหนังสือ
00:32:13 → 00:32:16 เลยากจะเล่นติตอกอ่ะดูทั้งวันเลยเนี่ยหมู
00:32:16 → 00:32:20 เด้งเดึ้งเด้งๆขึ้นมาเห็นมยมุมมองแตกต่าง
00:32:20 → 00:32:22 กันส่วนใหญ่เนี่ยโลกไฮเป ventilation
00:32:22 → 00:32:24 Syndrome เนี่ยค่ะอย่างที่บอกก็คือว่า
00:32:24 → 00:32:27 เกิดในเด็กหญิงมากกว่าเด็กผู้ชายหรอคะมาก
00:32:27 → 00:32:30 กว่ามากกว่าเด็กผู้ชายเนี่ยหลายเท่ามากๆ
00:32:30 → 00:32:34 เพราะอะไรคะเพราะเรื่องของพื้นฐานจิตใจ
00:32:34 → 00:32:38 เอาง่ายๆผู้ชายมักจะมีแนวโน้มที่มีจิตใจ
00:32:38 → 00:32:41 เข้มแข็งกว่าเขขผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนโยน
00:32:41 → 00:32:43 นะออเคมีความ sensitive มากกว่าเ
00:32:43 → 00:32:45 sensitive มากกว่าดังนั้นเนี่ยอย่างที่
00:32:45 → 00:32:48 บอกว่าเราด่าคำเดียวกันยกตัวอย่างยกตัว
00:32:48 → 00:32:52 อย่างทำไมกินหญ้าล่ะทำไมไม่กินข้าว
00:32:52 → 00:32:55 อสมมุติเราด่าคำเดียวกันคนที่เด็กเด็กผู้
00:32:55 → 00:32:59 ชายอาจจะแบบอืได้ครับเดี๋ยวผมจะออกไปหา
00:32:59 → 00:33:00 หญ้า
00:33:00 → 00:33:04 กินแต่พอเป็นเด็กผู้หญิงพอฟังเฮ้ยอาจารย์
00:33:05 → 00:33:09 ด่าฉันเป็นสัตว์สีเท้าหรือเปล่าที่กินยาก
00:33:09 → 00:33:12 อันนี้คือสิ่งภายนอกแต่ที่พบเยอะเลยก็คือ
00:33:12 → 00:33:17 ทะเลาะกับแฟนอืแฟนเนี่ยคือบุคคลใกล้ชิด
00:33:17 → 00:33:20 ที่ทำให้เกิด hyperventilation Syndrome
00:33:20 → 00:33:24 เป็นอันดับ 2 มากกว่าพ่อแม่หรือบางทีอ่ะ
00:33:24 → 00:33:27 มันคือเรื่องเดียวกันยกตัวอย่างเช่นว่า
00:33:27 → 00:33:31 เด็กอายุ 1516 ใช่มยมีแฟนพ่อแม่ก็บอกว่า
00:33:31 → 00:33:34 มันเร็วไปลูกคุยโทรศัพท์น้อยลงหน่อยนู่น
00:33:34 → 00:33:36 นี่นั่นแย่งโทรศัพท์หรือไปทะเลาะกับแฟน
00:33:36 → 00:33:39 เกิดภาวะเครียด hyperventilation
00:33:39 → 00:33:42 Syndrome เหมือนกันมันมีวิธีป้องกันมคะ
00:33:42 → 00:33:44 คนที่เป็น hyperventilation syndome
00:33:44 → 00:33:46 เนี่ยนะอือเไม่ได้เป็นไปตลอดชีวิตเเป็น
00:33:46 → 00:33:48 แค่บางช่วงเจะเป็นช่วงวัยรุ่นนี่แหละเรา
00:33:48 → 00:33:51 จะเห็นถึงได้บอกว่ามาอายุเท่าเนี้ยก็เป็น
00:33:51 → 00:33:54 แต่พอโตขึ้นน่ะจิตใจเรามันก็จะเข้มแข็ง
00:33:54 → 00:33:59 ขึ้นมันมีเกราะป้องกันคุ้มครองเรามากขึ้น
00:33:59 → 00:34:03 เราอาจจะก้านโลกขึ้นทำให้สิ่งต่างๆที่มัน
00:34:03 → 00:34:05 กระทบเราเนี่ยไม่สามารถทำร้ายจิตใจเราได้
00:34:05 → 00:34:08 หมอถึงได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับขันธ์ 5
