00:00:00 → 00:00:03 This Is Thai PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:05 world vi The
00:00:05 → 00:00:08 Voice ความเค็มส่วนใหญ่ได้มาจากการกิน
00:00:08 → 00:00:11 เกลือเครื่องปรุงรสใช่มั้ยครับซึ่งส่วน
00:00:11 → 00:00:12 ใหญ่ก็จะเป็นสารที่เรียกว่าโซเดียม
00:00:12 → 00:00:15 คลอไรด์ปัจจุบันพบว่าคนที่เป็นโรคที่เกิด
00:00:15 → 00:00:17 จากการกินเคมเช่นความโลหิตสูงโลกไตเนี่ย
00:00:17 → 00:00:20 พบคนไข้อายุน้อยลงเราเจอคนที่เรียน
00:00:20 → 00:00:23 หนังสืออยู่มหาวิทยาลัย 20 25 เป็นความน
00:00:23 → 00:00:25 โลหิตสูงแล้วความดันลิตสูงถ้าไม่รักษา
00:00:25 → 00:00:28 เนี่ยโรคแทกซ้อนมันจะมาเยอะอเช่นโรคไตโรค
00:00:28 → 00:00:32 หัวใจความดันเอัมพฤกษ์อพาตปัจจุบันคนไทย
00:00:32 → 00:00:35 ที่ป่วยก็เป็นความิสูงเนี่ยพบถึง 23%
00:00:35 → 00:00:38 เกือบๆ 1 ใน 4 ของผู้ใหญ่เนาะคนเดินมาตบ
00:00:38 → 00:00:41 ท้องถนนผู้ใหญ่ 4 คนจะมีคนที่ความสิตสูง 1
00:00:41 → 00:00:44 คนแล้วก็ต้องกินยาความสิสูง 1 คนคิดเป็น
00:00:44 → 00:00:47 ตัวเลขจะประมาณ 13 ล้าน
00:00:47 → 00:00:51 คนฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทยฟัง
00:00:51 → 00:00:57 รายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงพรค่ะ
00:00:57 → 00:01:00 PS วันนี้มาติดตามรับฟังกันค่ะถึงเรื่อง
00:01:00 → 00:01:04 ของเมนูรถเค็มนะคะซึ่งอจริงๆวันนี้เราก็
00:01:04 → 00:01:07 จะโฟกัสไปที่เรื่องของเด็กๆนะคะที่อยู่ใน
00:01:07 → 00:01:09 โรงเรียนด้วยแต่ว่าก่อนอื่นเราก็ต้องมาทำ
00:01:09 → 00:01:11 ความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องของความเค็มกัน
00:01:11 → 00:01:13 ก่อนเราจะต้องคุยกับท่านนี้ค่ะรอง
00:01:13 → 00:01:15 ศาสตราจารย์นายแพทย์สุรศักดิ์กันตชูเวส
00:01:15 → 00:01:19 สิริอาจารย์ประจำหน่วยโรคไตภรรควิชา
00:01:19 → 00:01:21 อายุรศาสตร์คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาล
00:01:21 → 00:01:24 รามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดลค่ะสวัสดีค่ะ
00:01:24 → 00:01:28 คุณหมอคะครับสวัสดีครับค่ะคุณหมอคะคุยกัน
00:01:28 → 00:01:30 เรื่องของความเค็มอาแแหละแต่ว่าว่าเรา
00:01:30 → 00:01:34 ก่อนจะไปคุยถึงว่าเอ๊ะในเด็กในวัยเรียน
00:01:34 → 00:01:37 อะไรต่างๆเหล่านี้เนี่ยเค้ากินเค็มกันมาก
00:01:37 → 00:01:39 น้อยแค่ไหนมีงานวิจัยอะไรต่างๆเหล่านี้
00:01:39 → 00:01:41 ด้วยนะแต่ต้องคุยกันก่อนว่าในเรื่องของ
00:01:41 → 00:01:44 การกินเค็มเนี่ยเคยได้ยินว่าความเค็มก็มี
00:01:44 → 00:01:46 ประโยชน์นะคะคุณหมอแต่ว่าประโยชน์ที่ว่า
00:01:46 → 00:01:49 เนี่ยหลายคนอาจจะไม่รู้ว่าความเค็มยังมี
00:01:49 → 00:01:51 ประโยชน์กับร่างกายยังไงบ้างค่ะความเค็ม
00:01:52 → 00:01:54 ส่วนใหญ่ก็เป็นได้มาจากกันกินเกลือ
00:01:54 → 00:01:57 เครื่องปรุงรสใช่มั้ยครับซึ่งส่วนใหญ่ก็
00:01:57 → 00:01:59 จะเป็นสารที่เรียกว่าโซเดียมคลอไรด์แต่
00:01:59 → 00:02:03 จริงๆสารที่มีเอ่อประโยชน์แล้วก็ควบคุม
00:02:03 → 00:02:06 การทำงานของระบบไหลเวียนโลหิตระบบกล้าม
00:02:06 → 00:02:09 เนื้อระบบประสาทคือโซเดียมค่ะตัวโซเดียม
00:02:09 → 00:02:13 เนี่ยมันอยู่ในอาหารหลายประเภทรวมทั้ง
00:02:13 → 00:02:16 อาหารที่ไม่เค็มด้วยนะอย่างเช่นผงชูรสอก็
00:02:16 → 00:02:20 คือโมโนโซเดียมกูเตค่ะผงฟูเือโซเดียม
00:02:20 → 00:02:23 ไบคาร์บอเนตแต่จริงๆที่พบบ่อยปัจจุบันก็
00:02:23 → 00:02:25 ยังเป็นโซเดียมคลอไรด์หรือว่าเกลือแกง
00:02:25 → 00:02:28 เกลือแกงหรือว่าน้ำปลาซีอิ๊วนี่แหละอ่า
00:02:28 → 00:02:30 อันนั้นก็เป็นแหล่งที่สำคัญอ่าฮะคือใน
00:02:30 → 00:02:32 กรณีที่ร่าง
00:02:32 → 00:02:36 กายเสียน้ำเสียเกลือแร่ความดันเลือดจะตก
00:02:36 → 00:02:38 ความดันโลหิตต่ำอย่างเช่นเราท่องเสีย
00:02:38 → 00:02:40 เงี้ยเราไปโรงพยาบาลหมอก็จะให้น้ำเกลือ
00:02:40 → 00:02:43 ใช่อันนี้ก็จะทำพยุงความโลหิตให้กลับมา
00:02:43 → 00:02:47 ปกตินะครับเพิ่มแรงดันเลือดอะไรต่างๆซึ่ง
00:02:47 → 00:02:51 ก็ทำให้เอ่อร่างกายทำงานปกติไตทำงานปกติ
00:02:51 → 00:02:54 อันนี้ก็คือในกรณีที่ร่างกายขัดเกลือแร่
00:02:54 → 00:02:55 นะครับซึ่งอันนี้ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นที่
00:02:55 → 00:02:58 เราต้องกินเกลือบ้างอืแต่ปัจจุบันคนไทย
00:02:58 → 00:03:02 อาจจะกินเกลือมากเกนเกินไปโดยไม่รู้ตัวเ
00:03:02 → 00:03:05 ไม่รู้ตัวด้วยบางทีก็อาจจะเป็นแว่าชินนะอ
00:03:05 → 00:03:07 คือความเคยชินกับกินมาตั้งแต่เด็กค่ะ
00:03:07 → 00:03:10 วัฒนะทำการกินกินอาหารหกดองหรือว่ากินปลา
00:03:10 → 00:03:13 เค็มเนื้อเค็มตั้งแต่เด็กค่ะเราก็ทำให้
00:03:13 → 00:03:15 ลิ้นเติดกับความเค็มเราก็ไม่รู้ตัวว่าเรา
00:03:15 → 00:03:18 กินเค็มหรือบางทีเรากินเกลือแฝงเกลือแฝง
00:03:18 → 00:03:21 ที่ไม่เค็มอย่างเช่นผงชูรสซุปก้อนอหรือ
00:03:21 → 00:03:24 ว่าผงฟูขนมเบเกอรี่ต่างๆพวกนี้ก็จะเป็น
00:03:24 → 00:03:26 เกลือแฝงที่เราไม่รู้ไม่รู้ตัวครับอค่ะ
00:03:26 → 00:03:30 ซึ่งมันก็คือตัวที่เค้าเรียกว่ารวมกันกาก
00:03:30 → 00:03:32 คำว่ากินเค็มถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้รู้สึก
00:03:32 → 00:03:35 ว่าสิ่งนั้นจะเค็มก็ตามใช่ครับใช่ครับโห
00:03:35 → 00:03:37 นี่เรากินมาตั้งเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ใช่
00:03:37 → 00:03:40 มั้ยคะยิ่งแบบเด็กเล็กๆเนี่ยค่ะที่เมื่อ
