00:00:00 → 00:00:03 This Is tha PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:06 world vi The Voice เพราะภายใต้รอย
00:00:06 → 00:00:08 ยิ้มนั้นเป็นเหมือนกำแพงอ่ะครับกำแพงที่
00:00:08 → 00:00:11 เราคล้ายๆพยายามฉายภาพออกไปเนาะให้ให้ทุก
00:00:11 → 00:00:15 คนรู้สึกว่าเราโอเคเราแข็งแรงดีหรือเรา
00:00:15 → 00:00:17 อาจจะอยากให้คนอื่นไม่ต้องห่วงกังวลหรือ
00:00:17 → 00:00:19 ไม่ต้องมารู้อะไรเกี่ยวกับเราหรอกคุณใช้
00:00:19 → 00:00:21 ชีวิตของคุณให้เบิกบานเถอะอะไรเงี้ยฮะเออ
00:00:21 → 00:00:23 เป็นกำแพงเป็นภาพนั้นแต่จริงๆเรายิ้มให้
00:00:23 → 00:00:25 กับคนอื่นเราฉายภาพของความสวยงามความงด
00:00:25 → 00:00:27 งามให้คนอื่นเป็นพลังบวกให้คนอื่นแต่รับ
00:00:27 → 00:00:29 หลังเบื้องหลังเมื่อเรากลับมาอยู่กับตัว
00:00:29 → 00:00:31 เองคนเดียวปั๊บมันก็มีความรู้สึกตอมใจ
00:00:31 → 00:00:33 ความรู้สึกเศร้าความรู้สึกโดดเดี่ยวบาง
00:00:33 → 00:00:35 อย่างที่มันเกาะกินอยู่ในชีวิตเหมือนกัน
00:00:35 → 00:00:37 เราจะเห็นถึงความขัดแย้งในตัวเองเนาะว่า
00:00:38 → 00:00:40 ต่อหน้าคนอื่นเราทำทำเป็นดีแต่ข้างหลัง
00:00:40 → 00:00:42 มันไม่โอเคแสดงว่าเกิดความขัดแย้งในตัว
00:00:42 → 00:00:44 เองแล้วครับมันเลยถึงมีคำว่าร้องไห้กับ
00:00:44 → 00:00:48 ตัวเองต้องวงเล็บข้างหลังแล้วเนาะอยู่คน
00:00:48 → 00:00:52 เดียวฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทย
00:00:52 → 00:00:58 ฟังรายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงสิพรค่ะ
00:00:58 → 00:01:01 ISS เอาล่ะค่ะคุณคุณผู้ฟังคะมาติดตามกัน
00:01:01 → 00:01:04 วันนี้เราจะคุยกันถึงเรื่องของการที่หลาย
00:01:04 → 00:01:07 คนอาจจะอยู่ในภาวะแบบนี้ก็ได้นะคะยิ้มให้
00:01:07 → 00:01:11 กับคนอื่นแต่ร้องไห้ให้กลับตัวเองเดี๋ยว
00:01:11 → 00:01:14 คุยกับดรสุววุฒิวงษ์ทางสวัสดิ์ค่ะนัก
00:01:14 → 00:01:16 จิตวิทยาการปรึกษาค่ะคุณเอิ้นสวัสดีครับ
00:01:16 → 00:01:18 คุณรีสวัสดีครับคุณผู้ฟังยิ้มให้กับคน
00:01:19 → 00:01:22 อื่นแต่ร้องไห้ให้กับตัวเองครับภาวะมันก็
00:01:22 → 00:01:25 ดูสับสนดีเนาะครับเออยิ้มได้แต่ทำไมร้อง
00:01:25 → 00:01:27 ไห้กับตัวเองอ่ะมันมีอะไรอยู่ในใจแน่เลย
00:01:27 → 00:01:30 อ่ะอมีแน่นอนครับอืไม่งั้นคงไม่หรอกร้อง
00:01:30 → 00:01:33 ไห้อือเพราะภายใต้รอยยิ้มนั้นเป็นเหมือน
00:01:33 → 00:01:36 กำแพงอ่ะครับกำแพงที่เราคล้ายๆพยายามฉาย
00:01:36 → 00:01:39 ภาพออกไปเนาะให้ให้ทุกคนรู้สึกว่าเราโอเค
00:01:39 → 00:01:43 ค่ะเราแข็งแรงดีอืหรือเราอาจจะอยากให้คน
00:01:43 → 00:01:46 อื่นไม่ต้องห่วงกังวลค่ะหรือไม่ต้องมารู้
00:01:46 → 00:01:48 อะไรเกี่ยวกับเราหรอกคุณใช้ชีวิตของคุณ
00:01:48 → 00:01:51 ให้เบิกบานเถอะอะไรเงี้ยฮะเออเป็นกำแพง
00:01:51 → 00:01:52 เป็นภาพนั้นแต่จริงๆภายในเนาเหมือนที่เรา
00:01:52 → 00:01:55 ตามตามชื่อหัวข้อเลยครับว่าค่ะเรายิ้มให้
00:01:55 → 00:01:57 กับคนอื่นเราฉายภาพของความสวยงามความงด
00:01:57 → 00:01:59 งามให้คนอื่นเป็นพลังบวกให้คนอื่นอืแต่
00:01:59 → 00:02:01 รับหลังเบื้องหลังเมื่อเรากลับมาอยู่กับ
00:02:01 → 00:02:04 ตัวเองคนเดียวปั๊บมันก็มีความรู้สึกตอมใจ
00:02:04 → 00:02:06 ความรู้สึกเศร้าความรู้สึกโดดเดี่ยวบาง
00:02:06 → 00:02:07 อย่างที่มันเกาะกินอยู่ในชีวิตเหมือนกัน
00:02:07 → 00:02:11 อืมันแต่น้อยคนจะรู้เนาะอใช่ๆมันเหมือน
00:02:11 → 00:02:13 กับว่าอย่างที่เราคุยกันไปก่อนหน้าเมัน
00:02:14 → 00:02:17 เป็นพารที่คนอื่นน่ะมองมาว่าเราระเริงสด
00:02:17 → 00:02:19 ใสนู่นนี่นั่นแต่เขาไม่ได้รู้ในใจเราแต่
00:02:19 → 00:02:23 อันเนี้ยเป็นพารที่เราอ่ะรู้อว่าเราอ่ะ
00:02:23 → 00:02:28 มันมีโมเมนที่ไม่ดีไม่จอยอืยังรู้สึกแย่
00:02:28 → 00:02:31 อยู่หรืออาจจะไลแต่แต่ฉันต้องยิ้มอ่ะเออ
00:02:31 → 00:02:34 มันมีความฝืนน่ะมันต้องฝืนอืพอพอยิ้มแบบ
00:02:34 → 00:02:38 ฝืนๆมันก็ดูออกว่ะอ่าใช่ป่ะแบบใช่ครับ
00:02:38 → 00:02:40 แล้วมันยิ่งรู้สึกเค้าเรียกว่า contrast
00:02:40 → 00:02:42 ก็คือแบบเหมือนรู้สึกแตกต่างระหว่างเวลา
00:02:42 → 00:02:44 ที่เราอยู่กับคนอื่นกับเวลาที่เรากลับมา
00:02:44 → 00:02:47 อยู่กับตัวเองอืบางทีมันก็รู้สึกบางคนใช้
00:02:47 → 00:02:49 คำว่าสมเพชชีวิตตัวเองอะไรเงี้ยหุยใช้ค
00:02:49 → 00:02:51 บางคนใช้คำนั้นเลยนะถ้าเกิดข้างหลังมัน
00:02:51 → 00:02:54 แบบตรอมใจหนักๆอะไรเงี้ยครับเอออืมันมัน
00:02:54 → 00:02:57 ซึ่งนำพาไปสู่หลายๆอย่างได้เหมือนกันนะ
00:02:57 → 00:03:00 ทั้งการแบบใชครับอ่ะทำวซึมเศร้าอันนี้ก็
00:03:00 → 00:03:03 แน่นอนอยู่แล้วอยู่แล้วเออแล้วก็การแบบ
00:03:03 → 00:03:06 แน่นอนเลยไม่ไหวละฉันไม่ไหวจะอยู่ต่อละ
00:03:06 → 00:03:08 อ่าใช่ครับฉันรู้สึกเหนื่อยลาเหลือเกิน
00:03:09 → 00:03:12 ทำไมมันอไม่เห็นมีอะไรมีความสุขหรือสว่าง
00:03:12 → 00:03:15 สดใสให้ฉันเลยปลายทางไม่เห็นเลยมันมืดมิด
00:03:15 → 00:03:17 ตลอดอะไรอย่างเงี้ยใช่ครับอืมันเหนื่อย
00:03:17 → 00:03:20 เนาะเหนื่อยๆครับเหนื่อยบางทีบางทีพวกนี้
00:03:20 → 00:03:23 มันจะมีเรื่องของคนที่ชอบตามใจคนอื่นก็มี
00:03:23 → 00:03:27 นะเช่นแบบเหมือนกับว่ายิ้มได้ครับพี่ดี
00:03:27 → 00:03:30 ครับแม่ได้เลยพ่ออะไรเงี้ยอ
00:03:30 → 00:03:33 อันนี้เปลี่ยนจากอ่ะเป็นครอบครัวครอบครัว
00:03:33 → 00:03:35 เป็นงก็ดีครับท่านเป็นเพื่อนเป็นไรใช่
00:03:35 → 00:03:38 ครับได้ครับพี่ดีครับท่านหมาะสมคำนายเหรอ
00:03:38 → 00:03:41 อะไรี้เหมาสมคำนายใช่ครับยิ้มแย้มจำใสแต่
00:03:41 → 00:03:43 ว่าเบื้องหลังคือเขาก็ต้องมานั่งสู้มา
