00:00:00 → 00:00:02 ตอนนี้อาจารย์หมออยู่ในสายแล้วนะคะสวัสดี
00:00:02 → 00:00:06 ครับคุณหมอครับสวัสดีค่ะสวัสดีค่ะสวัสดี
00:00:06 → 00:00:09 ค่ะคุณหมอขาเบื้องต้นขอปูพื้นความรู้กัน
00:00:09 → 00:00:11 ก่อนเลยค่ะว่าไตเนี่ยเขาทำหน้าที่อะไรใน
00:00:11 → 00:00:17 ร่างกายเราคะอ๋อจริงๆไตนี่ก็ทำหลายหน้า
00:00:17 → 00:00:21 ที่นะคะถ้าที่ทุกคนรู้จักกันดีก็คือไตก็
00:00:21 → 00:00:25 จะทำหน้าที่ขับของเสียผ่านทางระบบปัสสาวะ
00:00:25 → 00:00:29 ของเรานะคะก็คือจะมีพวกของเสียต่างๆใน
00:00:29 → 00:00:32 ร่างกายนะคะปกติร่างกายจะขับของเสียผ่าน
00:00:32 → 00:00:36 ทางไตแล้วก็ทางปัสสาวะครับค่ะซึ่งก็เป็น
00:00:36 → 00:00:39 ทางออกนึงแล้วก็อีกทางนึงก็คือทางตับนะคะ
00:00:39 → 00:00:42 ซึ่งอันนี้ก็จะเป็นหน้าที่หลักของไตนะคะ
00:00:42 → 00:00:45 แต่ว่าอีก 1 หน้าที่เลยนะคะที่สำคัญของไต
00:00:45 → 00:00:48 ก็คือจะเป็นหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับการ
00:00:48 → 00:00:52 รักษาความสมดุลของระบบกระดูกแล้วก็ระบบ
00:00:52 → 00:00:55 หลอดเลือดนะคะเพราะว่าไตก็จะเป็นตัวที่
00:00:55 → 00:00:58 ช่วยในเรื่องของการเปลี่ยนวิตามินดีให้
00:00:58 → 00:01:02 เป็นฟอมที่สที่ร่างกายนำไปใช้ได้ก็จะมี
00:01:02 → 00:01:05 ความสำคัญกับการทำเรื่องของแคลเซียม
00:01:05 → 00:01:08 วิตามินดีความแข็งแรงของกระดูกนะคะแล้วก็
00:01:08 → 00:01:10 อีกอันนึงที่บอกว่าระบบเลือดก็คือไตเนี่ย
00:01:10 → 00:01:14 จะสร้างฮอร์โมนตัวนึงนะคะที่จะเป็นตัวที่
00:01:14 → 00:01:16 จะกระตุ้นไขกระดูกของเราในการสร้างเม็ด
00:01:16 → 00:01:19 เลือดนะคะดังนั้นถ้าสมมุติว่าคนที่เป็น
00:01:19 → 00:01:23 โรคไตหรือว่าไตทำงานไม่ดีก็จะมีผลทำให้
00:01:23 → 00:01:27 เกิดภาวะโลหิตจางชนิดนึงได้นะคะอีกอันนึง
00:01:27 → 00:01:30 ก็อาจจะเป็นเรื่องของการควบคุมเรื่องของ
00:01:30 → 00:01:34 ภาวะเป็นกดเบสของร่างกายให้ร่างกายเนี่ย
00:01:34 → 00:01:37 อยู่ในภาวะสมดุลนะคะก็คือเลือดเนี่ยอยู่
00:01:37 → 00:01:40 ในภาวะที่สมดุลค่ะอันนี้ก็น่าจะเป็นหน้า
00:01:40 → 00:01:45 ที่หลักๆของไตของเรานะคะอืผมนึกว่ามีแค่
00:01:45 → 00:01:47 หน้าที่กรองเรื่องของของเสียแล้วก็ขับมา
00:01:47 → 00:01:50 เป็นของเหลวอย่างเอ่อปัสสาวะอะไรนี้เป็น
00:01:50 → 00:01:53 ต้นค่ะอืยังมีหน้าที่อื่นๆอีกอันนี้ก็
00:01:54 → 00:01:56 พึ่งแบบลงรายละเอียดลึกๆเหมือนกันนะครับ
00:01:56 → 00:02:00 ใชอืมีมากกว่านั้นเนอะถึงว่าถึงถึงว่าเขา
00:02:00 → 00:02:04 บอกว่าถ้าคนแบบป่วยแล้วต้องเอ่อตัดไตหรือ
00:02:04 → 00:02:07 ว่าเอ่อสละไตไปสักข้างนึงก็มีปัญหาต่อ
00:02:07 → 00:02:12 สุขภาพด้วยจริงๆแล้วถ้าพูดถึงเรื่องสละไต
00:02:12 → 00:02:15 หรือว่าบริจาคไตหรือว่าเสียไตไปข้างนึง
00:02:15 → 00:02:19 โดยทั่วไปอ่ะค่ะไไเราถึงแม้จะมี 2 ข้างนะ
00:02:19 → 00:02:23 คะแต่ว่าการที่เราเสียตไปข้างนึงอ่ะถ้า
00:02:23 → 00:02:26 อีกข้างนึงเรายังเป็นไที่แข็งแรงหรือว่า
00:02:26 → 00:02:29 สมบูรณ์หรือว่าเราดูแลไอีกข้างนึงให้ดี
00:02:29 → 00:02:32 เนี่ยมันก็สามารถทำงานได้เหมือนการมีไ 2
00:02:32 → 00:02:36 ข้างปกตินะคะก็คือ 80 - 100% เนี่ยถือ
00:02:36 → 00:02:40 ว่าปกติดังนั้นจริงๆในคนที่เหมือนเป็นคน
00:02:40 → 00:02:44 ที่แข็งแรงแล้วก็ไปบริจาคไปเช่นอาจจะมี
00:02:44 → 00:02:47 ญาติพี่น้องหรือว่าคนที่เป็นสายเลือด
00:02:47 → 00:02:49 เดียวกันเป็นโรคไปแล้วเราต้องบริจาคตาย 1
00:02:49 → 00:02:52 ข้างให้เขาเนี่ยก็ไม่ได้น่ากังวลนะคะว่า
00:02:52 → 00:02:55 คนนั้นเนี่ยจะทำให้เอ่อไม่แข็งแรงหรือว่า
00:02:55 → 00:02:58 ทำหน้าที่ได้ไม่ปกติเพราะว่าโดยทั่วไปอ่ะ
00:02:58 → 00:03:03 ต 1 ข้างยังสสามารถที่จะทำงานได้ปกติถ้า
00:03:03 → 00:03:07 เรารู้จักวิธีการดูแลสุขภาพของเรานะคะก็
00:03:07 → 00:03:10 ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่ากังวลนะคะแต่เพียง
00:03:10 → 00:03:13 แต่ว่าพอเรามีเหลืออยู่ข้างนึงแล้วเนี่ย
00:03:13 → 00:03:16 เราก็คงต้องใส่่ใจหรือว่าดูแลเต็มที่เป็น
00:03:16 → 00:03:20 พิเศษแต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะเสียการทำ
00:03:20 → 00:03:25 งานของไปไป 50% อย่างเงี้ยค่ะอค่ะอืจริงๆ
00:03:25 → 00:03:27 แล้วคือตอนแรกเข้าใจว่าพอเขาหายไปข้างนึง
00:03:28 → 00:03:31 เนี่ยระดเอ่อความสามารถในการทำงานของไตจะ
00:03:32 → 00:03:34 เหลือแค่ 50% อ๋อจริงๆถ้าเราดูแลดีเนี่ย
00:03:34 → 00:03:37 ก็คือเกือบ 100% ได้เหมือนกันนะคะใช่ค่ะ
00:03:37 → 00:03:40 เพราะว่าที่อยากที่ที่ต้องพูดประเด็นนี้
00:03:40 → 00:03:43 ขึ้นมาเพราะว่าก็จะมีคนไข้หลายคนที่ก็อาจ
00:03:43 → 00:03:46 จะมีความกังวลใจค่ะเพราะว่าเดี๋ยวนี้มัน
00:03:46 → 00:03:49 เรื่องของการบริจาคไปเนี่ยก็จะทำกันเยอะ
00:03:49 → 00:03:53 ขึ้นในการบริจาคให้กับแบบพี่น้องหรือว่า
00:03:53 → 00:03:55 คุณพ่อคุณแม่บริจาคให้คุณพ่อคุณแม่อะไร
00:03:55 → 00:03:58 อย่างเงี้ผู้ป่วยที่ไปวายเหือรังแล้วก็มี
00:03:58 → 00:04:02 การปลูกถ่ายไตนะคะก็จะทำให้เหมือนไปอีก
00:04:02 → 00:04:05 ข้างนึงของเราที่แข็งแรงอ่ะค่ะก็จะทำ
00:04:05 → 00:04:08 ประโยชน์ให้กับคนอื่นได้ในครอบครัวของเรา
00:04:08 → 00:04:11 แล้วก็การปลูกถ่ายในครอบครัวเองเนี่ยมัน
00:04:11 → 00:04:15 ก็จะปลอดภัยกว่าการที่เราจะรับไปจากบุคคน
00:04:15 → 00:04:18 อื่นอย่างเงี้ยค่ะก็เป็นอันที่ทำได้อย่าง
00:04:18 → 00:04:22 ปลอดภัยในปัจจุบันค่ะแล้วก็ต้องแต่ว่าก็
00:04:22 → 00:04:24 ต้องมีการตรวจร่างกายก่อนนะคะว่าผู้
00:04:24 → 00:04:27 บริจาคเนี่ยจะสามารถบริจาคได้จริงหรือ
00:04:27 → 00:04:30 เปล่าก็คือคุณหมอก็จะต้องประมินแล้วล่ะ
00:04:30 → 00:04:32 ค่ะว่าเมื่อบริจาคไปแล้วเนี่ยไปอีกข้าง
00:04:32 → 00:04:35 นึงที่เหลืออยู่จะทำงานได้อย่างปกติ
00:04:35 → 00:04:38 สมบูรณ์ 100% อย่างเงี้ยค่ะออค่ะและอะไร
00:04:38 → 00:04:41 ล่ะครับคุณหมออะไรล่ะที่จะทำให้ไตเรา
00:04:41 → 00:04:44 เนี่ยมันเสื่อมสภาพแล้วกลายเป็นปัญหา
00:04:44 → 00:04:48 สุขภาพให้กับแต่ละคนได้ครับคุณหมอครับค่ะ
00:04:48 → 00:04:53 จริงๆสาเหตุไปเสื่อมนะคะก็หลักๆของประเทศ
00:04:53 → 00:04:56 ไทยก็จะมาจากโรคในกลุ่มที่เราเรียกว่าโรค
00:04:56 → 00:04:59 ไม่ติดต่อเรือรังนะคะที่เป็นทอปฮิตเลยก็
00:04:59 → 00:05:02 ก็คือ 2 โรคหลักก็คือเบาหวานกับความดัน
00:05:02 → 00:05:05 โลหิตสูงนะคะซึ่ง 2 โรคเนี้ยก็จะทำให้
00:05:05 → 00:05:09 เกิดภาวะไตเสื่อมได้ก็คือจะทำให้เกิดเอ่อ
00:05:09 → 00:05:12 การอักเสบที่ไปแล้วก็ทำให้นำมาซึ่งของการ
00:05:12 → 00:05:16 เกิดภาวะไปเสื่อมถดถอยลงแล้วสุดท้ายก็ทำ
00:05:16 → 00:05:20 งานไม่ได้ต้องนำให้เกิดการที่เหมือนเรา
00:05:20 → 00:05:23 ต้องไปฟอกไปอย่างเงี้ยค่ะอันนี้ก็จะเป็น
00:05:23 → 00:05:26 สาเหตุหลักของคนไทยนะคะแล้วก็อีกอันนึง
00:05:26 → 00:05:30 ที่หลายๆคนอาจจะคิดไม่ถึงนะคะก็คือเรื่อง
00:05:30 → 00:05:33 ของโรคอ้วนนะคะโรคอ้วนเองก็จะทำให้เกิด
00:05:33 → 00:05:37 ภาวะไปเสื่อมได้นะคะแล้วก็จริงๆตัวโรค
00:05:37 → 00:05:40 อ้วนเองก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่จะทำให้
00:05:40 → 00:05:43 ผู้ป่วยเนี่ยเป็นความดันหรือว่าเป็นเอ่อ
00:05:43 → 00:05:46 เบาหวานได้ดังนั้นเนี่ยโรคคนที่มีภาวะน้ำ
00:05:46 → 00:05:49 หนักตัวเกินเองจริงๆอันนี้ก็ต้องระวังนะ
00:05:49 → 00:05:52 คะว่าก็จะเป็น 1 ปัจจัยที่จะทำให้บุคคลน
00:05:52 → 00:05:56 เนี่ยมีภาวะไตเสื่อมได้แล้วก็อีกอันนึง
00:05:56 → 00:05:59 ที่เราเจอบ่อยก็คือจะเป็นเรื่องของยาหรือ
00:05:59 → 00:06:02 ว่าพวกสมุนไพรต่างๆนะคะก็คือกลุ่มยา
00:06:03 → 00:06:06 ท็อปฮิตเลยก็จะเป็นยาแก้อักเสบในกลุ่มที่
00:06:07 → 00:06:10 ปวดข้อปวดกล้ามเนื้อที่เจอก็คือไปซื้อยา
00:06:11 → 00:06:13 ตามร้านขายยาที่เรียกว่ายาคลายเส้นพวก
00:06:13 → 00:06:17 เนี้ยค่ะมาทานแล้วก็ทานติดต่อกันเป็นระยะ
00:06:17 → 00:06:21 เวลานานโดยเฉพาะผู้สูงอายุแล้วก็ถ้าทานไป