00:03:40 → 00:03:43 กี้คุณหมอบอกว่าเรากินเค็มแล้วเราเราติด
00:03:43 → 00:03:45 เค็มเนี่ยไม่ได้ติดเป็นเพราะว่าเราโตแล้ว
00:03:45 → 00:03:47 เราติดเค็มนะแต่เราติดเค็มมาตั้งแต่สมัย
00:03:47 → 00:03:50 เด็กๆโดยที่เราไม่รู้ตัวอย่างเช่นแบบบาง
00:03:50 → 00:03:53 ทีคุณพ่อคุณแม่ทำข้าวอ่ะคุณแม่ทำข้าวให้
00:03:53 → 00:03:56 ลูกใส่อาจจะความหวานลงไปเพราะเด็กชอบกิน
00:03:56 → 00:03:59 หวานเป็นของปกติแล้วก็อาจจะเหยาะซีอิ๊ว
00:03:59 → 00:04:02 บ้างเืออะไรบ้างเพื่อให้มันมีรสชาติก็เลย
00:04:02 → 00:04:04 กลายเป็นติดเค็มโดยที่แบบเราไม่คิดว่ามัน
00:04:04 → 00:04:08 เค็มครับคืออาหารเด็กที่เช่นก่อนไปเรียน
00:04:08 → 00:04:10 นะครับก่อนเข้าโรงเรียนเนี่ยเราก็จริงๆ
00:04:10 → 00:04:13 แล้วการกินเครื่องปรุงรสเนี่ยเอาเอาน้อย
00:04:13 → 00:04:15 ไม่จำเป็นต้องใส่มากหรอกก็เพียงพอเพราะ
00:04:15 → 00:04:18 ว่าเด็กก็ตัวเล็กอ่าแต่ว่าปัจจุบันบางที
00:04:18 → 00:04:20 เราไม่ทราบแม่ก็จะเอาลิ้นตัวเองเป็น
00:04:20 → 00:04:23 มาตรฐานอกินโจ๊กความเค็มของตัวเองเป็น
00:04:23 → 00:04:25 มาตรฐานก็จะทำให้เด็กได้รับโซเดียมไปเยอะ
00:04:25 → 00:04:27 ได้เกลือไปเยอะเพราะว่าถ้าเกิดเทียบน้ำ
00:04:27 → 00:04:29 หนักตัวนะฮะน้ำหนักตัวแม่กับน้ำหนักตัว
00:04:29 → 00:04:32 ลูกเนี่ยอ 3 เท่าใช่มเพราะฉะนั้นเด็กก็จะ
00:04:32 → 00:04:36 กินเค็มมากกว่าคนความต้องการ 3-4 เท่า
00:04:36 → 00:04:39 แล้วก็พอเรากินเค็มเนี่ยมันจะติดลิ้นมัน
00:04:39 → 00:04:41 จะชินชากับความเค็มเพราะฉะนั้นพอไปกิน
00:04:41 → 00:04:44 อาหารต่อไปเป็นผู้ใหญ่ก็ต้องกินเค็มระดับ
00:04:44 → 00:04:48 นั้นก็จะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ติดเค็มไปด้วย
00:04:48 → 00:04:51 ค่ะแล้วปัจจุบันพบว่าคนที่เป็นโรคที่เกิด
00:04:51 → 00:04:53 จากการกินเค็มเช่นความดโลหิตสูงโรคไต
00:04:53 → 00:04:56 เนี่ยพบคนไข้อายุน้อยลงยกตัวอย่างฮใช่
00:04:56 → 00:05:00 ความนโลหิตสูงปกติในอดีตเราพบ 30 35 ปี
00:05:00 → 00:05:03 เริ่มเป็นค่ะเริ่มคือทำงานเป็นผู้จัดการ
00:05:03 → 00:05:06 แล้วเป็นความันสูงอ่าความันสูงตามอ่า
00:05:06 → 00:05:09 ตำแหน่งที่สูงขึ้นน่ะนะแต่ตอนนี้เราเจอคน
00:05:09 → 00:05:12 ที่เรียนหนังสืออยู่มหาวิทยาลัย 20 25
00:05:12 → 00:05:15 เป็นความิตสูงแล้วเฮ้ยคุณหมอเจอเจอมาก
00:05:15 → 00:05:18 ขึ้นด้วยอายุแค่นี้เองนะคือแบใช่ 20 25
00:05:18 → 00:05:20 ต้องแบบไปกินยาความดันโลหิตเราเจอประมาณ
00:05:20 → 00:05:25 10 10 -15% โอ้เยอะๆมันมีนัยยะนะตัว
00:05:25 → 00:05:28 เลขตรงเนี้ยตัวเลขก็ 100 คนกินยาความนา
00:05:28 → 00:05:31 สัก 10 คนเราก็ตกใจแล้วในวัยที่อยู่
00:05:31 → 00:05:33 มหาวิทยาลัยเนาะค่ะใช่ไม่ควรจะกินยาเลย
00:05:33 → 00:05:37 เนาะใช่น่ากลัวเร่างกายเยังยังแข็งแรง
00:05:37 → 00:05:39 อยู่อ่ะยังอยู่ในวัยที่แบบเขาสามารถเติบ
00:05:39 → 00:05:41 โตได้แต่กลายเป็นว่าต้องมานั่งกินยาความ
00:05:41 → 00:05:43 ดันใช่ครับก็น่ากลัวเพราะว่าถ้าเกิดเรา
00:05:43 → 00:05:45 ความดันรู้สิสูงถ้าไม่รักษาเนี่ยโรคแทก
00:05:45 → 00:05:48 ซ้อนมันจะมาเยอะอเช่นโรคไตโรคหัวใจความ
00:05:48 → 00:05:52 ดันเอ่ออัมพฤกษ์อัมพาตอ่ะโรคต่างๆก็จะมา
00:05:52 → 00:05:56 เยอะมากคค่ะถ้าอย่างงั้นในแต่ละวันเราไม่
00:05:56 → 00:05:59 ควรกินเค็มเกินก็ถ้าเอาเป็นเกลือนะฮะ
00:05:59 → 00:06:03 เกลือหนึ่งก็ประมาณ 1 ช้อนชาต่อคนต่อวัน
00:06:03 → 00:06:07 ค่ะต่อคนต่อวันครับก็คือมื้อนึงเอาาง่ายๆ
00:06:07 → 00:06:10 หัน 3 ก็เลยว่า 1 มื้อไม่เกิน 1/3 ช้อนชา
00:06:10 → 00:06:13 ถ้าเป็นเกลืออแต่ถ้าเป็นน้ำปลาจะกินได้
00:06:13 → 00:06:15 ถึง 4 ช้อนชาต่อวัน
00:06:15 → 00:06:18 อูแต่ไม่ใช่ว่าใส่ใส่ทั้งเกลือใส่ทั้งน้ำ
00:06:19 → 00:06:22 น้ำน้ำปลานะอย่างได้อย่างหนึ่งอถ้าเราแบบ
00:06:22 → 00:06:24 พูดอย่างเดียวนะค่ะก็เกือน้ำปลามื้อละ
00:06:24 → 00:06:27 ประมาณช้อนชานึงก็น่าจะเพียงพอนะครับอื
00:06:27 → 00:06:30 นี่คือพอเหมาะแต่คนไทยจะจะการสำรวจนะฮะคน
00:06:30 → 00:06:33 ไทยยจะกินประมาณ 2 ช้อนชาต่อวันต่อมื้อ
00:06:33 → 00:06:36 อุยต่อมื้ออ้าวมันมี 3 มื้อเกินไปแล้ว 2
00:06:36 → 00:06:40 เกินไป 2 เท่าก็คือประมาณ 6 ช้อนชานะ 6-8
00:06:40 → 00:06:43 ช้อนชาซึ่งซึ่งเยอะเกินไปแล้วก็ปัจจุบัน
00:06:43 → 00:06:47 คนไทยที่ป่วยก็เป็นความรสูงเนี่ยพบถึง 23%
00:06:47 → 00:06:50 อ่ะเกือบๆ 1 ใน 4 ของผู้ใหญ่เนาะค่ะก็
00:06:50 → 00:06:54 เรียกว่าเป็นอันที่น่ากลัวเพราะว่าคนเดิน
00:06:54 → 00:06:56 มาตบนท้องถนนผู้ใหญ่ 4 คนจะมีคนที่เป็น
00:06:56 → 00:06:58 ความสิตสูง 1 คนแล้วก็ต้องกินยาความสถิต
00:06:58 → 00:07:01 สูง 1 คนคิดเป็นตัวเลขก็จะประมาณ 13 ล้าน
00:07:01 → 00:07:03 คน
00:07:03 → 00:07:06 โอ้โหรู้สึกตัวเลขนี่มันแบบสูงมากพอนับ
00:07:06 → 00:07:09 เป็นแบบจำนวนคนอ่ะแต่ว่าก็เข้าใจได้ค่ะ
00:07:09 → 00:07:12 เพราะว่าบางทีไปกินข้าวตามร้านอาหารอย่าง
00:07:12 → 00:07:16 เงี้ยค่ะคุณหมอเจอพริกน้ำปลาอร่อยๆเข้าไป
00:07:16 → 00:07:20 เเราก็สาดเขเต็มที่เลยนะคะในจานยังไม่รวม
00:07:20 → 00:07:23 กับที่เขาปรุงใส่เหยาะซอสซีอิ๊วอะไรใดๆมา
00:07:23 → 00:07:26 อีกนะยิ่งถ้าเกิดคนกินเค็มจะไม่รู้สึกว่า
00:07:26 → 00:07:29 เค็มเลยอาจจะต้องยิ่งเติมหนักเลยใช่มั้คะ
00:07:29 → 00:07:32 ใช่ลิ้นลิ้นคนไทยยมักจะชินกับความเค็มนะ