00:03:43 → 00:03:46 นั่งพยายามทำอะไรให้คนอื่นถูกใจอครับ
00:03:46 → 00:03:49 เรียกก็เป็น Yes Man ได้ครับได้ครับแต่
00:03:49 → 00:03:51 ข้างหลังก็คือไม่ได้รู้รู้เลยว่าตัวเอง
00:03:52 → 00:03:54 ไม่ได้อยากทำให้เออแต่มันไม่ดีเลยนะกับ
00:03:54 → 00:03:57 การที่เราจะต้องเป็นได้ทุกอย่างอะไรเงี้ย
00:03:57 → 00:04:00 มันมันควรที่จะมีไม่ได้บ้างแต่เรารู้สึก
00:04:00 → 00:04:02 พอพพอบอกไม่ได้ปุ๊บมันกลายเป็นเหมือนกับ
00:04:02 → 00:04:05 มองตัวเองว่าเฮ้ยศักยภาพเราไม่ถึงเราไม่
00:04:05 → 00:04:08 เก่งหรอหรือยังไงมันมันไปกลายเป็นอีกมุม
00:04:08 → 00:04:10 นึงไปได้เหมือนกันเนาะใช่หรือกลัวคนอื่น
00:04:10 → 00:04:12 จะผิดหวังกับตัวเราก็มีโอเราจะเห็นถึง
00:04:12 → 00:04:15 ความขัดแย้งในตัวเองเนาะว่าต่อหน้าคนอื่น
00:04:15 → 00:04:17 เราทำทำเป็นดีอืไม่ใช่อันนี้ไม่ใช่ไม่ใช่
00:04:17 → 00:04:19 กำลังสร้างภาพแบบหรือไม่จริงใจนะแต่หมาย
00:04:19 → 00:04:22 ถึงว่าค่ะเราสร้างภาพว่าเราทำได้ดีเรา
00:04:22 → 00:04:24 โอเคแต่ข้างหลังมันไม่โอเคแสดงว่าเกิด
00:04:24 → 00:04:27 ความขัดแย้งในตัวเองแล้วอ่ะครับคำถามคือ
00:04:27 → 00:04:29 เอ๊ะทำไมนะเราถึงไม่กล้าที่จะปล่อยให้
00:04:30 → 00:04:32 ความสอดคล้องในตัวเองหรือความเป็นจริงใน
00:04:32 → 00:04:35 ตัวเองมันฉายออกไปเป็นภาพเดียวกันเรื่อง
00:04:35 → 00:04:37 นี้เลยเป็นเรื่องที่เจ้าตัวนะครับสมมุติ
00:04:37 → 00:04:39 วันนี้เราคุยกันในหัวข้อที่เรื่องเกี่ยว
00:04:39 → 00:04:41 กับเจ้าตัวเราเนี่ยตัวเราเองอืเรากำลัง
00:04:41 → 00:04:44 กลัวอะไรน้าถึงทำให้เราไม่กล้าทำให้สิ่ง
00:04:44 → 00:04:46 ที่เราเป็นมันถูกฉายออกมาเป็นแค่ภาพ 1
00:04:46 → 00:04:50 อย่างให้มันตรงไปตรงมาเรากลบความอ่อนแอใน
00:04:50 → 00:04:54 เออกลบไว้ทำไมเออเรากำลังกลัวอะไรเพราะ
00:04:54 → 00:04:57 ว่าทุกอย่างมีเหตุมีผลเสมอครับอือการที่
00:04:57 → 00:04:59 เราจะเลือกกลบความรู้สึกมีเหตุผลของมัน
00:04:59 → 00:05:02 อยู่อยู่เสมอแต่เพียงแค่ว่าการกลบนี้มัน
00:05:02 → 00:05:04 เป็นไปเพราะเหตุผลอะไรอืเรื่องเนี้ยเรา
00:05:04 → 00:05:09 ต้องถามตัวเองอืบางคนกลบเพราะนะครับกับ
00:05:09 → 00:05:13 บริบทงานคนที่ทำงานไม่ใช่คนที่เราจะมา
00:05:13 → 00:05:16 ระบายปัญหาชีวิตเราเอเราเลยอาจจะเลือกกลบ
00:05:16 → 00:05:20 เรื่องเนี้ยกับคนที่ทำงานเท่านั้นแต่เรา
00:05:20 → 00:05:22 อาจจะเลือกเลือกเปิดเผยเรื่องนี้กับ
00:05:22 → 00:05:25 เพื่อนสนิทก็ได้เพราะว่าเรื่องเนี้ยถ้า
00:05:25 → 00:05:27 เราเอ่อเห็นภาพของชีวิตคนหลายๆคนหรือแม้
00:05:27 → 00:05:29 กระทั่งเราเองเนาะเรื่องบางเรื่องเจะ
00:05:29 → 00:05:32 เลือกเปิดกับแค่คนไม่กี่คนเท่านั้นแหละอื
00:05:32 → 00:05:34 เช่นเพื่อนสนิทหรืออาจจะเปิดกับนักจิต
00:05:34 → 00:05:37 วิทยาอือผมก็มีนะบางคนที่เขาบอกว่าเรื่อง
00:05:37 → 00:05:40 ของเค้าเรื่องเนี้ยในโลกนี้ไม่มีใครรู้
00:05:40 → 00:05:42 เกี่ยวกับเาเรื่องนี้เลยค่ะเเก็บเรื่อง
00:05:42 → 00:05:46 เนี้ยมาตลอด 20 ปีโอ้โหนานมากมีผมรู้คน
00:05:46 → 00:05:49 เดียวผู้คุมความลับแล้ว 1 คุมความลับเออ
00:05:49 → 00:05:50 เออแต่แน่นอนการที่เ้ามาเล่าเรื่องเนี้ย
00:05:50 → 00:05:52 หากเขาอยากคุยเรื่องชีวิตเพราะเอยากมีใคร
00:05:52 → 00:05:54 สักคนที่ไว้ใจได้คุยกับเค้าเรื่องชีวิต
00:05:54 → 00:05:58 ที่เคกำลังเจอเหมือนกับว่าไม่ต้องไปไปจัด
00:05:58 → 00:06:00 ไปตัดสินเค้าอ่ะเพราะว่าว่าเอิ้นไม่ได้
00:06:00 → 00:06:03 รู้จักเ้าอย่างงี้ใช่มยแล้วก็ไม่ได้บอก
00:06:03 → 00:06:05 ว่าเธอถูกหรือผิดแต่ถ้าสมมุติว่าเป็น
00:06:05 → 00:06:08 เพื่อนกันอย่างเงี้ยอาจจะแบบว่าเฮ้ยเธอ
00:06:08 → 00:06:11 เพราะว่าการรู้ปูมหลังการรู้เรื่องราว
00:06:11 → 00:06:14 อะไรต่างๆมันอาจจะไม่ให้เราไปตัดสินเขา
00:06:14 → 00:06:16 หรือไปแบบอะไรเขาได้เนาะแต่อันเนี้ยของ
00:06:16 → 00:06:21 ของคุณเอิ้นก็จะเป็นฟิแบบว่าอเราเพิ่งรู้
00:06:21 → 00:06:24 จักกันอแต่ว่าคุยกันอะไรอย่าเงี้ยใช่แล้ว
00:06:24 → 00:06:26 ก็ไม่ได้อยู่ในชีวิตกันและกันเพราะงั้น
00:06:26 → 00:06:27 ไม่ได้มีผลอีกอย่างนึงมันเป็นเรื่อง
00:06:27 → 00:06:30 จรรยาบรรณด้วยครับอเป็นเพเคเชื่อมั่นว่า
00:06:30 → 00:06:32 ตัวเรามีจรรยาบรรณค่ะอ่าเราเป็นนักจิต
00:06:32 → 00:06:34 วิทยาที่จะไม่เอาความลับของคนที่ปรึกษา
00:06:34 → 00:06:36 เราไปแพร่งพรายอย่างเงี้ยครับเก็มีความ
00:06:36 → 00:06:39 ไว้วางใจเชื่อมั่นอ่าเพราเหมือนเราเจอหมอ
00:06:39 → 00:06:41 เงี้ยฮะเราก็รู้สึกว่าเออหมอจะไม่ได้เอา
00:06:41 → 00:06:45 ประวัติเราไปฉายออกทีวีอะไรเงี้ยฮะเก็จะ
00:06:45 → 00:06:48 วางใจอือย่างตะกี้เรื่องที่เราเรียกว่า
00:06:48 → 00:06:50 ไม่สอดคล้องเนาะเรากลบเรื่องนี้ไว้ทำไม
00:06:50 → 00:06:53 บางทีเราอาจจะเลือกกลบในบางบริบทกับคนบาง
00:06:53 → 00:06:57 กลุ่มค่ะแต่บางทีบางคนเนาะเราเลือกจะกลบ
00:06:57 → 00:07:00 มันไว้กับทั้งหมดเลยก็มีอืออืกลบไว้กับ
00:07:00 → 00:07:02 ทุกสิ่งกลบไว้กับทุกคนไม่ให้ใครรับรู้
00:07:02 → 00:07:04 เรื่องนี้มันเลยถึงมีคำว่าร้องไห้กับตัว
00:07:04 → 00:07:07 เองต้องวงเล็บข้างหลังแล้วเนาะอยู่คน
00:07:07 → 00:07:10 เดียวเออคือคือคำว่าร้องไห้ให้กับตัวเอง
00:07:10 → 00:07:12 เนี่ยไม่ได้หมายความว่าจะต้องออกมาเป็น
00:07:12 → 00:07:14 น้ำตาอย่างเดียวนะคะมันก็เป็นนามธรรมกับ
00:07:14 → 00:07:17 รูปธรรมได้เหมือนกันในคำๆนี้ซึ่งบางคนอาจ
00:07:17 → 00:07:20 จะแบบว่ามันใช่ครับมันสะอื้นในใจอ่ะ
00:07:20 → 00:07:22 สะอื้นใช่ฮเออมันร้องอยู่ในใจมันมันเป็น
00:07:22 → 00:07:26 ความทุกข์อ่ะใช่บางคนน้ำตาไม่มีก็มีนะแต่
