00:00:00 → 00:00:03 This Is Thai PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:05 world By The
00:00:05 → 00:00:08 Voice คือแน่นอนแหละชีวิตมันไม่ได้โรย
00:00:08 → 00:00:11 ด้วยกลีบกุหลาบอ่ะคือด้วยสมองอ่ะด้วยเหตุ
00:00:11 → 00:00:14 ผลมันก็รู้ทุกอย่างแต่ว่าเรื่องของจิตใจ
00:00:14 → 00:00:17 อ่ะมันก็ต้องใช้เวลาคือมนุษย์เนี่ยจะมี
00:00:17 → 00:00:21 กลไกทางจิตอยู่ 5 ระยะด้วยกันอืซึ่งระยะ
00:00:21 → 00:00:24 แรกเขาก็พบว่ามันจะเป็นระยะของการ Shock
00:00:24 → 00:00:27 and denial ครั้งแรกที่เรารู้เนี่ยมัน
00:00:27 → 00:00:30 จะแบบช็อก่อนเลยเปรี้ยงแบบเหมือนดนฟ้าพัง
00:00:30 → 00:00:34 ตัวชามือชามึนงงแบบเอ๋อเรียกว่าเอ๋อไป
00:00:34 → 00:00:37 ชั่วขณะแล้วความช็อกเนี่ยมันก็จะมาพร้อม
00:00:37 → 00:00:41 กับคือการปฏิเสธความจริงว่าเฮ้ยไม่ใช่นะ
00:00:41 → 00:00:43 สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่มันเป็นเรื่อง
00:00:43 → 00:00:47 ตลกหรือเปล่ามันเป็นแค่ความฝันหรือ
00:00:47 → 00:00:51 เปล่าฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทย
00:00:51 → 00:00:54 ฟังรายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรววงสถิตพร
00:00:54 → 00:00:58 ค่ะ This Is tha PBS podcast วันนี้
00:00:58 → 00:01:01 ค่ะคุณผู้ฟังเราจะมาพูดคุยกันถึงเรื่อง
00:01:01 → 00:01:04 ของการรับมือกับความสูญเสียแบบกะทันหันนะ
00:01:04 → 00:01:07 คะซึ่งในการรับมือตรงนี้เนี่ยเราจะมีวิธี
00:01:07 → 00:01:09 การอย่างไรเพราะว่าบางทีเราอาจจะเจอ
00:01:09 → 00:01:11 เรื่องของความสูญเสียที่แบบเราไม่ทันได้
00:01:11 → 00:01:14 ตั้งตัวหรือไม่ได้เตรียมใจมาก่อนคุยกับ
00:01:14 → 00:01:16 พันตำรวจเอกหญิงแพทย์หญิงอัญชุลี
00:01:16 → 00:01:19 ธีระวงศ์ไพศาลจิตแพทย์นายแพทย์สบ 5 โรง
00:01:19 → 00:01:21 พยาบาลตำรวจค่ะสวัสดีค่ะคุณหมอคะค่ะ
00:01:22 → 00:01:24 สวัสดีค่ะคุณลีแล้วก็สวัสดีคุณผู้ฟังทุก
00:01:24 → 00:01:27 ท่านด้วยค่ะค่ะวันนี้คุยกันเนี่ยมันเป็น
00:01:27 → 00:01:29 เรื่องของหลายๆสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนะคะ
00:01:29 → 00:01:32 ในความเป็นสิ่งที่เราไม่คาดคิดมาก่อนใน
00:01:33 → 00:01:35 เรื่องของความสูญเสียในความสูญเสียแบบ
00:01:35 → 00:01:39 กะทันหันนะคะหลายๆคนก็อาจจะเคยเจอใน
00:01:39 → 00:01:42 สถานการณ์แบบนี้มาก่อนหลังๆจะสังเกตตัว
00:01:42 → 00:01:45 เองเหมือนกันค่ะคุณหมอว่าพอหลังๆมาเนี่ยย
00:01:45 → 00:01:48 เราจะเจอคนที่บุคคลที่เป็นที่เคารพรักนะ
00:01:48 → 00:01:51 คะหรือเพื่อนหรือว่าใครก็ตามเนี่ยบางที
00:01:51 → 00:01:54 เราไม่ทันคิดว่าเอ้ยอยู่ๆมาทราบข่าวแล้ว
00:01:54 → 00:01:57 ก็เกิดความสูญเสียเกิดขึ้นบางคนเราผูกพัน
00:01:57 → 00:02:00 เยอะเรามีความรักความห่วงใยเยอะถ้าเป็นคน
00:02:00 → 00:02:03 ในครอบครัวด้วยแล้วเนี่ยตรงเนี้ยเราจะมี
00:02:03 → 00:02:06 ในวิธีการรับมือการสูญเสียกะทันหันแบบนี้
00:02:06 → 00:02:11 ได้ยังไงบ้างค่ะก็ต้องบอกว่ามันเป็นกลไก
00:02:11 → 00:02:14 ทางจิตอย่างนึงนะคะคือมนุษย์เราอ่ะคือก็
00:02:14 → 00:02:17 ต้องบอกว่าชีวิตคนเรามันไม่แน่นอนเนาะเรา
00:02:17 → 00:02:20 ไม่รู้หรอกว่ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นกับ
00:02:20 → 00:02:23 ชีวิตเราบ้างอ่ะอือแต่สิ่งที่เราทำได้ก็
00:02:23 → 00:02:26 คือการมีสติรู้เท่านั้นเองค่ะคือแน่นอน
00:02:26 → 00:02:30 แหละมันชีวิตมันไม่ได้โรยด้วยกิบคุณลบอ่ะ
00:02:30 → 00:02:32 เกิดแก่เจ็บตายมันเป็นเรื่องธรรมดาเราก็
00:02:32 → 00:02:36 รู้อยู่ะตรรกะเนี่ยมันรู้คือด้วยสมองอ่ะ
00:02:37 → 00:02:39 ด้วยเหตุผลมันก็รู้ทุกอย่างแต่ว่าเรื่อง
00:02:39 → 00:02:44 ของจิตใจอ่ะมันก็ต้องใช้เวลาในการรับมือ
00:02:44 → 00:02:46 มันเป็นกลไกทางจิตหมดเลยค่ะไม่ว่าอะไรจะ
00:02:46 → 00:02:49 เกิดขึ้นมันก็จะมีความสูญเสียเกิดขึ้นน่ะ
00:02:49 → 00:02:52 มันก็จะเป็นกลไกทางจิตของมนุษย์ที่เราจะ
00:02:52 → 00:02:55 สามารถก้าวผ่านเหตุการณ์วิกฤตแต่ละอย่าง
00:02:55 → 00:02:59 แต่ละอย่างไปได้เนาะซึ่งก็จะมีทฤษฎี
00:02:59 → 00:03:02 เกี่ยวกับกับความสูญเสียนะคะคุณเอลิซาเบธ
00:03:02 → 00:03:04 คูบอลเนี่ยเป็นนักจิตวิทยาชาว
00:03:04 → 00:03:08 สวิตเซอร์แลนด์เนี่ยเขาก็ได้ศึกษาดูกลไก
00:03:08 → 00:03:12 ทางจิตของมนุษย์น่ะปฏิกิริยาการสูญเสีย
00:03:12 → 00:03:14 ของมนุษย์ว่าเวลาที่เราเกิดการสูญเสีย
00:03:14 → 00:03:18 เช่นเกิดเหตุร้ายสูญเสียคนที่เป็นที่รัก
00:03:18 → 00:03:21 หรือสูญเสียแบบอะไรบางอย่างอาจจะสูญเสีย
00:03:21 → 00:03:23 เงินสูญเสียสัตว์เลี้ยงสูญเสียอะไรก็แล้ว
00:03:23 → 00:03:27 แต่คือมนุษย์เนี่ยจะมีกลไกทางจิตอยู่ 5
00:03:27 → 00:03:30 ระยะด้วยกันอืซึ่งระยะแรกระยะที่ 1 เนี่ย
00:03:30 → 00:03:33 เขาก็พบว่ามันจะเป็นระยะของการชอ and