00:34:08 → 00:34:11 ขันธ์ 5 เนี่ยโดยรวมก็คือว่าเมื่อมีทุกข์
00:34:11 → 00:34:13 ท่านอย่าไปถือทุกข์นั้นไว้เมื่อมีอะไรมา
00:34:13 → 00:34:17 กระทบจิตใจอให้ปล่อยผ่านตัวไปมันก็แบบ
00:34:17 → 00:34:19 เดียวกันยกตัวอย่างเช่นสมมุติว่าการที่
00:34:19 → 00:34:22 เราจะทะเลาะกับใครบางคนได้นะมันอยู่ที่
00:34:22 → 00:34:24 ว่าใจของเราพร้อมที่จะทะเลาะหรรือเปล่า
00:34:24 → 00:34:27 ถ้าเราคิดว่าจุดจบของการทะเลาะนั้นยังยัง
00:34:27 → 00:34:31 ไงเราต้องไปง้อเอยู่ดียกตัวอย่างเช่นว่า
00:34:31 → 00:34:33 สามีภรรยาลิ้นกับฟันอยู่ด้วยกันต้องมี
00:34:33 → 00:34:35 เรื่องหบัดหมากันทะเลาะกันบ้างบางอย่าง
00:34:35 → 00:34:38 พูดไม่เข้าหูประเด็นก็คือพอพูดไม่เข้าหู
00:34:38 → 00:34:41 เราจะปล่อยให้มันทะลุผ่านไปหรือเราจะเอา
00:34:41 → 00:34:44 ไอ้ที่เข้าหูเรามาแล้วเนี่ยมันเก็บไว้ใน
00:34:44 → 00:34:47 ใจแล้วกลั่นมันออกมาแล้วระเบิดใส่เพื่อ
00:34:47 → 00:34:50 ทะเลาะเกิดขึ้นเพราะฉะนั้นเนี่ยถ้าสมมุติ
00:34:50 → 00:34:53 ว่าเราคิดได้แล้วว่าเดี๋ยวทะเลาะก็ต้อง
00:34:53 → 00:34:56 กลับมาคืนดีกันเดี๋ยวทะเลาะก็ต้องไปง้อ
00:34:56 → 00:34:58 แล้วคนที่ต้องง้อก็เป็นงั้นก็อย่าไป
00:34:58 → 00:35:01 ทะเลาะเลยปล่อยมันผ่านไปดีกว่าบางครั้ง
00:35:01 → 00:35:04 การที่ปล่อยผ่านไปมันก็ผ่านไปแล้วเราไม่
00:35:04 → 00:35:07 ต้องเก็บมาในใจก็เหมือนเป็นวิธีปล่อยวาง
00:35:07 → 00:35:10 อย่างหนึงใช่โดยที่เมื่อเก็บวางในใจเราก็
00:35:10 → 00:35:12 เกิดทุกข์ออใช่คุณหมอกำลังจะบอกว่าเวลา
00:35:12 → 00:35:14 เรามีทุกข์ให้เราแยกความทุกข์กับตัวเรา
00:35:14 → 00:35:17 ออกจากกันใช่หรือให้ความทุกข์นั้นผ่านตัว
00:35:17 → 00:35:20 เราออกไปแล้วมันก็จะมีสิ่งดีเกิดขึ้น
00:35:20 → 00:35:24 ชีวิตของมนุษย์เปรียบเสมือนคลื่นขึ้นลง
00:35:24 → 00:35:28 อ้าจะมีทั้งดีและแย่สลับกันไม่มีใครมี
00:35:28 → 00:35:31 ความสุขตลอดและก็ไม่มีใครที่มีความทุกข์
00:35:31 → 00:35:35 ตลอดดังนั้นเมื่อมีความทุกข์ให้มองไว้ว่า
00:35:35 → 00:35:39 สุดท้ายมันก็จะมีความสุขตามมาแต่ในช่วง
00:35:39 → 00:35:42 ที่มีทุกข์นั้นอย่าจมอยู่กับทุกข์เหตุผล
00:35:43 → 00:35:46 ก็คือว่าเราเคยดูนาฬิกาใช่มยค่ะ 1 นาที
00:35:46 → 00:35:50 ยาวนานมยถ้าเราจ้องมันก็นานถูกต้องถ้าเรา
00:35:50 → 00:35:53 ไปโฟกัสกับทุกข์มันก็จะยิ่งทุกข์หนักมัน
00:35:53 → 00:35:55 ก็จะขยายทุกข์เวเออทุกข์นั้นกว่าจะผ่าน
