00:00:00 → 00:00:02 คุณหมอครับถามก่อนเลยครับอย่างที่พี่หยก
00:00:02 → 00:00:06 ได้เกริ่นไปเรื่องของภาวะสมองล้าสมองล้า
00:00:06 → 00:00:09 นี่มันมันคืออะไรครับคุณหมอครับอยากให้
00:00:09 → 00:00:12 คุณหมอช่วยอธิบายให้เราได้เห็นภาพกันชัดๆ
00:00:12 → 00:00:15 สักหน่อยครับคุณหมอฮะครับอ่าจริงๆมันเป็น
00:00:15 → 00:00:18 คำค่อนข้างกว้างๆนะครับแต่ว่าถ้าเทียบจาก
00:00:18 → 00:00:21 ง่ายๆก็คือว่าคำคำว่าร้านเนี่ยมันก็คือ
00:00:21 → 00:00:25 อาการอ่อนเพลียเหนื่อยเมื่อยล้าครับมันจะ
00:00:25 → 00:00:28 เป็นลักษณะของสิ่งที่เรารู้สึกแต่ว่าส่วน
00:00:28 → 00:00:30 ใหญ่เนี่ยเรามักจะใช้คำเนี้ยในลักษณะของ
00:00:30 → 00:00:34 ร่างกายทั่วๆไปอย่างเช่นเพิ่งไปวิ่งมา
00:00:34 → 00:00:37 เพิ่งออกกำลังกายมามีอาการเหนื่อยล้าตาม
00:00:37 → 00:00:41 แขนตามขาตามลำตัวนะฮะเพราะออกกำลังกายอาจ
00:00:41 → 00:00:44 จะหักงเกินไปได้พักน้อยอันเนี้ยเราก็เอา
00:00:44 → 00:00:47 มาอบใช้กับปัญหาเรื่องความคิดความจำแทนนะ
00:00:47 → 00:00:49 ครับก็เลยใช้คำว่าเป็นสว่าสมองล้า
00:00:49 → 00:00:52 อันเนี้ยก็จะเป็นลักษณะคล้ายๆกันก็คือว่า
00:00:52 → 00:00:56 รู้สึกเพลียก่อนล้านะครับเวลาที่ต้องใช้
00:00:56 → 00:01:00 ความคิดต้องใช้สมาธิหรือว่าต้องทำอะไรที่
00:01:00 → 00:01:03 ต้องมีความจดจ่อนะครับอันเนี้ยเราก็ใช้
00:01:03 → 00:01:05 เป็นคำกว้างๆนะฮะเพราะฉะนั้นจริงๆแล้ว
00:01:05 → 00:01:08 เอ่อคำว่าสมองล้านเนี่ยมักจะเป็นลักษณะ
00:01:08 → 00:01:12 ของเอ่อกลุ่มอาการกว้างๆมากกว่าที่คนใคร
00:01:12 → 00:01:15 คนนึงอาจจะมาบ่นแต่ว่าอาจจะเป็นส่วนผสม
00:01:15 → 00:01:18 ของอ่าอาการที่มีสาเหตุหลายๆอย่างแล้วก็
00:01:18 → 00:01:21 มีลักษณะอาการแสดงที่แตกต่างกันออกไป
00:01:21 → 00:01:23 ประมาณนั้นครับค่ะอาจารย์คะอย่างอย่าเรา
00:01:24 → 00:01:25 บอกว่าร่างกายเราล้าเรารู้สึกเหนื่อยเรา
00:01:26 → 00:01:28 นอนพักมันก็หายแต่ว่าอย่างเงี้ยค่ะการขับ
00:01:28 → 00:01:30 รถนานหรือว่าการจดจดจ่ออย่างที่อาจารย์
00:01:30 → 00:01:33 บอกค่ะหรือการโฟกัสอะไรเป็นเวลานานเนี่ย
00:01:33 → 00:01:35 คือเรารู้สึกเมื่อยร้านแล้วมันทำให้คือ
00:01:35 → 00:01:38 การแสดงถึงว่าสมองร้านเมันมาจากอาการง่วง
00:01:38 → 00:01:41 หรือว่ามันเหนื่อยทางร่างกายป่ะคะหรือ
00:01:41 → 00:01:43 สมองจริงๆมันก็ไม่เหน็ไม่เหนื่อยหรอกมัน
00:01:43 → 00:01:46 ก็โอเคยิ่งคิดยิ่งฉลาดยิ่งทำอะไรยิ่งตื่น
00:01:46 → 00:01:49 ตัวอย่างนี้รือเปล่าคะอืครับจริงๆสมองล้า
00:01:49 → 00:01:52 ถ้าถ้าโดยสรุปง่ายๆเนี่ยอาการที่มักจะ
00:01:52 → 00:01:55 หมายถึงสมองล้าเวลาคนไข้มาพบผมหรือว่าอาจ
00:01:55 → 00:01:58 จะคล้ายๆกับเราได้ยินมาจากคนอื่นอีกทีนึง
00:01:58 → 00:02:02 ก็คือมักจะมีปัญหาเรื่องความคิดความจำฮะ
00:02:02 → 00:02:04 ก็คือคล้ายๆกับว่ารู้สึกว่าหัวไม่แล่นนะ
00:02:04 → 00:02:07 ครับสมองไม่ค่อยแล่นรู้สึกว่ามันอ่อนล้าง
00:02:07 → 00:02:09 ง่ายนะครับอาจจะมีปัญหาเรื่องการวางแผน
00:02:09 → 00:02:12 การทำงานก็คืออาจจะทำงานแล้วทำได้ไม่ค่อย
00:02:12 → 00:02:15 ดีกเท่าเดิมนะครับอาจจะรู้สึกสับผนได้
00:02:15 → 00:02:19 ง่ายนะครับหลงลืมง่ายว่าจะต้องแพลนทำอะไร
00:02:19 → 00:02:22 ก่อนนะครับอีกอันนึงก็คือการขาดสมาธิจด
00:02:22 → 00:02:24 จ่อนะครับอย่างเช่นไม่สามารถโจดจ่อกับ
00:02:24 → 00:02:27 สิ่งในสิ่งนึงได้ตลอดนะครับรวมถึงอาจจะมี
00:02:27 → 00:02:30 อาการทางกายอื่นๆแทรงมาร่วมกับอาการสมอง
00:02:30 → 00:02:33 ล้าด้วยเช่นมีอาการปวดศีรษะนะครับมึน
00:02:34 → 00:02:37 ศีรษะได้ง่ายนอนไม่หลับนะครับมักจะมีการ
00:02:37 → 00:02:40 ผสมผสานกันนะฮะทีนี้สาเหตุของอาการสมอง
00:02:40 → 00:02:43 ล่าครับผมสามารถแยกออกไปได้ง่ายๆเลย 2
00:02:43 → 00:02:47 อันนะครับก็คือเป็นสาเหตุต้นทางจากปัญหา
00:02:47 → 00:02:50 เรื่องสมองกับเรื่องจิตใจโดยตรงกับสาเหตุ
00:02:50 → 00:02:53 ที่มาจากอาการทางกายนะครับสาเหตุที่มาจาก
00:02:53 → 00:02:56 สมองหรือมาจากจิตใจโดยตรงก็เกิดจากอะไรฮะ
00:02:56 → 00:02:59 อันที่ง่ายๆเลยก็คืออ่าทำงานหนักเกินไป
00:02:59 → 00:03:02 หรือเปล่านะครับและเราพักผ่อนน้อยไปมยนะ
00:03:02 → 00:03:05 ครับกลุ่มที่มีความเครียดจากการทำงานการ
00:03:05 → 00:03:08 ทำงานที่ยาวนานเกินไปนอนไม่พอนะครับไม่
00:03:08 → 00:03:11 ได้พักผ่อนพักผ่อนในที่นี้เนี่ยอาจจะไม่
00:03:11 → 00:03:13 ได้รวมถึงการนอนอย่างเดียวนะฮะแต่หมายถึง
00:03:13 → 00:03:16 การพักผ่อนหย่อนใจนะครับการได้ทำในสิ่ง
00:03:16 → 00:03:20 ที่ชอบการได้นั่งดู netflix การได้นั่ง
00:03:20 → 00:03:23 เล่นเกมนะครับในสิ่งที่ตัวเองชอบถ้าของ
00:03:23 → 00:03:26 สิ่งเนี้ยขาดหายไปแต่การทำงานมันโอเวอร์
00:03:26 → 00:03:28 ขึ้นมาแทนเนี่ยมันก็จะทำให้เกิดภาวะสมอง
00:03:28 → 00:03:31 ล้านได้ง่ายนะครับอาจจะมีความเครียดมี
00:03:31 → 00:03:34 ความซึมเศร้าแทรกมาด้วยนะครับกลายเป็นโรค
00:03:34 → 00:03:37 กังวลไปนะฮะอีกกลุ่มนึงก็คือปัญหาที่มาสา
00:03:37 → 00:03:39 สาเหตุทางกายนะครับสาเหตุทางกายก็อย่าง
00:03:39 → 00:03:44 เช่นอ่าสาเหตุทางกายก็อย่างเช่นอาจจะัก
00:03:44 → 00:03:46 ผ่อนน้อยเนี่ยก็จริงๆก็เป็นสาเหตุทั้งทาง
00:03:46 → 00:03:49 ทั้งทางสมองแล้วก็ทางใจเหมือนกันนะครับ
00:03:49 → 00:03:52 อีกอันนึงก็คือถ้าสมมุติว่าเรากินอาหาร
00:03:52 → 00:03:55 ไม่เพียงพอนะครับกินอาหารน้อยด้วยทำงาน
00:03:55 → 00:03:58 มากเกินไปด้วยนะครับในสารอาหารไม่เพียงพอ
00:03:58 → 00:04:02 ออกกำลังกายหักูมเกินไปนะครับก็คือมากก็
00:04:02 → 00:04:05 ไม่ดีน้อยไปก็ไม่ดีนะฮะหรือว่าอาจจะมี
00:04:05 → 00:04:08 เรื่องการใช้ยาบางอย่างนะครับไม่ว่าจะ
