00:00:04 → 00:00:08 [เพลง]
00:00:08 → 00:00:11 ต้องบอกว่าที่เราเรียกแบบนี้เนื่องจากว่า
00:00:11 → 00:00:14 ลักษณะเด่นของโรคนี้มันทำให้เกิดไข้สูงมี
00:00:14 → 00:00:19 ไข้แล้วก็มีภาวะสูญเสียของการได้ยินก็คือ
00:00:19 → 00:00:22 หูไม่ได้ยินเขาก็เอาสองคำลงกันเป็นไข้หู
00:00:22 → 00:00:25 ดับซึ่งเป็นลักษณะเด่นๆของโรคโรคนี้มัน
00:00:25 → 00:00:28 เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย
00:00:28 → 00:00:30 ที่มีชื่อว่า
00:00:30 → 00:00:32 streptocuse ประเด็นหลักๆคือเนี่ย
00:00:32 → 00:00:37 แบคทีเรียกลุ่มนี้ถ้าไม่ได้ถูกความร้อนก็
00:00:37 → 00:00:40 สามารถมีชีวิตต่อแล้วก็ถ่ายทอดแพร่พันธุ์
00:00:40 → 00:00:43 ต่อและทำให้เกิดโรคต่างๆได้ดังนั้นวิธี
00:00:43 → 00:00:47 การแก้ไขคือการใช้ความร้อนเพื่อทำให้
00:00:47 → 00:00:48 เชื้อมันตาย
00:00:48 → 00:00:50 [เพลง]
00:00:50 → 00:00:53 ฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคภัยฟังราย
00:00:53 → 00:00:59 การโรงหมอดิฉันสุรีพรวงสถิตพรค่ะ
00:00:59 → 00:01:02 สวัสดีค่ะคุณผู้ฟังคะขอต้อนรับเข้าสู่ราย
00:01:02 → 00:01:05 การโรงหมอทาง Thai PBS Plus ค่ะวันนี้
00:01:05 → 00:01:08 เรามาคุยกันถึงเรื่องของโรคไข้หูดับโรค
00:01:08 → 00:01:11 ติดต่อจากสาธารณสุขคนเอ๊ะใครหูดับคืออะไร
00:01:11 → 00:01:14 มาจากไหนยังไงเดี๋ยวคุยกับผู้ช่วย
00:01:14 → 00:01:16 ศาสตราจารย์นายสัตวแพทย์ดรธีรด
00:01:16 → 00:01:18 รุ่งเรืองกิจไกรฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่ง
00:01:18 → 00:01:21 เสริมภาพลักษณ์องค์กรคณะสัตวแพทยศาสตร์
00:01:21 → 00:01:23 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยค่ะสวัสดีค่ะ
00:01:23 → 00:01:25 อาจารย์โอมขาสวัสดีครับคุณสุริพรครับ
00:01:25 → 00:01:26 สวัสดีครับ
00:01:26 → 00:01:30 ค่ะวันนี้มาคุยกันถึงเรื่องของโรคไข้หู
00:01:30 → 00:01:31 ดับ
00:01:31 → 00:01:35 คืออะไรคะอาจารย์มี 2 คำหลักๆคือคำว่าไข้
00:01:35 → 00:01:38 กับคำว่าฮูดากต้องบอกว่าที่เราเรียกแบบ
00:01:38 → 00:01:40 นี้มันๆเป็นมันเป็นลักษณะเนื่องจากว่า
00:01:40 → 00:01:43 ลักษณะเด่นของของโลกนี้มันทำให้เกิดไข้
00:01:43 → 00:01:47 สูงมีไข้แล้วก็มีภาวะสูญเสียของการได้ยิน
00:01:47 → 00:01:51 ค่ะก็คือหูไม่ได้ยินเขาก็เอา 2 คำลงการ
00:01:51 → 00:01:53 เป็นไข้หูดับซึ่งเป็นลักษณะเด่นๆของโรค
00:01:53 → 00:01:55 โรคนี้อ๋ออันนี้ก็คือเพราะฉะนั้นถ้าเกิด
00:01:55 → 00:01:59 มันมีอาการแบบนี้ 2 อย่างร่วมมันต้อง 2
00:01:59 → 00:02:02 อย่างประมาณประมาณ 2 อย่างที่เป็นอาการ
00:02:02 → 00:02:04 เด่นๆชัดของโรคนี้เลย
00:02:04 → 00:02:06 อ้าวแล้วมันเป็นได้ยังไงคะอาจารย์ต้องบอก
00:02:06 → 00:02:10 ว่าโรคไข้หูดับเนี่ยมันเป็นโรคที่เกิดจาก
00:02:10 → 00:02:13 การติดเชื้อแบคทีเรียแบคทีเรียนี้มีทั่ว
00:02:13 → 00:02:15 ไปเลยตามพื้นตามอะไรต่างๆเต็มไปหมดแต่ว่า
00:02:15 → 00:02:19 แบคทีเรียในกลุ่มที่มีชื่อว่า streptocus
00:02:19 → 00:02:22 หมายถึงสุกร
00:02:22 → 00:02:25 แต่ว่าหมูเซฟตัวคอร์คัสเป็นเชื้อ
00:02:25 → 00:02:28 แบคทีเรียที่เจอได้ในทั่วไปเลยเยอะเลยแต่
00:02:28 → 00:02:30 ว่าสายพันธุ์เนี้ยที่จะเจอในหมู่นี่แหละ
00:02:30 → 00:02:33 เป็นเป็นสายพันธุ์ที่ก่อให้เกิดโรคนะครับ
00:02:33 → 00:02:37 ตัวตัวหลักๆเนี่ยประเด็นหลักๆคือการติด
00:02:37 → 00:02:41 ต่อโรคโรคนี้เนี่ยหมูที่ป่วยที่มีเชื้อ
00:02:41 → 00:02:44 ของไข้หูดับไข้หูดับเป็นการติดเชื้อ
00:02:44 → 00:02:47 streptocussu is เนี่ยมีเชื้ออยู่ใน
00:02:47 → 00:02:50 ร่างกายในกระแสเลือดแล้วติดต่อผ่านมายัง
00:02:50 → 00:02:54 คนโดยการกินโดยการสัมผัสผ่านทางผิวหนัง
00:02:54 → 00:02:58 ผ่านทางเยื่อเมือกหรือโดยการกิน
00:02:58 → 00:03:02 ซึ่งฟังดูแล้วหมูน่ากลัวเนอะเราไม่น่ากิน
00:03:02 → 00:03:04 หมูเราจะไม่กินหมูกันแล้วหรือเปล่าหลายๆ
00:03:04 → 00:03:07 คนอาจจะกินเหมือนเดิมคือประเด็นหลักๆคือ
00:03:07 → 00:03:10 เนี่ยต้องบอกว่าโรคโรคนี้เกิดจากเชื้อ
00:03:10 → 00:03:14 แบคทีเรียกลุ่มนี้แบคทีเรียกลุ่มนี้ถ้า
00:03:15 → 00:03:19 ไม่ได้ถูกความร้อนก็สามารถมีชีวิตต่อแล้ว
00:03:19 → 00:03:22 ก็ถ่ายทอดแพร่พันธุ์ต่อและทำให้เกิดโรค
00:03:22 → 00:03:26 ต่างๆได้ดังนั้นวิธีการแก้ไขคือการใช้
00:03:26 → 00:03:29 ความร้อนเพื่อทำให้เชื้อมันตาย
00:03:29 → 00:03:31 แต่ก่อนที่เชื้อมันจะตายตรงนั้นค่ะ
00:03:31 → 00:03:34 อาจารย์มีความสงสัยว่าอ้าวแล้วมันมาจาก
00:03:34 → 00:03:36 ไหนเชื้อตัวนี้มันเป็นเชื้อเป็นเชื้อ
00:03:36 → 00:03:38 แบคทีเรียที่พบได้จริงๆบอกว่า
00:03:38 → 00:03:44 ผมได้ทั่วไปในสุกรจากการเลี้ยงอะไรเพียง
00:03:44 → 00:03:47 แต่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่สุกรเริ่มป่วย
00:03:47 → 00:03:51 เริ่มไม่แข็งแรงเชื้อเหล่านั้นก็จะมีความ
00:03:51 → 00:03:53 รุนแรงมากขึ้นจนทำให้สุกรป่วยแล้วก็