00:07:32 → 00:07:34 พอเรากินเริ่มระยะหลังเรากินอาหารนอกบ้าน
00:07:34 → 00:07:38 บ่อยแล้วก็พอกินเค็มานๆมันติดอ่ะพอไม่กิน
00:07:38 → 00:07:40 เค็มรสึกอาหารมันรสชาติกร่อยไปหน่อยมัน
00:07:40 → 00:07:44 ไม่อร่อยแล้วก็จะต้องเติมเพิ่มคราวนี้การ
00:07:44 → 00:07:47 การเติมเพิ่มเนี่ยถ้าเติมรสชาติที่แบบจัด
00:07:47 → 00:07:50 จ้านนะหมอแนะนำว่ากินเปรี้ยวจากน้ำมะนาว
00:07:51 → 00:07:54 อ๋อกินเผ็ดจากพริกอันนี้ปลอดภัยไม่
00:07:54 → 00:07:59 อันตรายเพราะว่ากินมีข้อมูลว่าการกินเผ็ด
00:07:59 → 00:08:00 เนี่ย
00:08:00 → 00:08:02 ป้องกันโรคหัวใจหลอดเลือดได้ลดความดันได้
00:08:02 → 00:08:05 นะครับออเพราะฉะนั้นการกินเผ็ดในในคนไทย
00:08:05 → 00:08:08 ก็เป็นข้อดีอย่างหนึ่งค่ะแต่ว่ากินหวาน
00:08:08 → 00:08:11 กับกินเค็มเนี่ยมีปัญหาเพราะฉนั้นมันทำ
00:08:11 → 00:08:14 ให้เกิดโรคเบาหวานความดันต่างๆมากขึ้น
00:08:14 → 00:08:18 ครับเพราะฉเต็มสตีมเลยครับๆผมก็แนะนำว่า
00:08:18 → 00:08:20 ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามเติมเครื่องปรุงน้อย
00:08:21 → 00:08:23 หน่อยโดยเฉพาะกินอาหารนอกบ้านนะก็ปรุงมา
00:08:23 → 00:08:26 แล้วนะคนโต๊ะอาหารก็อย่าปรุงเพิ่มถ้ากิน
00:08:26 → 00:08:28 ก็อย่างมากก็ตักพริกมาหน่อยอย่างั้นก็เือ
00:08:28 → 00:08:31 เติมมะนาหน่อยก็น่าจะโอเคครับอือแล้วร่าง
00:08:31 → 00:08:35 กายของเรามันกำจัดความ kmr ก็จากการผ่าน
00:08:35 → 00:08:37 ไปทางปัสสาวะหรือเหงื่อหรืออะไรอย่าง
00:08:37 → 00:08:40 เงี้ยแต่พอเรากินเกินน่ะมันยังไงคะคือคือ
00:08:40 → 00:08:42 ก็ก็เวลาขับเกลือส่วนเกินออกมันต้องออก
00:08:42 → 00:08:45 ทางไตนะ 90% นะออกทางไตออกทางเหงื่อ 10%
00:08:45 → 00:08:48 อเพราะฉะนั้นถ้าเราเรากินกินเค็มมากเนี่ย
00:08:48 → 00:08:50 มันจะมีทำให้เกิดแรงดันในเลือดสูงหรือ
00:08:50 → 00:08:53 ความสำริสูงเชั่วคราวอชั่วขณะแล้วก็ทำให้
00:08:53 → 00:08:56 ไตทำงานหนักในการขับเกลือออกค่ะคราวนี้
00:08:56 → 00:08:58 ถ้าเกิดเรากินเค็มวันเดียวอาจจะไม่เป็นไร
00:08:58 → 00:09:00 เพราเราก็ความดันสูงชั่วคราวแล้วก็ไตทำ
00:09:01 → 00:09:04 งานหนักวันเดียวมันก็พอไปได้แล้วไีวันก
00:09:04 → 00:09:06 วันุเกินจืดไตแล้วก็ได้พักใช่มั้ยค่ะแต่
00:09:06 → 00:09:09 ถ้ากินเค็มทุกวันเนี่ยความดันสูงก็จะเป็น
00:09:09 → 00:09:12 อยู่ต่อเนื่องแล้วก็โลกไตก็จะทำงานหนัก
00:09:12 → 00:09:14 สุดท้ายเนี่ยไตมันก็เหนื่อยล้าแทนที่จะ
00:09:14 → 00:09:17 ใช้ไตได้ 100 ปี 100 อายุ 100 ปีไตยังทำ
00:09:18 → 00:09:20 งานได้ดีอาจจะใช้ไตได้ 60 ปีเพราะ 60 ปี
00:09:20 → 00:09:24 ไตเสื่อมไตวายแล้วออุยก็น่ากแต่ว่าก็กิน
00:09:24 → 00:09:26 ไม่เกินนะคะเ้าก็นี่คุณหมอบอกเกลือ 1
00:09:26 → 00:09:29 ช้อนชาต่อคนต่อวก็ไม่เกินหรือวันนี้ใส่
00:09:29 → 00:09:33 น้ำปลาเอ้อก็ไม่เกินครับแต่ว่าเท่าที่
00:09:33 → 00:09:35 สำรวจดูคนไทยไม่ได้ใส่อย่างใดอย่างหนึ่ง
00:09:35 → 00:09:38 นะคือใส่น้ำเกลือใส่ทน้ำปลาใส่ทั้งซีอิ๊ว
00:09:38 → 00:09:41 ใส่ทั้งซอสปรุงรสใส่ทั้งผงชูรสใส่ทั้งซุป
00:09:41 → 00:09:44 ก้อนมันเยอะแยะอ่าคือถ้ารวมๆกันมันเกินฮะ
00:09:44 → 00:09:46 แต่ถ้ากินอย่างใดอย่างหนึ่งก็โอเคก็ไม่
00:09:46 → 00:09:49 เกินนะครับโอเจอก๋วยเตี๋ยวเข้าไปนี่ก็
00:09:49 → 00:09:52 หลายอย่างแล้วนะความเค็มใช่ๆใช่มั้คะคือ
00:09:52 → 00:09:54 คือมันก็มีเทคนิคในการรดเกลือเดี๋ยวเราคง
00:09:54 → 00:09:57 ได้คุยกันต่อนะอือแต่ว่าถ้ากินเค็มบ่อยๆ
00:09:57 → 00:10:01 มันก็แน่นอนเรื่องไตเรื่องความดันถ้าเรา
00:10:01 → 00:10:03 ไม่อยากมานั่งกินยาความดันก็ลดความเค็ม
00:10:03 → 00:10:05 ความดันนี้มันอยู่ที่เรื่องของความเค็ม
00:10:05 → 00:10:09 อย่างเดียวเลยเป่าคะประมาณเกือบ 50% น่ะ
00:10:09 → 00:10:12 ครึ่งนึงน่ะเป็นจากการกินเค็มอออที่เหลือ
00:10:12 → 00:10:15 จะเป็นจากอย่างอื่นมันก็เช่นสูบบุหรี่อ่า
00:10:15 → 00:10:19 ดื่มแอลกอฮอล์ค่ะไม่ออกกำลังกายโอ้ย
00:10:19 → 00:10:23 เครียดไม่กินผักผลไม้ต่างๆเหล่านี้ก็จะ
00:10:23 → 00:10:26 เป็นสาเหตุของความลหิตสูงเหรือกรพันธ์อีก
00:10:26 → 00:10:29 50% คือกินกินเค็มเกินไปโอ้โหมันมันยัง
00:10:29 → 00:10:32 พอมีปัจจัยอื่นๆแต่เค็มนี่มาแล้วครึ่งนึง
00:10:32 → 00:10:34 แล้วนะแรครับมาแรงสุดเลยครับคนผมคนมีคน
00:10:34 → 00:10:38 ไข้หลายคนผมบอกให้รดเค็มเนี่ยค่ะลดยาความ
00:10:38 → 00:10:41 ดันลงได้หยุดบางคนหยุดยาความดันด้วยนะอ
00:10:41 → 00:10:44 ค่ะเพราะงดเค็มเท่านั้นเองครับเฮ้ยมีวิธี
00:10:44 → 00:10:46 ธรรมชาติเพราะคนไข้ดีใจมากกินยามาเกือบ
00:10:46 → 00:10:50 ตลอดชีวิตพอหยุดยาความดันก็ดีใจมากอืเ
00:10:50 → 00:10:53 เคลดลับง่ายๆคือคุณอย่ากินเค็มลดเค็มลงมา
00:10:53 → 00:10:55 เนี่ช่วยมากโอ้โหมันน่าจะทรมานเหมือนกัน
00:10:55 → 00:10:58 นะคะคุณหมอเพราะว่าฉันกินเค็มมาตั้งแต่
00:10:58 → 00:11:01 แบบโอสมัยตั้งแต่คุณแม่ทำกับคงกับข้าวให้
00:11:01 → 00:11:03 กินแล้วถ้ายิ่งคุณแม่กินเค็มนี่ไม่ต้อง
00:11:03 → 00:11:05 ห่วงเลยหรือทางบ้านกินเค็มนี่ได้อาหาร
00:11:05 → 00:11:08 เค็มตั้งแต่เด็กแล้วจนกินจนชินจนไม่รู้
00:11:08 → 00:11:12 สึกว่ามันเค็มเพราะลิ้นมันรับรสมันได้
00:11:12 → 00:11:14 ความมันไปเรียบเรียบร้อยแล้วอะไรงี้ใช่
00:11:14 → 00:11:16 มั้ยคะผมว่าเพราะนั้นเนี่ยแม่บ้านน่ะ
00:11:16 → 00:11:18 สำคัญที่สุดเพราะแม่บ้านเป็นคนปรุงอาหาร
00:11:18 → 00:11:21 ให้คนในครอบครัวถแม่บ้านกินเค็มพ่อแม่ก็