00:04:08 → 00:04:10 เป็นยาประจำอันเนี้ยก็ทำให้เกิดปัญหาสมอง
00:04:10 → 00:04:12 ล้าได้เหมือนกันใชเป็นต้นเหตุทางกายหรือ
00:04:12 → 00:04:15 กลุ่มที่ใช้สารเสพติดเนี่ยอันเนี้ยก็
00:04:15 → 00:04:17 สามารถทำให้เกิดสมองล้าได้เช่นเดียวกัน
00:04:17 → 00:04:19 ครับเพราะฉะนั้นผมสามารถแยกง่ายๆคือเป็น 2
00:04:19 → 00:04:22 สาเหตุครับคือปัญหาเรื่องสมองจิตใจจกับ
00:04:22 → 00:04:26 ปัญหาเรื่องอาการทางกายเป็นหลักครับอือื
00:04:26 → 00:04:28 ถามเรื่องของจิตใจแล้วกันครับคุณหมอครับ
00:04:28 → 00:04:33 คือเรื่องของจิตใจนี่อืมอาการเครียดวิตก
00:04:33 → 00:04:38 กังวลต่างๆนี่มันส่งผลต่อสมองได้ได้เยอะ
00:04:38 → 00:04:42 ขนาดไหนครับคุณหมอมันถึงพาไปสู่อาการล้า
00:04:42 → 00:04:46 ของสมองได้ฮคุณหมอฮะคือส่วนใหญ่เนี่ยมัน
00:04:46 → 00:04:49 ขึ้นกับอ่าความสามารถในการจัดการความ
00:04:49 → 00:04:52 เครียดของเราครับผมถ้าสมมุติว่าอ่าเรา
00:04:52 → 00:04:55 สามารถจัดการความเครียดได้ดีเช่นถ้ารู้
00:04:55 → 00:04:58 ว่ามีปัญหาเรื่องเครียดละอาจจะบางคนอาจจะ
00:04:58 → 00:05:01 ใช้วิธีการพักผ่อนด้วยวิธีการนอนไปทำ
00:05:01 → 00:05:05 กิจกรรมที่รีกมากขึ้นพักผ่อนฟังเพลงดู
00:05:05 → 00:05:08 ทีวีเล่นเกมอ่านหนังสือที่ตัวเองชอบนะ
00:05:08 → 00:05:11 ครับถ้าเป็นคนที่สามารถโคปก็คือบริหารจัด
00:05:11 → 00:05:14 การความเครียดได้เนี่ยภาว่าสมองล้าก็อาจ
00:05:14 → 00:05:15 จะไม่เกิดนะครับมันก็เหมือนกับการที่เรา
00:05:15 → 00:05:19 อ่าชาร์จแบตเตอรี่อ่ะครับถ้าสมมุติว่าเรา
00:05:19 → 00:05:21 ใช้งานมากเกินไปแบตเตอรี่มันก็หมดถูกมั้ย
00:05:21 → 00:05:23 ครับอันเนี้ยมันก็เกิดการทำงานที่ไม่ดี
00:05:23 → 00:05:26 สมองล้ามันก็เกิดตามมาถ้าเราพักผ่อนเนี่ย
00:05:26 → 00:05:30 ได้ดีนอนได้พอทำกิจกรรมที่ชอบได้พอมันก็
00:05:30 → 00:05:32 เหมือนการที่เราชาร์จแบตให้ตัวเองแบตก็จะ
00:05:32 → 00:05:34 กลับมาเต็มอีกครั้งนึงคราวนี้สมองเราก็จะ
00:05:34 → 00:05:37 สามารถทำงานได้เต็มที่นะครับในขณะเดียว
00:05:37 → 00:05:39 กันถ้าเราไม่มีความสามารถในการบริหารจัด
00:05:39 → 00:05:44 การนะฮะไม่ได้พักผ่อนพอไม่ได้อ่าไม่ได้ทำ
00:05:44 → 00:05:48 กิจกรรมพักผ่อนจ่อนใจพอนะครับหรือบางคน
00:05:48 → 00:05:51 อาจจะมีภาวะเครียบที่กลายไปเป็นซึมเศร้า
00:05:51 → 00:05:54 ไปเลยนะครับแทรกไปด้วยนะฮะหรือว่ามีความ
00:05:54 → 00:05:57 วิตกกังวลที่ค่อนข้างมากจัดการไม่ได้
00:05:57 → 00:06:00 เนี่ยแบตมันก็ไม่เต็มอยู่ตลอดตเวลาครับ
00:06:00 → 00:06:02 ไม่สามารถชาร์จให้เต็มได้นะครับพอแบ่นไม่
00:06:02 → 00:06:05 เต็มโทรศัพท์ก็ทำงานไม่ได้สมองก็ทำงานไม่
00:06:05 → 00:06:08 ได้นะครับมันก็เป็นผลที่เกิดตามมานั่นเอง
00:06:08 → 00:06:11 ฮะอันนี้ก็ให้เห็นภาพง่ายๆค่ะเพออาจารย์
00:06:11 → 00:06:13 เมื่อกี้ค่ะที่พูดถึงบอกว่าถ้าเราไม่ได้
00:06:13 → 00:06:15 ดู netflix หรือแบ่งเวลาทำในสิ่งที่ชอบ
00:06:15 → 00:06:18 เราทำอะไรด้านใดด้านหนึ่งที่มากเกินไปมัน
00:06:18 → 00:06:20 ก็ทำให้เรารู้สึกล้าแต่ทีนี้ค่ะอาจารย์
00:06:20 → 00:06:22 อย่างที่อาจารย์บอกไปว่าถ้าเราได้แบ่ง
00:06:22 → 00:06:25 เวลาแล้วดูแต่ว่าทีเนี้เราทั้งทำงานก็
00:06:25 → 00:06:28 หนักอยากอยากดูหนังดูซีรีส์ก็ดูอย่าเงี้ย
00:06:28 → 00:06:30 ค่ะอาจารย์ทุกอย่างที่มันโอเวอโหลดเกินไป
00:06:30 → 00:06:34 อย่าเงี้ยค่ะมันมันล้ามั้ยคะหรือว่าโอเค
00:06:34 → 00:06:36 แต่ว่าจิตใจมันชุ่มชื่นอันนี้ยอมรับจริงๆ
00:06:36 → 00:06:38 ค่ะถ้าวันนึงไม่ได้ดูซีรีส์หรือแบบไม่ได้
00:06:38 → 00:06:40 เห็นหน้าพระเอกสักนิดนึงจิตใจมันก็จะรู้
00:06:40 → 00:06:44 สึกห่อเหียวเล็กน้อยอือครับผมผมคิดว่าอัน
00:06:44 → 00:06:46 นี้มันเป็นส่วนหนึ่งของ Balance อ่ะครับ
00:06:46 → 00:06:49 มันก็เป็นทางสายกลางแบบนึงก็คือผมคิดว่า
00:06:49 → 00:06:53 คนส่วนใหญ่อ่ะครับน่าจะน่าจะใช้เวลาพัก
00:06:53 → 00:06:55 ผ่อนน่ะมีการแบ่งชั่วโมงอยู่แล้วจากการทำ
00:06:55 → 00:06:57 งานทั่วไปครับเช่นกลับมาจากที่ทำงานหรือ
00:06:57 → 00:06:59 ช่วงวันหยุดสงกรานต์นี่แหละครับวันหยุด
00:06:59 → 00:07:01 เสาร์อาทิตย์หรืออะไรประมาณนี้ยฮะก็
00:07:01 → 00:07:03 สามารถแบ่งเวลาในการเอาเวลาส่วนนึงไปอ่าน
00:07:03 → 00:07:06 หนังสือเอาเวลาส่วนนึงไปทำสิ่งที่ชอบได้
00:07:06 → 00:07:08 และในขณะเดียวกันก็ต้องแบ่งเวลานอนให้
00:07:08 → 00:07:11 เพียงพอซึ่งบางคนอาจจะแนะนำ 6-8 ชั่วมงนะ
00:07:11 → 00:07:14 ครับผมคิดว่าคนส่วนใหญ่อ่ะน่าจะพอจัดการ
00:07:14 → 00:07:16 กับปัญหานี้ได้อยู่แล้วขึ้นกับความสามารถ
00:07:16 → 00:07:19 ในการจัดสรรเวลานะครับทีนี้โอเคมันก็จะมี
00:07:19 → 00:07:22 คนส่วนน้อยอ่ะครับที่อ่าทำงานก็เยอะนะ
00:07:22 → 00:07:26 ครับก็อย่างที่ทางพิธีกรบอกอ่ะครับคือทำ
00:07:26 → 00:07:28 งานก็เยอะในขณะเดียวกันก็ต้องการจะรีแลก
00:07:28 → 00:07:33 เต็มที่บางคนเลเกโซ่งก็นอนพักเพียง 3 ชม
00:07:33 → 00:07:35 อันนี้ก็เป็นปัญหาเหมือนกันครับผมก็คิด
00:07:35 → 00:07:39 ว่าอย่างที่บอกอ่ะครับว่าการแบ่งสันเวลา
00:07:39 → 00:07:43 ให้มันพอดีพอดีพักพอควรทำงานพอควรกลับมา
00:07:43 → 00:07:46 จากที่ทำงานมีงานค้างๆอยู่ทำเท่าที่ควรนะ
00:07:46 → 00:07:49 ครับในขณะเดียวกันก็ต้องมีเวลานอนให้
00:07:49 → 00:07:51 เพียงพอผมคิดว่าอันนี้ก็ช่วยได้ฮะถ้าพัก
00:07:51 → 00:07:54 มากเกินไปก็ไม่ดีพักน้อยเยนไปก็ไม่ดีครับ
00:07:54 → 00:07:58 ผมอืค่ะอาจารย์คะแต่ในกรณีเค่ะที่ทุกคน
00:07:58 → 00:08:01 กำลังมุ่งหน้าสู่เดินทางกลับภูมิลำเนา
00:08:01 → 00:08:02 หรือกลับไปท่องเที่ยวอย่างเงี้ยค่ะ
00:08:02 → 00:08:05 อาจารย์เรียกว่าอยู่ในวิถีชีวิตในการทำ
