00:00:00 → 00:00:03 This Is tha PBS podcast View the
00:00:03 → 00:00:05 world vi The
00:00:05 → 00:00:08 Voice การทะเลาะกันไม่ใช่เรื่องผิดคน
00:00:08 → 00:00:10 เป็นแฟนกันน่ะเราโตมากับครอบครัวยังไม่
00:00:10 → 00:00:13 ต่ำกว่า 20 ปีที่ถูกเลี้ยงดูกันมาคนละ
00:00:13 → 00:00:15 สิ่งแวดล้อมแล้วเราก็มาเป็นแฟนกันหรือ
00:00:15 → 00:00:17 แต่งงานกันเนี่ยเพราะฉะนั้นการที่มาจาก
00:00:17 → 00:00:20 ครอบครัวที่ต่างกันสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน
00:00:20 → 00:00:23 เนี่ยมันก็มองเห็นบางอย่างต่างกันในของ
00:00:23 → 00:00:26 ชิ้นเดียวกันการทะเลาะมันก็ไม่ใช่เรื่อง
00:00:26 → 00:00:28 ผิดแต่มันเป็นเรื่องของการปรับความเข้าใจ
00:00:28 → 00:00:31 จากผลการวิจัยเนี่ยคู่รักที่ทะเลาะกันจะ
00:00:31 → 00:00:35 คบกันยืดยาวกว่าคนที่ไม่ทะเลาะกันนะฮะถ้า
00:00:35 → 00:00:38 การทะเลาะนั้นอยู่บนพื้นฐานของความรักและ
00:00:38 → 00:00:41 ความคิดสร้างสรรค์ในการโต้แย้ง
00:00:41 → 00:00:46 กันฟังทุกเรื่องสุขภาพอัปเดตทุกโรคไทยฟัง
00:00:46 → 00:00:49 รายการโรงหมอกับดิฉันสุรีพรวงสถิตพรค่ะ
00:00:49 → 00:00:53 This Is Toy PBS podcast เอาล่ะค่ะ
00:00:53 → 00:00:55 คุณผู้ฟังคะวันนี้เราจะมาพูดคุยกันถึง
00:00:55 → 00:00:59 เรื่องของทะเลาะกันยังไงอ่ะนะคะให้รักกัน
00:01:00 → 00:01:02 มากขึ้นเ้ยทเลาะแล้วมารักกันมากขึ้นได้
00:01:02 → 00:01:04 ด้วยหรอหรือยังไงนะคะคุยกับผู้ช่วย
00:01:04 → 00:01:07 ศาสตราจารย์ดรจันทวิภาติลกสัมพันธ์ผู้ทรง
00:01:07 → 00:01:09 คุณวุฒิมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จ
00:01:09 → 00:01:11 เจ้าพระยาผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์
00:01:11 → 00:01:14 และครอบครัวค่ะสวัสดีค่ะอาจารย์คะสวัสดี
00:01:14 → 00:01:17 ค่ะสวัสดีค่ะท่านผู้ฟังทุกท่านค่ะอู้ยวัน
00:01:17 → 00:01:21 ๆก็มีแต่เรื่องทะเลาะมีแต่ปัญหาทะเลาะเบา
00:01:21 → 00:01:25 ๆบ้างติกกัดกันบ้างทะเลาะรุนแรงบ้าง
00:01:25 → 00:01:29 ยมันรักกันมากขึ้นยังไงไม่เข้าใจแม่แบบ
00:01:29 → 00:01:32 แบบว่ามันทะเลาะกันก็ยิ่งทำให้แบบความ
00:01:32 → 00:01:36 สัมพันธ์ยิ่งแบบห่างเหินหรือเปล่าแบบเออ
00:01:36 → 00:01:38 เบื่อทะเลาะแล้วอ่ะค่ะมันไม่ได้เป็นความ
00:01:39 → 00:01:41 สัมพันธ์ที่ดีเลยอ่ะมันจะรักขึ้นได้ยังไง
00:01:41 → 00:01:43 อ่ะคะค่ะ
00:01:43 → 00:01:46 เอ่อต้องใช้คำว่าการทะเลาะกันไม่ใช่
00:01:46 → 00:01:49 เรื่องผิดอืนะฮะเอาอย่างนี้ก่อนนะฮะว่า
00:01:49 → 00:01:52 ทะเลาะกันแล้วผิดไม่ใช่ค่ะบางทีทะเลาะกัน
00:01:52 → 00:01:55 เนี่ยมันไม่ใช่เรื่องผิดเพราะว่าคนเป็น
00:01:55 → 00:01:58 แฟนกันน่ะคุณสุรีพรเราโตมากับครอบครัวยัง
00:01:58 → 00:02:01 ไม่ต่ำกว่า 20 ปีถูกมั้ยคะที่ถูกเลี้ยงดู
00:02:01 → 00:02:04 กันมาคนละสิ่งแวดล้อมอ่าใช่แล้วเราก็มา
00:02:04 → 00:02:07 แต่งงานกันตกลงเป็นแฟนกันหรือแต่งงานกัน
00:02:07 → 00:02:12 เนี่ยเริ่มคบกันเนี่ย 1 ปี 2 ปี 3 ปีแต่
00:02:12 → 00:02:16 เราต่างกันมาแล้วเนี่ย 20 ปีเพราะฉะนั้น
00:02:16 → 00:02:18 การที่มาจากครอบครัวที่ต่างกันสิ่งแวด
00:02:18 → 00:02:21 ล้อมที่ต่างกันเนี่ยมันก็มองเห็นสิ่งอย่า
00:02:21 → 00:02:24 บางอย่างต่างกันในของของชิ้นเดียวกันค่ะ
00:02:24 → 00:02:27 ถูกมั้ยคะะเพราะฉะนั้นเนี่ยการทะเลาะมัน
00:02:27 → 00:02:30 ก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่มันเป็นเรื่องของการ
00:02:30 → 00:02:33 ปรับความเข้าใจหรือบางทีมันก็เป็นเรื่อง
00:02:33 → 00:02:35 ของการทุ่มเถียงกันเธอคิดอย่างงั้นฉันคิด
00:02:35 → 00:02:39 อย่างนี้นะคะเพราะฉะจากผลการวิจัยเนี่ย
00:02:39 → 00:02:42 ให้ดูผลก่อนนะคะเขาบอกว่าคู่รักที่ทะเลาะ
00:02:42 → 00:02:48 กันจะคบกันคือยืดยาวนะฮะยืดยาวกว่านะฮะ
00:02:48 → 00:02:52 พวกที่เอ่อได้นานกว่าคนที่ไม่ทะเลาะกันนะ
00:02:52 → 00:02:55 ฮะเพราะว่าการทะเลาะนั่นอยู่ถ้านะฮะถ้า
00:02:55 → 00:02:57 การทะเลาะนั้นอยู่บนพื้นฐานของความรักและ
00:02:58 → 00:03:01 ความคิดสร้างสรรค์ในการตนโต้แย้งกันอืแต่
00:03:01 → 00:03:04 ถ้าทะเลาะเพื่อเอาชนะเนี่ยมันเป็นอีก
00:03:04 → 00:03:07 เรื่องนึงออเข้าใจมั้ยคะบางทีทะเลาะเพื่อ
00:03:07 → 00:03:10 เอาชนะมันไม่ใช่แต่ทะเลาะเนี่ยทะเลาะ
00:03:10 → 00:03:12 เนี่ยเพื่อเพื่อที่จะเข้าใจความคิดของกัน
00:03:12 → 00:03:16 และกันนะคะมันหรืออยู่บนพื้นฐานของความ
00:03:16 → 00:03:19 รักที่ยังรักกันอยู่เรามาจากความรักแต่
00:03:19 → 00:03:22 เรามองบางอย่างไม่ตรงกันนะคะก็จะทำให้
00:03:22 → 00:03:26 เกิดการโต้แย้งกันได้นะคะเพราะฉะนั้นอ่ะ
00:03:26 → 00:03:28 ที่คุณสุรีพรสงสัยว่าแล้วทะเลาะกันแล้ว
00:03:28 → 00:03:31 มันรักกันได้ยังไงเมีเหตุผลอย่างนี้ค่ะนะ
00:03:31 → 00:03:34 ฮะว่าเหตุผลที่ทะเลาะกันแล้วทำให้รักกัน
00:03:34 → 00:03:37 มากขึ้นอย่างแรกเลยการทะเลาะกันเนี่ยจะทำ
00:03:37 → 00:03:42 ให้นึกถึงใจเขาใจเราอืนะคะเพราะว่าเกิด
00:03:42 → 00:03:46 การเรียนรู้เกิดการปรับเปลี่ยนแล้วก็ทำ