00:35:56 → 00:35:58 ทำไมนานจังอ่ะค่ะแต่ถ้ามุตเราไม่โฟกัสกับ
00:35:58 → 00:36:01 ทุกข์ทุกข์นั้นก็จะหายไปเหมือนเวลาแค่ 1
00:36:01 → 00:36:04 นาทีอือันนี้ในกรณีเคสที่คุณหมอเล่าให้
00:36:04 → 00:36:07 ฟังคือเรื่องการกำหนดลมหายใจแล้วถ้าเป็น
00:36:07 → 00:36:10 แบบเรื่องสมาธิอค่ะที่เราคุยกันค้างไว้ใช
00:36:10 → 00:36:13 คือการกำหนดลมหายใจกับสมาธิเนี่ยในมุมมอง
00:36:13 → 00:36:14 ของหมองมันคือเรื่องเดียวกันมั้ยมันคือ
00:36:14 → 00:36:17 เรื่องเดียวกันคือมันเป็นเรื่องที่ใกล้
00:36:17 → 00:36:20 เคียงกันคือใช้คำพูดว่านั่งสมาธิโดยทั่ว
00:36:20 → 00:36:24 ไปอืก็คือกำหนดลมหายใจเข้าออกนึกถึงลมหาย
00:36:24 → 00:36:27 ใจเข้าออกที่ผ่านรูจมูกท่านไม่ต้องไปนึก
00:36:27 → 00:36:30 ถึงอย่างอื่นนะก็นึกถึงแค่อยู่ที่ปลาย
00:36:30 → 00:36:33 จมูกแต่ในกรณีที่ท่านอั Level ขึ้นไปท่าน
00:36:33 → 00:36:36 ก็อาจจะกำหนดให้มันย้ายไปตรงไหนก็ได้ไป
00:36:36 → 00:36:39 ระหว่างกึ่งกลางหน้าผากก็ได้หรือมันย้าย
00:36:39 → 00:36:42 มาตรงอกก็ได้ย้ายลงมาช่องท้องตอนนี้อยู่
00:36:42 → 00:36:44 บนมือของท่านแล้วตัวท่านหายไปอะไรอย่าง
00:36:44 → 00:36:49 เงี้ยมันก็จะเป็นอีกเลเวลนึงแต่ว่าเอาแค่
00:36:49 → 00:36:52 ควบคุมอารมณ์เอาแค่จิตใจเนี่ยหายใจประมาณ
00:36:52 → 00:36:55 นี้กำหนดลมหายใจซึ่งไอ้วิธีการกำหนดลมหาย
00:36:55 → 00:36:59 ใจเนี่ยก็มีหลากหลายรูปแบบมากเป็นจักรวาล
00:36:59 → 00:37:03 Marvel เลยเพราะแต่ละคนแต่ละสำนักมีวิธี
00:37:03 → 00:37:07 การกำหนดลมหายใจที่แตกต่างกันแล้วเว้ย
00:37:07 → 00:37:10 เฮ้ยนึกออกไม่เหมือนกันอีกเอาจริงๆนี่คือ
00:37:10 → 00:37:12 เรื่องจริงนะถ้าสมมุติว่าหนูไปศึกษา
00:37:12 → 00:37:15 เรื่องเกี่ยวกับการกำหนดลมหายใจเพื่อ
00:37:15 → 00:37:17 วัตถุประสงค์ใดวัตถุประสงค์หนึ่งยกตัว
00:37:17 → 00:37:21 อย่างกำหนดลมหายใจเพื่อแก้ความเครียดอหมอ
00:37:21 → 00:37:25 จิตเวชก็จะมีสูตร 478 อ๋อแบบหายใจ 1 2 3
00:37:25 → 00:37:29 4 หายใจเข้านะ 1 2 2 3 4 นะกั้นไว้ 7
00:37:29 → 00:37:34 ใช่มั้อ่าแล้วค่อยปล่อยทางริมฝีปาก 8 นี้
00:37:34 → 00:37:37 คือ 4 7 8 ทำไปกี่รอบเเงี้ย 4 รอบหรือ
00:37:37 → 00:37:39 อะไรก็แล้วแต่เขาบอกว่าอาจจะทำให้จิตใจ
00:37:40 → 00:37:43 สบายคายเครียบมันก็คือสูตรหนึอืบางคนบอก
00:37:43 → 00:37:47 ว่าเป็น blx beading อ cccc อะไรอย่าง
00:37:47 → 00:37:49 เงี้ยก็มีเพราะฉะนั้นเนี่ยเดี๋ยวไอ้
00:37:49 → 00:37:52 เรื่องการหายใจเนี่ยจะเป็นจักรวาลการหาย