00:03:53 → 00:03:56 กระจายอยู่ทั่วไปในร่างกายของสุกรอ้าวถ้า
00:03:56 → 00:04:01 เกิดว่าหมูป่วยทำไมเขาเอามาขายอ่ะต้องบอก
00:04:01 → 00:04:03 ว่าหมูป่วยต้องไม่ขายถ้าหมูเสียชีวิต
00:04:03 → 00:04:05 เนื่องจากโรคโรคนี้ยิ่งต้องกำจัดสร้าง
00:04:05 → 00:04:07 ต้องบอกว่าบางครั้งบางครั้งเนี่ยถ้าไม่
00:04:07 → 00:04:11 ได้มีการตรวจอย่างละเอียดก็จะไม่ทราบคือ
00:04:11 → 00:04:14 หมายความว่ายังเนื้ออย่างเรามันเป็นปลาย
00:04:14 → 00:04:16 ทางแล้วงี้อาจารย์ในการที่จะไปซื้อเนื้อ
00:04:16 → 00:04:18 หมูใช่ป่ะมันถูกชำแหละมาแล้วอ่ะเราคงไม่
00:04:18 → 00:04:21 ไปซื้อหมูมาเป็นวัดชำแหละเองอ่ะเนาะแต่มา
00:04:21 → 00:04:23 จากโรงฆ่าสัตว์อย่างเงี้ยแสดงว่าหมูมัน
00:04:23 → 00:04:26 อาจจะมีเชื้ออยู่แต่มันยังไม่ตายก็มีกับ
00:04:26 → 00:04:29 ที่มันเชื้อหนักๆแล้วมันตายแล้วเอาเนื้อ
00:04:29 → 00:04:32 มันมาขายแต่ต้องบอกว่าปัจจุบันนะครับถ้า
00:04:32 → 00:04:36 เป็นโรงฆ่าสัตว์ที่มีคุณภาพมีมาตรฐานมัน
00:04:36 → 00:04:39 จะมีขั้นตอนของการตรวจเป็น 1 B เราไม่
00:04:39 → 00:04:42 ค่อยน่าห่วงเท่าไหร่ถ้าผ่านจากโรงฆ่า
00:04:42 → 00:04:45 สัตว์หรือว่ามีการควบคุมโดยกรมปศุสัตว์
00:04:45 → 00:04:50 แหล่งที่จำหน่ายที่น่าเชื่อถือถ้าเกิดว่า
00:04:51 → 00:04:52 มาจากแหล่งเหล่านั้นไม่น่ามีปัญหาแต่ว่า
00:04:52 → 00:04:55 ต้องบอกว่า
00:04:55 → 00:04:59 แหล่งที่มาของเนื้อหมูที่มีในท้องตลาดมี
00:04:59 → 00:05:03 จากหลายที่บางทีก็มีลักลอบนำเข้าด้วยใช่
00:05:03 → 00:05:04 ไหมคะ
00:05:04 → 00:05:08 เราบอกไม่ได้เลยเพราะว่าสภาพของเนื้อหมู
00:05:08 → 00:05:11 ที่เราเห็นแค่ไม่มีเมือกๆสีเขียวๆไม่
00:05:11 → 00:05:14 เยิ้มมีไม่มีกลิ่นเหม็นๆเราก็บอกไม่ได้
00:05:14 → 00:05:16 เพราะมันก็ไม่เนื้อหมูเหมือนกัน
00:05:16 → 00:05:19 มันอาจจะบอกค่อนข้างยาก
00:05:19 → 00:05:22 แล้วอย่างนี้คือเมื่อกี้อาจารย์บอกว่ามัน
00:05:22 → 00:05:26 เกิดจากแบคทีเรียที่เราไปกินหมูที่มี
00:05:26 → 00:05:28 เชื้อตัวนี้อยู่หรือแม้แล้วอย่างคนที่เขา
00:05:28 → 00:05:30 อยู่โรงชำแหละหรืออะไรพวกนี้เขาก็ต้อง
00:05:30 → 00:05:33 เสี่ยงต้องบอกว่าเอ่อการติดต่อของโรค
00:05:33 → 00:05:36 เนี่ยมันไม่ใช่แค่การกินเท่านั้นแต่การ
00:05:36 → 00:05:39 สัมผัสผ่านผิวหนังผ่านแผลที่ผิวหนังก็มี
00:05:39 → 00:05:42 โอกาสเกิดได้เพราะฉะนั้นกลุ่มคนที่มี
00:05:42 → 00:05:46 โอกาสมีความเสี่ยงต่อการติดโรคๆนี้มีหลาย
00:05:46 → 00:05:49 กลุ่มผู้บริโภคเป็นปลายทางเป็นกลุ่มนึง
00:05:49 → 00:05:53 แต่คนที่ทำงานที่เกี่ยวข้องกันกับสุกรไม่
00:05:53 → 00:05:59 ว่าจะเป็นคนเลี้ยงเป็นคนเอ่อสัตวแพทย์ก็
00:05:59 → 00:06:01 มีความเสี่ยงสูงที่เกี่ยวข้องสัตว์ตัวบาน
00:06:01 → 00:06:04 หรือใครต่างๆที่ดูแลไม่ว่าจะเป็นคนทำความ
00:06:04 → 00:06:08 สะอาดที่ในโรงขัดๆๆโรงเรียน
00:06:08 → 00:06:12 บุคลากรที่ทำงานเกี่ยวกับโรงฆ่าสัตว์ที่
00:06:12 → 00:06:15 จะต้องสัมผัสกับเนื้อเนื้อหมูเนื้อสุกร
00:06:15 → 00:06:17 เหล่านั้นน่ะก็มีโอกาสมีความเสี่ยงที่จะ
00:06:17 → 00:06:19 เกิดได้
00:06:19 → 00:06:23 มีโอกาสที่จะติดโรคเข้าไปได้จากสัตว์มา
00:06:23 → 00:06:27 สู่คนใช่ครับก็ติดคือมันมันมีความเสี่ยง
00:06:27 → 00:06:29 ได้ง่ายเหมือนกันจากตั้งแต่ต้นทางมาจนถึง
00:06:29 → 00:06:31 ปลายทางผู้บริโภคอย่างเราแต่ต้องบอกว่า
00:06:31 → 00:06:36 มันไม่ใช่ว่าหมูส่วนใหญ่จะมีเชื้อโรคที่
00:06:36 → 00:06:39 อันที่ก่อให้เกิดโรคต่างๆเหล่านี้ไม่ใช่
00:06:39 → 00:06:42 อย่างนั้นเพียงแต่ว่าถ้าเกิดว่า
00:06:42 → 00:06:45 Accident ว่าหมูตัวนั้นหมูกลุ่มนั้นมี
00:06:45 → 00:06:49 โรคมีเชื้อแบคทีเรียตัวนี้อยู่ในร่างกาย
00:06:49 → 00:06:52 ก็มีโอกาสจะแพร่มายังคนที่มีความสัมพันธ์
00:06:52 → 00:06:55 มีความสัมพันธ์อะไรใกล้เคียงกับดูแลกัน
00:06:55 → 00:06:58 กับใกล้ชิดกับสุกรเหล่านั้นได้ครับแต่ว่า
00:06:58 → 00:07:02 จะเห็นว่าเอ่อข่าวที่ออกที่พูดถึงโรคไข้
00:07:02 → 00:07:04 หูดับเนี่ยส่วนใหญ่แล้วจะเกิดจากการที่คน
00:07:04 → 00:07:06 ไปกิน
00:07:06 → 00:07:10 เนื้อหมูกินเนื้อหมูกินปิ้งย่างกินหมู
00:07:10 → 00:07:11 กระทะหรือว่ากิน
00:07:11 → 00:07:14 ซอยจุ๊เขาเรียกว่าอะไรนะอะไรอย่างนั้นที่
00:07:14 → 00:07:19 ดินดีที่มีเลือดต่างๆแล้วก็ทำให้เกิดโรค
00:07:19 → 00:07:22 แต่จริงๆแล้วไม่ได้เกิดจากจากการกินอย่าง
00:07:22 → 00:07:25 เดียวการสัมผัสก็มีโอกาสเกิดได้แต่ส่วน
00:07:25 → 00:07:27 ใหญ่ที่ที่เจอมากก็คือ
00:07:27 → 00:07:30 การกิน
00:07:30 → 00:07:34 แม่ครัวพ่อครัวคนที่อยู่เขียงหมูที่มี
00:07:34 → 00:07:39 ชำแหละก็มีโอกาสติดได้ถ้าเกิดว่าสุกรก้อน
00:07:39 → 00:07:43 นั้นเนื้อหมูก้อนนั้นหรือหนูในกลุ่มนั้น
00:07:43 → 00:07:46 มีมีตัวเชื้อแบคเดย์ตัวนี้ปะปนอยู่อ่ะ
00:07:46 → 00:07:47 ครับ
