00:00:00 → 00:00:02 เวลาที่เราพูดถึงความแก่เนี่ยหลายๆคนก็จะ
00:00:02 → 00:00:06 นึกถึงภาพใหญ่ๆเช่นผิวหนังเหี่ยวอวัยวะมี
00:00:06 → 00:00:09 ปัญหานะครับแต่จริงๆแล้วไอ้การที่เราเห็น
00:00:09 → 00:00:10 ว่าร่างกายของเราเนี่ยมันทรุดโทรมลงไป
00:00:11 → 00:00:14 เนี่ยจริงๆต้นเหตุเนี่ยมันเกิดมาจากเซลล์
00:00:14 → 00:00:17 ส่วนที่เล็กที่สุดของร่างกายเนี่ยมันแก่
00:00:17 → 00:00:19 นั่นเองเพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าเราอยากจะ
00:00:19 → 00:00:22 สู้กับความแก่ต้องการจะชะลอไวรวมถึงย้อน
00:00:22 → 00:00:25 ให้เราเนี่ยรู้สึกเด็กลงนะครับเราต้องไป
00:00:25 → 00:00:28 จัดการที่ต้นตอของความแก่นั่นก็คือไปจัด
00:00:28 → 00:00:31 การที่เซลล์นั่นเองนะครับครับสมัยเนะครับ
00:00:31 → 00:00:34 บริษัทใหญ่ๆเนี่ยเขาลงทุนกับงานวิจัยทาง
00:00:34 → 00:00:36 ด้านวิทยาศาสตร์ลึกเลยนะครับเวลาก่อนที่
00:00:36 → 00:00:39 จะออกผลิตภัณฑ์อะไรก็ตามที่โฆษณาว่าเป็น
00:00:39 → 00:00:43 การจัดการกับความแก่เนี่ยเขาจะไปเล่นที่
00:00:43 → 00:00:46 ต้นตอที่ทำให้เซลล์มันแก่นั่นเองนะครับ
00:00:46 → 00:00:49 ไม่ว่าจะเป็น skin care หรือว่าอาหาร
00:00:49 → 00:00:52 เสริมหรือจะเป็นยารวมไปถึง medical
00:00:52 → 00:00:54 service medical intervention ต่างๆ
00:00:54 → 00:00:57 ที่เคลมออกมาเคลมทั้งนั้นเลยว่าเฮ้ยสิ่ง
00:00:57 → 00:00:59 ที่เราทำมาเนี่ยมันแก้ Pain Point
00:00:59 → 00:01:01 เรื่องความแก่ได้นะครับงั้นเราสามารถจะไป
00:01:01 → 00:01:04 ดูได้ว่าแบรนด์ไหนที่มีงานวิจัยเยอะๆ
00:01:04 → 00:01:06 เรื่องความแก่และผลิตภัณฑ์ของเค้าเนี่ย
00:01:06 → 00:01:09 มันไปจัดการที่ต้นเหตุจริงๆแบรนด์นั้น
00:01:09 → 00:01:12 เนี่ยก็จะน่าเชื่อถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการ
00:01:12 → 00:01:15 ที่ทำให้เราสามารถจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่ตอบ
00:01:15 → 00:01:17 โจทย์แล้วก็แก้ไขความแก่ให้เราได้จริงๆ
00:01:17 → 00:01:21 และเป็นที่มาว่าทำไมเราควรจะรู้ว่าต้นตอ
00:01:21 → 00:01:24 ที่ทำให้เซลล์เนี่ยมันแก่มันมีอะไรบ้าง
00:01:24 → 00:01:26 เป็นความรู้ที่สำคัญมากสำหรับชีวิตเราใน
00:01:26 → 00:01:30 อนาคตนะครับผมบอกเลยว่าณวันนี้นะครับนัก
00:01:30 → 00:01:33 วิทยาศาสตร์เขาสรุปมาว่าต้นตอของความแก่
00:01:33 → 00:01:36 ระดับเซลล์เนี่ยนะครับมันมีทั้งหมด 14
00:01:36 → 00:01:39 สาเหตุด้วยกันเดี๋ยวเราจะไปไล่กันทีละ
00:01:39 → 00:01:41 สาเหตุเลยว่าไอ้ 14 สาเหตุที่มันทำให้
00:01:41 → 00:01:44 เซลล์ของเราแก่เนี่ยมันคืออะไรบ้างและ
00:01:44 → 00:01:48 ทั้ง 14 สาเหตุเนี่ยมันมีวิธีในการจัดการ
00:01:48 → 00:01:51 รายตัวด้วยนะครับถ้าเราเข้าใจทั้งสาเหตุ
00:01:51 → 00:01:53 และรู้วิธีจัดการเนี่ยก็จะทำให้เราย้อนไว
00:01:53 → 00:01:56 ได้ครับ This is the Standard podcast
00:01:56 → 00:02:00 Eye Opening for your ears
00:02:00 → 00:02:03 Top to podcast สุขภาพที่ใช้
00:02:03 → 00:02:07 วิทยาศาสตร์ไขปัญหาตั้งแต่หัวจด
00:02:07 → 00:02:10 เท้า 14 สาเหตุของความแก่เนี่ยครับถ้า
00:02:10 → 00:02:12 เกิดพูดตามหลักวิชาการหรือทางวิทยาศาสตร์
00:02:12 → 00:02:16 แล้วเนี่ยมันคือคำว่า 14 hallmarks of
00:02:16 → 00:02:18 aging นะครับตอนแรกเนี่ยมันไม่ได้มาถึง
00:02:18 → 00:02:22 14 ตัวนะตอนประมาณปีค.ศ 2013 นะครับนัก
00:02:22 → 00:02:24 วิทยาศาสตร์กลุ่มนึงเนี่ยเขาได้ propose
00:02:24 → 00:02:27 ต้นตอของความแก่มาประมาณ 13 ตัวและเมื่อ
00:02:28 → 00:02:31 เวลาผ่านไปนะครับจนเมื่อประมาณ 2023 คือ
00:02:31 → 00:02:34 ปีที่แล้วก็มีการอัปเดตเพิ่มขึ้นหลังจาก
00:02:34 → 00:02:37 ที่มีการสำรวจเนาะนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงาน
00:02:37 → 00:02:39 ด้านความแก่เนี่ยเค้าก็คอยสังเกตอยู่เสมอ
00:02:39 → 00:02:41 ว่าเอ๊มันมีสาเหตุอะไรหรือเปล่านะที่คน
00:02:41 → 00:02:45 แก่มักจะมี Common Root C อ่ะแล้วถ้า
00:02:45 → 00:02:47 เขาคเจอปึ๊บเค้าก็จะยกมันขึ้นมาว่าเนี่ย
00:02:47 → 00:02:49 คือสาเหตุใหญ่นะครับเพราะฉะนั้นจาก 9
00:02:49 → 00:02:52 เนี่ยนะครับมันก็เลยถูกอัปเดตมาเป็น 12
00:02:52 → 00:02:55 และถูกอัปเดตมาเป็น 14 เพราะงั้นวันนี้
00:02:55 → 00:02:58 เดี๋ยวผมจัดเต็มมาให้เลยว่าทั้ง 14 ตัวมี
00:02:58 → 00:03:00 อะไรบ้างเนาะถ้าใครอยากที่จะได้ข้อมูล
00:03:00 → 00:03:03 เต็มๆแล้วก็อยากจะได้เปอร์ทางวิทยาศาสตร์
00:03:03 → 00:03:05 นะครับคุณสามารถไปเสิร์ชได้ตามเปอร์นี้นะ
00:03:05 → 00:03:07 ครับภาพที่คุณจะเห็นเนี่ยคือไดอะแกรมนี้
00:03:07 → 00:03:09 เลยนะฮะเป็นไดอะแกรมที่สรุปว่า 14 สาเหตุ
00:03:09 → 00:03:12 ของความแก่คืออะไรจะเห็นว่าแต่ละตัวเนี่ย
00:03:12 → 00:03:14 มันจะมีชื่อกำกับอยู่นะครับซึ่งชื่อเนี่ย
00:03:14 → 00:03:16 มันอาจจะค่อนข้างยากนิดนึงเพราะฉะนั้นวัน
00:03:16 → 00:03:19 นี้ผมจะทำหน้าที่เป็นล่ามที่จะ simplify
00:03:19 → 00:03:22 ทุกอย่างให้มันง่ายขึ้นแล้วก็เปรียบเทียบ
00:03:22 → 00:03:24 ให้มันจับต้องได้มากยิ่งขึ้นนั่นเองนะ
00:03:25 → 00:03:27 ครับเดี๋ยวมาไล่กันทีละตัวฮะ 14 ตัวนะ
00:03:27 → 00:03:29 ครับถ้าดูจากไดอะแกรมนี่คือแผนผังที่ผมทำ
00:03:29 → 00:03:32 ขึ้นมาเป็นเวอร์ชั่นที่เป็นการ์ตูนที่ทำ
00:03:32 → 00:03:34 ให้เข้าใจง่ายนะครับภาพที่ทุกคนกำลังเห็น
00:03:34 → 00:03:37 อยู่ตรงกลางที่เป็นกลมๆสีแดงเนี่ยนะครับ
00:03:37 → 00:03:41 มันคือเซลล์คือเซลล์ที่สุขภาพดีนะครับไอ้
00:03:41 → 00:03:43 ตัวที่เป็นสีแดงเข้มกลมๆข้างในอันนั้นน่ะ
00:03:43 → 00:03:46 คืออวัยวะที่สำคัญที่สุดของเซลล์ตัวนี้ก็
00:03:46 → 00:03:50 คือนิวเคลียสนะครับด้านข้างที่เป็นเซลล์
00:03:50 → 00:03:52 กลมๆอีก 2 อันที่มี 2 สีนะครับที่เป็นสี
00:03:52 → 00:03:55 แดงเนี่ยคือเซลล์สุขภาพดีเซลล์อื่นที่
00:03:55 → 00:03:58 เรียกว่าเป็นเพื่อนบ้านเราละกันส่วนเซลล์
00:03:58 → 00:04:01 สีเทานะครับที่อยู่ข้างๆเนี่ยผมใช้แทน
00:04:01 → 00:04:04 เซลล์ที่เป็นเซลล์ที่เพี้ยและสุขภาพไม่ดี
00:04:04 → 00:04:07 เป็นเซลล์ทกิหรือที่รู้จักกันในนามซอบี้
00:04:07 → 00:04:09 เซลล์เนาะใครที่ติดตาม Top Tool จะรู้
00:04:09 → 00:04:10 จัก zomb Sell นะครับเจ้านี่ผมใช้แทน
00:04:10 → 00:04:13 Zombie Sell แล้วะกันสัญลักษณ์ต่างๆนะ
00:04:13 → 00:04:15 ครับที่อยู่ในแผนผังเนี้ยใช้แทนต้นตอทั้ง
00:04:16 → 00:04:18 หมด 14 ประการนะครับเดี๋ยวเราจะไปไล่กัน
00:04:18 → 00:04:21 ทีละตัวเพื่อความง่ายในการเข้าใจนะครับผม
00:04:21 → 00:04:23 ขอแบ่ง 14 สาเหตุเป็น 3 กรุ๊ปแล้วกันเรา
00:04:23 → 00:04:25 มาเริ่มที่กรุ๊ปแรกครับกรุ๊ปแรกเนี่ยคือ
00:04:25 → 00:04:29 ต้นตอนหรือสาเหตุที่ทำให้เซลล์มันแก่และ
00:04:29 → 00:04:31 มักจะเกิดเกิดขึ้นอยู่ในนิวเคลียส
00:04:31 → 00:04:33 นิวเคลียสก็คือส่วนที่เป็นสีแดงเข้มนะ
00:04:34 → 00:04:36 ครับจะมีสัญลักษณ์ประกบอยู่ทั้งหมด 4 ตัว
00:04:36 → 00:04:39 ตอนนี้ทุกคนจะเห็นว่ามี DNA ที่สวมหมวก
00:04:39 → 00:04:42 อยู่แล้วก็มีสวิตชที่เขียนว่า on นะครับ
00:04:42 → 00:04:45 และก็มีรูปแปลภาษาอยู่ด้วยนั่นคือ 4
00:04:45 → 00:04:48 สาเหตุที่ทำให้เซลล์แก่เรามาเริ่มที่ตัว
00:04:48 → 00:04:50 แรกนะครับเป็นตัวที่สำคัญมากเลยนะครับ
