00:00:00 → 00:00:04 [เพลง]
00:00:05 → 00:00:09 สวัสดีครับผมวีระพงษ์ทวีศักดิ์และนี่คือ
00:00:09 → 00:00:11 ศัลยกรรมความสุข
00:00:12 → 00:00:39 [เพลง]
00:00:39 → 00:00:42 หรือฝั่งครับเมื่อเร็วๆนี้ผมมีโอกาสไป
00:00:42 → 00:00:46 เรียนรู้บางวิชานะครับผ่านทางออนไลน์นะ
00:00:46 → 00:00:50 ครับระหว่างนั้นก็คุณครูก็สอนไปนะใน
00:00:50 → 00:00:51 ออนไลน์
00:00:51 → 00:00:54 เรื่องบางเรื่องเนี่ยเราก็ไม่ค่อยเข้าใจ
00:00:54 → 00:00:58 นะครับไม่เข้าใจแต่ว่าเราก็ไม่ได้ถามนะ
00:00:58 → 00:01:01 ครับไม่ได้ถามหลังจากนั้น
00:01:01 → 00:01:05 ผ่านไปอีก 2 วันนะครับก็มีโอกาสได้พูดคุย
00:01:05 → 00:01:14 กับคุณครู
00:01:14 → 00:01:19 คุณครูเขาก็บอกผมบอกว่าอ้าววันก่อนนั้น
00:01:19 → 00:01:21 เรียนตอนเรียนไม่เข้าใจแล้วทำไมไม่ถามล่ะ
00:01:21 → 00:01:25 ผมก็เออทำไมไม่ถามอ่ะผมก็เลยบอกว่าจริงๆ
00:01:25 → 00:01:28 แล้วเนี่ยที่ไม่ถามตอนนั้นเนี่ยเป็นเพราะ
00:01:28 → 00:01:30 ว่าผมอาจจะมี
00:01:30 → 00:01:33 ทัศนคติบางอย่างก็ได้มั้งว่าเวลาที่เรียน
00:01:33 → 00:01:35 แล้วถ้าเกิดว่าเราไม่เข้าใจแล้วเราถาม
00:01:35 → 00:01:38 เนี่ยมันอาจจะเหมือนกับว่าเราโง่หรือ
00:01:38 → 00:01:41 เปล่าอะไรอย่างนี้นะแต่คุณครูบอกว่าจริงๆ
00:01:41 → 00:01:45 แล้วไม่ใช่ถ้าเราไม่เข้าใจไม่ได้แปลว่า
00:01:45 → 00:01:46 โง่
00:01:46 → 00:01:50 [เพลง]
00:01:50 → 00:01:52 ใช่แล้วครับคุณผู้ฟังครับโอ้โหอันนี้เป็น
00:01:52 → 00:01:55 ทัศนคติผมเชื่อว่านะการที่เราเรียนอะไร
00:01:55 → 00:01:58 บางอย่างแล้วเราไม่เข้าใจเนี่ยแล้วเราก็
00:01:58 → 00:02:02 ไม่กล้าถามเนี่ยน่าจะเป็นเพราะว่าเราอาจ
00:02:02 → 00:02:05 จะมีทัศนคติหรือมีวิธีคิดบางอย่างที่ไม่
00:02:05 → 00:02:07 ถูกต้องนักใช่ไหมครับ
00:02:07 → 00:02:08 เพราะเราจะคิดว่า
00:02:08 → 00:02:12 เวลาที่เราเรียนอะไรบางอย่างแล้วเราก็ถาม
00:02:12 → 00:02:13 ถามเสร็จแล้ว
00:02:13 → 00:02:17 ครูก็อาจจะบอกว่าเธอไม่ตั้งใจเรียนหรือ
00:02:17 → 00:02:20 เปล่านะ 1 อันที่ 1 นะหรืออาจจะโดนเพื่อน
00:02:20 → 00:02:23 ๆมองว่าอ้าวโง่นี่
00:02:23 → 00:02:27 แต่ที่จริงแล้วสิ่งที่ครูบอกว่าไม่เข้าใจ
00:02:27 → 00:02:30 ไม่เข้าใจไม่ได้แปลว่าโง่เนี่ยจริงๆแล้ว
00:02:30 → 00:02:32 มันเป็นเรื่องถูกต้องเลยนะครับ
00:02:32 → 00:02:36 มันจะให้ผมนึกถึงเรื่องๆนึงในสมัยตอนที่
00:02:36 → 00:02:39 ผมเป็นเด็กครับคุณผู้ฟังตอนนั้นผมจำได้
00:02:39 → 00:02:42 เลยว่าผมเรียนประถมประถมปลายนะครับแล้ว
00:02:42 → 00:02:45 มันมีวิชาหนึ่งเป็นวิชาภาษาอังกฤษครับใน
00:02:45 → 00:02:48 วิชาภาษาอังกฤษเนี่ยเวลาเขามีทำข้อสอบใช่
00:02:48 → 00:02:50 ไหมครับเขาก็จะมี
00:02:50 → 00:02:52 เป็น
00:02:52 → 00:02:56 ข้อสอบที่ให้เติมคำในช่องว่างนะครับ
00:02:56 → 00:03:00 แล้วผมยังจำได้เลยว่าโจทย์เขาบอกว่าให้
00:03:00 → 00:03:04 เติมเขาจะมีประโยคมาให้ 10 ประโยคนะฮะ 1
00:03:04 → 00:03:06 ประโยค 2 ประโยค 10 ประโยคเนี่ยประโยคนี้
00:03:06 → 00:03:10 ก็จะมีคำเป็นภาษาอังกฤษพอไปถึงจุดนึงปุ๊บ