00:07:47 → 00:07:52 เอาอะไรไปตรวจตรงนั้นเลยได้ไหม
00:07:52 → 00:07:55 แหล่งที่ขายอ่ะครับถ้าเกิดว่าต้องบอกว่า
00:07:55 → 00:07:58 ในตลาดในบางทีเราอาจจะตอบไม่ได้แต่ว่าตาม
00:07:58 → 00:08:02 ตามห้างที่มีการแพ็คไว้อย่างดีแล้วก็มี
00:08:02 → 00:08:05 ตราสัญลักษณ์ปศุสัตว์โอเคอันนั้นจะมีการ
00:08:05 → 00:08:08 ตรวจค่อนข้างละเอียดแล้วก็ค่อนข้างปลอด
00:08:08 → 00:08:12 ภัยต่อโรคต่างๆเพราะมันจะมีการตรวจกรอง
00:08:12 → 00:08:16 ก่อนที่จะออกสู่ตลาดตั้งแต่กระบวนการขั้น
00:08:16 → 00:08:18 ต้นจนถึงกระบวนการขายเลยเพราะมันต้อง
00:08:18 → 00:08:21 เลือกแหล่งที่มาที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือ
00:08:21 → 00:08:23 แต่ก็อันนี้คือไม่ได้บอกว่าต้องไปขึ้น
00:08:23 → 00:08:26 ห้างซื้ออย่างเดียวนะคะหมายถึงว่าก็ตาม
00:08:26 → 00:08:29 ตลาดก็ซื้อได้แหละแต่สำคัญคือการที่ต้อง
00:08:29 → 00:08:31 สุเพราะว่าอาจารย์โอมบอกมาตั้งแต่ตอนต้น
00:08:31 → 00:08:35 รายการเลยว่ามันต้องสุขประเด็นคืออยากจะ
00:08:35 → 00:08:38 บอกว่าในการที่เราจะปรุงอาหารเนี่ยจริงๆ
00:08:38 → 00:08:41 แล้วต้องบอกว่าถ้าถามว่ามีความเสี่ยงไหม
00:08:41 → 00:08:44 มันไม่ได้มีความเสี่ยงทุกรายทุกตัวทุก
00:08:44 → 00:08:47 ก้อนของเนื้อหมูเพียงแต่ว่าถ้ามองในเชิง
00:08:47 → 00:08:50 ทฤษฎีอ่าถ้าเรารู้ว่ามันสามารถติดต่อได้
00:08:50 → 00:08:53 ด้วยการสัมผัสเราไม่รู้ว่ามือเรามีแผล
00:08:53 → 00:08:55 หรือเปล่าเพราะกลัวแม่ครัวที่เป็นคนหั่น
00:08:55 → 00:08:57 หมูจะมีแผลหรือเปล่าทำได้ด้วยกันสวมถุง
00:08:57 → 00:09:00 มืออ่าใช่แต่อาจจะไม่ใช่แบบอู้หูต้อง
00:09:00 → 00:09:02 ซีเรียสขนาดนั้นแต่ว่าเพียงแต่ว่าทฤษฎีก็
00:09:02 → 00:09:04 คือว่าโอเคสวมถุงมือเพื่อป้องกันไม่ให้
00:09:04 → 00:09:08 ถ้าเกิดมีเชื้อปนอยู่ในๆๆเขียงในๆๆเอ่อใน
00:09:08 → 00:09:10 เนื้อหมูก็จะไม่สัมผัสเข้ามาที่ตัวเรา
00:09:10 → 00:09:12 หลังจากนั้นก็เราล้างมือทำความสะอาด
00:09:12 → 00:09:14 อุปกรณ์ที่เราใช้ก็มีการล้างทำความสะอาด
00:09:14 → 00:09:18 ตากแดดให้เรียบร้อยเวลาที่เนื้อวัวเหล่า
00:09:18 → 00:09:21 นั้นที่เตรียมมามาทำเป็นอาหารก็ขอให้ผ่าน
00:09:21 → 00:09:25 ความร้อน 70 องศาสัก 10 กว่านาทีแค่นั้น
00:09:25 → 00:09:27 เองถ้าเราทำแบบนั้นได้ถ้าเราพฤติกรรมการ
00:09:27 → 00:09:30 กินของเราเปลี่ยนจากเดิมโดยชอบกินดิบๆเรา
00:09:30 → 00:09:33 เปลี่ยนมาเป็นกินสุกแล้วก็มีการใช้ความ
00:09:33 → 00:09:36 ร้อนมันก็จะเป็นการป้องกันโรคไข้หูดับได้
00:09:36 → 00:09:39 ง่ายๆอันนี้น่าสนใจมากเพราะว่าเอาแหละคือ
00:09:39 → 00:09:42 วัฒนธรรมการกินของแต่ละพื้นที่อาจจะไม่
00:09:42 → 00:09:45 ได้เหมือนกันคือบางคนก็แบบว่าก็อย่างนี้
00:09:45 → 00:09:47 มาตั้งนานแล้วไม่เห็นเป็นอะไรเลยก็ไม่
00:09:47 → 00:09:49 เป็นอะไรก็ดีแล้วค่ะ
00:09:49 → 00:09:54 มันๆๆเกิดมาตั้งนานแล้วนะมาตั้งแต่พ.ศ
00:09:54 → 00:09:58 2511 มาหลายสิบปีมา 50 ปีมาแล้วนะแต่ว่า
00:09:58 → 00:10:00 เจอครั้งแรกที่ที่ทางทางยุโรปทางเดนมาร์ก
00:10:00 → 00:10:04 และหลังจากนั้นก็มีการกระจายแพร่มาทั่วไป
00:10:04 → 00:10:07 ซึ่งประเทศไทยแล้วก็โซนในเอเชียเนี่ยเจอ
00:10:07 → 00:10:08 ค่อนข้างเยอะแต่อาจจะเป็นประเทศจีนเนี่ย
00:10:08 → 00:10:11 เคยเจอเยอะเคยมีการแพร่ระบาดมาแล้วทำให้
00:10:12 → 00:10:15 คนเสียชีวิตคนป่วยเยอะมากนะครับอาจจะเป็น
00:10:15 → 00:10:18 เพราะพฤติกรรมการกินที่กินที่แบบว่ามีดิบ
00:10:18 → 00:10:23 นิดก็ไม่ได้ไปพูดเพื่อว่ามันมันเป็นรัก
00:10:23 → 00:10:25 พฤติวัฒนธรรมที่ไม่ดีอะไรหรอกนะแต่เพียง
00:10:25 → 00:10:27 แต่ว่าคือมันก็มีความเสี่ยงในการที่จะได้
00:10:27 → 00:10:29 รับโรคต่างๆเหล่านั้นเพราะว่าในประเทศไทย
00:10:29 → 00:10:33 เนี่ยเจอจริงๆแล้วเจอได้ทั่วเจอได้ทุกทุก
00:10:33 → 00:10:36 ภาคของประเทศไทยเลยแต่ว่าที่เจอหลักๆคือ
00:10:36 → 00:10:38 ทางภาคเหนือกับภาคอีสานอาจจะเป็น
00:10:38 → 00:10:41 พฤติกรรมการกินที่ว่าเอออาจจะเอ่อเน้นๆ
00:10:41 → 00:10:43 ทางดิบๆนิดนึงอะไรลักษณะแบบนั้นก็เลยมี
00:10:43 → 00:10:46 ความเสี่ยงชื่นชอบอร่อยนี่แหละเนาะอะไร
00:10:46 → 00:10:48 ประมาณนี้แหละคือเขากินกันมาอย่างนี้มา
00:10:48 → 00:10:51 ตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้วมันเป็นเป็นสิ่งของ
00:10:51 → 00:10:56 เขาแต่ว่าก็เพิ่มความห่วงใยเนาะในๆการกิน
00:10:56 → 00:10:59 เข้าไปเพิ่มเติมเพราะว่าถึงขั้นเสียชีวิต
00:10:59 → 00:11:02 ได้อ่ะครับเพราะจริงๆอาการของคล้ายหูดาบ
00:11:02 → 00:11:03 เนี่ยมันมีมันมีอาการหลายๆกลุ่มเลยอ่ะ
00:11:03 → 00:11:05 เริ่มตั้งแต่มีไข้สูงอย่างที่บอกไปแล้ว
00:11:05 → 00:11:08 ตามชื่อนะครับมีการปวดเมื่อยตามเนื้อตาม
00:11:08 → 00:11:12 ตัวตามข้อต่างๆของร่างกายมีการปลดเวียน
00:11:12 → 00:11:14 เวียนศีรษะแล้วก็บางรายก็จะมีการอาเจียน