00:03:46 → 00:03:48 การแก้ไขยิ่งเรียนรู้ว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
00:03:48 → 00:03:51 คิดอย่างไรบ้างนะฮะยกตัวอย่างเช่นอะไรดี
00:03:52 → 00:03:54 ล่ะนึกถึงใจเขาใจเราบางทีเราจะมองแต่มุม
00:03:54 → 00:03:57 มองของเราเนี่ยนะฮะว่าอ่าสมมุติว่าอะไรดี
00:03:57 → 00:04:00 ล่ะยกตัวอย่างคุณผู้ชายทำทำงานนอกบ้านคุณ
00:04:00 → 00:04:03 ผู้หญิงทำงานในบ้านคุณผู้ชายเข้ามาถึงก็
00:04:03 → 00:04:06 โอ๊ฉันเหนื่อยจะตายเข้ามาแล้วทำไมบ้านมัน
00:04:06 → 00:04:09 รกมันนั่นมันนี่อะไรอย่างเงี้ยนะคะนั่น
00:04:09 → 00:04:11 คือเรามองแต่ใจเราแต่เราไม่นึกถึงใจเขา
00:04:11 → 00:04:14 ว่าเขาอยู่บ้านเนี่ยงานบ้านเนี่ยมันสาหัส
00:04:14 → 00:04:18 แค่ไหนคุณสุรีพรใช่มั้ยคะมันจุกจิกเ้ายัง
00:04:18 → 00:04:21 มีเวลาพักกลางวันเนี่ย 1 ชมงในการรับ
00:04:21 → 00:04:24 ประทานอาหารกลางวันแม่บ้านบางคนนี่ไม่เคย
00:04:24 → 00:04:27 ได้พักเลยนะคะตั้งแต่เช้าจดดึกค่ะทำตลอด
00:04:27 → 00:04:30 ทำตลอดทั้งเลี้ยงลูกทั้งดูนั่นดูดูนี่ดู
00:04:30 → 00:04:33 โน่นอะไรมันผิดพลาดไปนิดนึงมันก็รู้สึก
00:04:33 → 00:04:36 ไม่ดีกับอีกฝ่ายนึงและนึกออกมั้ยคะเพราะ
00:04:36 → 00:04:39 ฉะนั้นเนี่ยมันก็จะทำให้พอทะเลาะกันว่า
00:04:39 → 00:04:42 ทำไมทำอ้าก็อย่างงี้ไงอย่างงั้นไงอะไร
00:04:42 → 00:04:44 อย่างเงี้ยนะฮะหรือแม้แต่เรื่องของการ
00:04:44 → 00:04:47 ทิ้งเสื้อผ้าบอกว่าถอดแล้วให้ใส่ตะกร้า
00:04:47 → 00:04:50 อีกฝ่ายนึงก็โยนเปะปะไปทั่วอะไรอย่าง
00:04:50 → 00:04:52 เงี้ยมันก็จะเกิดการเรียนรู้กันนะฮะเพราะ
00:04:52 → 00:04:55 ฉะนั้นผู้ชายบางคนเนี่ยพอพอแต่งงานปั๊บ
00:04:55 → 00:04:58 จากที่เคยเป็นคนโยนไอ้นั่นไว้นั่นอันนี่
00:04:58 → 00:05:00 ไว้นี่พอเริ่มเห็นอกเห็นใจกันพอฟังเหตุผล
00:05:00 → 00:05:02 ของอีกฝ่ายนึงแล้วว่าเนี่ยต้องมานั่งตาม
00:05:02 → 00:05:04 เก็บอ่ะเสียเวลาอีกเท่าไหร่อะไรอย่าเงี้ย
00:05:04 → 00:05:06 นะคะก็ทำให้เริ่มรู้แล้วว่าเอ่อทีนี้ฉัน
00:05:06 → 00:05:10 ต้องมาไว้กับที่นะจะได้ไม่ต้องมาฟังเสียง
00:05:10 → 00:05:12 เสียงบ่นเสียงว่าหรือเสียงทะเลาะกันอย่าง
00:05:12 → 00:05:14 เงี้ยนะคะก็จะเรียเรียนรู้อีกฝ่ายนึงให้
00:05:15 → 00:05:18 มากขึ้นอันที่ 2 คือทะเลาะกันแล้วทำให้
00:05:18 → 00:05:21 หันหน้าเข้าหากันและช่วยกันหาวิธีแก้ไขนะ
00:05:21 → 00:05:25 ฮะโดยการอะไรคะเวลาที่เราทะเลาะกันเนี่ย
00:05:25 → 00:05:28 เราเวลาทะเลาะเนี่ยมันไม่สนุกหรอกถูกมั้ย
00:05:28 → 00:05:30 ฮะมันจะรู้สึกว่าบรรยามันไม่ได้ชื่นมื่น
00:05:31 → 00:05:34 เลยแต่ทำไมเราทะเลาะล่ะก็ต้องมาสังเกตว่า
00:05:34 → 00:05:37 เราทะเลาะกันในช่วงเนี้ยมากกว่าปกติมย
00:05:37 → 00:05:41 เช่นนะฮะตอนผู้หญิงเมนมาหรือผู้ชายกำลัง
00:05:41 → 00:05:45 จะทำเ่อผลงานให้ได้โอเอ่ออะไรนะได้โบนัส
00:05:45 → 00:05:47 หรืออะไรอย่างเงี้ยหรือเบื่อจากการพูดคุย
00:05:47 → 00:05:51 เรื่องเดิมๆซ้ำๆซากๆปัญหาซ้ำๆซากๆที่เกิด
00:05:51 → 00:05:53 แล้วเกิดอีกเกิดแล้วเกิดอีกก็ต้องมาช่วย
00:05:53 → 00:05:56 กันคิดช่วยกันแก้ไขปัญหานะคะให้อย่างเป็น
00:05:56 → 00:05:59 ระบบที่สุดเพื่อป้องกันปัญหาซ้ำซากเกิด
00:05:59 → 00:06:01 ขึ้นอีกอีกเมื่อเราหาได้แล้วว่าออตอน
00:06:01 → 00:06:03 เนี้ยเราทะเลาะกันเพราะว่าเป็นช่วงที่ผู้
00:06:03 → 00:06:06 หญิงมีเมนไงเพราะฉะนั้นผู้ชายก็จะระวัง
00:06:06 → 00:06:09 ว่าอ้อถ้าเป็นช่วงนี้ของเดือนเนี่ยเรา
00:06:09 → 00:06:11 ต้องอย่าทำอะไรพลาดนะเราต้องไม่ลืมที่เขา
00:06:11 → 00:06:14 สั่งไว้นะอะไรอย่างเงี้ยนะคะก็จะทำให้
00:06:14 → 00:06:17 เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือบางทีอ้าง่ายๆ
00:06:17 → 00:06:20 เรื่องบางเรื่องเรื่องล้างจานเงี้ยนะฮะ
00:06:20 → 00:06:24 บางครอบครัวถูกลิงมาว่าจานต้องสะอาดค่ะ
00:06:24 → 00:06:26 นั่นก็คือกินปั๊บต้องล้างปุ๊บเก็บเข้าที่
00:06:26 → 00:06:29 ปั๊บแต่บางครอบครัวบอกว่ามันเปลืองน้ำรวม
00:06:29 → 00:06:33 ไว้ก่อนแล้วก็ล้างทีเดียวเช้าหนเย็นหน
00:06:33 → 00:06:36 อะไรก็แล้วแต่ก็ทะเลาะกันเพราะฝ่ายแรกก็
00:06:36 → 00:06:38 จะบอกว่าเนี่ยเดี๋ยวแมงสาบมันมาเดี๋ยวหนู
00:06:38 → 00:06:41 มันมาอ้าอีกฝ่ายนึงก็มีเหตุผลของตัวเอง
00:06:41 → 00:06:43 อีกฝ่ายก็มีเหตุผลของตัวเองอ่ะถ้าอย่าง
00:06:43 → 00:06:46 งั้นเราเอาอย่างงี้มั้ยจานชามที่ยังไม่
00:06:46 → 00:06:49 ได้ล้างเราหาถังพลาสติกสักใบนึงที่มีฝา
00:06:49 → 00:06:52 ปิดนะคะเอาใส่ไว้ก่อนแล้วก็ฝาครอบไว้ไอ้
00:06:53 → 00:06:55 แมงส่งแมงสาบมันได้ไม่มาแล้วเราก็มาล้าง
00:06:55 → 00:06:58 ทีเดียวก็จะประหยัดน้ำสมเหตุผลด้วยกัน
00:06:58 → 00:07:00 ทั้ง 2 ฝ่ายก็แล้วแต่
00:07:00 → 00:07:02 นะคะอย่างเยก็คือการช่วยกันแก้ไขปัญหา
00:07:02 → 00:07:06 เห็นมยคะหรือหลีกเลี่ยงไอ้สิ่งที่มันจะทำ
00:07:06 → 00:07:08 ให้เกิดอารมณ์อะไรกันก็แล้วแต่นี่คือการ
00:07:08 → 00:07:11 เรียนรู้นะฮะที่จะทำให้เราเกิดช่วยกันแก้
00:07:11 → 00:07:14 ไขปัญหามันก็เลยรักกันมากขึ้นมากขึ้นมาก
00:07:14 → 00:07:16 ขึ้นเข้าใจกันมากขึ้นไม่ใช่ว่าพอโกรธแล้ว