00:08:05 → 00:08:07 งานก็เบื่อเต็มที่ะจัดหนัดจัดเต็มก็กำลัง
00:08:07 → 00:08:09 จะเดินทางอย่าเงี้ยค่ะอาจารย์การขับรถ
00:08:09 → 00:08:12 เป็นเวลานานน่ะสมองมันล้าั้ยคะหรือการที่
00:08:12 → 00:08:14 เราใช้สายตาเพ่งไปนี่มันล้าแล้วมันมีวิธี
00:08:14 → 00:08:17 ที่ทำให้แบบสมองมันตื่นตัวหรือว่าสั่งการ
00:08:17 → 00:08:20 ควบคุมได้ดีมเพราะบางคนอย่างบางคนก็เลือก
00:08:20 → 00:08:22 ดื่มเครื่ดื่มแอลกอฮอล์ที่เขาบอกว่าจะทำ
00:08:22 → 00:08:25 ให้สมองเนี่ยค่ะมันสั่งการช้าลงประมาณ 0.5
00:08:26 → 00:08:28 นี้ข้อมูลของสสสอันนี้โยก็ไม่ทราบว่าข้อ
00:08:28 → 00:08:31 เท็จจริงมันเป็นแบประการใดคะอาจารย์ครับ
00:08:31 → 00:08:34 ก็อย่างที่ผมอธิบายไปฮะสาเหตุของสมองร้าน
00:08:34 → 00:08:36 เนี่ยก็มาจากสาเหตุทางใจแแลกเช่นเดียวกัน
00:08:36 → 00:08:39 จากสาเหตุทางใจนะฮะการใช้งานร่างกายที่
00:08:39 → 00:08:41 มากเกินไปนะครับเพราะว่าเวลาเราขับรถ
00:08:41 → 00:08:44 เนี่ยเราก็ขับรถเราก็ใช้ประสาทสัมพัสทุก
00:08:44 → 00:08:48 ส่วนใช้ตามองกระจกข้างหน้านะครับใช้แขนใน
00:08:48 → 00:08:50 การขยะพวงมาลัยใช้ขาในการเหยียบเบรก
00:08:50 → 00:08:53 เหยียบพันเร่งนะครับร่างกายมันต้องทำงาน
00:08:53 → 00:08:55 ทุกส่วนเพราะฉะนั้นถ้าเราใช้ร่างกายมาก
00:08:55 → 00:08:57 เกินไปอย่างเช่นบางคนขับโรดหักโหมไปเลย
00:08:57 → 00:09:01 คือชนิดแบบขับจากกรุงเทพฯไปเชียงใหม่ 700
00:09:01 → 00:09:03 กมอ่ะครับแล้วก็ไม่มีเวลาพักเป็นของตัว
00:09:03 → 00:09:06 เองเลยนะครับมั่นใจได้เลยครับว่าคุณหลับ
00:09:06 → 00:09:09 ในแน่นอนเพราะว่าปัญหาก็คือสมองล้าที่
00:09:09 → 00:09:11 เกิดจากร่างกายมันทำงานล้าเกินไปนะครับ
00:09:11 → 00:09:14 ซ้ำร้ายก็คือถ้าดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
00:09:14 → 00:09:16 ด้วยก็อย่างที่ผมอธิบายเลยครับสารพิษสาร
00:09:16 → 00:09:20 เสพติดการใช้ยาบางชนิดมันก็เป็นสาเหตุทาง
00:09:20 → 00:09:23 กายที่ทำให้สมองล้าเช่นกันนะครับการดื่ม
00:09:23 → 00:09:25 เครื่องดื่มแอลกอฮอล์นอกจากจะทำให้
00:09:25 → 00:09:28 ประสิทธิภาพในการคิดคำนวณค่อนข้างจะลดลง
00:09:28 → 00:09:32 แล้วนะครับยังทำให้มีโอกาสเซมีโอกาสมึน
00:09:32 → 00:09:35 ศีรษะแล้วก็ทำให้การขับเนี่ยมันก็อาจจะ
00:09:35 → 00:09:37 ฉวัดเฉวียนได้ท้ายที่สุดแล้วเนี่ย
00:09:37 → 00:09:39 แอลกอฮอล์เป็นการกระตุ้นให้หลับชั้นดีเลย
00:09:39 → 00:09:43 ครับ้าดื่มไปสักระยะนึงคนไข้ก็จะหลับในฮะ
00:09:43 → 00:09:46 พอหลับในเสร็จปุ๊บก็อย่างที่เราคาดเดาได้
00:09:46 → 00:09:49 ครับก็จะกลายเป็น 1 คนใน 1 คนในลิสต์ของ
00:09:49 → 00:09:53 จำนวนของบุคคลที่ขับชนนะครับในเทศกาล
00:09:53 → 00:09:55 สงกรานต์ทั้งหลายก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลขอ่ะ
00:09:55 → 00:09:57 ครับเราก็ไม่ค่อยอยากจะคาดหวังให้มันเกีย
00:09:57 → 00:09:59 เหตุการณ์นั้นเท่าไหร่เพราะฉะนั้นคนที่
00:09:59 → 00:10:02 ขับรถอย่าขับหักผมเกินไปครับต้องมีเวลา
00:10:02 → 00:10:05 พักบ้างนะครับแล้วก็ต้องเปลี่ยนคนขับบ้าง
00:10:05 → 00:10:07 อันนี้สำคัญที่สุดเลยถ้าขับหลายคนเนี่ย
00:10:07 → 00:10:10 ข้อดีก็คือขับสัก 3-4 ชั่วโมงแล้วอันนี้
00:10:10 → 00:10:12 ก็ค่อนข้างถือว่าเยอะแล้วนะครับก็ต้อง
00:10:12 → 00:10:15 สลับคนขับบ้างไม่ใช่ 5-6 ชั่วโมงขับคน
00:10:15 → 00:10:18 เดียวตลอดเวลาหรือว่าถ้ามีคนเดียวก็ต้อง
00:10:18 → 00:10:21 มีการแวะพักนะครับเข้าห้องน้ำห้องท่ากิน
00:10:21 → 00:10:24 น้ำกินอาหารให้เรียบร้อยกลับมาขับต่อนะ
00:10:24 → 00:10:26 ครับหรือว่าบางคนอาจจะถึงข่าต้องนอนพัก
00:10:26 → 00:10:29 เลยก็ได้นะฮะแน่นอนว่าต้องดื่มไม่ขับครับ
00:10:29 → 00:10:35 อืค่ะออ่ะน้องบเรืองของการอคุณหมอเมื่อ
00:10:35 → 00:10:37 กี้คือที่พหยกได้เกริ่นไปตั้งแต่ตอนแรก
00:10:37 → 00:10:41 อ่ะครับว่าว่าไอ้การที่แบบเราเราจริงๆเรา
00:10:41 → 00:10:43 อาจจะไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์ก็ได้ไอ้การขับ
00:10:43 → 00:10:48 รถที่มันจะต้องเพ่งเส้นทางเพ่งถนนเนี่ย
00:10:48 → 00:10:52 มันเป็นระยะเวลานานๆจนทำให้เกิดอาการรู้
00:10:52 → 00:10:55 สึกว่าเหนื่อยล้าเนี่ยมันเกี่ยวข้องกับ
00:10:55 → 00:10:58 ภาวะของสมองเราที่มันล้าด้วยไครับคุณหมอ
00:10:58 → 00:10:59 ฮะ
00:10:59 → 00:11:02 ครับคือมันมันก็เป็นการผสมผสานกันนะครับ
00:11:02 → 00:11:06 เมื่อร่างกายล้าเนี่ยฮะสมองก็จะล้าลงไป
00:11:06 → 00:11:08 เพราะว่าประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกาย
00:11:08 → 00:11:10 ไม่เต็มที่นะครับไม่ว่าจะเป็นเรื่องการ
00:11:10 → 00:11:14 สูบฉีดเลือดไปเลี้ยงสมองนะครับฮอร์โมนใน
00:11:14 → 00:11:16 ร่างกายนะครับถ้าร่างกายทำงานล้าเกินไป
00:11:16 → 00:11:18 เนี่ยฮอร์โมนที่หลั่งออกมามากมันจะเป็น
00:11:18 → 00:11:21 ฮอร์โมนของภาวะเครียดซึ่งจะทำให้
00:11:21 → 00:11:23 ประสิทธิภาพการทำงานของสมองโดยรวมมันค่อน
00:11:23 → 00:11:26 ข้างแย่ลงนะครับสมองจะปรับเข้าสู่ภาวะ
00:11:26 → 00:11:30 เครียดนะครับการคิดการคำนวณปติสัมปชัญญะ
00:11:30 → 00:11:33 อาจจะเบาถอยลงไปในขณะเดียวกันนะครับถ้า
00:11:33 → 00:11:36 ใช้สมองมากเกินไปมันก็สามารถสวนทางกลับมา
00:11:36 → 00:11:38 ได้ครับมันก็ทำให้ร่างกายอ่อนล้าลงเพราะ
00:11:38 → 00:11:41 ว่าสมองก็จะกระตุ้นให้เกิดฮอร์โมนที่ทำ
00:11:41 → 00:11:43 ให้ร่างกายมันทำงานล้าลงเช่นเดียวกันครับ
00:11:43 → 00:11:46 ในขณะเดียวกันก็เหมือน
00:11:46 → 00:11:50 เอ่อเคยได้ยินสุภาษิตมั้ยครับจิตจิตเป็น
00:11:50 → 00:11:53 นายกลายเป็นบ่าวอครับสมองเนี่ยก็เป็นตัว
00:11:53 → 00:11:55 ควบคุมระบบประสานอัตโนมัติของร่างกายเช่น