00:07:26 → 00:07:29 โอ้โหยร้องไห้ไม่รู้แต่มันแค่ไม่มีน้ำตา
00:07:29 → 00:07:32 แค่นั้นเองอ่ะเวลาที่อยู่คนเดียวอครับนี่
00:07:32 → 00:07:35 เหมือนจะเข้าเพลงเลยครับทีนี้ก็เลยต้อง
00:07:35 → 00:07:37 บอกว่าไอ้เรื่องการรับมือกับสิ่งเนี้ย
00:07:37 → 00:07:39 ครับคือเราเราเห็นแล้วว่าการกลบบางทีมัน
00:07:39 → 00:07:41 อาจจะไม่ได้ดีหรอกเพราะมันก็มีแต่ความ
00:07:41 → 00:07:43 สะสมความหมักหมมความรู้สึกช้ำใจความรู้
00:07:43 → 00:07:46 สึกชีวิตได้มีความสุขอืการต่อให้การกลบ
00:07:46 → 00:07:48 นั้นจะมีวัตถุประสงค์เพื่อผลประโยชน์บาง
00:07:48 → 00:07:50 อย่างก็ตามเหมือนที่ผมบอกตะกี้ฮะเราอาจจะ
00:07:50 → 00:07:53 กลบเพราะเราอยากได้ผลประโยชน์ในเชิงที่จะ
00:07:53 → 00:07:55 ได้ไม่ต้องมีความวุ่นวายใจหรืออาจจะไม่
00:07:55 → 00:07:57 ต้องทำให้คนอื่นรู้สึกแย่หรือเราอาจจะไม่
00:07:57 → 00:07:59 ต้องรู้สึกแย่กับตัวเองที่ทำให้คนอื่นเขค
00:07:59 → 00:08:01 ทุกข์ไปด้วยค่ะอ่ามันเป็นเรื่องผล
00:08:01 → 00:08:04 ประโยชน์แต่แน่นอนครับต่อให้มีผลประโยชน์
00:08:04 → 00:08:06 พวกนี้แต่ความหมักหมมหรือความกัดกินมี
00:08:06 → 00:08:09 อยู่จริงอืเพราะฉะนั้นนะครับเราดีที่สุด
00:08:09 → 00:08:12 คืออย่าให้มันอยู่กับเรานานเราควรใช้
00:08:12 → 00:08:14 จังหวะอะไรก็ตามที่เราพอจะได้อยู่กับตัว
00:08:14 → 00:08:17 เองเนี้ยในการคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นว่า
00:08:17 → 00:08:20 เรามาถึงจุดที่รู้สึกชีวิตมันไม่น่าไม่
00:08:20 → 00:08:23 น่าพอใจไม่มีความสุขได้ยังไงทุกอย่างมีคำ
00:08:23 → 00:08:26 อธิบายเสมอเงี้ยครับอืแต่ทำยังไงน่าให้
00:08:26 → 00:08:29 เราสามารถเป็นคนที่สอดคล้องได้ที่แบบว่าส
00:08:29 → 00:08:30 สมายิ้มให้กับคนอื่นและยิ้มให้กับตัวเอง
00:08:31 → 00:08:33 ได้ด้วยค่ะมีความสุขต่อหน้าผู้อื่นและมี
00:08:33 → 00:08:37 ความสุขรับหลังคนอื่นได้ด้วยอืตงจุดนี้
00:08:37 → 00:08:40 มันเป็นเรื่องของประสบการณ์กับเรื่องอายุ
00:08:40 → 00:08:43 มาเกี่ยวข้องด้วยไหมคือยิ่งยิ่งโตยิ่งรู้
00:08:43 → 00:08:46 สึกว่ายิ่งคุยกับใครยากมันเป็นแบบนั้นได้
00:08:46 → 00:08:48 มยมันก็เป็นไปได้ครับถ้าทุกคนเริ่มห่าง
00:08:48 → 00:08:51 กันเริ่มไม่ได้ติดต่อแล้วถ้าเราเกิดไม่
00:08:51 → 00:08:53 ได้สะสมมิตรสหายที่รู้สึกวางใจได้มันก็
00:08:53 → 00:08:56 กลายเป็นว่าเป็นแค่เพื่อนทางสังคมอืแต่
00:08:56 → 00:08:58 ไม่ใช่เพื่อนใจอครับค่ะเพราะคนที่มี
00:08:58 → 00:09:00 คุณสมบัติของเพื่อนใจมันจะสามารถรับรู้
00:09:00 → 00:09:02 ทุกข์ของกันและกันได้และเป็นพื้นที่ปลอด
00:09:02 → 00:09:05 ภัยในการรับรู้ทุกข์ของกันและกันได้อื
00:09:05 → 00:09:09 เพราะฉะนั้นตรงนี้มันก็แล้วแต่บุคคลแหละ
00:09:09 → 00:09:13 ไม่ไม่สามารถที่จะบอกได้ว่าคนทุกคนต้องมี
00:09:13 → 00:09:17 คนที่เป็นคนที่ใกล้ชิดในในชีวิตเราขนซึ่ง
00:09:17 → 00:09:19 ซึ่งบางคนมีก็ต้องบอกว่าโชคดีอือแต่บางคน
00:09:19 → 00:09:22 ทั้งชีวิตไม่มีเลยเพราะอาจจะเพราะ 2 สิ่ง
00:09:22 → 00:09:25 สิ่งแรกคือเขาอาจจะโชคร้ายตรงที่ว่ารอบ
00:09:25 → 00:09:28 ตัวเขาไม่มีคนที่มีคุณสมบัตินี้อยู่เลย
00:09:28 → 00:09:31 โอ้โหกับแบบที่ 2 คือในตัวรูปแบบการงาน
00:09:31 → 00:09:34 รูปแบบการใช้ชีวิตไม่มีโอกาสหรือเปิดช่อง
00:09:34 → 00:09:36 ให้เขาได้ทดสอบว่าใครเป็นคนที่เขาสามารถ
00:09:36 → 00:09:38 วางใจได้บ้างเพราะทุกคนคุยกันแต่เรื่อง
00:09:39 → 00:09:42 งานคือต้องบอกว่าอย่างเงี้ครับตอนสมัยเรา
00:09:42 → 00:09:44 เป็นเพื่อนเราเป็นแบบเด็กเเรียกว่าเด็ก
00:09:44 → 00:09:47 ประถมประถมมัธยมมหาลัยอือมันจะมีช่วงที่
00:09:47 → 00:09:49 แบบได้คุยกับเรื่องชีวิตกันอยู่บ้างเพราะ
00:09:49 → 00:09:52 มันยังมีเวลาว่างอ่าฮะมันยังมีเรื่องของ
00:09:52 → 00:09:54 การแบบไปเฮฮาปาร์ตี้ไร้สาระที่ไม่ใช่
00:09:54 → 00:09:56 เรื่องเรียนอแล้วบางครั้งก็ได้เปิดเผยกับ
00:09:56 → 00:09:58 เรื่องชีวิตถูกมั้ยครับค่ะแต่พอทำงานปั๊บ
00:09:58 → 00:10:00 พอเราเข้ามาทำงานเนี่ยบางทีเราใช้้ชีวิต
00:10:00 → 00:10:03 อยู่บนบริบทของการทำงานมันเลยไม่ค่อยมี
00:10:03 → 00:10:05 ห้วงเวลาที่จะได้หยุดคุยกับเรื่องชีวิต
00:10:05 → 00:10:07 กันเท่าไหร่ค่ะมันก็เลยมีแต่เรื่องผิว
00:10:07 → 00:10:09 เผินที่เราคบกันรู้จักแค่นี้อืแล้วยิ่ง
00:10:09 → 00:10:11 ถ้าเกิดเปลี่ยนงานไปอีกมันก็เจอคนแปลก
00:10:11 → 00:10:14 หน้าใหม่บางทีการที่จะต้องมานั่งทำความ
00:10:14 → 00:10:17 รู้จักรู้ลึกลึกๆกันอย่างเงี้ยครับบริบท
00:10:17 → 00:10:19 อาจจะไม่เอื้อไม่พออมันยังกินแรงเพิ่ม
00:10:19 → 00:10:22 ด้วยออืมันถึงทำให้หลายๆคนนะครับไม่เลือก
00:10:22 → 00:10:24 จะปรึกษาเพื่อนที่ทำงานค่ะแต่เลือกปรึกษา
00:10:24 → 00:10:27 เพื่อนสมัยประถมที่ที่รู้จักกันและกันมา
00:10:27 → 00:10:30 นานมากค่ะเออคบกันมาๆมันรู้ตัวตนกันแล้ว
00:10:30 → 00:10:32 กันนะครับเรารู้ว่าเรื่องไหนพูดได้บาง
00:10:32 → 00:10:34 เรื่องพูดไม่ได้อือ่าอันนี้ไว้ไว้ใจได้
00:10:35 → 00:10:37 อันนั้นไม่ไว้ใจเราจำเป็นต้องพูดทุก
00:10:37 → 00:10:40 เรื่องมั้ยคะไม่ไม่ต้องก็ได้ครับอืผมผมก็
00:10:40 → 00:10:43 ไม่ได้เป็นคนพูดทุกเรื่องนะเอ๊ะเดี๋ยวนะ
00:10:43 → 00:10:45 จริงๆผมเป็นคนพูดได้ทุกเรื่องต้องบอก
00:10:45 → 00:10:48 อย่างงี้แล้วกันครับพอพอเราเรียนด้านจิต
00:10:48 → 00:10:50 วิทยาปรึกษามาเราจะรู้เลยว่าความสอดคล้อง
00:10:50 → 00:10:53 ในตัวเองสำคัญมากและการต้อนรับความจริง
00:10:53 → 00:10:56 เกี่ยวกับชีวิตก็สำคัญเช่นกันค่ะเออแต่
00:10:56 → 00:10:59 การที่ทำให้ตัวเองไม่สอดคล้องในตัวเองการ