00:03:34 → 00:03:38 denial ช็อก็คือแบบตกใจอ่ะช็อแบบตัวชาไป
00:03:38 → 00:03:42 หมดเลยงงไปหมดเลยแบบตอนนั้นมันจะแบบอึ้ง
00:03:42 → 00:03:44 ตึ้งแบบเหมือนโดนฟ้าผ่าเหมือนเปรี้ยงมา
00:03:45 → 00:03:47 แบบเนี้ยอเออไม่ว่าจะเป็นการสูญเสียหรือ
00:03:47 → 00:03:50 แม้แต่การถูกแฟนบอกเลิกค่ะถูกไล่ออกจาก
00:03:51 → 00:03:55 งานถูกสแกมเมอร์ขโมยเงินอะไรอย่างเงี้ย
00:03:55 → 00:03:57 คือหรือว่าสูญเสียคนที่รักทุกอย่างอ่ะค่ะ
00:03:57 → 00:04:00 ครั้งแรกที่เรารู้เนี่ยมันจะแบบช็อกก่อน
00:04:00 → 00:04:03 เลยเปรี้ยงแบบเหมือนดนฟ้าผ่าตัวชามือชา
00:04:03 → 00:04:07 มึนงงแบบเอ๋อเรียกว่าเอ๋อไปชั่วขณะแล้ว
00:04:07 → 00:04:10 ความช็อเนี่ยมันก็จะมาพร้อมกับ denial
00:04:10 → 00:04:14 คือการปฏิเสธความจริงว่าเฮ้ยไม่ใช่นะสิ่ง
00:04:14 → 00:04:16 ที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่มันเป็นเรื่องตลก
00:04:16 → 00:04:18 หรือเปล่ามันเป็นแค่ความฝันหรือเปล่าค่ะ
00:04:18 → 00:04:22 เออมันไม่ได้เกิดขึ้นกับฉันแน่นอนเอ๊ะมัน
00:04:22 → 00:04:25 เกิดอะไรขึ้นช่วงระยะแรกเนี่ยจะเป็นช่วง
00:04:25 → 00:04:28 ที่แบบเราจะ Shock and denial ซึ่งเรา
00:04:28 → 00:04:31 ไม่รู้ว่าระยะเนี้ยเมันจะเกิดนานเท่าไหร่
00:04:31 → 00:04:34 ค่ะนะคะแต่ละคนไม่เหมือนกันบางคนแบบอาจจะ
00:04:34 → 00:04:39 ตั้งสติเร็วตั้งหลักได้เร็วเออหายช็อกหาย
00:04:39 → 00:04:42 ก็คือเริ่มยอมรับความจริงมากขึ้นว่าข่าว
00:04:42 → 00:04:44 ร้ายที่มันเกิดขึ้นน่ะความสูญเถียที่เกิด
00:04:44 → 00:04:47 ขึ้นน่ะมันเกิดขึ้นจริงๆนะอืนะคะอันนี้
00:04:47 → 00:04:50 เนี่ยเป็นระยะที่ 1 พอระยะต่อมาเนี่ยเคค
00:04:50 → 00:04:53 ก็พบว่ามนุษย์อ่ะก็จะเริ่มมีความระยะ
00:04:53 → 00:04:56 แองเกอร์เขาเรียกว่าระยะโกรธเนาะระยะที่ 2
00:04:56 → 00:05:01 โกรธโมโหเช่นอาจจะโกรธโมโหคนที่มันเอ่อมา
00:05:01 → 00:05:05 ขับรถชนคนที่มันคือโทษอะไรก็แล้วแต่ไม่
00:05:05 → 00:05:08 ว่าจะโทษมนุษย์ด้วยกันหรือแม้แต่โทษพระ
00:05:08 → 00:05:12 เจ้าค่ะโทษหลวงพ่อโทษทุกสิ่งทุกอย่างเลย
00:05:12 → 00:05:14 เป็นเรื่องเวรกรรมแน่ๆเลยอะไใช่โทษเวรโทษ
00:05:14 → 00:05:18 กรรมโทษแบบจิ้งจกทักโชตหมามาวิ่งตัดหน้า
00:05:18 → 00:05:21 คือแบบโกรธแล้วก็โกรธทุกอย่างแล้วมันก็จะ
00:05:21 → 00:05:24 มีความอาจจะโกรธผู้อื่นหรืออาจจะโกรธตัว
00:05:24 → 00:05:27 เองก็ได้โกรธที่วันนั้นทำไมเราไม่ทำแบบ
00:05:27 → 00:05:30 นี้ทำไมวันนั้นเรา
00:05:30 → 00:05:32 ไม่แบบทำให้มันดีกว่านี้บางคนเกวดโมโหตัว
00:05:33 → 00:05:35 เองก็มีนะคะอันเนี้ยเป็นระยะที่ 2 พอระยะ
00:05:35 → 00:05:39 ที่ 3 มันก็จะเข้าสู่ระยะเาเรียกว่าบาเก
00:05:39 → 00:05:42 หรือว่าระยะแบบต่อรองอ่ะต่อรองเหมือนแบบ
00:05:42 → 00:05:45 ยื้อเช่นบางคนอาจจะไปบนบานสารกล่าวขอให้
00:05:45 → 00:05:49 แบบฟื้นขึ้นมาขอให้แบบเอองานที่เสียกลับ
00:05:49 → 00:05:53 มาหรือขอให้ผัวกลับมาขอให้แบบแฟนที่บอก
00:05:53 → 00:05:56 แล้วเออให้เขาแบบสำนึกได้ให้เกลับมาระยะ
00:05:56 → 00:05:59 เนี้ยมันจะเป็นระยะแบบต่อรองอ่ะเช่นแบบ
00:05:59 → 00:06:03 บางบางคนก็อาจจะไปง้อแฟนแบบทุ่มสุดตัวแบบ
00:06:03 → 00:06:06 เขาเรียกบาเกน่ะคือแบบต่อรองอะไรก็ได้ฉัน
00:06:06 → 00:06:09 ยอมหมดใช่ฉันยอมแล้วกลับมาเถอะนะหรือว่า
00:06:09 → 00:06:14 คนที่ออาจจะสูญเสียคนที่เป็นที่รักอะไร
00:06:14 → 00:06:15 อย่างงี้ใช่มั้ยคะหรืออาจจะเกิด
00:06:15 → 00:06:19 อุบัติเหตุอาจจะไปแบบเออขอพรพระเจ้าไป
00:06:19 → 00:06:23 ไหว้ไปสายมูไปทุกสิ่งอย่างเเป็นสิ่ง
00:06:24 → 00:06:26 ศักดิ์สิทธิ์หมอดูหมอเดาว่าไปใชใช่เพื่อ
00:06:26 → 00:06:29 ให้สิ่งที่เราเสียไปอ่ะมันกลับมาหรือว่า
00:06:29 → 00:06:33 มีอะไรชดเชยนะคะอันเนี้ยเป็นระยะที่ 3 พอ
00:06:33 → 00:06:36 ระยะที่ 4 เนี่ยก็จะเข้าสู่ระยะ deess
00:06:36 → 00:06:38 หรือว่าระยะซึมเศร้าออคือแบบมันจะเป็น
00:06:39 → 00:06:43 กลไกทางจิตที่แบบเออหายช็อกแล้วนะหายหลอก
00:06:43 → 00:06:45 ตัวเองละยอมรับความจริงะว่ามันเกิดขึ้น
00:06:45 → 00:06:49 จริงๆค่ะผ่านระยะแบบโกรธโมโหตัวเองโมโหคน
00:06:49 → 00:06:52 อื่นผ่านระยะแบบต่อรองละบนบานสารเาทุก
00:06:52 → 00:06:55 อย่างะมันไม่ได้ละอันนี้มันเริ่มแบบเข้า
00:06:55 → 00:06:57 สู่ความเป็นจริงแล้วแหละมันก็จะเริ่มซึม
00:06:57 → 00:07:01 เศร้าว่าเออฉันเสียเเป็นจริงๆนะเค้าจาก
00:07:01 → 00:07:04 ฉันไปจริงๆนะอเออมันไปแล้วนะมันหมดแล้วนะ
00:07:04 → 00:07:06 มันไม่เหลืออะไรแล้วนะเหลือแต่ตัวเองแล้ว
00:07:06 → 00:07:10 นะตอนเนี้ยก็จะเริ่มแบบซึมเศร้าบางคน
00:07:10 → 00:07:13 เศร้าท้อแท้เบื่อหน่ายหมดกำลังใจกินไม่
00:07:13 → 00:07:17 ได้นอนไม่หลับนะคะแต่พอหลังจากที่เราซึม
00:07:17 → 00:07:20 เศร้าปึ๊บเราเริ่มทำใจได้มีสติเริ่มปล่อย