00:06:21 → 00:06:24 เกินแบบอาทิตย์นึงเราก็จะเจอบ่อยว่าจะทำ
00:06:24 → 00:06:27 ให้เกิดภาวะไตเสื่อมได้ซึ่งยากลุ่มเนี้ย
00:06:27 → 00:06:30 เราจะเรียกกลุ่มยาพวกนี้ว่าเป็นกลุ่มเอเส
00:06:30 → 00:06:33 นะคะถ้าสมมุติว่าไปตามร้านขายยาหรือว่า
00:06:33 → 00:06:36 เป็นผู้สูงอายุก็อาจจะต้องระมัดระวังนะคะ
00:06:36 → 00:06:39 แล้วก็จะเป็นพวกยาสมุนไพรต่างๆบางคนเนี่ย
00:06:40 → 00:06:43 ไตไม่ได้เป็นอะไรเลยแต่ว่ามีคนบอกว่ากิน
00:06:43 → 00:06:45 สมุนไพรอันนี้แล้วบำรุงไตบำรุงตับก็ไป
00:06:45 → 00:06:49 ซื้อกันมาทานเช่นมีอยู่ช่วงนึงที่ฮิตๆก็
00:06:49 → 00:06:51 จะเป็นพวกถังเช่าอะไรอย่างเงี้ยค่ะก็คือ
00:06:51 → 00:06:54 ถ้าเราไม่ได้มีโรคแล้วเราก็เป็นคนที่แข็ง
00:06:54 → 00:06:57 แรงดีอยู่แล้วเนี่ยการไปรับประทานยา
00:06:57 → 00:07:00 สมุนไพรอะไรบางครั้งก็อาจจะจะเป็นอันตราย
00:07:00 → 00:07:03 กับตัวเองได้ดังนั้นในกลุ่มยาสมุนไพรพวก
00:07:03 → 00:07:07 เนี้ยค่ะก็ควรจะต้องศึกษาให้ดีหรือว่าดู
00:07:07 → 00:07:10 จุดประสงค์ของการทานแล้วก็ถ้าให้ดีเนี่ย
00:07:10 → 00:07:12 ยิ่งถ้าเป็นผู้สูงอายุหรือว่าคนที่มีโรค
00:07:13 → 00:07:16 ประจำตัวเนี่ยก็ควรจะปรึกษาแพทย์ก่อนนะคะ
00:07:16 → 00:07:21 ค่ะค่ะแล้วก็อื่นๆอีกก็จะเป็นสาเหตุที่
00:07:21 → 00:07:24 อาจจะเจอได้ไม่ไม่ได้ถึงกับบ่อยนักแล้วก็
00:07:24 → 00:07:27 เป็นอันที่เราอาจจะป้องกันไม่ได้คือบางที
00:07:27 → 00:07:30 มันเกิดขึ้นเองอย่างเช่นเป็นโรคไอักเสบ
00:07:30 → 00:07:33 จากโรคอย่างเช่นที่เรารู้จักกันในช่วงโรค
00:07:33 → 00:07:36 พุ่มพวงอย่างเงี้ยค่ะโรคที่แบบมีเส้น
00:07:36 → 00:07:40 เลือดอักเสบที่ไปอันนี้ก็อาจจะเป็นหลัง
00:07:40 → 00:07:43 การติดเชื้อต่างๆซึ่งบางครั้งเนี่ยเรา
00:07:43 → 00:07:46 เกิดขึ้นเองโดยที่เราก็ป้องกันไม่ได้อัน
00:07:46 → 00:07:49 นี้ก็เป็นอันนึงหรือว่ากลุ่มคนที่คลอด
00:07:49 → 00:07:53 ก่อนกำหนดนะคะไตก็อาจจะไม่แข็งแรงหรือว่า
00:07:53 → 00:07:56 อายุใตก็อาจจะสั้นกว่าคนที่คลอดครบกำหนด
00:07:56 → 00:07:59 อย่างเงี้ยค่ะก็อาจจะเจอว่ามีภาวะตเสื่อม
00:07:59 → 00:08:03 ก่อนวัยอันควรนะคะแต่สุดท้ายเนี่ยกลุ่ม
00:08:03 → 00:08:05 ที่บอกว่าเป็นไเสื่อมตามอายุอันเนี้ยไม่
00:08:05 → 00:08:08 ค่อยน่าเป็นห่วงเพราะว่าโดยปกติเนี่ยจริง
00:08:08 → 00:08:12 ๆพอเราอายุเยอะขึ้นน่ะค่ะไตมันก็เสื่อมลง
00:08:12 → 00:08:14 แต่ว่าพอมันเสื่อมตามอายุเนี่ยในแง่ของ
00:08:14 → 00:08:17 การทำงานต่างๆเนี่ยตามอายุแล้วมันก็ยังทำ
00:08:18 → 00:08:21 งานได้ปกติจนเราเสียชีวิตเนี่ยเราก็ไม่
00:08:21 → 00:08:23 ไม่มีความเสี่ยงที่จะต้องปอกตถ้าเป็น
00:08:23 → 00:08:27 กลุ่มที่เสื่อมถอยตามอายุปกติอันนี้ก็ไม่
00:08:27 → 00:08:30 ได้มีความน่ากังวลอะไรเพราะว่าก็เจอบ่อย
00:08:31 → 00:08:33 เหมือนกันที่แบบผู้สูงอายุแล้วก็ไปตรวจไต
00:08:33 → 00:08:37 แล้วก็เจอว่าโอเคค่าไตอาจจะไม่ 100% เช่น
00:08:37 → 00:08:41 ลดลงมาอยู่ที่ 80% 60% ก็ตกใจแล้วก็ไปหา
00:08:41 → 00:08:44 พวกยาบำรุงไตมาทานซึ่งอันเนี้ยยิ่งทำให้
00:08:44 → 00:08:48 เขาเสี่ยงที่จะเป็นไเสื่อมจากยาที่เราไม่
00:08:48 → 00:08:51 รู้ที่เราไปเอามาทานนะคะเพราะฉะนั้นถ้า
00:08:51 → 00:08:55 เป็นไเสื่อมตามอายุที่เป็นเรทปกติถ้าคุณ
00:08:55 → 00:08:59 หมอก็ไม่ได้วิ่งอะไรเราก็แค่ดูแลรร่างกาย
00:08:59 → 00:09:02 แล้วก็ป้องกันการเกิดโรคต่างๆที่จะทำให้
00:09:02 → 00:09:05 ใจเสื่อมอันนี้ก็ไม่ได้มีความน่ากังวล
00:09:05 → 00:09:08 อะไรค่ะค่ะอืเมื่อสักครู่คุณหมอบอกว่า
00:09:08 → 00:09:12 ภาวะไตเอ่อเกิดขึ้นได้แบบเอ่อเกิดขึ้นเอง
00:09:12 → 00:09:15 ในคนท้องหรืออะไรเงี้ยค่ะภาวะไตเฉียบพลัน
00:09:15 → 00:09:19 เนี่ยมันเกิดขึ้นเนี่ยเอ่อระยะเวลาประมาณ
00:09:19 → 00:09:22 เท่าไหร่คะคือเร็วแค่ไหนคำว่าเฉียบพลัน
00:09:22 → 00:09:24 อะไรประมาณเค่ะคุณหมอที่บอกว่าเกิดขึ้น
00:09:24 → 00:09:28 เองอ่ะค่ะปกิค่ะเอ่อเมื่อกี้ที่บอกว่า
00:09:28 → 00:09:31 เกิดจากการอักเสบอ่ะค่ะค่ะพวกนี้เนี่ยมัน
00:09:31 → 00:09:34 ก็จะต้องมีโรคโดยทั่วไปเนี่ยเราก็จะเห็น
00:09:35 → 00:09:37 ความผิดปกติจากโรคต่างๆที่เกิดขึ้นเนี่ย
00:09:37 → 00:09:40 ประมาณเป็นหลัก 2 อาทิตย์ 3 อาทิตย์อย่าง
00:09:41 → 00:09:43 เงี้ยค่ะแต่เขาก็จะมีอาการนำอื่นๆอย่าง
00:09:43 → 00:09:48 เช่นมีไข้ปวดข้อปัสสาวะเป็นฟองตัวบวมอะไร
00:09:48 → 00:09:52 พวกเนี้ยค่ะค่ะซึ่งก็จะเป็นอาการนำที่พา
00:09:52 → 00:09:55 มาพบแพทย์ที่โรงพยาบาลแล้วก็จะมีการตรวจ
00:09:55 → 00:09:59 วินิจฉัยเพิ่มเติมนะคะหรือว่าบางทีเป็นไป
00:09:59 → 00:10:03 เสื่อมจากการที่มีโรคติดเชื้ออื่นๆแล้วก็
00:10:03 → 00:10:05 มีภาวะติดเชื้อในกระแสโลหิตพวกนี้ก็จะ
00:10:05 → 00:10:08 อยู่ในมือแพทย์อยู่แล้วเพราะฉะนั้นถ้า
00:10:08 → 00:10:11 เป็นไตเสื่อมฉับพันธน่ะค่ะอันนี้ก็จะ
00:10:11 → 00:10:15 สามารถรักษาได้แล้วก็ถ้ารักษาต้นเหตุได้
00:10:15 → 00:10:20 อ่ะค่ะไตก็จะไม่นำไปสู่ภาวะไตวายเรื้อรัง
00:10:20 → 00:10:22 แต่ในทางกลับกันน่ะค่ะถ้าเป็นโรคไตวาย
00:10:22 → 00:10:24 เรื้อรังอย่างที่กล่าวไปแล้วเนี่ยเราจะ
00:10:24 → 00:10:29 วินิจฉัยว่าเป็นไวายเรื้อรังก็คือจะต้อง
00:10:29 → 00:10:33 มีภาวะไตที่มีค่าการทำงานของไตเนี่ยลดลง
00:10:33 → 00:10:37 ถึงระดับนึงแล้วก็เป็นระยะเวลาที่คงที่
00:10:37 → 00:10:41 เนี่ยนานเกินกว่า 3 เดือนนะคะแล้วก็มีการ
00:10:41 → 00:10:45 ตรวจซ้ำแล้วว่าแก้ไขสาเหตุต่างๆแล้วเนี่ย
00:10:45 → 00:10:48 ก็ไม่สามารถที่จะกลับมาเป็นปกติได้อันนี้
00:10:48 → 00:10:51 เราถึงจะวินิจฉัยผู้ป่วยเหล่าเนี้ยค่ะว่า
00:10:51 → 00:10:55 เป็นไวายเรื้อรังซึ่งไตวัยรังเองเนี่ยก็
00:10:55 → 00:10:59 จะแบ่งเป็นอีกหลายระยะนะคะถ้าเป็นระยะไว
00:10:59 → 00:11:03 เรือรังระยะแรกๆที่เราเรียกว่าระยะ 3A 3B
00:11:03 → 00:11:06 พวกเนี้ยค่ะถ้าเรารักษาต้นเหตุแล้วก็ควบ
00:11:06 → 00:11:10 คุมโรคได้มันก็จะไม่นำไปสู่ระยะ 4 ระยะ 5
00:11:10 → 00:11:14 แต่ระยะที่น่าเป็นห่วงแล้วก็ต้องฟอกไป
00:11:14 → 00:11:17 เนี่ยก็คือเป็นไปวายเรืรังระยะที่ 5 หรือ
00:11:17 → 00:11:22 ว่าระยะสุดท้ายนะคะค่ะอือ่าคุณหมอเคยเคย
00:11:22 → 00:11:25 พูดก่อนหน้านี้เกี่ยวกับเรื่องโรคอ้วนโรค
00:11:26 → 00:11:29 เอ่อโรคเบาหวานใช่มั้ยครับซึ่งน
00:11:30 → 00:11:32 มันก็เกิดมาจากการรับประทานหรือว่าการกิน
00:11:32 → 00:11:36 ของแต่ละบุคคลแหละแสดงว่าการกินของแต่ละ
00:11:36 → 00:11:39 คนหรืออาหารแต่ละอย่างเนี่ยมันก็ส่งผลให้
00:11:39 → 00:11:42 มีโอกาสเอ่อกระทบกระเทือนแล้วก็ทำให้ไต
00:11:42 → 00:11:45 เสื่อมสภาพได้ด้วยถูกต้องค่ะอฮก็คือการ
00:11:45 → 00:11:50 กินที่ส่วนใหญ่ถ้าเป็นหลักๆของบ้านเราถ้า
00:11:50 → 00:11:53 เป็นกระทรวงสาสุขหรือว่าสสสเราก็จะลงรง
00:11:53 → 00:11:56 ว่าให้หลีกเลี่ยงกลุ่มตระกูลหวานมันเค็ม
00:11:56 → 00:11:59 นะคะเพราะว่าอาหารเหล่านี้นี้ก็จะเป็น
00:11:59 → 00:12:02 อาหารที่ทำให้เกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
00:12:03 → 00:12:05 หรือว่าโรคอ้วนในกลุ่มเบาหวานความดันไข
00:12:05 → 00:12:09 มันนะคะซึ่งก็จะนำมาซึ่งภาวะตเสื่อมได้นะ
00:12:09 → 00:12:15 คะค่ะอือือกลุ่มอาหารมันหวานมันเค็มหวาน
00:12:15 → 00:12:18 มันเค็มนี่ก็เป็นมันต้องเป็นกินปริมาณ
00:12:18 → 00:12:20 เยอะขนาดไหนหรือต่อเนื่องขนาดไหนครับถึง
00:12:20 → 00:12:22 จะทำให้ตายหัวของเราที่มันอึดทนจะตายอยู่
00:12:22 → 00:12:26 แล้วเนี่ยมันมันเสื่อมได้คุณหมอค่ะก็ถ้า
00:12:26 → 00:12:32 เป็นกลุ่มอาหารหวานนะคะ
00:12:32 → 00:12:37 อ้นนะคะเพะว่ามันได้รับพลังงานที่เกิน
00:12:37 → 00:12:40 แล้วนำไปสู่การดื้อฮอร์โมนอินซูลินแล้วก็
00:12:40 → 00:12:43 ทำให้เราเกิดภาวะเอ่อเบาหวานแล้วก็ไปสู่
00:12:43 → 00:12:47 โรคไตได้นะคะโดยทั่วไปเนี่ยเราก็บอกว่า
00:12:47 → 00:12:50 น้ำตาลเนี่ยถ้าให้ดีเลยเนี่ยไม่มีความ
00:12:50 → 00:12:54 จำเป็นก็อย่ากินเกินวันละ 6 ช้อนชาต่อวัน