00:11:21 → 00:11:25 กินเค็มลูกก็กินเคมหลานก็กินเค็มแล้วก็จะ
00:11:25 → 00:11:28 กลายเป็นครอบครัวของเบาหวานความดันโรค
00:11:28 → 00:11:31 อ้วนไปหมดนะนะตอนั้นคืออร่อยอร่อยพอสมควร
00:11:31 → 00:11:33 ไม่ต้องอร่อยมากไม่ต้องอร่อยทุกมื้ออะไร
00:11:33 → 00:11:36 เงี้ยนะครับอเออน่าสนใจมากแต่แต่ว่าบางที
00:11:36 → 00:11:39 เนี่ยพอแบบอ่ะตอนเด็กๆคุณแม่ทำกับข้าวให้
00:11:39 → 00:11:42 กินใช่มั้ยคะพอไปโรงเรียนงี้ค่ะคุณหมอเอา
00:11:42 → 00:11:46 แล้วไม่รู้แหละที่โรงเรียนทำอาหารอะไรรูป
00:11:46 → 00:11:48 แบบไหนยังไงบ้างนะเอาแค่ถูกหลักโภชนาการ
00:11:48 → 00:11:51 ก็ยังมีข่าวคราวอยู่เรื่อยๆเลยเรื่องแบบ
00:11:51 → 00:11:54 โอ้โหจะมาแบบเอ้ยต้องรสเค็มรสหวานนะใส่ใจ
00:11:55 → 00:11:57 กันขนาดนี้เนี่ยหรือบางโรงเรียนก็มีโรง
00:11:57 → 00:12:00 อาหารให้สำหรับเด็กๆในการที่ัเลือกแล้ว
00:12:00 → 00:12:03 พ่อค้าแม่ขายที่เค้าไปทำกับคงกับข้าวให้
00:12:03 → 00:12:05 เด็กเนี่ยตามโรงเรียนเนี่ยเราก็ไม่รู้ว่า
00:12:06 → 00:12:08 เค้าใส่ความเค็มอะไรไปมากน้อยแค่ไหนอย่าง
00:12:08 → 00:12:11 เงี้ยค่ะตรงเนี้ยเราเราจะทำยังไงได้บ้าง
00:12:11 → 00:12:15 ที่แบบเออพยายามลูกอยกินเค็มนะหรืออะไร
00:12:15 → 00:12:17 หรือด้วแต่มันด้วยความเคยชินน่ะเด็กก็อาจ
00:12:17 → 00:12:20 จะยังรู้สึกว่าปรับไม่ได้ด้วยหรือเปล่า
00:12:20 → 00:12:24 อะไรเงี้ยค่ะคือเด็กๆเนี่ยสอนได้แต่ว่า
00:12:24 → 00:12:26 มันต้องมีสิ่งแวดล้อมที่เอื้อต่อการกิน
00:12:26 → 00:12:30 เค็มหรือกินหวานน้อยด้วยอืคือเอาจจะแบบ
00:12:30 → 00:12:32 ว่าเรู้ว่ากินหวานกินเคมมันไม่ดีเด็กมัก
00:12:32 → 00:12:35 จะจำจากคุณครูนะเเชื่อคุณครูมากกว่าถ้า
00:12:35 → 00:12:37 คุณครูสอนว่าอย่ากินหวานกินเค็มแต่เพราะ
00:12:37 → 00:12:40 ไปไปร้านอาหารทุกร้านทำเค็มหมดเขาก็ไม่มี
00:12:40 → 00:12:42 ทางเลือกถูกมั้ยฮะอเพราะะนั้นก็ต้องปรับ
00:12:42 → 00:12:45 สิ่งแวดล้อมก็คือว่าอาหารกลางวันในโรง
00:12:45 → 00:12:47 เรียนน่ะแม่ครัวมีความสำคัญมากเพราะนั้น
00:12:47 → 00:12:51 ก็ต้องคุยกับแม่ครัวว่าลดความเค็มลงมา
00:12:51 → 00:12:53 อย่างเช่นแต่ไม่ใช่หักดิบนะไม่ใช่ไม่ใส่
00:12:53 → 00:12:56 เลยก็คืออาจจะลดมา 10% ก่อนค่ะอีก 3
00:12:56 → 00:12:59 เดือนลดอีก 10% อีก 3 เดือนลด 10% ใน 1
00:12:59 → 00:13:02 ปีจะลดได้ 30% โดยที่ลิ้นมันจะค่อยๆไว
00:13:02 → 00:13:05 ขึ้นเด็กจะชินกับความเค็มที่น้อยลงอ๋อคือ
00:13:05 → 00:13:08 หมายความว่าค่อยๆปรับไม่ใช่ว่าแบบไม่ใช่
00:13:08 → 00:13:11 หักดิบอ๋อเพราะว่าพอพอเราปรับลิ้นมันจะไว
00:13:11 → 00:13:13 เความไวของลิ้นต่อความเค็มเนี่ยมันจะ
00:13:13 → 00:13:16 เปลี่ยนตามให้เรากินเค็มมากถ้ากินเค็มมาก
00:13:16 → 00:13:17 ลิ้นจะไม่ไวถ้ากินเค็มน้อยลิ้นจะไวต่อ
00:13:18 → 00:13:20 ความเค็มอแต่มันจะค่อยๆปรับธรรมชาติสร้าง
00:13:20 → 00:13:22 มาลิ้นเราดีมากมีการปรับตัวอยู่ตลอดเวลา
00:13:22 → 00:13:26 ทีละ 30% ทีละ 10% รน้อยๆเช่นใส่น้ำปลา
00:13:26 → 00:13:30 ช้อนนึงแล้วคราวนี้เราใส่ค่อนช้อนอ่าอีก 3
00:13:30 → 00:13:33 เดือนลด 3/4 ช้อนอีก 3 เดือนลด 2/3 ช้อน
00:13:34 → 00:13:37 ค่อยๆลดทีละน้อยทีละน้อยเออก็จะเป็นการ
00:13:37 → 00:13:40 ค่อยๆปรับลิ้นคนคนกินเขจะยอมรับถ้าคุณหัก
00:13:40 → 00:13:43 ไม่ไม่ใส่น้ำปลาเลยคนกินไม่ยอมรับเค้าก็
00:13:43 → 00:13:46 ไม่กินใช่มั้ยฮะเออเพราะฉะนั้นก็ก็ทำได้
00:13:46 → 00:13:49 เหมือนกับเราปัจจุบันสังคมเรามีกระแสกิน
00:13:49 → 00:13:52 หวานน้้อยถูกมั้ยค่ะใช่นี่รณรงมา 30 ปี
00:13:52 → 00:13:54 หวานน้อยจนกระทั่งปัจจุบันเนี่ยใครใส่
00:13:54 → 00:13:57 กาแฟเนี่ยกาแฟเย็นสมมุติเราก็ชินกับความ
00:13:57 → 00:14:01 ความว่าคำว่าหวานน้อยสั่งได้ใช่มั้แล้วคน
00:14:01 → 00:14:04 ปัจจุบันพอเริ่มมีความกลัวต่อการกินหวาน
00:14:04 → 00:14:07 เนี่ยเขาจะเริ่มสั่งนสั่งหวานน้อยแล้วก็
00:14:07 → 00:14:09 ต่อไปก็จะเป็นหวานน้อยกี่เปอร์เซ็นต์อ่า
00:14:09 → 00:14:13 ก็เป็นขั้นนะ 75% 50% 25% ตอนนี้ไปสั่ง
00:14:13 → 00:14:17 ร้านกาแฟสั่งได้นะหวาน 25% หวาน 50% บาง
00:14:17 → 00:14:19 คนบอกไม่หวานเลยอือันนี้สั่งได้ปัจจุบัน
00:14:19 → 00:14:22 เนื่องจากลิ้นเราไวขึ้นมากๆเนี่ยคนที่
00:14:22 → 00:14:25 สั่งหวาน 100% เนี่ยผมว่าน้อยมากค่ะใช่
00:14:25 → 00:14:29 แต่บางทก็แบบว่า 50% นี้หรือ 25% อุ้ยนี่
00:14:29 → 00:14:32 25% เหรอทำไมหรือเป็นเพราะว่าลิ้นเรา
00:14:32 → 00:14:34 ปรับสภาพแล้วไม่รู้เหมือนกันค่ะคุณหมอว่า
00:14:34 → 00:14:37 แบบเราก็จะรู้สึกว่าเอ๊ะปริมาณเท่านี้
00:14:37 → 00:14:39 ทำไมมันหวานยังหวานอยู่หรือว่าเนี่ยกิน
00:14:39 → 00:14:43 เค็มน้อยลงแล้วเฮ้ยทำไมมันยังเค็มอยู่คือ
00:14:43 → 00:14:45 คือลิ้นเราอาจจะแบบไวมากๆลิ้นแต่ละคนจะ
00:14:45 → 00:14:47 ไม่เหมือนกันขึ้นอยู่กับเรากินหวานมาก
00:14:47 → 00:14:51 น้อยมากมากน้อยแค่ไหนออืเพราะว่าคนเหมือน
00:14:52 → 00:14:54 กับน้ำน้ำหวานแก้วเดียวเคน 2 คนกินจะบอก
00:14:54 → 00:14:57 หวานไม่เท่ากันอันนี้เป็นธรรมชาติอืครับ
00:14:57 → 00:14:59 แต่เอย่างน้อยเมีสูตรที่ค่อนข้างข้างไต
00:14:59 → 00:15:01 ตัวในร้านร้านสะดวกซื้อร้านอะไรต่างๆเนาะ
00:15:01 → 00:15:04 ้าใช่ๆแต่ว่าถ้าอยู่ในโรงเรียนบางทีก็
00:15:04 → 00:15:07 เอ่อคงต้องอย่างที่คุณหมอบอกแหละว่าเป็น
00:15:08 → 00:15:10 ความร่วมมือที่โรงเรียนต้องรณรงคกันจริงๆ