00:10:59 → 00:11:02 ทำให้ตัวเองฉายภาพนึงเหมือนเป็นคนโอเคแต่
00:11:02 → 00:11:04 ด้านหลังไม่โอเคมันเป็นเรื่องที่แบบกัด
00:11:04 → 00:11:07 กินปัญหาสุขภาพจิตมาก
00:11:07 → 00:11:10 เหมือนอันนี้ไม่เรียกว่ามี 2 บุคคลิกภาพ
00:11:10 → 00:11:12 ใช่มั้ยไม่ใช่ครับไม่ใช่ไม่ใช่ 2 บุคลิก
00:11:12 → 00:11:16 เป็นเรื่องการวางตัว 2 บริบทอ่าอ่าต้อง
00:11:16 → 00:11:18 แยกกันครับ 2 บุคลิกภาพนี่เป็นเรื่องของ
00:11:18 → 00:11:21 โรคทางจิตเวทค่ะที่ตัวตน 2 ตัวเนี้ยแยก
00:11:21 → 00:11:24 กันชัดเจนแล้วบุคลิกนิสัยไม่เหมือนกันแต่
00:11:24 → 00:11:26 ที่สำคัญกว่านั้นคือมันมักจะรบกวนการใช้
00:11:26 → 00:11:28 ชีวิตด้วยหรืออาจจะเป็นภัยกับคนอื่นด้วย
00:11:28 → 00:11:31 ค่ะอแต่ถ้าการวางตัวใน 2 2 บริบทไม่
00:11:31 → 00:11:33 เหมือนกันมันจะเหมือนกับสมมุติเราอยู่
00:11:33 → 00:11:36 บ้านอยู่กับพ่อแม่วางตัวแบบนึงอือฮึออกไป
00:11:36 → 00:11:39 เจอสังคมวางตัวกับเพื่อนวางตัวอีกแบบนึง
00:11:39 → 00:11:42 อืมาทำงานในฐานะมืออาชีพวางตัวอีกแบบนึง
00:11:42 → 00:11:45 อันนี้หมายถึงการปรับตัวตามบริบทหลายพาร
00:11:45 → 00:11:47 บางคนอาจจะมีหลายพาร์ทเลยทั้งนั้นหลายพ
00:11:47 → 00:11:50 เลยครับแต่แต่สิ่งนี้เรารู้ตัวว่าเราวาง
00:11:50 → 00:11:53 ตัวแบบนี้ทำไมค่ะอ่าแต่จะไม่ใช่แบบสวิต์
00:11:53 → 00:11:56 แบบไม่รู้ตัวอะไรเงี้ยฮะอ่าเพราะงั้นการ
00:11:56 → 00:11:58 ที่ผมเป็นอย่างเงี้ยมันไม่ได้หมายความว่า
00:11:58 → 00:12:01 เป็นเรื่องโลคทางจิตเวชถูกมั้ยถ้าเราแบบ
00:12:01 → 00:12:03 วางตัวหรือพวกเราแบบวางตัวแต่ละบริบทไม่
00:12:03 → 00:12:05 เหมือนกันออย่างเงี้ยครับทีเนี้ยพอพอตัว
00:12:05 → 00:12:08 ผมเรียนมาทางนี้ปั๊บเราจะรู้สึกว่าจริงๆ
00:12:08 → 00:12:10 การต้อนรับความทุกข์หรือการยอมรับว่าตัว
00:12:10 → 00:12:13 เองกำลังเจอปัญหามันอาจจะไม่ใช่ปัญหาก็
00:12:13 → 00:12:16 ได้นะถ้าเราถ้าเราไม่ห่วงเรื่องภาพลักษณ
00:12:16 → 00:12:19 ค่ะถ้าเรามองว่าสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือ
00:12:19 → 00:12:21 การตระหนักรู้และยอมรับในตัวเองและเรา
00:12:21 → 00:12:24 สามารถเป็นตัวแบบให้ผู้อื่นยอมรับในตัว
00:12:24 → 00:12:26 เองได้เออพอเราให้น้ำหนักกับเรื่องเนี้ย
00:12:26 → 00:12:29 ครับความสอดคล้องมันจะมาอืเพราะเราไม่ได้
00:12:30 → 00:12:32 คิดว่าจะต้องสร้างภาพลักษณ์เพื่อฉาบบาง
00:12:32 → 00:12:35 หน้าให้ใครรับรู้อะไรที่ไม่ใช่เราแต่เรา
00:12:35 → 00:12:37 สามารถแสดงออกได้ว่าเรามีสิ่งนั้นแต่แค่
00:12:37 → 00:12:39 ว่าแสดงออกอย่างเหมาะสมยังไงอันนี้ขึ้น
00:12:39 → 00:12:42 กับกลเทศะคือมันก็ไม่ได้แบบว่าโอ้โห
00:12:42 → 00:12:44 โอเวอร์ออกมาจนเกินไปใช่มันจะไม่ใช่แบบ
00:12:44 → 00:12:46 ว่าวันนี้ผมทุกจังผมมานั่งในรายการแล้วผม
00:12:46 → 00:12:49 ก็ร้องไห้ใส่ไมค์แล้วก็อัดเทปไปมันมันไม่
00:12:49 → 00:12:51 ใช่อย่างงั้นนะผมอาจจะตระหนักรู้ว่าผม
00:12:51 → 00:12:54 เศร้าสมมุติมีใครถามก็บอกเออช่วงนี้เศร้า
00:12:54 → 00:12:56 แต่ไม่เป็นไรแยกไว้ก่อนตอนนี้ทำงานก่อน
00:12:56 → 00:12:58 อือๆๆเพราะงั้นเพราะงั้นเราสามารถยอมรับ
00:12:58 → 00:13:00 ได้ว่าเราเราเศร้าเราบอกคนอื่นได้ค่ะ
00:13:00 → 00:13:02 อย่างเงี้ยครับในขณะเดียวกันเรายังคง
00:13:02 → 00:13:05 สามารถใช้ชีวิตด้านอื่นๆอย่างตามบริบทการ
00:13:05 → 00:13:08 ร้ายเทศะได้ด้วยอืถูกมั้ยครับค่ะเพราะ
00:13:08 → 00:13:10 งั้นการการต้อนรับว่าตัวเองรู้สึกไม่ดี
00:13:10 → 00:13:13 คือความกล้าหาญที่แท้จริงคือความกล้าหาญ
00:13:13 → 00:13:15 ที่แบบบอกว่าเฮ้ยการรับรู้ว่าตัวเองไม่
00:13:15 → 00:13:18 โอเคมันเป็นสิ่งที่รับได้อ่ะใช่แล้วการ
00:13:18 → 00:13:20 ให้คนอื่นรับรู้ว่าเราไม่โอเคก็เป็นสิ่ง
00:13:20 → 00:13:23 ที่รับได้ค่ะแต่ส่วนคนอื่นจะชอบไม่ชอบอาจ
00:13:23 → 00:13:25 จะเป็นเรื่องธุระคนอื่นะอือเรื่องนี้อาจ
00:13:25 → 00:13:27 จะเกี่ยวข้องกับการประเมินคนอื่นด้วย
00:13:27 → 00:13:30 เหมือนกันนะคนะครับบางครั้งเราอาจจะไม่
00:13:30 → 00:13:32 จำเป็นต้องให้คนทุกคนยอมรับเราก็ได้เรา
00:13:32 → 00:13:35 อาจจะไม่จำเป็นต้องให้คนทุกคนอยู่ในชีวิต
00:13:35 → 00:13:38 เราก็ได้ค่ะถ้าใครบางคนรับรู้ในสิ่งที่
00:13:38 → 00:13:39 เราเป็นแล้วรู้สึกไม่ชอบเราสามารถให้
00:13:39 → 00:13:42 สิทธิ์ที่เขาจะถอยหลังจากเราไปได้ค่ะแล้ว
00:13:42 → 00:13:44 สิ่งนั้นจะทำให้เราคล้ายๆกล้าหาญที่จะ
00:13:44 → 00:13:47 เป็นตัวเองอครับอืเพราะเราก็กล้าหารและใจ
00:13:47 → 00:13:49 กว้างมากพอที่อาจจะให้ใครบางคนที่อาจจะ
00:13:49 → 00:13:51 ยังไม่โอเคไม่พร้อมจะอยู่กับเราให้เขา
00:13:51 → 00:13:54 สามารถเดินถอยออกไปได้อืจุดนี้แหละจะเป็น
00:13:54 → 00:13:56 จุดที่ทำให้เราสามารถเสืตรงกับตัวเองได้
00:13:56 → 00:13:59 โดยที่ไม่จำเป็นต้องยิ้มให้กับกับคนอื่น
00:13:59 → 00:14:01 ร้องไห้อยู่กับตัวเองค่ะอย่างเงี้ยครับ
00:14:01 → 00:14:04 มันมันเหมือนกับว่าเป็นพาร์ทนึงที่เราก็
00:14:04 → 00:14:08 อ๊ยอมรับยอมรับยอมรับเกิดขึ้นแล้วเราก็จะ
00:14:08 → 00:14:11 เบาลงแล้วก็ไม่ต้องมานั่งคอยแบบว่าหลบมา
00:14:11 → 00:14:13 ข้างหลังเพื่อร้องไห้หรือรู้สึกแย่อยู่
00:14:13 → 00:14:16 ภายในใจอยู่คนเดียวอีกต่างหากด้วยใช่ใช่
00:14:16 → 00:14:18 แล้วการยอมรับจะเป็นทางเค้าเรียกว่าจุด
00:14:18 → 00:14:21 เริ่มต้นของการแก้ปัญหาครับค่ะเพราะว่าพอ
00:14:21 → 00:14:23 ยอมรับปึ๊บนะครับมันอาจจะหมายถึงทำให้เรา
00:14:23 → 00:14:27 พาตัวเองเข้าไปสู่แหล่งช่วยเหลือก็ได้อื
00:14:27 → 00:14:30 เช่นๆระบายกับเพื่อนทุคนค่ะหรือบางคนพอ