00:12:54 → 00:12:57 นะคะเพราะว่าตามสถิติเนี่ยเพว่าถ้าเรารับ
00:12:57 → 00:13:00 ประทานน้ำตาเกินวันละ 6 ช้อนชาต่อวัน
00:13:00 → 00:13:03 เนี่ยน้ำตาลในที่นี้เนี่ยหมายถึงน้ำตาล
00:13:03 → 00:13:06 ที่เราเติมเข้ามานะคะไม่ได้หมายถึงน้ำตาล
00:13:06 → 00:13:09 ที่อยู่ในธรรมชาติในอาหารอยู่แล้วยกตัว
00:13:09 → 00:13:13 อย่างเช่นเรากินผลไม้มันก็อาจจะมีน้ำตาล
00:13:13 → 00:13:16 เรากินข้าวก็มีน้ำตาลแต่เราหมายถึงน้ำตาล
00:13:16 → 00:13:19 ที่มีการปรุงแต่งหรือเติมเข้ามาไม่ว่าจะ
00:13:19 → 00:13:23 เป็นน้ำตาลทรายน้ำตาลมะพร้าวน้ำตาลน้ำ
00:13:23 → 00:13:26 ผึ้งน้ำอ้อยอะไรพวกเยค่ะคือสารให้ความ
00:13:26 → 00:13:30 หวานต่างๆอที่ให้พลังานอันเราบอกว่าไม่
00:13:30 → 00:13:33 ควรรับประทานเกินวันละ 6 ช้อนชาเพราะว่า
00:13:33 → 00:13:35 มันสัมพันธ์กับการเกิดโรคอ้วนแล้วนำมา
00:13:35 → 00:13:39 ซึ่งการเกิดโรคเบาหวานได้นะคะเพราะฉะนั้น
00:13:39 → 00:13:42 ถ้าเป็นคนที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน
00:13:42 → 00:13:44 อยู่แล้วหรือว่าเป็นเบาหวานอยู่แล้วหรือ
00:13:44 → 00:13:47 ว่ามีภาวะอ้วนเนี่ยค่ะก็ไม่ควรรับประทาน
00:13:47 → 00:13:50 อาหารที่มีการเติมน้ำตาลทีนี้อาหารอะไร
00:13:50 → 00:13:53 บ้างที่เติมน้ำตาลบางทีเวลาเรากินนอกบ้าน
00:13:53 → 00:13:56 เราก็บอกยากใช่มยคะมันก็แล้วแต่ร้านอาหาร
00:13:57 → 00:14:00 เลยแม้กระทั่งอาหารคาวเองคถ้าเป็นคนที่
00:14:00 → 00:14:03 เคยทำอาหารบางคนแบบเราเห็นแบบบางคนเจียว
00:14:03 → 00:14:07 ไข่ก็ใส่น้ำตาลหรือว่าบางร้านแบบผัดพวก
00:14:07 → 00:14:10 ผัดผักเองเนี่ยก็ใส่น้ำตาลหรือผัดข้าวผัด
00:14:10 → 00:14:13 แล้วก็รยน้ำตาลดังเนี้ยมันก็อาจจะบอกได้
00:14:13 → 00:14:17 ยากเพราะฉะนั้นเนี่ยการที่เอ่อเราพยายาม
00:14:17 → 00:14:21 ทานอาหารที่ไม่ลสจัดหรือว่าเราไม่ติดรส
00:14:21 → 00:14:26 ชาติหวานก็คือหลีกเลี้ยงพวกทอฟฟี่ขนมหวาน
00:14:26 → 00:14:29 น้ำหวานต่างๆเนี่ยลิ้นเราก็จะไม่ติดหวาน
00:14:29 → 00:14:31 เวลาเรากินพวกอาหารคาวต่างๆเราก็อาจจะ
00:14:31 → 00:14:35 ดีทคได้ว่าเอ้ยร้านเนี้ยมันหวานนะเราก็จะ
00:14:35 → 00:14:37 ได้ไม่กินร้านเหล่านี้หรือว่าเทคนิคก็คือ
00:14:37 → 00:14:42 พยายามอย่าไปซดพวกน้ำซุปน้ำยำน้ำราดอะไร
00:14:42 → 00:14:45 พวกเนี้ยค่ะเพราะว่าน้ำตาลมันก็จะอยู่ใน
00:14:45 → 00:14:48 พวกซอสต่างๆนะคะอย่างเช่นเหมือนเราไปกิน
00:14:48 → 00:14:52 สุกี้ชาบูอย่างเงี้ยค่ะแต่มันอร่อยนะน้้
00:14:52 → 00:14:56 ใช่น้ำจิ้มบางคนก็กินไปแบบ 45 อย่าเงี้ย
00:14:56 → 00:14:59 ค่ะมันก็น้ำตาลใช่มั้ยคะหรือว่าบางคนกิน
00:15:00 → 00:15:02 แบบอย่างเช่นจิ้มจิ้มไก่อย่างเงี้ยค่ะน้ำ
00:15:02 → 00:15:06 จิ้มไก่เองก็มีน้ำตาลใช่มั้ยคะเพราะ
00:15:06 → 00:15:08 ฉะนั้นพวกนี้ก็อาจจะเป็นน้ำตาลที่แฝงเข้า
00:15:09 → 00:15:12 มาแล้วเราไม่รู้ตัวอย่างเงี้ยค่ะค่ะพอพูด
00:15:12 → 00:15:16 ถึงก็อาจจะต้องหลีกเลี่ยงก็ต้องหมั่นหๆ
00:15:16 → 00:15:18 รู้จักกับอาหารที่เรากินใช่มั้ยฮะใช่ๆอัน
00:15:18 → 00:15:22 นี้พี่ก็ก็เลยจะขอคำแนะนำจากคุณหมอค่ะ
00:15:22 → 00:15:25 เพราะว่าเดี๋ยวเนี้ยผลิตภัณฑ์เอ่อเอ่อ
00:15:25 → 00:15:28 สินค้าต่างๆเนี่ยมันก็จะมีฉลากโภชนาการ
00:15:28 → 00:15:31 อยู่ด้าข้างเราควสังเกตัวเลขนี้ยังไงบ้าง
00:15:31 → 00:15:35 คะคุณหมอเอ่อเรื่องของน้ำตาลเอ่อสูงไม่
00:15:35 → 00:15:38 ควรเกิน 88% หรืออะไรประมาณนี้แล้วก็
00:15:38 → 00:15:41 เรื่องของโซเดียมความเค็มที่อยู่ข้างๆซอง
00:15:41 → 00:15:44 ขนมถุงอะไรอย่าเงี้ยค่ะเราควรจะสังเกต
00:15:44 → 00:15:48 แล้วก็ยังไงถึงเรียกว่ามันพอพอจะบริโภค
00:15:48 → 00:15:51 ได้ในปริมาณที่เหมาะสมอะไรเงี้ยค่ะค่ะคือ
00:15:51 → 00:15:55 จริงๆถ้าพูดถึงฉลากโภชนาการน่ะค่ะมันก็จะ
00:15:55 → 00:15:58 มีแบบย่อกับแบบเต็มถ้าเราสังเกตแบบย่อ
00:15:58 → 00:16:02 เนี่ยมันจะอยู่ข้างหน้าถ้าสังเกตขนมถุง
00:16:02 → 00:16:05 เห็นมั้ยคะมันจะมีแบบเป็นตารางสี่เหลี่ยม
00:16:05 → 00:16:08 อยู่ข้างหน้าจะเขียนว่าพลังงานแล้วก็จะมี
00:16:08 → 00:16:11 เอ่อน้ำตาลไขมันโซเดียมอันนี้ก็จะเป็น
00:16:11 → 00:16:15 หลักๆที่กระทรวงบังคับให้ให้ระบุนะคะแล้ว
00:16:15 → 00:16:18 ก็ข้างหลังเนี่ยมันก็จะเป็นตารางเลยอัน
00:16:18 → 00:16:20 นี้เราเรียกว่าแบบเต็มอืความแตกต่างกัน
00:16:21 → 00:16:25 เนี่ยไอ้ข้างหน้าค่ะมันจะบอกทั้งหมดต่อ 1
00:16:25 → 00:16:28 1 ซองที่บรรจุค่ะแต่ข้างหลังอ่ะต้อง
00:16:29 → 00:16:32 สังเกตให้ดีข้างหลังมันจะเขียนว่าต่อ 1
00:16:32 → 00:16:36 หน่วยบริโภคแต่ทั้งซองอ่ะค่ะมันอาจจะมาก
00:16:36 → 00:16:39 กว่า 1 หน่วยบริโภคยกตัวอย่างเช่นสมมุติ
00:16:39 → 00:16:42 ว่าเป็นขนมห่อใหญ่ข้างหลังมันจะเขียนว่า
00:16:42 → 00:16:44 ปริมาณสารอาหารต่อ 1 หน่วยบริโภคแล้วก็จะ
00:16:44 → 00:16:47 เขียนว่าหน่วยบริโภคเท่ากับ 3 แปลว่าเรา
00:16:47 → 00:16:52 ต้องคูณ 3 ถ้าเรากินหมดทั้งซองออในทางขับ
00:16:52 → 00:16:55 กันน่ะค่ะข้างหน้าซองอ่ะมันก็จะเขียนระบุ
00:16:55 → 00:16:59 ให้ว่าควรแบ่งทันกี่ครั้งออออ่านไม่ถึง
00:16:59 → 00:17:02 ประโยคนี้สักครั้งเลยทำไมใช่ก็คือข้าง
00:17:02 → 00:17:06 หน้าข้างหน้ามันจะเขียนเป็นแบบทั้งห่อค่ะ
00:17:06 → 00:17:10 แต่มันจะเขียนให้เราว่าควรบริโภคกี่ครั้ง
00:17:10 → 00:17:12 แต่ข้างหลังอ่ะจะเขียนต่อจำนวน 1 ครั้ง
00:17:12 → 00:17:16 เพราะฉะนั้นบางท่านที่แบบมันไม่รู้บางที
00:17:16 → 00:17:20 ก็งงๆก็อาจจะสับสนทีนี้น้ำตาลดูยังไงนะคะ
00:17:20 → 00:17:24 น้ำตาลน่ะเขาจะระบุเป็นกรัมเมื่อกี้ที่
00:17:24 → 00:17:27 หมอบอกว่าไม่ควรบริโภคเกินวันละ 6 ช้อนชา
00:17:27 → 00:17:30 อน้ำตาล 1 ช้อนชาก็คือ 4 กรัมค่ะครับค่ะ
00:17:30 → 00:17:34 เพราะฉะนั้นถ้าระบุว่า 24 กรัมก็แปลว่า
00:17:34 → 00:17:37 อันนั้นน่ะน้ำตาล 6 ช้อนชาแล้วก็คืออาจจะ
00:17:37 → 00:17:41 เอาสไปหาหมดสิทธิ์แล้วใช่แต่ถ้าเราไม่ได้
00:17:41 → 00:17:44 ซีเรียสมากเอาแบบจำตัวเลขง่ายๆก็อาจจะใช้
00:17:44 → 00:17:47 เป็นเลข 5 ก็ได้ค่ะค่ะก็อาจจะจำง่ายหน่อย
00:17:47 → 00:17:51 อันนี้คือเรื่องของน้ำตาลนะคะอืน้ำตาลแต่
00:17:51 → 00:17:55 ว่าถ้าใช่ๆแต่ว่าถ้าโซเดียมเนี่ยก็จะระบุ
00:17:55 → 00:17:59 เป็นมิลลิกรัมคค่ะนะคะถ้าโซเดียมเนี่ยจะ
00:18:00 → 00:18:02 เป็นเรื่องของเอ่อบางคนจะบอกว่าเป็น
00:18:02 → 00:18:04 เรื่องของความเค็มแต่เอาจริงๆโซเดียม
00:18:04 → 00:18:07 เนี่ยอาจจะมาในรูปแบบหวานก็ได้ยกตัวอย่าง
00:18:07 → 00:18:10 เช่นผงฟูอันนี้ก็คือโซเดียมไบคาร์บอเนต
00:18:10 → 00:18:13 อยู่ในพวกเบเกอรี่อันนี้ก็เป็นขนมหวานใช่
00:18:13 → 00:18:17 มั้ยคะหรือว่าพวกแบบโดน้งโดนัทต่างๆพวก
00:18:17 → 00:18:21 เนี้ยก็ใส่เนยใส่ผงฟูเพราะฉะนั้นมันก็คือ
00:18:21 → 00:18:24 โซเดียมค่ะอืเพราะฉะนั้นโซเดียมอ่ะไม่ได้
00:18:24 → 00:18:28 เป็นอาหารเค็มอย่างเดียวอือออนะคะเพรา
00:18:28 → 00:18:31 นั้นพวกผงปรุงรสผงชูรสต่างๆเนี่ยรสชาติ
00:18:31 → 00:18:35 นัวต่างๆก็คือโซเดียมได้เหมือนกันทีนี้
00:18:35 → 00:18:39 ถ้าดูฉลากโภชนาการน่ะค่ะมันก็จะระบุว่ามี
00:18:39 → 00:18:42 กี่มิลลิกรัมโดยใน 1 วันน่ะเราแนะนำว่า
00:18:42 → 00:18:45 ไม่ควรบริโภคเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน
00:18:45 → 00:18:48 ค่ะอืเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไปนะ
00:18:48 → 00:18:52 คะค่ะค่ะ 2,000 มิลลิกรัมต่อวันเนี่ยคือ
00:18:52 → 00:18:55 แค่ไหนถ้าเป็นเครื่องปรุงก็คือเกลือ 1
00:18:55 → 00:18:56 ช้อนชา
00:18:56 → 00:18:59 อื 1 ช้อน
00:18:59 → 00:19:00 มันน่าจะเกินเลยมั้ยเนี่ยกับข้าวที่เรา
00:19:00 → 00:19:04 กินแต่ละมื้อเนี่ยใช่ก็คนไทยอ่ะค่ะเฉลี่ย
00:19:04 → 00:19:08 เนี่ยที่เคยทำวิจัยไว้ก็กินโซเดียมเฉลี่ย
00:19:08 → 00:19:11 วันนึงประมาณ 4,000 - 6,000 มิลลิกรัม
00:19:11 → 00:19:14 เลยโอ้โห 2 เท่าเป็นอย่างน้อยเลยนะเนี่ย