00:07:16 → 00:07:19 กระแทกกระทั้นบ่นว่ามันไม่มีประโยชน์
00:07:19 → 00:07:23 ประชดกระชันไปแย่เลยใช่นะฮะอันที่ 3 ค่ะ
00:07:23 → 00:07:25 การทะเลาะกันเนี่ยจะทำให้มั่นใจได้ว่าเรา
00:07:26 → 00:07:28 ยังทะเลาะกันอยู่ไม่ใช่เป็นการทำลายคววาม
00:07:28 → 00:07:31 สัมพันธ์นี่คือการทะเลาะแต่ไม่ใช่เป็นการ
00:07:31 → 00:07:34 ทำลายความสัมพันธ์คือเลิกกันค่ะโดยมองว่า
00:07:34 → 00:07:37 การทะเลาะว่าเป็นการสร้างความเข้าใจนะฮ
00:07:37 → 00:07:40 นี่คือวิธีคิดนะฮะแล้วก็แยกแยะให้ออกว่า
00:07:40 → 00:07:42 การทะเลาะกันเนี่ยมันไม่ได้เป็นแบบทำลาย
00:07:42 → 00:07:45 กันแต่มันเป็นแบบสร้างความเข้าใจกันและ
00:07:45 → 00:07:49 กันอืนะคะอันที่ 4 ค่ะการทะเลาะกันเนี่ย
00:07:49 → 00:07:54 ทำให้ได้ฝึกการควบคุมสติและเลือกใช้คำพูด
00:07:54 → 00:07:57 เพราะว่าบางคนเนี่ยจะแรงยิ่งเสียงดังมี
00:07:57 → 00:07:59 อารมณ์มากกับเสียงดังมากสั่งเสียงดังมาก
00:07:59 → 00:08:01 ก็ใช้ทถ้อยความรุนแรงมากขึ้นมากขึ้นมาก
00:08:01 → 00:08:05 ขึ้นมากขึ้นนะคะถ้ารู้ตัวอย่างเงี้ยนะคะ
00:08:05 → 00:08:09 ให้เราโฟกัสที่เรื่องที่กำลังทะเลาะกัน
00:08:09 → 00:08:11 บอกความต้องการของกันและกันว่าอ่ะอย่าง
00:08:11 → 00:08:14 นี้เพราะอะไรเธอต้องการอะไรสื่อสารกันให้
00:08:14 → 00:08:16 เข้าใจนะฮะ
00:08:16 → 00:08:20 เอ่อให้ใช้คำพูดแบบที่เราอยากได้ยินค่ะ
00:08:20 → 00:08:22 นึกออกมั้ยคะนั่นก็คือทะเลาะกันแบบที่ยัง
00:08:22 → 00:08:27 มีสติไม่ใช่บ้าคลั่งนะแล้วก็เผลอพูดอะไร
00:08:27 → 00:08:30 แย่ๆออกไปค่ะเพะฉะนนั้นเนี่ยเราจะต้องคุม
00:08:30 → 00:08:33 ให้ได้ค่ะว่าอารมณ์เราขึ้นแล้วนะให้รู้
00:08:33 → 00:08:35 ตัวว่าอารมณ์ขึ้นแล้วนะเพราะฉะนั้นรู้ตัว
00:08:36 → 00:08:38 เมื่อไหร่เราก็จะสามารถควบคุมตัวเองได้
00:08:38 → 00:08:41 เร็วเท่านั้นนะคะนั่นก็คือการทะเลาะกัน
00:08:41 → 00:08:44 แบบฝึกสตินะคะควบคุมสติแล้วก็เลือกใช้คำ
00:08:44 → 00:08:47 พูดให้ถูกต้องอโอรู้ตัวให้เร็วที่สุดเท่า
00:08:47 → 00:08:50 ที่จะทำได้ว่าฉันขึ้นแล้วนะฉันขึ้นแล้วนะ
00:08:50 → 00:08:52 เพราะฉะนั้นบางทีเนี่ยพอรู้ว่าขึ้นเรา
00:08:52 → 00:08:55 ต้องพยายามขามดาวตัวเองลงอืมอย่างบางบาง
00:08:55 → 00:08:59 คนบางคู่เอาจจะแบบว่าพอคนนึงขึ้นคนนึง
00:08:59 → 00:09:01 นิ่งเงียบอ่ะอาจจะยิ่งหนักกว่าเดิมรึ
00:09:01 → 00:09:04 เปล่าคะใช่ค่ะก็มีได้ก็ต้องศึกษากันไงนี่
00:09:04 → 00:09:06 คือเรื่องที่ต้องศึกษาระหว่างกันไงเพราะ
00:09:06 → 00:09:09 บางคนเนี่ยผู้ชายเจะบอกเลยว่าผมรู้ว่า
00:09:09 → 00:09:11 เมียผมโกรธเมื่อไหร่ก็คือเขาคนิ่งเ้าไม่
00:09:11 → 00:09:13 พูดแล้วเนี่ยเผมต้องถอยะผมต้องถอยแล้วแปล
00:09:13 → 00:09:16 ว่าแรงไปแล้วไม่ใช่พยายามจะไปเค้นเอาหรือ
00:09:16 → 00:09:19 อะไรอย่างงี้อพูดสี่พูดสิไปอะไรอย่างงั้น
00:09:19 → 00:09:23 ไม่ได้นะฮะค่ะมาอันที่ 5 ค่ะทะเลาะกันทำ
00:09:23 → 00:09:27 ให้ได้มีโอกาสทำเรื่องดีๆให้กันนะคะเพราะ
00:09:27 → 00:09:29 ว่าเมื่อมีความรู้สึก
00:09:29 → 00:09:33 ใช้คำว่าอะไรรู้สึกผิดหรือมีสำนึกขึ้นมา
00:09:33 → 00:09:35 ได้เนี่ยนะฮะรู้ตัวว่าเราทะเลาะไปด้วย
00:09:35 → 00:09:38 เรื่องไร้สาระอ่ะไม่เข้าท่าเลยอ่ะนะฮะพอ
00:09:38 → 00:09:41 คิดได้เราก็อยากทำตัวให้ดีขึ้นเช่นการง้อ
00:09:41 → 00:09:46 ไงนะฮะก็ต้องง้อกันนะทำให้เกิดความเอ่อทำ
00:09:46 → 00:09:48 ให้รู้สึกถึงความซื่อสัตย์ความรักใคร่นะ
00:09:48 → 00:09:51 คะการเอาใจใส่กันในความรักทุกๆวันแบบค่อย
00:09:52 → 00:09:55 เป็นค่อยไปอาจจะใช้วิธีโทรหานะทำกับข้าว
00:09:55 → 00:09:57 ให้กินไม่เคยทำใช่มั้ยวันนี้ทำอาหาร
00:09:57 → 00:10:01 จันทร์โปรดให้ซื้อขนมมาฝากอะไรอย่าเงี้ย
00:10:01 → 00:10:04 ผิดปกิมากอ่าผิดปกติแต่ดีมั้ยอ่ะอ่านะคะ
00:10:04 → 00:10:06 ก็เป็นเรื่องดีไงนะคะเพราะฉะนั้นก็เป็น
00:10:06 → 00:10:09 โอกาสที่ได้ทำดีอะไรดีๆให้ทั้งๆที่ปกติ
00:10:09 → 00:10:13 อ่ะทำมั้ยไม่ทำถูกมั้ยฮะเพราะฉะนั้นทุก
00:10:13 → 00:10:15 ครั้งที่เขาบอกว่าทะเลาะกันทีไรง้อกันที
00:10:15 → 00:10:18 ไรเนี่ยมันก็จะมีอะไรหวานๆชื่นๆเกิดขึ้น
00:10:18 → 00:10:20 ได้เสมอนะคะแต่เดี๋ยวก็ทะเลาะกันอีก
00:10:20 → 00:10:23 ทะเลาะกันอีกก็ดีสิอ่าเดี๋ยวก็เงาะกัน
00:10:23 → 00:10:27 ใหม่ไงอะไรอย่างนี้เป็นต้นนะคะค่ะทีนี้
00:10:27 → 00:10:31 ค่ะเาบอกว่าแล้วจะทะเลาะกันอย่างไรรล่ะนะ
00:10:31 → 00:10:34 ฮะที่จะทำให้เราเนี่ยรักกันมากขึ้นเมื่อ
00:10:34 → 00:10:36 กี้นี่เป็นเหตุผลเท่านั้นนะฮะว่าทะเลาะ
00:10:36 → 00:10:39 แล้วมันดียังไงนะฮทีนี้จะทะเลาะกันอย่าง
00:10:39 → 00:10:41 ไรที่เราเรียกว่าทะเลาะแบบสร้างสรรค์คือ
00:10:41 → 00:10:43 ไม่ได้บอกว่าวันนี้คุยกันเราไปนั่งทะเลาะ
00:10:43 → 00:10:46 กันหรือว่ามีเรื่องเลนโอ้ยอาไม่ฉันฉันัน
00:10:46 → 00:10:49 ทะเลาะกันแล้วนะเพื่อให้มันแบบไม่ใช่นะ
00:10:49 → 00:10:51 ไม่ต้องขนาดนั้นอะไรที่ดีอยู่แล้วให้เป็น
00:10:51 → 00:10:56 ความสัมพันธ์ดีๆไปนะคะค่ะทะเลาะกันอย่าง
00:10:56 → 00:10:58 ไรให้รักกันมากขึ้นอย่างแรกก็คืออย่าเพ่ง