00:15:10 → 00:15:13 จังๆไม่ใช่แค่ว่าอ่ะเราเจอกันสื่อภายนอก
00:15:13 → 00:15:15 ก็เรื่องของความหวานแต่ความเค็มก็สำคัญ
00:15:15 → 00:15:18 เพราะคุณหมอบอกว่ารณรงค์กันมาหลายปีแล้ว
00:15:18 → 00:15:20 เหมือนกันแต่ใช่ครับแต่เชื่อว่าเดี๋ยวนี้
00:15:20 → 00:15:24 ก็น่าจะคนห่ามาแบบกลัวมากขึ้นเกี่ยวตอน
00:15:24 → 00:15:26 นี้คนก็ตื่นตัวในการกินอาหารที่เค็มน้อย
00:15:26 → 00:15:30 ลงเพราะที่ผมสังเกตดูมีกระแสนะฮค่ะเอ่อ
00:15:30 → 00:15:32 เครื่องปรุงลดโซเดียมหรือเครื่องปรุง
00:15:32 → 00:15:33 เครื่องปรุงโซเดียมต่ำเช่นน้ำปลาลด
00:15:33 → 00:15:36 โซเดียมสิวขาลโซเดียมเริมมีขขในท้องตลาด
00:15:36 → 00:15:38 มากขึ้นค่ะแต่ก่อนมีมียี่ห้อเดียวอือตอน
00:15:38 → 00:15:41 นี้มีมากอาจจะเป็นเกือบ 10 ยี่ห้อค่ะมี
00:15:41 → 00:15:44 หลายสูตรมากไม่ไม่รวมทั้งน้ำมันหอยสีอิ๊ว
00:15:44 → 00:15:46 ขาวซอสปรุงรถรถโซเดียมเกลือรถโซเดียมมี
00:15:46 → 00:15:49 หมดแค่ะในท้องตลาดไปหาซื้อได้อือแต่ว่า
00:15:49 → 00:15:51 ราคายังค่อนข้างสูงเล็กน้อยนะผมว่าราคา
00:15:51 → 00:15:53 ยังแพงอยู่ถ้าเกิดเราคิดว่าเราไม่อยาก
00:15:53 → 00:15:56 จ่ายแพงเราก็แค่ลดปริมาณลงในในสูตรปกติก็
00:15:56 → 00:15:58 ได้ครับอค่ะแต่ไม่ได้หมายความว่าเคปรับ
00:15:58 → 00:16:01 สูตรให้แบบเค็มน้อยลงแล้วอ่ะเราก็ยิ่งใส่
00:16:01 → 00:16:05 หนักกว่าใช่ๆๆครับไม่ได้เหมือนเดิมครับก็
00:16:05 → 00:16:09 คือเวลาตอนนี้ที่เอ่อสสสกับทางกรมอนามัย
00:16:09 → 00:16:11 กับกระทรวงศึกษาธิการก็พยายามอาหารกลาง
00:16:11 → 00:16:14 วันเด็กเนี่ยตอนนี้เรามีอาหารกลางวันที่
00:16:14 → 00:16:16 บริการให้กับเด็กนักเรียนในชั้นประถมใช่
00:16:16 → 00:16:19 มั้ยครับอ่าซึ่งที่ตอนนี้กำลังให้เน้น
00:16:19 → 00:16:22 เรื่องของโภชนาการด้วยค่ะคือนอกจากบอกว่า
00:16:22 → 00:16:24 อาหารต้องสะอาดปลอดภัยแล้วก็มีคุณค่าทาง
00:16:24 → 00:16:27 อาหารครบถ้วนแล้วก็ต้องให้ไม่หวาดไม่เค็ม
00:16:27 → 00:16:30 ด้วยค่ะตอนนี้ก็พยายามรลงทุกโรงเรียนเลย
00:16:30 → 00:16:33 นะของกระทรวงศึกษาธิการค่ะของสปฐนี่นะ
00:16:33 → 00:16:37 ครับแล้วก็เอ่อต่อไปก็กบอนามัยก็จะพยายาม
00:16:37 → 00:16:40 จัดเป็นเอ่อสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมอย่าง
00:16:40 → 00:16:43 เช่นในในร้วโรงเรียนเนี่ยอาจจะไม่มีอาหาร
00:16:43 → 00:16:46 ที่หรือเครื่องดื่มที่หวานจัดขายหรือว่า
00:16:46 → 00:16:50 ไม่มีขนมกรอบๆที่มันเค็มมากๆขายเอาแบบเอา
00:16:50 → 00:16:54 ที่พอสมควรหรือขนาดรถชาติกำลังพอดีที่จะ
00:16:54 → 00:16:56 มีขายมีจำหน่ายในโรงเรียนอันนี้ก็เป็นเ่อ
00:16:56 → 00:16:59 มาตรการต่อไปในการที่จำกัด
00:16:59 → 00:17:02 การตลาดของอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีความ
00:17:02 → 00:17:04 เสี่ยงต่อสุขภาพไม่ว่าจะหวานจัดหรือเค็ม
00:17:04 → 00:17:06 จัดอ่ะงั้นแสดงว่าถ้าจุดเริ่มต้นค่อยๆจาก
00:17:06 → 00:17:09 โรงเรียนขยายยายกันไปเรื่อยๆเนี่ยกลาย
00:17:09 → 00:17:12 เป็นว่าวันนึงผู้ประกอบการเองต้องปรับตัว
00:17:12 → 00:17:15 เหมือนกันที่จะอาหารขบขนมขบเคี้ยวอะไร
00:17:15 → 00:17:17 ต่างๆเนี่ยอเดี๋ยวนี้มันเยอะมากเลยค่ะคุณ
00:17:17 → 00:17:20 ผู้ฟังแล้วแบบถ้าไปดูข้างซองเนี่ยนะคะถ้า
00:17:20 → 00:17:24 อ่านพวกเอ่อข้อมูลโภชนาการเนี่ยก็จะรู้
00:17:24 → 00:17:26 ว่าบางทีโซเดียมเนี่ยโหเป็นพันนะคะเป็น
00:17:27 → 00:17:29 พันเลยกินซองเดียวนี่จบเลยนะวันนั้นไม่
00:17:29 → 00:17:30 ต้องกินอะไรอย่างอื่นแล้วว่ะใช่ใช่เพราะ
00:17:31 → 00:17:33 ปกติเราบอกว่ามื้อนึงไม่กวนไม่ควรจะเกิน
00:17:33 → 00:17:35 600 วันนึงไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม
00:17:35 → 00:17:39 โซเดียมอ่าถ้ากินซอง 1,500 นี่ก็จบแล้วก็
00:17:39 → 00:17:41 หมดโควต้าของวันนั้นแล้วเพราะฉะนั้นก็
00:17:41 → 00:17:44 อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีความเสี่ยงต่อ
00:17:44 → 00:17:47 สุขภาพเนี่ยตอนนี้กมอนามัยกำลังพยายาม
00:17:47 → 00:17:51 ร่างกฎหมายจำกัดการขายของอาหารเหล่านี้ใน
00:17:51 → 00:17:54 โรงเรียนอค่ะเห็นว่าน่าจะมีเก็บภาษีใน
00:17:54 → 00:17:57 อนาคตว่าแบบอ่ะถ้าเค็มมากก็โดนภาษีเยอะ
00:17:57 → 00:17:59 หน่อยงี้ครับเรื่องเรื่องภาษีก็เป็นอีก
00:17:59 → 00:18:01 เรื่องนึงนะครับที่ที่เนื่องจากเราไม่ไม่
00:18:01 → 00:18:05 สามารถห้ามห้ามจำหน่ายได้เลยเพราะว่าบาง
00:18:05 → 00:18:07 บางทีเค้าเค็มเค็มมากก็จริงอแต่ว่ามันก็
00:18:07 → 00:18:10 ไม่ได้เป็นสิ่งที่แบบกินแล้วตายเลยมัน
00:18:10 → 00:18:12 เป็นแบบระยะยาวใช่มั้ยเพราะฉะนั้นห้ามขาย
00:18:12 → 00:18:14 ไม่ได้คือว่าถ้าคุณขายถ้าคุณลดความเค็มลง
00:18:14 → 00:18:18 มาในระยะที่ปลอดภัยคุณก็ไม่เสียภาษีค่ะ
00:18:18 → 00:18:20 แต่ถ้าคุณไม่ลดคุณก็ต้องเสียภาษีก็คือ
00:18:20 → 00:18:23 เอ่อมีความเสี่ยงมากขึ้นก็เงินก็เข้ามาใน
00:18:23 → 00:18:26 เรื่องของการรักษาพยาบาลในในประชาชนเพราะ
00:18:26 → 00:18:28 เรามีสิทธิ์สุขภาพถ้วนหน้าถูกมั้ยครับค
00:18:28 → 00:18:31 ทุกคนที่ป่วยก็รักษาฟรีแต่ว่าไอ้เสอาหาร
00:18:31 → 00:18:34 ที่มีความเสียสุขภาพก็ต้องเอ่อมีการเก็บ
00:18:34 → 00:18:36 ภาษีบ้างนะครับซึ่งอนี้ก็เป็นนโยบายใน
00:18:37 → 00:18:39 อนาคตสำหรับเอ่อกระทรวงการคลังที่ต้อง
00:18:39 → 00:18:41 พิจารณาว่าอาหารไหนที่มีความเสี่ยงต่อ
00:18:41 → 00:18:44 สุขภาพนะครับค่ะก็คงต้องปรับตัวกันไปใน