00:04:51 → 00:04:54 สำคัญที่สุดเลยก็ว่าได้นั่นคือ DNA ครับ
00:04:54 → 00:04:57 DNA เนี่ยเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดในเซลล์
00:04:57 → 00:04:58 นะครับเพราะฉะนั้นเซลล์เองจึงต้องเก็บ
00:04:58 → 00:05:01 รักษา D ไว้อย่างดีจะเห็นได้ว่า DNA
00:05:01 → 00:05:04 เนี่ยถูกเก็บเอาไว้ในนิวเคลียสก็คือ
00:05:04 → 00:05:06 เหมือนกับเป็นห้องนิภัยห้องนึงเลยที่เอา
00:05:06 → 00:05:09 ไว้เก็บ DNA โดยเฉพาะเพื่อป้องกันไม่ให้
00:05:09 → 00:05:12 อะไรมันมาทำลาย DNA ได้ง่ายๆนะครับงั้น
00:05:12 → 00:05:14 DNA เนี่ยมันคือคู่มือการทำงานของเซลล์
00:05:14 → 00:05:18 กำหนดชะตากรรมการทำงานฟังก์ชันทั้งหมดของ
00:05:18 → 00:05:21 เซลล์เลยนะครับเปรียบเทียบง่ายๆมันคือ
00:05:21 → 00:05:24 ตำราในการทำกับข้าวเล่ม 1 คุกบุกเลยนะ
00:05:24 → 00:05:29 ครับสมมุติว่าเราอยากจะกินข้าวกะเพราไก่
00:05:29 → 00:05:33 ไข่ดไม่สุกแล้วเราไม่รู้ว่าจะทำยังไงเรา
00:05:33 → 00:05:35 ก็ไปเปิดไอ้หนังสือเล่มเที่เป็น DNA ดูนะ
00:05:35 → 00:05:37 ครับมันก็จะบอกวิธีการทำถ้าเรา Follow
00:05:37 → 00:05:40 recipe ที่ถูกต้องเนี่ยเราก็จะได้กะเพรา
00:05:40 → 00:05:43 ไก่ไข่ดาวออกมาที่ถูกต้องนะครับนั่นคือ
00:05:43 → 00:05:46 DNA ที่ Healthy สุขภาพดีแต่ DNA เนี่ย
00:05:47 → 00:05:49 มันก็สามารถที่จะถูกทำลายได้เมื่อเราใช้
00:05:49 → 00:05:52 ชีวิตมาทุกวันเราแก่ขึ้นแก่ขึ้นเจอกับ
00:05:52 → 00:05:55 toxic มากมายทั้งภายนอกร่างกายภายในร่าง
00:05:55 → 00:05:58 กายเช่นเดินออกจากบ้านเจอแสงแดดและนะครับ
00:05:58 → 00:06:01 การกินอาหารที่เป็นอาหาร process Food
00:06:01 → 00:06:04 กินน้ำมันทอดบ่อยๆหรือกินของที่มันไม่้ม
00:06:04 → 00:06:07 นะครับหรือการที่เราเครียดแล้วก็พักผ่อน
00:06:07 → 00:06:09 ไม่เพียงพอสาเหตุทั้งหมดเหล่าเนี้ยรวมไป
00:06:09 → 00:06:12 ถึงเติที่เราได้มาจากพ่อกับแม่เราด้วยนะ
00:06:12 → 00:06:15 ครับ DNA สามารถที่จะถูกทำลายแล้วก็
00:06:15 → 00:06:17 เปลี่ยนแปลงได้เสมอนั่นหมายความว่าไอ้
00:06:17 → 00:06:20 เจ้าตำราเล่มเนี้ยนะครับมันสามารถที่จะ
00:06:20 → 00:06:22 ผิดเพี้ยนไปสูตรที่มันเคยถูกต้องที่เรา
00:06:22 → 00:06:25 ได้มาตอนเด็กๆเนี่ยสูตรนั้นเนี่ยมันก็อาจ
00:06:25 → 00:06:28 จะค่อยๆเปลี่ยนไปเรื่อยๆผิดเพี้ยนไปจน
00:06:28 → 00:06:31 เวลาเราไปฟโสูตรเนี่ยมันจะได้กับข้าวที่
00:06:31 → 00:06:33 ไม่อร่อยหรือกับข้าวคนละจานเลยก็ได้นะ
00:06:33 → 00:06:36 ครับสมมุติว่าเฮ้ยจีนที่ผมเคยพูดไว่าจีน
00:06:36 → 00:06:40 ทำกะเพราไก่ไข่ดาวไม่สุกเนี่ยครับตอนที่
00:06:40 → 00:06:43 เราอายุมากขึ้นจีนนี้เกิดดาจได้รับความ
00:06:43 → 00:06:46 เสียหายถ้าเราไป f มันปุ๊บเนี่ยเราอาจจะ
00:06:46 → 00:06:50 ได้เป็นกะเพราหมูกรอบไข่ดาวสุกซึ่งไม่ใช่
00:06:50 → 00:06:52 สิ่งที่เราต้องการเพราะฉะนั้นเนี่ยการที่
00:06:52 → 00:06:55 เราได้กะเพราหมูกรอบมันอาจจะไม่ Healthy
00:06:55 → 00:06:57 กับร่างกายแล้วก็ได้นะครับงั้นเป็นการ
00:06:57 → 00:06:59 สะท้อนว่าถ้า DNA ผิดพลาดเพียงเล็กน้อยไ
00:06:59 → 00:07:02 นิดเดียวเนี่ยก็จะได้ผลลัพธ์ที่เปลี่ยน
00:07:02 → 00:07:04 แปลงไปแต่ถ้าเกิดว่า DNA เนี่ยมันได้รับ
00:07:04 → 00:07:07 ความเสียหายเยอะมากนะครับแล้วเราไป Follow
00:07:07 → 00:07:09 recipe นะเนี่ยคุณอาจจะไม่ได้เป็นข้าว
00:07:09 → 00:07:12 กระเพราด้วยซ้ำคุณอาจจะได้ออกเป็นราดหน้า
00:07:12 → 00:07:14 หมูเลยก็ได้นะครับซึ่งมันผิดเพี้ยนไปใหญ่
00:07:14 → 00:07:16 และทำให้ร่างกายเนี่ยเกิดโรคต่างๆตามมา
00:07:17 → 00:07:19 ได้เช่นมะเร็งนั่นเองนะครับนั่นคือความ
00:07:19 → 00:07:22 เสียหายของ DNA งั้นเราไม่อยากให้ DNA
00:07:22 → 00:07:24 เกิดการดาเมจแต่มันเลี่ยงไม่ได้เลยครับ
00:07:24 → 00:07:27 ตลอดเวลาที่เราเติบโตขึ้นนะครับยังไง DNA
00:07:27 → 00:07:29 เราอ่ะเสียหายอยู่แล้วไม่ว่าจะตั้งใจหรือ
00:07:29 → 00:07:32 ว่าไม่ตั้งใจก็ตามนั่นคือสาเหตุที่ 1 คือ
00:07:32 → 00:07:34 DNA Damage ชื่อเต็มๆของมันนะครับถ้า
00:07:34 → 00:07:37 เกิดไปอ่าน Paper เนี่ยเาใช้คำว่า genomic
00:07:37 → 00:07:40 instability เนาะแต่เพื่อความเข้าใจง่าย
00:07:40 → 00:07:43 ๆผมขอเรียกมันว่า DNA Damage หรือว่า
00:07:43 → 00:07:46 ความเสียหายของ DNA นั่นเองครับมาที่ต้น
00:07:46 → 00:07:50 เหตุตัวที่ 2 นะครับสัญลักษณ์ของียคือรูป
00:07:50 → 00:07:52 สวิตชครับที่อยู่ข้างๆ DNA เลยผมใช้
00:07:53 → 00:07:55 สัญลักษณ์ที่เป็น on เนาะเป็นสวิตชเปิด
00:07:55 → 00:07:59 ปิดจีนั่นเองอยากจะเล่าให้ฟังว่าชื่อเต็ม
00:07:59 → 00:08:01 ๆของมันเนี่ยจริงๆอ่ะไอ้เจ้าตัวเนี้ยผม
00:08:01 → 00:08:04 ตั้งชื่อเล่นมันว่า DNA Control ครับสม
00:08:04 → 00:08:07 ชื่อเลยมันคือสวิตชที่เอาไว้ Control DNA
00:08:07 → 00:08:11 อีกระดับนึงชื่อจริงๆของมันเนี่ยคือคำว่า
00:08:11 → 00:08:14 Epic genetic alteration ก็คือการ
00:08:14 → 00:08:17 เปลี่ยนแปลงของ EP genetic คำดูยากเนาะ
00:08:17 → 00:08:20 EP เนี่ยมันเป็น prefix ที่แปลว่า Above
00:08:20 → 00:08:23 หรือว่าเหนืองั้นแปลง่ายๆคือมันเหนือกว่า
00:08:23 → 00:08:27 DNA อีกอโหมันสามารถจะควบคุม DNA ได้เลย
00:08:27 → 00:08:30 มันควบคุม DNA ยังไงสมมุติว่าเมื่อกี้เรา
00:08:30 → 00:08:32 บอกว่า DNA สำคัญเนาะในการทำอะไรสักอย่าง
00:08:32 → 00:08:35 นึงต่อให้ DNA ของเราเนี่ยจะไม่ได้รับ
00:08:35 → 00:08:38 ความเสียหายเลยนะครับยีนกะเพราไก่ไข่ดาว
00:08:38 → 00:08:42 เริปนั้นเยังเป็นเริปที่ถูกต้องเลยนะแต่
00:08:42 → 00:08:45 มันมีสิ่งที่ไปควบคุมปิดสวิตช์เปิดปิดมัน
00:08:45 → 00:08:48 ว่าเฮ้ยไอ้หน้าเนี้ยมันถูกปิดอยู่บล็อก
00:08:48 → 00:08:51 ไม่ให้อ่านหรือเปิดให้อ่านน่ะต่อให้จีน
00:08:51 → 00:08:53 นั้นจะยังอยู่ในสุภาพสมบูรณ์ที่อ่านได้
00:08:53 → 00:08:55 ชัดเจนเนี่ยนะครับ Follow recipe ได้ถูก
00:08:55 → 00:08:57 ต้องแต่ถ้ามีอะไรไปปิดมันไว้เราอ่านไม่
00:08:57 → 00:08:59 ได้เราก็ไม่สามารถจะทำกะเพราไก่ใ่ไข่ดาว
00:08:59 → 00:09:02 ได้ถูกต้องเพราะเริปมันถูกบดบังเอาไว้
00:09:02 → 00:09:04 นั่นเองนะครับเทียบง่ายๆเหมือนเราไปกิน
00:09:04 → 00:09:06 ร้านหาเราอยากจะสั่งแม่ค้าว่าเฮ้ยวันนี้
00:09:06 → 00:09:09 อยากกินกะเพราไก่ไ่ดาวครับจานนึงแม่ค้า
00:09:09 → 00:09:12 ตอบกลับมาเลยวันนี้ไก่หมดช็อต fiel มาก
00:09:12 → 00:09:14 การที่ไก่หมดเนี่ยมันคือปิดสวิตชเลยครับ
00:09:14 → 00:09:17 ไม่มีช้อยส์ให้เราสั่งไก่ได้เลยมีให้
00:09:17 → 00:09:18 เลือกแค่อย่างอื่นเท่านั้นนะครับนั่นคือ
00:09:18 → 00:09:22 ไอเดียของสวิตชและไอ้เจ้าสวิตหรือว่า DNA
00:09:22 → 00:09:24 Control หรือ EP genetic เนี่ยต้องบอก
00:09:24 → 00:09:26 ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆเลยนะครับหลังจาก
00:09:26 → 00:09:28 ที่นักวิทยาสาเาเริ่มศึกษาเรื่องความแก่
00:09:28 → 00:09:30 มาเยอะขึ้นเยอะขึ้นเนี่ยเค้าก็เจอแล้ว
00:09:30 → 00:09:33 ครับว่าโหไอ้เจ้า epis genetic เนี่ย
00:09:33 → 00:09:36 เป็นตัวที่บอกเลยว่าตอนเร่างกายเราแก่มาก
00:09:36 → 00:09:39 แก่น้อยนะครับถ้าใครเคยติดตามผมเรื่อง
00:09:39 → 00:09:41 biological Age ที่ผมเคยเล่าไปเนี่ยผม