00:03:10 → 00:03:13 แล้วเขาก็จะมีจุดไข่ปลาจุดจุดจุดเราก็มี
00:03:13 → 00:03:17 หน้าที่ต้องเอาคำเนี่ยเติมลงไปในช่องว่าง
00:03:17 → 00:03:20 ตรงนั้นนะครับอันนี้เป็นข้อสอบ 10 ข้อก็
00:03:20 → 00:03:23 คือเติมคำในช่องว่างเนี่ยนะครับแต่โจทย์
00:03:23 → 00:03:26 เขาบอกว่าสิ่งที่เราจะต้องเติมเข้าไปใน
00:03:26 → 00:03:29 ช่องว่างนั้นเนี่ยก็คือเติมคำเติม verb
00:03:29 → 00:03:33 to be เข้าไปแล้วเขาก็เว้นช่องไว้เรามี
00:03:33 → 00:03:35 หน้าที่เติม verb to be เข้าไปในนั้นนะ
00:03:35 → 00:03:37 ฮะตอนนั้นเนี่ยตอนที่ผมเรียนผมก็เข้าใจนะ
00:03:37 → 00:03:40 ครับว่าให้เติม verb to be นี่หมายความ
00:03:40 → 00:03:42 ว่าอะไร verb to be เนี่ยเราเรียนมา
00:03:42 → 00:03:45 แล้วใช่ไหมครับก็คือ verb to be ก็
00:03:45 → 00:03:48 ประกอบไปด้วย is am are was World
00:03:48 → 00:03:51 อันนี้ขออนุญาตทบทวนความรู้ภาษาอังกฤษใน
00:03:51 → 00:03:54 สมัยประถมนิดนึงนะครับ verb to be นะก็
00:03:54 → 00:03:58 มี IS
00:03:58 → 00:04:02 แล้วก็มีหน้าที่เติมเข้าไป 5 คำนี้นะ
00:04:02 → 00:04:05 เราก็ดูดูจากรูปประโยคแล้วเราก็นี่น่าจะ
00:04:05 → 00:04:08 เป็น IS นี่น่าจะเป็นแอมนี่จะเป็น R อะไร
00:04:08 → 00:04:12 ก็ว่าไปพอเติมเสร็จเรียบร้อยหลังจากนั้น
00:04:12 → 00:04:16 จบครับผ่านไปเนี่ยพอสอบเสร็จแล้วเนี่ยนะ
00:04:16 → 00:04:19 ครับมีเพื่อนคนหนึ่งครับมาถามผมบอกว่า
00:04:19 → 00:04:23 เฮ้ยเนี่ยอยากรู้มากเลยว่าผมอ่ะเติมอะไร
00:04:23 → 00:04:27 นะครับเขามาถามเพราะว่าเขาไม่เข้าใจเขา
00:04:27 → 00:04:30 ไม่เข้าใจแล้วเขาก็ไม่รู้แล้วเขาก็เลย
00:04:30 → 00:04:32 เติมเข้าไปเนี่ยเพราะผมมาดู
00:04:32 → 00:04:35 คำตอบของเขานะครับคุณผู้ฟังอันนี้หลังจาก
00:04:35 → 00:04:38 สอบผ่านไปเรียบร้อยแล้วนะผมก็มาดูคำตอบ
00:04:38 → 00:04:39 เขาเนี่ย
00:04:39 → 00:04:43 โจทย์บอกว่าให้เติม verb to be แล้วเรา
00:04:43 → 00:04:45 ก็เข้าใจว่า verb to be นี้ก็มาประกอบ
00:04:45 → 00:04:48 ไปด้วย is am are Wash ใช่ไหมครับแต่
00:04:48 → 00:04:51 เพื่อนเนี่ยเขาเรียนภาษาอังกฤษน่าจะไม่
00:04:51 → 00:04:53 รู้เรื่องแล้วเขาก็ไม่เข้าใจอ่ะ
00:04:53 → 00:04:55 สิ่งที่เขาเติมในช่องว่างเนี่ย
00:04:55 → 00:04:57 ก็โจทย์บอกให้เติมเวิร์ค To Be ใช่ไหม
00:04:57 → 00:05:00 ครับสิ่งที่เพื่อนผมเติมเข้าไปในช่องว่าง
00:05:00 → 00:05:03 เนี่ยบางช่องเขาก็เติมคำว่าเวิร์ค
00:05:03 → 00:05:06 บางช่องเขาก็เติมคำว่าถูก
00:05:06 → 00:05:11 บางช่องเขาก็เติมคำว่า B นะฮะคือเขาเอาคำ
00:05:11 → 00:05:15 ว่า Verb to หรือ B เติมเข้าไปในช่อง
00:05:15 → 00:05:20 ว่างเลยครับโดยที่แล้วก็บอกเฮ้ยไม่ใช่เขา
00:05:20 → 00:05:22 ไม่ได้หมายความว่าเอาคำว่า verb to be
00:05:22 → 00:05:26 นะแต่เขาหมายความว่าเอา verb to be
00:05:26 → 00:05:29 เติมเข้าไปซึ่งต้องอธิบายดูนานมากครับคุณ
00:05:29 → 00:05:32 ผู้ฟังว่า verb to be เนี่ยมันประกอบไป
00:05:32 → 00:05:35 ด้วยอะไรๆเนี่ยอธิบายอยู่นานละเรื่องนี้