00:11:14 → 00:11:18 หลายๆลายเซ็นจ้ำเลือกจำที่อยู่ใต้ผิวหนัง
00:11:18 → 00:11:23 เป็นจำๆจำๆอาจารย์คือบางทีเราไม่ได้คาด
00:11:23 → 00:11:25 คิดเลยนะว่ามันจะเป็นไข้หูดับเพราะมัน
00:11:25 → 00:11:28 คล้ายๆกับบางโรคเหมือนกันนะแต่ว่าคุณหมอ
00:11:28 → 00:11:33 ก็ต้องมีการหมอเนี่ยจะตรวจตามลักษณะคือ
00:11:33 → 00:11:35 ซักประวัติก่อนว่ามีความเสี่ยงในการ
00:11:35 → 00:11:37 สัมผัสอะไรต่างๆเหล่านั้นไหมแล้วก็ตรวจ
00:11:37 → 00:11:41 ร่างกายนอกจากนั้นก็จะมีการทำทั้งห้อง
00:11:41 → 00:11:43 ปฏิบัติการใช้การตรวจทางแลปช่วยว่าเป็น
00:11:43 → 00:11:46 การ Confirm ว่าสาเหตุหรือเปล่าอาการดู
00:11:46 → 00:11:48 จากอาการดูแลหลายๆประกอบกันหลายๆอย่าง
00:11:48 → 00:11:53 ซึ่งซึ่งเอ่อผลผลปัญหาหลักๆที่เกิดขึ้น
00:11:53 → 00:11:55 เนี่ยนอกจากมีไข้มีอาการเหล่านั้นแล้ว
00:11:55 → 00:11:57 เนี่ยมันจะมีเกี่ยวกับเรื่องการได้ยินการ
00:11:57 → 00:12:01 รับฟังที่มีการสูญเสียไปถึงได้บอกว่ามัน
00:12:01 → 00:12:04 เริ่มอาการเบื้องต้นของหูหนวกเอ่อต้องใช้
00:12:04 → 00:12:07 ว่าหูดับเป็นเป็นแบบชั่วคราวแล้วก็ถ้า
00:12:07 → 00:12:11 เป็นไปมากขึ้นก็ค่อนข้างถาวรแล้วก็เกิด
00:12:11 → 00:12:13 อาการหูหนวกโดยที่ไม่ได้ยินเสียงงั้นแสดง
00:12:13 → 00:12:17 ว่าเราอาจจะได้รับเชื้อซ้ำเข้าไปได้โดย
00:12:17 → 00:12:20 ที่ไม่รู้ไงมีโอกาสได้ครับใช่อาหูดับไป
00:12:20 → 00:12:23 ชั่วคราวอากลับมาอาจจะได้ยินคือต้องบอก
00:12:23 → 00:12:26 ว่าอาการรักษาแบบนั้นเนี่ยคือการหูดับ
00:12:26 → 00:12:29 เนี่ยบางรายก็เป็นแบบว่าเป็นนิดนึงแล้วก็
00:12:29 → 00:12:31 กลับมาดีขึ้นแต่บางรายนี่ก็เป็นแบบ
00:12:31 → 00:12:35 ถาวรเลยซึ่งมีใครตอบได้ขึ้นอยู่กับ Sense
00:12:35 → 00:12:37 ของแต่ละคนด้วยแล้วก็ที่สำคัญเนี่ยถ้า
00:12:37 → 00:12:40 เกิดว่าการติดเชื้อในกระแสเลือดมีการติด
00:12:40 → 00:12:42 เชื้อแล้วก็ทั่วไปทั่วร่างกายแล้วมันมีผล
00:12:42 → 00:12:45 ทำให้ขึ้นเกี่ยวกับระบบสมองอะไรต่างๆแล้ว
00:12:45 → 00:12:47 ก็มีการรักษาของของการติดเชื้อในกระแส
00:12:47 → 00:12:49 เลือดแล้วเนี่ยโอกาสที่ทำให้เกิดการช็อค
00:12:49 → 00:12:52 การชักและก็เสียชีวิตก็มีถ้ามันเป็นมากๆ
00:12:52 → 00:12:55 อาจารย์นั่นหมายความว่าเราได้รับเชื้อไป
00:12:55 → 00:12:59 ในระยะเวลานั้นปุ๊บเนี่ยมันมีเหมือนอย่าง
00:12:59 → 00:13:01 อื่นไหมที่เราได้รับเชื้อไประยะฟักตัว
00:13:01 → 00:13:04 หรือการแสดงอาการมันมีระยะเวลาให้เราแบบ
00:13:04 → 00:13:07 ได้เอะใจไหมคะว่าเอ้ยมันน่าจะเป็นจากการ
00:13:07 → 00:13:10 ที่กินสุกๆดิบๆมาใช่คุณหมอต้องซักประวัติ
00:13:10 → 00:13:12 ถ้ามีอาการแล้วเนี่ยหมอต้องซักประวัติเลย
00:13:12 → 00:13:15 เพราะว่าระยะฟักตัวตั้งแต่รับเชื้อเข้าไป
00:13:15 → 00:13:17 เนี่ยมันมันค่อนข้างกว้างตั้งแต่ 1-14
00:13:17 → 00:13:22 วันเลยแต่หลายๆทั่วไปจะเห็นว่าภายใน 3-4
00:13:22 → 00:13:24 วันเนี่ยหลังจากที่ได้รับเชื้อไปเนี่ยถ้า
00:13:24 → 00:13:26 เกิดมีเชื้อก็จะแสดงอาการให้เห็นค่อนข้าง
00:13:26 → 00:13:29 ชัดเจนตั้งแต่ 3-4 วันแรกแล้วคุณหมอก็
00:13:29 → 00:13:31 ต้องเค้าต้องพิจารณาแล้วก็ซักประวัติตรง
00:13:31 → 00:13:34 นี้ค่อนข้างละเอียดอ่ะครับว่ามีไฟล์มีมี
00:13:34 → 00:13:36 ประวัติการกินอะไรดิบๆกินเนื้อหมูดิบหรือ
00:13:36 → 00:13:39 เปล่าบางรายก็ไม่ได้กินดิบนะก็สุกนะไปกิน
00:13:39 → 00:13:41 หมูกระทะมาเนี่ยหมูกระทะก็ไม่ได้กินดิบนะ
00:13:42 → 00:13:46 แต่แต่แต่มีคำว่าแต่เลยครับเพราะส่วนใหญ่
00:13:46 → 00:13:48 แล้วเนี่ยมันอาจจะมองว่าอ้าวฉันไปกันหลาย
00:13:48 → 00:13:52 คนยังย่างไม่ทันสุกเดี๋ยวเพื่อนแย่งแต่ก็
00:13:52 → 00:13:57 ต้องกินก่อน
00:13:57 → 00:14:01 ผมว่าหลายๆคนคงเจอแบบนี้แหละ
00:14:01 → 00:14:04 หายไปไหนอะไรอย่างเงี้ยเออก็มีแต่ประเด็น
00:14:04 → 00:14:08 คือคือบางคนอาจจะมองว่าก็ย่างสุกนะย่างจน
00:14:08 → 00:14:11 กระทั่งสุกเลยแล้วก็กินแต่ทำไมถึงจะติด
00:14:11 → 00:14:14 ได้ต้องบอกว่าก่อนที่เราจะย่างเนี่ยเราก็
00:14:14 → 00:14:17 ต้องคีบเนื้อหมูดิบเอาไปย่างแล้วถ้าเกิด
00:14:17 → 00:14:20 ว่ากรณีของเนื้อหมูดิบในกลุ่มนั้นมันมี
00:14:20 → 00:14:24 เนี่ยตะเกียงที่เราใช้ตะเกียบที่เราคีบไป
00:14:24 → 00:14:27 ไปแปะแล้วก็เราใช้ตะเกียบหน้าถึงแล้วครีบ
00:14:27 → 00:14:28 กลับเข้ามาแต่ตัวที่มันปนเปื้อนที่
00:14:28 → 00:14:31 ตะเกียบเนี่ยมันก็มีโอกาสทำให้เกิดโรค
00:14:31 → 00:14:34 เดียวเองนะคะอาจารย์ไอ้ที่แบบคีบแล้วไป
00:14:34 → 00:14:37 วางแล้วก็แบบใช่ๆครับเพราะมันติดอยู่ที่
00:14:37 → 00:14:40 ตัวตะเกียบไงครับเพราะเพราะเนื้อหมูเนี่ย
00:14:40 → 00:14:41 โอเคเราไปย่างเราผ่านความร้อนแต่ตัว
00:14:42 → 00:14:43 ตะเกียบเราไม่ได้ผ่านความร้อนเราไม่ได้
00:14:43 → 00:14:48 ย่างแล้วถ้าเอ่อตัวเชื้อโรคที่มันติดอยู่
00:14:48 → 00:14:51 ในหมูดิบและแปะอยู่ที่ตะเกียบเราแล้วไม่