00:11:55 → 00:11:59 กันความเครียดก็จะทำให้หัวใจเต้นผิดปกติ
00:11:59 → 00:12:02 ความเครียดจะทำให้ความดันขึ้นสูงได้ระบบ
00:12:02 → 00:12:04 การควบคุมการขับถ่ายอาจจะไม่ดีเกิดขึ้น
00:12:04 → 00:12:08 ได้เพราะฉะนั้นราร่างกายที่ร่างกายที่ใช้
00:12:08 → 00:12:11 งานมากเกินไปทำให้สมองล้าในขณะเดียวกัน
00:12:11 → 00:12:14 สมองที่ใช้งานมากก็ทำให้ร่างกายมันทำงาน
00:12:14 → 00:12:16 ได้ไม่เต็มที่หรือว่าทำงานในภาวะที่ผิด
00:12:16 → 00:12:21 ปกติเช่นกันครับสลับกันไปอืค่ะอาจารย์คะ
00:12:21 → 00:12:24 คือการอืค่ะพี่ยเชิญครับพี่ยค่ะคือเมื่อ
00:12:24 → 00:12:26 กี้ตอนที่อาจารย์บอกว่าพอร่างกายมันล้า
00:12:26 → 00:12:28 ทุกอย่างยิ่งดื่นขดื่นกับแอลกอฮอล์ยิ่งทำ
00:12:28 → 00:12:31 ให้เรานอนหลับแล้วอดถามไม่ได้นิดนึงค่ะ
00:12:31 → 00:12:33 อาจารย์แล้วเครื่องดื่มชูกำลังอ่ะคะ
00:12:33 → 00:12:38 สารพัดเ่ากำลังทั้งหลายชู 2 นิ้วก็แล้ว
00:12:38 → 00:12:41 เป็นหลักร้อยก็แล้ว 150 ก็แล้วอันนี้ช่วย
00:12:41 → 00:12:44 ได้มั้ยคะให้เราตืเครื่องมทูกำลังเนี่ย
00:12:44 → 00:12:47 ส่วนใหญ่จะผสมพวกวิตามินแล้วก็มันจะมี
00:12:47 → 00:12:50 ส่วนผสมของอ่าอาจจะมีพวกแบบสารให้ความ
00:12:50 → 00:12:53 หวานอื่นๆพอสมควรนะครับค่ะเอ่อจริงๆแล้ว
00:12:53 → 00:12:56 อ่าเครื่องดื่มทูกำลังเนี่ยปัญหาส่วนใหญ่
00:12:56 → 00:12:58 มักจะเกิดจากการที่เอาเครื่องดื่มทูกำลัง
00:12:58 → 00:13:00 ไปผสมเรามากกว่าครับซึ่งก็คือได้
00:13:00 → 00:13:03 แอลกอฮอล์ไปอยู่ดีแต่ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์
00:13:03 → 00:13:05 เนี้ยกินแล้วก็เมาเหมือนกันขับแล้วก็หลำ
00:13:06 → 00:13:08 ในเหมือนกันครับจบไม่แตกต่างกันแต่ทีนี้
00:13:08 → 00:13:10 ถ้าดืมเครื่องดื่มชูกำลังอย่างเดียวไม่
00:13:10 → 00:13:13 ได้เอาไปผสมเหล้านะครับอ่าตัวเครื่องดื่ม
00:13:13 → 00:13:15 ชูกำลังมันไม่ได้มีแอลกอฮอล์มันส่วนผสม
00:13:15 → 00:13:17 มากเป็นพิเศษครับแต่ยังไงมันก็ค่อนข้าง
00:13:17 → 00:13:21 หวานแล้วก็โอเคฮะมันก็อาจจะมีส่วนผสมหลาย
00:13:21 → 00:13:24 ๆอย่างที่อาจจะทำให้ลูกศิษยกระปี้กระเป๋า
00:13:24 → 00:13:26 ขึ้นมาบ้างมีวิตามินอะไรประมาณนี้ฮะแต่
00:13:26 → 00:13:30 ว่าข้อข้อแนะนำทั่วไปก็อย่างที่แปะขวด
00:13:30 → 00:13:32 เครื่องดื่มูกำลังอยู่แล้วครับว่าไม่ควร
00:13:32 → 00:13:35 ดื่มมากเกินไปครับอะไรที่มากเกินไปบางท
00:13:35 → 00:13:37 มันก็ไม่ดีทั้งนั้นนะครับแต่โดยภาพรวมก็
00:13:37 → 00:13:39 คือมันไม่ได้ถึงขั้นทำให้กินแล้วหลับในใน
00:13:39 → 00:13:41 ขณะเดียวกันเนี่ยจะถามว่ามันกินแล้วทำให้
00:13:41 → 00:13:45 ประสาทเืมตัวมากจริงๆถึงขนาดทำให้ตื่นมาก
00:13:45 → 00:13:48 สามารถขับรถได้ทีเดียว 8-10 ชั่วมงไม่
00:13:48 → 00:13:51 หยุดม้เวลากลางคืนไม้มันก็ไม่ได้ถึงขนาด
00:13:51 → 00:13:54 นั้นครับอันนี้ก็ต้องยอมรับตรงๆเลยว่ามัน
00:13:54 → 00:13:58 ก็เหมือนเรากินพวกน้ำหวานทั่วๆไปอ่ะครับ
00:13:58 → 00:14:01 คือทำให้กระปี้กระเป๋าขึ้นมาได้บ้างแต่
00:14:01 → 00:14:04 ว่าก็ไม่ได้ถึงขั้นทำให้ตาค้างจนสามารถ
00:14:04 → 00:14:07 ขับรถระยะยาวได้โดยไม่หลับในเช่นเดียวกัน
00:14:07 → 00:14:10 ครับเพราะฉะนั้นผมคิดว่ากินพอดีพอดีเป็น
00:14:10 → 00:14:13 สิ่งที่ดีที่สุดครับและยังไงหลังกินแล้ว
00:14:13 → 00:14:15 ก็ต้องทักอยู่ดีครับออสรุปก็พักแต่
00:14:15 → 00:14:17 อาจารย์ค่ะอีกอันนึงค่ะอันเนี้ยสงสัยมาก
00:14:17 → 00:14:21 อันนี้ของปปดน้องดรมกาแฟค่ะอาจารย์กาแฟ
00:14:21 → 00:14:23 เนี่ยสารพัดเนี่ยบางคนบอกว่าขับรถนาน
00:14:23 → 00:14:25 อย่างที่อาจารย์บอกว่า 3-4 ช่วโมงต้องพัก
00:14:25 → 00:14:28 หรืออะไรอย่างเงี้ยค่ะแล้วมันต้องมีอุป
00:14:28 → 00:14:31 มันต้องมีเครื่องมือช่วยใช่แล้วทีนี้เรา
00:14:31 → 00:14:34 คือกาแฟใช่แล้วยิ่งเราขับรถใช่มยน้องดรีม
00:14:34 → 00:14:37 เนาะเดี๋ยวนี้มันมีปั๊มน้ำมันทุกปั๊มมี
00:14:37 → 00:14:41 แต่ร้านกาแฟอาจารย์มีให้เลือกหลายยี่ห้อ
00:14:41 → 00:14:44 หลายทุกอย่างช่วยแล้วคนที่เชอบขับรถเนี่ย
00:14:44 → 00:14:47 เชอบบอกว่ากาแฟในร้านสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง
00:14:47 → 00:14:51 เนี่ยมันดีดมากกินแล้วปาค้างกินแล้วไม่
00:14:51 → 00:14:54 ง่วงอ่าอยากถามคุณหมอเลยครับว่ากาแฟนี่
00:14:54 → 00:14:58 มันมันช่วยได้มากน้อยขนาดไหนฮคุณหมอฮะ
00:14:58 → 00:15:01 ครับอ่ากาแฟเนี่ยมันจะต่างกันนิดนึงคือ
00:15:01 → 00:15:04 จริงๆตัวเครื่องดื่มชูกำลังเนี่ยสารสาร
00:15:04 → 00:15:06 ที่ทำให้เราตื่นที่สุดก็คือคาเฟอีนครับ
00:15:06 → 00:15:08 ค่ะตัวเครื่องดชูกำลังเนี่ยมันจะมี
00:15:08 → 00:15:10 คาเฟอีนผสมเหมือนกันแต่จริงๆมันจะปริมาณ
00:15:10 → 00:15:12 ที่ไม่ค่อยมากเท่าไหร่แต่กาแฟเนี่ยก็คือ
00:15:12 → 00:15:16 ต้นทานของคาเฟอีนเต็มๆฮะคาเฟอีนเนี่ยก็มี
00:15:16 → 00:15:18 ข้อมูลที่ค่อนข้างชัดเจนว่ามันทำให้สมอง
00:15:18 → 00:15:21 เืมตัวจริงนะครับเป็นกลไกของสารสื่อ
00:15:21 → 00:15:23 ประสาทนะครับเพราะฉะนั้นนอกจากประเด็น
00:15:23 → 00:15:25 เล่นทานขับรถเนี่ยคาเฟอีนก็อาจจะทำให้บาง
00:15:25 → 00:15:29 คนทำงานช่วงกลางคืนหรือว่าสามารถพนทำงาน
00:15:29 → 00:15:32 ได้นานขึ้นกว่าปกติได้อันนั้นก็คือมีข้อ
00:15:32 → 00:15:35 มูลจริงๆนะครับแต่ประเด็นก็คือมันเหมือน
00:15:35 → 00:15:38 ผมสรุปง่ายๆคือคาเฟอีนมันเหมือนเวลาเรา
00:15:38 → 00:15:41 ขี่ม้าครับเราขี่ม้าหรือใช้รถเทียมม้า
00:15:42 → 00:15:45 ครับแล้วเราไล่เฆี่ยนม้าฮะม้ามันวิ่งได้
00:15:45 → 00:15:48 ระยะทางนานขึ้นมั้ยใช่ฮะม้ามันวิ่งได้นาน
00:15:48 → 00:15:50 ขึ้นเวลากลางคืนมั้ยจากการจากแทนที่จะให้