00:05:35 → 00:05:39 มันทำให้ผมนึกย้อนกลับมาเพราะว่าครูที่
00:05:39 → 00:05:42 พึ่งบอกผมเมื่อไม่นานนี้บอกว่าไม่เข้าใจ
00:05:42 → 00:05:45 เนี่ยไม่ได้แปลว่าโง่เนี่ย
00:05:45 → 00:05:49 มันนึกถึงเพื่อนคนนี้เลยครับว่า
00:05:49 → 00:05:52 เขาไม่เข้าใจก็เพราะว่าเขาไม่เข้าใจ
00:05:52 → 00:05:55 แล้วเขาเขาเรียนไม่เข้าใจแต่ไม่ได้แปลว่า
00:05:55 → 00:05:59 เขาโง่ครับเพราะในความเป็นจริงพอเวลาผ่าน
00:05:59 → 00:06:03 ไปเนี่ยคุณผู้ฟังมาทำให้ผมเห็นเลยว่าโห
00:06:03 → 00:06:06 ไอ้ความที่เขาไม่เข้าใจเนี่ย
00:06:06 → 00:06:11 แล้วเราต้องอธิบายอยู่นานมากเขาถึงจะเข้า
00:06:11 → 00:06:14 ใจเนี่ยมันเป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์มาก
00:06:15 → 00:06:17 ๆเลยครับนอกจากจะไม่โง่แล้วมันกลายเป็น
00:06:17 → 00:06:20 เรื่องดีด้วยนะครับคุณผู้ฟังเพราะว่า
00:06:20 → 00:06:24 ปัจจุบันนี้เพื่อนคนนั้นเนี่ยปัจจุบันนี้
00:06:24 → 00:06:30 นะครับเขาเป็นครูแล้วเป็นครูสอนภาษา
00:06:30 → 00:06:32 อังกฤษ
00:06:32 → 00:06:35 แล้วยิ่งไปกว่านั้นนะครับคุณผู้ฟังเขา
00:06:35 → 00:06:41 เป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่นักเรียนทุกคนรัก
00:06:42 → 00:06:43 เขามากๆเลยครับ
00:06:44 → 00:06:48 เขาสอนแบบดีมากแล้วนักเรียนรักเขามากๆผม
00:06:48 → 00:06:51 ก็เคยมีโอกาสไปคุยกับเขาเนี่ยนะแล้วก็บอก
00:06:51 → 00:06:57 ว่าเกิดอะไรขึ้นนะเขาบอกว่ารู้ไหมว่าสิ่ง
00:06:57 → 00:07:01 ที่เกิดขึ้นกับชีวิตเขาแล้วทำให้เขาเป็น
00:07:01 → 00:07:03 ครูสอนภาษาอังกฤษแล้วเป็นครูสอนภาษา
00:07:03 → 00:07:06 อังกฤษที่นักเรียนรักมากๆเนี่ย
00:07:06 → 00:07:10 เป็นเพราะว่าสมัยตอนที่เขาเป็นเด็กเขา
00:07:10 → 00:07:12 เรียนภาษาอังกฤษเนี่ยเขาไม่ค่อยเข้าใจ
00:07:12 → 00:07:14 แล้วกว่าที่เขาจะเข้าใจเนี่ยเขาต้องใช้
00:07:14 → 00:07:16 ความพยายามมากเลย
00:07:16 → 00:07:21 แล้วคุณครูหรือว่าเพื่อนๆเนี่ยต้องช่วย
00:07:21 → 00:07:25 กันอธิบายอย่างมากเลยถึงจะทำให้เขาเข้าใจ
00:07:25 → 00:07:27 แล้วก็บอกว่าสิ่งแรกที่ทำให้มีประโยชน์
00:07:27 → 00:07:32 กับเขามากนะก็คือมันทำให้เขาไม่มันทำให้
00:07:32 → 00:07:34 เขาเข้าใจว่าเวลาที่เด็กไม่เข้าใจเป็นยัง
00:07:34 → 00:07:38 ไงก็คือผมว่าอันนี้เป็นเรื่องสำคัญมากนะ
00:07:38 → 00:07:42 ครับและเป็นข้อยืนยันมากเลยครับว่าไม่
00:07:42 → 00:07:46 เข้าใจไม่ได้แปลว่าโง่ครับไม่เข้าใจก็แปล
00:07:46 → 00:07:49 ว่าไม่เข้าใจแต่ว่าการที่คนบางคนจะเข้าใจ
00:07:49 → 00:07:53 อะไรบางอย่างยากนิดนึงหรือช้านิดนึงหรือ
00:07:53 → 00:07:55 ต้องอธิบายนิดนึงเป็นเรื่องปกติเพราะมัน
00:07:55 → 00:07:57 ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลักหลายมากแต่ไม่
00:07:57 → 00:08:00 ได้แปลว่าโง่แต่มันเป็นข้อดีคือ
00:08:00 → 00:08:05 มันทำให้เขาเกิดความเข้าใจว่าคนที่เรียน
00:08:05 → 00:08:07 ไม่เข้าใจเป็นยังไง
00:08:07 → 00:08:11 แล้วมันทำให้เขาเกิดความเข้าใจเด็กนัก
00:08:11 → 00:08:13 เรียนนะครับอันนี้นี่คือสาเหตุที่ทำให้
