00:00:01 → 00:00:03 จากสถิติในคนไทยพบว่า
00:00:03 → 00:00:07 มีผู้ป่วยที่เจ็บป่วยจาก การกินเค็มมากถึง 22 ล้านคน
00:00:07 → 00:00:10 ส่งผลให้เกิดการเสียชีวิต มากถึง 20,000 คนต่อปี
00:00:10 → 00:00:15 โดยบุคคลเหล่านี้กินเค็มเกินมาตรฐาน 2-3 เท่า จากที่ร่างกายต้องการต่อวันค่ะ
00:00:16 → 00:00:21 [เสียงดนตรี]
00:00:21 → 00:00:24 หากเราลดเค็ม สิ่งแรกที่จะเกิดประโยชน์ กับร่างกายของเราก็คือ
00:00:24 → 00:00:26 จะช่วยให้เราแก่ช้าลง
00:00:26 → 00:00:28 เนื่องจากความเค็ม ทำให้เทโลเมียร์หดสั้นลง
00:00:28 → 00:00:32 ซึ่งเทโลเมียร์เป็นส่วนที่ป้องกัน การหดสั้นลงของโครโมโซม
00:00:33 → 00:00:36 ซึ่งก็จะทำให้เร่งกระบวนการแก่ชรา ของร่างกายได้
00:00:36 → 00:00:38 ทำให้ภายนอกผิวหนังอาจจะเหี่ยวย่น
00:00:38 → 00:00:41 หรือภายในทำให้เกิดการอักเสบภายในร่างกาย
00:00:41 → 00:00:43 นอกจากนี้ การกินเค็มที่มากเกินไป
00:00:43 → 00:00:45 ยังทำลายสุขภาพผิวของเรา
00:00:45 → 00:00:47 ทำให้ผิวหนังของเราเกิดการอักเสบ
00:00:48 → 00:00:49 คันและเป็นผื่นได้ค่ะ
00:00:51 → 00:00:53 ประโยชน์อย่างที่สองของการลดเค็มก็คือ
00:00:53 → 00:00:56 สามารถลดความเสี่ยง ต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนได้
00:00:56 → 00:00:59 เพราะในภาวะที่เราได้รับความเค็ม เข้าสู่ร่างกาย
00:00:59 → 00:01:03 ร่างกายพยายามจะกำจัดโซเดียมออกจากร่างกาย โดยการปัสสาวะให้มากขึ้น
00:01:03 → 00:01:06 ซึ่งการสูญเสียแคลเซียม ออกมากับปัสสาวะในปริมาณมาก
00:01:06 → 00:01:10 ก็จะส่งผลให้กระดูกเราบางลง และเปราะแตกง่าย
00:01:10 → 00:01:12 ประโยชน์ข้อต่อไปของการลดเค็มก็คือ
00:01:12 → 00:01:15 ช่วยป้องกันความเสี่ยงของการเกิดโรคไตวายได้
00:01:15 → 00:01:16 จากการศึกษาพบว่า
00:01:17 → 00:01:20 การรับประทานโซเดียมมากกว่า 2 เท่า ที่แนะนำต่อวัน
00:01:20 → 00:01:22 หรือ 4,600 มิลลิกรัม
00:01:22 → 00:01:24 พบว่าไตขับของเสียได้แย่ลง
00:01:24 → 00:01:27 และมีการรั่วของโปรตีนมาในปัสสาวะมากขึ้น
00:01:27 → 00:01:32 แต่ในทางกลับกัน เมื่อรับประทานโซเดียม ตามคำแนะนำที่ต้องการต่อวัน
00:01:33 → 00:01:35 หรือประมาณ 2,000-2,300 มิลลิกรัม
00:01:35 → 00:01:38 จะทำให้ประสิทธิภาพการกรองของไตดีขึ้น
00:01:38 → 00:01:41 และป้องกันความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตวายได้
00:01:41 → 00:01:43 ประโยชน์ข้อต่อไปของการลดเค็ม
00:01:43 → 00:01:46 ก็คือลดความเสี่ยงของ การเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
00:01:46 → 00:01:48 โรคหลอดเลือดสมอง และโรคความดันโลหิตสูง
00:01:48 → 00:01:50 เพราะการที่เรากินเค็มมากเกินไป
00:01:50 → 00:01:52 ร่างกายไม่สามารถกำจัดออกได้หมด
00:01:52 → 00:01:55 ทำให้ระดับโซเดียมอยู่ในกระแสเลือดที่เยอะ
00:01:55 → 00:01:58 ทำให้ดึงน้ำเข้ามาสู่ในหลอดเลือดที่มาก
00:01:58 → 00:02:00 ส่งผลให้เกิดความดันโลหิตสูงได้
00:02:00 → 00:02:03 นอกจากนี้ในส่วนของ การขับโซเดียมออกจากร่างกาย
00:02:03 → 00:02:07 จะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่มีส่วนทำให้ ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น