00:15:50 → 00:15:53 ม้าอยู่ดพักใช่ครับแต่ประเด็นก็คือถ้าเรา
00:15:53 → 00:15:56 เกลี้ยนม้ามากเกินไปฝนที่ได้เป็นยังไงฮะ
00:15:56 → 00:15:58 ถ้าเกลี้ยนแค่วัน 2 วันก็อาจจะไม่เท่า
00:15:58 → 00:16:01 ไหร่ฮะแต่ถ้าเี่ยงทุกวันฮะคิดว่าม้ามันจะ
00:16:01 → 00:16:05 ตายมั้ยครับก็น่าจะเจ็บน่าจะเหนื่อยค่ะผม
00:16:05 → 00:16:08 ก็คิดว่าโอกาสที่ม้าจะได้รับบาดเจ็บแล้ว
00:16:08 → 00:16:10 สุดท้ายเนี่ยเราก็จะไม่สามารถขับรถเคียม
00:16:10 → 00:16:14 ม้าไปตลอดรอดฝั่งได้หรือดีไม่ดีม้าตายฮะ
00:16:14 → 00:16:18 อืเพราะฉะนั้นจริงๆแล้วก็คือพเอ่อโดยสรุป
00:16:18 → 00:16:21 คำแนะนำนะครับก็คือการใช้กาแฟเนี่ยอาจจะ
00:16:21 → 00:16:24 ได้ผลดีในระยะสั้นๆถ้าจำเป็นต้องใช้จริงๆ
00:16:24 → 00:16:27 บ้างเนี่ยก็อาจจะช่วยได้ในคนที่ทำงานกะ
00:16:27 → 00:16:29 ดึกจริงๆโดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องขับรถตอน
00:16:29 → 00:16:32 กลางคืนต้องทำงานกะกลางคืนนะครับแต่ถ้า
00:16:32 → 00:16:34 ใช้นานไปนะครับ่นเคลียร์ต่อร่างกายก็ค่อน
00:16:34 → 00:16:37 ข้างมีอยู่เพราะว่ามันเป็นการเฆี่ยนร่าง
00:16:37 → 00:16:39 กายแต่ร่างกายไม่ได้พักผ่อนในเรทที่
00:16:39 → 00:16:42 จำเป็นต้องได้พักนะครับในขณะเดียวกันพอ
00:16:42 → 00:16:45 มันถึงวันดีคืนดีเนี่ยพอร่างกายมันปรับ
00:16:45 → 00:16:47 ตัวได้เนี่ยสารถื่อประสานในร่างกายมัน
00:16:47 → 00:16:50 ปรับการใช้คาเฟอีนจำนวนเท่าเดิมเนี่ยมัน
00:16:50 → 00:16:53 จะไม่เพียงพอในการที่จะสามารถทำให้ตื่น
00:16:53 → 00:16:55 เนี่ยนะครับสุดท้ายมันต้องเพิ่มขึ้น
00:16:55 → 00:16:57 เรื่อยๆแล้วประสิทธิภาพในการทำงานเรามัน
00:16:57 → 00:17:00 ก็จะถดถอยครับเพราะฉะนั้นสุดท้ายแล้วการ
00:17:00 → 00:17:03 ใช้ระยะยาวเนี่ยมันก็จะไม่ช่วยให้เราตื่น
00:17:03 → 00:17:06 ได้เหมือนสมัยเท่าเดิมละอาจจะต้องเพิ่ม
00:17:06 → 00:17:09 ขนาดขึ้นเรื่อยๆแล้วสุดท้ายมันก็จบที่เรา
00:17:09 → 00:17:11 ไม่ได้นอนพักผ่อนเพียงพออยู่ดีครับมันก็
00:17:11 → 00:17:13 เหมือนม้าที่ถูกเฆี่ยนสุดท้ายมันก็เป็น
00:17:13 → 00:17:16 ม้าที่สุขภาพไม่ดีครับแล้วม้าก็อาจจะตาย
00:17:16 → 00:17:18 ในที่สุดครับสมองเราก็อาจจะจบไปด้วยการ
00:17:18 → 00:17:22 ล้าครับอออเพราะฉะนั้นคำแนะนำของผมก็คือ
00:17:22 → 00:17:25 กินได้ครับถ้าจำเป็นต้องขับรถกลางคืนจริง
00:17:25 → 00:17:28 ๆแต่อย่าไปพึ่งพามันตลอดตลอดชีวิตครับการ
00:17:29 → 00:17:32 พักผนยังคงสำคัญที่สุดอยู่ค่ะอันนี้ก็ออ
00:17:32 → 00:17:35 ตอบโจทย์ใช่มั้ยคะว่าแบบว่าคนแบบบคว่า
00:17:35 → 00:17:37 เอ๊ะทำไมทานกาแฟแล้วยังง่วงอยู่อออันนี้
00:17:37 → 00:17:40 เข้าใจเลยว่าอ๋อเป็นอย่างงี้ดิมฟังไว้นะ
00:17:40 → 00:17:44 ครับกินกินไปนานๆมันจะกินครับผมเคยเห็น
00:17:44 → 00:17:46 ส่วนใหญ่หมอนี่เป็นอาชีพที่กินกาแฟมากที่
00:17:46 → 00:17:48 สุดเลยโดยเพราะอยู่เวรกาอนะครับสุดท้าย
00:17:48 → 00:17:51 เนี่ยผมเห็นเพื่อนผมหลายคนมากที่ 2 แก้ว
00:17:51 → 00:17:54 กลางคืนสุดท้าย 2 แก้วเอาไม่อยู่ 3 แก้ว 4
00:17:54 → 00:17:57 แก้วบางทีกิน 4 แก้วก็หลับคาเวรยังมีฮะ
00:17:57 → 00:17:59 เพราะฉะนั้นสุดท้ายคือพอร่างกายมันปรับ
00:17:59 → 00:18:02 ตัวได้ขนาดเท่าเดิมมันไม่พอครับอืแม่เจ้า
00:18:02 → 00:18:06 สีแก้วเลยหรอคะอาจารย์สีเลยหรอคะดักนะคะ
00:18:06 → 00:18:08 ครับเขเวลาที่ไหนอาจารย์ขาแล้วอากาศร้อนๆ
00:18:08 → 00:18:11 อย่างเงี้ยคะอาจารย์คือทำไมเวลาอากาศร้อน
00:18:11 → 00:18:13 เราจะรู้สึกเพลียพอพรู้สึกเราเพลียแล้ว
00:18:13 → 00:18:16 มันก็รู้สึกว่าเออเนี่ยมันก็ชวนให้ง่วง
00:18:16 → 00:18:18 ได้ง่ายการขับรถหรือว่าการอะไรอย่างเงี้ย
00:18:18 → 00:18:22 มันก็ไม่ทนอ่ะค่ะอืครับอากาศร้อนมันก็จะ
00:18:22 → 00:18:25 ตกไปแลขาสาเหตุทางกายครับก็คือสุดท้าย
00:18:25 → 00:18:28 แล้วเนี่ยพอร่างกายเราพอร่างกายเรามามัน
00:18:28 → 00:18:30 ทำงานไม่เต็มที่เนี่ยร้อนมันมีปัญหา 2
00:18:30 → 00:18:34 เรื่องฮะคือถ้าร้อนเนี่ยการที่ร่างกายเรา
00:18:34 → 00:18:37 อุณหภูมิสูงเกินไปเนี่ยสาเหตุมาจาก 2 ทาง
00:18:37 → 00:18:39 คือ 1 เรารับอากาศหรือว่าอุณหภูมิที่ร้อน
00:18:39 → 00:18:42 มากเกินไปเข้ามาในร่างกายในขณะเดียวกัน
00:18:42 → 00:18:45 ความสามารถในการกำจัดความร้อนของเราจาก
00:18:45 → 00:18:47 ร่างกายอาจจะไม่ดีนะครับเมื่อไหร่ก็ตาม
00:18:47 → 00:18:50 ที่มันร้อนเกินไปก็เหมือนเปิดโทรศัพท์อ่ะ
00:18:50 → 00:18:52 ครับถ้าโทรศัพท์มันทำงานอวอ heat มันก็
00:18:52 → 00:18:55 เจ๊งนะฮะมันก็หลักการเดียวกันเลยครับ
00:18:55 → 00:18:57 เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ก็ตามช่วงนี้เนี่ยก็
00:18:57 → 00:19:00 ต้องยอมรับว่ามีเมษานี้เป็นเมษายนที่ร้อน
00:19:00 → 00:19:04 มากนะครับอากาศ 38-39 องศาตลอดเกือบทุก
00:19:04 → 00:19:06 วันนะครับเพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นเรื่อง
00:19:06 → 00:19:08 ที่ค่อนข้างน่าห่วงเหมือนกันบางคนที่ขับ
00:19:08 → 00:19:11 รถระยะทางนานๆช่วงกลางวันเนี่ยก็อาจจะเจอ
00:19:11 → 00:19:13 อากาศร้อนได้ถ้าเปิดแพมากไม่มากเพียงพอนะ
00:19:13 → 00:19:17 ครับถ้าอากาศขาเข้าเราร้อนมากเกินไปบางคน
00:19:17 → 00:19:19 ไม่ได้เปิดแอร์ด้วยซ้ำนะครับร้อนเกินไปใน
00:19:19 → 00:19:22 ขณะเดียวกันเราไม่ได้กินน้ำเพียงพอฮะคือ
00:19:22 → 00:19:25 ไม่ได้ระบายความร้อนมากเพียงพอกินน้ำ
00:19:25 → 00:19:27 เพื่อให้ปัสสาวะเอาความร้อนออกไปอาการไม่
00:19:27 → 00:19:30 ถ่ายเเพียงพอนะครับอย่างเช่นอาจจะอยู่ใน
00:19:30 → 00:19:33 ที่ที่มันอาบเกินไปรถบางทีไม่ได้ถ่ายเท
00:19:33 → 00:19:36 กับอีกอันนึงที่แย่ที่สุดฮะคือเคยได้ยิน