00:10:58 → 00:11:01 เล็งว่าใครผิดหรืออย่าโยนความผิดเห็นมั้ย
00:11:01 → 00:11:03 คะทะเลาะกันเพื่อโทษว่าใครผิดเนี่ยอันนี้
00:11:03 → 00:11:06 ไม่ใช่การทะเลาะที่ดีหาคนผิดคนถูกไม่ได้
00:11:06 → 00:11:10 นะฮะอย่าเพิ่งไปหาว่าเป็นความผิดของใครนะ
00:11:10 → 00:11:12 ฮะใครผิดไม่มีประโยชน์แล้วเรื่องไม่จบ
00:11:12 → 00:11:16 สิ้นเพราะว่าเรามีกัน 2 คนค่ะถูกมั้ยคะ
00:11:16 → 00:11:18 ยังไงเราก็ต้องอยู่ด้วยกันเราเลือกที่จะ
00:11:18 → 00:11:20 อยู่ด้วยกันแล้วเราเลือกอยู่ด้วยกันด้วย
00:11:20 → 00:11:24 ความรักนะคะอันที่ 2 ค่ะเปิดโอกาสให้พูด
00:11:24 → 00:11:28 นะคะโดยเท่าเทียมกันก็หมายความว่าบางคนเ
00:11:28 → 00:11:30 บอกไม่ต้องพูดแล้วไม่ต้องพูดเลยไม่ได้นะ
00:11:30 → 00:11:33 คะต้องพูดออกมาว่าอึดอัดอะไรบ้างนะคะมี
00:11:33 → 00:11:36 อะไรบ้างก็บอกกันตรงๆนะฮะอย่าดูถูกกัน
00:11:36 → 00:11:39 อย่าวิจารกันอย่าหยาบคายแล้วก็อย่าใช้คำ
00:11:39 → 00:11:41 หยาบอันนี้คือการเปิดโอกาสให้พูดแต่ไม่
00:11:41 → 00:11:44 ใช่พูดแบบหยาบคายนะคะต้องเปิดโอกาสให้พูด
00:11:44 → 00:11:47 ว่าอ่ะที่คุณทำอย่างนี้เพราะอะไรที่ฉันทำ
00:11:47 → 00:11:49 อย่างงี้เพราะอะไรฉันทำอย่างนี้เพราะฉัน
00:11:49 → 00:11:51 คิดอย่างงี้อย่างงี้งี้คุณทำอย่างงี้
00:11:51 → 00:11:54 เพราะคิดอย่างงี้อย่างงี้ี้นะฮะจะได้ฟัง
00:11:54 → 00:11:57 กันแล้วก็มาได้พูดคุยกันว่าอ่ะที่คุณคิด
00:11:57 → 00:12:00 อย่างเงี้ยมันแก้ไขยังยังไงหรือจะปรับยัง
00:12:00 → 00:12:02 ไงให้คุณชอบไม่ใช่ว่าคุณคิดอย่างงี้มัน
00:12:02 → 00:12:07 ผิดไม่ถูกชี้นำไปเรียบร้อยแล้วไม่ได้นะฮะ
00:12:07 → 00:12:11 ค่ะถ้าถ้ามีอารมณ์ร้อนใส่กันแน่นอนเนี่ย
00:12:11 → 00:12:14 ควรแยกกันก่อนนะคะคิดให้รอบคอบถึงสิ่งที่
00:12:14 → 00:12:18 ผ่านมาอย่าถามจู้จี้ให้อารมณ์เย็นลงก่อน
00:12:18 → 00:12:22 นะคะแล้วค่อยพูดกันดีๆทีหลังไม่ไม่เข้าใจ
00:12:22 → 00:12:27 ตรงไหนนะคะแต่ข้อข้อสำคัญคืออย่าลืมคือ
00:12:27 → 00:12:30 ทิ้งระยะนานจนกระทั่งมันสะสมความไม่พอใจ
00:12:30 → 00:12:32 นะคะอย่างที่เราบอกว่าอารมณ์ร้อนใส่กัน
00:12:32 → 00:12:35 เนี่ยเดี๋ยวแรงแน่เลยเพราะฉะนั้นเดี๋ยวนะ
00:12:35 → 00:12:39 แป๊บนึงก่อนขอเวลานอกก่อนนะผมกำลังโมโหผม
00:12:39 → 00:12:41 กำลังอารมณ์ร้อนเดี๋ยวเราค่อยกลับมาคุย
00:12:41 → 00:12:44 กันใหม่ให้ผมใจเย็นลงก่อนนะคือถ้าถ้าแบบ
00:12:44 → 00:12:46 รู้ตัวเองหรืออะไรเงี้ยมันก็ดีค่ะอาจารย์
00:12:46 → 00:12:49 แต่ว่าบางคนโอหพอมันแบบได้สตาร์ทเครื่อง
00:12:49 → 00:12:52 ติดแล้วเนี่ยมันไปพุ่งไปเลยนะคะคอันนี้ก็
00:12:52 → 00:12:54 ต้องเป็นเรื่องที่เราอาจจะต้องพูดกันก่อน
00:12:54 → 00:12:56 หน้านั้นว่าเนี่ยเป็นคนอารมณ์ร้อนนะเพราะ
00:12:57 → 00:13:00 ฉะนั้นทุกครั้งที่ร้อนเนี่ยเราจะทำไงกัน
00:13:00 → 00:13:02 เหมือนตอนตอนที่เวลาเครื่องมันดับแล้วก็
00:13:02 → 00:13:04 ค่อยมาคุยใช่มั้ยเช่นสมมุติว่าทะเลาะกัน
00:13:04 → 00:13:08 อยู่เถ้ารู้สึกว่าอารมณ์ไม่ดีเนี่ยขอออก
00:13:08 → 00:13:10 ไปข้างนอกนะเพราะฉะนั้นอย่ามาร้างว่าอย่า
00:13:10 → 00:13:12 ไปอย่าไปอย่าไปอะไรอย่าเงี้นะคะปล่อยเข้า
00:13:12 → 00:13:14 ไปก่อนหรือเราเดินเข้าห้องก่อนแยกกันสัก
00:13:14 → 00:13:18 ระยะนึงแต่ไม่ได้แปลว่าเราจะแยกจากกันแต่
00:13:18 → 00:13:20 หมายความว่าไปไปทำให้อารมณ์มันเย็นก่อน
00:13:20 → 00:13:23 แล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาใหม่อืนะฮะอย่างนี้
00:13:23 → 00:13:25 เป็นต้นคือตกลงกันตั้งแต่ต้นเก็ได้มันมี
00:13:25 → 00:13:28 คำสอนด้วยนะคะอาจารย์ที่บอกว่าเวลาทะเลาะ
00:13:28 → 00:13:31 กันอย่าอย่าออกออกนอกบ้านใช่ก็สำหรับบาง
00:13:31 → 00:13:33 คนค่ะสำหรับบางคนแต่บางทีแหละเดี๋ยวนี้
00:13:33 → 00:13:36 มันอยู่ในคอนโดไงหนูนึกออกมั้ยไปไหนล่ะที
00:13:36 → 00:13:39 นี้ก็ต้องนะฮะอาจจะลงมานั่งที่ล็อบบี้
00:13:39 → 00:13:42 ข้างล่างหรือถ้ามันมีห้องนอนก็คนนึงอยู่
00:13:42 → 00:13:44 ในห้องนอนคนนึงอยู่ในนี้หรือในห้องน้ำ
00:13:44 → 00:13:46 สมัยก่อนเพูดอย่างงั้นได้เพราะบ้านมันมี
00:13:46 → 00:13:50 บริเวณค่ะอ๋อถูกมั้ยคะบ้านส่วนใหญ่มันจะ
00:13:50 → 00:13:53 มีบริเวณสวนมีอะไรต่างๆเหล่านี้หลบมุม
00:13:53 → 00:13:56 ก่อนอ่าหลบมุมก่อนนะฮะแต่ไอ้คำว่าออกนอก
00:13:56 → 00:13:59 บ้านของโบราณอีกคำนึงก็คือหิ้วกระเป๋าออก
00:13:59 → 00:14:02 นอกบ้านย้ายออกไปเลยนะฮะเช่นเก็บข้าวเก็บ
00:14:02 → 00:14:05 ของไปอยู่กับพ่อแม่เลยอย่างเงี้ยไม่ไม่โอ
00:14:05 → 00:14:07 เข้าใจมั้ยคะแต่เนี่ยสภาพมันเปลี่ยนไป
00:14:07 → 00:14:09 เดี๋ยวนี้มันเป็นห้องบางทีเป็นห้องห้อง
00:14:09 → 00:14:11 เดียวอ่ะอพาร์เมนต์ห้องเดียวอ่ะแล้วจะทำ
00:14:11 → 00:14:14 ไงอ่ะเดี๋ยวมันก็ฆ่ากันตายหรอกถ้าอารมณ์
00:14:14 → 00:14:18 แรงๆขนาดนั้นนะพูดไปนั่นนะคะค่ะอันต่อไป
00:14:18 → 00:14:21 ค่ะอย่าบังคับให้อีกฝ่ายนึงทำตามที่เรา
00:14:21 → 00:14:23 ต้องการเดี๋ยวนี้ทำเดี๋ยวนี้อะไรอย่าง
00:14:23 → 00:14:26 เงี้ยนะไอ้คำว่าเดี๋ยวนี้เนะคะไม่มีใคร
00:14:26 → 00:14:29 ชอบถูกบังคับเช่นคุณต้องขอโทษฉันเดี๋ยว