00:14:51 → 00:14:53 ได้ทำความสะอาดไม่ได้ผ่านความร้อนมันก็จะ
00:14:54 → 00:14:58 มีลักษณะมีตัวความความปนของเชื้อติดอยู่
00:14:58 → 00:15:00 ที่ตะเกียบก็มีโอกาสที่จะถ่ายทอดเข้ามา
00:15:00 → 00:15:03 สู่เราได้ดังนั้นสิ่งที่เราสามารถทำได้
00:15:03 → 00:15:06 คือต้องแยกตะเกียบอันนี้จะต้องฝากคนที่
00:15:06 → 00:15:10 ที่ชอบกินกินปิ้งย่างไว้ก่อนเลยว่าเรา
00:15:10 → 00:15:14 ต้องแยกอุปกรณ์ที่สำหรับคีบเนื้อหมูดิบ
00:15:14 → 00:15:17 กับเนื้อหมูสุกเป็น 2 ส่วนแยกออกจากกัน
00:15:17 → 00:15:20 ไม่ค่อยได้นึกถึงตรงนี้เลยอ่ะบางครั้งอาจ
00:15:20 → 00:15:23 จะใช้วิธีการใช้เป็นปากคีบเพื่อให้เห็น
00:15:23 → 00:15:25 ความแตกต่างเลยว่าเราจะคีบเนื้อหมู่ดิบ
00:15:25 → 00:15:27 เราจะใช้ปากคีบมณีครีบแล้วก็บอกว่าวางที่
00:15:27 → 00:15:30 เตาแล้วหลังจากนั้นพอเราก็ใช้ตะเกียบของ
00:15:30 → 00:15:31 เราในการ
00:15:31 → 00:15:35 ที่สูงแล้วเข้ามากินลักษณะแบบนี้ต้องแยก
00:15:35 → 00:15:37 กันให้ชัดเจนนะครับก็คือระหว่างอุปกรณ์
00:15:37 → 00:15:39 ของเนื้อหมูดิบกับเนื้อหมูสุกมันคือมัน
00:15:39 → 00:15:42 ต้องมีโดนความร้อนเป็นระยะเวลาหนึ่งไม่
00:15:42 → 00:15:44 ใช่แบบว่าลงไปปุ๊บแล้วก็แบบว่าไม่ใช่นะก็
00:15:44 → 00:15:48 คือจริงๆองศา
00:15:48 → 00:15:51 ประมาณ 10 นาทีแต่ถ้าเกิดว่าเนื้อหมูสุก
00:15:51 → 00:15:53 ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรโอ๊ยแต่จริงๆเราก็จะ
00:15:53 → 00:16:01 ใช้ตะเกียบอันเดียวของเรานี่แหละเนอะ
00:16:01 → 00:16:03 แต่ว่านี่แหละบทประเด็นนี้ถึงได้บอกว่า
00:16:03 → 00:16:05 เราเปลี่ยนพฤติกรรมเราเปลี่ยนพฤติกรรมการ
00:16:05 → 00:16:07 กินหมูกระทะของเราเราจะไม่แย่งหมูกะทะกัน
00:16:07 → 00:16:10 เราไม่แย่งชิ้นหมูของแต่ละคนเพราะเราจะ
00:16:10 → 00:16:13 ได้ไม่ต้องมามันต้องนั่งเร่งรีบทานก่อน
00:16:13 → 00:16:16 ก่อนอื่นจะแย่งเปลี่ยนพฤติกรรมอันหนึ่ง
00:16:16 → 00:16:19 คืออันที่ 2 คือเปลี่ยนตะเกียบใช้อุปกรณ์
00:16:19 → 00:16:22 เป็นคนละชุดระหว่างหมูดิบขี้หมูดิบกับขี้
00:16:22 → 00:16:25 หมูที่สุกแล้วโอ้โหกินอะไรนะถ้าแบบว่าแค่
00:16:25 → 00:16:28 ขี้หมูดิบก็มันก็มีโอกาสติดเชื้อได้นะคะ
00:16:28 → 00:16:31 ต้องบอกว่าจริงๆมันไม่ได้ไม่ได้เป็นทุก
00:16:31 → 00:16:33 รายหรือเป็นเยอะขนาดนั้นน่ะเพียงแต่ว่าพอ
00:16:33 → 00:16:37 มันมีโอกาสปุ๊บเราสามารถเลี่ยงโอกาสที่จะ
00:16:37 → 00:16:39 เกิดเรานั้นได้แม้เพียงน้อยนิดเราถ้าทำ
00:16:39 → 00:16:41 ไว้จนชินได้ก็จะดีคือเพราะว่าเราไม่รู้
00:16:41 → 00:16:44 ว่าเนื้อเนื้อหมูอันนั้นเนี่ยมันอยู่กับ
00:16:44 → 00:16:46 เนื้อหมูอย่างเดียวเลยหรอคะเอ่อใช่ครับ
00:16:46 → 00:16:49 ใช่พออยู่ที่หมูอยู่ในน้ำเลือดหรืออะไร
00:16:49 → 00:16:52 พวกนี้แบบมันอยู่ในเลือดของๆหมูเพราะ
00:16:52 → 00:16:54 ฉะนั้นน่ะเลือดมีทั่วไปเลี้ยงทั่วร่างกาย
00:16:54 → 00:16:57 ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะภายในไม่ว่าจะเป็นตับๆ
00:16:57 → 00:16:59 นี่เป็นแหล่งรวมของเลือดของหมูเลยครับถ้า
00:16:59 → 00:17:01 มีก็จะเป็นอย่างนั้นแต่
00:17:01 → 00:17:04 หลายๆคนก็มองว่าก็ตับมันต้องทำแบบนั้นให้
00:17:04 → 00:17:06 สุกเท่าไหร่ถึงจะอร่อยไงเปลี่ยนแนวความ
00:17:06 → 00:17:10 คิดแข็งเดี๋ยวตัดมันแข็งไม่อร่อย
00:17:10 → 00:17:14 อุ๊ยเป็นคนชอบกินเลือดหมูด้วยอ่ะเออเลือด
00:17:14 → 00:17:16 หมูต้องบอกว่าถ้าไม่ใช่เลือดหมูสดอ่ะเค้า
00:17:16 → 00:17:18 เรียกผีหรือหมูเป็นก้อนอาจารย์ที่ใส่ในๆๆ
00:17:18 → 00:17:19 อะไรนะ
00:17:19 → 00:17:22 ต้มเครื่องในอ่า
00:17:22 → 00:17:25 ก๋วยจั๊บที่ที่มันเป็นพยายามเดาเล่นเกม
00:17:25 → 00:17:29 กันเดาอยู่ๆก็นึกไม่ออกก๋วยเตี๋ยวเรือไอ้
00:17:29 → 00:17:31 เลือดอ่ะที่ไปแบบ
00:17:31 → 00:17:35 นั้นก็คือผ่านความร้อนคือจริงๆแล้วจะบอก
00:17:35 → 00:17:35 ว่า
00:17:35 → 00:17:39 จริงๆจะบอกว่ามีโอกาสไหมมีโอกาสก็มีนะ
00:17:39 → 00:17:41 ครับเพราะว่าเลือดหมูคือมันอยู่ในเลือดไง
00:17:41 → 00:17:43 ประเด็นคือมันอยู่ในเลือดแล้วก็ปนเปื้อน
00:17:43 → 00:17:47 อยู่ตามเนื้อหมูกับเอาอวัยวะของเขา
00:17:47 → 00:17:49 ก็สุขอย่างเดียวแล้วกันถ้างั้นแต่จะบอก
00:17:49 → 00:17:52 ว่าก๋วยเตี๋ยวเรือเนี่ยเขาใช้เลือดแล้วก็
00:17:52 → 00:17:57 ไปตักน้ำร้อนอะไรอย่างนั้นนะ
00:17:57 → 00:18:00 มันจะสูงเพียงพอ
00:18:00 → 00:18:04 อาจารย์ไปพิสูจน์ให้หน่อย
00:18:04 → 00:18:09 ว่ายังไงอ๋อคือจะเป็นเครื่องในเป็นเลือด
00:18:09 → 00:18:11 เป็นอะไรที่เกี่ยวกับหมูอ่ะที่มันยังไม่
00:18:11 → 00:18:13 สุกอ่ะมันมีความเสี่ยงทั้งนั้นใช่เพราะ
00:18:13 → 00:18:15 ว่าเพราะในเชิงสัตวแพทย์เนี่ยก็จะมองว่า
00:18:15 → 00:18:18 เชื้อตัวนี้เนี่ยมันสามารถ
00:18:18 → 00:18:22 ปนเปื้อนแล้วก็แพร่ได้ในสุกรทุกช่วงอายุ
00:18:22 → 00:18:26 ตั้งแต่แรกเกิดสุกรขุนสุกรตั้งท้องแล้วก็