00:14:30 → 00:14:32 ยอมรับว่าตัวเองกำลังมีเรื่องที่จัดการ
00:14:32 → 00:14:35 ไม่ได้หาที่ปรึกษาละเพราะถ้าเขาคไม่ยอม
00:14:35 → 00:14:38 รับว่าตัวเคกำลังมีปัญหาเก็จะไม่เห็น
00:14:38 → 00:14:40 ปัญหาเค้าก็จะไม่แก้ปัญหาครับอือฮึแต่
00:14:40 → 00:14:41 เขาคต้องเห็นก่อนว่าสิ่งนี้กำลังเป็น
00:14:41 → 00:14:44 ปัญหาและเคต้องยอมรับมันก่อนว่าเป็นปัญหา
00:14:44 → 00:14:47 อเถึงจะพยายามไปหาทางแก้อ้าแล้วถ้าเกิด
00:14:47 → 00:14:50 ว่ามันเป็นปัญหาเดิมๆที่อ่ะโอเคเรามีที่
00:14:50 → 00:14:53 ปรึกษาก็ปรึกษาอยู่แต่ปัญหาเรื่องเดิมๆ
00:14:53 → 00:14:55 ที่มันแบบบางคนที่เค้าคนรับฟังเอาจจะรู้
00:14:55 → 00:14:57 ว่าเฮ้ยมันก็เป็นปัญหาเรื่องเดิมมานาน
00:14:57 → 00:15:01 แล้วนะทำไมอืทำไมถึงแบบมันไปกว่านี้ไม่
00:15:01 → 00:15:04 ได้หรือหลุดพ้นจากอย่างงี้ไม่ได้มันก็จะ
00:15:04 → 00:15:07 ทำให้เขายิ่งไม่กล้าแบบไปเล่าได้มว่าแบบ
00:15:07 → 00:15:09 กลายเป็นยิ่งยิ่งกลับมาร้องไห้กับตัวเอง
00:15:09 → 00:15:11 หนักกว่าเดิมเพะว่าใช่นี้ก่อนครับสิ่ง
00:15:11 → 00:15:14 สิ่งนี้อาจจะเกิดขึ้นในบริบทของการปรึกษา
00:15:14 → 00:15:18 กับเพื่อนฝูงทั่วไปอืเพราะเพราะบางที
00:15:18 → 00:15:21 เพื่อนอยากจะให้เราแก้ปัญหาเร็วๆเมันก็
00:15:21 → 00:15:23 ฉันเตือนแกแล้วทำไมแกไม่เปลี่ยนก็ก็ห่วง
00:15:23 → 00:15:25 ใยแล้วหวังดีนั่นแหละอะไรอย่างงั้นใช่
00:15:25 → 00:15:26 ครับแล้วมันทำให้เกิดความเบื่อหน่าของ
00:15:26 → 00:15:30 เพื่อนคนที่ฟังแล้วที่เล่าก็เลยเออฉันไม่
00:15:30 → 00:15:33 เล่าดีกว่าเดี๋ยวกลัวแกด่าสอะไรเงี้ยฮะเอ
00:15:33 → 00:15:35 ๆเออแต่ถ้าเกิดสมมุติอ่ะผมพูดในบริบทผม
00:15:35 → 00:15:38 แล้วกันเนาะที่เป็นนักจิตวิทยาการฟัง
00:15:38 → 00:15:41 ปัญหาซ้ำๆมันเกิดขึ้นในงานผมเสมอแหะอือๆ
00:15:41 → 00:15:43 แต่ผมจะมีคำอธิบายให้กับเรื่องนี้อยู่ 2
00:15:43 → 00:15:47 อย่างอย่างแรกคืออาจจะมีบางสิ่งที่เรายัง
00:15:47 → 00:15:49 ไม่ได้เรียนรู้หรือยังไม่ได้ถอบทเรียนจาก
00:15:49 → 00:15:52 มันก็เลยทำให้วังวนนี้ยังคงอยู่เช่นอ่ะ
00:15:53 → 00:15:56 สมมุติอ่าเล่าเรื่องที่ถูกญาติพี่น้องยืม
00:15:56 → 00:15:59 เงินประจำเลยค่ะแล้วก็อยู่ในวังวลของการ
00:15:59 → 00:16:01 ถูกยืมเงินเรื่อยๆออฮบางทีเราอาจจะยังไม่
00:16:01 → 00:16:03 ได้เรียนรู้อะไรบางอย่างก็ได้จากเรื่อง
00:16:03 → 00:16:05 นี้ก็ได้นะว่าอย่างเช่นแบบเออญาติคนนี้
00:16:05 → 00:16:08 โดยพื้นฐานเป็นคนชอบเอาเปรียบ
00:16:08 → 00:16:12 อืหรือญาติคนนี้ถูกสปอยจนรู้สึกว่าเฮ้ย
00:16:12 → 00:16:14 ต่อให้เขาใช้เงินไม่ต้องมีวินัยเดี๋ยวก็
00:16:14 → 00:16:17 มีเงินถูงเงินถังให้เขายืมแหละค่ะหรือเรา
00:16:17 → 00:16:18 ไม่ได้เรียนรู้ว่าตัวเราเองโดยพื้นฐาน
00:16:18 → 00:16:21 เป็นคนจิตใจดีแต่ถ้าใช้จิตใจดีผิดที่จะ
00:16:21 → 00:16:24 กลายเป็นเหยื่อเรื่องนี้นอาจจะยังไม่รู้
00:16:24 → 00:16:25 ตัวก็ได้แล้วก็เผลอไปคิดว่าถ้าไม่ให้เงิน
00:16:25 → 00:16:28 จะกลายเป็นคนบาปอเนี่ยพวกนี้บางทีเรายัง
00:16:28 → 00:16:30 ไม่เรียนรู้อ่ะครับเมื่อการเรียนรู้ยัง
00:16:30 → 00:16:33 ไม่เกิดขึ้นปัญหาังเคยก็เลยยังคงซ้ำเดิม
00:16:33 → 00:16:35 ค่ะอ่าเพราะงั้นพาร์ทนึงอันนี้พาร์ทแรก
00:16:35 → 00:16:39 ก่อนการที่ปัญหาคาราคซส่วนหนึงเพราะยัง
00:16:39 → 00:16:42 ไม่เรียนรู้บางอย่างกับอันที่ 2 การที่
00:16:42 → 00:16:46 ปัญหายังคาราคะซังเพราะยังไม่ถึงจุดอิ่ม
00:16:46 → 00:16:50 ตัวเราเคยได้ยินมั้ยฮะว่าเฮ้ยแกคบกัน
00:16:50 → 00:16:53 อย่างนี้แล้วแบบไม่มีความสุขเลิกเหอะบาง
00:16:53 → 00:16:55 ทีเพื่อนอาจจะแนะนำค่ะทำไมเพื่อนแนะนำได้
00:16:55 → 00:16:58 ครับเพราะมันไม่ใช่ความรักของเขาเองอือฮึ
00:16:58 → 00:17:01 เค้าก็จะมองตามเหตุตามผลว่าแบบมันดูแล้ว
00:17:01 → 00:17:04 มันไม่เข้ากันน่ะค่ะมันจะเป็นทุกข์ก็ไม่
00:17:04 → 00:17:07 ใช่เป็นก็มันก็ไม่แปลกเพราะงั้นการแยกจาก
00:17:07 → 00:17:09 สิ่งที่ไม่ใช่มันก็ธรรมดาตามเหตุผลเลย
00:17:09 → 00:17:11 ครับเพราะเราไม่เอาอารมณ์เข้ามาเกี่ยวค่ะ
00:17:11 → 00:17:13 แต่เพื่อนที่ถูกแนะนำจะแบบไม่กว่าฉันจะหา
00:17:13 → 00:17:16 คนนี้ได้อนาคตฉันอาจจะขึ้นคานไปเลยก็ได้
00:17:16 → 00:17:19 นะฉันขอรักษาคนนี้ไว้อะไรเงี้ยครับคอะไร
00:17:19 → 00:17:22 ก็ตามเมีผลประโยชน์เกี่ยวข้องโดยตรงเพราะ
00:17:22 → 00:17:24 งั้นเขาก็เลือกที่จะแบบไม่เอาฉันขออยู่
00:17:24 → 00:17:26 ไว้ก่อนอือฮึแล้วเพื่อนก็จะกลายเป็นหมา
00:17:26 → 00:17:30 ทั้แผ่นดินหาหอนกันไปหอนกันไปอย่างเงี้ย
00:17:30 → 00:17:32 ฮะแต่แน่นอนครับพอหลังจากที่เราเริ่มวาง
00:17:32 → 00:17:35 ใจว่าแบบอ่ะโอเคฉันปล่อยแกตามสบายเลยมัน
00:17:35 → 00:17:38 มักจะมีเหตุที่เรารู้ข่าวว่าเออสุดท้าย
00:17:38 → 00:17:40 เพื่อนก็เลิกกันเงียบๆอืเราเคยได้ยินเหตุ
00:17:40 → 00:17:42 การณ์พวกนี้มั้ยฮะใช่ๆๆนั่นหมายความว่า
00:17:42 → 00:17:45 มันจะมีเวลาอิ่มตัวของมันเองก็กลายเป็น
00:17:45 → 00:17:47 ว่าไม่ต้องร้องไห้ให้กับตัวเองอีกต่อไป
00:17:47 → 00:17:49 ได้ใช่ครับทีนี้ประเด็นคือในฐานะผู้ฟัง
00:17:49 → 00:17:52 ค่ะเราจะใจเย็นพอได้มั้ยที่จะอนุญาตให้
00:17:52 → 00:17:55 การบ่มเพาะบางสิ่งค่อยๆเกิดขึ้นโดยที่เรา
00:17:55 → 00:17:57 ไม่ต้องร้อนใจหรือหงุดหงิดไปกับมันนะครับ
00:17:57 → 00:18:01 อือเพราะเจ้าของชีวิตเขาก็มีหน้าที่ในการ
00:18:01 → 00:18:03 รับผิดชอบปัญหาของเขาเองเขามีหน้าที่ใน
00:18:03 → 00:18:06 การรับผลทุกๆอย่างหรือชะตากรรมอะไรก็ตาม
00:18:06 → 00:18:09 จากที่เขาเป็นผู้เลือกค่ะถ้าเราวางใจได้