00:09:41 → 00:09:44 จะบอกว่าทุกวันเนี้ยวิธีการวัดอายุที่แท้
00:09:44 → 00:09:47 จริงหรือว่าอายุทางชีวภาพที่แม่นยำที่สุด
00:09:47 → 00:09:50 เนี่ยมันคือการวัด EP genetic Clock ก็
00:09:50 → 00:09:52 คือไอ้เจ้า EP genetic หรือว่า DNA
00:09:52 → 00:09:54 Control นี่แหละเพราะฉะนั้นตัวเนี้ยคือ
00:09:54 → 00:09:57 ตัวที่สำคัญมากๆเลยเนาะถามว่าไอ้สวิชนี้
00:09:57 → 00:10:00 มันคืออะไรหรอจริงๆแล้วสิ่งที่มันสามารถ
00:10:00 → 00:10:02 ใช้ในการควบคุม DNA เนี่ยมีหลากหลายรูป
00:10:02 → 00:10:05 แบบเลยนะครับแต่รูปแบบนึงเลยที่มีคนศึกษา
00:10:05 → 00:10:09 เยอะมากที่สุดณวันนี้แล้วก็มี Impact มาก
00:10:09 → 00:10:11 ที่สุดกับ Age ของเรานะครับเราเรียกมัน
00:10:11 → 00:10:16 ว่า DNA mation mation คือการเติมหมู
00:10:16 → 00:10:19 เมิเข้าไปในส่วนใดส่วนนึงของ DNA เดี๋ยว
00:10:20 → 00:10:21 ไว้ตอนหน้าเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังให้
00:10:21 → 00:10:24 ละเอียดขึ้นแต่หมู่เิมันคือ
00:10:24 → 00:10:27 ch3 นะครับนั่นคือโมเลกุลทางเคมีแล้วะ
00:10:27 → 00:10:29 กันถ้าเกิดว่ามีไอ้เจ้าตัวเนี้ไอ้เจ้า ch3
00:10:29 → 00:10:32 เครับไปแปะอยู่แต่ละจุดของจีนเนี่ยนะครับ
00:10:32 → 00:10:36 มันสามารถที่จะไปเปิดหรือปิดสวิตชได้ั้น
00:10:36 → 00:10:38 สิ่งที่เราต้องการคือเราอยากให้สวิตชมัน
00:10:38 → 00:10:41 เปิดในจุดที่มันควรเปิดแล้วมันปิดในจุด
00:10:41 → 00:10:44 ที่มันควรปิดแต่เวลาที่เราแก่ไปเนี่ยนะ
00:10:44 → 00:10:47 ครับไอ้จีนที่มันควรจะเปิดเนี่ยมันดันปิด
00:10:47 → 00:10:49 ไอ้จีนที่มันควรจะปิดเนี่ยมันดันเปิดแล้ว
00:10:49 → 00:10:51 มันอาจจะทำให้เกิดความเสียหายได้เช่นจีน
00:10:51 → 00:10:54 มะเร็งเราอยากให้มันปิดแต่มันดันไปเปิด
00:10:54 → 00:10:56 เพราะอีสวิตชมันไปเปิดให้เนี่ยอันเนี้ย
00:10:56 → 00:10:59 เราก็จะทำให้เกิดโรคมะเร็งขึ้นมาเป็นต้น
00:10:59 → 00:11:00 นะครับหรือว่าจีนที่เฮ้ยเราอยากให้มัน
00:11:00 → 00:11:03 เปิดจังเลยเช่นจีนที่ช่วยในการกำจัดขยะใน
00:11:03 → 00:11:05 ร่างกายอยากให้มันเปิดแต่ปรากฏว่าเรายิ่ง
00:11:05 → 00:11:08 แกะไปแกะไปไอ้จีนนี้มันดันปิดคราวนี้ขยะ
00:11:08 → 00:11:10 มันก็จะล้นเซลล์แล้วทำให้มันเกิดปัญหา
00:11:10 → 00:11:13 นั่นเองนั่นคือไอเดียของ epigenetic หรือ
00:11:13 → 00:11:16 ว่า DNA Control ครับสาเหตุตัวที่ 2 ที่
00:11:16 → 00:11:19 ทำให้เราแก่นะครับมาที่สาเหตุตัวที่ 3
00:11:19 → 00:11:21 ครับถ้าจากรูปเนี่ยจะเห็นว่า DNA เนี่ยผม
00:11:21 → 00:11:24 มีหมวกให้มันใส่ด้วยมันคือหมวกช่างหรือ
00:11:24 → 00:11:28 หมวกวิศวกรนะครับแน่นอนหมวกเนี่ยใช้แทน
00:11:28 → 00:11:32 ความปลอดภัยมันคือระบบ Safety ให้กับ DNA
00:11:32 → 00:11:35 บอกแล้ว DNA มันสำคัญเนาะจริงๆ DNA เนี่ย
00:11:35 → 00:11:37 ของจีนเนี่ยมันจะขดอยู่แน่นเลยอยู่ในรูป
00:11:37 → 00:11:41 ทรงที่เป็นปาตโก๋ทีนี้ตรงปลายสุดของปาต
00:11:41 → 00:11:42 โก๋เนี่ยนะครับก็เรียกได้ว่าปลายสุดของ
00:11:42 → 00:11:45 DNA เนี่ยมันมีส่วนที่เรียกว่าเทเมเจ้า
00:11:45 → 00:11:47 เเมียเนี่ยผมเปรียบเทียบมันเป็นหมวก
00:11:47 → 00:11:50 นิรภัยนั่นเองนะครับถามว่า้ยเเมียมัน
00:11:50 → 00:11:52 สำคัญยังไงทุกครั้งที่มีการแบ่งเซลล์คือ
00:11:52 → 00:11:55 แบ่งจาก 1 เซลล์ไปเป็น 2 เซลล์เพื่อการ
00:11:55 → 00:11:57 เติบโตเนี่ยนะครับเจ้า DNA เนี่ยมันต้อง
00:11:57 → 00:12:00 ถูกโ Copy หรือถ่ายเอกสารสาไปให้เซลล์ลูก
00:12:00 → 00:12:02 ด้วยนะครับเพื่อที่เซลล์จะได้รู้ว่ามันจะ
00:12:02 → 00:12:04 ต้องทำงานยังไงใช่มั้ยครับแต่ทุกครั้งที่
00:12:04 → 00:12:07 มีการแบ่งเซลล์และมีการ copy DNA เนี่ย
00:12:07 → 00:12:10 ครับ DNA มันสามารถที่จะเกิดความเสียหาย
00:12:10 → 00:12:13 ได้การที่มีเเมียเนี่ยเป็นระบบ Safety
00:12:13 → 00:12:15 ว่าถ้ามันจะเกิดการเสียหายเนี่ยให้มัน
00:12:15 → 00:12:18 เกิดความเสียหายที่ตรงปลายของ DNA ก่อนก็
00:12:18 → 00:12:21 คือเอาหมวกไปใส่หัวเลยหัวเนี่ยสำคัญใช่มย
00:12:21 → 00:12:24 เอาหมวกไปใส่ถ้าเกิดมีความเสียหายเนี่ย
00:12:24 → 00:12:26 ให้มันมาลงที่หมวกก่อนเพื่อที่จะเซฟศีรษะ
00:12:26 → 00:12:29 ของเรานั่นคือหลักการเดียวกันเลยครับที่
00:12:29 → 00:12:32 ทีนี้ในช่วงก่อนหน้าเนี้ยซักประมาณ 10 ปี
00:12:33 → 00:12:35 นะครับมันจะมีเทรนด์ว่าเฮ้ยการตรวจอายุ
00:12:35 → 00:12:38 ชีวภาพเนี่ยเฮ้ยเราควรจะไปวัดความยาวของ
00:12:38 → 00:12:41 เเมียเพราะว่าการที่เเมียเนี่ยมันสั้นลง
00:12:41 → 00:12:44 สั้นลงสั้นลงก็เป็นการบอกว่าเซลล์นั้นน่ะ
00:12:44 → 00:12:46 ถูกแบ่งเซลล์มาแล้วหลายรอบหลายรอบก็มีการ
00:12:46 → 00:12:49 สอบว่าเอ้ยเราแกะขึ้นแกะขึ้นแกะขึ้นทีนี้
00:12:49 → 00:12:52 แต่เมื่อมีการศึกษาเรื่อง EP genetic ก็
00:12:52 → 00:12:55 เจอว่าการวัด epi เติหรือว่าไอ้ DNA
00:12:55 → 00:12:57 Control เนี่ยมันให้ข้อมูลที่แม่นยำเป็น
00:12:57 → 00:13:00 การค่าคะเนอายุชีวภาได้แม่นยำกว่าการไป
00:13:00 → 00:13:04 วัดเทรยนะครับแต่ก็ไม่ใช่ว่าการวัดเเมีย
00:13:04 → 00:13:07 ไม่มีประโยชน์การที่เรารู้ความยาวของเทเย
00:13:07 → 00:13:08 เนี่ยเป็นการบอกได้ระดับนึงเลยว่าเซลล์
00:13:08 → 00:13:11 ของเราแก่หรือไม่แก่นั่นเองนะครับเมียก็
00:13:11 → 00:13:13 ยังเป็นสิ่งที่สำคัญอยู่ดีกับร่างกายของ
00:13:13 → 00:13:16 เรานั้นนั่นคือตัวที่ 3 ถ้าชื่อทางการของ
00:13:16 → 00:13:19 มันทางวิชาการนะครับเขาเรียกว่า teria
00:13:19 → 00:13:22 attrition atri มันคือการถลอกก็คิดง่าย
00:13:22 → 00:13:25 ๆว่า teria มันมันหดลงหรือว่าบางคนเนี่ย
00:13:25 → 00:13:27 เขาใช้ำว่า thom shortening ก็คือการ
00:13:27 → 00:13:30 สั้นลงของเทียนั่นเนั่นเองนะครับตัวที่ 4
00:13:30 → 00:13:34 ที่เป็นต้นเหตุอ่านี้เป็นรูปล่ามครับเฮ้ย
00:13:34 → 00:13:36 ล่ามมันมันเกี่ยวอะไรอ่ะกับ DNA ก็บอกว่า
00:13:36 → 00:13:38 DNA มันเป็นคู่มือถูกมั้ยแล้วมันอยู่ใน
00:13:38 → 00:13:40 นิวเคลียสคือห้องนิรภัยด้วยแต่อยากจะบอก
00:13:40 → 00:13:42 ว่าในเซลล์เนี่ยมันมีทีมงานอวัยวะอื่นๆ
00:13:42 → 00:13:45 มันดันอยู่นอกนิวเคลียสหมดเลยนะทีมงาน
00:13:45 → 00:13:47 อื่นๆเช่นเป็นเชฟทำกับข้าวอย่างเงี้ยที่
00:13:47 → 00:13:50 ต้องรออ่านเริปที่มันดันอยู่ในห้องนิรภัย
00:13:50 → 00:13:53 ตัวเชฟเองที่อยู่ข้างนอก DNA อ่ะเาไม่มี
00:13:53 → 00:13:55 access ที่จะเข้าไปในห้องนิรภัยเพื่อ
00:13:55 → 00:13:58 ความ Safety เนี่ยในห้องนิรภัยเนี้ยจะยอม
00:13:58 → 00:14:01 ให้มีแค่ล่ามเท่านั้นที่จะสามารถเข้าไป
00:14:01 → 00:14:05 อ่านไอ้ตัว DNA ได้ซึ่งหนังสือ DNA เนี่ย
00:14:05 → 00:14:07 จินตนาการได้ว่าเฮ้ยโอเคมันเขียนด้วยภาษา
00:14:07 → 00:14:09 ไทยสมมุติเดี๋ยวเแรงงานไทยไม่ค่อยมีใช่
00:14:09 → 00:14:11 ไหมมครับเพราะฉะนั้นเราต้องเอาแรงงาน
00:14:11 → 00:14:12 เพื่อนบ้านแรงงานต่างชาติเนี่ยเข้ามาเป็น
00:14:12 → 00:14:15 เชฟบ้างอะไรบ้างเพราะฉะนั้นเกอหรือคนทำ
00:14:15 → 00:14:17 งานจริงๆอ่ะดันอ่านภาษาไทยไม่ออกเพราะ
00:14:17 → 00:14:20 ฉะนั้นเลยจำเป็นต้องมีล่ามที่เข้าไปอ่าน
00:14:20 → 00:14:24 ตำราภาษาไทยและแปลออกมาเป็นภาษาที่คนทำ
00:14:24 → 00:14:27 งานไม่ว่าจะเป็นเชฟเป็นอะไรต่างๆเนี่ยเขา