00:07:20 → 00:07:24 วางเริ่มแบบดึงตัวเองกลับมาใช้ชีวิตได้
00:07:24 → 00:07:27 ตามปกติคือชีวิตมันดำเนินต่อไปอะไรเสียไป
00:07:27 → 00:07:29 แล้วมันก็แล้วไปแล้วอันนี้เราก็ก็จะเข้า
00:07:29 → 00:07:33 สู่ระยะที่ 5 คือระยะ acceptance คือระยะ
00:07:33 → 00:07:37 แห่งการยอมรับความจริงอืยอมรับความจริง
00:07:37 → 00:07:39 ปรับตัวกับการสูญเสียกับการเปลี่ยนแปลง
00:07:40 → 00:07:43 แล้วก็กลับมามีชีวิตที่สดใสมีความสุขกลับ
00:07:43 → 00:07:46 มาเป็นเราอีกครั้งนึงอันเนี้ยเขาเรียกว่า
00:07:46 → 00:07:49 มันมีปฏิกิริยาที่เป็นด้านจิตวิทยาของ
00:07:49 → 00:07:52 มนุษย์นะค่ะที่เกิดขึ้นหลังจากการสูญเสีย
00:07:52 → 00:07:55 ซึ่ง 5 ระยะเนี่ยบางทีมันไม่ได้ไป 1 2 3
00:07:55 → 00:07:59 4 5 นะมันอาจจะไปเริ่ม 1 อ่ะแน่นอนก่อน
00:07:59 → 00:08:02 เลย 1 เสร็จมันอาจจะไป 2 2 ปุ๊บกลับมา 1
00:08:02 → 00:08:06 ใหม่โกรธปุ๊บอ้ากลับมาแบบเออช็อกใหม่กลับ
00:08:06 → 00:08:09 มาไม่ยอมรับความจริงใหม่เอออาจจะไป 2
00:08:09 → 00:08:13 ปึ๊บไป 3 ไป 3 ย้อนมา 2 ย้อนมา 1 ไป 1 2
00:08:13 → 00:08:15 3 4 ย้อนกลับมาใหม่มันอาจจะสลับไปมา
00:08:16 → 00:08:19 อยู่แบบเยค่ะจนกว่าที่จิตใจเราอ่ะมันจะ
00:08:19 → 00:08:23 เข้มแข็งพอที่มันจะยอมรับความจริงได้อื
00:08:23 → 00:08:26 เออซึ่งตรงเนี้ยมันก็ขึ้นอยู่กับความ
00:08:26 → 00:08:30 สามารถกลไกทางจิตของแต่แต่ละคนน่ะค่ะว่า
00:08:30 → 00:08:35 จะมีความแข็งแกร่งแข็งแรงแล้วสามารถพาตัว
00:08:35 → 00:08:38 เองผ่านพ้นทั้ง 5 ระยะเนี่ยเออจนกลับมา
00:08:38 → 00:08:41 ตั้งหลักกลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้งเนี่ย
00:08:41 → 00:08:44 เออมันขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าจะมีความ
00:08:44 → 00:08:47 สามารถในการปรับตัวได้เร็วแค่ไหนคือถ้า
00:08:47 → 00:08:50 คุณยิ่งยอมรับความจริงได้เร็วแค่ไหนอ่ะ
00:08:50 → 00:08:54 เออมันก็จะแบบจิตใจมันก็จะค่อยๆดีขึ้นแต่
00:08:54 → 00:08:58 ว่าถ้าแค่ข้อแรกอ่ะคุณยังช็อกบางคนแบบ
00:08:58 → 00:09:01 ช็อกตาค้างแบบแบบไม่รับรู้อะไรใครพูดอะไร
00:09:01 → 00:09:04 แบบไม่รู้เรื่องละค่ะหรือว่าบางคนก็ยัง
00:09:04 → 00:09:06 แบบไม่ยอมรับความจริงไม่ไม่ใช่มันเป็น
00:09:06 → 00:09:09 ความฝันมันไม่จริงมันไม่เคยเกิดขึ้นอย่า
00:09:09 → 00:09:12 อันเนี้ยใจจิตใจมันก็จะไม่พัฒนาไปสู่ระยะ
00:09:12 → 00:09:16 อื่นเนาะอ่าก็จะอยู่ตรงนั้นใช่อืมันก็
00:09:16 → 00:09:19 เกี่ยวมที่แบบว่าอย่างบางคนความสูญเสีย
00:09:19 → 00:09:21 ที่เกิดขึ้นเนี่ยมันมีผลกระทบกับชีวิต
00:09:21 → 00:09:24 จริงๆแบบจริงจังอ่ะเช่นสมมุติถ้าเป็น
00:09:24 → 00:09:26 เรื่องงานโอ้โหงานนี้มันเป็นงานที่แบบเรา
00:09:26 → 00:09:29 ต้องเลี้ยงครอบครัวแล้ววันนึงถูกให้ออก
00:09:29 → 00:09:33 อย่างเงี้ยเอ้ยมันตั้งตัวไม่ติดแล้วก็อาจ
00:09:33 → 00:09:35 จะอยู่ในภาวะที่แบบว่าช็อกอยู่แล้วก็ไม่
00:09:35 → 00:09:38 รู้จะทำยังไงไปไม่เป็นละเราไม่เคยคิดว่า
00:09:38 → 00:09:41 เราจะต้องเตรียมตัวหรือแม้กระทั่งก่อน
00:09:41 → 00:09:44 หน้านี้ที่มีโรคระบาดมาปึ๊บไม่มีใครได้
00:09:44 → 00:09:47 แบบว่าเตรียมตัวเลยไม่มีใครรู้ว่าจะเกิด
00:09:47 → 00:09:49 แบบนี้ขึ้นเราไม่เคยมองสถานการณ์อะไรระยะ
00:09:49 → 00:09:52 ไกลขนาดนี้มาก่อนว่าเราต้องมีการเตรียม
00:09:52 → 00:09:55 ความพร้อมถ้าเกิดมันเกิดอะไรขึ้นที่ทำให้
00:09:55 → 00:09:57 เราต้องหยุดชะงักไปแบบนี้เนี่ยมันก็เลยทำ
00:09:57 → 00:10:00 ให้เรายึดติดหรือเรารู้สึกว่าแบบมันกระทบ
00:10:00 → 00:10:02 กระเทือนเยอะอ่ะมันเลยยังช็อกอยู่มันยัง
00:10:02 → 00:10:06 แบบไม่ฉันไม่ไปสู่ขั้นที่ 2 นะคะยังแบบ
00:10:06 → 00:10:09 ว่าไม่จริงใช่มั้ยมันเป็นคำถามที่ถามกับ
00:10:09 → 00:10:13 ตัวเองตลอดแบบนั้นมั้ยคะค่ะก็คือบางคนน่ะ
00:10:13 → 00:10:16 ก็ยอมรับความจริงได้เร็วบางคนเหมือนจะแบบ
00:10:16 → 00:10:19 สตองเข้มแข็งนะคือยอมรับความจริงได้เออ
00:10:19 → 00:10:22 จัดการเรื่องทุกอย่างอะไรได้แต่กลับมาซึม
00:10:22 → 00:10:25 เศร้าตอนหลังก็มีเหมือนกันเหมือนแบบเก็บ
00:10:25 → 00:10:28 เก็บกดเอาไว้อย่างเงี้ยก็มีเหมือนกันเนาะ
00:10:28 → 00:10:31 เออซึ่งออันเนี้ยมันก็เป็นกลไกทางจิตของ
00:10:31 → 00:10:35 แต่ละคนนะว่าเราจะมีความแข็งแกร่งแข็งแรง
00:10:35 → 00:10:41 คือคนที่แบบสติปัญญาดีคนที่มีอารมณ์ดีมี
00:10:41 → 00:10:46 กลไกทางจิตที่ดีมีเหตุมีผลมองโลกเข้าใจ
00:10:46 → 00:10:49 โลกว่ามันเป็นธรรมดามันมีการเปลี่ยนแปลง
00:10:49 → 00:10:54 ได้เสมอคนที่มีครอบครัวมีระบบการเค้า
00:10:54 → 00:10:56 เรียก supporting System มีเพื่อนมีอะไร
00:10:56 → 00:10:59 ที่ซัพพอร์ตดีเนี่ยเออคนเหล่านี้ก็จะเป็น
00:10:59 → 00:11:02 กลุ่มที่ได้เปรียบที่เขาก็จะสามารถแบบทำ