00:19:36 → 00:19:38 ข่าวทิ้งเด็กไว้ในรถมั้ยครับเคยได้ยินค่ะ
00:19:38 → 00:19:41 อครับๆอันเนี้ยก็จะเป็นอีกอันนึงคือเราก็
00:19:41 → 00:19:44 จะเจอทั้งอากาศที่อบในขณะเดียวกันเด็ก
00:19:44 → 00:19:46 ความสามารถในการกำจัดความร้อนก็ได้ไม่ดี
00:19:46 → 00:19:49 ้าผู้ใหญ่ครับสถานการณ์นี้พอร่างกายเรา
00:19:49 → 00:19:52 มันร้อนเกินไปมันก็จะถึงจุดหนึงที่ร่าง
00:19:52 → 00:19:55 กายจะไม่สามารถปรับตัวได้ละอุณหภูมิของ
00:19:55 → 00:19:58 ร่างกายก็จะสูงผิดปกติจนไม่สามารถควบคุม
00:19:58 → 00:20:00 ได้ครับแล้วสุดท้ายสมองก็จะอวอร์ heat
00:20:00 → 00:20:03 ระบบต่างๆของร่างกายก็จะล้มเหลวครับเพราะ
00:20:03 → 00:20:05 ฉะนั้นความร้อนเนี่ยส่งผลเสียทั้งสมองใน
00:20:05 → 00:20:08 ขณะเดียวกันถ้ามันมากเกินไปเนี่ยอาจจะถึง
00:20:08 → 00:20:10 แต่่ชีวิตเลยนะครับถ้าได้ยินเรื่องโรคลม
00:20:10 → 00:20:12 แดกนะครับอมันจะเคยได้ยินกันอยู่บ้างค่ะ
00:20:12 → 00:20:15 ได้ยินค่ะอืค่ะโอากาศอากาศร้อนนี่มันก็
00:20:16 → 00:20:18 ส่งผลต่อสมองได้ได้ขนาดนี้เลยนะครับคุณ
00:20:18 → 00:20:23 หมอครับมันล้าเนาครับผมอืโอมันร้าน่ะใช่
00:20:23 → 00:20:26 ค่ะทุกวันนี้ขนาดแค่แดดส่องอ่ะค่ะยังดู
00:20:26 → 00:20:28 ความรู้สึกว่าโอ้โหแบบสายสายตานี่คือไม่
00:20:28 → 00:20:31 สู้และแล้วพอไปนานๆเออทำไมเวลาคนอากาศ
00:20:31 → 00:20:33 ร้อนค่ะอาจารย์เราถึงแสดงกิริยาด้วยกัน
00:20:33 → 00:20:35 ง่วงอ่ะค่ะอาจารย์อันนี้ไม่เข้าใจนี้รบ
00:20:35 → 00:20:38 กวนสอบถามหน่อยทำไมเราแบบร้อนแล้วมันน่า
00:20:38 → 00:20:40 จะไปอย่างอื่นอะไรอย่าเงี้ยค่ะทำไมร้อน
00:20:40 → 00:20:42 ทุกกลับกลายเป็นแบบโอนอนหลับมันซะอย่าง
00:20:42 → 00:20:45 งั้นทั้งที่อากาศก็ร้อนอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:20:45 → 00:20:48 ครับผมผมคิดว่าอันนี้อาจจะเป็นเฉพาะบุคคล
00:20:48 → 00:20:51 นะครับเพราะว่าบางคนอาจจะร้อนแล้วนอนไม่
00:20:51 → 00:20:54 ได้ค่ะอ่าก็ผมผมคิดว่าอันนี้อาจจะแตกต่าง
00:20:54 → 00:20:57 กันไปแล้วละคนนะครับอาจจะถึงกับไม่มีคำ
00:20:57 → 00:20:59 อธิบายซะทีเดียวครับเพราะว่าบางคนก็โอเค
00:20:59 → 00:21:01 อาจจะร้อนแล้วง่วงนอนง่ายครับเพราะว่า
00:21:01 → 00:21:03 อ่อนเคลียนะฮะในขณะเดียวกันบางคนอาจจะ
00:21:03 → 00:21:05 ร้อนนอนไม่ได้เลยนะครับเหื่อแตกอยู่ตลอด
00:21:06 → 00:21:10 เวลาแล้วมันเปิดเย็นจะนอนได้ใช่ค่ะอืโอ
00:21:10 → 00:21:13 ค่ะอาจารย์คะอาจารย์คะน้องดินดีคุณผู้ฟัง
00:21:13 → 00:21:16 ทางบ้านรบกวนสอบถามแบบเค่ะว่าวันนึงนะคะ
00:21:16 → 00:21:18 อาจารย์ควรดื่มกาแฟกี่แก้วเพราะว่ามีคุณ
00:21:18 → 00:21:20 ผู้ฟังอีกคนก็บอกว่าอาจารย์ให้ข้อมูล
00:21:20 → 00:21:22 เรื่องกาแฟและการตื่นตัวได้ดีมากๆเลย
00:21:22 → 00:21:25 เพราะว่าบางคนก็แบบว่าเห็นคือคลี่ให้เห็น
00:21:25 → 00:21:27 ภาพอย่างชัดเจนเลยก็เลยอยากามว่าจริงๆ
00:21:27 → 00:21:30 แล้วต้องกี่แก้วมันถึงจะตื่นตัวกำลังพอดี
00:21:30 → 00:21:34 ไม่มากไปไม่น้อยไปค่ะอาจารย์อืครับจริงๆ
00:21:34 → 00:21:37 จริงๆเรื่องกาแฟเนี่ยอันเนี้ยมันเป็นการ
00:21:37 → 00:21:40 ดีเบตพอสมควรในในหลายๆหมอเหมือนกันนะครับ
00:21:40 → 00:21:42 เพราะว่าหมอที่รู้เรื่องการกินกาแฟเนี่ย
00:21:42 → 00:21:44 จริงๆก็มีหลายส่วนนะครับผมเป็นหมอระบบ
00:21:44 → 00:21:47 ประสาทส่วนตัวเนี่ยก็จะไม่ได้อ่าเหมือน
00:21:47 → 00:21:49 กับเกี่ยวข้องกับเรื่องกาแฟโดยตรงนะฮะแต่
00:21:49 → 00:21:52 ว่าบางทีก็จะมีข้อมูลจากหมอที่ดูเรื่อง
00:21:52 → 00:21:56 โภชนาการหมอที่ดูเรื่องโรคหัวใจโรคไตอะไร
00:21:56 → 00:21:59 ต่างๆนะครับอ่าสุดท้ายแล้วผมคิดว่ามันไม่
00:21:59 → 00:22:02 มีตัวเลขตายตัวซะทีเดียวนะครับว่าวันนึง
00:22:02 → 00:22:05 น่ะควรกินกาแฟกี่แก้วนะครับเพราะว่าบางคน
00:22:05 → 00:22:08 เนี่ยอาจจะอยู่ได้ด้วยการกิน 4 แก้วบางคน
00:22:08 → 00:22:11 อาจจะกินแก้วเดียวนะครับซึ่งแล้วเวลาการ
00:22:11 → 00:22:13 กินบางคนก็แตกต่างกัน 4 แก้วนี่อาจจะกิน
00:22:14 → 00:22:16 เช้ากลางวันเย็นก่อนนอนนะครับแต่อย่างไร
00:22:16 → 00:22:19 ก็ตามสิ่งนึงที่บางคนอาจจะไม่รู้นะครับก็
00:22:19 → 00:22:22 คือกาแฟเนี่ยมันไม่ได้มีแค่กาแฟอย่าง
00:22:22 → 00:22:25 เดียวนะครับใส่ครีมเทียมมั้ยครับใส่น้ำ
00:22:25 → 00:22:28 ตาลมั้ยนะครับการกินกาแฟมากเนี่ยมันมันมี
00:22:28 → 00:22:31 ผลอีกอันนึงด้วยคือมันจะได้น้ำตาลมากเกิน
00:22:31 → 00:22:34 ไปหรือเปล่านะครับอันนี้ก็เป็นส่วนนึงที่
00:22:34 → 00:22:36 ต้องคิดเหมือนกันว่าบางคนกินกาแฟไม่กิน
00:22:37 → 00:22:39 ข้าวเอ๊ะทำไมอ้วนเอาอ้วนเอาเบาหวานคุมไม่
00:22:39 → 00:22:43 อยู่นะครับกินกาแฟดำมั้ยเปล่ากินกาแฟใส่
00:22:43 → 00:22:46 น้ำตาล 2 ซองนะครับอันเนี้ยก็เป็นได้
00:22:46 → 00:22:48 เหมือนกันเพราะฉะนั้นการกินกาแฟมากเกินไป
00:22:48 → 00:22:51 เนี่ยบางทีเราอาจจะได้อย่างอื่นแถมด้วย
00:22:51 → 00:22:54 อย่างเช่นเบาหวานมาด้วยนะครับถ้าคุมไม่ดี
00:22:54 → 00:22:56 อะไรประมาณนี้ใส่ไม่ได้กินกาแฟดำกินกาแฟ
00:22:56 → 00:22:59 หวานเกินไปนะครับก็เพราะฉนั้นอันเนี้ย
00:22:59 → 00:23:00 เป็นประเด็นที่ต้องคำนึงถึงด้วยว่าไม่ใช่
00:23:00 → 00:23:03 ตัวกาแฟอย่างเดียวที่มีผลต่อสุขภาพส่วน
00:23:03 → 00:23:06 ที่มากับกาแฟด้วยอ่ะครับก็มีผลต่อสุขภาพ
00:23:06 → 00:23:10 ทีนี้ถ้าดูข้อมูลจากคำแนะนำทั่วไปอ่ะครับ
00:23:10 → 00:23:13 ทางโภชนาการหรือทางอนามัยเนี่ยก็มักจะแนะ
00:23:13 → 00:23:15 นำกันเป็นเลขเข้าวๆแต่อันนี้ผมยืนยันเลย
00:23:16 → 00:23:18 นะครับว่ามันไม่มีข้อมูลทางการศึกษารอง
00:23:18 → 00:23:21 รับซักทีเดียวนะครับที่จะมาสวรพงเผื่อ