00:14:27 → 00:14:30 เข้าใจได้ถึงจะสามารถจะ Cooking หรือว่า
00:14:30 → 00:14:33 ทำจานอาหารจานนึงขึ้นมาได้เพราะฉะนั้น
00:14:33 → 00:14:37 ล่ามจึงสำคัญมากถ้าล่ามทำงานผิดพลาดก็คือ
00:14:37 → 00:14:41 แปล DNA ออกมาเป็นคำสั่งที่ผิดพลาดคนที่
00:14:41 → 00:14:43 รับคำสั่งต่อไปเพื่อทำงานจริงๆเนี่ยก็จะ
00:14:43 → 00:14:46 ทำงานผิดพลาดนั่นเองนะครับผมเรียกเจ้า
00:14:46 → 00:14:48 ล่ามนี้ว่า DNA interpreter นะครับแต่
00:14:48 → 00:14:52 ของจริงเนี่ยล่ามคืออะไรล่ามคือ RNA หลาย
00:14:52 → 00:14:55 คนอาจจะเคยได้ยิน RNA จากโควิดเนาะมันจะ
00:14:55 → 00:14:57 มี RNA หลายประเภทครับมันจะมี RNA อยู่
00:14:57 → 00:14:59 ประเภทหนึงที่ทำหน้าที่เป็นลาบในการการไป
00:14:59 → 00:15:01 คัดลอกข้อมูล DNA มาบอกเพื่อนๆที่อยู่ภาย
00:15:01 → 00:15:04 นอกนิวเคลียสนะครับแต่คำจริงๆของมันถ้า
00:15:04 → 00:15:06 เราไปอ่านเปอร์เนี่ยมันจะใช้คำว่า
00:15:06 → 00:15:10 splicing dis regulation ซึ่งกระบวน
00:15:10 → 00:15:12 การเนี้ยมันค่อนข้างซับซ้อนผมเปรียบเทียบ
00:15:12 → 00:15:14 ง่ายๆแล้วกันว่ามันต้องมีการแปลภาษาแล้ว
00:15:14 → 00:15:16 มันแปลภาษาแล้วทำให้ข้อมูลมันผิดเพี้ยนไป
00:15:17 → 00:15:19 แล้วกันเนาะเพื่อความง่ายในการเข้าใจเพรา
00:15:19 → 00:15:22 งั้นนั่นคือ 4 ตัว 4 ต้นตอแรกที่ทำให้
00:15:22 → 00:15:25 เซลล์แก่นะครับและอยู่ในนิวเคลียสมาดู
00:15:25 → 00:15:27 กรุ๊ปต่อไปครับกรุ๊ปต่อไปเนี่ยมีอีก 5
00:15:28 → 00:15:31 ตัวครานี้ยังอยู่ในเซลล์อยู่นะแต่ว่าต้น
00:15:31 → 00:15:33 เหตุเหล่าเนี้ยมักจะเกิดขึ้นอยู่ภายนอก
00:15:33 → 00:15:36 นิวเคลียสนั่นเองนะครับ 5 ตัวตอนนี้มีรูป
00:15:36 → 00:15:38 ภาพอะไรบ้างถ้าดูเนี่ยมันจะมีตั้งแต่รูป
00:15:38 → 00:15:42 ก้างปลารูปถังขยะรูปถ่านไฟฉายนะครับรูป
00:15:42 → 00:15:45 สปริงแล้วก็รูปเซ็นเซอร์เนาะไปทีละตัวว่า
00:15:45 → 00:15:48 แต่ละตัวคืออะไรเราเริ่มกันที่เซ็นเซอร์
00:15:48 → 00:15:50 ก่อนแล้วกันนะครับเซลล์ทุกเซลล์มันจะมี
00:15:50 → 00:15:52 ชีวิตอยู่รอดได้มันต้องการสารอาหารเพราะ
00:15:53 → 00:15:54 ว่าสารอาหารนั้นน่ะจะเป็นพลังงานในการ
00:15:54 → 00:15:56 ดำเนินชีวิตถูกมั้ยครับเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:15:56 → 00:15:59 ทุกเซลล์เนี่ยเาจะมีเซ็นเซอร์อยู่ที่
00:15:59 → 00:16:01 ผิวของเขาเพื่อที่จะดูว่าเฮ้ยตอนเนี้มัน
00:16:01 → 00:16:05 มีสารอาหารเข้ามาในร่างกายเนี่ยเยอะหรือ
00:16:05 → 00:16:07 น้อยนะครับสารอาหารมีอะไรบ้างอ่ะก็คือน้ำ
00:16:07 → 00:16:11 ตาลอะมิโนแอซิดหรือว่าพวกไขมันต่างๆนะ
00:16:11 → 00:16:13 เซลล์จำเป็นต้องรู้ว่ามันมีเยอะมีน้อย
00:16:13 → 00:16:16 แล้วมันก็จะรีบส่งสัญญาณไปบอกเพื่อนๆที่
00:16:16 → 00:16:18 อยู่ภายในเซลลว่าเฮ้ยตอนนี้มีน้ำตาลเยอะ
00:16:19 → 00:16:21 เลยเพราะฉะนั้นเราเตรียมตัวทำงานได้มี
00:16:21 → 00:16:24 พลังงานแน่ๆนะครับพวกเรา Active หรือถ้า
00:16:24 → 00:16:27 เกิดว่าตอนไหนมันจับสัญญาณได้ว่าเฮ้ยเจ้า
00:16:27 → 00:16:29 ของร่างกายไม่กินข้าวเลยอ่ะไม่มีสารอาหาร
00:16:29 → 00:16:32 ล่องรอยอยู่เลยมันก็ต้องรีบไปบอกเพื่อนๆ
00:16:32 → 00:16:34 ภายในเซลล์ว่าเฮ้ยตอนนี้ไม่ค่อยมีสาร
00:16:34 → 00:16:37 อาหารเลยเพราะฉะนั้นเนี่ยเราอาจจะต้องเซฟ
00:16:37 → 00:16:39 แบตเตอรี่นิดนึงมยอะไรที่ยังไม่ต้องทำ
00:16:39 → 00:16:42 เนี่ยเก็บไว้ก่อนเพื่อไม่ให้เราเหนื่อยจน
00:16:42 → 00:16:44 เกินไปเพราะมันไม่มีพลังงานเนาะคิดง่ายๆ
00:16:44 → 00:16:46 เหมือนเราไม่ได้กินข้าวแล้วเราดันฝืนไป
00:16:46 → 00:16:49 ออกกำลังกายเราอาจจะเป็นลมหรือบางคนเนี่ย
00:16:49 → 00:16:51 กินข้าวเยอะเลยแต่ว่าไม่ทำอะไรเลยนะครับ
00:16:51 → 00:16:54 มันก็จะกลายเป็นอ้วนลงพุงได้นะครับหลัก
00:16:54 → 00:16:56 การเดียวกันเลยเพราะฉะนั้นการเซ้นสาร
00:16:56 → 00:16:59 อาหารเนี่ยจึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ที่ทำ
00:16:59 → 00:17:00 ให้เซลล์แก่ได้ถ้ามันเซ้นผิดยกตัวอย่าง
00:17:01 → 00:17:03 เช่นถ้าเกิดว่ามีน้ำตาลในเลือดเยอะเลยแต่
00:17:03 → 00:17:06 ว่าไม่เซ้นส์น้ำตาลเครับจนมันดื้อต่อให้
00:17:06 → 00:17:08 มีฮอร์โมนอินซูลินแล้วมันก็ยังดื้อเนี่ย
00:17:08 → 00:17:10 นะครับก็จะทำให้เราเป็นโรคเบาหวานได้นั่น
00:17:10 → 00:17:13 คือคอนเซปของการเซ้นสารอาหารนะครับชื่อ
00:17:13 → 00:17:15 จริงๆของมันทางวิทยศาสตร์ไอ้เจ้าสาเหตุ
00:17:16 → 00:17:18 เนี้ยมันคือ der regulated nutrient
00:17:18 → 00:17:22 sensing นั่นเองครับตัวต่อไปครับตัวที่ 6
00:17:22 → 00:17:26 เรามาที่ก้างปลาครับก้างปลาเนี่ยผมใช้แทน
00:17:26 → 00:17:29 ถึงขยะที่มันจะเกิดขึ้นภายในเซลลล์มาหลาย
00:17:29 → 00:17:31 คนอาจจะไม่รู้นะว่าจริงๆแล้วไอ้ DNA ที่
00:17:31 → 00:17:34 มันออกคำสั่งมาไอ้คำสั่งนั้นน่ะมันคือออก
00:17:34 → 00:17:38 คำสั่งมาเพื่อสร้างโปรตีนใดโปรตีนนึงขึ้น
00:17:38 → 00:17:41 มาภายในเซลล์เพื่อเอาไปใช้งานต่อเอนไซม์
00:17:41 → 00:17:45 ฮอร์โมนสารสื่อประสาทโอ้เยอะแยะมากมายเลย
00:17:45 → 00:17:47 คือโปรตีนทั้งนั้นนะครับแล้วไอ้ DNA นี่
00:17:47 → 00:17:50 แหละจะเป็นตัวกบอกว่าเฮ้ยณเวลาเเราควรจะ
00:17:50 → 00:17:53 สร้างโปรตีนตัวไหนเพื่อไปทำงานทีนี้การ
00:17:53 → 00:17:54 สร้างโปรตีนเนี่ยคิดง่ายๆมันก็เหมือนกับ
00:17:54 → 00:17:56 เรามีโรงงานแล้วก็ต้องการจะผลิตสินค้า
00:17:56 → 00:17:58 ขึ้นมาขายอ่ะบางครั้งเนี่ยการผลิตสินค้า
00:17:58 → 00:18:00 เนี่ยเนี่ยมันก็เกิดข้อผิดพลาดได้แล้วก็
00:18:00 → 00:18:03 กลายเป็นฟคซึ่งสินค้าที่ไม่ผ่าน QC เนี่ย
00:18:03 → 00:18:06 ก็ไม่ถูกส่งไปแล้วครับแล้วก็กลายเป็นขยะ
00:18:06 → 00:18:08 แล้วก็ไม่ได้ถูกเอาไปทำอะไรก็เป็นความ
00:18:08 → 00:18:10 เสียหายที่เกิดขึ้นกับโรงงานเพราะฉะนั้น
00:18:10 → 00:18:12 เช่นกันครับเซลล์ต่อให้อยากจะสร้างโปรตีน
00:18:12 → 00:18:15 ที่มันถูกต้องบางครั้งเนี่ยมันก็สร้าง
00:18:15 → 00:18:18 โปรตีนที่มันเกิดฟคเกิดความเสียหายได้
00:18:18 → 00:18:20 แล้วต้องบอกว่าโปรตีนมัน sensitive มาก
00:18:20 → 00:18:22 ครับหลายคนอาจจะไม่รู้ว่าโปรตีนเนี่ยมัน
00:18:22 → 00:18:25 มีรูปร่างเป็น 3 มิตินะครับซึ่งมันต้อง
00:18:25 → 00:18:28 อยู่ในรูปร่างที่ถูกต้องเป๊ะแบบบิดซ้าย
00:18:28 → 00:18:30 บิดขวาเพี้ยนไปนิดเดียวไม่ได้เลยเมื่อ
00:18:30 → 00:18:32 ไหร่ก็ตามที่โปรตีนเนี่ยรูปร่างมัน
00:18:32 → 00:18:34 เปลี่ยนไปนิดเดียวเนี่ยนะครับฟังก์ชันมัน
00:18:34 → 00:18:36 จะเปลี่ยนคุณสมบัติมันจะเปลี่ยนก็คือมัน
00:18:36 → 00:18:39 จะสูญเสียความสามารถในการทำงานไปเลยนะฮะ
00:18:39 → 00:18:42 ยกตัวอย่างเช่นสมมุติเอนไซม์ในกระเพาะ
00:18:42 → 00:18:44 เนี่ยมันจะทำงานได้ดีในการย่อยก็ต่อเมื่อ
00:18:44 → 00:18:47 กระเพาะมีความเป็นกรดแต่เมื่อไหร่ก็ตาม
00:18:47 → 00:18:50 ที่กระเพาะเราโอโหมันเกิดมีความเป็นด่าง
00:18:50 → 00:18:53 ด้วยความที่เราอาจจะไปกินอะไรอกสักอย่าง
00:18:53 → 00:18:55 นึงที่มันมีความเป็นด่างมากเกินไปอ่ะไอ้
00:18:55 → 00:18:57 เจ้าเอนไซม์ตัวนั้นเมันอาจจะเจอด่างปึ๊บ
00:18:57 → 00:18:59 รูปร่างเปลี่ยนปึ๊บมันก็ไม่สามารถจะเป็น
00:19:00 → 00:19:01 น้ำย่อยแล้วก็ย่อยอาหารให้เราได้แล้วมัน
00:19:01 → 00:19:04 sensitive มากขนาดนั้นเพราะฉะนั้นโอกาส