00:19:14 → 00:19:18 3ทใช่ 2-3 เท่ายกตัวอย่างเช่นบางคนบอกว่า
00:19:18 → 00:19:21 เอ้ยไม่ได้ใส่เกือนเลยแต่ใส่แบบพวกซุป
00:19:21 → 00:19:25 ก้อนว่าอุมิทั้งหลายอืใช่ซุปก้อน 1 ก้อน
00:19:25 → 00:19:30 นี่ 2,600 มิลกรัมนะคะอืเกินไป 600 เกอ
00:19:30 → 00:19:33 ใช่ก็คือถ้าซดน้ำซุปอะไรที่เราเอาไปทำมัน
00:19:33 → 00:19:36 ก็อาจจะทำให้เราได้โซเดียมเกินแต่ว่าถ้า
00:19:36 → 00:19:41 เป็นพวกซีอิ๊วน้ำปลาก็ถ้าเป็นกลุ่มที่ไม่
00:19:41 → 00:19:44 ได้โลโซเดียมถ้าไม่ได้โลโซเดียมเนี่ย 1
00:19:45 → 00:19:47 ช้อนชาจะตกประมาณ 500
00:19:47 → 00:19:50 มิลลิกรัมแต่ถ้าโโซเดียมเนี่ยก็จะแล้วแต่
00:19:50 → 00:19:52 ผลิตภัณฑ์เพราะว่าเดี๋ยวนี้มันจะมี
00:19:53 → 00:19:56 ผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่เป็นรสโซเดียมค่ะก็
00:19:56 → 00:20:00 จะต้องไปดูว่าแต่ละช้อนน่ะค่ะมันลดไปกี่
00:20:00 → 00:20:03 เปอร์เซ็นต์ซึ่งจริงๆเวลาเขาเขียนที่ฉลาก
00:20:03 → 00:20:09 ว่าลดโซเดียมมากถึง 50% 60% 70% เนี่ย
00:20:09 → 00:20:11 ไอ้เปอร์เซ็นต์อันเนี้ยมันเทียบกับสูตร
00:20:11 → 00:20:15 ปกติของเค้านะคะอืมันไม่ได้หมายถึงสมมุติ
00:20:15 → 00:20:18 ว่าสมมุติว่าคุณขวัญเห็น 2 ขวดเหมือนกัน
00:20:18 → 00:20:21 แล้วขวดนึงเขียนว่าลด 50 ขวดนึงเขียนลด 70
00:20:21 → 00:20:24 อาจจะไม่ได้หมายถึงว่าขวดที่ลด 70 ดีกว่า
00:20:24 → 00:20:29 ขวดที่ลด 50 ก็ได้อมันอยู่ที่ว่า 70% น่ะ
00:20:29 → 00:20:32 ของตัวตั้งต้นคืออะไรต้นทางเป็นยังไงต้น
00:20:32 → 00:20:34 ทางคือยังไงเพราะว่าบางยี่ห้อสมมติว่าต้น
00:20:34 → 00:20:38 ทางเ 100 ลด 70 แต่อีกบางยี่ห้อนึงต้นทาง
00:20:38 → 00:20:40 มันอาจจะแค่ 80 ลด 50 ก็อาจจะเยอะกว่าไอ้
00:20:40 → 00:20:44 กลุ่มที่ลด 70 ก็ได้โอ้โหเพราะฉะนั้นถ้า
00:20:44 → 00:20:47 ให้หมอแนะนำก็คือดูฉลากไปเลยว่ากี่
00:20:47 → 00:20:50 โซเดียมกี่มิลลิกรัมต่อ 1 ช้อนชาอย่าง
00:20:50 → 00:20:53 เงี้ยค่ะออก็จะมั่นใจได้มากกว่าเพราะว่า
00:20:53 → 00:20:57 มันจะระบุอยู่แล้วค่ะอืแต่ว่าในแง่ของ
00:20:57 → 00:21:00 เครื่องปรุงโโซเดียมก็อาจจะต้องระมัด
00:21:00 → 00:21:02 ระวังนิดนึงในกลุ่มคนไข้ที่เป็นโรคไกับ
00:21:02 → 00:21:06 โรคหัวใจบางกลุ่มค่ะอเพราะว่าเขาก็จะมี
00:21:06 → 00:21:10 สารทดแทนเกลือออซึ่งมันจะเป็นสารกลุ่ม
00:21:10 → 00:21:14 โพแทสเซียมคลอไรด์ค่ะค่ะเราเราต้องไปดู
00:21:14 → 00:21:17 ว่าเครื่องปรุงรสโซเดียมเหล่านั้นหรือว่า
00:21:17 → 00:21:21 ผลิตภัณฑ์ที่รดโซเดียมเนี่ยมีการไก่สารทด
00:21:21 → 00:21:25 แทนเกลือที่ชื่อโพแทสเซียมคลอไรด์ไมอืค่ะ
00:21:25 → 00:21:28 มันอยู่ในไหนก็ไปดูในส่วนประกอบอาหารเลย
00:21:28 → 00:21:31 ค่ะอืตรงส่วนประกอบอาหารมันจะมีเขียนเลย
00:21:31 → 00:21:34 ว่าใช้เกลือโพแทสเซียมคลอไรด์ค่ะเพราะว่า
00:21:34 → 00:21:37 โพแทสเซียมเนี่ยจะเป็นอันตรายกับคนไข้ที่
00:21:37 → 00:21:40 เป็นไตวายไปแล้วเนื่องจากไตเนี่ยจะทำหน้า
00:21:40 → 00:21:44 ที่ขับโพแทสเซียมที่เกินออกจากร่างกายค่ะ
00:21:44 → 00:21:46 เพราะฉะนั้นถ้าเขาเป็นไวายแล้วเนี่ยเขาจะ
00:21:46 → 00:21:49 ขับโพแทสเซียมออกไม่ได้ก็จะทำให้เกิดภาวะ
00:21:49 → 00:21:52 โพแทสเซียมในเลือดสูงนำมาสู่การเต้นผิด
00:21:52 → 00:21:57 จังหวะของหัวใจหรือว่าเสียชีวิตได้อืนะคะ
00:21:57 → 00:21:59 เพราะว่าถ้าไม่ออกว่าโปรแตสเซียมคลอไรด์
00:21:59 → 00:22:02 คืออะไรมันก็คือสารที่เหมือนเราใช้ประ
00:22:02 → 00:22:06 ประหารชีวิตนักโทษอ่ะค่ะอออืที่เราฉีด
00:22:06 → 00:22:09 เข้าไปแต่ว่าอันนั้นมันเยอะปริมาณเยอะแต่
00:22:09 → 00:22:11 ว่าที่เราใส่อ่ะมันไม่ได้เยอะมากแต่เพียง
00:22:11 → 00:22:14 แต่ว่าถ้าเป็นคนปกติเนี่ยไม่เป็นไรคือถ้า
00:22:15 → 00:22:18 ตายปกติกินโพแทสเซียมเยอะเนี่ยไม่ได้มี
00:22:18 → 00:22:20 ปัญหาอะไรโดยเฉพาะโพแทสเซียมที่มาจาก
00:22:20 → 00:22:24 ธรรมชาติเนี่ยจริงๆช่วยลดความดันด้วยซ้ำ
00:22:24 → 00:22:27 แต่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่เป็นไตไปแล้วหรือ
00:22:27 → 00:22:31 ว่าเป็นหัวใจค่ะที่เป็นกลุ่มที่ขับ
00:22:31 → 00:22:34 โพแทสเซียมไม่ได้อะไรอย่างเงี้ยค่ะอือก็
00:22:34 → 00:22:37 อาจจะต้องระวังการกินพวกเครื่องปรุงรส
00:22:37 → 00:22:40 โซเดียมที่มีการเติมโพแทสเซียมคลอไรด์
00:22:40 → 00:22:43 เข้าไปค่ะอค่ะในฉลากเต็มที่อยู่ด้านหลัง
00:22:43 → 00:22:46 นี่คือเขาจะมีชื่อโพแทสเซียมคลอไรด์อยู่
00:22:46 → 00:22:49 ให้เห็นอยู่ในส่วนประกอบอ๋อค่ะใช่ค่ะค่ะ
00:22:49 → 00:22:52 มันจะอยู่ตรงส่วนประกอบนะคะเวลาเราอ่านนะ
00:22:52 → 00:22:58 พวกส่วนประกอบเช่นน้ำตาล 5% อืเกลือ 2%
00:22:59 → 00:23:01 เครื่องปรุงรสอยจะต้องระบุถ้าเป็น
00:23:01 → 00:23:05 โพแทสเซียมคลอไรด์เป็นกฎหมายอ่ะค่ะมันก็
00:23:05 → 00:23:08 จะเขียนไปเลยว่าใช้สารทดแทนเกลือเป็น
00:23:08 → 00:23:11 เกลือโพแทสเซียมคลอไรด์แบบเนี้ยค่ะอือื
00:23:11 → 00:23:14 ค่ะคุณหมอพต้องสังเกตตรงนี้ค่ะที่เมื่อ
00:23:14 → 00:23:17 สักครู่คุณหมอพูดถึงโพแทสเซียมคลอไรด์ที่
00:23:17 → 00:23:23 มาจากธรรมชาติเอเอ่อมันอยู่ในเอ่อวัตถุ
00:23:23 → 00:23:28 ดิบประเภทไหนบ้างคะผักผลไม้ธัญพืชต่างๆ
00:23:28 → 00:23:33 ่อะไรพวกเนี้ยค่ะจริงๆในในผักผลไม้ทั้ง
00:23:33 → 00:23:36 หลายก็จะมีโพแทสเซียมเยอะอค่ะซึ่ง
00:23:36 → 00:23:39 โพแทสเซียมอ่ะเป็นแร่ธาตุที่มีความจำเป็น
00:23:39 → 00:23:44 ต่อร่างกายในปริมาณนึงแล้วก็ถ้าเป็นคน
00:23:44 → 00:23:47 ปกติอ่ะค่ะการรับประทานโพแทสเซียมจาก
00:23:47 → 00:23:50 ธรรมชาติพวกผักผลไม้อย่างเงี้ยค่ะไม่ได้
00:23:50 → 00:23:54 เป็นอันตรายอะไรแล้วก็ในคนที่เป็นความดัน
00:23:54 → 00:23:57 สูงแล้วยังไม่ได้เป็นโรคไตค่ะถ้าเรารับ
00:23:57 → 00:23:59 ประทานจากธรรมชาติพวกเนี้ยค่ะตัวเกลือ
00:23:59 → 00:24:03 โพแทสเซียมจากธรรมชาติเองอ่ะค่ะมันก็จะมี
00:24:03 → 00:24:07 ส่วนช่วยขยายหลอดเลือดทำให้ลดความดัน
00:24:07 → 00:24:11 โลหิตได้ค่ะอืแต่ว่าต้องมาจากธรรมชาตินะ
00:24:11 → 00:24:15 คะไม่ใช่สารสังเคราะห์ค่ะอือืค่ะเพราะ
00:24:15 → 00:24:17 ฉะนั้นเราก็บอกว่ากินอาหารธรรมชาติไม่
00:24:17 → 00:24:18 เป็นไร
00:24:18 → 00:24:22 อืแต่ถ้าเป็นไปแล้วเนี่ยก็จะถูกสั่งให้
00:24:22 → 00:24:25 จำกัดถ้าสมตว่าใครเคยเป็นมีญาติเป็นโรคไต
00:24:25 → 00:24:28 หรือว่าเป็นไตวายเรื้อรังเราจะเห็นว่าคุณ
00:24:28 → 00:24:31 หมอจะสั่งเลยว่าหั้นทานผักสีเขียวเข้มนะ
00:24:31 → 00:24:35 ออๆๆๆเคยได้ยินใชมยทานผักแล้วให้เอาไปลวก
00:24:35 → 00:24:40 ก่อนอ๋อไม่ให้ทานข้าวกล้องไม่ให้ทานถั่ว
00:24:40 → 00:24:43 ียพืชอทั้งที่พวกเยเป็นอาหารเป็นอาหารที่
00:24:43 → 00:24:47 ดีต่อสุขภาพคค่ะใช่แต่เมื่อไหร่ที่เป็นไ
00:24:47 → 00:24:51 วัเรื้อรังระยะที่ 4 ไปแล้วค่ะแล้วมี
00:24:51 → 00:24:54 โพแทสเซียมในเลือดสูงอันเนี้ยต้องจำกัด
00:24:54 → 00:24:58 เพราะว่าไตขับออกไม่ได้อืค่ะอ๋ออก็จะทำ
00:24:58 → 00:25:01 ให้เขาเสียโอกาสในการได้รับอาหารที่ดีไป
00:25:01 → 00:25:03 ถ้าเราพูดกันง่ายๆคนไข้โรกไปก็จะเสีย
00:25:03 → 00:25:06 โอกาสในการรับอาหารที่ดีบางชนิดเหมือนกัน
00:25:06 → 00:25:10 อออย่างงั้นเขาจะขาดวิตามินบางบางตัวมยคะ
00:25:10 → 00:25:13 แบบพวก B12 อะไรอย่างเงี้ยเขาต้องเสริม
00:25:13 → 00:25:16 หรือเป่าคะคุณหมอบสิฝมันมาจากเนื้อสัตว์
00:25:16 → 00:25:19 ค่ะอ๋อโอเคดังนั้นเนี่ยถ้าคนไข้โรคไต
00:25:19 → 00:25:23 เนี่ยรับประทานเนื้อสัตว์แบบพอเหมาะก็อาจ
00:25:23 → 00:25:27 จะไม่ขาดบ 122 แต่ก็เสี่ยงที่อาจจะขาดใน
00:25:27 → 00:25:31 แง่ที่ว่าคนไข้ที่เป็นไปวัยระรังเนี่ย
00:25:31 → 00:25:34 แล้วไม่อยากซอกไปอ่ะค่ะระยะที่ 5 อย่าง
00:25:34 → 00:25:37 เงี้ยครับคุณหมอก็สั่งให้จำกัดโปรตีนและ
00:25:37 → 00:25:40 อือเพราะฉะนั้นก็จะต้องรับประทานเนื้อ
00:25:40 → 00:25:43 สัตว์น้อยลงเพราะว่าโปรตีนเนี่ยก็จะทำให้
00:25:43 → 00:25:47 เกิดของเสียที่อาจจะทำให้ตายวายเร็วขึ้น
00:25:47 → 00:25:51 ค่ะโดยเฉพาะโปรตีนที่เป็นกลุ่มเนื้อสัตว์