00:37:52 → 00:37:54 ใจเลยซึ่งจริงๆต้องบอกว่าต้องหาข้อ
00:37:55 → 00:37:57 พิสูจน์ว่าการหายใจในแต่ละรูปแบบนั้น
00:37:57 → 00:38:00 เนี่ยมันดีจริงหรือเปล่าบางคนบอกว่าหายใจ
00:38:00 → 00:38:05 แบบเนี้ยลดความอ้วนหมีอ่าหนูไม่รู้สิหาย
00:38:05 → 00:38:07 ใจวัตถุประสงค์เพื่อลดความอ้วนจะต้อง
00:38:07 → 00:38:10 กำหนดลมหายใจแบบนี้โดยเขาบอกว่าร่างกาย
00:38:10 → 00:38:13 เราก็เหมือนเตาพลังงานไงเราหายใจเอา
00:38:13 → 00:38:16 ออกซิเจนเข้าไปอ่ะมันจะได้ไปเผาผลาญไขมัน
00:38:16 → 00:38:19 เมีวิธีการคิดอย่างนั้นจริงๆนะสิ่งที่บอก
00:38:19 → 00:38:21 ว่าอย่างงี้ไม่ต้องออกกำลังกายแล้วมันไม่
00:38:21 → 00:38:24 ใช่การที่คุณสามารถควบคุมลมหายใจของคุณ
00:38:24 → 00:38:28 ได้เนี่ยคุณใช้กล้ามเนื้อทุกมัดเลยในการ
00:38:28 → 00:38:33 ที่เผาผลาญพลังงานเก็มีมุมมองของเขาแบบ
00:38:33 → 00:38:35 นี้เหมือนกันอุ้ยอันนี้คนดูน่าจะไปเซิละ
00:38:35 → 00:38:38 หายใจลดความอ้วนมีมีจริงๆอย่างที่บอกมี
00:38:38 → 00:38:42 จริงๆหรือแม้แต่การนั่งสมาธิเพื่อไป
00:38:42 → 00:38:45 กระตุ้นภูมิคุ้มกันบางทีที่หนูบอกว่าเอ๊ะ
00:38:45 → 00:38:48 หายใจกับรดความอ้วนมันไม่น่าเกี่ยวกันนะ
00:38:48 → 00:38:51 หมอแต่พอบอกหายใจเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้ม
00:38:51 → 00:38:53 กันหนูยังพยักหน้า
00:38:53 → 00:38:56 บอกในเมื่อมันเป็นเซลล์เหมือนกันนะอก็มี
00:38:56 → 00:39:00 การกำหนดจิตต้องสร้างภาพขึ้นมาให้ได้
00:39:00 → 00:39:03 สมมุติว่าเราฝึกสมาธิเรากำหนดลมหายใจแล้ว
00:39:03 → 00:39:06 เราจะต้องสร้างจินตภาพขึ้นมาบนหัวเรา
00:39:06 → 00:39:08 เหมือนเราทำอ่อเขคเรียกว่าอะไรมันนี้เป็น
00:39:08 → 00:39:11 เเลทสมองตัวเองป่ะคะใช่ยกตัวอย่างเช่นว่า
00:39:11 → 00:39:14 เราอยากจะให้ภูมิคุ้มกันเราแข็งแรงใช่มอื
00:39:14 → 00:39:18 เราก็นึกถึงเม็ดเลือดขาวโอ้โหยากเลยทีนี้
00:39:18 → 00:39:20 เม็ดเลือดขาวในร่างกายเราที่มันวิ่งอยู่
00:39:20 → 00:39:24 เงี้ยแล้วเราไปบอกมันอืว่าให้มันไป
00:39:24 → 00:39:27 ตำแหน่งนั้นตำแหน่งนี้อันนี้ที่พูดเนี่ย
00:39:27 → 00:39:30 ใช่แบบคิดขึ้นมาเองนะเดี๋ยวคนหาว่าบ้าไอ้
00:39:30 → 00:39:33 ที่พูดเนี่ยทางการแพทย์ว medical School
00:39:33 → 00:39:36 เนี่ยเขาพูดเลยว่า mediation เนี่ยสามารถ
00:39:36 → 00:39:40 ช่วยในเรื่องของการรักษามะเร็งได้ถ้าคุณ
00:39:40 → 00:39:43 ทำถูกต้องโดยอย่างที่บอกก็คือคุณต้อง
00:39:43 → 00:39:47 กำหนดคิดพิจารณาสร้างจินตภาพของตัวเม็ด