00:11:02 → 00:11:05 ใจแล้วก็ก้าวผ่านเหตุการณ์ไปได้อืเออ
00:11:05 → 00:11:08 อย่างบางคนน่ะอย่างกรณีโควิดที่ผ่านมาใช่
00:11:09 → 00:11:12 มั้ยคะธุรกิจอะไรเงินอะไรมันหายมันพังไป
00:11:12 → 00:11:17 เจ๊งหมดอ่ะเออแต่คนที่มีสติคนที่ทำใจได้
00:11:17 → 00:11:19 เร็วปรับตัวได้เร็วยอมรับตับความสูญเสีย
00:11:19 → 00:11:22 ได้เร็วเขาก็จะสามารถกลับมาตั้งหลักตั้ง
00:11:22 → 00:11:25 ตัวแล้วก็หาช่องทางที่จะเพื่อความอยู่รอด
00:11:25 → 00:11:29 อ่ะเพื่อความเวทอ่ะได้เร็วขึ้นบางคนก็ก็
00:11:29 → 00:11:32 สามารถพลิกวิกฤตเป็นโอกาสบางคนเนี่ยแบบ
00:11:32 → 00:11:35 เจ๊งล้มละลายกแต่ก็สามารถพลิกวิกฤตตรง
00:11:35 → 00:11:38 นั้นมาก็มีงานมีอะไรอย่างบางคนแบบงานนี้
00:11:38 → 00:11:40 มันสำคัญกับชีวิตฉันมากเลยแล้ววันนึงมัน
00:11:40 → 00:11:44 สูญเสียไปอ่ะเออแน่นอนทุกคนมันก็ช็อกแหละ
00:11:44 → 00:11:48 แต่ชีวิตมันก็ต้องดำเนินต่อไปมยโดนไล่ออก
00:11:48 → 00:11:51 จากงานนี้ก็แค่ไปสมัครงานใหม่อก็หางาน
00:11:51 → 00:11:54 ใหม่ไปเรื่อยๆมันไม่มีก็เออลองทำอะไรใหม่
00:11:54 → 00:11:57 ๆดูบางทีเราอาจจะเจออะไรที่ดีกว่าเดิมก็
00:11:57 → 00:12:01 ได้แต่มนุษย์น่ะอ่ะบางทีแบบเรามีเซฟโซน
00:12:01 → 00:12:05 อ่ะอะไรที่มันเดิมๆซ้ำๆแบบเดิมๆมันเป็น
00:12:05 → 00:12:08 แพทเทิร์นเดิมๆอ่ะมันเป็นเซฟเซฟโซนมันรู้
00:12:08 → 00:12:11 สึกเป็นพื้นที่ปลอดภัยค่ะแล้วก็หลายๆคนก็
00:12:11 → 00:12:14 เลยกลัวการเปลี่ยนแปลงพอมีการเปลี่ยนแปลง
00:12:14 → 00:12:17 อะไรไม่ว่าจะเล็กปานกลางใหญ่เข้ามาเนี่ย
00:12:17 → 00:12:20 มันเหมือนแบบโอ้โหเหมือนมันเซฟโซนมันไม่
00:12:20 → 00:12:23 เหมือนเดิมอ่ะมันสั่นสะเทือนความปลอดภัย
00:12:23 → 00:12:27 ของตัวเองก็จะรู้สึกเครียดอืรู้สึกแบบ
00:12:27 → 00:12:30 กังวลรู้สึกแบบจัดการไม่ถูกถูกแต่ว่าถ้า
00:12:30 → 00:12:36 เรามีสติเราตั้งหลักดีๆเราแบบหาช่องทางหา
00:12:36 → 00:12:39 ที่ไปให้ตัวเองได้อ่ะแล้วก็ทำใจแล้วก็
00:12:39 → 00:12:42 ต้องยอมรับนะคือคนเรามันไม่ต้องแข็งแกร่ง
00:12:42 → 00:12:45 สตรองตลอดเวลาแบบโอ้โหมีเรื่องเกิดขึ้น
00:12:45 → 00:12:48 แบบนี้ก็ยังแบบเออไม่ซึมเศร้าผ่านไปได้
00:12:49 → 00:12:51 ไม่ต้องหลอกตัวเองหรอกคุณจะทุกข์จะเศร้า
00:12:51 → 00:12:54 จะร้องไห้ก็ร้องไปเลยแต่ว่ามันต้องร้อง
00:12:54 → 00:12:57 แล้วมันต้องหยุดไงไม่ใช่แบบร้องเรื่อย
00:12:57 → 00:13:00 เปื่อยเออซึ่งมันก็เป็นกลไกทางจิตของ
00:13:00 → 00:13:03 มนุษย์อ่ะเราอาจจะร้องแบบวันแรกๆเยอะ
00:13:03 → 00:13:06 หน่อยแต่ว่ามันจะค่อยๆดีขึ้นดีขึ้นอมัน
00:13:06 → 00:13:09 อย่างงี้ด้วยมั้ยคะคุณหมอว่าเราตัวเราเอง
00:13:09 → 00:13:12 อ่ะมันมีกลไกในการป้องกันตัวเองอยู่ด้วย
00:13:12 → 00:13:15 ในการที่จะแบบว่าในการยอมรับในสิ่งที่มัน
00:13:15 → 00:13:17 เกิดขึ้นแบบว่าหรือว่าการพยายามทำตัวตัว
00:13:17 → 00:13:20 เองให้สรองให้แข็งแกร่งฉันไม่รู้สึกอะไร
00:13:20 → 00:13:23 หรอกฉันยังได้ฉันยังไหวอะไรแบบเนี้ยมันมี
00:13:23 → 00:13:26 กลไกแบบนั้นอยู่ในตัวเองทุกคนอยู่แล้ว
00:13:26 → 00:13:28 ด้วยทุกคนมีอค่ะคือก็ต้องบอกว่าสมองอ่ะ
00:13:28 → 00:13:31 มันจะมีส่วนตรรกะเหตุผลใช่มั้ยคะแล้วก็
00:13:31 → 00:13:35 มันก็จะมีสมองส่วนอารมณ์เนาะเออบางคนน่ะ
00:13:35 → 00:13:38 ตรรกะเหตุผลแบบสตรองแข็งแรงให้เหตุผลตัว
00:13:38 → 00:13:41 เองได้แต่คือระดับอารมณ์หรือระดระดับจิต
00:13:41 → 00:13:45 ใจอ่ะมันไปไม่ทันสมองไงมันยังทำใจไม่ได้
00:13:45 → 00:13:48 อย่างยกตัวอย่างอ่ะแฟนบอกเลิกอย่างเงี้ย
00:13:48 → 00:13:50 ก็รู้อยู่แล้วผู้ชายคนนี้มันเลวมันชั่ว
00:13:50 → 00:13:54 มันมีชู้มีโอหาข้อดีอะไรไม่ได้เลยอ่ะสมอง
00:13:54 → 00:13:57 มันรู้ทุกอย่างว่าเออดีแล้วมันไปจากชีวิต
00:13:57 → 00:14:01 น่ะดีแล้วควรจะแบบยินดีดีใจแต่ระดับจิตใจ
00:14:01 → 00:14:06 มันคือแบบฉันรักเค้าเออเออฉันทำใจไม่ได้
00:14:06 → 00:14:10 เอออารมณ์แบบใจมันยังทำใจไม่ได้แต่พอวัน
00:14:10 → 00:14:13 นึงอ่ะเออพอเราแบบค่อยๆทำใจไปเรื่อยๆ
00:14:13 → 00:14:17 เรื่อยๆคือสมองด้านอารมณ์เราอ่ะมันเริ่ม
00:14:17 → 00:14:22 ปรับตัวปรับใจได้แบบเนี้ยเออเราก็จะเออ
00:14:22 → 00:14:24 เริ่มๆแบบเห็นแสงสว่างเริ่มกลับมาเป็นตัว
00:14:24 → 00:14:27 เองกลับมามีความสุขได้อีกครั้งนึ่งเนาะ
00:14:27 → 00:14:30 ซึ่งถ้าเราพูดระดับแบบกบสารเคมีในสมองนะ
00:14:30 → 00:14:32 ระดับเซลล์อย่างเงี้ยก็คือเวลามันเกิด
00:14:33 → 00:14:36 วิกฤตอะไรขึ้นมากับชีวิตเราอ่ะค่ะคือไอ้
00:14:36 → 00:14:39 สตตที่เราเรียกว่า Shock แ denial อ่ะมัน
00:14:39 → 00:14:43 มีผลต่อเซลล์สมองจริงๆคือสมองอ่ะมันตกใจ
00:14:43 → 00:14:46 นะมันรวนนะแล้วมันก็หลั่งสารเคมีออกมาไม่
00:14:46 → 00:14:49 ได้อ่ะเออเค้าศึกษาระดับเซลล์สมองอ่ะมัน