00:18:26 → 00:18:31 รวมถึงโรงฆ่าสัตว์แล้วก็เขาก็เคยมีมีการ
00:18:31 → 00:18:36 สำรวจนะครับว่าเคยตรวจพบการการปนเปื้อน
00:18:36 → 00:18:39 ของของผลิตภัณฑ์สุกรไม่ว่าจะเป็นเนื้อหมู
00:18:39 → 00:18:42 แล้วก็เลือดที่แข็งตัวแล้วเป็นก้อนๆหรือ
00:18:42 → 00:18:45 ว่าอวัยวะต่างๆเหล่านั้นแต่ว่าเอ่อถามว่า
00:18:45 → 00:18:48 มีไหมมันก็มีแต่ว่าปัจจุบันแล้วเนี่ยการ
00:18:48 → 00:18:50 ควบคุมการดูแลต่างๆก็ค่อนข้างละเอียด
00:18:50 → 00:18:53 เพราะมันหน่วยงานของรัฐหลายๆที่ก็เข้าไป
00:18:53 → 00:18:57 ดูแลดูแลในส่วนในในการในการตรวจสอบในการ
00:18:57 → 00:19:00 ป้องกันในการพิสูจน์ว่าเออมันไม่มีปัญหา
00:19:00 → 00:19:04 ค่อนข้างเยอะอาจจะค่อนข้างละเอียดแล้วก็
00:19:04 → 00:19:08 เอาใจใส่มากๆกว่ามาก่อนเพียงแต่ว่าก็อยาก
00:19:08 → 00:19:11 จะเน้นนะว่าเวลาที่เราเราเลือกซื้อเนื้อ
00:19:11 → 00:19:13 สุกรอย่างที่บอกว่าเรารู้ว่ามันมีโอกาส
00:19:13 → 00:19:17 ที่จะปนเปื้อนได้เราก็เลือกซื้อจากแหล่ง
00:19:17 → 00:19:19 ที่เราเราเชื่อถือได้ที่แบบว่าเออมี
00:19:19 → 00:19:21 คุณภาพลักษณะแบบนั้นจะปลอดภัยสำหรับตัว
00:19:21 → 00:19:25 เราทำให้สุกด้วยแล้วก็ทำให้สุกเปลี่ยน
00:19:25 → 00:19:27 อย่างที่บอกว่าเปลี่ยนเปลี่ยนพฤติกรรมถ้า
00:19:27 → 00:19:29 เกิดว่าเราพฤติกรรมการเงินของเราเนี่ย
00:19:29 → 00:19:33 ค่อนข้างชอบที่จะกินดิบๆเนี่ยเราอาจจะ
00:19:33 → 00:19:35 ต้องตระหนักตรงนี้นิดนึงเหรอโอเคเรา
00:19:35 → 00:19:37 เปลี่ยนนิดนึงแต่ว่าถ้าทำได้ก็จะดีตลอด
00:19:37 → 00:19:41 ทางได้ก็จะดีการกินหมูกระทะก็ต้องแย่ไม่
00:19:42 → 00:19:43 ใช่หมูกระทะอย่างเดียวหมูกระทะหรืออะไรก็
00:19:43 → 00:19:46 แล้วแต่ที่ที่ต้องมีการสัมผัสกับเนื้อหมู
00:19:46 → 00:19:48 ดิบด้วย
00:19:48 → 00:19:51 ชาบูผมยังโอเคนะเพราะว่าตะเกียบที่เรา
00:19:51 → 00:19:53 จุ่มไปแล้วเนี่ยเวลาเราจุ่มไปในน้ำก็ยัง
00:19:53 → 00:19:55 โอเคช่วยถือว่าเป็นการใช้ความร้อนในการ
00:19:55 → 00:19:57 ฆ่าเชื้อได้แต่ว่าพอปิ้งย่างเนี่ยมัน
00:19:57 → 00:20:00 สัมผัสแล้วก็ไปแปะแล้วก็พลิกเท่านั้นเอง
00:20:00 → 00:20:03 ไงมันก็มีโอกาสที่จะจะไม่ได้ผ่านความร้อน
00:20:03 → 00:20:05 ตัวตะเกียบเราไม่ได้ผ่านความหมอนเพราะ
00:20:05 → 00:20:08 ฉะนั้นก็มีโอกาสที่จะรับมาได้ถ้าเนื้อหมู
00:20:08 → 00:20:12 เหล่านั้นมีเชื้อไข้หูดับอยู่คือถ้าอย่าง
00:20:12 → 00:20:13 นี้ก็รู้สึกว่าเราต้องฝากความหวังไว้ตั้ง
00:20:13 → 00:20:17 แต่ต้นทางที่จะเป็นส่วนของปศุสัตว์หรือ
00:20:17 → 00:20:20 โรงฆ่าสัตว์อันนี้ต้องมีความรับผิดชอบอ่ะ
00:20:20 → 00:20:23 เนอะ
00:20:23 → 00:20:26 มันต้องเป็นระบบที่เกี่ยวข้องกันคือทาง
00:20:26 → 00:20:29 ผู้ที่ตรวจสอบตรงช่วงปลายเนี่ยก็คงตรวจ
00:20:29 → 00:20:31 สอบได้ว่ามีหรือไม่มีถ้าไม่มีก็โอเคแต่
00:20:31 → 00:20:34 ถ้ามีก็ต้องการไว้แต่พอการไว้เสร็จแล้ว
00:20:34 → 00:20:38 บางทีบางทีหลายๆคนก็ไม่ได้ดูตามฟาร์มคือ
00:20:38 → 00:20:40 คือถ้าเกิดว่าเป็นฟาร์มขนาดเล็กที่แบบที่
00:20:40 → 00:20:44 มีการที่ที่ไม่ได้มีการทำเป็นระบบดีๆ
00:20:44 → 00:20:47 เนี่ยต้นทุนทุกอย่างมันเป็นต้นทุนหมดไง
00:20:47 → 00:20:49 เพราะฉะนั้นบางครั้งถ้าเกิดว่า
00:20:49 → 00:20:54 เลี้ยงแล้วเจอประเด็นตรงนั้นขึ้นมาก็ไม่
00:20:54 → 00:20:56 ได้อยากจะบอกว่าเขามีโอกาสที่จะแอบมานะ
00:20:56 → 00:21:00 แต่ว่าก็อาจจะต้องมองว่ามันมีต้นทุนทุก
00:21:00 → 00:21:04 อย่างเพราะฉะนั้นมีมันก็มีโอกาสที่จะเกิด
00:21:04 → 00:21:06 ขึ้นได้เพียงแต่ว่าเราเราจะทำยังไงที่เรา
00:21:06 → 00:21:11 จะป้องกันป้องกันตัวเราในการที่ที่จะไม่
00:21:11 → 00:21:13 รับเชื้อในกรณีที่มีจริงๆซึ่งเราบอกไม่
00:21:13 → 00:21:16 ได้เรามองจากภายนอกเราบอกไม่ได้เลยเขาใช้
00:21:16 → 00:21:20 วิธีสุ่มนะคะสุ่มตรวจมีการสุ่มเฉยๆ
00:21:20 → 00:21:25 ไม่ได้โดนตัวที่มันมีนั่นไงเพราะคือในการ
00:21:25 → 00:21:28 สุ่มก็คือคือคือการสุ่มเงี้ยการตรวจไม่
00:21:28 → 00:21:30 สามารถตรวจทั้งหมดได้ไม่สามารถตรวจทุก
00:21:30 → 00:21:33 ชิ้นได้สมมุติว่ามีมีร้อยล้านเนี่ยอาจจะ
00:21:33 → 00:21:37 มีในในร้านๆนึงมีหมูทั้งหมด 10 ชิ้นเนี่ย
00:21:37 → 00:21:39 ก็จะยกตัวอย่างสุ่มตัวอย่างมา
00:21:39 → 00:21:42 1-2-3 เพื่อเอามาตรวจคงไม่ได้ตรวจทุก
00:21:42 → 00:21:46 ชิ้นทั้งหมดนะครับพอจริงๆคงลำบากร้านนึง
00:21:46 → 00:21:48 เขาอาจจะรับมาจากหลายแหล่งก็เป็นไปได้
00:21:48 → 00:21:51 เหมือนกันก็ดูอีกคือถ้าต้นทุนแพงเขาก็จะ
00:21:51 → 00:21:53 ไม่รับต้นทุนที่ถ้าเกิดเป็นฟาร์มที่ได้
00:21:53 → 00:21:57 มาตรฐานต้นทุนในราคาต่อต่อกิโลกรัมต่างๆ
00:21:57 → 00:22:01 ก็จะสูงแต่ถ้าเกิดว่ามีแหล่งที่แอบรักแอบ
00:22:01 → 00:22:04 เอามาแล้วก็ขายในราคาที่ถูกกว่าในเชิง
00:22:04 → 00:22:06 ธุรกิจหลายๆคนก็อยากจะจ่ายที่น้อยน้อย