00:25:51 → 00:25:56 แปรรูปหรือว่าเนื้อแดงฮะอืค่ะก็ถ้าเป็น
00:25:57 → 00:25:59 เอาแบบแบบสะดวกง่ายๆก็คือต้องเป็นโปรตีน
00:25:59 → 00:26:02 เนื้อสีขาวเช่นปลาหรือไก่อะไรทำนองนี้ได้
00:26:02 → 00:26:06 มั้ยคะคุณหรือว่าไข่ขาวไข่ขาวอืค่ะค่ะอก็
00:26:06 → 00:26:10 จะเป็นโปรตีนที่ที่ถือว่าสะอาดกว่าสำหรับ
00:26:10 → 00:26:15 คุณไข้โรคไตค่ะค่ะถ้าพูดถึงเอ่อถ้าในภาพ
00:26:15 → 00:26:18 รวมใหญ่เมื่อสักครู่คุณหมอบอกว่าเอ่อผัก
00:26:18 → 00:26:22 สีเขียวเข้มเอ่อหรือว่าเรื่องของถั่วอะไร
00:26:22 → 00:26:25 ทำนองนี้แล้วก็เข้ากล้องเนี่ยไม่ไม่เหมาะ
00:26:25 → 00:26:28 สำหรับคนที่เป็นโรคไตไวเรื้อรังแล้วแแต่
00:26:28 → 00:26:32 มีอาหารกลุ่มไหนแบบเอ่อที่ควรจะรับประทาน
00:26:32 → 00:26:35 หรือว่าไปบำรุงไตในช่วงที่เราป่วยเกี่ยว
00:26:35 → 00:26:41 กับโรคโรคไตมคะคุณหมอครับค่ะอันนี้จริงๆ
00:26:41 → 00:26:43 เนื่องจากว่ามีผู้ฟังอาจจะมีทั้งเป็นโรค
00:26:43 → 00:26:47 ไตแล้วก็ไม่เป็นโรคไตใช่มั้คะหมออาจจะขอ
00:26:47 → 00:26:51 อนุญาตพูดแยกประเด็นยาวนิดนึงเพราะว่าบ
00:26:51 → 00:26:55 หมอก็มีปัญหาคนไข้หลายคนเหมือนกันที่แบบไ
00:26:55 → 00:26:58 มันแค่เริ่มเสื่อมแต่ยังไม่เป็นไตวันแบบ
00:26:58 → 00:27:02 ระยะ 4 ระยะ 5 แต่กังวลมากก็จะมาแบบขยั้น
00:27:02 → 00:27:06 คะยอหมอว่าไปกินอาหารแบบคนเป็นโรคไตอ่ะ
00:27:06 → 00:27:09 เพราะว่าจะป้องกันไตเสื่อมเมื่อกี้ที่หมอ
00:27:09 → 00:27:13 บอกไปแล้วว่าจริงๆอาหารแบบยังไม่เป็นโรค
00:27:13 → 00:27:16 ไตแล้วกินได้อย่างเช่นพวกผักใบเขียว
00:27:16 → 00:27:19 ธัญญพืชต่างๆเหล่าเนี้ยค่ะค่ะมันดีกับคน
00:27:19 → 00:27:22 ที่ไม่เป็นโรคไตแล้วจริงๆมันก็ป้องกันการ
00:27:22 → 00:27:25 เป็นโรคไตเสื่อมอือเพราะว่ามันมีพวกสาร
00:27:25 → 00:27:28 ต้าสระะมีไฟเบอร์
00:27:28 → 00:27:31 ก็ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดใช่มั้ยคะค่ะ
00:27:31 → 00:27:35 ช่วยขับสารพิษเอยเป็นสารป้องกันการที่แบบ
00:27:35 → 00:27:40 เราเอ่อมีอนุมูลอิสระในร่างกายช่วยใน
00:27:40 → 00:27:43 เรื่องของการควบคุมน้ำหนักควบคุมน้ำตาลลด
00:27:43 → 00:27:47 ความดันเพราะฉนั้นจะเห็นว่าอาหารธรรมชาติ
00:27:47 → 00:27:51 อาหารสุขภาพอย่างเช่นผักดเอ่อผักใบเขียว
00:27:51 → 00:27:54 ผักหลากสีธัญญพืชข้าวกล้องข้าว
00:27:54 → 00:27:57 ไรซ์เบอร์รี่เนื้อสัตว์ไม่ติดมันต่างๆ
00:27:57 → 00:28:00 เหล่าเนี้ยกินได้สำหรับคนที่ยังไม่เป็น
00:28:00 → 00:28:02 โรคไตเพื่อป้องกันโรคไตเพราะฉะนั้นถ้าบอก
00:28:02 → 00:28:05 ว่าเป็นอาหารบำรุงไตอาหารเหล่าเนี้ยคือ
00:28:05 → 00:28:10 อาหารที่บำรุงไปอืค่ะแต่พอไเสื่อมไปแล้ว
00:28:10 → 00:28:14 ครับถึงระยะ 4 ระยะ 5 แล้วแล้วเราอ่ะจะ
00:28:14 → 00:28:18 ชะลอไม่ให้เสื่อมไม่ให้มันต้องไปเข้าสู่
00:28:18 → 00:28:22 ระยะที่เกิดการล้างไปค่ะอันเนี้ยค่ะถึงจะ
00:28:22 → 00:28:25 มาจำกัดอาหารพวกนี้เพราะว่าไปมันขับสาร
00:28:25 → 00:28:29 พวกโพแทสเซียมค่ะปับแล่ธาตุต่างๆไม่ได้
00:28:29 → 00:28:33 ซึ่งหมอคิดว่าอยากให้คนไข้ที่เป็นโรคไต
00:28:33 → 00:28:36 อ่ะค่ะที่เป็นระยะ 4 ระยะ 5 เนี่ยอปรึกษา
00:28:36 → 00:28:39 คุณหมอก่อนว่าเขาอ่ะจำเป็นต้องกินอาหาร
00:28:39 → 00:28:43 ที่จำกัดแบบคนเป็นโรคไตเรื้อรังะยังครับ
00:28:43 → 00:28:46 ค่ะเพราะว่าบางคนกลัวมากแล้วก็ไปกินแบบ
00:28:46 → 00:28:49 นั้นมันจะอาจจะขาดสารอาหารค่ะหรือว่ากลาย
00:28:50 → 00:28:54 เป็นผลเสียต่อสุขภาพแทนอืแต่พอเป็นปวาย
00:28:54 → 00:28:56 เรื้อรังระยะ 4 ระยะ 5 แล้วบอกว่าจะมี
00:28:56 → 00:29:00 อาหารอะไรที่บำรุงไตมมันไม่สามารถที่จะทำ
00:29:00 → 00:29:04 ให้ไตอ่ะฟื้นกลับมาเป็นระยะ 2 ระยะ 1 ได้
00:29:04 → 00:29:08 อ๋อคือเาเสียหายไปแล้วคะเเสียหายไปแล้ว
00:29:08 → 00:29:12 แต่เราอ่ะสามารถชะลอไม่ให้มันเสื่อมได้
00:29:12 → 00:29:17 ด้วยการทำอย่างไรก็คือ 1 ชะลอโรคก็คือถ้า
00:29:17 → 00:29:20 เป็นโรคอ้วนก็ต้องคุมน้ำหนักครับถ้าเป็น
00:29:20 → 00:29:23 เบาหวานก็ต้องควบคุมเบาหวานก็คือเหลียบ
00:29:23 → 00:29:26 เลี่ยงอาหารประเภทพวกน้ำตาลของหวานไม่ให้
00:29:26 → 00:29:29 น้ำตาลสูงอค่ะเป็นความดันก็คือเลี่ยงพวก
00:29:29 → 00:29:32 โซเดียมต่างๆดังนั้นก็กลับมาเหมือนเดิม
00:29:32 → 00:29:35 เลยค่ะว่าเราจะเลี่ยงอะไรสำหรับคนไข้ที่
00:29:35 → 00:29:38 เป็นไวายเรื้อรังไปแล้วก็คืออาหารหวานกับ
00:29:38 → 00:29:42 อาหารเค็มหลักๆส่วนอาหารมันเนี่ยเวลาเรา
00:29:42 → 00:29:45 พูดคำว่ามันในที่นี้เนี่ยหมอหมายถึงไขมัน
00:29:45 → 00:29:51 อิ่มตัวซึ่งก็คือไขมันจากสัตว์อือนมเนย
00:29:51 → 00:29:55 ต่างๆนะคะแต่ไม่ได้หมายถึงน้ำมันที่มาจาก
00:29:55 → 00:29:59 พืชที่ดียกตัวอย่างอย่างเช่นน้ำมันลำข้าว
00:29:59 → 00:30:03 น้ำมันมะกอกน้ำมันที่ใช้ในการประกอบอาหาร
00:30:03 → 00:30:05 ที่ไม่ใช่น้ำมันหมูน้ำมันปาลมหรือว่าน้ำ
00:30:05 → 00:30:08 มันมะพร้าวน้ำมันที่ให้เลี่ยงจะมีแค่ 3
00:30:08 → 00:30:11 อย่างก็คือน้ำมันหมูน้ำมันปำน้ำมัน
00:30:11 → 00:30:13 มะพร้าวอย่างเช่นพวกกะทิต่างๆเพราะว่าพวก
00:30:13 → 00:30:17 เนี้ยเป็นไขมันอิ่มตัวซึ่งคนไข้โรคไตอ่ะ
00:30:17 → 00:30:20 ค่ะเขาเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
00:30:20 → 00:30:22 อยู่แล้วแล้วก็ไขมันอิ่มตัวเหล่าเนี้ยก็
00:30:22 → 00:30:25 จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเพิ่มคอเลสเตอรอล
00:30:25 → 00:30:28 แล้วก็ไขมันไม่ดีชนิด ldl ในเลือดซึ่งจะ
00:30:28 → 00:30:32 เป็นผลร้ายต่อคนไข้โรคไตนะคะดังนั้นเนี่ย
00:30:32 → 00:30:35 เขาก็เลยจำเป็นต้องเลี่ยงไขมันจากสัตว์
00:30:35 → 00:30:38 ที่เป็นพวกสัตว์เนื้อแดงนะคะไม่ได้หมาย
00:30:39 → 00:30:42 ถึงปลาถ้าเป็นไขมันจากปลาเนี่ยไม่เป็นไร
00:30:42 → 00:30:44 เพราะว่าอันนี้ไม่ใช่ไขมันอิ่มตัวเป็น
00:30:44 → 00:30:47 โอเมก้า 3 ไม่เป็นไรแต่ว่าไขมันที่ให้
00:30:47 → 00:30:51 เลี่ยงก็คืออน้ำมันหมูน้ำมันไก่ไขมันจาก
00:30:51 → 00:30:53 สัตว์ทั้งหลายเครื่องในสัตว์หน้ำสัตว์
00:30:53 → 00:30:58 ต่างๆนะคะแล้วก็พวกเนยนมเต็มสุส่วนต่างๆ
00:30:58 → 00:31:01 ที่เป็นไขมันเต็มส่วนนะคะแล้วก็น้ำมัน
00:31:01 → 00:31:03 มะพร้าวน้ำมัน
00:31:03 → 00:31:06 ปาล์แต่ว่าถ้าเป็นน้ำมันพืชอื่นๆทานได้
00:31:06 → 00:31:09 ที่หมอบอกว่าน้ำมันอื่นๆให้ทานได้เพราะ
00:31:09 → 00:31:13 ว่าถ้าเราไปเลี่ยงน้ำมันน่ะค่ะในคนไข้ที่
00:31:13 → 00:31:15 ไตวายเรื้อรังไปแล้วพวกเนี้ยเขาต้องการ
00:31:15 → 00:31:19 พลังงานแต่ว่าถูกจำกัดพวกโปรตีนต่างๆหรือ
00:31:19 → 00:31:23 ว่าอาจจะมีภาวะเบื่ออาหารครับทานอาหารไม่
00:31:23 → 00:31:26 ได้น้ำมันเนี่ยเป็นแหล่งให้พลังงานที่
00:31:26 → 00:31:29 ค่อนข้างดีเพราะว่าเรากินน้ำมันเนี่ยมัก
00:31:29 → 00:31:32 จะอ้วนใช่มั้คะแต่คนไข้ไตที่ไม่อ้วนหรือ
00:31:32 → 00:31:34 ว่าเป็นไตวายเรื้อรังเนี่ยเราจะสังเกต
00:31:34 → 00:31:38 เห็นว่าเขาจะเริ่มขาดสารอาหารเพราะว่าทาน
00:31:38 → 00:31:41 อะไรก็ไม่ได้เลยเบื่ออาหารของเสียคัพวก
00:31:41 → 00:31:44 นี้อาจจะต้องกินน้ำมันครับเอาน้ำมันไป
00:31:44 → 00:31:47 ประกอบอาหารเช่นไปผัดกับข้าวไข่ขาวก็
00:31:47 → 00:31:50 เจียวใส่น้ำมันได้อันนี้ไม่ใช่ข้อห้าม
00:31:50 → 00:31:54 สำหรับคนไข้โรคไฟที่ขาดสารอาหารอืค่ะนะคะ
00:31:54 → 00:31:58 แล้วก็หลีกเลี่ยงโปรตีนพวกอาหารแฟรูป
00:31:58 → 00:32:01 อย่างเช่นพวกไส้กรอกหมูยอหรือว่าเอ่อ
00:32:01 → 00:32:04 เนื้อแดงต่างๆนะคะเพราะว่าพวกเนี้ยก็จะทำ
00:32:04 → 00:32:07 ให้เอ่อตเสื่อมเร็วขึ้นแล้วก็มีสาร
00:32:07 → 00:32:11 สังเคราะห์พวกเอ่อสารที่เอาไปใช้ในการแปร
00:32:11 → 00:32:15 รูปอาหารน่ะค่ะก็จะมีสารพวกฟอสเฟตสูงแล้ว
00:32:15 → 00:32:19 ก็ทำให้เกิดของเสียที่ไปมากขึ้นพวกนี้ก็
00:32:19 → 00:32:23 ต้องหลีกเลี่ยงค่ะอือเอ่อมีคุณผู้ฟังจาก
00:32:23 → 00:32:27 ทางบ้านค่ะสอบถามเข้ามาค่ะคุณหมอว่าเอ่อ