00:14:49 → 00:14:53 จริงๆมันแบบเฮ้ยเหมือนสมองมันช็อกอยู่มัน
00:14:53 → 00:14:56 งงอยู่เหมือนมันแบบว่าเหมือนอารมณ์
00:14:56 → 00:14:58 คอมพิวเตอร์ค้างอ่ะเหมือนเครื่องค้างแบบ
00:14:58 → 00:15:02 ช่ขนาเเออแต่พอสักพักนึงถ้าเราแบบค่อยๆ
00:15:02 → 00:15:06 เยียวยาจิตใจตัวเองคิดบวกใช่มคะให้กำลัง
00:15:06 → 00:15:11 ใจตัวเองแบบเออซูตติ้งทะนถนอมแบบดูแลใจ
00:15:11 → 00:15:15 เราไปเรื่อยๆอ่ะสมองมันก็ค่อยๆกลับมา
00:15:15 → 00:15:18 หลั่งสารใหม่กลับมาทำงานได้เป็นปกติใหม่
00:15:18 → 00:15:22 อีกครั้งนึงนะคะซึ่งเขาก็แนะนำว่าถ้า
00:15:23 → 00:15:25 สมมุติว่ามันเกิดเหตุการณ์ช็อกๆเกิดขึ้น
00:15:25 → 00:15:29 แล้วเนี่ยคือเราอยู่ที่เดิมอ่ะคือทำ
00:15:29 → 00:15:32 ใจอะไรไม่ได้เลยซึมเศร้ายังหลอกตัวเอง
00:15:32 → 00:15:34 อยู่เป็นเดือนๆแบบเนี้ยแนะนำพบจิตแพทย์
00:15:34 → 00:15:38 เลยค่ะอ๋อเออเพราะว่าบางทีแบบสมองมันอาจ
00:15:38 → 00:15:41 จะช็อกจัดไงช็อกจัดจนแบบมันรวนมันทำงาน
00:15:41 → 00:15:43 ไม่ได้มันแบบมันเออมันกลมันกลับมาเหมือน
00:15:43 → 00:15:46 เดิมได้ช้าะมันดูแบบผิดปกติไปใช่มันเอ๋อ
00:15:47 → 00:15:50 มันแบบทำงานไม่ได้เหมือนแบบสารหล่อลื่น
00:15:50 → 00:15:53 ไม่มีอะไรอย่างเงี้ยค่ะมาหาหมอเลยบางคน
00:15:53 → 00:15:57 แบบกินไม่ได้นอนไม่หลับอค่ะบางคนแบบนอน
00:15:57 → 00:16:00 แล้วก็ฝันร้ายบางคนแบบร้องไห้มันร้องไห้
00:16:00 → 00:16:03 เองอ่ะร้องไห้ตลอดเวลาแบบมันหยุดไม่ได้
00:16:03 → 00:16:07 แบบเออนั่นแหละมาพบจิตแพทย์เถอะนะคะมัน
00:16:07 → 00:16:09 เหมือนแบบเป็นการตรอมใจมั้ยคะที่แบบว่า
00:16:09 → 00:16:12 เอออันนี้อยากถามคุณหมอเลยแล้วกันการตรอม
00:16:12 → 00:16:14 ใจเพราะว่าอย่างที่เคยได้เห็นเอ่อไม่ใช่
00:16:14 → 00:16:17 ที่เคยได้เห็นสเคยได้ยินว่าอย่างบางคนสูญ
00:16:17 → 00:16:19 เสียสามีที่อยู่ด้วยกันมานานมากเลยเนี่ย
00:16:19 → 00:16:22 สูญเสียไปเสร็จปุ๊บเนี่ยตัวเองสักพักนึง
00:16:22 → 00:16:25 ก็เสียชีวิตตามเป็นเพราะว่าแบบลูกหลานก็
00:16:25 → 00:16:27 จะบอกว่าเออเป็นการตรอมใจอะไรอย่างเงี้ย
00:16:27 → 00:16:29 ไอ้ตรอมใจตรงเนี้ยมันคืออันนี้มีหรรือ
00:16:29 → 00:16:33 เปล่าใช่ค่ะโรคตรอมใจอ่ะมันมีจริงนะคะออื
00:16:33 → 00:16:36 ตรอมใจมันก็คือโรคซึมเศร้านี่แหละหรือว่า
00:16:36 → 00:16:39 โรคแบบเวลาเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นแล้วแบบ
00:16:39 → 00:16:43 ปรับตัวปรับใจไม่ได้อ่ะมันก็ตอมใจเศร้าใจ
00:16:43 → 00:16:47 ทุกข์ใจแล้วก็พัฒนาไปเป็นโรคซึมเศร้าคือ
00:16:47 → 00:16:50 เวลาที่มันเกิดเหตุการณ์วิกฤตใช่มั้ยคะ
00:16:50 → 00:16:53 สมองมันช็อกแบบเนี้ยมันผลิตสารเคมีไม่ได้
00:16:53 → 00:16:57 มันก็จะพัฒนาไปเป็นโรคซึมเศร้าคือจริงๆ
00:16:57 → 00:17:00 เค้าบอกว่ารพวกซึมเศร้าอ่ะมันส่งผลลต่อ
00:17:00 → 00:17:02 ร่างกายมนุษย์เยอะมากเลยนะคะไม่ว่าจะเป็น
00:17:02 → 00:17:06 ระบบหัวใจหลอดเลือดความดันแล้วก็เวลาที่
00:17:06 → 00:17:09 มนุษย์มีความเครียดอ่ะสมองมันหลั่งสาร
00:17:09 → 00:17:11 แห่งความเครียดเป็นสารกลุ่มสเตียรอยด์
00:17:11 → 00:17:15 คอร์ติซอลอย่างเงี้ยค่ะออกมาแบบมหาศาลทำ
00:17:15 → 00:17:19 ให้แบบร่างกายทรุดอ่ะเออแบบจะแข็งแรงแบบ
00:17:19 → 00:17:22 ทรุดวูบอย่างเงี้ยหรือว่าตอนที่ตอมใจหนัก
00:17:22 → 00:17:25 หนักซึมเศร้านะสมองแบบมันจะเหมือนคนเป็น
00:17:25 → 00:17:29 อัลไซเมอร์เลยนะจำอะไรไม่ค่อยได้แบบลืมไป
00:17:29 → 00:17:33 หมดเลยหลงลืมแบบสมาธิไม่ดีแบบมันเหมือน
00:17:33 → 00:17:37 แบบสมองเสื่อมไปชั่วขณะนึงอ่ะอืแต่พอถ้า
00:17:37 → 00:17:40 เราค่อยๆแบบเออตั้งหลักทำใจทุกวันทุกวัน
00:17:40 → 00:17:43 ทุกวันก็เออต้องแบบกลับมารักตัวเอง
00:17:43 → 00:17:48 เยียวยาตัวเองคือสามีจะเอออยู่กันมานาน
00:17:48 → 00:17:50 แค่ไหนรักกันมานานแค่ไหนหรือแม้แต่ลูก
00:17:50 → 00:17:53 หรือแม้แต่เพื่อนคือมันมี 2 อย่างอ่ะมัน
00:17:53 → 00:17:57 จากเป็นกับจากตายอ่ะเราไม่รู้ว่าจะจากกัน
00:17:57 → 00:18:00 เมื่อไหร่อเราแค่แค่ทำปัจจุบันให้ดีเรา
00:18:01 → 00:18:03 ไม่รู้อนาคตมันจะเกิดอะไรขึ้นเนาะแค่ทำ
00:18:03 → 00:18:06 ปัจจุบันให้ดีวันที่อยู่ด้วยกันก็ดีต่อ
00:18:06 → 00:18:10 กันพูดดีต่อกันดูแลกันวันที่จากกันก็จาก
00:18:10 → 00:18:13 กันด้วยดีไม่ว่าจะเป็นจากเป็นหรือจากตาย
00:18:13 → 00:18:17 จากตายก็ตายคนใดคนนึงตายเสียชีวิตไม่ว่า
00:18:17 → 00:18:20 จะด้วยเหตุใดก็แล้วแต่จากเป็นก็อาจจะผิด
00:18:20 → 00:18:24 ใจกันแบบเลิกลากันก็เออแค่แบบ Say กบาย
00:18:24 → 00:18:27 แค่เวลาเวลาของเรามันหมดแล้วมันก็ต้องยาก
00:18:28 → 00:18:29 ย้ายจากกันไป
00:18:29 → 00:18:32 เออคือมันต้องฝึกนะคือเรื่องใจอ่ะมันต้อง
00:18:32 → 00:18:36 ฝึกฝึกการสูญเสียตั้งแต่เล็กตั้งแต่เด็ก
00:18:36 → 00:18:41 ตั้งแต่โตมาคนที่ฝึกตัวเองได้ดีเขาก็จะทำ