00:08:13 → 00:08:16 ทุกวันนี้เขาเป็นครูสอนภาษาอังกฤษที่เด็ก
00:08:16 → 00:08:21 ๆรักเขามากเพราะเขามีความเข้าใจเด็กว่า
00:08:21 → 00:08:24 เวลาที่ไม่เข้าใจเนี่ยเป็นยังไง
00:08:24 → 00:08:28 แล้วเขาก็จะทำแบบเดียวกับที่ครูทำกับเขา
00:08:28 → 00:08:31 สมัยก่อนตอนที่เขาเป็นเด็ก
00:08:31 → 00:08:35 คือครูจะมีความพยายามในการอธิบาย
00:08:35 → 00:08:39 แล้วสิ่งที่สำคัญที่สุดที่ครูส่งมอบให้
00:08:39 → 00:08:41 กับเขาตั้งแต่ตอนที่เขาเป็นเด็กนะครับ
00:08:41 → 00:08:43 สำคัญที่สุดไม่ใช่ความรู้ภาษาอังกฤษนะ
00:08:43 → 00:08:44 ครับ
00:08:44 → 00:08:46 สำคัญที่สุดก็คือ
00:08:46 → 00:08:51 ทัศนคติที่มีต่อเด็กนักเรียนที่ไม่เข้าใจ
00:08:51 → 00:08:54 ทัศนคติที่ว่านี้ก็คือนี่แหละครับทัศนคติ
00:08:54 → 00:08:59 ที่บอกว่าไม่เข้าใจไม่ได้แปลว่าโง่ครับก็
00:08:59 → 00:09:02 ไม่เข้าใจก็แปลว่าไม่เข้าใจแล้วการที่
00:09:02 → 00:09:04 เด็กไม่เข้าใจและบอกว่าไม่เข้าใจเนี่ยเขา
00:09:04 → 00:09:07 บอกว่าอันนี้เป็นเรื่องดีครับ
00:09:07 → 00:09:11 เป็นเรื่องดีแต่ว่าเด็กที่ไม่เข้าใจแล้ว
00:09:11 → 00:09:14 จะกล้าบอกว่าไม่เข้าใจเนี่ยก็ขึ้นอยู่กับ
00:09:14 → 00:09:18 ทัศนคติและท่าทีของคุณครูนะครับถ้าคุณครู
00:09:18 → 00:09:22 แบบว่าอธิบายเท่าไหร่เด็กก็ไม่เข้าใจแล้ว
00:09:22 → 00:09:25 คุณครูก็เกรี้ยวกราดเนี่ยโอ้โหอันนี้มัน
00:09:25 → 00:09:28 จะทำให้เด็กเนี่ยอาการหนักขึ้นนะครับเด็ก
00:09:28 → 00:09:31 ก็จะกลัวขึ้นกังวลขึ้นแต่ถ้าเกิดว่า
00:09:31 → 00:09:35 ทัศนคติของครูที่มีที่บอกว่าไม่เข้าใจไม่
00:09:35 → 00:09:37 ได้แปลว่าโง่เนี่ยมักจะทำให้เด็กเนี่ย
00:09:37 → 00:09:40 ผ่อนคลายแล้วก็กล้าที่จะบอกว่าไม่เข้าใจ
00:09:40 → 00:09:45 แล้วครูก็จะมีความพยายามมากขึ้นแต่ครูคน
00:09:45 → 00:09:48 นี้ซึ่งเป็นเพื่อนผมเนี่ยที่สมัยก่อนเขา
00:09:48 → 00:09:52 เข้าใจอะไรยากๆเนี่ยข้อดีก็คือมันทำให้
00:09:52 → 00:09:55 เขาเข้าใจคนที่ไม่เข้าใจ
00:09:55 → 00:09:59 แต่คุณผู้ฟังครับคำพูดที่ว่าไม่เข้าใจไม่
00:09:59 → 00:10:02 ได้แปลว่าโง่เนี่ยมันเป็นสถานการณ์ที่ไม่
00:10:02 → 00:10:06 ได้เกิดขึ้นเฉพาะในโรงเรียนหรือว่าในเวลา
00:10:06 → 00:10:08 ที่เราเรียนอะไรแล้วไม่เข้าใจเท่านั้นนะ
00:10:08 → 00:10:13 ครับมันยังเกิดขึ้นกับสถานการณ์อีกหลาก
00:10:13 → 00:10:17 หลายในชีวิตเดี๋ยวช่วงนี้เราจะพักฟังเพลง
00:10:17 → 00:10:20 สักครู่นะครับแล้วเราจะมาดูซิว่าไอ้ที่
00:10:20 → 00:10:22 ว่าไม่เข้าใจไม่ได้แปลว่าโง่เนี่ยมันไม่
00:10:22 → 00:10:24 ได้เกิดขึ้นในโรงเรียนอย่างเดียวแล้วมัน
00:10:24 → 00:10:27 เกิดขึ้นที่ไหนได้อีกในชีวิตประจำวันที่
00:10:27 → 00:10:30 ถ้าเราไม่เข้าใจแล้วเราจะเครียดแล้วก็
00:10:30 → 00:10:34 กังวลแล้วก็ถูกช่วงนี้พักสักครู่ครับ
00:10:34 → 00:12:44 [เพลง]
00:12:44 → 00:12:47 [ปรบมือ]
00:12:47 → 00:12:56 [เพลง]
00:14:16 → 00:14:19 ครับคุณผู้ฟังเรามาพบกับช่วงที่ 2 นะครับ
00:14:19 → 00:14:22 ของ podcast ในตอนนี้เนี่ยที่มีชื่อตอน
00:14:22 → 00:14:25 ว่าไม่เข้าใจไม่ได้แปลว่าโง่ครับซึ่ง