00:23:21 → 00:23:24 ท่านผู้ฟังบางคนจะแย้งมาว่ามันมีข้อมูล
00:23:24 → 00:23:27 นี้มาแล้วนะครับอ่าคำแนะนำทางโภชนาการภาพ
00:23:27 → 00:23:30 รวมเนี่ยก็คงจะแนะนำว่าไม่ควรกินเกินวัน
00:23:30 → 00:23:33 ละ 1-2 แก้วนะครับอันนี้เป็นคำแนะนำที่มี
00:23:33 → 00:23:37 มานานมากละยังคงไม่มีอะไรโละคำแนะนำนี้
00:23:37 → 00:23:39 ได้ะทีเดียวว่าการกินสีแก้วดีกว่าการไม่
00:23:39 → 00:23:42 กินเลยดีกว่านะครับเป็นคำแนะนำเบื้องต้น
00:23:42 → 00:23:44 นะครับเพราะฉะนั้นส่วนใหญ่มันก็จะอยู่ใน
00:23:44 → 00:23:47 ขาประมาณเช้าแก้วเย็นแก้วนะครับและแน่นอน
00:23:47 → 00:23:49 ว่าคนที่เป็นเบาหวานอยู่ละหรือมีความ
00:23:49 → 00:23:52 เสี่ยงจะเป็นเบาหวานอย่าเติมน้ำตาลมาก
00:23:52 → 00:23:55 เกินไปนะครับเพราะมันจะทำให้เบาหวานคุม
00:23:55 → 00:23:57 ไม่ได้นะครับผมเพราะฉะนั้นภาพรวมผมคิดว่า
00:23:57 → 00:24:00 มันต้องต้องบาานน่ะครับกินมากเกินไปก็ไม่
00:24:00 → 00:24:03 ดีกินน้อยไปบางคนก็อาจจะแบบติดกาแฟนิดนึง
00:24:03 → 00:24:05 ต้องทำให้ตัวเองตื่นตัวหน่อยๆนะครับเพราะ
00:24:05 → 00:24:09 ฉนั้นเอาว่าพอดีพอดีดีที่สุดอ่ะะอืค่ะ
00:24:09 → 00:24:12 ซึ่งพอดีของแต่ละคนก็ไม่เท่ากันก็ก็ไม่
00:24:12 → 00:24:16 เท่ากันดีเหมือนกันนะคุณหมอนะใช่ใช่ครับ
00:24:16 → 00:24:18 มันก็มันเหมือนข้อมูลเรื่องการกินน้ำครับ
00:24:18 → 00:24:21 ผมในปัจจุบันเนี่ยสมัยก่อนเราคงเคยได้ยิน
00:24:21 → 00:24:24 นะครับว่าบางคนจะแนะนำให้กินแก้น้ำ 4-6
00:24:24 → 00:24:27 แก้วต่อวันหรือ 6-8 แก้วต่อวันนะครับ
00:24:27 → 00:24:30 ปัจจุบันข้อมก็มีการโถกเถียงกันเหมือนน้ำ
00:24:30 → 00:24:33 ดีกว่าเหมือนกาแฟอ่ะครับว่าจริงๆแล้วเรา
00:24:33 → 00:24:36 ต้องกินมากขนาดไหนคนที่ออกกำลังกายวิ่ง
00:24:36 → 00:24:39 ครับเข้ายินทุกวันนะครับน้ำ 6 -8 แก้วจะ
00:24:39 → 00:24:42 พอมั้ยถ้าเข้าเสี่เหงื่อมากรุนแรงทหาร
00:24:42 → 00:24:45 เกณฑ์ฮะน้ำ 6-8 แก้วต่อวันอาจจะไม่พอยิ่ง
00:24:45 → 00:24:48 แดดช่วงเดือนเมษายนด้วยฝึกเหมือนกับอาอาจ
00:24:48 → 00:24:50 จะยังไม่ถึงกับฝึกอาจจะเป็นทหารเกณฑ์ชุด
00:24:50 → 00:24:52 เก่ายังไม่เข้ากองครับเพราะว่าเพิ่งตรวจ
00:24:52 → 00:24:55 เลือกไปอาจจะเป็นชุดเก่าเนี่ยฝึกตอนเดือน
00:24:55 → 00:24:57 เมษายนเนี่ย 6-8 แก้วพอมั้ยในขณะเดียวกัน
00:24:58 → 00:24:59 คนไม่อยู่เฉยๆอยู่ห้องแอร์ตลอดเนี่ย
00:24:59 → 00:25:02 จำเป็นต้องกินม้ 6 -8 แก้วมันก็ไม่มีตัว
00:25:02 → 00:25:05 เลขตายตัวซะทีเดียวครับเค้าก็เลยมีข้อมูล
00:25:05 → 00:25:08 ประมาณว่ากินเท่าที่ตัวเองรู้สึกว่าโอเค
00:25:08 → 00:25:11 ปัสสาวะยังปกติดีอยู่ไม่ได้เหนื่อยเกินไป
00:25:11 → 00:25:13 ไม่ได้รู้สึกร้อนเกินไปไม่ได้รู้สึกเพลีย
00:25:13 → 00:25:16 เกินไปครับผมอืเราเรา 2 คนทานกันเป็น
00:25:16 → 00:25:19 ฤทธิ์เลยค่ะอาจารย์เราก็เป็น 2 คนเป็นคน
00:25:19 → 00:25:22 เราเป็นมนุษย์กินน้ำกิผมกินน้ำเยอะด้วย
00:25:23 → 00:25:24 แล้วก็กาแฟก็เอาเรื่องอยู่เหมือนกันครับ
00:25:24 → 00:25:28 คุณหมอก็เดี๋ยวจะพยายามปรับ
00:25:28 → 00:25:32 ปรับน้องเขาเป็นผู้ชายคูๆค่ะเขจะเอาเม็ด
00:25:32 → 00:25:37 กาแฟแล้วก็มาบดทำท่าเท่ๆจมกินกาแฟใช่ไม่
00:25:37 → 00:25:39 ได้กินไม่ได้กินเอาเพื่อที่ต้องการแก้งวด
00:25:39 → 00:25:42 นะครับคุณหมอครับคือบางทีเราก็ต้องการมัน
00:25:42 → 00:25:46 มันเเอาความรู้สึกมากกว่าว่าว่าเราได้
00:25:46 → 00:25:49 กาแฟเข้าเข้าเส้นและใชอืไม่ได้ช่วยเลย
00:25:49 → 00:25:51 ครับเรื่องของอาการง่วงหงาวเหานอนกินทริ
00:25:52 → 00:25:55 ไรก็หลับเหมือนเดมพหอครับมันก็เป็นเวส
00:25:56 → 00:25:58 อย่างนึงนะครับก็คือกินแล้วมันก็ให้ความ
00:25:58 → 00:26:02 รู้สึกเอ่อกลิ่นอายของกาแฟรสชาติของกาแฟ
00:26:02 → 00:26:05 นะมันก็มันก็บางคนก็กินเพื่อลักษณะแบบ
00:26:05 → 00:26:07 เพื่อผ่อนคลายอย่างนึงนะครับมันก็เป็นการ
00:26:07 → 00:26:09 ผ่อนคายได้แบบนึงเช่นเดียวกันมันคือการ
00:26:09 → 00:26:12 กินเครื่องดื่มที่เราชอบครับถ้าไม่กินมาก
00:26:12 → 00:26:15 เกินไปครับอค่ะอาจารย์คะก็คือแบบว่าสมอง
00:26:15 → 00:26:18 ก็คือยังไงไม่ว่าคุณจะอะไรก็ตามไม่มีตัว
00:26:18 → 00:26:21 ช่วยดีที่สุดก็คือนอนถูกป่ะคะอาจารย์อ่า
00:26:21 → 00:26:24 จริงๆอย่างที่ผมบอกครับว่าจริงๆการพัก
00:26:24 → 00:26:26 ผ่อนการพักผ่อนของเราอย่าที่ผมบอกไปตอน
00:26:26 → 00:26:28 ต้นเลยครับการพักผ่อนของเราเนี่ยหลายคน
00:26:28 → 00:26:31 มักจะคิดว่ามันมีแต่นอนอย่างเดียวอนะครับ
00:26:31 → 00:26:33 จริงๆแล้วการพักผ่อนของเรามันคือการ
00:26:33 → 00:26:37 ฮอบบี้ด้วยครับคือกิจวัตรที่เราชอบครับ
00:26:37 → 00:26:39 กิจกรรมที่เราชอบมันคือส่วนหนึ่งของการ
00:26:39 → 00:26:42 พักผ่อนนะฮผมคิดว่าว่าทุกคนน่ะครับไม่
00:26:42 → 00:26:45 สามารถฟิลความสุขของตัวเองด้วยการนอนเียง
00:26:46 → 00:26:48 อย่างเดียวอยู่แล้วฮะมันจะต้องมีกิจกรรม
00:26:48 → 00:26:51 บางอย่างที่เราชอบทำซึ่งแต่ละคนเนี่ยก็มี
00:26:51 → 00:26:53 ความแตกต่างกันไปฮะอย่างที่บอกครับบางคน
00:26:54 → 00:26:56 อาจจะชอบอ่านหนังสือไม่แตะเลยเทคโนโลยี
00:26:56 → 00:26:58 อ่านหนังสืออย่างเดียวนะครับบางคนคนอาจจะ
00:26:58 → 00:27:01 อายุเยอะเนี่ยอาจจะฟังชอบฟังเทศน์ฟังธรรม
00:27:01 → 00:27:04 นะครับฟังบรรยายนะครับวัยรุ่นสมัยใหม่บาง
00:27:04 → 00:27:06 คนอาจจะชอบฟังพคนะครับเพราะว่ามันก็มัน
00:27:07 → 00:27:09 คล้ายๆกับรื่นเริงดีบางคนอาจจะฟังแบบ
00:27:09 → 00:27:12 เนื้อหาความรู้สารคดีทางปคสก็มีเหมือนกัน
00:27:12 → 00:27:15 นะฮะบางคนชอบเล่นเกมนะครับเกมก็มีหลาก
00:27:15 → 00:27:19 หลายแบบเกมต่อสู้เกมกาชานะครับมีหลากหลาย
00:27:19 → 00:27:23 รูปแบบมากในขณะเดียวกันบางคนก็อาจจะชอบดู