00:19:04 → 00:19:06 ที่จะเกิดโปรตีนขยะเกิดขึ้นด้วยความผิด
00:19:06 → 00:19:08 พลาดของการฟอร์มรูปร่างของโปรตีนเนี่ยก็
00:19:08 → 00:19:10 ค่อนข้างเยอะแล้วก็กลายเป็นขยะนะครับแน่
00:19:10 → 00:19:13 นอนขยะเหม็นๆมันก็ไม่ดีกับกับใครเลยมันก็
00:19:13 → 00:19:16 ไม่ดีกับเซลล์ด้วยนั้นยิ่งมีขยะเยอะเซลล์
00:19:16 → 00:19:19 ก็จะแก่ไวนะครับชื่อทางการของไอ้เจ้าการ
00:19:19 → 00:19:21 สร้างขยะโปรตีนเนี่ยเขาเรียกว่า loss of
00:19:21 → 00:19:24 prote stasis มันคือการสูญเสียความ
00:19:24 → 00:19:27 สมดุลของการผลิตโปรตีนนั่นเองในเซลล์นะ
00:19:27 → 00:19:30 ครับต่อมาตัวที่ 7 ครับตัวนี้ผมพูดเยอะ
00:19:31 → 00:19:34 มากค่อนข้างเยอะเลยใน Top to นะครับ
00:19:34 → 00:19:35 เกี่ยวข้องกับการสร้างพลังงานมันคือ
00:19:35 → 00:19:38 เกี่ยวกับไมโตคอนเดรียนั่นเองฮะในเซลล์
00:19:38 → 00:19:40 เนี่ยมันจะมีอวัยวะนึงที่สำคัญมากก็คือ
00:19:40 → 00:19:43 ไมโทคอนเดรียทำหน้าที่ในการเปลี่ยนอาหาร
00:19:43 → 00:19:46 ที่เรากินไปเป็นพลังงานหรือว่าแบตเตอรี่
00:19:46 → 00:19:48 นั่นเองนะครับเปรียบเทียบง่ายๆนะทุกคนน่า
00:19:48 → 00:19:51 จะเห็นภาพว่าถ้าเซลล์มีพลังงานเยอะแบบ
00:19:51 → 00:19:53 ชาร์จแบตเต็มอ่ะมันก็มีพลังงานในการทำ
00:19:53 → 00:19:56 นู่นทำนี่ทำนั่นแต่ถ้าเกิดว่าเราแกะขึ้น
00:19:56 → 00:19:59 แกะขึ้นแบตเตอรี่เนี่ยมันดันเสื่อมเนาะ
00:19:59 → 00:20:01 เหมือนเราซื้อมือถือใหม่ๆช่วงแรกมือถือ
00:20:01 → 00:20:03 แบบแบตดีมากเลยใช้ไปสักพักปี 2 ปีแบต
00:20:04 → 00:20:06 เสื่อมชาร์จยังไงเนี่ยก็ชาร์จไม่เข้า
00:20:06 → 00:20:09 เปรียบเทียบได้กับไมโทคอนเดรียที่อายุ
00:20:09 → 00:20:11 เยอะและทำงานได้ไม่มีประสิทธิภาพชาร์จแบต
00:20:11 → 00:20:14 ไม่ค่อยดีเซลล์ก็จะมีพลังงานน้อยลงเมื่อ
00:20:14 → 00:20:16 มีพลังงานน้อยลงเนี่ยมันก็ทำให้เซลล์
00:20:17 → 00:20:18 เนี่ยไม่ Healthy แล้วก็แก่ตายได้นะครับ
00:20:18 → 00:20:20 เพราะฉะนั้นไมโตคอนเดรียเป็นอีกหนึ่ง
00:20:20 → 00:20:24 อวัยวะที่สำคัญมากทีนี้มันก็จะมีความ
00:20:24 → 00:20:26 เกี่ยวเนื่องด้วยเนาะถ้าเกิดว่าบางที
00:20:26 → 00:20:28 เนี่ยในเซลล์เนี่ยมันมีขยะเยอะเกินไป
00:20:28 → 00:20:30 สาเหตุก่อนหน้านี้เนาะการมีขยะเยอะมัน
00:20:31 → 00:20:32 เปลืองแบตเตอรี่อ่ะอ้าวเปลืองแบตเตอรี่
00:20:32 → 00:20:35 ปึ๊บก็ไปเพิ่มโหลดให้กับไมโตคอนเดรียที่
00:20:35 → 00:20:38 ต้องโอ๊ยชาร์จแบตเยอะขึ้นสร้างพลังงาน
00:20:38 → 00:20:41 เยอะขึ้นมันก็จะเสื่อมไวขึ้นทุกอย่าง
00:20:41 → 00:20:43 เนี่ยมันลิงกันหมดเลยเห็นมครับเพราะ
00:20:43 → 00:20:45 ฉะนั้นตัวที่ 7 ที่เป็นต้นตอของความแก่
00:20:45 → 00:20:48 นั้นคือการที่พลังงานภายในเซลล์ไม่พอชื่อ
00:20:48 → 00:20:50 ทางการของมันคือ mitochondrial
00:20:50 → 00:20:52 dysfunction ก็คือกับความเสียหายที่เกิด
00:20:52 → 00:20:54 ขึ้นกับเจ้าไมโตคอนเดรียนั่นเองครับตัว
00:20:54 → 00:20:56 ที่ 8 ลิงกับตัวเมื่อกี้เลยครับเกี่ยว
00:20:56 → 00:20:58 ข้องกับพลังงานเพราะอันเนี้ยมันคือการ
00:20:58 → 00:21:01 เก็บขยะครับคืออ fy นั่นเองที่เราพูดกัน
00:21:01 → 00:21:04 ถึงบ่อยๆนะครับในเซลล์มีขยะเพราะฉะนั้น
00:21:04 → 00:21:08 เซลล์เองก็ต้องมีกระบวนการกำจัดขยะนะครับ
00:21:08 → 00:21:10 ผมเคยเล่าไปเนาะว่าสมมุติเวลาเราทำ If
00:21:10 → 00:21:13 เนี่ยพลังงานมันน้อยลงเมื่อพลังงานในร่าง
00:21:13 → 00:21:15 กายน้อยลงเนี่ยร่างกายก็จะเข้าสู่โหมด
00:21:15 → 00:21:17 ประหยัดพลังงานหรือว่าแบตเตอรี่ Saving
00:21:17 → 00:21:19 พอเข้าโหมดประหยัดพลังงานเมื่อไหร่ปุ๊บ
00:21:19 → 00:21:21 เนี่ยนะครับทีมงานที่เป็นทีมงาน aut fy
00:21:21 → 00:21:24 หรือกำจัดขยะเนี่ยก็จะ Active ขึ้นมาตื่น
00:21:24 → 00:21:29 ขึ้นมาดูซิว่าเฮ้ยมันมีอะไรที่มันกินพลัง
00:21:29 → 00:21:31 งานแต่ว่ามันไม่เกิดประโยชน์กับเราบ้าง
00:21:31 → 00:21:33 เราควรจะต้องกำจัดมันไปเพื่อที่จะได้เซฟ
00:21:33 → 00:21:35 Bat นั่นเองนะครับเพรางั้นเนี่ยไม่ว่าจะ
00:21:35 → 00:21:38 เป็นอวัยวะต่างๆที่มันเสียหายที่มันแก่
00:21:38 → 00:21:40 แล้วไมโทคอนเดรียที่มันทำงานไม่ดีหรือว่า
00:21:40 → 00:21:42 เจอขยะที่เป็นโปรตีนร่องรอยอยู่เต็มเลย
00:21:42 → 00:21:44 เนี่ยไอ้เจ้าพวกเยก็จะต้องลุกขึ้นมาแล้ว
00:21:44 → 00:21:47 ก็คอยปัดกวาดเช็ดถูให้กับเซลล์อยู่เรื่อย
00:21:47 → 00:21:50 ๆยิ่งทีม autopy ทำงานดีเนี่ยเซลล์ก็จะ
00:21:51 → 00:21:53 Healthy มากขึ้นเท่านั้นนั่นเองนะครับ
00:21:53 → 00:21:56 ต่อมาตัวสุดท้ายของ category นี้ตัวที่ 9
00:21:56 → 00:21:59 นะครับผมแทนมาด้วยสัญลักษณ์สปริงนั่นเอง
00:21:59 → 00:22:02 ครับพูดถึงสปริงเนี่ยก็จะเห็นภาพว่ามัน
00:22:02 → 00:22:04 คือความยืดหยุ่นถูกมั้ยครับจริงๆเซลล์
00:22:04 → 00:22:07 เนี่ยเหมือนเหมือนเราเลยอ่ะตอนที่เราตัว
00:22:07 → 00:22:09 เด็กๆเนาะบางทีร่างกายเราจะค่อนข้างยืด
00:22:09 → 00:22:11 หยุดหรือถ้าเราไม่ได้ทำงานหนักเนี่ยเราก็
00:22:11 → 00:22:13 จะรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวแต่ถ้าเกิดว่า
00:22:13 → 00:22:16 เราทำงานหนักแบบมากเกินไปแบบนั่งทำงาน
00:22:16 → 00:22:18 ทั้งวันเนี่ยออฟิ Syndrome เนี่ยมาแน่ๆ
00:22:18 → 00:22:21 เพราะฉะนั้นคอบ่าไหล่ตึงมากนะครับเพ
00:22:21 → 00:22:23 ฉะนั้นเราสูญเสียความยืดหยุ่นเซลล์เองก็
00:22:23 → 00:22:26 ไม่ต่างกันนะครับเซลล์ที่หนุ่มๆสาวๆนี่นะ
00:22:26 → 00:22:28 ครับมันจะมีความยืดหยุ่นเยอะเออะเพราะ
00:22:28 → 00:22:31 ฉะนั้นตัวมันเองสามารถที่จะหดเปลี่ยนรูป
00:22:31 → 00:22:34 ร่างจะเดินทางกระดึ๊บกระดึ๊บไปไหนเนี่ยทำ
00:22:34 → 00:22:36 ได้ค่อนข้างคล่องตัวแต่เมื่อไหร่ก็ตามที่
00:22:36 → 00:22:39 เซลล์มันแก่ขึ้นร่างกายมันสิฟขึ้นน่ะมัน
00:22:39 → 00:22:42 แบบเกร็งแข็งแข็งตัวมากขึ้นเพรางั้นตัว
00:22:42 → 00:22:44 มันไม่อ่อนเหมือนเดิมแล้วเพงั้นการ
00:22:44 → 00:22:46 เปลี่ยนรูปร่างทำได้ค่อนข้างยากนะครับ
00:22:46 → 00:22:49 เวลาจะกระดึ๊บกระดึ๊บไปไหนเนี่ยก็โอ้เดิน
00:22:49 → 00:22:52 ช้าต้วมเตี้ยมมากขึ้นซึ่งการที่เซลล์มัน
00:22:52 → 00:22:55 ไม่คล่องตัวเพราะว่า mechanical Property
00:22:55 → 00:22:57 ของมันเปลี่ยนแปลงไปหรือว่าความยืดหยุ่น
00:22:57 → 00:22:59 เปลี่ยนแปลงไปเนี่ยก็ส่งผลเสียกับกับ
00:22:59 → 00:23:02 เซลล์แล้วก็กับร่างกายนะยกตัวอย่างเช่น
00:23:02 → 00:23:04 สมมุติร่างกายเรามีเซลล์ทหารคือเซลล์เม็ด
00:23:04 → 00:23:06 เลือดขาวอย่าเงี้ยโอ้โหเมื่อไหร่ที่เจอ
00:23:06 → 00:23:08 สัญญาณฉุกเฉินเจ้าเมเลขาวเนี่ยต้องรีบ
00:23:08 → 00:23:10 วิ่งไปและไปจัดการกับเชื้อโลกแต่ถ้าเกิด
00:23:10 → 00:23:13 ว่าเซลล์เมเลขาวเรามีแต่เซลล์มเลขาวแก่ๆ
00:23:13 → 00:23:15 ทั้งนั้นเลยที่แบบว่ากว่าจะเดินทางไปที
00:23:15 → 00:23:18 เนี่ยช้าก็สู้เชื้อโลกไม่ทันนั่นคือตัว
00:23:18 → 00:23:22 อย่างว่าทำไมการเคลื่อนที่ความสิฟของ
00:23:22 → 00:23:25 เซลล์เนี่ยมันถึงส่งผลต่อความแก่ชราของ
00:23:25 → 00:23:28 เซลล์แล้วรวมถึงร่างกายได้นะครับนี่ไอ้
00:23:28 → 00:23:31 เจ้าความยืดหยุ่นเนี่ยมันไม่ได้หมายรวม
00:23:31 → 00:23:34 เฉพาะภายในเซลล์นะครับมันยังหมายรวมไปถึง