00:14:25 → 00:14:29 เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากเลยครับ
00:14:30 → 00:14:33 คุณผู้ฟังหลายครั้งทำให้ความเข้าใจคลาด
00:14:33 → 00:14:36 เคลื่อนในเรื่องนี้เนี่ยหลายครั้งทำให้คน
00:14:36 → 00:14:41 บางคนเนี่ยจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่
00:14:41 → 00:14:45 เรียกว่ากลืนไม่เข้าข่ายไม่ออกนะครับคือ
00:14:45 → 00:14:49 พูดง่ายๆว่าทั้งสองฝ่ายนะครับคนที่เป็น
00:14:49 → 00:14:54 ฝ่ายโดนตำหนิว่าโง่ก็อึดอัดทุกข์ใจนะครับ
00:14:54 → 00:14:58 ส่วนคนที่เป็นคนตำหนิเขาก็ร้อนรูปไม่แพ้
00:14:58 → 00:15:01 กันนะครับเพราะฉะนั้นถ้าเราปรับทัศนคติ
00:15:01 → 00:15:05 เรื่องนี้ได้นี่นะครับคุณผู้ฟังจะเป็นผล
00:15:05 → 00:15:10 ดีต่อต่อทั้งสองฝ่ายต่อทั้งฝ่ายที่โดน
00:15:10 → 00:15:12 กล่าวหาและก็ฝ่ายที่ไปกล่าวหาเขานะครับ
00:15:12 → 00:15:15 แล้วอย่างที่ผมบอกแล้วนะครับว่าในความ
00:15:15 → 00:15:17 เป็นจริงแล้วสถานการณ์เรื่องนี้เนี่ยครับ
00:15:17 → 00:15:20 คุณผู้ฟังมันไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะใน
00:15:20 → 00:15:24 แวดวงของโรงเรียนเท่านั้นนะครับที่จริง
00:15:24 → 00:15:28 แล้วในเรื่องของการทำงานในเรื่องของการ
00:15:28 → 00:15:33 สอนงานลูกน้องในเรื่องของการบริหารงานใน
00:15:33 → 00:15:36 แง่ของการทำงานเนี่ยก็มีหัวหน้ามีเจ้านาย
00:15:36 → 00:15:40 มีลูกน้องมีผู้บริหารมีผู้ใต้บังคับบัญชา
00:15:40 → 00:15:45 เราจะเห็นตลอดเวลาว่าในการทำงานเนี่ยหลาย
00:15:45 → 00:15:46 ครั้งครับ
00:15:46 → 00:15:49 มันมีเรื่องราวใหม่ๆเกิดขึ้นหรือว่ามันมี
00:15:49 → 00:15:53 เทคโนโลยีใหม่ๆเกิดขึ้นหรือแม้กระทั่งใน
00:15:53 → 00:15:54 ยุคปัจจุบันเนี่ยค่ะ
00:15:54 → 00:15:58 เราจะเห็นว่าพอเทคโนโลยีใหม่ๆเกิดขึ้น
00:15:58 → 00:16:04 เนี่ยเราจะพบเลยว่าคนบางคนโดยเฉพาะอย่าง
00:16:04 → 00:16:06 ยิ่งเด็กในยุคใหม่นะครับเขาเกิดมาในยุค
00:16:06 → 00:16:08 ที่
00:16:08 → 00:16:12 พร้อมๆกับเทคโนโลยีเขาก็จะมีความคุ้นเคย
00:16:12 → 00:16:15 กับเทคโนโลยีต่างๆ
00:16:15 → 00:16:19 ในขณะซึ่งคนในบางยุคนะคนในบางช่วงวัยนะ
00:16:19 → 00:16:22 ครับหรือฝั่งเราคุ้นชินกับเรื่องสมัยก่อน
00:16:22 → 00:16:25 ซึ่งต้องส่งจดหมาย
00:16:25 → 00:16:29 ต้องเขียนจดหมายแต่สมัยนี้เด็กสมัยนี้ไม่
00:16:29 → 00:16:31 ต้องเขียนจดหมายแล้วไม่ต้องส่งจดหมายแล้ว
00:16:31 → 00:16:34 อย่างนี้เป็นต้นเขาก็จะส่งอีเมล์เขาจะส่ง
00:16:34 → 00:16:37 Message เขาจะส่งข้อความซึ่งมันสะดวก
00:16:37 → 00:16:39 แล้วก็รวดเร็ว
00:16:39 → 00:16:41 ทันการมากอะไรอย่างนี้เป็นต้นเพราะฉะนั้น
00:16:41 → 00:16:45 พอเราเกิดความแตกต่างมากขึ้นอย่างนี้เรา
00:16:45 → 00:16:51 ก็จะพบว่าคนยุคใหม่ที่เขาเด็กสมัยนี้
00:16:51 → 00:16:54 เนี่ยค่ะคุณผู้ฟังเด็กอนุบาลเด็กประถม
00:16:54 → 00:16:54 เนี่ย
00:16:54 → 00:16:57 เวลาที่เรายื่นโทรศัพท์มือถือให้เขาเนี่ย
00:16:57 → 00:17:01 พอเขาได้มือถือได้โทรศัพท์มือถือเนี่ยเขา