00:18:41 → 00:18:44 ใจได้เร็วเขาก็จะยอมรับตัวเองได้ว่าเออ
00:18:44 → 00:18:47 เราทุกข์นะเราเศร้านะเราเสียใจอยู่นะแต่
00:18:47 → 00:18:51 มันจะค่อยๆดีขึ้นมันจะดีขึ้นในทุกวันใน
00:18:51 → 00:18:55 ทุกทางมันก็ต้องให้เวลากับตัวเองด้วยมัน
00:18:55 → 00:18:57 เคยมีอยู่ช่วงนึงค่ะคุณหมออันนี้ก็เล่า
00:18:57 → 00:19:00 ประสบการณ์ให้ฟังแล้วก็เหมือนกับว่าพอเรา
00:19:00 → 00:19:02 ผ่านระยะเวลาในในความสูญเสียหลืหรืออะไร
00:19:02 → 00:19:04 ก็แล้วแต่ต่างๆเหล่าเที่เราคิดว่าเฮ้ยเรา
00:19:04 → 00:19:07 ต้องเข้มแข็งสิเราต้องเราเราต้องร้องไห้
00:19:07 → 00:19:09 ไม่ได้นะนู่นนี่นั่นเนี่ยมันทำให้เรามัน
00:19:09 → 00:19:11 กลายเป็นอีกคนนึงโดยที่เราไม่รู้ตัว
00:19:11 → 00:19:13 เหมือนกันอย่างที่คุณหมอบอกไปตั้งแต่ตอน
00:19:13 → 00:19:16 แรกค่ะคุณผู้ฟังว่าถ้าอยากจะร้องรู้สึก
00:19:16 → 00:19:18 ยังไงให้แสดงความรู้สึกแบบนั้นออกมาเลย
00:19:18 → 00:19:21 อยากร้องก็คือร้องเพราะว่าเคยอยู่ในภาวะ
00:19:21 → 00:19:24 ที่เราแบบต้องสรองตลอดอ่ะค่ะเหมือนกับแบบ
00:19:24 → 00:19:27 เอ้ยเสียใจเฮ้ยร้องไห้ไม่ได้นู่นนี่นั่น
00:19:27 → 00:19:29 เก็บไว้ทุกอย่างเลยค่ะจนกระทั่งไปฟังราย
00:19:29 → 00:19:33 การนึงวันนึงมีคนที่เขาบอกว่าเค้าเหมือน
00:19:33 → 00:19:36 สะกดจิตตัวเองมั้งเหมือนแบบว่าฉันแข็ง
00:19:36 → 00:19:39 แกร่งฉันไม่ร้องฉันเป็นคนเก่งอะไรอย่าง
00:19:39 → 00:19:41 งี้ใช่มั้ยคะท้ายที่สุดแล้วร้องไห้ไม่
00:19:41 → 00:19:44 เป็นเลยในช่วงนั้นนะคะไม่ว่าจะแบบอยากจะ
00:19:44 → 00:19:47 ร้องไห้ขนาดไหนอ่ะแต่น้ำตาไม่ยอมออกเลยจน
00:19:47 → 00:19:49 กระทั่งพอมาฟังรายการของเขาปุ๊บเนี่ยแบบ
00:19:49 → 00:19:53 เฮ้ยเออเราต้องรู้สึกคือเรารู้สึกอะไรให้
00:19:53 → 00:19:55 แสดงออกเหมือนที่คุณหมอบอกเลยเมื่อกี้ดี
00:19:55 → 00:19:59 ใจก็ก็ดีใจไปอยากร้องไห้ก็ร้องไปไม่มีใคร
00:19:59 → 00:20:02 ว่าเราอาจจะไปร้องคนเดียวก็ได้หรืออะไรก็
00:20:02 → 00:20:05 ได้ให้แสดงออกมามันจะมันจะโล่งเลยตอนนั้น
00:20:05 → 00:20:07 แบบปลดล็อคเลยค่ะคุณหมอจากที่เราแบบว่า
00:20:07 → 00:20:11 เฮ้ยเราแข็งแกร่งเราไม่ร้องเจอเรื่องอะไร
00:20:11 → 00:20:13 เราต้องไม่ร้องอะไรอย่างเงี้ยค่ะเหมือน
00:20:13 → 00:20:17 แบบเก็บมากๆมากๆเข้ามาเลยเป็นภาวะแบบอะไร
00:20:17 → 00:20:20 ก็ไม่รู้กับตัวเองไปสตายแล้วปลดล็อคได้
00:20:20 → 00:20:23 แล้วก็ใช้ระยะเวลาแล้วก็เหมือนกับว่าเวลา
00:20:23 → 00:20:26 ที่เราเกิดความสูญเสียอะไรก็แล้วแต่เนี่ย
00:20:26 → 00:20:30 ช่วงแรกอาจจะยังแบบอ่ะะจริงหรอเฮ้ยใช่หรอ
00:20:30 → 00:20:33 หรืออะไรเงี้ยค่ะแต่ว่าเราก็ก้าวข้ามผ่าน
00:20:33 → 00:20:36 ตรงจุดนั้นมาได้แบบได้ด้วยระยะเวลาที่ไม่
00:20:36 → 00:20:40 นานมากนักอือค่ะก็คือจริงๆถ้าเรายอมรับ
00:20:40 → 00:20:42 ความจริงตั้งแต่แรกยอมรับอารมณ์ยอมรับ
00:20:42 → 00:20:45 ความรู้สึกยอมรับความสูญเสียยอมรับว่าเรา
00:20:45 → 00:20:48 ก็อ่อนแอได้ยอมรับว่าเราเป็นมนุษย์คนนึง
00:20:48 → 00:20:52 เราก็ทุกข์ได้ร้องไห้ได้เนี่ยจริงๆแล้ว
00:20:52 → 00:20:55 มันเอ้ยปฏิกิริยาหรือว่ากลไกทางจิตอ่ะมัน
00:20:56 → 00:20:58 จะทำงานได้ไวขึ้นแต่ถ้าเรามวลแต่แบบไป
00:20:58 → 00:21:02 หลอกตัวเองอ่ะว่าโอ๊ยฉันแข็งแกร่งฉันไม่
00:21:02 → 00:21:06 ร้องให้หรอกอ้ยไม่จำเป็นต้องร้องเออไม่
00:21:06 → 00:21:08 เป็นไรฉันจัดการได้บางทีมันเป็นการหลอก
00:21:08 → 00:21:11 ตัวเองไงอๆเออมันหลอกตัวเองแล้วมันก็เป็น
00:21:11 → 00:21:15 การเก็บกดความรู้สึกอ่ะเออพอมันเก็บไว้
00:21:15 → 00:21:19 มันก็เหมือนแค่มันมีขยะอยู่อ่ะแต่ว่าเรา
00:21:19 → 00:21:23 แค่เอาอะไรมาปิดอ่ะแต่ขยะมันก็ยังอยู่มัน
00:21:23 → 00:21:26 ก็รอวันเน่าเสียหมักหมมแค่แค่เราแบบไม่
00:21:26 → 00:21:29 เปิดมันมาดูอ่ะอแบบเออเราก็ยอมรับความ
00:21:29 → 00:21:33 จริงเนาะร้องไหก็ร้องไปเลยแต่ไม่ใช่มัน
00:21:33 → 00:21:36 ร้องแบบกลางรถเมล์กลาง BTS เดี๋ยวคนตกใจ
00:21:36 → 00:21:39 ใช่มั้ยหรือไปยืนร้องกลางสายฝนเดี๋ยวฟ้า
00:21:39 → 00:21:42 ผ่าตายอะไรอย่างเงี้ยเออเราก็หาที่สงบๆ
00:21:42 → 00:21:46 ร้องกับตัวเองก็ได้เออร้องร้องแบบเออให้
00:21:46 → 00:21:50 น้ำตามันไหลบางทีน้ำตาเนี่ยมันช่วยชำระ
00:21:50 → 00:21:54 ล้างจิตใจจมันช่วยแบบล้างความทุกข์มัน
00:21:54 → 00:21:57 ช่วยล้างแบบมันได้ปลดปล่อยอ่ะออกไปทางน้ำ
00:21:57 → 00:22:01 ตาแบบเนี้ยเออมันรู้สึกโล่งเพราะว่าจริงๆ
00:22:01 → 00:22:04 แล้วมันเป็นแบบมันเป็นร่างกายมนุษย์น่ะ
00:22:04 → 00:22:09 มันมหัศจรรย์ไงมันออกแบบมาให้ให้แบบเรามี
00:22:09 → 00:22:12 กลไกหลายๆอย่างที่จะให้เราช่วยให้จิตใจ
00:22:12 → 00:22:17 เราดีขึ้นขนาดเขามีการศึกษาแบบน้ำตาน้ำตา
00:22:17 → 00:22:20 มนุษย์นะเเอาน้ำตาคนน่ะไปหย่อดลงไปใน