00:18:09 → 00:18:11 แล้วมองว่าสิ่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวน
00:18:11 → 00:18:13 การเรียนรู้อย่างเงี้ยครับเรียกว่าเหมือน
00:18:13 → 00:18:16 กับเอ็งสู้ไปให้สุดเลยสู้ไปจนพบว่ามันตัน
00:18:16 → 00:18:18 น่ะอือฮึแล้วเอ็งจะเรียนรู้ว่านั่นแหละ
00:18:18 → 00:18:21 มันคือการเรียนรู้นึงว่าเราฝืนผิดที่คออ
00:18:21 → 00:18:23 เพราะงั้นทุกอย่างเป็นการเรียนรู้หมดเลย
00:18:23 → 00:18:25 ครับค่ะพอพอเราทำงานในฐานะบทบาทนักจิต
00:18:25 → 00:18:27 วิทยาปั๊บเราจะไม่เร่งร้อนน่ะเราคิดว่า
00:18:27 → 00:18:29 บางครั้งชีวิตก็ต้องพาตัวเองไปในจุด
00:18:29 → 00:18:32 เสี่ยงบ้างถ้าเขาคจำเป็นต้องเสี่ยงและให้
00:18:32 → 00:18:34 ความเสี่ยงนั้นสร้างความน่ากลัวจนเเรียน
00:18:34 → 00:18:38 รู้ได้ก็ต้องให้มันเกิดขึ้นอืไม่ได้แบบ
00:18:38 → 00:18:42 ว่าเอ่อเค้าเรียกอะไรโหดร้ายเป็นการแบบ
00:18:42 → 00:18:44 หรือไปให้เค้าไปเผชิญอะไรอย่างงั้นขนาด
00:18:44 → 00:18:46 นั้นใช่มั้ยไม่ขนาดนั้นครับคือคือมันจะมี
00:18:46 → 00:18:48 จุดที่เราสามารถบอกเ้าล่วงหน้าหรือเตือน
00:18:48 → 00:18:50 เขาไว้ล่วงหน้าได้แต่แน่นอนเราจะมีความ
00:18:50 → 00:18:53 ถ่อมตัวว่าสิ่งที่เราพูดอาจจะไม่ไม่ถูกก็
00:18:53 → 00:18:55 ได้นะค่ะเพราะเงื่อนไขทุกอย่างเปลี่ยนได้
00:18:55 → 00:18:58 เสมอเช่นแบบวันนี้เราเห็นคนๆเนี้ยคบกันคน
00:18:58 → 00:19:00 คนี้เป็นคนไม่ดีมากจู่ๆวันนึงครับแยกย้าย
00:19:00 → 00:19:03 กับเราไปคนคนนี้เกิดเหตุบางอย่างแล้วเกิด
00:19:03 → 00:19:05 บรรลุธรรมคิดได้เปลี่ยนเป็นคนดีขึ้นมาเฉย
00:19:05 → 00:19:07 เลยอเออก็เป็นไปได้เออสิ่งที่เราพูดว่า
00:19:07 → 00:19:10 ควรเลิกอาจจะผิดแล้วก็ได้ครับอืเพราะงั้น
00:19:10 → 00:19:12 เรื่องเนี้ยเราอาจจะพูดบนเซตข้อมูล
00:19:12 → 00:19:16 ปัจจุบันว่าณข้อมูล Data วันนี้เช็ตวัน
00:19:16 → 00:19:19 นี้ดูทรงแล้วไม่น่าดีค่ะแต่ถ้ามีอะไรบาง
00:19:19 → 00:19:21 อย่างอนาคตเปลี่ยนแปลงคำพูดเราพร้อมกลับ
00:19:21 → 00:19:24 คำได้ตลอดถ้าบริบทเปลี่ยนค่ะถูกมั้ยครับ
00:19:24 → 00:19:29 ออฮอืเพราะฉะนั้นก็คือเพราะฉะนั้นคนที่
00:19:29 → 00:19:33 ยิ้มให้กับคนทั้งโลกอย่างเงี้ยเราก็อยาก
00:19:33 → 00:19:37 จะให้เขาได้ได้มีความเจรงบในใจเนาะแล้ว
00:19:37 → 00:19:39 การกลับมายิ้มได้มันทำได้จริงครับเราไม่
00:19:39 → 00:19:41 จำเป็นต้องเลือกฝืนเอ้ยไม่ต้องเลือกใช้
00:19:41 → 00:19:44 วิธีที่แบบทรมานตะเวรก็ได้ค่ะเรามีวิธี
00:19:44 → 00:19:47 อะไรก็ตามที่เราสามารถทำให้คนอื่นยิ้มได้
00:19:47 → 00:19:50 และเรายิ้มได้ได้ด้วยเหมือนกันแบบพอดีๆดี
00:19:50 → 00:19:52 อที่ไม่ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยิ้มอยู่
00:19:52 → 00:19:54 ฝ่ายเดียวก็ได้มันอาจจะเป็นการยิ้มที่เรา
00:19:54 → 00:19:56 รู้สึกว่าเออยิ้มนี้มันยิ้มที่แบบเรารู้
00:19:57 → 00:19:59 สึกว่าอเราอาจจะจะเป็นผู้ให้ก็ได้เนาะ
00:19:59 → 00:20:01 แล้วเรายิ้มได้แบบว่าเอ้ยมันยิ้มแล้วแล้ว
00:20:01 → 00:20:04 มันยิ้มใจเราด้วยอ่ะใจเราก็ยิ้มตามด้วย
00:20:04 → 00:20:07 ยิ้แบบปอดโปร่งอ่ะอืไม่ใช่แบบหันแล้วหัน
00:20:07 → 00:20:10 มาอีกทีนึงก็ิแห้งเหงือกแห้งเลยเออมันมัน
00:20:10 → 00:20:13 ก็เห็นได้นะว่าว่าจริงใจหรือว่ามันมันออก
00:20:13 → 00:20:15 มาจากใจจริงๆหรือเปล่าอะไรเงี้เนาะใช่ๆ่
00:20:15 → 00:20:16 แล้วผมเชื่อว่าการที่ทุกคนยิ้มได้ดีกว่า
00:20:16 → 00:20:20 การที่ยิ้มแค่ฝ่าใดฝ่ายหนึ่งอือืแล้วผมก็
00:20:20 → 00:20:23 ยังเชื่ออีกนะว่าทุกๆปัญหาครับมันจะมี
00:20:23 → 00:20:25 สูตรในการอธิบายแหละว่าทำไมชีวิตมันถึง
00:20:25 → 00:20:28 ไม่ค่อยมีความสุขค่ะมันเหมือนรสชาติอาหาร
00:20:28 → 00:20:30 นะผมชอบเปรียบเทียบว่าชีวิตที่น่าพอใจ
00:20:30 → 00:20:33 เหมือนรสชาติของอาหารจานที่อร่อยอ่ะค่ะ
00:20:33 → 00:20:36 อาหารไม่อร่อยด้วยตัวเองอือแต่อาหารอร่อย
00:20:36 → 00:20:39 เกิดขึ้นจากการที่เอ่อสูตรของการปรุง
00:20:39 → 00:20:43 วัตถุดิบที่ใช้มันพอดีอ่ะครับอืเมื่อพอดี
00:20:43 → 00:20:46 จัดสรรทุกอย่างดีรสชาติเลยอร่อยค่ะแต่ถ้า
00:20:46 → 00:20:49 เกิดจานนั้นวัตถุดิบบางอย่างเปลี่ยนรส
00:20:49 → 00:20:51 ชาติอาจจะห่วยเลยก็ได้ค่ะผมเลยมองว่า
00:20:51 → 00:20:53 ชีวิตก็เหมือนกันนะครับอยู่ที่ว่าเรา
00:20:53 → 00:20:56 เลือกคบใครเราเลือกงานอะไรเราเลือกวิธี
00:20:56 → 00:20:59 คิดแบบไหนเข้ามาการคิดวิธีการคิดก็เป็น
00:20:59 → 00:21:01 อันนึงของวัตถุดิบเหมือนกันอืเราเลือกที่
00:21:01 → 00:21:04 จะรับรู้ปิดกั้นตัวเองจากอะไรมยการปิด
00:21:04 → 00:21:06 กั้นบางครั้งก็คือการปฏิเสธวัตถุดิบบาง
00:21:06 → 00:21:08 อย่างที่ทำให้อาหารไม่อร่อยเหมือนกันค่ะ
00:21:08 → 00:21:10 หรือเราเปิดรับวัตถุดิบใหม่ที่อาจจะแบบ
00:21:10 → 00:21:12 ไม่คุ้นเคยบางครั้งสิ่งนี้อาจจะเป็นสูตร
00:21:12 → 00:21:15 ที่ทำให้รสชาติอาหารดีขึ้นก็ได้อืมเพราะ
00:21:15 → 00:21:16 งั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องมานั่งแกะ
00:21:16 → 00:21:19 กับชีวิตนะครับว่าเราทำอะไรไปน้าถึงทำให้
00:21:19 → 00:21:22 รสชาติชีวิตออกมาแบบนี้ค่ะเรากำลังรับ
00:21:22 → 00:21:25 อะไรไม่เข้าท่าเข้ามาหรือเปล่านะหรือเรา
00:21:25 → 00:21:26 กำลังบ่มเพาะอะไรบางอย่างที่ไม่ใช่หรือ
00:21:26 → 00:21:29 เปล่านะถึงทำให้รสชาติชีวิตไม่อร่อยค่ะ
00:21:29 → 00:21:33 เออเพราะงั้นการจะอร่อยกันถ้วนหน้าทำได้
00:21:33 → 00:21:36 ครับอืแค่แค่ต้องแกะให้ถูกว่าสุดท้ายต้อง
00:21:36 → 00:21:39 ใช้สูตรไหนเพื่อปรุงให้รสชาติชีวิตทุกคน
00:21:39 → 00:21:41 อร่อยพอกันอืบางทีมันอาจจะไม่ได้เกิดจาก