00:32:27 → 00:32:31 เมล็ดทานตะวันมีโพแทสเซียมคลอไรด์สูงมาก
00:32:31 → 00:32:35 เกินไปหรือไม่แล้วเข้ากล้องเนี่ยเอ่อทำไม
00:32:35 → 00:32:38 ถึงไม่ควรกินข้าวกล้องมีกี่แบบที่ไม่ควร
00:32:38 → 00:32:42 กินคือเอ่อข้าวกล้องมีกี่แบบโอ๊กโอมีหลาย
00:32:42 → 00:32:45 แบบนะจริงเหรอหลายแบบทุกอันก็คือเข้า
00:32:45 → 00:32:48 กล้องหมดเพราะว่ามันยังไม่ขัดสีก็คือพวก
00:32:48 → 00:32:51 ที่แบบไม่ใช่สีขาวอ่ะค่ะก็คือเป็นตกูลที่
00:32:51 → 00:32:55 ยังไม่ขัดสีข้าวไรเบอร์รี่พวกนี้มันจะมี
00:32:55 → 00:32:57 เอ่อโพแทสเซียมฟอสฟอรัสที่ที่อาจจะสูง
00:32:57 → 00:33:02 กว่าข้าวขาวค่ะแต่เมื่อกี้ที่ถามอ่ะค่ะก็
00:33:02 → 00:33:05 ต้องบอกว่าเป็นโรคไปหรือยังออถ้ายังไม่
00:33:05 → 00:33:07 ได้เป็นไวายที่มีโพแทสเซียมสูงหรือว่า
00:33:08 → 00:33:11 จำเป็นต้องจำกัดโพแทสเซียมฟอสฟอรัส
00:33:11 → 00:33:17 อือก็คือไม่จำเป็นต้องจำกัดคือกินได้อื
00:33:17 → 00:33:20 คือปัญหามันไม่ใช่เป็นสารที่เป็นอันตราย
00:33:20 → 00:33:23 ต่อสุขภาพแต่มันเป็นอันตรายกับคนไข้โรคไต
00:33:23 → 00:33:27 เพราะว่ามันขับออกไม่ได้ค่ะแต่ถ้าไตเราปก
00:33:27 → 00:33:30 ปกติอ่ะค่ะมันไม่ได้มีปัญหาเพราะฉะนั้น
00:33:30 → 00:33:34 เดี๋ยวจะกลัวท่านผู้ฟังจะสับสนก็คือถ้าต
00:33:34 → 00:33:37 ปกติทันเลยไม่มีปัญหาเลยดีต่อสุขภาพด้วย
00:33:37 → 00:33:40 เพราะว่ามีวิตามินบีสูงมีสารป้านหนูมูล
00:33:40 → 00:33:44 อิสระค่ะค่ะมีไฟเบอร์แล้วก็แร่ธาตุเหล่า
00:33:44 → 00:33:48 เนี้ยเป็นแร่ธาตุที่ดีต่อสุขภาพค่ะแต่ถ้า
00:33:48 → 00:33:51 ไปเสื่อมระยะที่ 4 หรือว่าตรวจเลือดแล้ว
00:33:51 → 00:33:54 พบว่ามีสารโพแทสเซียมในเลือดเริ่มสูงคุณ
00:33:54 → 00:33:58 หมอเริ่มสั่งว่าให้จำกัดตัดโพแทสเซียม
00:33:58 → 00:34:03 อันเนี้ยถึงจะเริ่มจำกัดอืค่ะนะคะครับก็
00:34:03 → 00:34:07 ก็ง่ายๆคือคุณหมอวินิจฉัยดีกว่าที่จะตัด
00:34:07 → 00:34:10 สินใจเองว่าว่าจะเอ่อรับประทานอะไรได้
00:34:11 → 00:34:14 บ้างคุณหมอก็จะแนะนำหน่อแอยากให้แให้
00:34:14 → 00:34:17 ปรึกษาแพทย์ก่อนเพราะว่าเดี๋ยวจะแบบบางคน
00:34:17 → 00:34:20 อย่างที่หมอเจอบ่อยก็คือแบบตกใจพอตกใจก็
00:34:20 → 00:34:22 คือไม่ยอมกินเลยของที่มีประโยชน์ทั้งหลาย
00:34:22 → 00:34:25 ทั้งที่จริงๆตัวเองยังไม่ต้องจำกัดออค่ะ
00:34:25 → 00:34:28 อืค่ะเรื่องของการรับประทานวิตามินเสริม
00:34:28 → 00:34:32 ในผู้ป่วยโรคไตเนี่ยสามารถทำได้มคะคุณหมอ
00:34:32 → 00:34:35 อันเนี้ยอาจจะเป็นข้อห้ามที่เรากังวลคือ
00:34:35 → 00:34:38 ตัววิตามินเอค่ะอืเพราะว่าคนไข้โรคไตอ่ะ
00:34:38 → 00:34:43 ค่ะจะมีเอ่อความสามารถในการขับโปรตีนชนิด
00:34:43 → 00:34:46 นึงที่จับวิตามินเออ่ะได้น้อยลงเพราะ
00:34:46 → 00:34:49 ฉะนั้นโปรตีนตัวเนี้ยจะมีอยู่เยอะในเลือด
00:34:49 → 00:34:51 เพราะฉะนั้นพอเรากินวิตามินเอเข้าไปอ่ะ
00:34:51 → 00:34:54 มันจะจับวิตามินเอเอาไว้ดังนั้นจะทำให้
00:34:54 → 00:34:57 ผู้ป่วยโรคไตอ่ะค่ะเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ
00:34:57 → 00:35:00 วิตามินเอเกินซึ่งวิตามินเอเกินเนี่ยจะทำ
00:35:00 → 00:35:04 ให้เกิดภาวะตับไว้ได้ครับค่ะนะคะทีนี้
00:35:04 → 00:35:08 วิตามินเอเนี่ยมาในรูปแบบไหนบ้างพวกอาหาร
00:35:08 → 00:35:11 เสริมต่างๆอ่ะชอบใส่วิตามินเอเพราะว่า
00:35:11 → 00:35:15 หลายๆคนจะบอกว่าวิตามินเอเนี่ยมันคือสาร
00:35:15 → 00:35:18 ป้านหนมูลอิสระมันก็จะมาในรูปแบบของอย่าง
00:35:18 → 00:35:21 เช่นเบต้าแคโรทีนครับ
00:35:21 → 00:35:28 แคโรทีนอยผงผักสกัดบางคนก็จะไปกินผงผัก
00:35:28 → 00:35:33 สกัดสารสกัดบำรุงสายตาต่างๆเหล่าเงยค่ะ
00:35:33 → 00:35:36 พวกนี้ก็จะมีเบต้าแคโรทีนเยอะซึ่งเป็นสาร
00:35:36 → 00:35:40 ตั้งต้นของวิตามินเอนะคะก็อาจจะทำให้
00:35:40 → 00:35:45 วิตามินเอเกินได้แล้วก็พวกน้ำมันปับปลา
00:35:45 → 00:35:48 อย่างเงี้ยค่ะค่ะอันนี้ก็จะมีกลุ่ม
00:35:48 → 00:35:52 วิตามินเอวิตามินอีผสมอยู่อไม่ใช่น้ำมัน
00:35:52 → 00:35:55 ปลานะคะพวกน้ำมันตัดปลาพเยค้ำมันตัดปลา
00:35:55 → 00:35:59 ค่ะก็อาจจะทำให้เอ่อมีวิตามินเอเกินได้ก็
00:35:59 → 00:36:03 จะเป็นอันตรายกับคนไข้โรคใบทีนี้พวก
00:36:03 → 00:36:05 วิตามินเสริมในกลุ่มที่เป็นวิตามินที่
00:36:05 → 00:36:09 ละลายในไขมันนะค่ะ a d e k บางทีมันก็
00:36:09 → 00:36:13 มาพร้อมๆกันเพราะฉะนั้นบางทีก็เกรงว่าคน
00:36:13 → 00:36:16 ที่ทานน่ะก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังทานอะไร
00:36:16 → 00:36:18 อยู่ดังนั้นถ้าเป็นไเสื่อมแล้วอ่ะให้
00:36:18 → 00:36:21 ปรึกษาแพทย์ก่อนดีกว่าอย่าไปกินวิตามิน
00:36:21 → 00:36:24 เสริมอะไรที่แบบเอ่อไม่รู้เลยดีกว่าค่ะ
00:36:24 → 00:36:27 ครับผมนึกไปถึงอีกอย่างนึงนะอะไรเออนึกไป
00:36:27 → 00:36:32 ถึงคนที่แบบมาเยี่ยมมาเยียนคือเขาปรารถนา
00:36:32 → 00:36:35 ดีไงใช่มักจะซื้อของก็คิดว่าบำรุงร่างกาย
00:36:35 → 00:36:38 ก็ต้องประเภทนี้แหละบำรุงหมดแหละมาเป็น
00:36:38 → 00:36:42 ขวดเหรอเออหลายๆอย่างมีแหลายๆ
00:36:42 → 00:36:46 อย่างเออบางทีมันก็แสดงว่าถ้าถ้ารู้ว่า
00:36:46 → 00:36:50 เรากำลังไปเยี่ยมผู้ป่วยที่มีอาการแบบใด
00:36:50 → 00:36:53 ก็ต้องเอ่อสึกอาจจะอาจจะชเอะใจซักนิดนึง
00:36:53 → 00:36:58 ว่าควรจะซื้ออาหารหรือว่ายาเป็นจะถามถาม
00:36:58 → 00:37:00 บุคลากรทางการแพทย์อะไรดีกว่าอย่าไปซื้อ
00:37:00 → 00:37:06 อาหารบำรุงไตยาบำรุงไตที่อืที่บางทีก็อาจ
00:37:06 → 00:37:08 จะไม่ได้ดีกับเขากลายเป็นแบบไปทำร้ายเา
00:37:08 → 00:37:10 เป่าๆเออเป็นข้อคิดเหมือนกันนะคุณหมอคือ
00:37:10 → 00:37:13 บางบางทีเราก็หวังดีแหละคนซื้อฝากนะพี่
00:37:13 → 00:37:15 ขวัญใช่ก็หวังดีเออมันก็เป็นไเขาเรียก
00:37:15 → 00:37:19 วิตามินมันก็น่าจะดีต่อคนที่ต้องการเบรุง
00:37:19 → 00:37:23 ร่างกายแต่คือเเไม่ได้ลงลึกในดีเทลไงว่า
00:37:23 → 00:37:26 ผู้ป่วยเป็นอะไรแล้วรับประทานอะไรได้บ้า
00:37:26 → 00:37:30 บ้างแต่คืออ่าในใดก็คือญาติที่อยู่เคียง
00:37:30 → 00:37:33 ข้างผู้ป่วยเนี่ยต้องเป็นคนคัดกรองอีกอีก
00:37:33 → 00:37:36 ชั้นนึงจะต้องช่วยดูนิดนึงหรือบางทีพวก
00:37:36 → 00:37:39 สมุนไพรบำรุงไตนี่ก็จะเจอบ่อยต้องระวัง
00:37:39 → 00:37:43 มากๆอ่าเออผมเคยนี่มีเคสนึงก็คุณหมอพี่
00:37:43 → 00:37:47 ก่อนคุณผู้ฟังเอ่อผมเคยซื้อซื้อเครื่อง
00:37:47 → 00:37:51 ดื่มบำรุงนี่แหละผลิตภัณฑ์แบบเอ่อที่เป็น
00:37:51 → 00:37:55 มีตัวนกอยู่ข้างขวดอ่ะตามนั้นจ้อ่านะฮะไป
00:37:55 → 00:37:58 ฝากกับเอ่อคนที่คือเป็นเป็นเป็นรุ่นพี่
00:37:58 → 00:38:01 แหละแล้วเขาก็ป่วยเป็นเหมือนสตกมาก่อนสตก
00:38:01 → 00:38:04 มาก็แบบเออเราก็หวังดีเอ้ยน่าจะช่วยบำรุง
00:38:04 → 00:38:06 แต่ที่ไหนได้พี่ก็บอกเอออันเนี้ยเออมัน
00:38:06 → 00:38:10 มันมีน้ำตาลเยอะอาจจะต้องคือด้วยด้วพี่
00:38:10 → 00:38:11 เขาอาจจะต้องควบคุมในเรื่องของน้ำหนัก
00:38:12 → 00:38:14 เพื่อไม่ให้เกิดเอ่อในการฟื้นตัวอะไร
00:38:14 → 00:38:17 เงี้ยเออเราก็เพิ่งรู้เราเข้าใจอ๋อมันมัน
00:38:17 → 00:38:20 มันก็มีเหตุและผลในการที่เราอาจจะหวังดี
00:38:20 → 00:38:24 ก็ควรจะเอ่อหวังดีแหละแต่ว่าก็อาจจะระมัด
00:38:24 → 00:38:28 ระวังในการซื้อของฝากสักเพด้วยใช่เพราะ
00:38:28 → 00:38:32 ว่าพวกนี้มันจะมีน้ำเก็จะใส่น้ำตาลรสหวาน
00:38:32 → 00:38:35 แล้วจริงๆมันก็อาจจะไม่ได้ช่วยอะไรขนาด
00:38:35 → 00:38:38 นั้นคือถามว่าอเอ่อเป็นว่าเหมือนแบบโอเค
00:38:38 → 00:38:42 ผู้สูงอายุบางท่านก็อาจจะมีความเชื่อหรือ
00:38:42 → 00:38:45 ว่าครับใช่ค่ะเหมือนแบบอาหารฮ่องเต้อะไร
00:38:45 → 00:38:48 อย่างงี้เนาค่ะก็ถ้า้าถ้าอยากกินก็คงไม่
00:38:48 → 00:38:51 ได้ห้ามแต่ว่าอาจจะต้องไปเลือกสูตรที่ไม่
00:38:51 → 00:38:54 มีน้ำตาลอะไรอย่างเงี้ยอาจจะแบบเซฟกับเขา
00:38:54 → 00:38:57 มากกว่าแต่ทีเนี้ยถ้าเป็นผู้สูงอายุที่
00:38:57 → 00:39:00 ขาดอาหารดีกว่าค่ะถ้าสมมุติว่าเขาขาดสาร
00:39:00 → 00:39:03 อาหารพวกเบำรุงไม่ได้นะคะเพราะว่าสาร