00:22:20 → 00:22:23 กล้องจุลทัศน์อ่ะเพราะว่าน้ำตาแห่งความ
00:22:23 → 00:22:27 สูญเสียอืเสียใจร้องไห้กับน้ำตาแห่งความ
00:22:27 → 00:22:31 ปิติมีคความสุขน้ำตาแห่งความโกรธอ่ะคือ
00:22:31 → 00:22:33 มันไม่เหมือนกันเลยมันเป็นผลึกที่แบบแตก
00:22:33 → 00:22:36 ต่างกันเลยนะผลึกมันแตกต่างกันเลยน้ำตาคน
00:22:36 → 00:22:39 เดียวกันนะมนุษย์คนเดียวกันน่ะแล้วเทำ
00:22:39 → 00:22:42 วิจัยเลยทดลองเลยอ่ะดีใจปึ๊บเนี่ยเอาน้ำ
00:22:42 → 00:22:47 ตามันเนี่ยเอาวกล้องดูเลยเออผลึกสวยเป็น
00:22:47 → 00:22:50 ประกายแบบเงี้ยมันไม่เหมือนกันเลยเออแปลก
00:22:50 → 00:22:54 มากนะคะเพราะฉะนั้นก็คือสิ่งสำคัญคือการ
00:22:54 → 00:22:57 ที่เราต้องแบบว่าใช้ระยะเวลาแล้วก็จะบอก
00:22:57 → 00:23:00 ว่าฝึกในการรับมือกับสิ่งที่มันเกิดความ
00:23:00 → 00:23:03 สูญเสียบางอย่างมันก็ไม่น่าฝึกเนาะในการ
00:23:03 → 00:23:05 สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักอะไรอย่างเงี้ย
00:23:05 → 00:23:07 เราแต่เราทำอะไรอย่างอื่นได้อีกมั้ยหมาย
00:23:07 → 00:23:10 ถึงว่าแบบนอกจากการที่เราใช้ระยะเวลาแล้ว
00:23:10 → 00:23:13 ในการพยายามเข้าใจความเป็นจริงอันนี้
00:23:13 → 00:23:16 สำคัญด้วยใช่ค่ะแล้วก็เริ่มจากการฝึกฝึก
00:23:16 → 00:23:21 สติเนาะเออมีมีสติรู้รู้อารมณ์ตัวเองออ่า
00:23:21 → 00:23:24 รู้ว่าเราทุกข์อยู่เราดีใจอยู่เราเสียใจ
00:23:24 → 00:23:27 อยู่รู้วิธีที่จะแบบปอบอารมณ์ตัวเองเช่น
00:23:27 → 00:23:31 บางคนอาจจะชอบดูหนังอาจจะชอบฟังเพลงอาจจะ
00:23:31 → 00:23:35 ชอบแบบปลูกต้นไม้ก็เออพาตัวเองไปให้จิตใจ
00:23:35 → 00:23:39 มันสสงบร่มเย็นสบายรู้จักแบบให้กำลังใจ
00:23:39 → 00:23:43 ตัวเองแล้วก็รู้ว่าชีวิตมันไม่มีอะไรแน่
00:23:43 → 00:23:47 นอนอืรู้ว่าเออเราไม่รู้หรอกอนาคตจะเกิด
00:23:47 → 00:23:49 อะไรขึ้นแต่เราสามารถที่จะอยู่กับ
00:23:49 → 00:23:53 ปัจจุบันมีความสุขกับปัจจุบันอนาคตอะไร
00:23:53 → 00:23:56 มันจะเกิดมันก็ต้องเกิดเราก็จะรับมือกับ
00:23:56 → 00:23:59 มันแล้วก็พาตัวเองผ่านพ้นวิกฤตนั้นไปได้
00:23:59 → 00:24:02 ที่สุดนี่แหละชีวิตมนุษย์มันมีแค่นี้เอง
00:24:02 → 00:24:06 เนาะไม่ว่าจะเป็นศาสนาไหนอ่ะเขาคก็จะสอน
00:24:06 → 00:24:10 เออสอนจริงๆหลักศาสนาก็จะสอนคล้ายๆกันหมด
00:24:10 → 00:24:12 เลยอย่างศาสนาพุทธก็สอนให้อยู่กับ
00:24:12 → 00:24:17 ปัจจุบันไม่มีอะไรแน่นอนอนิจจังใช่มั้ยคะ
00:24:17 → 00:24:21 อยู่กับปัจจุบันมีสติแล้วก็เอ่อบางอย่าง
00:24:22 → 00:24:24 บางทีบทเรียนบางอย่างก็เราเรียนรู้จากคน
00:24:24 → 00:24:27 อื่นได้นะคะวันนึงเราอาจจะเจอแบบเค้าก็
00:24:27 → 00:24:29 ได้หรืออาจจะเจอหนักกว่าหรืออะไรอย่าง
00:24:30 → 00:24:32 น้อยเราก็ได้เรียนรู้ะมีสติกับตัวเองะ
00:24:32 → 00:24:35 แล้วก็รับมือได้แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆไปพบคุณ
00:24:36 → 00:24:38 หมอใช่ค่ะมาปรึกษาจิตแพทย์เลยค่ะการมาพบ
00:24:38 → 00:24:41 จิตแพทย์ไม่ได้แปลว่าคุณเป็นคนบ้าไม่ได้
00:24:41 → 00:24:44 แปลว่าคุณเป็นคนอ่อนแอการมาพบจิตแพทย์
00:24:44 → 00:24:47 นั่นแปลว่าคุณน่ะเป็นคนทันสมัยที่มีความ
00:24:47 → 00:24:51 รู้ความเข้าใจด้านสุขภาพจิตที่ดีการมาพบ
00:24:51 → 00:24:54 จิตแพทย์บางครั้งถ้ามันจำเป็นจะต้องรับ
00:24:54 → 00:24:57 ประทานยามันก็ช่วยทำให้คุณก้าวผ่านความ
00:24:57 → 00:25:01 ทุกข์ได้ไวขึ้นค่ะเพราะอย่างบางคนน่ะคือ
00:25:01 → 00:25:04 คือสมองเหตุผลน่ะรู้เข้าใจมันเป็นธรรมดา
00:25:04 → 00:25:06 โรคมันเป็นความสูญเสียเกิดแก่เจ็บตายเป็น
00:25:06 → 00:25:10 เรื่องธรรมดาแต่ร่างกายมันไม่ฟังอ่ะมัน
00:25:10 → 00:25:13 นอนไม่ได้ตาค้างอยู่แบบเนี้ยพอนอนไม่ได้
00:25:13 → 00:25:17 ร่างกายมันก็รวนใช่มั้ยคะมาหาหมอบางทีคุณ
00:25:17 → 00:25:20 อาจจะจำเป็นต้องกินยาแค่ช่วงระยะเนี้ย
00:25:20 → 00:25:23 อาทิตย์นึง 2 อาทิตย์ให้มันหลับได้นอนได้
00:25:23 → 00:25:27 ร่างกายมันจะฟื้นแล้วมันก็จะดีขึ้นค่ะมา
00:25:27 → 00:25:30 ปรึกษาเลยค่ะอืมอันนี้ก็จะได้แนวทางที่
00:25:30 → 00:25:33 ถูกต้องด้วยไม่ใช่แบบว่าไปในผิดรูผิดทาง
00:25:34 → 00:25:39 หรือไปหาคนอื่นไปปรึกษาหมอดูหมอดูมันอาจ
00:25:39 → 00:25:41 จะผิดทางก็ได้เเอบางคนอาจจะไปหาหมอดูไปทำ
00:25:41 → 00:25:45 พิธีถ้าเจอเจอหมอดูที่ดีมีศีลมีธรรมก็ดี
00:25:45 → 00:25:49 ไปนะเออเขาคก็จะสอนเออให้ทำใจให้เข้าใจ
00:25:49 → 00:25:52 โลกแต่ถ้าเจอคนไม่ดีอย่างเงี้ยเออก็จะ
00:25:52 → 00:25:54 ยิ่งเพิ่มความทุกข์ยิ่งซ้ำเติมความทุกข์
00:25:54 → 00:25:57 ของเราเข้าไปอีกรู้ว่าจิตเรากำลังอ่อนแอ
00:25:57 → 00:25:59 เนี่ยใช่เค้าก็ใช้หลักจิตวิยาเหมือนกัน
00:25:59 → 00:26:01 นั่นแหละเออเพียงแต่ว่าคแบหาประโยชน์จาก
00:26:01 → 00:26:04 ความทุกข์ของเราอืก็ไปหาจิตแพทย์ดีกว่าไป
00:26:04 → 00:26:07 หาหมอดูอย่างเดียวนะคนจะเลือกไปหาหมอดู