00:18:44 → 00:18:46 อนาคตแต่ว่าตอนนี้เราเริ่มเริ่มก่อนได้
00:18:46 → 00:18:50 เลยไม่ต้องรอให้แบบว่าเอ่อถึงขั้นต้องมี
00:18:50 → 00:18:53 การเสียภาษีหรืออะไรแต่ในฐานะผู้บริโภค
00:18:53 → 00:18:55 เนี่ยเราเลือกบริโภคได้เพราะเดี๋ยวนี้ของ
00:18:55 → 00:18:58 ที่เป็นเพื่อสุขภาพเยอะแยะมากมายแต่ว่า
00:18:58 → 00:19:01 ว่ากระนั้นแหละคุณหมอว่าเราจะปรับตัวยัง
00:19:01 → 00:19:04 ไงเพราะเรากินเค็มอ่ะกินเค็มจนชินมาอย่าง
00:19:04 → 00:19:07 ของสุรีพรเองเนี่ยค่ะคุยกับคุณหมอมาก่อน
00:19:07 → 00:19:09 หน้านี้เนี่ยกลายเป็นว่าเดี๋ยวนี้ไม่กิน
00:19:09 → 00:19:12 น้ำซุปและนะคะเพกลัวเหมือนกันซึ่งก็เป็น
00:19:12 → 00:19:15 ข้อดีอาจจะมีบ้างที่รู้สึกว่าเฮ้ยอยากอ่ะ
00:19:15 → 00:19:17 เพราะว่าเอ้ยน้ำซุปมันอร่อยอ่ะอยากนิดนึง
00:19:18 → 00:19:20 แต่ว่าก็ไม่ซดหมดชามก๋วยเตี๊ยวก็ไม่กิน
00:19:20 → 00:19:23 น้ำหมดถ้วยอะไรขนาดนั้นและแต่มันก็ยังรู้
00:19:23 → 00:19:26 สึกว่าบางวันก็อยากจะกินเค็มอยู่เงี้ยคุณ
00:19:26 → 00:19:28 หมอเราพอที่จะแบบค่อยๆปรับหรือว่ามันมี
00:19:28 → 00:19:33 ทฤษฎีอะไรที่เราแบบสามารถลดความเค็มได้
00:19:33 → 00:19:37 คืออันแรกคือลดทีละน้อยอปงที่บอกลดทีย
00:19:37 → 00:19:40 น้อยอย่าหักดิบอ่าลด 10% เนี่ยลิ้นจะบอก
00:19:40 → 00:19:42 ไม่ได้หรือว่าเฮ้ยมันไม่ลิ้นไม่ค่อยรส
00:19:42 → 00:19:45 ชาติไม่ค่อยเปลี่ยนนะใส่น้ำปลาลงไปค่อน
00:19:45 → 00:19:48 ช้อนแทใส่ช้อนนึงเนาอ่าใช่ที่ 1 ปรับ 10%
00:19:48 → 00:19:51 อันที่ 2 ก็ค่อยๆทำอย่างเช่น 10% ในแต่ละ
00:19:51 → 00:19:54 1 เดือนอีกอีกเดือนหน้า 10% อีกเดือนนึง
00:19:54 → 00:19:58 10% 3 เดือนลดได้ 30% ค่ะลิ้นจะค่อยๆไว
00:19:58 → 00:20:00 ขึ้นคนแม่บ้านก็จะเ่อมีกำลังใจเพราะว่า
00:20:01 → 00:20:02 ลูกบ้านยังกลับมากินข้าวบ้านเหมือนเดิม
00:20:02 → 00:20:05 อ่าใช่มั้ยฮะค่ะอันที่ 2 คือต้องระวังพวก
00:20:05 → 00:20:08 น้ำแกงน้ำซุปซึ่งที่ได้กล่าวไปแล้วอืถ้า
00:20:08 → 00:20:11 วันนี้เรากินเค็มมื้อต่อไปเรากินจืดลงค่ะ
00:20:11 → 00:20:14 ให้ไตเราได้พักบ้างอ่าอย่ากินเค็มทุกมื้อ
00:20:14 → 00:20:17 ค่ะวันนี้ไปเลี้ยงฉลองไปกินปลาไปไป
00:20:17 → 00:20:20 ปาร์ตี้มาวันรุ่งขึ้นกินเบาลงอือันที่ 3
00:20:20 → 00:20:24 คือเ้าปรุงมาจากในในครัวแล้วมันโต๊ะอาหาร
00:20:24 → 00:20:26 อย่าพยายามปรุงเพิ่มถ้าจะปรุงก็อย่างมา
00:20:26 → 00:20:29 เติมพริกเติมน้ำเอ่อมะนาวความพอ่าเปรี้ยว
00:20:29 → 00:20:32 กับเผ็ดอ่าใช่ครับสุดท้ายก็คือเรื่องของ
00:20:32 → 00:20:34 อาหารตามสั่งถ้ากินนอกบ้านกินอาหารตาม
00:20:34 → 00:20:37 สั่งจะถ้าคนที่ระวังจริงๆนะกินอาหารตาม
00:20:37 → 00:20:39 สั่งดีกว่าถ้ากินอาหารที่เข้าอยู่ในหม้อ
00:20:39 → 00:20:41 แกงแล้วแล้วก็ผัดเรียบร้อยแล้วเนี่ยปรับ
00:20:41 → 00:20:44 ปรับเปลี่ยนไม่ได้เอาเกลือออกยากมากอค่ะ
00:20:44 → 00:20:47 บอกก็ทำใหม่เช่นแบบว่าเอาข้าวผัดนะผัด
00:20:47 → 00:20:49 ใหม่เอาเค็มน้อยไม่ใส่ผงชุรสอย่างเงี้ยค
00:20:49 → 00:20:53 อ๋อต้องเพราะว่ามันมีโซเดียมแฝงผงชรสพวก
00:20:53 → 00:20:55 นี้เออใช่ๆใช่ครับก็อันนี้ก็บอกง่ายๆก็
00:20:55 → 00:20:58 คือบอกให้เทำใหม่เราก็จะได้กินอาหารที่รส
00:20:58 → 00:21:01 รสชาติกลางๆแล้วก็เ่าดีต่อสุขภาพถ้าเกิด
00:21:01 → 00:21:03 มันมันจืดจริงๆเราอาจจะเติมเพิ่มในตอน
00:21:03 → 00:21:05 หลังได้ใช่มั้ยแต่ถ้าเกิดมันเค็มมากี่มัน
00:21:05 → 00:21:08 ทำยากปับยาแล้วพอเรากินเค็มสักระยะนึงเ
00:21:08 → 00:21:11 เอ้ยชินละแล้วกิกินช้อนแรกจะเค็มพอกินสัก
00:21:11 → 00:21:13 หมดครึ่งชามแล้วก็จะไม่ไม่เค็มแล้วเพราะ
00:21:13 → 00:21:15 ลิ้นมันเริ่มปรับแล้วะค่ะนะครับเพราะ
00:21:15 → 00:21:17 ฉะนั้นก็อย่าให้อย่าให้ตัวเองชินกับความ
00:21:17 → 00:21:20 หรืออันสุดท้ายคือไปออกกำลังกายเพิ่มหา
00:21:21 → 00:21:24 ให้เสียเหงื่อให้ให้ให้เกลือออกไปทาง
00:21:24 → 00:21:27 เหงื่อเพิ่มขึ้นถ้าคุณกินเค็มปั๊บคุณมือ
00:21:27 → 00:21:30 ต่อก่อนอีกสัก 2 ชั่วโมงคุไปฟิตเนสค่ะไป
00:21:30 → 00:21:32 วิวิ่งหน่อยขับเหงื่อหน่อยอ่อแล้วก็ลดน้ำ
00:21:32 → 00:21:35 หนักด้วยแล้วก็ลดแคลอรี่ลดเกลือด้วยดีต
00:21:35 → 00:21:37 สุขภาพด้วยค่ะอันนี้ก็เป็นเทคนิคนึงที่
00:21:37 → 00:21:40 ที่ให้ออกกำลังกายครับอืแต่ว่าต้องค่อยๆ
00:21:40 → 00:21:43 เป็นค่อยๆไปถ้าหักดิบมันจะเกิดอะไรกับเรา
00:21:43 → 00:21:47 อ่ะคะหักดิบส่วนใหญ่ก็จะเป็นไม่เรื่องการ
00:21:47 → 00:21:49 การยอมรับมากกว่าอืจริงๆไม่ได้อันตรายเลย
00:21:49 → 00:21:51 เพราะว่าเกลือมันอยู่ในอาหารธรรมชาติอยู่
00:21:51 → 00:21:53 แล้วเพียงพออยู่แล้วไม่ว่าจะกินข้าวกิน
00:21:53 → 00:21:55 ผักกินเนื้อสัตว์กินอะไรพวกนี้มันมีเกลือ
00:21:55 → 00:21:58 โดยธรรมชาติออมันเพียงพออยู่แล้วค่ะโดย
00:21:58 → 00:22:00 เฉพาะถ้าคุณกินอาหารทะเลเนี่ยมันมีเกลือ
00:22:00 → 00:22:03 อยู่ในเนื้อเนื้อเนื้อกุ้งเนื้อปลาอยู่
00:22:03 → 00:22:06 แล้วค่ะก็รสขนาดนั้นรสชาติเพียงพอแต่ว่า
00:22:06 → 00:22:09 มันจะเกิดความเรียกว่าคนเราติดกับความสุข
00:22:09 → 00:22:11 กับการบริโภคน่ะเนาะใช่มั้ยเพเรากินจื่น
00:22:11 → 00:22:13 จริงๆเราไม่เติมอะไเราจะรู้สึกว่ามันไม่
00:22:13 → 00:22:15 มีความสุขแล้วก็เติมสักนิดนึงก็ได้ก็ผม
00:22:15 → 00:22:19 ว่าเติมเล็กน้อยค่ะให้รสชาติกลางๆแล้วก็
00:22:19 → 00:22:22 ค่อยๆๆปรับไปแล้วก็ค่อยๆชินครับอืสัก