00:39:03 → 00:39:06 อาหารมันนิดเดียวอืคือพลังงานมันน้อยมาก
00:39:06 → 00:39:10 มันแบบน้อยกว่าเรากินไข่องดังนั้นถ้าแบบ
00:39:10 → 00:39:13 หวังว่าจะกินอันนี้เพื่อบำรุงน้ำหนักโดฟ
00:39:13 → 00:39:18 เค้าท่านผอมมากเลยอย่าดีกว่าเพราะว่ากิน
00:39:18 → 00:39:21 ไป 1 ขวดเนี่ยเปลืองที่เพราะเกินก็อิ่ม
00:39:21 → 00:39:25 ง่ายอยู่แล้วออค่ะก็จะทำให้แบบท่านเสีย
00:39:25 → 00:39:28 ที่ในการกินอาหารออๆๆๆเดี๋ยวจะกลายเป็น
00:39:28 → 00:39:30 แบบกินอันนี้แล้วไม่ยอมกินข้าวไม่กิน
00:39:31 → 00:39:34 อย่างอื่นอืซึ่งมันช่วยไม่ได้แต่ถ้าสูว่า
00:39:34 → 00:39:37 เป็นแบบโอเคผู้สูงอายุที่แบบยังกินข้าว
00:39:37 → 00:39:40 กินราได้ปกติแข็งแรงดีแล้วเราแบบเป็น
00:39:40 → 00:39:44 เยียวยาใจนะก็เลือกสูตรไม่มีน้ำตาลอันนี้
00:39:44 → 00:39:48 ก็อาจจะไม่ไม่ได้มีปัญาอะไอก็เป็นขนมอะไร
00:39:48 → 00:39:52 กินก็ก็ก็ได้อยู่เป็นระหว่างมื้อมืว่างไป
00:39:52 → 00:39:55 ใช่แต่มันก็ราคาสูงก็อาจจะต้องลองดูจุด
00:39:55 → 00:39:59 ประสงค์ว่าว่าเออเราก็เข้าใจล่ะค่ะคนไป
00:39:59 → 00:40:02 เยี่ยมไข้ทุกคนเหวังดีใช่แต่ถ้าเป็นอีก
00:40:02 → 00:40:06 ตัวนึงที่ไม่ใช่สีขาวอันนี้อาจะต้องระวัง
00:40:06 → 00:40:09 ว่าโซเดียมจะสูงก็อาจจะไม่เหมาะกับคนไข้
00:40:09 → 00:40:12 ไปหรือว่าไปเยี่ยมคนที่เป็นกลุ่มโรคไม่
00:40:12 → 00:40:14 ติดต่อเนื้อรังพวกความดันเบาหวานไขมัน
00:40:14 → 00:40:17 อย่างเงี้ยอาจะต้องหลีกเลี่ยงเหมือนกันนะ
00:40:17 → 00:40:21 คะออจริงๆทั้ง 2 กลุ่มเนี่ยก็ต้องพลิก
00:40:21 → 00:40:24 ฉลักทด้านข้างนะกลุ่มนึงก็น้ำตาลสูงหรือ
00:40:24 → 00:40:26 เปล่าอีกกลุ่มนึงเอ๊ะโซเดียมสูงหรือเปล่า
00:40:26 → 00:40:31 ใช่มคะเยอะหเป่าใช่เออเป็นขข้อระวังที่ดี
00:40:31 → 00:40:34 เออข้อระวังดีมากเลยค่ะคุณหมอขะช่วงนี้
00:40:34 → 00:40:38 คุณผู้ฟังบอกว่าน้ำประปาฤดูแล้งน้ำประปา
00:40:38 → 00:40:42 เค็มน้ำกร่อยมาถ้ากินน้ำประปาเข้าไปเนี่ย
00:40:42 → 00:40:45 เสี่ยงทำให้เกิดเอ่อเป็นโรคไตมยอันนี้คือ
00:40:45 → 00:40:49 แบบเอ่อมีการสอบถามเข้ามาค่ะหมอถามว่าตัว
00:40:49 → 00:40:53 น้ำประปาที่เค็มอ่ะค่ะมันคงไม่ได้แบบ
00:40:53 → 00:40:57 เกลือโซเดียมเยอะขนาดนั้นนึออกมคะคือเรา
00:40:57 → 00:41:01 ไม่ได้กินน้ำแบบกินน้ำที่แบบเยอะมากๆขนาด
00:41:01 → 00:41:04 นั้นเพราะฉะนั้นการดื่มน้ำในคนปกติครับ
00:41:05 → 00:41:08 ด้วยส่วนตัวหมออ่ะค่ะโซเดียมอ่ะมันไม่ได้
00:41:08 → 00:41:11 เยอะเมื่อเทียบเท่ากับอาหารที่เราทานอยู่
00:41:11 → 00:41:14 แล้วดังนั้นไม่ต้องกังวลเรื่องการทานน้ำ
00:41:14 → 00:41:18 ให้ไปกังวลอาหารจะดีกว่าอืค่ะส่วนแต่ถ้า
00:41:18 → 00:41:22 ในคนไข้ที่เป็นโรคไปไปแล้วอย่างเงี้ยค่ะ
00:41:22 → 00:41:24 ทานน้ำได้แค่ไหนบอกว่าน้ำที่มันเป็นช่วง
00:41:24 → 00:41:27 ที่เค็มเนี่ยมันอันตรายมั้ยจริงๆกลุ่มคน
00:41:27 → 00:41:31 ไข้ที่เป็นไตเรื้อรังระยะที่ 45 ที่เริ่ม
00:41:31 → 00:41:35 มีปัญหาพวกเนี้ยจะถูกจำกัดน้ำค่ะคือเขาจะ
00:41:36 → 00:41:39 กินน้ำเกินวันนึงประมาณ 800 - 1 ลิตร
00:41:39 → 00:41:42 ไม่ได้อืเพราะว่าอาจจะมีภาวะน้ำเกินเพราะ
00:41:42 → 00:41:45 ว่าปัสสาวะเริ่มออกน้อยแล้วปัสสาวะเริ่ม
00:41:45 → 00:41:48 ไม่ออกคุณหมอหลายๆท่านก็จะแนะนำให้ตวง
00:41:48 → 00:41:52 ปัสสาวะดูก่อนว่ากินปัสสาวะออกได้เท่า
00:41:52 → 00:41:55 ไหร่ก็คือกินให้พอๆกับที่ยังปัสสาวะออก
00:41:55 → 00:42:00 ได้อือค่ะส่วนใหญ่จะจำกัดอยู่ที่ 800 ML
00:42:00 → 00:42:02 อ่ะค่ะไม่ถึง 1 ลิตรค่ะเพราะฉะนั้นถามว่า
00:42:02 → 00:42:05 โซเดียมมันจะเกินมยคือเค้ากินน้อยอยู่
00:42:05 → 00:42:10 แล้วมันก็ไม่น่าจะเป็นกังวลมากนักนะคะค่ะ
00:42:10 → 00:42:15 ค่ะแต่ว่าถ้าให้กังวลน่ะไปกังวลพวกน้ำแร่
00:42:15 → 00:42:18 หรืออะไรอย่างเงี้ยอาจจะเป็นความน่ากังวล
00:42:18 → 00:42:20 กับคนไข้โรคไปเพราะว่ามันจะมีแร่ธาตุอื่น
00:42:20 → 00:42:24 ๆที่เขาอาจจะขับไม่ได้อ๋อเออน้ำแรกผมก็
00:42:24 → 00:42:27 ได้ยินมาบ่อยนะว่าถ้าแบบออคนที่มีปัญหา
00:42:27 → 00:42:30 เรื่องเกี่ยวกับระบบภายในระบบไตหรือเอ่อ
00:42:30 → 00:42:33 อะไรก็แล้วแต่ความดันใช่มั้ยคุณหอคนจำใช่
00:42:33 → 00:42:36 ๆก็ถ้าถ้าสมมุติว่าแบบเป็นไตเสื่อมไปแล้ว
00:42:36 → 00:42:39 อเนี่ยยพวกแร่ธาตุก็อาจจะต้องระวังแต่ว่า
00:42:39 → 00:42:41 ถ้าเป็นคนที่ยังไม่ได้เป็นไตอันนี้ก็ไม่
00:42:41 → 00:42:45 ต้องไม่ต้องกวนป่ะคอใช่พวกน้ำแร่น้ำ
00:42:45 → 00:42:47 ธรรมชาติอย่างเงี้ยทันได้เพราะว่าแร่ธาตุ
00:42:48 → 00:42:51 เหล่านี้ก็ดีต่อสุขภาพแต่ว่าก็น้ำทั่วๆไป
00:42:51 → 00:42:54 แต่ว่าพอคนเป็นโลกไปมันก็จะมีช่วงนึงที่
00:42:54 → 00:42:58 เขาไปฮิตเพื่อกแบบน้ำอาโอเคยได้ยน้ำด่าง
00:42:58 → 00:43:02 อันนี้นำน้ำด่างกับน้ำอาโอนี่คนละอันกัน
00:43:02 → 00:43:05 นะคะคนละอันกันมออคนละอันเหรอคะหมอใช่ๆ
00:43:05 → 00:43:07 ถ้าน้ำออมันจะเป็นน้ำบริสุทธิ์คือมันจะ
00:43:07 → 00:43:10 สกัดแร่ธาตุออกไปหมดเลยออค่ะก็เรียกว่า
00:43:10 → 00:43:13 คล้ายๆแบบเหมือนน้ำกลั่นกันเลยก็คือแบบ
00:43:13 → 00:43:17 แบบใสแจ๋วมีน้ำล้วนๆไม่มีแร่ธาตุเลยมีแ
00:43:17 → 00:43:20 น้ำอันเนี้ยคนให้โรคไตที่เป็นไปวเรื้อรัง
00:43:20 → 00:43:23 ระยะสุดท้ายอ่ะจริงๆทานอันนี้น่าจะดี
00:43:23 → 00:43:27 เพราะว่ามันไม่มีแร่ธาตุเหลืออืค่ะแต่ถ้า
00:43:27 → 00:43:30 เป็นคนปกติอ่ะมันไม่ควรเพราะว่ามันไม่มี
00:43:30 → 00:43:34 แร่ธาตุเลยได้อค่ะคือคือมันก็ไม่ค่อยคือ
00:43:34 → 00:43:37 มันเหมือนแบบมันไม่ได้มีความจำเป็นต้อง
00:43:37 → 00:43:40 บริสุทธิ์ขนาดนั้นเพราะว่าแล่ธาตุต่างๆ
00:43:40 → 00:43:43 ที่เราได้จากน้ำมันก็มีประโยชน์ต่อร่าง
00:43:43 → 00:43:47 กายแต่ว่าในแง่น้ำด่างก็เป็นอีกกรณีนึง
00:43:48 → 00:43:51 ค่ะถ้าเป็นน้ำด่างอ่ะค่ะถามว่าคนกลุ่มไหน
00:43:51 → 00:43:54 จำเป็นน้ำที่ที่น้ำด่างมีประโยชน์ดีกว่า
00:43:54 → 00:43:58 ก็คือกลุ่มคนไข้ที่เป็นพวกนิ่วนิ่วอืนิ่ว
00:43:58 → 00:44:01 ที่ไตนี่แหละไม่ใช่นิ่วที่ถุงน้ำดีนะคะ
00:44:01 → 00:44:04 นิ่วที่ถุงน้ำดีเป็นจากคอเลสเตอรอลอันนี้
00:44:04 → 00:44:07 ต้องไปลดอาหารมันลดน้ำหนักแต่ถ้านิ่วที่
00:44:07 → 00:44:10 ไตที่เป็นนิ่วพวกแบบ
00:44:10 → 00:44:13 เอ่อมันจะเกิดจากพวกแบบแคลเซียมพวกอะไร
00:44:13 → 00:44:16 อย่างเงี้ยค่ะการรับประทานน้ำด่างก็อาจจะ
00:44:16 → 00:44:20 ช่วยในเรื่องของการลดการเกิดนิ่วที่ไตได้
00:44:20 → 00:44:23 ค่ะแต่ว่าถ้าเป็นกลุ่มอื่นเนี่ยไม่ได้มี
00:44:23 → 00:44:27 ความจำเป็นต้องทานน้ำด่างอือืถ้าถามว่าใน
00:44:27 → 00:44:32 แง่สุขภาพอ่ะข้อมูลยังไม่ได้มีแล้วก็เอ่อ
00:44:32 → 00:44:34 ถามว่าจริงๆร่างกายคนเรามันปรับความเป็น
00:44:35 → 00:44:38 กรดด่างอยู่แล้วต่อให้เรากินกรดกินด่างพอ
00:44:38 → 00:44:41 กินเข้าไปในร่างกายอ่ะค่ะร่างกายก็อาจจะ
00:44:42 → 00:44:47 ปรับสมดุลแล่ธาตุอยู่แล้วอืออรู้สึกว่า
00:44:47 → 00:44:49 ราคาก็สูงอยู่เหมือนกันใช่ราคามันค่อน
00:44:49 → 00:44:53 ข้างสูงอืแต่ว่าคนไข้โรคไบถ้าถ้าเป็นคน
00:44:53 → 00:44:55 ไข้โรคไที่มีภาวะเลือดเป็นกรดอะไรอย่าง
00:44:55 → 00:44:59 เงี้ยคครับค่ะคุณหมอจะให้ยาที่ปรับการ
00:44:59 → 00:45:02 เลือดเป็นกรดอยู่แล้วเพราะว่าเจำกัด
00:45:02 → 00:45:05 เรื่องการกินน้ำอยู่แล้วก็อย่าไปกินน้ำดั
00:45:05 → 00:45:10 เยอะเดี๋ยวน้ำเกินอค่ะอือค่ะแล้วถ้าเป็น
00:45:10 → 00:45:13 อย่างงี้เนี่คือแนวถ้าคนป่วยเป็นโรคไต
00:45:13 → 00:45:16 แล้วเนี่ยค่ะหมอถ้าอยู่ในระดับเอ่อขั้น 4
00:45:16 → 00:45:19 ขั้น 5 เนี่ยเอ่อแนวทางการรักษาก็คือการ
00:45:19 → 00:45:20 ฟอก
00:45:20 → 00:45:24 ไตแบบเนี้ยเขาจะมีอายุยืนยาวได้อีกนานมย
00:45:24 → 00:45:26 คะถ้าฟอกไตไปเรื่อยๆเรื่อยๆอ่ะค่ะแล้วก็
00:45:26 → 00:45:29 ดูแลสุขภาพอย่างดีอ่ะแล้วกินอาหารดีอค่ะ
00:45:29 → 00:45:32 ได้เรื่อยๆเลยค่ะอยู่ไปได้เรื่อยๆเลยค่ะ
00:45:32 → 00:45:37 ก็คือคนไข้ฟอกไตนะคะเอ่อความเสี่ยงที่