00:14:29 → 00:14:31 นี้เลยนะอะไรอย่างเงี้ยมันไม่ใช่นะฮะ
00:14:31 → 00:14:34 ปล่อยให้ความรู้สึกสบายใจไปก่อนนะคะถ้า
00:14:34 → 00:14:37 เรารักกันจริงเดี๋ยวก็กลับมาทำตามใจเรา
00:14:37 → 00:14:41 ได้นะฮะเช่นบอกว่าให้ผู้ชายล้างจานอ่ะ
00:14:41 → 00:14:44 สมมุตินะฮะทำเดี๋ยวนี้เลยนะอะไรเงี้ย
00:14:44 → 00:14:47 อันน่าเดี๋ยวเใจเย็นเดี๋ยวเก็เดินมาหาแฟบ
00:14:47 → 00:14:50 หาที่ล้างจานเเองแหละอะไรอย่างนี้เป็นต้น
00:14:50 → 00:14:54 นะคะค่ะอันต่อไปค่ะอย่าสัญญาหรือรับปาก
00:14:54 → 00:14:57 แบบส่งเดดหรือไม่เต็มใจเพราะมันจะทำผิด
00:14:57 → 00:15:00 ซ้ำๆซากๆเพราะมันไม่ได้เต็มใจละปากถูก
00:15:00 → 00:15:03 มั้ยคะเพราะฉะนั้นอีกฝ่ายคาดหวังแล้วรอ
00:15:03 → 00:15:06 คอยถ้าคุณไปสัญญาเข้าเนี่ยนะฮเพราะมันไม่
00:15:06 → 00:15:09 เป็นไปตามนั้นมันก็เลยทำให้ยิ่งรู้สึกแย่
00:15:09 → 00:15:11 ลงแย่ลงแย่ลงไปเรื่อยๆเพราะฉะนั้นควรจะ
00:15:11 → 00:15:15 ปล่อยไปตามสบายทำได้แค่ไหนก็แค่นั้นขอให้
00:15:15 → 00:15:18 ตั้งใจที่จะทำก็แล้วกันอนะฮะแล้วก็การ
00:15:18 → 00:15:21 กระทำนั้นจะบอกได้ชัดเจนที่สุดว่าเมีความ
00:15:21 → 00:15:24 ตั้งใจมแต่ไอ้การสัญญาหรือรับปากเนี่ยมัน
00:15:24 → 00:15:28 จะทำให้ทำผิดบ่อยๆๆจนกระทั่งมันไม่มีความ
00:15:28 → 00:15:33 หมายเลยนะคะอืแล้วก็อันต่อไปค่ะสัมผัสกัน
00:15:33 → 00:15:36 ให้มากคำว่าสัมผัสกันให้มากก็คือว่าขณะ
00:15:36 → 00:15:38 ที่เค้าหรือเธอในกำลังระบายความอัอั้นตัน
00:15:38 → 00:15:41 ใจหรือพลั่งพลูสิ่งที่พูดออกมาเนี่ยนะคะ
00:15:42 → 00:15:46 อาจจะจับมืออาจจะอบกอดอาจจะอะไรก็ได้นะคะ
00:15:46 → 00:15:49 ที่จะให้มันเกิดความรู้สึกว่าเค้ากล้าพูด
00:15:49 → 00:15:51 หรืออบอุ่นพอที่เขาจะได้ระบายความอึดอัด
00:15:51 → 00:15:54 ของเขาคออกมานะฮะแล้วก็มันเป็นการบ่งบอก
00:15:54 → 00:15:58 ว่าเราฟังอย่างตั้งใจนะฮะอาจจะให้กอดโอบ
00:15:58 → 00:16:02 ซบไหล่อะไรก็แล้วแต่นะคะในวันที่มีปัญหา
00:16:02 → 00:16:05 มากๆด้วยกันเนี่ยนะฮะการกอดการสัมผัส
00:16:05 → 00:16:08 เนี่ยบอกความเข้าใจบางอย่างได้อย่างดี
00:16:08 → 00:16:11 กว่าคำพูดอีกอ่ะเอางี้แล้วกันนะฮะอทำให้
00:16:11 → 00:16:14 เรามีกำลังใจที่จะเผชิญปัญหาไปด้วยกันใน
00:16:15 → 00:16:18 อนาคตนะคะไม่ใช่ว่าเกิดปัญหานั้นขึ้นมา
00:16:18 → 00:16:21 แล้วเราก็เอาแต่โทษกันไปโทษกันมาแต่ให้
00:16:21 → 00:16:23 ระบายเพราะบางทีเราก็ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายนึง
00:16:23 → 00:16:25 เค้าแบกอะไรไว้เราคิดว่าเราหนักแล้วอ่ะ
00:16:25 → 00:16:28 แต่อีกฝ่ายนึงเอาจจะแบกไว้หนักกว่าเราอีก
00:16:28 → 00:16:30 นะฮะอืเพราะฉะนั้นตรรงเนี้ยต้องมาคุยกัน
00:16:30 → 00:16:34 ค่ะค่ะอันต่อไปค่ะพิสูจน์ให้เห็นว่าเรา
00:16:35 → 00:16:38 ตั้งใจทำตามที่เขาขอร้องแล้วเช่นบอกแล้ว
00:16:38 → 00:16:40 ว่าพื้นนิสัยไม่เหมือนกันน่ะเนาะความคิด
00:16:40 → 00:16:43 เห็นในเรื่องต่างๆมันก็ไม่เหมือนกันเราเค
00:16:43 → 00:16:45 ไม่ได้ให้เราสัญญาแต่รู้ว่าตั้งใจจำได้
00:16:46 → 00:16:49 มั้ยคะที่เราเราเล่าตอนแรกว่าผู้ชายเี่
00:16:49 → 00:16:52 ชอบโยนอะไรไว้ไม่ลงตะกร้าพอรู้ว่าเมียจะ
00:16:52 → 00:16:54 กลับมาอูรีบตลีละลาดไปหยิบเก็บมาให้มัน
00:16:54 → 00:16:57 รวมกันอย่างนี้ก็ตั้งใจไงคือไม่อยากให้
00:16:57 → 00:17:00 เกิดเรื่องไงว่ารู้อยู่แล้วว่าเไม่ชอบถูก
00:17:00 → 00:17:03 มั้ยคะทั้งๆที่เขก็ไม่ได้มาฆ่ามาแกงหรือ
00:17:03 → 00:17:05 ทำโทษเราอ่ะแต่มันก็ทำให้เขาคมีความรู้
00:17:05 → 00:17:07 สึกว่าเออเราพยายามแล้วนะในสิ่งที่เขาบอก
00:17:07 → 00:17:10 อ่ะนะฮะแล้วเรารับรู้แล้วนะอะไรอย่างเงย
00:17:10 → 00:17:13 นะฮะเพื่อให้เกิดความมั่นใจโดยที่ไม่ต้อง
00:17:13 → 00:17:15 จำเป็นต้องรับปากหรือสัญญาแต่อย่างน้อย
00:17:16 → 00:17:18 ที่สุดก็จงใจที่
00:17:18 → 00:17:22 เอ่อตั้งใจที่จะทำนะฮะอย่าแล้วก็อีกฝ่าย
00:17:22 → 00:17:25 หนึงก็อย่าเรียกร้องให้ต้องทำนะคะเราก็มี
00:17:25 → 00:17:29 ส่วนของทำของเราไปทำความดีไปเรื่อยๆเบอก
00:17:29 → 00:17:31 นะฮะอีกฝ่ายนึงอ่ะทำความดีไปเรื่อยๆไม่
00:17:31 → 00:17:33 ว่าคุณจะเป็นหญิงหรือเป็นชายแหละแล้วก็
00:17:33 → 00:17:35 สะท้อนให้อีกฝ่ายหนึเขาคเห็นอะไรดีๆที่
00:17:35 → 00:17:38 เราทำอ่ะแล้วในที่สุดเาจะทำความดีตอบแทน
00:17:38 → 00:17:41 เรามาเหมือนกันนะฮะอันนี้ไม่ได้ว่าผู้ชาย
00:17:41 → 00:17:43 ไม่ดีอย่างเดียวบางครอบครัวผู้หญิงแย่กับ
00:17:43 → 00:17:47 ผู้ชายเยอะเลยนะคะในเรื่องของชีวิตความ
00:17:47 → 00:17:49 เป็นอยู่เนี่ยในเรื่องของระเบียบในบ้าน
00:17:49 → 00:17:51 อะไรต่างๆเหล่าเยเพราะมันถูกเลี้ยงดูมา
00:17:51 → 00:17:54 ไม่เหมือนกันไงอือผู้ชายบางบ้านเนียบมาก
00:17:54 → 00:17:57 ใช่ๆเคยเห็นอยู่เหมือนกันแล้วก็ประกันสุด
00:17:57 → 00:18:01 ท้ายนะฮะอย่าปากหนักคำว่าปากหนักก็คือให้
00:18:01 → 00:18:04 กล่าวคำขอบคุณหรือขอขอโทษเสมออย่าไปรู้
00:18:04 → 00:18:07 สึกถึงเรื่องของศักดิ์ศรีหลายคนไม่ได้ฉัน
00:18:07 → 00:18:11 ศักดิ์ศรีฉันนี่ใครคะนี่สามีเราคนที่เรา