00:02:07 → 00:02:11 ความดันโลหิตที่เพิ่มสูงขึ้นตรงนี้ ก็จะทำให้ทำลายหลอดเลือดของเรา
00:02:11 → 00:02:13 ทำให้หลอดเลือดขาดความยืดหยุ่น
00:02:13 → 00:02:15 หลอดเลือดแตก ซึ่งนำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือด
00:02:16 → 00:02:18 หลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาตได้ค่ะ
00:02:18 → 00:02:20 ประโยชน์อีกประการหนึ่งของการลดเค็ม
00:02:20 → 00:02:23 สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน จะทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีมากขึ้น
00:02:23 → 00:02:26 เพราะการลดเค็มจะช่วยควบคุมความดัน
00:02:26 → 00:02:28 การที่ควบคุมความดันให้ลดลง
00:02:28 → 00:02:30 ก็จะช่วยทำให้การทำงานของอินซูลิน
00:02:30 → 00:02:33 ซึ่งทำหน้าที่เอาน้ำตาล จากในหลอดเลือดเข้าสู่เซลล์
00:02:33 → 00:02:34 ทำงานได้ดีมากขึ้นค่ะ
00:02:34 → 00:02:37 [เสียงดนตรี]
00:02:37 → 00:02:42 เราสามารถลดความเค็มในชีวิตประจำวันของเราได้ โดยวิธีการแรกก็คือ
00:02:42 → 00:02:43 การปรุงอาหารด้วยด้วเอง
00:02:43 → 00:02:48 เพราะเราจะควบคุมปริมาณเครื่องปรุง และโซเดียมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้
00:02:48 → 00:02:52 โดยเราควรรู้ค่าปริมาณโซเดียม ของเครื่องปรุงแต่ละอย่าง
00:02:52 → 00:02:57 เช่น น้ำปลา ซอสปรุงรส 1 ช้อนชา มีประมาณโซเดียม 400 มิลลิกรัม
00:02:57 → 00:03:02 ส่วนเกลือ 1/4 ช้อนชา จะมีปริมาณโซเดียม 500 มิลลิกรัม
00:03:03 → 00:03:08 โดยหนึ่งวัน เราสามารถกินเค็ม หรือปริมาณโซเดียม 2,000 มิลลิกรัม
00:03:08 → 00:03:12 ซึ่งในวัตถุดิบธรรมชาติ จะมีโซเดียมอยู่แล้ว 800 มิลลิกรัม
00:03:12 → 00:03:16 ดังนั้น เราสามารถปรุงเพิ่มได้ จากเครื่องปรุงให้รสเค็ม 3 ช้อนชาต่อวัน
00:03:16 → 00:03:22 นอกจากนี้ เราสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ที่ลดโซเดียมลงโดยไม่ใช้โพแทสเซียมทดแทน
00:03:22 → 00:03:26 ซึ่งก็สามารถลดปริมาณโซเดียมลงได้ 50-70%
00:03:26 → 00:03:29 หลีกเลี่ยงการกินน้ำซุป น้ำแกง หรือน้ำผัด
00:03:29 → 00:03:33 เนื่องจากน้ำเหล่านี้จะถูกผสมด้วย เครื่องปรุงรสที่มีรสเค็ม
00:03:33 → 00:03:36 โดย 1 ช้อนโต๊ะ จะมีปริมาณโซเดียม 400 มิลลิกรัม
00:03:36 → 00:03:39 ข้อแนะนำข้อสุดท้ายในการลดเค็มก็คือ
00:03:39 → 00:03:42 การรับประทานผักและผลไม้ ที่เป็นแหล่งโพแทสเซียมสูง
00:03:42 → 00:03:47 ยกตัวอย่างเช่น ฟักทอง แคร์รอต มะเขือเทศ บรอกโคลี
00:03:47 → 00:03:50 ฝรั่ง แก้วมังกร กล้วย และส้ม
00:03:50 → 00:03:54 แร่ธาตุโพแทสเซียมพวกนี้ จะช่วยขับโซเดียมออกจากร่างกายได้
00:03:54 → 00:04:00 เนื่องจากโซเดียมและโพแทสเซียมจะทำงานร่วมกัน ในการรักษาสมดุลน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย
00:04:00 → 00:04:02 ซึ่งจะทำงานได้ดีต้องอยู่อย่างสมดุล
00:04:02 → 00:04:05 ดังนั้นในกรณีที่เราได้รับโซเดียม ในปริมาณที่เยอะ
00:04:05 → 00:04:09 การรับประทานโพแทสเซียมที่เพียงพอ ก็จะช่วยขับโซเดียมออกจากร่างกายได้
00:04:09 → 00:04:14 [เสียงดนตรี]