00:22:06 → 00:22:09 กว่าอันนี้คือเข้าใจเพราะเคยได้ยินข่าวมี
00:22:09 → 00:22:13 การลักลอบนำเข้าเนื้อมาแต่ว่าอันนี้คือ
00:22:13 → 00:22:15 ถามอาจารย์โอ๋นิดนึงว่าเชื้อพวกนี้พอมัน
00:22:15 → 00:22:20 แบบอยู่บนเขียงวางอยู่บนเหมือนที่ที่วาง
00:22:20 → 00:22:22 ขายอย่างเงี้ยค่ะแล้วเชื้อพวกนี้มันอยู่
00:22:22 → 00:22:25 ในเนื้อของหมูมันสามารถกระโดดออกมาอยู่
00:22:25 → 00:22:28 สับอยู่กับมันมันไม่ได้กระโดดขึ้นผิวมัน
00:22:28 → 00:22:31 สัมผัสคือตัวเนื้อหมูสมมุติว่าเนื้อหมู 1
00:22:31 → 00:22:34 ก้อนมีเชื้อแต่อยู่บนเขียงพอมาวางที่
00:22:34 → 00:22:37 เขียงเอามาปุ๊บเชื้อเหล่านั้นก็จะแปะอยู่
00:22:37 → 00:22:39 ที่เขียงเหมือนกับการกระจายของโรคต่างๆ
00:22:39 → 00:22:42 เนี่ยแหละครับมันก็มันก็มาได้แล้วมันก็
00:22:42 → 00:22:44 อยู่ได้ด้วยไม่ได้บอกว่าฉันสามารถเติบโต
00:22:45 → 00:22:47 ได้อยู่ในเนื้อหมูอยู่อย่างนั้นไม่ใช่
00:22:47 → 00:22:52 ระยะเวลาถ้าเกิดเปรอะเปื้อนที่เขียงอยู่
00:22:52 → 00:22:56 แล้วก็โดนความร้อนโดนแดดสักระยะหนึ่งก็จะ
00:22:56 → 00:22:57 ตาย
00:22:57 → 00:23:03 คือประเด็นก็คือว่าแนะนำว่าตัวพ่อค้าแม่
00:23:03 → 00:23:05 ค้ารวมถึง
00:23:05 → 00:23:08 พ่อครัวที่ต้องสัมผัสกับเนื้อหมูอ่ะนะ
00:23:08 → 00:23:11 ครับถ้าเป็นไปได้คือใส่ใส่ถุงมือเพื่อทำ
00:23:11 → 00:23:12 ความสะอาดเป็นการป้องกันตัวเองด้วยแล้วก็
00:23:12 → 00:23:16 เป็นการดูให้อนามัยด้วยนะครับแล้วเวลาที่
00:23:16 → 00:23:20 ทำเอ่อหั่นในการชำแหละเสร็จแล้วเนี่ยตัว
00:23:20 → 00:23:21 อุปกรณ์เหล่านั้นก็ต้องทำความสะอาดให้ดี
00:23:21 → 00:23:24 มีการล้างด้วยน้ำยาล้างจานให้ดีแล้วก็
00:23:24 → 00:23:27 คว่ำตากให้แห้งลักษณะแบบนี้ก็จะช่วยป้อง
00:23:27 → 00:23:30 กันคือช่วยกำจัดเชื้อที่มันสามารถที่มัน
00:23:30 → 00:23:33 มีโอกาสปนเปื้อนมาให้มันหายออกไปได้จริง
00:23:33 → 00:23:35 ถ้าเกิดโดนแดดบ้านเราได้ก็น่าจะจบเนาะ
00:23:35 → 00:23:37 เพราะว่าแดดบ้านเรานี่สูงสุดแล้วเผาหมด
00:23:37 → 00:23:39 เลยเอาทั้งตัวเราด้วย
00:23:39 → 00:23:43 ไม่รู้จะแสบไปไหนแล้วนะคะอ๋อก็ได้ด้วย
00:23:43 → 00:23:45 ความอุปกรณ์
00:23:45 → 00:23:48 แผงที่ขาย
00:23:48 → 00:23:53 เขียงมีดหรืออะไรก็แล้วแต่ตัวที่ห้อยตะขอ
00:23:53 → 00:23:55 เลยพวกนี้ต้องแบบถ้ามีการทำความสะอาด
00:23:55 → 00:23:57 เหมือนกัน
00:23:57 → 00:24:01 ตามร้านต่างๆหลังจากที่ที่
00:24:01 → 00:24:04 ขายหมดแล้วปิดร้านแล้วเขาก็จะมีการทำความ
00:24:04 → 00:24:08 สะอาดนะครับเท่าที่เห็นแต่ว่าก็จะทำความ
00:24:08 → 00:24:10 สะอาดได้ลึกซึ้งเพียงไหนนี่ก็อาจจะต้อง
00:24:10 → 00:24:13 ขึ้นอยู่กับแต่ละแต่ละร้านแล้วเพราะว่า
00:24:13 → 00:24:15 มันมันก็น่ากลัวเหมือนกันนะคะอาจารย์
00:24:15 → 00:24:17 เพราะว่าคือความที่มันมีระยะฟักตัวแล้ว
00:24:18 → 00:24:20 มันก็ไม่ได้แบบว่ากินไปปุ๊บจะเกิดอาการ
00:24:20 → 00:24:22 แบบเหมือนกับว่าท้องร่วงท้องร่วงท้องเสีย
00:24:22 → 00:24:24 อะไรขนาดนั้นมันก็ไม่ใช่เนาะ
00:24:24 → 00:24:27 ก็จะมีหลายกลุ่มกลุ่มนี้ทำให้เกิดปัญหา
00:24:27 → 00:24:29 เยอะแล้ว
00:24:29 → 00:24:32 มันเป็นเหมือนเป็นไข้เป็นอย่างอื่นที่เรา
00:24:32 → 00:24:35 ไม่ได้นึกถึงว่าอาจจะเป็นโรคไข้หูดับด้วย
00:24:35 → 00:24:38 ซ้ำแล้วก็โอ้โหมันมีความพิการตามมาแล้ว
00:24:38 → 00:24:41 มันถ้ามันเข้าถูกกระแสเลือดมันเสียชีวิต
00:24:41 → 00:24:43 อ่ะใช่ครับอย่างที่บอกไงครับว่าตัวตัว
00:24:43 → 00:24:45 เชื้อเวลากินเข้าไปแล้วตัวแบคทีเรียที่
00:24:45 → 00:24:48 มันเพิ่มจำนวนขึ้นในร่างกายเราแล้วก็มี
00:24:48 → 00:24:51 การร่างกายก็ไปทั่วร่างกายโดยผ่านทาง
00:24:51 → 00:24:53 กระแสเลือดครับถ้าเกิดเรามีจำนวนมากขึ้น
00:24:53 → 00:24:56 มันเกิดภาวะของโลหิตเป็นพิษโลหิตเป็นพิษ
00:24:56 → 00:24:59 เนื่องจากเชื้อติดเชื้อมันก็ทำให้เกิด
00:24:59 → 00:25:01 อาการอื่นตามมาอย่างเช่นมันมีโอกาสชักทำ
00:25:01 → 00:25:04 ให้เกิดอาการช็อคแล้วก็เสียชีวิตได้ในตอน
00:25:04 → 00:25:08 ที่เป็นมากๆมันมีความเสี่ยงอยู่เราย้ำนะ
00:25:08 → 00:25:10 ว่ากินเนื้อหมูได้ปกติแหละนะเดี๋ยวอย่าไป
00:25:10 → 00:25:14 ตกใจกันไปนะคะกินได้ปกติแต่ว่าก็เราต้อง
00:25:14 → 00:25:18 ระวังตัวเองด้วยเนาะแล้วก็ทั้งในส่วนของ
00:25:18 → 00:25:23 ทางโรงเลี้ยงเองคนเลี้ยงฟาร์มหมูเออแล้ว
00:25:23 → 00:25:25 ก็โรงฆ่าสัตว์หรืออะไรเงี้ย
00:25:25 → 00:25:28 ปลายน้ำเลยว่าถ้าเกิดว่ามันเป็นระบบที่
00:25:28 → 00:25:31 ป้องกันและก็ดูแลอย่างเต็มที่มีความรับ
00:25:31 → 00:25:33 ผิดชอบต้องบอกว่ามีความรับผิดชอบต่อสังคม
00:25:33 → 00:25:36 ทั้งหมดแล้วเนี่ยผมว่าปัญหาเหล่านี้ก็จะ
00:25:36 → 00:25:37 ไม่เกิดขึ้น
00:25:37 → 00:25:40 ก็อันนี้ช่วยด้วยกันเพราะฉะนั้นมันก็เป็น
00:25:40 → 00:25:43 แบบสิ่งที่ภัยเงียบอย่างหนึ่งเพราะเรามอง
00:25:43 → 00:25:46 ไม่เห็นเพราะเชื่อมองเชื้อไม่เห็นด้วยมัน