00:18:11 → 00:18:15 รักนี่ใครคะภรรยาเราคนที่เราเลือกเพราะ
00:18:15 → 00:18:18 ฉะนั้นไม่เห็นจะเสียหายอะไรกับการขอบคุณ
00:18:18 → 00:18:21 กับการขอโทษแล้วมันจะทำให้อีกฝ่ายเนี่ย
00:18:21 → 00:18:24 รู้สึกว่าเขามีความสำคัญนะเราให้เกียรติ
00:18:24 → 00:18:27 เาให้ความสำคัญกับเขาต่อให้เราเป็นฝ่าย
00:18:27 → 00:18:30 ผิดก็เหอะนะในคู่สมรสหลายคู่นะคะที่ผู้
00:18:30 → 00:18:33 ชายบอกว่าผมต้องเป็นฝ่ายขอโทษอ่ะทั้งๆที่
00:18:33 → 00:18:36 ผมไม่ผิดอ่ะแต่ทุกอย่างมันจะคามดาวลงพอ
00:18:36 → 00:18:39 เราขอโทษปั๊บเขาก็จะหันมาเออจริงๆฉันก็
00:18:39 → 00:18:41 ผิดเองอ่ะอะไรอย่างเงี้ยแต่ไม่อย่างงั้น
00:18:41 → 00:18:44 น่ะไอ้ทิฐิหรือความเอาชนะอะไรที่มันติด
00:18:44 → 00:18:47 ตัวมาตั้งแต่เกิดเนี่ยค่ะมันมากมายมหาศาล
00:18:47 → 00:18:50 นะฮะแล้วจะต้องมาใช้ชีวิตอยู่กับคนอีกคน
00:18:50 → 00:18:52 นึงที่ไม่ได้เติบโตมาด้วยกันเนี่ยมันก็
00:18:52 → 00:18:56 ลำบากไงแล้วการยอมเอ่อคือเหมือนกับว่าไม่
00:18:56 → 00:18:59 อยากทะเลาะแหละก็เลยยอมๆมๆๆๆๆ
00:18:59 → 00:19:02 มันอาจจะได้ชั่วคราวไงคะอย่างที่บอกเมื่อ
00:19:02 → 00:19:05 กี้ว่าอาจจะต้องมีฝ่ายนึงยอมชั่วคราวแต่
00:19:05 → 00:19:08 เสร็จแล้วพออารมณ์ดีๆอารมณ์มันคามดาวลง
00:19:08 → 00:19:11 แล้วกลับมาพูดดีๆกันใหม่ไม่ใช่ตั้งต้น
00:19:11 → 00:19:15 ทะเลาะแต่อ่ะเรื่องวันก่อนนี้นะอขอพูดนิด
00:19:15 → 00:19:18 นึงนะขอกลับมาคุยกันใหม่นะอะไรอย่างเงี้ย
00:19:18 → 00:19:22 ค่ะอืนะฮะเหมือนกับว่าผู้หญิงจะจะเก็บ
00:19:22 → 00:19:25 เล็กพสมน้อยหรือว่าแบบว่าสามารถจะรื้อ
00:19:25 → 00:19:28 ฟื้นคืออย่างงี้ขึ้นมาได้เอ่อสามีหรือ
00:19:28 → 00:19:32 ภรรยาบางคนนะต้องใช้คำว่าสามีหรือภรรยา
00:19:32 → 00:19:35 บางคนจนิภาใช้คำว่าเป็นนักโบราณคดีนักขุด
00:19:35 → 00:19:39 คนอ่าชอบคนขุดคนเรื่องเก่าๆกลับขึ้นมาพูด
00:19:39 → 00:19:41 อือซึ่งอันเนี้ยมันก็เป็นชนวนที่ทำให้
00:19:41 → 00:19:44 ทะเลาะกันไม่เลิกลาค่ะนะฮะเพราะฉะนั้น
00:19:44 → 00:19:47 สิ่งที่มันพลาดไปแล้วผิดไปแล้วก็นั่นมัน
00:19:47 → 00:19:47 ไป
00:19:47 → 00:19:51 ซะอยู่ในใจอ่ะมันติดอยู่ในใจก็ก็รู้แล้ว
00:19:51 → 00:19:54 รับรู้แล้วว่าสิ่งที่เขาทำมาผิดพลาดแต่
00:19:54 → 00:19:56 การที่เราแซะขึ้นมาบ่อยๆเนี่ยมันไม่ได้
00:19:56 → 00:20:00 อยู่ในใจเ้าแต่มันอยู่ในใจเราเสมออือถูก
00:20:00 → 00:20:03 มยคะพูดแล้วเข้าใจแล้วผมผิดไปแล้วผมเข้า
00:20:03 → 00:20:06 ใจแล้วแต่การที่มาพูดแล้วบ่อยๆเนี่ยมัน
00:20:06 → 00:20:09 เหมือนกับชี้ปมเขตลอดเวลาแล้วจนในที่สุด
00:20:09 → 00:20:13 เนี่ยจะทำให้เขาก็เห็นเขาไม่เคยดีไงอก็ทำ
00:20:13 → 00:20:18 ซะเลยอ้าสวยมั้ยล่ะทีนี้เออถูกมั้ยฮะอ่า
00:20:18 → 00:20:21 ไม่จบอีกไม่จบอีกนะคะเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:20:21 → 00:20:24 เอ่อการทะเลาะกันเนี่ยาจารย์วิพาอยากให้
00:20:24 → 00:20:26 แง่คิดว่าไม่ใช่เรื่องเสียหายถ้าเรา
00:20:26 → 00:20:29 ทะเลาะด้วยมีความรักเป็นพื้นฐานแล้วก็
00:20:29 → 00:20:31 อยู่บนความสร้างสรรค์แต่สิ่งที่อันตราย
00:20:31 → 00:20:35 ที่สุดเนี่ยคือเงียบค่ะนะที่คุณสุรีพรพูด
00:20:35 → 00:20:38 นั่นแหละเสียงเงียบเนี่ยอันตรายที่สุดต่อ
00:20:38 → 00:20:41 ความสัมพันธ์ของของสามีภรรยาเพราะไม่รู้
00:20:41 → 00:20:45 เลยว่าอีกฝ่ายนึงคิดอะไรนะฮะอาจจะเก็บกด
00:20:45 → 00:20:48 เก็บกดเก็บกดไว้นะคะแล้วก็เก็บความไม่พอ
00:20:48 → 00:20:51 ใจจนระเบิดออกมาในวันหลังแล้วก็แยกทางกัน
00:20:51 → 00:20:55 เลยไปเลยไปแบบงงๆไม่มีปีมีคุยเลยอ่าแต่
00:20:55 → 00:20:57 ทะเลาะกันบ่อยๆเนี่ยความสัมพันธ์มันจะ
00:20:57 → 00:21:00 ค่อยๆดีขึ้นดีขึ้นขึ้นดีขึ้นไปเรื่อยๆนะ
00:21:00 → 00:21:04 ฮะเพราะถ้ามีอะไรหยุมหยิมเล็ก็น้อยๆเนี่ย
00:21:04 → 00:21:07 มันมันปล่อยผ่านไปเรื่อยๆก็จริงอ่ะแต่ถ้า
00:21:07 → 00:21:10 มันไม่ไหวจริงๆอ่ะก็เปิดอกคุยกันตรงๆเลย
00:21:10 → 00:21:15 นะฮะเปิดแล้วจบนึกออกมยคะว่าได้ระบายและ
00:21:15 → 00:21:18 ได้พูดไปและแล้วก็จบอย่าเป็นนักโบราณคดี
00:21:18 → 00:21:21 ที่เก็บเอาไว้แล้วก็มาแซะตลอดเวลาอย่าง
00:21:21 → 00:21:24 เงี้ยไม่โอเคทั้งหญิงทั้งชายนะคะเคยมีผู้
00:21:24 → 00:21:27 ชายบางคนก็เป็นนักโบราณคดีแบบนี้แหละนะฮะ
00:21:27 → 00:21:30 จนภรรยาเอือมเหมนกันนะฮะผิดหนเดียวน่ะพูด
00:21:30 → 00:21:33 อยู่นั่นแหละอะไรอย่างเยนะคะพูดซ้ำๆักท่า
00:21:33 → 00:21:36 เหมือนไปย้ำความผิดเอยู่เรื่อยๆๆๆๆจนเรู้
00:21:36 → 00:21:40 สึกไม่ดีอ่ะนะฮะค่ะแล้วก็สำหรับผู้หญิงก็
00:21:40 → 00:21:43 อย่าขี้บอนขี้งอนบ่อยนักนะฮะเพราะว่าการ
00:21:43 → 00:21:47 ขี้งอนบ่อยๆเหลเกินไปเนี่ยบางทีมันก็
00:21:48 → 00:21:51 สร้างความรำคาญเนาะจากที่จากที่รำคาญมัน
00:21:51 → 00:21:55 กลายเป็นความร้าวฉานในที่สุดนะคะก็งอนแต่
00:21:55 → 00:22:00 พองามพอน่ารักๆรกุ๊บกิ๊บๆิบนะคะอย่างเงี้
00:22:00 → 00:22:02 ค่ะนะคะเพราะงั้นก็จงทะเลาะกันอย่างสร้าง
00:22:02 → 00:22:05 สรรค์นะคะแล้วก็ชีวิตก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ
00:22:05 → 00:22:10 ค่ะอืคือจริงๆไม่ไม่ทะเลาะกันน่ะก็น่าจะ
00:22:10 → 00:22:13 ดีแต่ว่าแต่บางคนก็บอกทะเลาะกันแล้วลูกดก
00:22:13 → 00:22:16 ก็ในบางคนไงคะก็อย่างที่บอกไงตอนง้อกัน
00:22:16 → 00:22:19 น่ะใช่มยมันก็ต้องมีการเอาอกเอาใจ
00:22:19 → 00:22:22 กุ๊กกิ๊กกุ๊กกิ๊กอะไรอย่างนี้เป็นต้นนะคะ
00:22:22 → 00:22:25 เพราะฉะนั้นการทะเลาะเนี่ยถ้าเราทะเลาะ
00:22:25 → 00:22:27 เพื่อเพื่อเรียนรู้กันและกันช่วยกันแก้ไข
00:22:27 → 00:22:30 ปัญหาเนี่ยไม่เป็นเป็นไรค่ะแต่ถ้าทะเลาะ
00:22:30 → 00:22:33 จนกระทั่งจะรุนแรงเริ่มหยาบคายเข้าใส่กัน
00:22:33 → 00:22:35 เริ่มอารมณ์เสียเข้าใส่กันเนี่ยมันเหมือน
00:22:35 → 00:22:39 ทำแก้วร้าวอ่ะมันจะมันมันลบรอยร้าวยากอือ
00:22:39 → 00:22:42 ๆนะฮะเพราะฉะนั้นทะเลาะกันได้แต่อย่าใช้
00:22:42 → 00:22:45 อารมณ์อืคะเคยเคยอยู่ในโมเมนที่ทะเลาะ
00:22:45 → 00:22:48 แล้วก็ดับเบิ้ลทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
00:22:48 → 00:22:51 แต่แค่คำหยาบไม่ได้มีแต่แต่ก็จะรู้สึกว่า
00:22:51 → 00:22:55 เอ้ยมันมันมาถึงขั้นนี้ได้ยังไงจากเรื่อง
00:22:55 → 00:22:59 ที่แบบว่าฮะไม่เป็นเรื่องแค่นี้ฮ่ะโอ้โห
00:22:59 → 00:23:02 ใหญ่โตแล้วก็พอพอมันเริ่มมากขึ้นเนี่ยไป
00:23:02 → 00:23:05 คว้าอะไรมาถึงๆไม่ใช่เรื่องนั้นน่ะแต่ไป
00:23:05 → 00:23:08 คว้าทุกเรื่องอ่ะมาทะเลาะโหที่แบบอย่าง
00:23:08 → 00:23:10 กับไฟไหม้บ้านอะไรอย่างเงี้ยคัค่ะเพราะ
00:23:10 → 00:23:12 ว่าเราไม่ได้โฟกัสที่เรื่องที่เราทะเลาะ
00:23:12 → 00:23:15 กันเห็นมั้ยคะแต่เราไปเอาเรื่องไม่พอใจ
00:23:15 → 00:23:17 อื่นๆเนี่ยลากลงมาหมดเลยแสดงว่ามันมีอยู่
00:23:18 → 00:23:21 ข้างมีมีอยู่แล้วเราก็เก็บกลบมันไว้ไงที่
00:23:21 → 00:23:23 เราบอกว่าความเงียบไงคือไม่พอใจอะไรก็
00:23:23 → 00:23:27 เงียบๆๆๆไม่พูดไงฮะพอไม่พูดเคก็ทำซ้ำสิฮะ
00:23:27 → 00:23:30 เพราะเคไม่รู้เเราชอบหรือไม่ชอบแล้วแต่
00:23:30 → 00:23:33 บางคนปากหนักนะคะอาจารย์แบบว่าแบบอาจจะ
00:23:33 → 00:23:36 แบบก็ไม่อยากพูดอ่ะเพราะถ้าพูดเดี๋ยวแรง
00:23:36 → 00:23:40 ก็เลยเลือกที่จะไม่พูดไปเลยดีกว่าอลอง
00:23:40 → 00:23:44 ซ้อมสิคะลองซ้อมก็คือการซ้อมเนี่ยเช่น
00:23:44 → 00:23:47 เดี๋ยวเนี้ยมันมีคอมมีโทรศัพท์อะไรนะก็
00:23:47 → 00:23:50 ลองซ้อมพิมพ์ลงไปแต่ไม่อย่าไปโพสต์นะก็
00:23:50 → 00:23:53 คือซ้อมแล้วทวนกลับมาอ่านเองว่าเราจะ
00:23:53 → 00:23:56 เริ่มพูดกับเค้ายังไงหรืออยากจะพูดกับเ
00:23:56 → 00:23:59 ยังไงบางคนก็ใช้วิธีอย่างอย่างงี้แหละค่ะ
00:23:59 → 00:24:02 ส่งเมลไปให้อ่านเลยเพราะไม่อยากใช้คำพูด
00:24:02 → 00:24:05 ที่รุนแรงเออแว่านึกออกมั้ยคะแต่เราส่ง
00:24:05 → 00:24:07 กับเค้าเฉพาะนะเพื่อให้เกิดความเข้าใจ
00:24:07 → 00:24:09 สมัยก่อนก็เขียนจดหมายอาจารย์วิพาเนี่ย
00:24:09 → 00:24:12 ยังชอบการเขียนจดหมายอยู่นะคะจนทุกวันนี้
00:24:12 → 00:24:15 ก็ยังชอบมันมีความรู้สึกว่ามันคลาสสิคค่ะ
00:24:15 → 00:24:18 แล้วมันก็เป็นอะไรที่เราได้กลั่นกรองก่อน
00:24:18 → 00:24:22 แต่เวลาคำพูดเนี่ยมันเร็วกว่าแสงไปไวมาก
00:24:22 → 00:24:25 นะคะสมองมันจับไม่ทันเพราะฉะนั้นบางทีมัน
00:24:25 → 00:24:28 หลุดอะไรแรงๆออกไปที่ไม่ควรพูดอืหรือเป็น
00:24:28 → 00:24:31 สิ่งที่บางทีใจมันยั้งไม่ทันแต่การเขียน
00:24:31 → 00:24:34 เนี่ยมันต้องคิดก่อนออกมาเป็นตัวหนังสือ
00:24:34 → 00:24:37 ถูกมั้ยคะมันทำให้เราได้ทบทวนว่าเอ๊ะเรา
00:24:37 → 00:24:39 ใช้คำพูดอย่างนี้ดีหรือเราใช้คำพูดอย่าง
00:24:39 → 00:24:41 นี้ดีเอ๊ะถ้าเราพูดอย่างนี้มันกลายเป็นไป
00:24:41 → 00:24:44 ไปเบรมเ้ามยหรือเราพูดอย่างนี้เป็นการดู
00:24:44 → 00:24:48 ถูกเค้ามั้ยอ่ะแก้ๆๆๆเอาใหม่นึกออกมั้ยคะ
00:24:48 → 00:24:50 เพราะฉะนั้นไอ้การเขียนระบายเนี่ยยังใช้
00:24:50 → 00:24:54 ได้ดีอยู่ค่ะนะฮะแล้วก็ฝึกซ้อมการควบคุม
00:24:54 → 00:24:57 อารมณ์ตัวเองด้วยถ้าเรารู้ว่ามันจะขึ้น
00:24:57 → 00:24:59 ใช่มั้ยคะเพราะว่าไอ้สิ่งที่เราเก็บไว้
00:24:59 → 00:25:01 มันก็ล้วนแต่เป็นสิ่งที่เราไม่ชอบใจทั้ง
00:25:01 → 00:25:05 นั้นแหละเอืออืก็ต้องค่อยๆฝึกฝนใช่แล้วก็
00:25:05 → 00:25:09 จำข้อนี้ให้ดีเลยว่าความเงียบเป็นตัวร้าย
00:25:09 → 00:25:11 ที่สุดในเรื่องของความสัมพันธ์อืถ้าคุณ
00:25:12 → 00:25:14 อยากจะมีความสัมพันธ์ที่ดีคุณต้อง speak
00:25:14 → 00:25:16 Out ค่ะแต่การ speak Out ของคุณต้องไม่
00:25:16 → 00:25:21 ทำร้ายเค้าค่ะนะไม่ทำร้ายเราด้วยฮ่ะอืก็
00:25:21 → 00:25:23 จะได้อยู่กันยืดๆวยารักกันมากขึ้นใช่คุณ
00:25:23 → 00:25:27 รักเนะคะอือยู่บนพื้นฐานความรักค่ะวันนี้
00:25:27 → 00:25:29 ก็เข้าใจชัดเจนแล้วแต่ว่าทะเลาะกันยังไง
00:25:29 → 00:25:32 ทำไมถึงรักกันมากขึ้นได้ลูกดกเลยนะคะ
00:25:32 → 00:25:35 ขอบคุณอาจารย์จันท์วิภาค่ะสวัสดีค่ะยิดี
00:25:35 → 00:25:37 ค่ะหมดเวลาแล้วค่ะคุณผู้ฟังพบกันใหม่
00:25:37 → 00:25:40 ครั้งหน้ากับรายการโรงหมอทางไย PB
00:25:40 → 00:25:43 podcast ค่ะวันนี้ลาไปก่อนนะคะสวัสดีค่ะ