00:39:47 → 00:39:49 เลือดขาวให้ไปโฟกัสในตำแหน่งที่คุณเป็น
00:39:49 → 00:39:52 มะเร็งวันละกี่นาทีกี่ชั่วโมงเบอกอย่าง
00:39:52 → 00:39:55 งี้เลยนะเอแทนที่ว่าคุณจะนั่งนอนไปเฉยๆ
00:39:55 → 00:39:59 เนี่ยคุณนั่งสมาดีกว่าวันละสสมมุติเอ่อ
00:39:59 → 00:40:02 ครึ่งชั่วโมงก็ได้แล้วคุณก็นั่งโฟกัสว่า
00:40:02 → 00:40:05 เมเลือขาวคุณเนี่ยไปช่วยกำจัดเซลล์มเร็ง
00:40:05 → 00:40:08 เท่าที่หนูฟังอ่ะหนูคิดว่างั้นเราพอจะพูด
00:40:08 → 00:40:10 ได้มว่าเอองั้นการคิดบวกมันก็ช่วยให้
00:40:10 → 00:40:12 ชีวิตเราดีขึ้นจริงๆทั้งในแง่ของอารมณ์
00:40:12 → 00:40:15 และสุขภาพใช่ใช่ก็ก็อย่างที่บอกว่าการที่
00:40:15 → 00:40:18 เรารับรู้ว่าเป็นมะเร็งค่ะมันก็มีทั้งผู้
00:40:18 → 00:40:22 ที่ชนะและผู้ที่ผู้ที่แพ้ไม่อยากเลพแพ้
00:40:22 → 00:40:24 เลยอ่ะบางคนเสู้แล้วแต่เบงเป็นคนคิดบวกก็
00:40:24 → 00:40:29 จริงแต่ยังแพ้ก็มีอืงบางคนเป็นคนคิดลบ
00:40:29 → 00:40:32 โอกาสที่ชนะมันก็จะน้อยลงงั้นก็นะคะวัน
00:40:32 → 00:40:34 นี้ก็คุยกันมาได้ประโยชน์สาระมากมายเลย
00:40:34 → 00:40:36 จากคุณหมอนะคะแล้วก็ได้มุมมองใหม่ๆด้วย
00:40:36 → 00:40:38 ไม่ใช่แค่ในเรื่องการแพทย์แต่เป็นรวมถึง
00:40:38 → 00:40:40 ในเรื่องของการใช้ชีวิตทั่วไปในประจำวัน
00:40:40 → 00:40:43 ด้วยนะคะคืออย่างที่บอกหัวข้อมันคือแก้
00:40:43 → 00:40:45 โรคกรรมทำได้จริงมยคือเราก็ไม่รู้หรอกว่า
00:40:45 → 00:40:46 มันจะทำได้หรือเปล่าก็คือให้เราโฟกัสใน
00:40:47 → 00:40:49 สิ่งที่เราควบคุมได้พยายามรักษาจิตใจตัว
00:40:49 → 00:40:51 เองให้มันอยู่ในแบบว่า Positive Thinking
00:40:51 → 00:40:53 Positive Wife นะคะซึ่งวันนี้ขอบคุณคุณ
00:40:53 → 00:40:56 หมอมาก ep นี้คุยกันแบบเต็มอิ่มยาวนานมาก
00:40:56 → 00:40:58 นะคะค่ะเดี๋ยววันนี้นะคะทางเกาก็จะมีของ
00:40:58 → 00:41:00 ขวัญเล็กๆน้อยๆมามอบให้คุณหมอด้วยค่ะนี่
00:41:00 → 00:41:02 ค่ะเสื้อเกานะคะถ้าใครสนใจนะคะสั่งซื้อ
00:41:03 → 00:41:04 ได้ทาง Inbox เลยค่ะเดี๋ยวจะใส่ออก
00:41:04 → 00:41:08 Channel โอ้ยขอบคุณค่ะสดีคค่ะสำหรับใคร
00:41:08 → 00:41:10 ที่มีคำถามนะคะก็ทิ้งไว้ได้ที่ใต้
00:41:10 → 00:41:12 คอมเมนต์เลยค่ะเดี๋ยวทีมงานนะคะจะไปคัด
00:41:12 → 00:41:14 เลือกแล้วก็มาถามคุณหมอให้นะคะสำหรับวัน
00:41:14 → 00:41:16 นี้นะคะพวกเราทั้ง 2 คนต้องขอตัวลาไปก่อน
00:41:16 → 00:41:21 สวัสดีค่ะสวัสดีค่ะคุณหมอสวัสดีครับ
00:41:21 → 00:41:27 [เพลง]
00:41:27 → 00:41:29 A
00:41:29 → 00:41:40 [เพลง]