00:21:41 → 00:21:44 แค่เรื่องของวัตถุดิบหรือสูตรอาหารแต่มัน
00:21:44 → 00:21:46 อาจจะเป็นเรื่องของฝี
00:21:46 → 00:21:51 มือน้ำหนักอะไรของเราเองที่แบบว่าเออบาง
00:21:51 → 00:21:54 อย่างเราอาจจะเข้มขลังเกินไปหรือเปล่า
00:21:54 → 00:21:57 หรือนี้ต้องแบบตึงเกินไปหรืออาจจะแบบกลัว
00:21:57 → 00:21:59 เกินไปเออบางอย่างที่มันเกินไปไม่ดีเสมอ
00:22:00 → 00:22:02 ฮะคืออะไรที่มันกลบมันซุกอยู่มันอะไรอยู่
00:22:02 → 00:22:05 อ่ะมันไม่ทำให้เรามีความสุขได้อย่าง 100%
00:22:05 → 00:22:08 อยู่อยู่แล้วมันก็กลายเป็นกล้ำกล้ำกลืนคน
00:22:08 → 00:22:10 ฝืนกินไปใช่
00:22:10 → 00:22:13 ใช่ซึ่งมันไม่ต้องก็ได้ฮะมันมันมีทาง
00:22:13 → 00:22:15 เลือกเหมือนที่ผมพยายามย้ำกับผู้ฟังเสมอ
00:22:15 → 00:22:18 มาเลยว่าชีวิตคนเรามีทางขยับได้แหละอืแต่
00:22:18 → 00:22:21 แค่ว่าจะขยับยังไงให้สบายขึ้นอาจจะไม่ถึง
00:22:21 → 00:22:23 สบายปอดโปร่งเต็มที่แต่มันต้องมีจุดที่
00:22:23 → 00:22:26 สบายขึ้นได้บ้างหรือรสชาติหวยน้อยลงได้
00:22:26 → 00:22:28 บ้างคมันต้องมีจุดขยับนะครับทีนี้ถ้าเรา
00:22:28 → 00:22:31 ปิดกั้นว่าไม่มีทางหรอกไม่มีทางหรอกมันก็
00:22:31 → 00:22:33 ไม่ต้องพูดเรื่องการแก้ไขอฮะอมันตัวตัว
00:22:33 → 00:22:35 ตัวเรานะอย่าลืมว่าเนี่ยที่คุยเนี่ยคือ
00:22:35 → 00:22:38 ตัวเรานะคะใครที่อยู่ในภาวะที่แบบว่าก็
00:22:38 → 00:22:41 ยิ้มได้แหละแต่พอถึงเวลาจริงๆตัวเองมา
00:22:41 → 00:22:43 นั่งร้องไห้อยู่อย่างเงี้ยมันก็มันก็ไม่
00:22:43 → 00:22:46 อยากจะให้ใครมาเสียเวลากับสิ่งต่างๆเหล่า
00:22:46 → 00:22:50 นี้ชีวิตเราอ่ะมันสั้นนะเกิดอะไรขึ้นมาก
00:22:50 → 00:22:52 มายก็ไม่รู้ค่ะอันนี้เรียนรู้จากการสูญ
00:22:52 → 00:22:56 เสียเอ่อคนที่เรารู้จักไปเนี่ยในพอเรา
00:22:56 → 00:22:59 ยิ่งโตเรางานที่เราไปคืองานอวมงคลใช่มย
00:23:00 → 00:23:02 มากขึ้นน่ะเราก็จะแบบเฮ้ยบางคนปุบปับบาง
00:23:02 → 00:23:04 คนนู่นนี่นั่นหรืออะไรเงี้แล้วรู้สึกว่า
00:23:04 → 00:23:08 เฮ้ยมันอะไรก็เกิดขึ้นได้อ่ะเพราะฉะนั้น
00:23:08 → 00:23:11 วันเนี้ยเราควรที่จะแฮปปี้มีความสุขดี
00:23:11 → 00:23:14 กว่ามในในในในแบบฉบับของเรานะคะไม่ต้องไป
00:23:14 → 00:23:17 แบบโอ้โหต้องเหมือนคนอื่นเขอย่างทุกคนทุก
00:23:17 → 00:23:20 คนมีหน้าที่รับผิดชอบความสุขของตัวเองอ่า
00:23:20 → 00:23:22 ใช่เราเราอย่าพยายามแบกความสุขคนอื่นมา
00:23:22 → 00:23:24 เป็นหน้าที่เราทั้งหมดอ่ะครับค่ะบางครั้ง
00:23:24 → 00:23:27 มันต้องให้คนอื่นรับผิดชอบความสุขเาเอง
00:23:27 → 00:23:30 บ้างถ้าเขาจะต้องผิดหวังเก็มีหน้าที่ใน
00:23:30 → 00:23:32 การต้องจัดการความผิดหวังเขาเองอืๆๆเออ
00:23:33 → 00:23:34 อย่าคิดว่าตัวเราคือแบบคนที่ต้องแบกความ
00:23:34 → 00:23:36 สุขคนอื่นเสมอไปครับเออไม่ใช่แบกความ
00:23:36 → 00:23:38 ทุกข์อย่างเดียวนะแบกความสุขของคนอื่นคือ
00:23:38 → 00:23:40 ต้องการให้คนอื่นน่ะมีใช่เหมือนต้องชั้น
00:23:40 → 00:23:41 เท่านั้นอะไรอย่าเงี้ยชั้นทำให้เป็นผู้
00:23:41 → 00:23:43 ที่ทำให้คนอื่นมีความสุขใช่แล้วมันจะกลาย
00:23:43 → 00:23:45 เป็นการสปอยให้คนอื่นขาดภูมิคุ้มกันในการ
00:23:45 → 00:23:49 จัดการชีวิตตัวเองด้วยเออแต่ถ้าสุขแบบนี้
00:23:49 → 00:23:50 แล้วตัวเองต้องมานั่งร้องไห้อีกอ่ะไม่
00:23:50 → 00:23:53 ค่อยเวิร์คอฮะเอ้ยเราสุขดีกว่าเลยมั้ยเรา
00:23:53 → 00:23:56 มีความสุขกับสิ่งที่ที่มันจะเป็นในตัวแบบ
00:23:56 → 00:23:58 ตัวเราแบบฉบับเราไม่ต้องเหมือนคนอื่นใช่
00:23:58 → 00:24:01 บางคนอ่าจอ่าฮะครับคีย์เวิร์ดที่สำคัญอีก
00:24:01 → 00:24:03 อย่างนึงคือคือว่าเห็นแับตัวเเ้ยอะไรนะ
00:24:03 → 00:24:06 รักตัวเองกับเห็นแก่ตัวคือคนละสิ่งกันเรา
00:24:06 → 00:24:08 อาจจะคิดว่าถ้าเราไม่ทำอันนี้ให้คนอื่น
00:24:08 → 00:24:11 เราคือคนเห็นแก่ตัวแต่จริงๆอาจจะไม่ใช่ก็
00:24:11 → 00:24:14 ได้นะเราแค่อาจจะกำลังถนอมตัวเองอ่ะครับอ
00:24:14 → 00:24:16 บางคนก็ทำยัดเยียดข้อหาเห็นแก่ตัวให้กับ
00:24:16 → 00:24:18 เราแบบงงๆเหมือนกันเนาะอก็เลยต้องประเมิน
00:24:18 → 00:24:20 ว่าคนที่กำลังยัดเยียดคำนี้ให้กับเราอ่ะ
00:24:20 → 00:24:23 ครับเออเป็นคนโอเคจริงๆหรือเปล่าแต่จริงๆ
00:24:23 → 00:24:24 ตัวเค้านั่นแหละคนพูดนั่นแหละเป็นคนเห็น
00:24:25 → 00:24:28 กับตัวก็ทำไมไม่ทำเองล่ะใช่อย่างงั้นล
00:24:28 → 00:24:32 ครับทำใช่ครับเออเพราะงั้นสิ่งสิ่งที่จะ
00:24:32 → 00:24:35 บอกในในวันนี้คือหลังจากนี้ก็เชื่อว่า
00:24:35 → 00:24:36 หลายๆคน
00:24:36 → 00:24:39 ที่ต้องกลับมาร้องไห้กับตัวเองอยู่คน
00:24:39 → 00:24:43 เดียวเพียงลำพังอะไรแบบเนี้ยจะได้ไม่ต้อง
00:24:43 → 00:24:45 เป็นฟิหรือความรู้สึกแบบนี้อีกต่อไปแล้ว
00:24:45 → 00:24:48 ครับก็อยู่ที่กระบวนการเรียนรู้ค่อยๆค่ะ
00:24:48 → 00:24:51 ค่อยๆถอนความรู้สึกพวกนี้ออกมาแล้วเรา
00:24:51 → 00:24:53 ยิ้มให้ได้เราเรายิ้มให้กับคนอื่นได้ทำไม
00:24:53 → 00:24:56 เรายิ้มให้กับตัวเองไม่ได้อืเนาะมันแปลก
00:24:57 → 00:24:59 ตรงนี้คนที่อยู่กับเรานานที่สุดก็เป็นตัว
00:24:59 → 00:25:01 เรานี่แหละใช่มองกระจกไปเป็นเงาคนอื่น
00:25:01 → 00:25:03 เหรอมันก็ไม่ใช่เนาะมันก็เป็นเราใช่มั้ย
00:25:03 → 00:25:06 คะลองยิ้มกับตัวเองในกระจกดูก่อนชื่นชม
00:25:06 → 00:25:10 ตัวเองก็ได้นะคะเฮ้ยวันนี้ฉันสวยสวยสวย
00:25:10 → 00:25:12 ของเราไงไม่อาจจะไม่สวยกับคนเหมือนคนอื่น
00:25:12 → 00:25:14 น่ะแต่ฉันสวยตัวเบงเเห็นความดีของตัวเอง
00:25:14 → 00:25:16 บ้างเงี้ยใช่ใช่ยิ้มให้กับตัวเองค่ะไอ้
00:25:17 → 00:25:21 น้ำตาความอะไรมันสะอื้นอยู่ในใจมันอาจจะ