00:17:01 → 00:17:04 ไม่ต้องอ่านคู่มือเลยครับเขาสามารถที่จะ
00:17:04 → 00:17:06 ใช้มันได้ทันที
00:17:06 → 00:17:10 แต่ในขณะซึ่งคนในยุคหนึ่งนะครับเรียกว่า
00:17:10 → 00:17:13 มือถือเนี่ยเป็นสิ่งที่ไม่รู้จักไม่คุ้น
00:17:13 → 00:17:14 เคยเลย
00:17:14 → 00:17:19 ส่งมือถือให้สอนเท่าไหร่ก็ไม่ก็ไม่เข้าใจ
00:17:19 → 00:17:24 นะหรือว่าก็ไม่จำจำไม่ได้หรือใช้อะไรบาง
00:17:24 → 00:17:26 อย่างก็ใช้ไม่เป็นอย่างนี้เป็นต้นเราก็จะ
00:17:26 → 00:17:30 พบว่าความแตกต่างเหล่านี้เนี่ยถ้าเราไม่
00:17:30 → 00:17:31 ปรับ
00:17:32 → 00:17:37 ทัศนคติหรือวิธีคิดว่าคนบางคนถ้าเกิดเขา
00:17:37 → 00:17:39 ไม่เข้าใจอะไรบางอย่างเนี่ยไม่ใช่เป็น
00:17:39 → 00:17:43 เพราะว่าเขาโง่แต่มันเป็นเพราะว่า
00:17:43 → 00:17:46 เขาเกิดมาในยุคไหนหรือว่าเขาคุ้นชินกับ
00:17:46 → 00:17:48 อะไรแบบไหนหรือว่า
00:17:48 → 00:17:53 ความถนัดความชอบมันมีตัวแปรเยอะแยะมากมาย
00:17:53 → 00:17:56 นะครับเพราะฉะนั้นมันก็จะทำให้คนจำนวนมาก
00:17:56 → 00:18:00 นะครับคุณฟังไม่โดนตีตราว่าเป็นคนโง่ใน
00:18:00 → 00:18:02 สังคมในยุคนี้
00:18:02 → 00:18:04 ไม่ว่าเป็นใครไม่ว่าจะเป็นเด็กไม่ว่าจะ
00:18:04 → 00:18:05 เป็นผู้ใหญ่
00:18:05 → 00:18:08 ในฝ่ายเด็กถ้าเกิดเขาจะคุ้นเคยกับ
00:18:08 → 00:18:11 เทคโนโลยีมากเขาก็จะไม่มองว่าผู้ใหญ่
00:18:11 → 00:18:16 ล้าหลังหรือว่าโง่หรือในฝ่ายผู้ใหญ่ก็จะ
00:18:16 → 00:18:18 ไม่มองเด็กว่า
00:18:18 → 00:18:23 ไม่ไม่เห็นคุณค่าของวัฒนธรรมหรือว่าไม่
00:18:23 → 00:18:27 คือเขาไม่เข้าใจอะไรบางอย่างเพราะว่าสมัย
00:18:27 → 00:18:31 นี้เอาง่ายๆนะครับเหมือนกับว่าเด็กบางคน
00:18:31 → 00:18:35 สมัยนี้นะครับการที่เขาจะพูดคำว่าขอบคุณ
00:18:35 → 00:18:39 หรือว่าเห็นคุณค่าของอะไรบางอย่างของ
00:18:39 → 00:18:44 วัฒนธรรมในสมัยเก่าหรือว่าเห็นคุณค่าของ
00:18:44 → 00:18:48 เพลงเก่าๆเห็นคุณค่าของ
00:18:48 → 00:18:52 วัตถุบางอย่างซึ่งมันโบราณมากๆดูแล้วมัน
00:18:52 → 00:18:55 ไม่น่าจะมีประโยชน์หรือมันไม่น่าจะมีคุณ
00:18:55 → 00:18:59 ค่าอะไรเก็บไว้ทำไมน่าจะทิ้งไปดีกว่าอะไร
00:18:59 → 00:19:03 เงี้ยนะคือเพราะอะไรเพราะว่าเขาเกิดมาเขา
00:19:03 → 00:19:05 ก็ไม่รู้จักสิ่งนี้เขาไม่รู้ว่าสิ่งนี้
00:19:05 → 00:19:06 มันมีคุณค่าอะไร
00:19:06 → 00:19:09 หรือว่าเขาก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้มันเอาไว้
00:19:09 → 00:19:10 ใช้ทำอะไร
00:19:10 → 00:19:13 งั้นคุณผู้ฟังครับเราจะเห็นว่าในยุคที่
00:19:13 → 00:19:17 มันมีความเจริญก้าวหน้าไปมาก
00:19:17 → 00:19:20 ทุกคนก็จะมีคำว่า
00:19:20 → 00:19:22 สมัยก่อนของตัวเอง
00:19:22 → 00:19:26 ซึ่งสมัยก่อนของแต่ละคนมันก็ไม่เหมือนกัน
00:19:26 → 00:19:29 ในยุคนึงที่บอกว่า
00:19:29 → 00:19:33 ตัวยกตัวอย่างที่ชัดสุดนี้คือเรื่องของ
00:19:33 → 00:19:35 การสื่อสารนะครับ
00:19:35 → 00:19:37 ในสมัยก่อนถ้าจะสื่อสารทีต้องเขียนจดหมาย
00:19:37 → 00:19:40 เขียนแล้วก็ไปส่งส่งเสร็จแล้วก็ใช้เวลา
00:19:40 → 00:19:43 เป็นอาทิตย์กว่าจะได้รับกว่าจะตอบกลับ