00:22:22 → 00:22:26 ประมาณระยะนึงไตของเราก็จะค่อยๆดีขึ้นใช่
00:22:26 → 00:22:29 เราก็จะไตก็ทำงานเบาลงอเหมือนกับรถยนต์
00:22:29 → 00:22:32 น่ะถ้าเราวิ่ง 200,000 กแป๊บเดียวก็พัง
00:22:32 → 00:22:34 เครื่องพังถ้าเราวิ่ง 20,000 กเครื่องมัน
00:22:34 → 00:22:36 ก็จะอยู่ได้นานใช่มั้ยครับเพราะสไตก็
00:22:36 → 00:22:38 เหมือนกันถ้าเราทำงานหนักทุกวันก็อยู่ได้
00:22:38 → 00:22:41 ไม่นานแสดงว่าสไตของเราก็ฟื้นฟูได้เหมือน
00:22:41 → 00:22:43 กับที่เขาอะไรนะมีโครงการแต่ละปีก็คือพัก
00:22:43 → 00:22:46 ตับ 3 เดือนอันนี้ก็พักไตได้เหมือนกันใช่
00:22:46 → 00:22:49 ๆครับพักได้เหมือนกันคนที่กินกินเค็มแล้ว
00:22:49 → 00:22:52 ไปกินเจือดแล้วลงไตก็จะดีขึ้นอืหรืออย่าง
00:22:52 → 00:22:55 น้อยมันไม่เสื่อมลงค่ะก็มีมีวิธีการมาก
00:22:55 → 00:22:58 มายนะครับก็ก็จะช่วยเหมือนกับว่าปกติไตเ
00:22:58 → 00:23:00 ทำงานคือมันก็เสื่อมลงในทุกๆปีอยู่แล้ว
00:23:00 → 00:23:03 แหละเพียงแต่ว่าเราไม่ไปเร่งให้มันเสื่อม
00:23:03 → 00:23:05 เร็วถูกครับปกติไตมันก็ใช้งานได้ 100 ปี
00:23:06 → 00:23:09 นะจนอืหมดอายุไข 100 ปีก็ไม่เป็นไรแต่ถ้า
00:23:09 → 00:23:12 เราไปเร่งเ้ามากๆเจะทำงานทำได้แค่ 60 ปี
00:23:12 → 00:23:15 เกษียณปั๊บก็ไตวายค่ะเพราะฉะนั้นเราก็
00:23:15 → 00:23:19 ต้องโอ้โหกำเ่อจำกัดความเค็มในหลายๆอย่าง
00:23:19 → 00:23:22 ตั้งแต่เด็กเลยคุณพ่อคุณแม่ดูแลอาหารให้
00:23:22 → 00:23:25 ลูกอยู่ะไม่ต้องไปหยาดซีอิวหยอดอะไรเพิ่ม
00:23:25 → 00:23:28 เติมเอาแบบให้เขาหัดกินจืดๆเข้าไว้ไม่
00:23:28 → 00:23:32 อร่อยแต่ว่าก็ดีกว่าที่จะมานั่งกินยากัน
00:23:32 → 00:23:35 ตอนโตอะไรแบบนี้ใช่มยคะแล้วก็มาที่ในโรง
00:23:35 → 00:23:38 เรียนอ่ะตอนนี้ภาครัฐเองก็ให้ความสำคัญใน
00:23:38 → 00:23:41 เรื่องนี้รณรงคในโรงเรียนไม่พอโอออกมานอก
00:23:42 → 00:23:45 โรงเรียนก็ไม่ไม่ใช่ย่อยนะคคุณหมอครับเออ
00:23:45 → 00:23:48 ใช่ตอนนี้ก็เราก็ต้องรณรงคทางทางสื่อนะผม
00:23:48 → 00:23:51 ว่าทางสื่อสำคัญเพราะว่าประชาชนเนี่ยเขา
00:23:51 → 00:23:54 ก็เเป็นคนเลือกใช่มั้ยคเสำคัญคือที่ 1
00:23:54 → 00:23:57 ต้องรู้ตัวว่ากินเคมไม่ดีอันที่ 2 คือมี
00:23:57 → 00:24:00 การถ้าพูดหลายๆครั้งเอาจจะคิดว่าเอ๊ะฉัน
00:24:00 → 00:24:03 จะปรับเปลี่ยนยังไงอโดยที่ให้มีความสุข
00:24:03 → 00:24:05 กับการกินเหมือนเดิมคนส่วนใหญ่ก็คืออย่าง
00:24:05 → 00:24:07 งี้แต่มันเป็นความสุขอ่ะใช่มั้ยครับก็คือ
00:24:07 → 00:24:12 ต้องลดทีละน้อยนะพอลดนความอร่อยมันจะ
00:24:12 → 00:24:14 โปรแกรมใหม่ในสมองว่าอยู่ที่ความเค็มไม่
00:24:14 → 00:24:17 มากอืเหมือนกับความอร่อยของกินน้ำหวานน่ะ
00:24:17 → 00:24:20 แต่ก่อนเราโปรแกรมว่าต้องหวาน 100% อร่อย
00:24:20 → 00:24:23 ปัจจุบันคนปัจจุบันเลือก 50% อร่อยะหวาน
00:24:23 → 00:24:26 หวานกำลังพอดีละถ้า 100% หวานหวานเจี๊ยบ
00:24:26 → 00:24:28 กินไม่ได้ใช่ๆอ่าเพราะว่ามันมันก็มี
00:24:28 → 00:24:30 โปรแกรมของสมองซึ่งปรับเปลี่ยนได้ครับ
00:24:30 → 00:24:32 ค่อยๆปรับทีละน้อยครับอืเพราะฉะนั้นก็ได้
00:24:32 → 00:24:34 มีกำลังใจนะคะคุณผู้ฟังไม่ได้บบว่ามันจะ
00:24:34 → 00:24:37 เป็นการหักดิบเกินไปหรืออะไรมันทุกอย่าง
00:24:37 → 00:24:39 มันจะค่อยๆปรับไปเองอันนี้ก็ยืนยันด้วย
00:24:39 → 00:24:42 เสียงตัวเองได้คนนึงเพราะว่าปรับคือเป็น
00:24:42 → 00:24:44 คนไม่กินเค็มอยู่แล้วโดยพื้นฐานแต่ว่า
00:24:44 → 00:24:47 ปรับความเค็มลงปึ๊บพอไปกินอะไรนิดนึงอ่ะ
00:24:47 → 00:24:50 เฮ้ยทำไมมันเค็มจังเลยอ่ะแล้วก็จะรู้สึก
00:24:50 → 00:24:52 ว่าเราไม่อยากจะแตะอะไรประมาณนี้เพราะว่า
00:24:52 → 00:24:55 ตอนนี้ไตก็ยังน่าจะอยู่ถึง 100 ปีได้
00:24:55 → 00:24:57 เหมือนกันนะคท้ายนี้ค่ะคุณหมอมีอะไรอยาก
00:24:57 → 00:25:01 ฝากคุณ่อฟังหนยมั้ยคะคือผมว่าคือการที่จะ
00:25:02 → 00:25:06 ลดการกินเค็มในตัวเราเนี่ยถ้าเป็นโดย
00:25:06 → 00:25:09 เฉพาะเป็นแม่บ้านเนาค่ะมันดีต่อตัวเราต่อ
00:25:09 → 00:25:13 ครอบครัวแล้วมันดีต่อสังคมอืใช่มั้ยถ้า
00:25:13 → 00:25:16 เกิดครอบครัวเราแข็งแรงสังคมก็มีคนทำงาน
00:25:16 → 00:25:19 มีไม่ต้องไปรักษาค่าเสียค่ารักษาพยาบาลนะ
00:25:19 → 00:25:22 ค่ะแล้วเราก็ถ้าถ้ารถเค็มเนี่ยมันดีต่อ
00:25:22 → 00:25:24 สุขภาพแต่เราก็ต้องค่อยๆลดทีน้อยเพื่อให้
00:25:24 → 00:25:26 เรามีกำลังใจมีความสุขกับการบริโภคเหมือน
00:25:26 → 00:25:29 เดิมมีเทคนิคหลายหลายแบบซึ่งเมื่อกี้ได้
00:25:29 → 00:25:32 ได้กล่าวไปแล้วค่ะค่อยๆทำไปแล้วถ้าเกิด
00:25:32 → 00:25:37 เราดีลูกเราดีอพ่อแม่เราดีไม่ไม่ป่วยมัน
00:25:37 → 00:25:40 ก็เป็นประโยชน์กับทุกๆฝ่ายค่ารักษาพยาบาล
00:25:41 → 00:25:43 ก็ไม่เสียไม่ต้องไปกินยาความดันแพงๆนะ
00:25:43 → 00:25:46 ครับอันนี้ก็อยากจะให้ช่วยกันรวมทั้ง
00:25:46 → 00:25:49 สังคมด้วยนะคือเรารณรงค์คือคนแม่ค้าเนี่ย
00:25:49 → 00:25:52 ถ้าแม่ค้าผู้ประกอบการให้ความร่วมมือลดลง
00:25:52 → 00:25:55 ทีละน้อยแล้วก็นอกจากนั้นก็มีโครงการที่
00:25:55 → 00:25:58 แบบว่าเขียนป้ายรถเค็มสั่งได้อืหรือว่ารถ
00:25:58 → 00:26:00 หวานสั่งได้ตอนนี้มีรถหวานสั่งได้ถ้ามีรถ
00:26:00 → 00:26:03 ป้ารถเค็มสั่งได้ถ้าผู้บริโภคช่วยกันบอก
00:26:03 → 00:26:07 แม่ค้าว่าเอาเค็มน้อยแม่ค้าก็จะจะทำเค็ม
00:26:07 → 00:26:10 น้อยลงคือถ้าเไม่ถ้าลูกค้าไม่สั่งบางทีเ
00:26:10 → 00:26:12 ไม่กล้าเนาะเ้าไม่กล้าปรับสูตรเดี๋ยว่าร