00:25:21 → 00:25:24 หายไปก็ได้อือๆแล้วบางทีเราอาจจะแบบว่า
00:25:24 → 00:25:26 ไม่ได้จำเป็นต้องยิ้มให้กับคนอื่นตลอดเรา
00:25:26 → 00:25:28 อาจจะแบบร้องไห้ก่อน
00:25:28 → 00:25:31 แทนก็ได้เนใช่ๆครับเออนะคะฝากกันไว้ค่ะ
00:25:31 → 00:25:34 ขอบคุณคุณเอิคุณเอิ้นค่ะสวัสดีสวัสดีค่ะ
00:25:34 → 00:25:36 หมดเวลาแล้วค่ะคุณผู้ฟังคะพบกันใหม่ครั้ง
00:25:36 → 00:25:38 หน้ากับรายการโรงหมอทางไย PBS podcast
00:25:39 → 00:25:42 ค่ะวันนี้ลาไปก่อนนะคะสวัสดีค่ะ This Is
00:25:42 → 00:25:45 tha PBS podcast ทำไมคนที่มีอาการปวด
00:25:45 → 00:25:48 หลังหรือคนที่เป็นมะเร็งจำเป็นต้องตรวจ
00:25:48 → 00:25:51 เพิ่มด้วยการ xray หรือ MRI ดรนายแพทย์
00:25:51 → 00:25:53 จตุพลงถาวรสกุลแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน
00:25:53 → 00:25:57 กล้ามเนื้อกระดูกและข้อมาเล่าให้ฟังครับ
00:25:57 → 00:25:59 คุณไข้เนี่ยที่มีอาการปวดหลังในโรงพยาบาล
00:25:59 → 00:26:03 ทุกโรงเนี่ยสังเกตนะฮะประมาณซัก 8 90%
00:26:03 → 00:26:05 คือได้รับยาไม่เซเรย์แล้วกลับบ้านอันนี้
00:26:05 → 00:26:08 คือเป็นปัญหาหลักเลยแต่ก็เข้าใจได้นะฮะ
00:26:08 → 00:26:11 เพราะว่าบางทีเนี่ยจะไป xray ทุกเคสเนี่ย
00:26:11 → 00:26:14 มันก็เป็นไปไม่ได้คือบางทีการที่ปวดหลัง
00:26:14 → 00:26:16 เนี่ยถ้าเราเป็นสักประมาณเดือนนึงเนี่ย
00:26:16 → 00:26:20 อย่างน้อย xray สักทีเพราะว่าอะไรในคน
00:26:20 → 00:26:22 ปกติเนี่ยนะเราพบว่ามันมีพวกหมอนรอง
00:26:22 → 00:26:25 กระดูกหลังเสื่อมไม่ใช่แค่ก้ามเหนือ
00:26:25 → 00:26:28 อักเสบหรือหมอนรองกระดูกหลังเส้นประสาท
00:26:28 → 00:26:30 ไม่ใช่แค่กล้ามเนื้ออักเสบอือคืออยากจะ
00:26:30 → 00:26:33 ย้ำเพราะอย่างงี้เราพวกหมอเนี่ยนะได้รับ
00:26:33 → 00:26:37 การเรียนการสอนกันมาเนี่ยว่า 80-90 per
00:26:37 → 00:26:39 ของการปวดหลังคือกล้ามเนื้ออักเสบแต่อัน
00:26:39 → 00:26:42 นั้นน่ะมันคือเมื่อ 30 ปีที่แล้วเมื่อ
00:26:42 → 00:26:45 เนื่องจากเรามีเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามานะเรา
00:26:45 → 00:26:49 จะเจอโรคค่อนข้างเยอะซึ่งผมเนี่ยในช่วง 6
00:26:49 → 00:26:51 เดือนถึง 7 เดือนที่เรามีคนไข้เยอะๆะใน
00:26:51 → 00:26:55 ช่วงเนะเราทำ M คนไข้ไปเนี่ยเราปรากฏว่า
00:26:55 → 00:26:58 คนไข้ที่มีอาการปวดหลัง
00:26:58 → 00:27:00 เดือนนึง 2 เดือนเนี่ยเป็นมาไม่นานเนี่ย
00:27:00 → 00:27:02 นะมอนรอกกระดูกหลังเสื่อมหรือมอนร่กระดูก
00:27:02 → 00:27:05 ทับเส้นประสาทเต็มไปหมดเลยอืนี่ขนาดเป็น
00:27:05 → 00:27:09 คนปกตินะแต่สำหรับคนที่เป็นมะเร็งถ้าปวด
00:27:09 → 00:27:11 หลังสัก 2 อาทิตย์เนี่ยผมว่าต้องรีบ
00:27:11 → 00:27:15 เซเรย์ 1 ภาพะอย่างน้อยถ้าปวดหลังสัก
00:27:15 → 00:27:19 เดือนนึงเนี่ยผมแนะนำนะผมว่าผมอยากให้ทำ M
00:27:20 → 00:27:23 ไปเลยคืออย่างงี้คนที่เป็นมะเร็งอ่ะอ่ะ
00:27:23 → 00:27:26 เราก็จะแบ่งตามกลุ่มที่บ่อยๆแล้วกันอ่ะ
00:27:26 → 00:27:29 มะเร็งปอดมะเร็งปอดอยู่กับใครมะเร็งปอดจะ
00:27:29 → 00:27:32 อยู่กับหมอปอดอที่เป็นอายุรกรรมและหมอปอด
00:27:33 → 00:27:35 ที่เป็นหมอศัลกรรมถ้าเป็นมะเร็งเต้าหนุ่ม
00:27:35 → 00:27:39 เขาก็จะอยู่กับหมอเต้านมและหมอมะเร็งถ้า
00:27:39 → 00:27:43 เป็นต่อมลูกหมากก็จะเจอหมอศัลยกรรมอ่า
00:27:43 → 00:27:47 ระบบท่อปัสสาวะกับหมออายุรกรรมที่เป็น
00:27:47 → 00:27:50 อายุรกรรมท่อปัสสาวะถ้าเป็นมะเร็งลำไส้
00:27:50 → 00:27:52 เขาก็จะเจออย่างนี้เหมือนกันก็จะเป็นคู่
00:27:52 → 00:27:55 ก็คือหมอสัญกรรมกับหมออายุรกรรมทีนี้หมอ
00:27:55 → 00:27:58 กลุ่มทั้ง 2 กลุ่มเนี้ยพอเพอเวลาบอกเคว่า
00:27:58 → 00:28:00 ปวดหลังอ่ะบางทีเา้าก็รู้สึกว่าอาจจะเป็น
00:28:00 → 00:28:02 กล้ามเนื้ออักเสบอืใช่เพราะเขเห็นคนไข้
00:28:02 → 00:28:05 เดินมาปกติเค้าจะรู้สึกว่ามันมีปัญหา
00:28:05 → 00:28:08 เมื่อไหร่เมื่อคนไข้บอกว่ามีอาการชาหรือ
00:28:08 → 00:28:11 มีอาการอ่อนแรงเมื่อไม่มีชาและไม่มีอ่อน
00:28:11 → 00:28:15 แรงก็คคกลับบ้านพอเขากลับไปเนี่ยอันเนี้ย
00:28:15 → 00:28:18 ใครที่เป็นมะเร็งนี่ฟังไว้ดีๆนะฮะการที่
00:28:18 → 00:28:21 เกิดมะเร็งกระจายไปที่กระดูกแล้วมันไปกด
00:28:22 → 00:28:25 ทับไข่สันหลังเนี่ยคนจะคิดว่าโอหยมันต้อง
00:28:25 → 00:28:28 มีอาการนำมานานๆเป็นมาสักเป็นอาทิตย์เป็น
00:28:28 → 00:28:31 เดือนค่ะด้วยเซ้นส์ของเราว่ากระดูกมัน
00:28:31 → 00:28:35 เป็นของแข็งนะซึ่งของแข็งเนี่ยมันควรที่
00:28:35 → 00:28:37 จะกว่าจะแหมเนื้อง้อมันจะกินแล้วมันเข้า
00:28:37 → 00:28:39 ไปทะลุเข้าไปกดไข่สั่นหลังเนี่ยใช่มัน
00:28:40 → 00:28:42 เป็นเดือนมันเป็นเดือนที่เขาปวดหลังมานี่
00:28:42 → 00:28:45 ไงก็นี่ไงไอ้เดือนนึงที่ผ่านมาเที่เาปวด
00:28:45 → 00:28:47 หลังเนี่ยร่างกายมันก็ช่วยแล้วมันก็บอก
00:28:47 → 00:28:50 เอ้ยยังเข้าไม่ได้มีกระดูกกั้นอยู่อบอก
00:28:50 → 00:28:53 แล้วอ่าแล้วก็กินกระดูกจนเกลี้ยงะแล้วพอ
00:28:53 → 00:28:57 วันที่มันโป๊ะเข้าไปเนี่ยวันเดียวหมดเลย
00:28:57 → 00:29:00 นะผมบอกเลยวันเดียวคืออ่อนแรงขา 2 ข้าง
00:29:00 → 00:29:05 กั้นอุจจาระปัสสาวะไม่ได้พายในวันเดียว
00:29:05 → 00:29:10 เลย This Is Toy PBS
00:29:10 → 00:29:13 podcast ติดตามรายการทางเว็บไซต์และ
00:29:13 → 00:29:16 Application ของ thi PBS podcast
00:29:16 → 00:29:19 spotify soundcloud Google podcast
00:29:19 → 00:29:21 Apple podcast และ YouTube Channel
00:29:21 → 00:29:26 Thai PBS podcast Thai PBS podcast
00:29:26 → 00:29:28 View The World vi The
00:29:28 → 00:29:38 [เพลง]
00:29:38 → 00:29:41 Voice