00:19:43 → 00:19:45 สมัยนี้
00:19:45 → 00:19:48 จะส่งข้อความถึงใครก็พิมพ์เดี๋ยวนี้เลย
00:19:48 → 00:19:52 ครับแล้วก็ส่งผ่านมือถือตัวเองส่งปั๊บ
00:19:52 → 00:19:56 เช็คเดี๋ยวนั้นเลยว่าอ่านหรือยังแล้วก็
00:19:56 → 00:19:59 อ่านแล้วทำไมไม่ตอบหรือว่าเวลาที่เขาจะ
00:19:59 → 00:20:02 ตอบเขาก็ไม่ตอบเป็นข้อความอีกแล้วสมัยนี้
00:20:03 → 00:20:05 เขาก็ตอบเป็นสติกเกอร์อย่างนี้แล้วเขาก็
00:20:05 → 00:20:06 เข้าใจกันแบบนั้น
00:20:06 → 00:20:09 คุณฟังเห็นไหมครับว่าเป็นเรื่องยากมากที่
00:20:09 → 00:20:12 เราจะไปตัดสินใครว่า
00:20:12 → 00:20:17 ทำไมถึงไม่เข้าใจทำไมถึงเข้าใจช้าทำไมถึง
00:20:17 → 00:20:19 โง่ทำไมถึง
00:20:19 → 00:20:22 โบราณทำไมถึง
00:20:22 → 00:20:26 หัวสมัยใหม่ทำไมถึงไม่เห็นคุณค่า
00:20:26 → 00:20:28 เสี่ยงต่างเหล่านี้เนี่ย
00:20:28 → 00:20:32 มันเป็นพลวัตที่มันจะต้องเกิดการพัฒนาไป
00:20:32 → 00:20:35 เรื่อยๆเพียงแต่ว่าสำคัญที่สุดก็คือ
00:20:35 → 00:20:40 ทัศนคติและมุมมองของเราเองที่จะมีต่อ
00:20:40 → 00:20:43 เรื่องราวต่างๆเหล่านั้นแล้วคุณฟังเห็น
00:20:43 → 00:20:46 ไหมครับว่าในตอนที่แล้วในช่วงแรกที่ผม
00:20:46 → 00:20:50 เล่าให้ฟังว่าเพื่อนคนหนึ่งที่เข้าใจอะไร
00:20:50 → 00:20:54 ยากๆภาษาอังกฤษที่เขาไม่เข้าใจเนี่ยสิ่ง
00:20:54 → 00:20:57 นั้นกลับกลายเป็นสิ่งที่มีคุณค่าเพราะมัน
00:20:57 → 00:21:03 ทำให้เขาเข้าใจคนที่เข้าใจอะไรยากๆ
00:21:03 → 00:21:08 เห็นไหมครับว่าสิ่งที่เราเจอไม่ว่าเราจะ
00:21:08 → 00:21:13 คุ้นชินหรือไม่ไม่ว่าเราจะชอบหรือไม่
00:21:13 → 00:21:17 แต่ถ้าเราสังเกตดูอย่างดีๆเราจะพบว่าทุก
00:21:17 → 00:21:20 เรื่องราวที่เราได้เจอนั้นเนี่ยมันมีแง่
00:21:20 → 00:21:24 มุมที่ทำให้เกิดประโยชน์กับเราเสมอ
00:21:24 → 00:21:28 เพราะฉะนั้นสำหรับผมในเรื่องนี้นะครับคุณ
00:21:28 → 00:21:31 สามารถทำให้เราเป็นคนที่
00:21:31 → 00:21:36 ไวต่อความรู้สึกของคนรอบข้างเวลาที่เรา
00:21:36 → 00:21:38 เจอสถานการณ์บางอย่างเราจะไวต่อความรู้
00:21:38 → 00:21:41 สึกของเขาแต่ว่าเราจะ
00:21:41 → 00:21:48 ช้าต่อการที่เราจะไปพิจารณาตัดสินใครเวลา
00:21:48 → 00:21:51 ที่เราเห็นคนคนนึงมีพฤติกรรมอะไรบางอย่าง
00:21:51 → 00:21:55 ต่อเนื่องใดเรื่องหนึ่งเราจะต้องไหวต่อ
00:21:55 → 00:21:58 ความรู้สึกที่เขามี
00:21:58 → 00:22:02 แล้วเราจะทำให้เราเข้าใจความรู้สึกเขาแต่
00:22:02 → 00:22:06 ว่าเราจะต้องช้าในการที่เราจะไปพิจารณา
00:22:06 → 00:22:08 ตัดสินคนว่า
00:22:08 → 00:22:10 ไอ้คนนี้ทำไมถึง
00:22:10 → 00:22:14 โง่คนนี้ทำไมถึงฉลาดคนนี้ทำไมถึงดีคนนี้
00:22:14 → 00:22:16 ทำไมถึงเลว
00:22:16 → 00:22:19 เราจะเห็นว่าสมัยนี้นะเวลาที่มันมีเรื่อง
00:22:19 → 00:22:23 ในโซเชียลมีเดียสมัยนี้มันแพร่กระจายไป
00:22:23 → 00:22:27 เร็วมากใช่ไหมครับและมันทำให้เราเนี่ยตัด
00:22:27 → 00:22:31 สินคนเร็วมากพอเราเห็นข่าวข่าวนึงปุ๊บเรา
00:22:31 → 00:22:33 ก็ตัดสินไปเรียบร้อยแล้วพอเราตัดสินไป
00:22:33 → 00:22:35 เรียบร้อยแล้วเราก็ comment ไปเรียบร้อย