00:23:34 → 00:23:37 สิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบเซลล์ด้วยหลายคนอาจ
00:23:37 → 00:23:39 จะไม่รู้ว่าเฮ้ยเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกาย
00:23:39 → 00:23:42 เนี่ยบางทีบางเนื้อเยื่อหรือบางอวัยวะ
00:23:42 → 00:23:44 เนี่ยเซลล์มันไม่ได้อยู่ติดกันนะบางเนื้อ
00:23:44 → 00:23:46 เยื่ออย่างเช่นเซลล์กระดูกอ่อนหรือว่า
00:23:46 → 00:23:49 เซลล์ผิวหนังบางส่วนเนี่ยเซลล์มันอยู่
00:23:49 → 00:23:52 ห่างกันนะแล้วมันถูกคั่นด้วยสิ่งต่างๆที่
00:23:52 → 00:23:54 ไม่ใช่เซลล์ถามว่าไอ้สิ่งต่างๆที่ไม่ใช่
00:23:54 → 00:23:56 เซลล์คืออะไรชื่อทางการมันคือ Extra
00:23:56 → 00:23:59 Cellular Matrix ซึ่งมีอะไรอะไรบ้างมี
00:23:59 → 00:24:02 คอลลาเจนอยู่ครับหลายคนจะคุ้นเคยคอลลาเจน
00:24:02 → 00:24:04 เนาะมีคอลลาเจนมีไฮยาลูรอนทั้งหลายเนี่ย
00:24:04 → 00:24:06 มันเป็นเหมือนสิ่งแวดล้อมที่อยู่ขั้น
00:24:06 → 00:24:08 เซลล์อยู่รอบๆเซลล์ซึ่งไอ้เจ้าสิ่งแวด
00:24:09 → 00:24:10 ล้อมเหล่านั้นเนี่ยครับถ้ามันมีการ
00:24:10 → 00:24:13 เปลี่ยนแปลงทางคุณสมบัติเนี่ยมันก็สามารถ
00:24:13 → 00:24:15 ที่จะส่งผลกระทบกับเซลล์ได้เนอย่างเช่น
00:24:15 → 00:24:18 คอลลาเจนอย่างเงี้ยที่มันเคยยืดหยุ่นกลาย
00:24:18 → 00:24:20 เป็นคอลลาเจนที่มันแข็งกระด้างไม่ยืด
00:24:20 → 00:24:23 หยุ่นแล้วเนี่ยมันก็ส่งผลต่อสุขภาพของ
00:24:23 → 00:24:25 เซลล์ที่อยู่รอบข้างได้เช่นกันครับเพราะ
00:24:25 → 00:24:27 ฉะนั้นความยืดอยู่ในครอบคลุมทั้งในเซลล์
00:24:27 → 00:24:30 แล้วก็นอกเซลล์ด้วยเราผ่านไปแล้ว 9 ตัวนะ
00:24:30 → 00:24:33 ครับมาที่ catagory สุดท้ายอีก 5 ตัวครับ
00:24:33 → 00:24:35 ถ้าเกิดว่าดูแผนผังประกอบนะครับคราวนี้จะ
00:24:35 → 00:24:37 เห็นว่าเฮ้ยมันเกี่ยวข้องกับไอ้สิ่งที่
00:24:37 → 00:24:40 มันอยู่นอกเซลล์และนะครับมีอะไรบ้างตอน
00:24:40 → 00:24:41 นี้มีสัญลักษณ์ทั้งหมด 5 ตัวตัวแรกคือ
00:24:41 → 00:24:44 สัญลักษณ์คล้ายๆ WiFi นะครับตัวที่ 2 คือ
00:24:44 → 00:24:46 สัญลักษณ์คล้ายๆซอมบี้แล้วทางซ้ายมือ
00:24:46 → 00:24:49 เนี่ยก็มีเหมือนกับเป็นช่างซ่อมมีสัญญาณ
00:24:49 → 00:24:52 ฉุกเฉินแล้วก็มีลำไส้ที่มีแบคทีเรียอยู่
00:24:52 → 00:24:55 นะครับ 5 ตัวนี้เป็นอีก 5 ต้นตอที่ทำให้
00:24:55 → 00:24:58 เซลล์แก่ไปไล่ทีละตัวครับตัวแรกครับผมขอ
00:24:58 → 00:25:01 พูดถึงสัญญาณ WiFi ก่อนแล้วะกันผมเรียก
00:25:01 → 00:25:04 มันว่าเซล Talk หรือว่าการสื่อสารแน่นอน
00:25:04 → 00:25:07 เซลล์ทำงานตัวคนเดียวไม่ได้ต้องทำงานเป็น
00:25:07 → 00:25:10 ทีมนะครับเพราะฉะนั้นการที่มันสามารถจะ
00:25:10 → 00:25:13 สื่อสารกันได้แบบลื่นปื๊ดลื่นไหลเนี่ยมัน
00:25:13 → 00:25:15 ก็ทำให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก
00:25:15 → 00:25:18 ยิ่งขึ้นเข้าใจไม่ยากเลยนะครับเพราะ
00:25:18 → 00:25:20 ฉะนั้นสัญญาณ WiFi ที่พูดคุยกันแชทกัน
00:25:20 → 00:25:22 ระหว่างเซลล์เนี่ยเป็นสิ่งที่สำคัญมากยก
00:25:22 → 00:25:25 ตัวอย่างเช่นเวลาที่เกิดภัยร้ายกับร่าง
00:25:25 → 00:25:27 กายเช่นติดเชื้อโรคนะครับเมื่อไหร่ก็ตาม
00:25:27 → 00:25:29 ที่มีเชื้อโรควิ่งเข้ามาปึ๊บทีมงาน immune
00:25:29 → 00:25:31 System ทั้งหมดไม่ได้มีเซลล์ประเภทเดียว
00:25:31 → 00:25:34 ด้วยนะมีเซลล์ตั้งหลายประเภทใน 1 ประเภทเ
00:25:34 → 00:25:36 ก็มีหลายตัวมากๆมันต้องทำงานแล้วก็รีบส่ง
00:25:36 → 00:25:38 สัญญาณไปบอกตัวแรกวิ่งไปปึ๊บมันจะมีตัว
00:25:38 → 00:25:40 ที่เร็วที่สุดที่วิ่งเข้าไปประจันหน้ากับ
00:25:40 → 00:25:42 เชื้อโลกเลยนะครับในขณะที่มันกำลังจัดการ
00:25:42 → 00:25:44 เชื้อโลกอยู่ก็ต้องรีบส่งสัญญาณไปบอก
00:25:44 → 00:25:46 เซลล์อีกประเภทนึงให้เฮ้ยมาตามมาตามมามา
00:25:46 → 00:25:49 จำหน้าตาเชื้อโลกไว้เธอจะได้รู้ว่ารอบ
00:25:49 → 00:25:51 หน้าเธอเจอไอ้หน้าตาแบบนี้อีกเธอจะได้จัด
00:25:51 → 00:25:54 ส่งแิบมาเพื่อจัดการมันต้องพูดคุยกันตลอด
00:25:54 → 00:25:56 เวลาเพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่ามันมี No หรือ
00:25:56 → 00:26:00 มีอะไรก็ตามที่มันจะมาขัดขวางสัญญาณที่ทำ
00:26:00 → 00:26:02 ให้มันสื่อสารกันได้ไม่มีประสิทธิภาพ
00:26:02 → 00:26:05 เนี่ยก็จะส่งผลต่อระบบการทำงานของร่างกาย
00:26:05 → 00:26:09 ของเราได้ถามว่านอยคืออะไรนะครับผมแชร์ No
00:26:09 → 00:26:11 นึงง่ายๆที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่คนรู้จัก
00:26:11 → 00:26:13 ดีคือคอลลาเจนแล้วะกันคือเมื่อกี้เล่าไป
00:26:14 → 00:26:16 ว่าเซลล์เนี่ยมันเซลล์บางส่วนเนาะมันถูก
00:26:16 → 00:26:18 คั่นด้วย Extra Cell Matrix ก็คือพวก
00:26:19 → 00:26:21 คอลลาเจนอะไรต่างๆเนี้ยงั้นคอลลาเจนนี่
00:26:22 → 00:26:24 แหละครับมันเป็นหนึ่งใน No ได้เลยถ้าเกิด
00:26:24 → 00:26:26 คอลลาเจนอยู่ในสภาพที่ดีนะครับมันก็จะไม่
00:26:27 → 00:26:29 ขัดขวางการส่งสัญญาณเวลาเซลล์ส่งสัญญาณ
00:26:29 → 00:26:32 เนี่ยมันส่งด้วยด้วยสารเคมีเนาะปล่อยสาร
00:26:32 → 00:26:34 เคมีออกไปเพื่อสารเคมีก็จะวิ่งไปยังเซลล์
00:26:34 → 00:26:36 อีกตัวนึงอีกเซลล์อีกตัวนึงก็จะได้สัญญาณ
00:26:36 → 00:26:38 ถูกมั้ยครับทีนี้บางทีเนี่ยมันเกิดมีสิ่ง
00:26:38 → 00:26:40 กรีดขวางสิ่งกรีดขวางมาจากการที่คอลลาเจน
00:26:40 → 00:26:43 นี่แหละมันดันแบบเฮ้ยอีคนนั้นดันไปกินน้ำ
00:26:43 → 00:26:45 ตาลเยอะแล้วน้ำตาลมาเกาะคอลลาเจนแล้วทำ
00:26:45 → 00:26:47 ให้คอลลาเจนเสื่อมเสียสภาพเขาเรียกว่า
00:26:47 → 00:26:51 กระบวนการไชคอลลาเจนอาจจะแบบหักขึ้นมา
00:26:51 → 00:26:53 แล้วเหมือนกับไปขวางถนนอย่างเงี้ยเพงั้น
00:26:53 → 00:26:55 การส่งสัญญาณการเดินทางของข้อมูลจากเซลล์
00:26:55 → 00:26:59 1 ไปเซลล์นึงเนี่ยมันก็ล่าชะค้าแล้วก็ทำ
00:26:59 → 00:27:01 ให้การทำงานเนี่ยไม่มีประสิทธิภาพแล้วก็
00:27:01 → 00:27:03 ทำให้เซลล์แก่ได้เพราะฉะนั้นการสื่อสาร
00:27:04 → 00:27:05 เป็นอีกหนึ่งต้นเหตุที่ทำให้เซลล์แก่นะ
00:27:05 → 00:27:07 ครับชื่อทางการเรียกว่า alter
00:27:07 → 00:27:10 intercellular Communication ครับตัว
00:27:10 → 00:27:14 ต่อมาครับเป็นตัว SOS แล้วกันนะครับมัน
00:27:14 → 00:27:17 คือการอักเสบเพราะเมื่อกี้กำลังพูดถึงทีม
00:27:17 → 00:27:19 White br Sell เนาะทีมไม่เลขาวเวลาต่อ
00:27:19 → 00:27:21 สู้กับชโลกนะครับถามว่าการอักเสบเนี่ยมัน
00:27:21 → 00:27:24 คืออะไรจริงๆการอักเสบเนี่ยมันเป็นอีก
00:27:24 → 00:27:27 หนึ่งกระบวนการที่ร่างกายใช้ในการต่อสู้
00:27:27 → 00:27:29 เวลาที่ร่างกายได้รับบาดเจ็บได้รับการติด
00:27:29 → 00:27:31 เชื้อเนาะมันเป็นกระบวนการปกป้องของร่าง
00:27:31 → 00:27:35 กายเลยคือสมมุติเรามีแผลอย่างเงี้ยนะครับ
00:27:35 → 00:27:38 มีแผลปึ๊บทีนี้ทีมงานที่เป็นระบบอมู
00:27:38 → 00:27:40 System เนี่ยก็ต้องมาช่วยกันจัดการวิ่ง
00:27:40 → 00:27:44 กรูกันเข้ามาที่แผลนั้นเพื่อที่จะปิดแผล
00:27:44 → 00:27:47 แล้วก็จัดการกับเชื้อโรคที่มันวิ่งเข้ามา
00:27:47 → 00:27:52 ผ่านไอ้ลอยบาทนั้นนะครับถามว่าไอ้เจ้า
00:27:52 → 00:27:54 เม็ดเลือดขาวแล้วมันจะวิ่งกันมาได้ยังไง
00:27:54 → 00:27:58 มันก็ต้องมีสัญญาณไปบอกมันสัญญาณนั้นทั้ง
00:27:58 → 00:28:01 หมดเนี่ยมันสัญญาณการอักเสบก็คือการเรียก