00:45:37 → 00:45:40 เกิดขึ้นก็คือเกิดจากการที่ควบคุมอาหาร
00:45:40 → 00:45:43 ได้ไม่ดีเนี่ยจะมีสารโพแทสเซียมฟอสฟอรัส
00:45:43 → 00:45:46 คั่งอย่างเงี้ยค่ะก็อาจจะทำให้เกิดภาวะ
00:45:46 → 00:45:49 แทรกซ้อนเพราะฉะนั้นการที่คนไข้ที่ฟอกไต
00:45:49 → 00:45:52 แล้วเสียชีวิตเสียจากการที่เขาควบคุม
00:45:52 → 00:45:56 อาหารไม่ดีอันเนี้ยเป็นภาวะแทรกซ้อนอือ
00:45:56 → 00:45:59 เพราะว่าสมมุติว่าเราฟอกไตทางเครื่องฟอก
00:45:59 → 00:46:02 ไตอย่างเงี้ยค่ะค่ะเค้าจะเก็บของเสียไว้
00:46:02 → 00:46:05 ในร่างกายพอ 3 มันจะฟอกอาทิตย์ละ 2 ครั้ง
00:46:05 → 00:46:08 ถึง 3 ครั้งครับครับดังนั้นแปลว่ามันจะมี
00:46:08 → 00:46:11 แจบที่ร่างกายต้องสะสมของเสียเอาไว้เพราะ
00:46:11 → 00:46:14 ะนั้นถ้ากินของเสียเข้าไปเยอะก่อนที่วัน
00:46:14 → 00:46:17 จะไปฟอกไตอย่างเงี้ยมันก็เป็นอันตรายต่อ
00:46:17 → 00:46:20 ร่างกายดังนั้นเขาจะเสียชีวิตก็คือจากการ
00:46:20 → 00:46:23 ที่มันมีภาวะแทรกซอนอืสมมติว่าเกลือหรือ
00:46:23 → 00:46:27 ว่าน้ำเกลือกินเค็มเยอะๆในคนให้โลกไปก็จะ
00:46:27 → 00:46:30 ทำให้เกิดภาวะข้างน้ำก็คือเกลือเนี่ยจะทำ
00:46:30 → 00:46:33 ให้น้ำมันเก็บไว้ในร่างกายไม่ขับออกไป
00:46:33 → 00:46:36 ครับมากขึ้นเพราะฉะนั้นก็จะทำให้น้ำเกิน
00:46:36 → 00:46:40 แล้วก็น้ำท่วมปอดหัวใจล้มเหลวได้อืค่ะ
00:46:40 → 00:46:43 ก่อนวันที่เขาจะไปฟอกตอย่างเงี้ยค่ะเพราะ
00:46:43 → 00:46:46 ฉะนั้นเนี่ยการเสียชีวิตของคนไข้โรคตตก็
00:46:46 → 00:46:48 จะมาจากภาวะแทรกซ้อนก็คือเรื่องของน้ำ
00:46:48 → 00:46:52 ท่วมปอจากภาวะน้ำเกินหัวใจล้มเหลวครับ
00:46:52 → 00:46:55 เกือแร่ในเลือดผิดปกติทำให้หัวใจเ้ผิด
00:46:55 → 00:46:57 จังหวะหัวใจจะหยุดเต้นอืเพราะฉะนั้นถ้า
00:46:57 → 00:47:01 ควบคุมอาหารได้ดีควบคุมโรคได้ดีแล้วก็
00:47:01 → 00:47:04 สามารถฟอกไปตามระยะได้โดยไม่เกิดภาวะแทรก
00:47:04 → 00:47:08 ซ้อนน่ะค่ะค่ะก็ไม่ได้ทำให้เขาอายุสั้นลง
00:47:08 → 00:47:11 อืก็ยังใช้ชีวิตแข็งแรงได้เหมือนคนปกติ
00:47:11 → 00:47:16 เลยอือค่ะค่ะคุณหมอคะมากันที่คำถามสุด
00:47:16 → 00:47:20 ท้ายแล้วกันเนาะเอ่อคุณผู้ฟังถามมาค่ะว่า
00:47:20 → 00:47:23 ทำไมอันนี้เป็นผู้ป่วยโรคไตแล้วนะคะเอ่อ
00:47:23 → 00:47:27 ทำไมกินน้ำแล้วไม่นานก็ปวดปวะกับอีกกรณี
00:47:27 → 00:47:31 นึงก็คือก่อนนอนหิวน้ำแล้วปวดปัสสาวะทุก
00:47:31 → 00:47:34 1-2 ชมเพราะกลางคืนอากาศเย็นแล้วก็มีผล
00:47:34 → 00:47:38 กับผู้ป่วยโรคไตหรือเปล่าแล้วก็เอ่อถ้า
00:47:38 → 00:47:41 เป็นโรคไตแล้วเนี่ยการคุมอาหารจนขาดสาร
00:47:41 → 00:47:44 อาหารจะต้องกินสิ่งไหนเข้าไปเสริมออันนี้
00:47:44 → 00:47:48 คือคำถามจากคนเดียวกันค่ะค่ะอันดับแรกนะ
00:47:48 → 00:47:51 คะกินแล้วปวดปัสสาวะอันเนี้เ่ะเนื่องจาก
00:47:51 → 00:47:56 ว่าการควบคุมเรื่องของความรู้สึกสึกใน
00:47:56 → 00:47:58 เรื่องของการปวดปัสสาวะฮอร์โมนต่างๆใน
00:47:58 → 00:48:01 เรื่องของการควบคุมปัสสาวะในคนไข้โรคไต
00:48:01 → 00:48:05 เนี่ยก็อาจจะผิดปกติไปแล้วดังนั้นเนี่ยก็
00:48:05 → 00:48:10 อาจจะทำให้มีอาการเอ่ออยากจะปัสสาวะแต่
00:48:10 → 00:48:12 จริงๆพอเป็นปัสสาวะก็ไม่มีปัสสาวะอะไร
00:48:12 → 00:48:16 อย่าเงี้ยค่ะก็อาจจะมีได้ทีนี้ถามว่า
00:48:16 → 00:48:19 เอ่อแก้ไขยังไงอันดับแรกเลยอาจจะต้องดู
00:48:19 → 00:48:22 เรื่องสาเหตุก่อนคือดูว่ามีสาเหตุที่แก้
00:48:22 → 00:48:26 ไขได้มอยกตัวอย่างเช่นบางท่านที่แบบเป็น
00:48:26 → 00:48:29 โรคไตที่ยังมีปัสสาวะอยู่แล้วก็ฉี่บ่อยๆ
00:48:30 → 00:48:31 แล้วเป็นเบาหวานอันนี้ต้องไปดูว่าจริงๆ
00:48:31 → 00:48:34 แล้วคุมน้ำตาลไม่ดีหรือเปล่าค่ะเพราะว่า
00:48:34 → 00:48:37 การที่มีน้ำตาลในเลือดสูงก็จะทำให้
00:48:37 → 00:48:42 ปัสสาวะบ่อยค่ะอย่างงี้นะคะหรือว่ามีการ
00:48:42 → 00:48:45 ติดเชื้อในทางเดิมปัสสาวะไหมอืเพราะว่า
00:48:45 → 00:48:47 บางทีเปัสสาวะมันค้างอยู่ในกระเพาะ
00:48:47 → 00:48:50 ปัสสาวะแล้วก็อาจจะทำให้มีการติดเชื้อใน
00:48:50 → 00:48:53 กระเพาะปัสสาวะได้อันนี้ก็อาจจะต้องไปดู
00:48:53 → 00:48:55 ก่อนว่าเป็นโรคพวกนี้แล้วก็ต้องรักษาษา
00:48:55 → 00:48:59 ที่โรคก่อนแต่สุดท้ายเนี่ยถ้าไม่ได้มีโรค
00:48:59 → 00:49:03 เหล่านี้ที่ที่แก้ไขได้อ่ะค่ะก็ไปควบคุม
00:49:03 → 00:49:05 เรื่องของการรับประทานเราอาจจะไม่รับ
00:49:05 → 00:49:07 ประทานน้ำตอนกลางคืนเพราะว่าจะได้ไม่ต้อง
00:49:08 → 00:49:10 ตื่นบ่อยอะไรอย่างเงี้ยค่ะก็เป็นการปรับ
00:49:10 → 00:49:13 พฤติกรรมซะส่วนในแง่คำถามที่ 2 เรื่องของ
00:49:13 → 00:49:19 การเอคบสารอาหารปกติอ่ะค่ะการที่เราให้คน
00:49:19 → 00:49:23 ไข้โรคตายคุมอย่างถูกต้องเนี่ยเขาจะไม่
00:49:23 → 00:49:26 ขาดสารอาหารนะคะค่ะฉะนั้นถ้าบอกว่าคุมจน
00:49:26 → 00:49:30 ขาดสารอาหารแปลว่าคุมไม่ถูกอือันนี้ก็
00:49:30 → 00:49:32 ต้องปรึกษาคุณหมอเป็นก็ควรจะไปปรึกษา
00:49:32 → 00:49:35 แพทย์จะต้องไปเสริมโภชนาการสำหรับคนไข้
00:49:35 → 00:49:38 โรกไปก็คือต้องทำให้เขาไม่ขาดสารอาหารนะ
00:49:38 → 00:49:43 คะอาจจะมีการใช้อาหารทางการแพทย์ปูดโรคไต
00:49:43 → 00:49:46 นะคะซึ่งเขาจะจำกัดได้ถ้าแต่มีพลังงาน
00:49:46 → 00:49:49 หรือว่าสารอาหารที่เพียงพอที่จะทำให้เขา
00:49:49 → 00:49:52 อ่ะไม่ขาดสารอาหารมีวิตามินที่เหมาะสม
00:49:52 → 00:49:55 สำหรับคนไข้โรคไตอันเนี้ยจะมีกุกลุ่ม
00:49:55 → 00:49:59 อาหารที่เราเรียกว่าอาหารทางการแพทย์พวก
00:49:59 → 00:50:01 เนี้ยถ้าไปดูในข้างผลิตภัณฑ์น่ะค่ะส่วน
00:50:01 → 00:50:05 ใหญ่จะขายอยู่ตามร้านขายยาหรือว่าในโรง
00:50:05 → 00:50:08 พยาบาลนะคะจะเป็นลักษณะแบบผงชงหรือว่า
00:50:08 → 00:50:11 เป็นพร้อมดื่มจะมาเป็นรูปแบบของนมนะคะค่ะ
00:50:11 → 00:50:14 อันเนี้ยจะเขียนเลยนะคะว่าเป็นอาหารทาง
00:50:14 → 00:50:18 การแพทย์อืค่ะเพวเนี้ยจะได้รับการขึ้น
00:50:18 → 00:50:21 ทะเบียนของออจะเป็นอาหารทางการแพทย์ได้
00:50:21 → 00:50:25 ต้องมีงานวิจัยในคนไข้โรคไตรองรับแล้ว
00:50:25 → 00:50:28 แล้วก็ถึงจะระบุอยู่ข้างกระป๋องได้เลย
00:50:28 → 00:50:31 เพราะฉะนั้นเนี่ยถ้าบอกว่าเป็นอาหารบำรุง
00:50:31 → 00:50:34 ตอาหารโลกตแต่ว่าไม่ได้ระบุว่ามีคำว่า
00:50:34 → 00:50:36 อาหารทางการแพทย์สำหรับผู้ป่วยโรคไตอย่าง
00:50:36 → 00:50:40 เงี้ยค่ะแปลว่าอาจจะไม่ใช่ะอือเพราะว่า
00:50:40 → 00:50:43 จริงๆมันมีอยู่ไม่กี่ชนิดอยจะมีการตรวจ
00:50:43 → 00:50:45 สอบมีการต้องยื่นวิจัยอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:50:46 → 00:50:49 ครับพนี้ปลอดภัยอให้การคำแนะนำของแพทย์
00:50:49 → 00:50:53 และนักกำหนดอาหารก็ได้นะคะมันจะมีเอ่อ
00:50:53 → 00:50:55 บุคลากรทางการแพทย์กลุ่มนึงเราเรียกว่า
00:50:55 → 00:50:58 นักกำหนดอาหารก็จะอยู่ในโรงพยาบาลส่วน
00:50:58 → 00:51:01 ใหญ่คุณหมอก็จะส่งให้ไปเจอกับนักกำหนด
00:51:01 → 00:51:04 อาหารซึ่งเขาก็จะมีความเชี่ยวชาญในการแนะ
00:51:04 → 00:51:07 นำเรื่องอาหารให้กับผู้ป่วยก็จะมีการแนะ
00:51:07 → 00:51:11 นำในเรื่องของการใช้ผลิตภัณฑ์อาหารทางการ
00:51:11 → 00:51:15 แพทย์เพื่อเสริมโภชนาการหรือว่าควบคุมแร่
00:51:15 → 00:51:17 ธาตุควบคุมน้ำหนักในคนให้โรคไปก็จะมีการ
00:51:17 → 00:51:20 ใช้อาหารทางการแพทย์มาช่วยได้ถ้าอาหาร
00:51:20 → 00:51:24 ปกติเนี่ยไม่สามารถที่จะปรับได้ให้เหมาะ
00:51:24 → 00:51:27 สมเพราะว่าจะมีผู้ป่วยบางท่านที่อาจจะแบบ
00:51:27 → 00:51:30 ไม่สะดวกในการทำอาหารหรือว่าความรู้ใน
00:51:30 → 00:51:33 เรื่องของอาหารโรกไปบางทีมันก็ยากแล้วก็
00:51:33 → 00:51:36 ซับซ้อนการใช้อาหารทางการแพทย์มาช่วยก็
00:51:36 → 00:51:39 อาจจะทำให้คนไข้โรคไปเนี่ยควบคุมได้ดี
00:51:39 → 00:51:43 ขึ้นนะคะวันเพราะฉะนั้นถ้าขาดอาหารต้อง
00:51:43 → 00:51:46 ต้องปรึกษาแพทย์แล้วค่ะอืสุดยอดค่ะวันนี้
00:51:46 → 00:51:48 ครบถ้วนมากเลยค่ะคุณหมอคะขอบพระคุณมากนะ
00:51:48 → 00:51:53 คะค่ะยินดีค่ะขอบคุณครับคุณหมอสวดีสวัสดี
00:51:53 → 00:51:55 ครับ