00:22:35 → 00:22:38 แล้ว comment ไปเรียบร้อยเสร็จแล้วเราก็
00:22:38 → 00:22:41 แชร์สิ่งนี้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วมาก
00:22:41 → 00:22:44 ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงเนี่ยเรื่องนั้น
00:22:44 → 00:22:47 แพร่กระจายไปเรียบร้อยคนคนหนึ่งเนี่ย
00:22:47 → 00:22:51 ชีวิตเขาก็ถูกตัดสินไปเรียบร้อย
00:22:51 → 00:22:55 เขาก็รู้สึกเหมือนกับโดนพิพากษาตัดสินไป
00:22:55 → 00:22:57 เรียบร้อยโดนประหารชีวิตไปเรียบร้อยแล้ว
00:22:57 → 00:23:00 หลังจากนั้นภายใน 1 ชั่วโมงถัดไปครับคุณ
00:23:00 → 00:23:04 ผู้ฟังซึ่งในการพลิกครับเพราะว่าเรื่อง
00:23:04 → 00:23:10 ราวมันไม่เป็นแบบที่ตาเราเห็นเสมอไปมันมี
00:23:10 → 00:23:13 เรื่องบางอย่างที่ซ่อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง
00:23:13 → 00:23:15 เสมอไปภาพบางภาพ
00:23:15 → 00:23:18 มันมีเรื่องราวซ้อนอยู่เสมอไปเพราะฉะนั้น
00:23:18 → 00:23:21 คุณผู้ฟังครับ podcast ตอนนี้เนี่ยเริ่ม
00:23:21 → 00:23:24 มาจากที่บอกว่าความไม่เข้าใจไม่ใช่แปลว่า
00:23:24 → 00:23:28 โง่เนี่ยนั่นหมายความว่าเราต้องอย่าด่วน
00:23:28 → 00:23:32 ตัดสินใครว่าเป็นคนโง่เป็นคนฉลาดเป็นคนดี
00:23:33 → 00:23:34 เป็นคนเลว
00:23:34 → 00:23:39 เพราะในสมัยนี้ยิ่งทุกอย่างมันแพร่กระจาย
00:23:39 → 00:23:42 ไปได้เร็วมากขึ้นเท่าไหร่นะครับเรายิ่ง
00:23:42 → 00:23:46 ต้องตัดสินคนให้ช้าลงมากเท่านั้นครับไม่
00:23:46 → 00:23:50 งั้นเราจะกลายเป็นคนที่ไปสร้างความเสีย
00:23:51 → 00:23:54 หายให้กับชีวิตของคนได้อย่างง่ายๆเพียง
00:23:54 → 00:23:58 แค่การคลิก comment หรือว่าการส่งต่อแล้ว
00:23:58 → 00:24:01 สิ่งนั้นมันจะส่งผลกระทบต่อชีวิตคนคน
00:24:01 → 00:24:05 หนึ่งทันทีไปตลอดชีวิตด้วยนะครับเด็กคน
00:24:05 → 00:24:07 หนึ่งที่โดนตราหน้าว่าโง่เนี่ยมันจะทำให้
00:24:07 → 00:24:12 ชีวิตเขาเนี่ยมันจะมีคำๆนั้นมันจะมีผลต่อ
00:24:12 → 00:24:17 ชีวิตเขาเกือบตลอดชีวิตเลยนะครับแล้วการ
00:24:17 → 00:24:20 ที่จะมานั่งแก้ไขนี้เป็นเรื่องยากมากคุณ
00:24:20 → 00:24:22 ผู้ฟังครับในยุคสมัยที่ทุกอย่างเร็วนะ
00:24:22 → 00:24:26 ครับเราต้องไวต่อความรู้สึกของคนครับแต่
00:24:26 → 00:24:31 เราต้องช้าในการที่เราจะไปตัดสินใครว่า
00:24:31 → 00:24:35 เป็นแบบไหนช้าลงนิดนึงครับเราจะได้ไม่
00:24:35 → 00:24:39 เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีที่เรามีส่วนทำให้
00:24:39 → 00:24:42 ชีวิตของใครสักคนนึงเนี่ยเสียหายไปตลอด
00:24:42 → 00:24:43 ชีวิต
00:24:43 → 00:24:47 ศัลยกรรมความสุขรายการที่จะมุ่งเน้นที่จะ
00:24:47 → 00:24:49 แบ่งปันแง่คิดมุมมองในชีวิตที่ทำให้ชีวิต
00:24:49 → 00:24:53 เรามีความสุขมากขึ้นและมีความทุกข์น้อยลง
00:24:53 → 00:24:56 นะครับวันนี้ผมมีลำโพงทวีศักดิ์ต้องลาไป
00:24:56 → 00:25:00 ก่อนนะครับสวัสดีครับ
00:25:00 → 00:25:03 ตามรายการทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่นของ
00:25:03 → 00:25:19 ไทย beautiful
00:25:19 → 00:25:23 [เพลง]