00:26:12 → 00:26:15 รสชาติเปลี่ยนแล้วขายไม่ได้อนั้นก็ช่วยๆ
00:26:15 → 00:26:17 กันนะครับค่ะก็อะไรที่มันเป็นโซเดียมแฝง
00:26:17 → 00:26:19 มันมีอยู่ในอาหารเราเต็มไปหมดแล้วแล้ว
00:26:19 → 00:26:21 ยิ่งเราไปเติมมันก็จะยิ่งหนักขึ้นไปมาก
00:26:21 → 00:26:23 กว่าเดิมอย่างที่คุณหมอแนะนำคุณผู้ฟังไป
00:26:23 → 00:26:25 แล้วนะคะแล้วก็จะได้ดูแลสุขภาพตัวเองให้
00:26:25 → 00:26:27 ดียิ่งขึ้นกันไปแข็งแรงแข็งแรงค่ะอ่ะวัน
00:26:27 → 00:26:30 นี้ต้องขอบคุณคุณหมอนะคะที่มาร่วมพูดคุณ
00:26:30 → 00:26:32 พูดคุยในรายการกับเราในวันนี้ค่ะขอบคุณ
00:26:32 → 00:26:35 ค่ะครับยินดีครับค่ะสวัสดีค่ะสวัสดีครับ
00:26:35 → 00:26:37 เอาล่ะค่ะคุณผู้ฟังหมดเวลาแล้วนะคะพบกัน
00:26:37 → 00:26:39 ใหม่ครั้งหน้ากับรายการโรงหมอทางไทย PBS
00:26:39 → 00:26:43 podcast ค่ะวันนี้ลาไปก่อนนะคะสวัสดีค่ะ
00:26:43 → 00:26:46 This Is Toy PBS podcast หนองนายปอด
00:26:46 → 00:26:48 เกิดจากอะไรเป็นตัวกระตุ้นอาการของผู้
00:26:49 → 00:26:51 ป่วยเป็นอย่างไรทำไมเสี่ยงเสียชีวิตผู้
00:26:51 → 00:26:54 ช่วยศาตราจารย์นายแพทย์ศีระลาวทยแพทย์
00:26:54 → 00:26:57 ศัลยกรรมประสาททรวงอกเฉพาะทางมาเล่าให้
00:26:57 → 00:26:58 ฟังครับ
00:26:58 → 00:27:01 อาการของตัวหนองในปอดนะครับผู้ป่วยเนี่ย
00:27:01 → 00:27:06 มักจะมาด้วยอาการ 3 อันเลยนะครับไข้ไอ
00:27:06 → 00:27:10 แล้วก็เหนื่อยไข้ไอหอบหรือไข้ไอเหนื่อยนะ
00:27:10 → 00:27:12 ฮะทีนี้เนี่ยก็มันจะมันจะแยกกันแยาก
00:27:12 → 00:27:16 ระหว่างว่าคนไข้เนี่ยเป็นไข้หวัดใหญ่นะ
00:27:16 → 00:27:19 ครับหรือว่าเป็นเป็นไข้หวัดนะครับหรือว่า
00:27:19 → 00:27:21 เป็นปอดอักเสบพวกนี้จะมาหน้าตาเหมือนกัน
00:27:21 → 00:27:24 เลยคำว่าไข้เนี่ยมันเกิดจากการอักเสบขึ้น
00:27:24 → 00:27:26 มาของร่างกายนะครับไม่ว่าจะมีสิ่งแปบปลอม
00:27:26 → 00:27:28 อะไรก็ตามเช่นเป็นแบคทีเรีย
00:27:28 → 00:27:31 ไวรัสหรืออะไรก็ตามนะครับพวกนี้เนี่ยทำ
00:27:31 → 00:27:33 ให้เกิดกระตุ้นให้เกิดเป็นไข้ได้อย่างที่
00:27:33 → 00:27:35 2 ถ้าสมมุติมีอาการที่มันลงปอนขึ้นมา
00:27:35 → 00:27:39 เนี่ยคณไขก็มีอาการเหนื่อยเกิดขึ้นนะครับ
00:27:39 → 00:27:41 ไม่เช่นการที่มีอาการในปออย่างเช่นมัน
00:27:41 → 00:27:43 เกิดติดเชื้อในปอเป็นปัอักเสบขึ้นมานะ
00:27:43 → 00:27:46 ครับพวกนี้เนี่ยก็สมผลทำให้เกิดอาการ
00:27:46 → 00:27:48 เหนื่อยได้หรือว่ามันเกิดเป็นน้ำขึ้นมาทำ
00:27:48 → 00:27:50 ให้เกิดเป็นเหนื่อยได้เช่นเดียวกันนะครับ
00:27:50 → 00:27:54 ทีเไอ้คำไอ้คำว่าหนองในปอดหรือว่าบางคนก็
00:27:54 → 00:27:56 จะเรียกว่าหนองในเยื่อหุ้มปอดเนี่ยนะครับ
00:27:56 → 00:27:59 พวกนี้เนี่ยหรือว่าฝีในปอดพวกนี้ก็จะมี
00:27:59 → 00:28:01 ความคล้ายคนกันแตกต่างกันนิดหน่อยนะครับ
00:28:01 → 00:28:04 พวกนี้มันจะเริ่มต้นเลยเริ่มต้นจากการที่
00:28:04 → 00:28:07 ร่างกายเราเนี่ยสูตดมสิ่งแปลกปลอมเข้าไกล
00:28:07 → 00:28:10 นะครับเกิดปอดติดเชื้อขึ้นมาพอมันเกิดปอด
00:28:10 → 00:28:12 ติดเชื้อขึ้นมาปุ๊บสิ่งที่เกิดขึ้นขึ้นมา
00:28:12 → 00:28:15 เนี่ยมันก็จะมีอาการเขาเรียกว่ามีปอด
00:28:15 → 00:28:17 อักเสบขึ้นมานะครับพอมันเกิดร่างกายปลอด
00:28:17 → 00:28:19 อักเสบหรือปลอดติดเชื้อขึ้นมาปุ๊บเนี่ย
00:28:19 → 00:28:21 ร่างกายก็จะมีการกระตุ้นขึ้นมาที่ทำให้
00:28:21 → 00:28:24 เกิดน้ำหรือเกิดหนองบริเวณเยื่อหุ้มปอด
00:28:24 → 00:28:26 เกิดขึ้นหรือหรือในบางรายเนี่ยอาจจะเป็น
00:28:26 → 00:28:29 น้ำในตัวเนื้อปอดเก็ตามซึ่งเป็นฝีพอมัน
00:28:29 → 00:28:31 ปล่อยทิ้งไว้คั่งไปเรื่อยๆคั่งไปเรื่อยๆ
00:28:31 → 00:28:34 เนี่ยพวกนี้คนไข้ก็จะมีน้ำเกิดขึ้นแล้ว
00:28:34 → 00:28:36 มันก็จะเหมือนกับเหมือนกับเวลาเราน้ำ
00:28:36 → 00:28:39 เนี่ยที่มันฝังเนี่ยอยู่ในตรงพื้นหรือตรง
00:28:39 → 00:28:41 อะไรพวกเนี้ยมันก็เริ่มทำการเป็นไงมันก็
00:28:41 → 00:28:43 จะเริ่มเน่าขึ้นมาพวกนี้มันก็จะจากน้ำ
00:28:43 → 00:28:46 อักเสบธรรมดาใสๆก็จะเริ่มกลายเป็นหนองอ
00:28:46 → 00:28:48 ฉะนั้นผู้ป่วยเนี่ยก็จะเข้ามาปรึกษาเรา
00:28:48 → 00:28:51 ด้วยอาการที่มาด้วยไข้ไอเหนื่อยแลเสร็จ
00:28:52 → 00:28:54 แล้วแล้วเราจะรู้ยังไงว่าผู้ป่วยเเรา
00:28:54 → 00:28:56 สงสัยว่าเป็นหนองหรือเป็นอะไรก็ตามเนี่ย
00:28:56 → 00:28:58 ข้อที่ 1 นอกจากอาการที่เกิดขึ้นเนี่ยคนข
00:28:58 → 00:29:01 อาจจะเริ่มมีอาการไอไอออกมาเป็นสหะเป็น
00:29:01 → 00:29:04 หนองและไข้เนี่ยไข้ที่มันสูงเนี่ยมันจะ
00:29:04 → 00:29:07 ไม่ใช่ไข้สูงธรรมดานะครับมันจะเป็นไข้สูง
00:29:07 → 00:29:09 เป็นแบบฟันปลาเลยคำว่าฟันปลาหมายความว่า
00:29:09 → 00:29:13 ไข้สูง 38 39 นะครับมีอาการหนาวสั่นร่วม
00:29:13 → 00:29:16 ด้วยแล้วก็กินยาก็ไม่ลดพวกนี้เนี่ยโอ้โห
00:29:16 → 00:29:19 ไข้สูงปี๊ดเลยกินยาเท่าไหร่ก็ไม่หายทุก
00:29:19 → 00:29:21 อย่างเท่าไหร่ก็ไม่หายพวกนี้เนี่ยมี
00:29:21 → 00:29:25 อันตรายถึงแก่ชีวิตได้
00:29:25 → 00:29:30 เลย This Is Toy PBS
00:29:30 → 00:29:33 podcast ติดตามรายการทางเว็บไซต์และ
00:29:33 → 00:29:36 Application ของ Thai PBS podcast
00:29:36 → 00:29:39 spotify soundcloud Google podcast
00:29:39 → 00:29:42 Apple podcast และ YouTube Channel
00:29:42 → 00:29:46 Thai PBS podcast tha PBS podcast
00:29:46 → 00:29:48 View the world via The Voice
00:29:48 → 00:29:54 [เพลง]