00:28:01 → 00:28:05 รวมพลังของทีมอิมมูนเนี่ยมาที่ใดที่นึง
00:28:05 → 00:28:07 เพื่อจัดการกับอันตรายที่มันกำลังเกิด
00:28:08 → 00:28:09 ขึ้นกับร่างกายนะครับเพราะฉะนั้นจะสังเกต
00:28:09 → 00:28:12 ได้เวลาที่ร่างกายเราเป็นแผลหรืออักเสบ
00:28:12 → 00:28:13 เนี่ยเราจะเห็นว่าตรงบริเวณนั้นเนี่ยมัน
00:28:13 → 00:28:17 จะบวมถามว่าทำไมมันถึงบวมเพราะว่าเลือด
00:28:17 → 00:28:19 มันจะไหลไปตรงนั้นเยอะขึ้นที่มันเลือดไหล
00:28:19 → 00:28:21 เยอะขึ้นเพราะว่าเส้นเลือดมันขยายใหญ่
00:28:21 → 00:28:23 เพื่อให้เมเดขาวมันวิ่งไปตรงนั้นได้เยอะ
00:28:23 → 00:28:24 ขึ้นนะครับมันจะแดงแน่นอนเลือดมันเยอะ
00:28:24 → 00:28:27 ขึ้นมันก็แดงเนาะมันจะร้อนก็เลือดเยอะ
00:28:27 → 00:28:29 ขึ้นโอภูมันก็เลยรร้อนมันก็เลยเป่งมันก็
00:28:29 → 00:28:32 เลยปวดที่มันปวดเพราะมันมีสารเคมีที่เป็น
00:28:32 → 00:28:35 สัญญาณมากมายที่จะไปเรียกทีมกู้ภัยเนี่ย
00:28:35 → 00:28:38 มาช่วยกันดูแลแผลดูแลการติดเชื้อเนี่ยให้
00:28:38 → 00:28:42 มันให้มันทุเลาลงทีนี้โดยปกติแล้วเนี่ย
00:28:42 → 00:28:45 หลังจากที่ทีมกู้ภัยเนี่ยมันจัดการกับ
00:28:45 → 00:28:47 ปัญหาไม่ว่าจะเป็นเชื้อโรคหรือว่าความ
00:28:47 → 00:28:49 เสียหายเนี่ยเสร็จเรียบร้อยแล้วเนี่ย
00:28:49 → 00:28:52 สัญญาณเตือนภัยสัญญาณกู้ภัยทั้งหลายเนี่ย
00:28:52 → 00:28:55 มันควรจะหยุดลงแล้วร่างกายเราควรจะกลับ
00:28:55 → 00:28:58 เข้าสู่ภาวะปกติแต่ถ้าเมื่อไหร่ก็ตาม
00:28:58 → 00:29:00 เนี่ยไอ้เจ้าสัญญาณนี้มันยัง turn on
00:29:00 → 00:29:04 อยู่ตลอดเวลาแล้วก็เรียกไอ้เจ้าทหารออกมา
00:29:04 → 00:29:06 เยอะเลยคราวนี้ททงที่จะออกมาแบบอยู่ใน
00:29:06 → 00:29:09 สภาพปกติเนาะทหารออกมาเป็นกองทัพมาพร้อม
00:29:09 → 00:29:11 รถถังเหมือนกับเป็นการปฏิวัติเกิดขึ้นใน
00:29:11 → 00:29:13 ร่างกายเงี้ยคราวนี้ร่างกายจะเริ่มมี
00:29:13 → 00:29:16 ปัญหาแล้วนะครับเพงั้นตัวอย่างเช่นโรคบาง
00:29:16 → 00:29:19 โรคเนี่ยบางคนเนี่ยแพ้ภูมิตัวเองคือเป็น
00:29:19 → 00:29:22 autoimmune disease ก็คือแบบทีมเม็ด
00:29:22 → 00:29:24 เลือดขาวเนี่ยแทนที่จะไปจัดการกับศัตรู
00:29:24 → 00:29:26 ที่มันวิ่งเข้ามาจากข้างนอกมันเข้าใจผิด
00:29:26 → 00:29:28 ว่าอ้าวไอ้เซลล์ของร่างกายเนี่ยมันคือ
00:29:28 → 00:29:31 สิ่งแปลกปอแล้วดันมาจัดการเซลล์ตัวเอง
00:29:31 → 00:29:34 อันเนี้ยก็คือปัญหาคือมีสัญญาณเตือนภัย
00:29:34 → 00:29:37 ออกมาเรื้อรังต่อเนื่องตลอดเวลาแล้วก็ทำ
00:29:37 → 00:29:39 ร้ายตัวเองได้เพราะฉะนั้นการอักเสียบ
00:29:39 → 00:29:41 เรื้อรังหรือว่า chronic inflammation
00:29:41 → 00:29:43 เนี่ยเป็นอีกหนึ่งต้นตอที่ทำให้เซลล์แก่
00:29:43 → 00:29:46 แล้วก็ร่างกายเราเกิดปัญหาต่างๆตามมานะ
00:29:46 → 00:29:49 ครับตัวที่ 12 นะครับผมแทนด้วยสัญลักษณ์
00:29:49 → 00:29:52 เป็นช่างช่างซ่อมนะครับคือใครผมเปรียบ
00:29:52 → 00:29:55 เทียบช่างซ่อมคือสเต็มเซลครับสเตมเซลล์
00:29:55 → 00:29:57 นี้สำคัญกับร่างกายเรามากๆเลยนะครับเพราะ
00:29:57 → 00:30:00 ว่าสเตมเซลล์ทำหน้าที่ในการผลิตเซลล์ขึ้น
00:30:00 → 00:30:03 มาใหม่ทดแทนเซลล์ที่มันแก่แล้วหรือเซลล์
00:30:03 → 00:30:06 ที่มันเสียหายนะครับมันคือซ่อมร่างกายให้
00:30:06 → 00:30:08 เรานั่นเองหลายคนอาจจะไม่รู้นะว่าตอนที่
00:30:08 → 00:30:11 เราเป็นวัยรุ่นตอนที่เราอายุมากขึ้นแค่
00:30:11 → 00:30:13 เป็นวัยรุ่นเนี่ยนะครับปริมาณสเตมเซลล์ใน
00:30:13 → 00:30:16 ร่างกายเนี่ยมันลดฮวบลงมาเลยนะครับอาจจะ
00:30:16 → 00:30:18 เหลือแค่ 50-60 per เท่านั้นแล้วยิ่งเรา
00:30:18 → 00:30:22 อายุมากขึ้นีมันก็จะลดๆๆๆๆๆลงไปอีกเพราะ
00:30:22 → 00:30:24 ฉะนั้นถ้าเกิดว่ามีสเต็มเซลล์น้อยลงเวลา
00:30:24 → 00:30:28 ที่ร่างกายเราป่วยเซลล์เสียหายเนี่ยมันก็
00:30:28 → 00:30:31 จะแบ่งตัวมาทดแทนได้น้อยลงเวลาที่เราป่วย
00:30:31 → 00:30:34 เราถึงหายช้าลงเวลาที่เราแก่มากขึ้นเพราะ
00:30:34 → 00:30:37 ว่ามีทีมงานที่ทำหน้าที่ในการซ่อมแซม
00:30:37 → 00:30:39 สร้างเซลล์ใหม่มาทดแทนเนี่ยมันน้อยลงไป
00:30:39 → 00:30:41 นั่นเองนะครับนั่นคือ STEM เซลลผมเอง
00:30:42 → 00:30:45 เนี่ยผมอ่าเรียนจบปริญญาเอกมาด้าน
00:30:45 → 00:30:47 สเตมเซลล์โดยเฉพาะนะครับงั้นก็อยู่ในวง
00:30:47 → 00:30:49 การสเตมเซลล์โดยแท้จริงหลายคนก็อาจะเริ่ม
00:30:49 → 00:30:51 เห็นว่าในวงการทางการแพทย์เนี่ยครับมี
00:30:52 → 00:30:54 service ที่เรียกว่า Stemcell therapy
00:30:54 → 00:30:57 หรือว่ามีการฉีดสเตมเซลล์เข้าไปในร่างกาย
00:30:58 → 00:31:00 ไม่ว่าจะเป็นสเตมเซลล์ของคนไข้เองหรือว่า
00:31:00 → 00:31:03 สเตมเซลล์ของคนอื่นหลักการ Stemcell
00:31:03 → 00:31:07 therapy เนี่ยมันคือการเรา suly ช่าง
00:31:07 → 00:31:09 เข้าไปณร่างกายให้มันเยอะขึ้นเยอะขึ้นทด
00:31:09 → 00:31:12 แทนช่างที่มันมีน้อยลงน้อยลงเมื่อเราแก่
00:31:12 → 00:31:14 นั่นเองนะครับยิ่งมีสเตมเซลล์อยู่เยอะ
00:31:14 → 00:31:17 โอกาสที่จะซ่อมแซมร่างกายได้ทันท่วงที
00:31:17 → 00:31:19 ก่อนที่โรคเนี่ยมันจะไปถึงจุดวิกฤตเนี่ย
00:31:19 → 00:31:22 มันก็มีมากขึ้นตามไปด้วยครับตัวที่ 13
00:31:22 → 00:31:24 ครับผมแทนด้วยสัญลักษณ์ซอมบี้อันนี้ใคร
00:31:24 → 00:31:26 ติดตาม To To To ต้องรู้จักเจ้านี่แน่ๆ
00:31:26 → 00:31:29 นะครับมันคือซอมบี้เซลล์ครับซอมบี้เซล์
00:31:29 → 00:31:31 เนี่ยเรียกง่ายๆมันคือเซลล์เพี้ยนเซลล์
00:31:31 → 00:31:33 บ้านะครับคือจริงๆแล้วเนี่ยมันเป็นเซลล์
00:31:33 → 00:31:36 ที่สุขภาพไม่ดีและมันสมควรที่จะตายไปได้
00:31:36 → 00:31:39 แล้วมันแก่แล้วทำงานไม่ได้และแต่มันดัน
00:31:39 → 00:31:43 โกงความตายได้นะครับไม่ทำงานไม่ฟังก์ชัน
00:31:43 → 00:31:46 แต่ก็ไม่ตายด้วยเท่านยังไม่พอเนี่ยมันยัง
00:31:46 → 00:31:49 ทกิกับเพื่อนๆที่อยู่รอบข้างไปด้วยนะครับ
00:31:49 → 00:31:52 เหมือนเราเองน่ะถ้าเกิดว่ามันมีคนท็อกซิก
00:31:52 → 00:31:55 ลายล้อมเราก็คงไม่แฮปปี้เนาะเจ้าซอมบี้
00:31:55 → 00:31:57 เซลล์เนี่ยมันท็อกซิกยังไงมันท็อกซิกด้วย
00:31:57 → 00:31:59 กัน้าส้างสารที่เป็นสารทำให้เกิด
00:31:59 → 00:32:01 inflammation หรือทำให้เกิดการอักเสบ
00:32:01 → 00:32:04 แล้วมันทำให้กระทบเพื่อนบ้านได้ครับเซลล์
00:32:04 → 00:32:07 ที่สุขภาพดีที่อยู่ข้างๆเซลล์ซอมบี้เนี่ย
00:32:07 → 00:32:09 ก็จะซวยไปด้วยเพราะวันนึงเนี่ยก็จะกลาย
00:32:09 → 00:32:11 เป็นเซลล์ซอมบี้ไปด้วยนั่นเองนะครับถาม
00:32:11 → 00:32:13 ว่าเซลล์ซอมบี้เนี่ยมันเกิดขึ้นมาได้ยัง
00:32:13 → 00:32:15 ไงมันมีตัวการเยอะแยะมากมายเลยนะครับ
00:32:15 → 00:32:18 หนึ่งในนั้นคือ Free Radical แล้วกันก็
00:32:18 → 00:32:20 คือสารอนุมูลอิสระถามว่ามีอะไรเป็น Free
00:32:20 → 00:32:22 Radical บ้างแสงแดดก็เป็นนะครับความ
00:32:22 → 00:32:25 เครียดก็เป็นนะฮะหลายอย่างเลยบุหรี่ก็
00:32:25 → 00:32:27 เป็นนะครับสาเหล่าเนี้เป็นรี Radical
00:32:27 → 00:32:29 แล้วสามารถที่จะทำให้เซลล์ๆลนึงเนี่ยจาก
00:32:29 → 00:32:31 ที่มันสุขภาพดีกลายเป็นเซลล์เพี้ยนเซลล์
00:32:31 → 00:32:34 บ้าหรือว่าเซลล์ซอมบี้ได้เราแกะขึ้นเซลล์
00:32:34 → 00:32:37 ซอมบี้ในร่างกายเนี่ยมันมีเยอะขึ้นเยอะ
00:32:37 → 00:32:39 ขึ้นสะสมมากขึ้นนะครับยิ่งเซลล์ซอมบี้มี