00:25:43 → 00:25:46 This Is Toy PBS podcast แคปหมูไร้
00:25:46 → 00:25:48 มันของอร่อยขึ้นชื่อจากภาคเหนือแคปหมู
00:25:48 → 00:25:50 ชนิดนี้ไร้มันจริงหรรือเปล่ากินบ่อย
00:25:50 → 00:25:52 อันตรายต่อร่างกายอย่างไรผู้ช่วย
00:25:52 → 00:25:55 ศาสตราจารย์ดรเอกราชบำรุงพืชจาก
00:25:55 → 00:25:58 มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตมาบอกให้รู้ครับ
00:25:58 → 00:26:01 พอพูดถึงแคปหมูปุ๊บโอ้โหช่วงเข้าสูนย์
00:26:01 → 00:26:03 หน้าหนาวคนส่วนใหญ่ก็จะเดินทางไปภาคเหนือ
00:26:03 → 00:26:06 แล้วอาหารท้องถิ่นของภาคเหนือส่วนใหญ่ก็
00:26:06 → 00:26:09 จะมีแคปหมูเป็นส่วนประกอบปกติเราแคปหมู
00:26:09 → 00:26:11 ปุ๊บเราก็โอ้โหอ้วนเอใช่มั้ยครับเพราะว่า
00:26:11 → 00:26:14 แคปหมูส่วนใหญ่ก็จะมีมันคือหมู 3 ชั้น
00:26:14 → 00:26:17 อย่างเงี้ยค่ะอ่าหนังหมูอย่างเงี้ยเอามา
00:26:17 → 00:26:21 ทอดอแล้วพอเราบอกว่าเอ้ยมันไร้มันเราก็จะ
00:26:21 → 00:26:25 รู้สึกว่ามันมันไม่มีน้ำมันไม่มีไขมันเลย
00:26:25 → 00:26:28 เป็นส่วนประกอบแล้วก็คิดว่ากินได้อัน
00:26:28 → 00:26:30 ลิมิตแล้วก็คิดว่าเอ้ยกินแล้วมันไม่อ้วน
00:26:31 → 00:26:33 นะเพราะลักษณะเนี่ยถ้าเป็นแคปหมูที่มีมัน
00:26:33 → 00:26:36 โดยทั่วไปมันจะมีมันติดอยู่ด้วยแต่ถ้าแคป
00:26:36 → 00:26:39 หมูไร้มันมันจะเป็นพองๆกรอบๆนะครับแต่
00:26:39 → 00:26:42 จริงๆแล้วเนี่ยแคปหมูไร้มันบอกเลยว่าไม่
00:26:42 → 00:26:47 มีอยู่จริงในโลกยังไงแคบหมูก็ต้องมีไขมัน
00:26:47 → 00:26:51 แต่ไขมันมันน้อยกว่าแคบหมูที่ที่ติดมัน
00:26:51 → 00:26:53 เพราะแคบหมูไร้มันเนี่ยก็ใช้หนังหมู
00:26:53 → 00:26:56 เหมือนกันมันก็มีมันแล้วมันเป็นหนังหมู
00:26:56 → 00:26:59 เนี่ยที่เรากินเนี่ยเป็นเส้นๆทอดดในไหน
00:26:59 → 00:27:03 ครับน้ำมันเดือดๆกระทะท่วมๆมันจะพรองกรอบ
00:27:03 → 00:27:07 ฟูนะไม่แข็งเคี้ยวได้ง่ายอย่าลืมว่ามันก็
00:27:07 → 00:27:10 มีอยู่ดีเพราะตัวมันเองเนี่ยยังไงมันก็
00:27:10 → 00:27:13 คือหนังหมูค่ะแล้วไปทอดในไหนครับน้ำมัน
00:27:13 → 00:27:15 น้ำมันแล้วมันจะไร้มันได้ไงไอ้แคปหมูไร้
00:27:15 → 00:27:18 มันเนี่ยประมาณครึ่งนึงนะของแคปหมูที่ติด
00:27:18 → 00:27:21 มันค่ะอ่าปริมาณไขมันฉะนั้นแล้วมันไม่ได้
00:27:21 → 00:27:24 ไร้หรอกครึ่งนึงไอ้พวกเนี้ยมันเป็นแหล่ง
00:27:24 → 00:27:27 ของไขมันอิ่มตัวความเร็วของมันเนี่ยน้องๆ
00:27:27 → 00:27:30 ไขมันทรานไขมันทานเร็วมากอ่าไขมันอิ่มตัว
00:27:30 → 00:27:33 เร็วไม่เท่าแต่ยังไงก็ถูกขึ้นชื่อว่ามัน
00:27:33 → 00:27:37 ก็ไม่ดีกับสุขภาพกินเยอะๆเป็นยังไรแน่นอน
00:27:37 → 00:27:39 เสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด
00:27:39 → 00:27:43 เพราะมันทำให้หลอดเลือดอักเสบอือ่าไขมัน
00:27:43 → 00:27:45 อิ่มตัวเนี่ยทำให้หลอดเลือดอักเสบทำให้ไข
00:27:45 → 00:27:48 มันเลวที่เราเรียกว่า ldl คอเลสเตอรอล
00:27:48 → 00:27:51 เนี่ยสูงนี่แหละอันนี้คือสิ่งที่ต้องพึง
00:27:51 → 00:27:55 ระวังอืเพราะไขมันอิ่มตัวทำให้เกิดการ
00:27:55 → 00:27:57 อักเสบเรื้อรังอักเสบเรื้อรังเนี่ยเป็น
00:27:57 → 00:27:59 อะไรที่น่ากลัวเพราะมันไม่ได้อักเสบแบบ
00:27:59 → 00:28:03 เฉียบพันธุพุพองบวมแดงแผลฝีหนองขึ้นมานะ
00:28:03 → 00:28:06 แต่มันจะค่อยๆแบบอักเสบแต่น้อยโดยที่ร่าง
00:28:06 → 00:28:08 กายเราไม่รู้อ่ะเกิดอยู่ภายในเราไม่รู้
00:28:08 → 00:28:11 สึกอะไรเลยนะพอรู้อีกทีนึงอ้าวฉันเป็นเบา
00:28:11 → 00:28:15 หวานพอรู้อีกทีนึงฉันเป็นโรคหัวใจพอรู้
00:28:15 → 00:28:18 อีกทีนึงเฮ้ยฉันเป็นมะเร็งคือสิ่งที่เรา
00:28:18 → 00:28:20 ต้องพึงระวังแต่มันไม่ใช่ว่ากินเลยแล้ว
00:28:20 → 00:28:23 แบบโอ๊ยคุณกินแคบหมูแล้วคุณเป็นเลยมันไม่
00:28:23 → 00:28:26 ใช่พวกเนี้ยมันเป็นพฤติกรรมหรือมันเป็น
00:28:26 → 00:28:29 ปัจจัยเสี่ยงที่สะสมอแล้วจะกินก็จะต้อง
00:28:29 → 00:28:32 แบบเฮ้ยนานๆทีอะไรเงี้ยอย่าลืมนะที่เขา
00:28:32 → 00:28:36 เอามาทอดเอามาทำเนี่ยโซเดียมก็สูงค่ะมัน
00:28:36 → 00:28:38 ไม่ใช่หัวใจอย่างเดียวความดันอีกความดัน
00:28:38 → 00:28:41 ก็กลับไปที่หัวใจอีกไตก็ทำงานหนักงั้น
00:28:41 → 00:28:43 แล้วเนี่ยการที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำอย่าลืมนะ
00:28:43 → 00:28:46 แคปหมูมันอมน้ำมันบางทีหืนอือ่าแล้วน้ำ
00:28:46 → 00:28:49 มันที่มันทอดซ้ำถ้าน้ำมันมันมันดำอย่าง
00:28:49 → 00:28:52 เงี้ยครับหรือมันมีสารพวกอคิราไมสารเอ่อ
00:28:52 → 00:28:55 ก่อมะเร็งพวกสารมีขั้วทั้งหลายแหลที่สาร
00:28:55 → 00:28:58 ที่ที่ทำให้เกิดมะเร็งเนี่ยอยู่เยอะเนี่ย
00:28:58 → 00:28:59 เราได้แถมไป
00:28:59 → 00:29:01 [เพลง]
00:29:01 → 00:29:06 ด้วย This Is Toy PBS
00:29:06 → 00:29:09 podcast ติดตามรายการทางเว็บไซต์และ
00:29:09 → 00:29:12 Application ของ Thai PBS podcast
00:29:12 → 00:29:15 spotify soundcloud Google podcast
00:29:15 → 00:29:18 Apple podcast และ YouTube Channel
00:29:18 → 00:29:22 Thai PBS podcast Thai PBS podcast
00:29:22 → 00:29:27 View the world via The
00:29:27 → 00:29:31 Voice อ