00:25:46 → 00:25:47 ไม่ได้เหมือนแบบ
00:25:47 → 00:25:50 พยาธิตืดหมูที่ออกมาเป็นเม็ดสาคูอะไร
00:25:50 → 00:25:53 อย่างนี้ให้ขนลุกแต่ก็ต้องบอกว่าสิ่งที่
00:25:53 → 00:25:56 ต้องฝากไว้ก็คือว่าเราเราพยายามกินเนื้อ
00:25:56 → 00:25:59 หมูที่ผ่านการปรุงจนสุกแล้วนะครับเวลาที่
00:25:59 → 00:26:01 เราสัมผัสไม่ว่าจะเป็นอะไรก็แล้วแต่อาจจะ
00:26:01 → 00:26:04 ไม่ใช่แค่เชื้อตัวนี้ตัวเดียวเราก็ต้องมี
00:26:04 → 00:26:06 การทำความสะอาดมีการล้างมือล้างไม้หลัง
00:26:06 → 00:26:11 จากที่เราเราสัมผัสกับทุกอย่างนะเพราะว่า
00:26:11 → 00:26:13 มันเป็นการป้องกันมันไม่ใช่แค่ป้องกันโรค
00:26:13 → 00:26:15 ไข้หูดับแต่ในการป้องกันการติดเชื้อ
00:26:15 → 00:26:17 แบคทีเรียหรือป้องกันโรคต่างๆที่มันจะ
00:26:17 → 00:26:20 เข้ามาในร่างกายเราทางผ่านทางผิวหนังโดย
00:26:20 → 00:26:23 การสัมผัสแล้วก็โดยการกินทุกอย่างนะครับ
00:26:23 → 00:26:27 อันนี้ก็เป็นแนวทางเอาไว้นะคะก็จะได้ไม่
00:26:27 → 00:26:29 ต้องไปเสี่ยงเป็นโรคนั้นโรคนี้นะคะอย่าไป
00:26:29 → 00:26:32 เสี่ยงเลยดีกว่านะคะแต่ถ้าถ้า
00:26:32 → 00:26:37 อืมรถละเลี่ยงได้ก็ลองเลี้ยงดูเพราะว่า
00:26:37 → 00:26:39 บางคนเขาอาจจะชอบจริงๆอันนี้ไม่ว่ากันนะ
00:26:39 → 00:26:42 คะก็ได้ความรู้กันสำหรับเรื่องของโรคไข้
00:26:42 → 00:26:45 หูดับนะคะมีจากหมูนั่นเองนะคะขอบคุณ
00:26:45 → 00:26:48 อาจารย์โอมค่ะขอบคุณค่ะสวัสดีครับหมดเวลา
00:26:48 → 00:26:50 แล้วค่ะคุณผู้ฟังพบกันใหม่ครั้งหน้ากับ
00:26:50 → 00:26:53 รายการโรงหมอทาง Thai PBS podcast นะคะ
00:26:53 → 00:26:55 วันนี้หมดเวลาแล้วขอบคุณที่ติดตามรับฟัง
00:26:55 → 00:26:58 ลาไปก่อนนะคะสวัสดีค่ะ
00:26:58 → 00:26:59 [เพลง]
00:26:59 → 00:27:03 มีหมายถึงอะไรแล้วทำไมจึงมีผลต่อการยอม
00:27:03 → 00:27:06 รับสถานะการเป็นคู่ครองที่มีต่อสังคมผู้
00:27:06 → 00:27:09 ช่วยศาสตราจารย์ดรจันวิภาดิลกสัมพันธ์ผู้
00:27:09 → 00:27:11 เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์และครอบครัวมา
00:27:11 → 00:27:12 เล่าให้ฟังครับ
00:27:12 → 00:27:15 ถ้าแต่งงานเนี่ยเราใฝ่ฝันไหมว่าที่สามี
00:27:15 → 00:27:17 เราจะต้องมีเมีย 2 เมีย 3 เมีย 4 เนี่ย
00:27:17 → 00:27:20 สามีก็คงไม่ได้คิดว่าถ้าฉันมีภรรยาแล้ว
00:27:20 → 00:27:23 ภรรยาฉันจะมีสามีฉันจะเป็นเบอร์ 1 แล้วจะ
00:27:23 → 00:27:25 มีสามีเบอร์ 2 เบอร์ 3 เบอร์ 4 เขาก็อยาก
00:27:25 → 00:27:28 จะเป็นชายเดียวในใจของภรรยาเขาเหมือนกัน
00:27:28 → 00:27:31 เพราะฉะนั้นตรงเนี้ยถ้าคำถามบอกว่ายังมี
00:27:31 → 00:27:34 ไหมในยุคนี้อาจารย์วิภาก็จะยืนยันว่ายัง
00:27:34 → 00:27:37 มีอยู่คนที่จะไม่พารู้จักเขาอย่างดีเนี่ย
00:27:37 → 00:27:40 หลายครอบครัวที่เขาก็ยังเป็นลักษณะนี้คน
00:27:40 → 00:27:43 ในยุคปัจจุบันถึงแม้จะมีในเรื่องของความ
00:27:43 → 00:27:46 รักที่เปิดเผยมากขึ้นฟรีมากขึ้นอะไรต่างๆ
00:27:46 → 00:27:49 เหล่านี้นะคะก็ยังอยากจะเป็นหนึ่งเดียว
00:27:49 → 00:27:52 ถูกไหม monogrammy เนี่ยนะคะถ้าจะแปลเป็น
00:27:52 → 00:27:54 ภาษาไทยง่ายๆก็คือบอกกันรักเดียวใจเดียว
00:27:54 → 00:27:57 นั่นแหละ 18 ตรงตัวเพราะว่าในความหมายนี้
00:27:57 → 00:28:01 มันจะมีความหมายไม่ว่าจะในทางสังคมในทาง
00:28:01 → 00:28:04 คนนมเนียนประเพณีในทางกฎหมายนะคะหรือแม้
00:28:04 → 00:28:07 แต่ในทางเศรษฐกิจในยุคปัจจุบันเนี่ยเรา
00:28:07 → 00:28:09 ถือว่า monogrammy คือการรักเดียวใจเดียว
00:28:09 → 00:28:11 หรือการโพเดียมเมียเดียวอะไรอย่างนี้ละ
00:28:11 → 00:28:15 กันนะฮะเป็นสิ่งที่มีคุณค่าในทุกมิตินะฮะ
00:28:15 → 00:28:19 มิติก็คือการรับรู้ของสังคมนะฮะในแง่ของ
00:28:19 → 00:28:23 ขนบธรรมเนียมประเพณีนะคะในแง่ของกฎหมายใน
00:28:23 → 00:28:26 แง่ของภาวะเศรษฐกิจไม่ว่าจะศาสนาไหน
00:28:26 → 00:28:29 วัฒนธรรมไหนขนบธรรมเนียมประเพณีไหนล้วน
00:28:29 → 00:28:32 แต่ยอมรับในยุคนี้นะคะก็รู้ตั้งแต่ยอมรับ
00:28:32 → 00:28:35 ในเรื่องของ monogrammy กันแต่อันนี้จะ
00:28:35 → 00:28:38 ไม่พาไม่ได้ว่าทั่วโลกเพราะจากผลการวิจัย
00:28:38 → 00:28:41 เลยจะพบว่ามันมีกลุ่มสังคมกลุ่มย่อยหรือ
00:28:41 → 00:28:44 ที่เขามีรากฐานมาจากดั้งเดิมเนี่ยเขาก็จะ
00:28:44 → 00:28:47 เป็นอีกแบบหนึ่งนะฮะแต่ส่วนใหญ่
00:28:47 → 00:28:49 นี่เราพูดถึงส่วนใหญ่ยังเป็นที่ยอมรับกัน
00:28:49 → 00:28:52 อยู่ถือว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าและส่งคุณ
00:28:52 → 00:28:55 ค่า
00:28:55 → 00:29:00 This Is Choice PBS
00:29:00 → 00:29:03 ติดตามรายการทางเว็บไซต์และ Application
00:29:03 → 00:29:06 ของไทย pdassport card spotify
00:29:06 → 00:29:09 soundcloud google podcast Apple
00:29:09 → 00:29:12 podcast และ YouTube Channel Thai PBS
00:29:12 → 00:29:18 portcast Thai PBS beautiful
00:29:18 → 00:29:23 [เพลง]