00:26:07 → 00:26:09 มากกว่าไงใช่มั้ยคะแต่จิตแพทย์เข้าหาได้
00:26:10 → 00:26:13 เดี๋ยวนี้คือแบบอุ้ยคือเข้าไปคุยยเข้าไป
00:26:13 → 00:26:15 เล่าเรื่องราวอะไรก็ได้บางทีเราอาจจะไม่
00:26:15 → 00:26:18 ได้จำเป็นต้องเอายากลับบ้านก็ได้นะไปคุย
00:26:18 → 00:26:22 แล้วได้รู้ว่าเหตุปัจจัยแล้วมันมันเหตุผล
00:26:22 → 00:26:24 มันเป็นยังไงเหตุของแล้วก็ผลมาอย่างเงี้ย
00:26:24 → 00:26:27 แล้วก็ทำตามคำแนะนำบางทีดีขึ้นได้ง่ายๆ
00:26:27 → 00:26:29 เลยด้วยซ้ำคือมาแล้วเนี่ยคุณจะเข้าใจตัว
00:26:29 → 00:26:34 เองมากขึ้นนะคะคือจะไปหาหมอดูไปสายมูไป
00:26:34 → 00:26:37 วัดไปอะไรก็แล้วแต่ไม่เป็นไรไม่ว่ากันถ้า
00:26:37 → 00:26:40 ไปแล้วมันไม่หายไม่ดีขึ้นแนะนำนะคะ
00:26:40 → 00:26:43 จิตแพทย์เป็นคนสุดท้ายที่คุณจะมาเราก็ดี
00:26:43 → 00:26:45 ใจแล้วนะคะที่ได้ช่วยคุณไม่ต้องกลัวคุณ
00:26:45 → 00:26:48 หมอว่างงานค่ะค่ะทุกวันนี้คิวคุณหมอก็
00:26:48 → 00:26:52 เยอะอยู่ใช่มั้ยคะอ่านี้ก็เป็นสิ่งที่เรา
00:26:52 → 00:26:54 ฝากไว้นะฮะถึงเรื่องของการทำความเข้าใจ
00:26:54 → 00:26:57 กับความสูญเสียในการรับมือต่างๆเหล่านี้
00:26:57 → 00:27:01 นะคะเราจะก้าวขาข้ามผ่านพ้นไปได้เนี่ยก็
00:27:01 → 00:27:02 ทั้งหมดทั้งมวลอยู่ที่ตัวเราด้วยนะคะ
00:27:03 → 00:27:06 ขอบคุณคุณหมอค่ะสวัสดีค่ะสวัสดีค่ะเอาล่ะ
00:27:06 → 00:27:08 ค่ะคุณผู้ฟังหมดเวลาแล้วนะคะพบกันใหม่
00:27:08 → 00:27:10 ครั้งหน้ากับรายการโรงหมอไทย PB podcast
00:27:10 → 00:27:13 นะคะวันนี้ลาไปก่อนสวัสดีค่ะ This Is
00:27:13 → 00:27:16 Thai PBS podcast น้ำเปล่าถือเป็นน้ำ
00:27:16 → 00:27:18 ที่ดีต่อร่างกายของมนุษย์มากที่สุดในแต่
00:27:18 → 00:27:21 ละวันสำหรับแต่ละคนมีวิธีการคำนวณการดื่ม
00:27:21 → 00:27:24 น้ำอย่างไรผู้ช่วยศาสตราจารย์ดรเอกราช
00:27:24 → 00:27:26 บำรุงพืชผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการมาเล่า
00:27:26 → 00:27:30 ให้ฟังครับคนเราเนี่ยบอกเลยว่าต้องการน้ำ
00:27:30 → 00:27:33 คุณขาดอาหารคุณยังมีชีวิตอยู่ได้หลายวัน
00:27:33 → 00:27:36 แต่ขาดน้ำนี่ไม่กี่วันคุณตายนะครับเพราะ
00:27:36 → 00:27:38 70% ขององค์ประกอบของร่างกายเนี่ยมีน้ำ
00:27:38 → 00:27:41 เป็นหลักเลยแล้วมันมีบทบาทสำคัญโอโห
00:27:41 → 00:27:44 ประโยชน์เยอะมากค่ะเอาง่ายๆเลยเนี่ยน้ำใน
00:27:44 → 00:27:46 ร่างกายของเราเนี่ยน้ำเลือดในระบบไหล
00:27:46 → 00:27:49 เวียนทั้งหลายแหล่ถูกมั้ยครับที่นำพาสาร
00:27:49 → 00:27:53 อาหารนำพาออกซิเจนนำพาโอ้โหเพียบเลยหลาย
00:27:53 → 00:27:54 สิ่งอย่างที่มีประโยชน์ไหลายเวียนทั่ว
00:27:54 → 00:27:57 ร่างกายอือมันก็ต้องเนี่ยอาศัยเรื่องของ
00:27:57 → 00:27:59 น้ำก็
00:27:59 → 00:28:03 คผก็ต้องอาศัยน้ำอืหรือผิวพรรณอย่างเงี้ย
00:28:03 → 00:28:06 ถ้าคุณขาดน้ำผิวพรรณคุณแห้งเลยนะก็จะเห็น
00:28:06 → 00:28:09 ชัดเลยคนกินน้ำไม่ถึงเนี่ยนะขับถ่ายก็ไม่
00:28:09 → 00:28:12 ดีท้องผูกเห็นมั้ยอันนี้คือสิ่งที่
00:28:12 → 00:28:15 ประจักษ์ชัดสะท้อนให้เราเห็นเลยว่ามันมี
00:28:15 → 00:28:17 ผลโดยตรงเลยเรื่องของระบบไหลเวียนโลหิต
00:28:17 → 00:28:21 กระบวนการเผาผลาญผิวพรรณระบบขับถ่ายถ้า
00:28:21 → 00:28:23 เราขาดน้ำกินน้ำไม่พอเห็นชัดๆเลยแบบว่า
00:28:23 → 00:28:26 ท้องผูกถึงบอกว่ามีความสำคัญแล้วถ้าคนรับ
00:28:26 → 00:28:29 ประทานน้ำดื่มน้ำน้ำให้เพียงพอบริโภคน้ำ
00:28:29 → 00:28:32 ให้เพียงพอในแต่ละวันเนี่ยเขาสามารถที่จะ
00:28:32 → 00:28:35 มีชีวิตที่เปลี่ยนไปเลยปริมาณโดยทั่วไป
00:28:35 → 00:28:37 เราแนะนำเนี่ยน้ำเปล่าเนี่ยคือดื่มวันละ
00:28:37 → 00:28:42 ประมาณ 2-3 ลิตรก็คือ 8-10 แก้วต่อวันนะ
00:28:42 → 00:28:45 วิธีการคำนวณง่ายๆในปริมาณน้ำที่เราจะ
00:28:45 → 00:28:48 ดื่มเนี่ยคือเอาน้ำหนักตัวของเราคูณด้วย
00:28:48 → 00:28:52 30 เช่นอาจารย์หนัก 65 อาจารย์ก็ต้องเอา
00:28:52 → 00:28:56 65 เนี่ยคูได้ 30 นะโดยช่วงเวลาการดื่ม
00:28:56 → 00:28:59 น้ำก็มีผลนะครับตื่นพมาอาจารย์ก็จะเติม
00:28:59 → 00:29:02 น้ำ 1 แก้วอหรือ 1 ขวดอือ่าฉะนั้นแล้ว
00:29:02 → 00:29:05 ตื่นมาปุ๊บเนี่ยคือหลังตื่นนอนเนี่ยเรา
00:29:05 → 00:29:08 ดื่มน้ำ 1 แก้วนะระบบไหลเวียนเราก็ดีขึ้น
00:29:08 → 00:29:12 แล้วก็ช่วยชดเชยที่เราอดน้ำอดอาหารมาทั้ง
00:29:12 → 00:29:14 คืนที่เรา
00:29:14 → 00:29:19 นอน This Is Thai PBS
00:29:19 → 00:29:22 podcast ติดตามรายการของ Thai PBS
00:29:22 → 00:29:24 podcast ได้ทางเว็บไซต์
00:29:24 → 00:29:28 www.thaipbs.or.th
00:29:28 → 00:29:31 Application Thai PBS podcast รวมถึง
00:29:31 → 00:29:34 ฟังผ่าน podcast ช่องทางอื่นๆ spotify
00:29:34 → 00:29:37 YouTube Apple podcast และ Sound
00:29:37 → 00:29:39 Cloud
00:29:39 → 00:29:42 [เพลง]