00:32:39 → 00:32:42 เยอะมันก็จะส่งผลไปให้อวัยวะนั้นเ่ะเสีย
00:32:42 → 00:32:45 หายได้แล้วถ้าอวัยวะนั้นเสียหายก็จะส่งผล
00:32:45 → 00:32:48 กระทบไปที่ระบบอวัยวะให้มันเสียหายได้
00:32:48 → 00:32:50 เช่นกันนะครับเพราะฉะนั้นวิธีการของเรา
00:32:50 → 00:32:52 คือทำยังไงให้ร่างกายเนี่ยมันกำจัดเซลล์
00:32:52 → 00:32:54 ซอมบี้ให้ได้เยอะมากที่สุด1ึในนั้นก็คือ
00:32:55 → 00:32:58 การพยายามกินอาหารที่มีแอนติ an ออกซิน
00:32:58 → 00:33:00 เข้าไปเยอะๆเพราะแอนตี้ออกซินเนี่ยมันจะ
00:33:00 → 00:33:02 ไปจัดการกับเจ้าี Radical นั่นเองฮะผมเลย
00:33:02 → 00:33:04 พูดถึงเซลล์ซอมบี้อยู่ค่อนข้างเยอะหลายๆ
00:33:04 → 00:33:07 คนน่าจะคุ้นหูนะครับชื่อทางการของเซลล์
00:33:07 → 00:33:09 ซอมบี้เนี่ยครับมันคือสิ่งที่เรียกว่า
00:33:09 → 00:33:12 Cellular sence ก็คือการที่เซลล์เนี่ย
00:33:12 → 00:33:15 มัน Silence มันเงียบคือมันไม่ทำงานแล้ว
00:33:15 → 00:33:18 นั่นเองนะครับสุดท้ายครับเดินมาถึงต้นตอ
00:33:18 → 00:33:22 ตัวที่ 14 นะครับจริงๆเจ้าเนี่ยมันไม่ได้
00:33:22 → 00:33:25 เป็นเซลล์ของเราเองแต่ว่าจริงๆแล้วมันคือ
00:33:25 → 00:33:27 เพื่อนบ้านที่มาอยู่ร่วมกับเรา evolve
00:33:27 → 00:33:29 กันมานานแล้วนะครับคือวิวัฒนาการในการมา
00:33:29 → 00:33:31 อยู่ร่วมกันมานานแล้วมันคือจุลินทรีย์
00:33:31 → 00:33:33 นั่นเองฮะซึ่งเป็นจุลินทรีย์ที่มี
00:33:33 → 00:33:35 ประโยชน์กับร่างกายของเรานะครับส่วนใหญ่
00:33:35 → 00:33:37 จุลินทรียอยู่ตรงไหนอยู่ในแทคที่เป็นทาง
00:33:37 → 00:33:39 เดินอาหารทั้งหมดเราถึงเรียกมันรวมๆว่า
00:33:39 → 00:33:42 God bacteria ชื่อทางการของมันเนี่ยก็
00:33:42 → 00:33:45 คือ Dis biosis Dis biosis แปลว่าเป็น
00:33:45 → 00:33:49 การสูญเสียความสมดุลของไอ้เจ้าจุลินทรีย์
00:33:49 → 00:33:52 ภายในลำไส้ของเรานั่นเองนะครับหลายคนน่า
00:33:52 → 00:33:54 จะเคยได้ยินแล้วว่าลำไส้เป็นสมองส่วนที่ 2
00:33:55 → 00:33:58 แล้วก็จุลินซีในลำไส้อ่ะสำคัญกับสุขภาพ
00:33:58 → 00:34:00 overall ของเรามากนะเพราะมันสามารถที่จะ
00:34:00 → 00:34:04 ทำงานส่งสัญญาณไปทั่วร่างกายเลยนะครับดู
00:34:04 → 00:34:07 แลทุกระบบเลยไม่ว่าจะเป็นสุขภาพของสมอง
00:34:07 → 00:34:10 สุขภาพของอารมณ์สุขภาพของการย่อยอาหาร
00:34:10 → 00:34:14 เรียกได้ว่ามันไปมีส่วนร่วมในการดูแลความ
00:34:14 → 00:34:16 เป็นอยู่ที่ดีของร่างกายของเราทุกระบบเลย
00:34:16 → 00:34:18 นะครับเพราะฉะนั้นตอนที่เราเด็กๆเนี่ย
00:34:18 → 00:34:21 สมดุลของไอ้เจ้าแบคทีเรียเนี่ยมันอยู่ใน
00:34:21 → 00:34:25 สมดุลที่ดีก็คือมีชนิดแลก็ปริมาณของ
00:34:25 → 00:34:28 แบคทีเรียตัวดีเนี่ยอยู่ในสสส่วนที่เหมาะ
00:34:28 → 00:34:30 สมแต่เวลาที่เราโตขึ้นโตขึ้นโตขึ้นเนี่ย
00:34:31 → 00:34:32 เราใช้ชีวิตหนักๆเนาะกินอาหารอาจจะไม่
00:34:32 → 00:34:35 ค่อยดีเท่าไหร่สมดุลของแบคทีเรียเนี่ยมัน
00:34:35 → 00:34:37 ก็สูญเสียไปอาจจะมีแบคทีเรียตัวไม่ดีเยอะ
00:34:37 → 00:34:40 ขึ้นแล้วก็กลายเป็นไป dominate หมู่บ้าน
00:34:40 → 00:34:42 ของแบคทีเรียแล้วก็กลายเป็นคนคุมหมู่บ้าน
00:34:42 → 00:34:45 เป็นอันธพานนะครับก็ไม่ใช่เรื่องดีเลย
00:34:45 → 00:34:49 เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงจะต้องกินโอติ
00:34:49 → 00:34:51 เติมแบคทีเรียตัวดีเข้าไปรวมไปถึงกิน
00:34:51 → 00:34:54 prebiotics ซึ่งเป็นอาหารของแบคทีเรีย
00:34:54 → 00:34:56 ตัวดีเข้าไปด้วยนะครับเพื่อที่จะไป
00:34:56 → 00:34:58 rebalance หรือว่าทำให้สมดุลของ
00:34:58 → 00:35:01 แบคทีเรียเนี่ยมันเกิดขึ้นอีกครั้งนึง
00:35:01 → 00:35:04 แล้วก็ดูแลให้ไอ้เจ้าหมู่บ้านแบคทีเรีย
00:35:04 → 00:35:06 เนี่ยมันอยู่อย่างสมดุลสม่ำเสมอเพราะมัน
00:35:06 → 00:35:09 ช่วยทำให้ Over Health ของเราเนี่ยมันดี
00:35:09 → 00:35:12 ขึ้นเพราะฉะนั้นการสูญเสียสมดุลของกั
00:35:12 → 00:35:14 แบคทีเรียหรือว่ากัไมโครไบโอมเนี่ยเป็น
00:35:14 → 00:35:17 อีกหนึ่งต้นตอที่ทำให้เซลล์แก่นั่นเอง
00:35:17 → 00:35:21 ครับครบทั้ง 14 ตัวแล้วนะครับหวังว่าทุก
00:35:21 → 00:35:23 คนน่าจะพอเห็นภาพผมพยายามจะเปรียบเทียบ
00:35:23 → 00:35:25 กับสิ่งที่มันอยู่ใกล้ตัวเพื่อให้มันจับ
00:35:25 → 00:35:28 ต้องได้นะครับแต่อยากจะบอกว่า
00:35:28 → 00:35:31 มันจะยังไม่จบแค่ 14 ตัวนี้ครับตอนเฮะนัก
00:35:31 → 00:35:33 วิสาเคก็ยังเก็บข้อมูลไปเรื่อยๆเนาะแล้ว
00:35:33 → 00:35:36 วันนึงเนี่ยเดี๋ยวมันก็จะต้องเจอว่ามันจะ
00:35:36 → 00:35:39 มีต้นตออะไรผุดขึ้นมาอีกแหละที่ณวันนี้
00:35:39 → 00:35:41 มันอาจจะยังไม่ใช่ต้นตอใหญ่แต่ถ้าวันนึง
00:35:41 → 00:35:43 เขาเริ่มเจอแล้วว่าเฮ้ยการที่คนเราเป็น
00:35:43 → 00:35:45 มะเร็งเป็นเบาหวานเป็นความดันเป็นหัวใจ
00:35:45 → 00:35:49 เนี่ยมันมีต้นตอเเป็นคอมอต้นตอร่วมกันเขา
00:35:49 → 00:35:52 ก็จะยกระดับมันขึ้นมาแล้วก็จัดมาเป็นหนึ
00:35:52 → 00:35:54 ใน Hall Mark เพราะฉะนั้นลิของ Hall
00:35:54 → 00:35:56 Mark sub aging เนี่ยมันก็จะไม่หยุด
00:35:56 → 00:35:58 อยู่ที่ 14 ก็จะขยับไปไปที่ 15 16 ไป
00:35:58 → 00:36:00 เรื่อยๆถ้าเกิดมีเพิ่มเดี๋ยวผมมาอัปเดท
00:36:00 → 00:36:04 ให้ฟังนะครับงั้นถามว่าแล้วเรารู้ Hall
00:36:04 → 00:36:07 Mark ไปแล้วมันได้อะไรต้องบอกว่าณวันนี้
00:36:07 → 00:36:10 ถ้าคุณเป็นคนรักสุขภาพเนี่ยจำเป็นมากที่
00:36:10 → 00:36:12 ต้องรู้จัก Hall มาคของความแก่นะครับถ้า
00:36:12 → 00:36:16 รู้แล้วว่า 14 สาเหตุของความแก่คืออะไร
00:36:16 → 00:36:20 เราก็สามารถจะได้ไปจัดการทีละตัวทีละตัว
00:36:20 → 00:36:23 รวมไปถึงเวลาที่เราได้รับข้อมูลของ
00:36:23 → 00:36:25 ผลิตภัณฑ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นสกินแครเค้ามี
00:36:25 → 00:36:28 การเคลมว่าเฮ้ยสกินแครตัวนี้มันไปรักษา
00:36:28 → 00:36:31 ความแก่ที่ต้นตอถ้าเค้าเคลมแบบนั้นแล้วเ
00:36:31 → 00:36:34 มีการเอ่ยถึงไอ้เจ้า 14 สาเหตุตัวใดตัว
00:36:34 → 00:36:37 นึงแล้วอธิบายคุณว่าโอ้ยเามีใส่สารตัวนี้
00:36:37 → 00:36:39 ไปเพื่อไปจัดการตัวนี้เช่นใส่สารตัวนี้ไป
00:36:39 → 00:36:42 เพื่อไปจัดการกับซอมบี้เซลล์นะใส่สารตัว
00:36:42 → 00:36:44 นี้ไปเพื่อไปเติมพลังงานให้กับผิวนะ
00:36:44 → 00:36:47 อันเนี้ยมันก็จะฟังดูน่าสนใจและฟังดูมี
00:36:47 → 00:36:50 หลักการในการพัฒนาผลิตภัณฑ์นั้นแล้วเพิ่ม
00:36:50 → 00:36:52 ความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์นั้นได้นะ
00:36:53 → 00:36:55 ครับนั่นคือตัวอย่างง่ายๆเลยว่าทำไมเรา
00:36:55 → 00:36:59 จำเป็นต้องรู้จัก 14 hm of aging และ
00:36:59 → 00:37:02 ใน Episode ต่อๆไปผมจะมาไล่ให้ทุกคนเลยที
00:37:02 → 00:37:05 ละตัวเลยว่าณวันนี้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์
00:37:05 → 00:37:08 เนี่ยมันค้นพบวิธีการยังไงบ้างในการจัด
00:37:08 → 00:37:11 การกับต้นตอของความแก่เรียงตัวทีละตัว
00:37:11 → 00:37:14 แล้วมันมี supplement อะไรไมที่เราสามารถ
00:37:14 → 00:37:17 ที่จะกินได้ดูแลตัวเองได้เพื่อที่จะเอาไป
00:37:17 → 00:37:19 จัดการทีละตัวเดี๋ยวเราไล่ให้ทีละตัวเลย
00:37:20 → 00:37:22 เพราะงั้นรอติดตามนะ
00:37:22 → 00:37:26 ครับ Top to Toe The Standard
00:37:26 → 00:37:31 podcast i Open for