00:27:23 → 00:27:27 หนังฟังเพลงนะครับก็แตกต่างกันไปผมคิดว่า
00:27:27 → 00:27:29 อันนี้แล้วแต่คนนะครับแต่อย่างไรก็ตาม
00:27:29 → 00:27:32 สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือต้องแบ่งเวลาให้
00:27:32 → 00:27:35 ดีครับค่ะการทำงานของเราเก็บไว้ส่วนนึง
00:27:35 → 00:27:37 การพักผ่อนต้องแบ่งออกเป็น 2 ส่วนอย่าง
00:27:37 → 00:27:40 น้อยคือนอนก็ต้องพอในขณะเดียวกันการทำ
00:27:40 → 00:27:43 กิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจก็ควรจะพอเช่นเดียว
00:27:43 → 00:27:46 กันครับคนส่วนใหญ่เนี่ยนอนน่ะมันมักจะพอ
00:27:46 → 00:27:49 ประมาณนี้เราแต่ประเด็นคือถ้าเราเอา
00:27:49 → 00:27:51 กิจกรรมการทำงานมาเยอะเกินไปจนไม่มีเวลา
00:27:51 → 00:27:56 พักผ่อนหย่อนใจสมองก็ล้าครับอืค่ะก็คือ
00:27:56 → 00:28:01 ยังไงซะเราต้องได้ทำในสิ่งที่ชอบได้ครับ
00:28:01 → 00:28:03 ใช่ครับมันก็คือทำให้กิจกรรมนี้มันทำให้
00:28:03 → 00:28:06 ทั้งใจเราฟูสมองเราก็ตื่นตัวมีความสุขใช่
00:28:06 → 00:28:09 มั้ยคะอาจารย์อืครับผมบางคนอาจจะชอบตาม
00:28:09 → 00:28:12 ไอดอลบางคนอาจจะชอบทำอาหารครับผมคิดว่า
00:28:12 → 00:28:15 อันนี้สุดแล้วแต่งกิจกรรมที่เราชอบเนี่ย
00:28:15 → 00:28:18 มีความหลากหลายรูปแบบฮะแต่สิ่งที่เหมือนๆ
00:28:18 → 00:28:21 กันก็คือพอเราทำสิ่งที่ชอบเนี่ยมีเวลาทำ
00:28:21 → 00:28:24 นานเปียงคอเนี่ยฮอร์โมนที่เป็นสารสุขหรือ
00:28:24 → 00:28:26 ว่าฮอร์โมนส่วนที่ดีของร่างกายเนี่ยมันจะ
00:28:26 → 00:28:29 หลั่งออกมาเยอะนะฮะเพราะฉะนั้นมันทำให้
00:28:29 → 00:28:31 เราจะรู้สึกสบายใจสภาพร่างกายเราก็ค่อน
00:28:31 → 00:28:34 ข้างดีไปด้วยนะครับสุขภาพโดยรวมก็ดีด้วย
00:28:34 → 00:28:37 นะเพราะฉะนั้นการพักผ่อนที่เพียงพอทำ
00:28:37 → 00:28:40 กิจกรรมโยนใจเนี่ยสำคัญมากนะครับอ่าก็ตรง
00:28:40 → 00:28:42 กับคำที่เราพูดปัจจุบันครับว่า work Life
00:28:42 → 00:28:44 Balance ฮ work Life Balance ถือว่า
00:28:44 → 00:28:45 เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดแล้วในยุคปัจจุบัน
00:28:46 → 00:28:51 นะอืนะคะอืต้องต้อง Balance ให้ดีนะฮะ
00:28:51 → 00:28:54 ทั้งเรื่องของการทำงานเองเรื่องของการพัก
00:28:54 → 00:28:58 ผ่อนเองเดี๋ยวผมขออนุญาตย้อนกลับมาุ่งแรก
00:28:58 → 00:29:01 ที่เราคุยกันในเรื่องของภาวะสมองล้านิด
00:29:01 → 00:29:05 นึงนะฮะคุณหมอเรื่องของภาวะสมองล้ากับไอ้
00:29:05 → 00:29:09 คำว่าอาการ burn Out Syndrome เนี่ยมัน
00:29:09 → 00:29:12 คืออาการลักษณะเดียวกันนะครับหรือว่ามัน
00:29:12 → 00:29:16 มีความเหมือนหรือแตกต่างกันยังไงะคุณหมอ
00:29:16 → 00:29:21 คือจริงๆผมต้องพูดว่าอ่าบางทีคำของคำที่
00:29:21 → 00:29:23 เรียกอาการเหล่าเนี้ยครับมันอาจจะไม่เชิง
00:29:23 → 00:29:26 เป็นสัพท์แพทบ์ซะทีเดียวครับอ่ามันเหมือน
00:29:26 → 00:29:28 กับคำว่า Office syndrome อ่ะครับเคได้
00:29:28 → 00:29:30 ยินมั้ยฮะที่เป็นลักษณะของปวดต้นคอปวด
00:29:30 → 00:29:32 เมื่อยกล้ามเนื้อจริงๆออฟิ Syndrome
00:29:32 → 00:29:34 เนี่ยมันก็ไม่ใช่เป็นศัพท์ทางแพทย์ียที
00:29:34 → 00:29:36 เดียวแต่ว่ามันเป็นคำที่เกิดขึ้นมาเพื่อ
00:29:36 → 00:29:38 อธิบายให้เข้าใจง่ายว่าอ่ามันเป็นอาการ
00:29:38 → 00:29:41 ปวดเมื่อยที่เกิดในคนทำงานออฟฟิศนะครับใน
00:29:41 → 00:29:43 ขณะเดียวกันไอ้อาการสมองล้านเนี่ยจริงๆ
00:29:43 → 00:29:45 มันก็ไม่เคิเป็นสับแทนเหมือนกันฮะมันก็
00:29:45 → 00:29:48 เป็นแต่มันเป็นคำที่เข้าใจง่ายๆว่าสมอง
00:29:48 → 00:29:51 เราทำงานมากไปอ่อนล้าโรยแรงนะครับ
00:29:51 → 00:29:54 อันเนี้ยมันเข้าใจได้ง่ายนะครับในขณะ
00:29:54 → 00:29:56 เดียวกันไอ้ burn Out เนี่ยเบ Out ก็ไม่
00:29:56 → 00:29:58 ใช่สับแท่เหมือนกันแต่ว่า้าผมเทียบกัน
00:29:58 → 00:30:02 ง่ายๆคือมันคือสมองล้าที่ถึงขีดสุดละอื
00:30:02 → 00:30:05 ครับตามชื่อของมันเลยคือเบน Out ฮะก็คือ
00:30:05 → 00:30:08 มันไม่ไหวะเบรน Out นี่คือมันเหมือนถึง
00:30:08 → 00:30:11 ขั้นจุดพีคที่สุดของการเฆี่ยนม้าแล้วอ่ะ
00:30:11 → 00:30:14 ครับมันทำให้ม้ากำลังจะตายลฮะเพราะนั้น
00:30:14 → 00:30:16 เมื่อถึงท่านนั้นเนี่ยครับเบน Out เนี่ย
00:30:16 → 00:30:20 มันก็คือการที่เราเบดาวทุกอย่างไปเลยครับ
00:30:21 → 00:30:23 คือประสิทธิภาพในการทำงานมันก็อาจจะลดลง
00:30:23 → 00:30:26 ไปเบรน Out นะครับอาจจะมีปัญหาบางคนก็ออก
00:30:26 → 00:30:30 ไปในทางทาง Negative ก็คือซึมเศร้าไปเลย
00:30:30 → 00:30:33 เก็บตัวไม่ทำงานไม่ออกไปสูงสิงนะครับ burn
00:30:33 → 00:30:36 Out อีกสาขานึงก็คือเป็นกิจกรรมทาง
00:30:36 → 00:30:39 โอเวอร์ไปเลยอ่ะก็คือทะเลาะบอแว้งกับคน
00:30:39 → 00:30:42 อื่นนะครับโวยวายวุ่นวายก้าวร้าวก็มี
00:30:42 → 00:30:45 เหมือนกันนะครับมันก็จะออกไป 2 ทางไปเลย
00:30:45 → 00:30:47 ครับซึ่งมันมักจะค่อนข้างรุนแรงพอถึงคำ
00:30:47 → 00:30:49 ว่า burn Out เนี่ยมันมักจะรุนแรงใน
00:30:49 → 00:30:52 ระดับที่ว่าอ่ะทุกคนลงความเห็นตรงกันแล้ว
00:30:53 → 00:30:55 ว่าอาจจะต้องไปพักหรือในรายที่เป็นเยอะ
00:30:55 → 00:30:58 จริงๆก็อาจจะต้องไปรักษาไปพบกแพทย์ไป
00:30:58 → 00:31:02 ปรึกษาิตบำบัดแก้เครียดประมาณนั้นครับอื
00:31:02 → 00:31:02 ค่ะ
00:31:03 → 00:31:05 โอหนักเหมือนกันนะครับเนี่ยคือถ้าปล่อย
00:31:05 → 00:31:09 ให้สมองของเรามันล้าจนถึงขั้นขีดสุดเนี่ย
00:31:09 → 00:31:14 อมันจะนำพาไปสู่อันตรายที่เราอาจจะไม่รู้
00:31:14 → 00:31:18 ตัวเลยก็ได้อือเบาอันนึงที่ต้องระวังที่
00:31:18 → 00:31:20 สุดก็คือการฆ่าตัวตายของประเทศเราเนี่ย
00:31:20 → 00:31:23 เป็นเหียที่ก็ไม่ได้ลดลงซะทีเดียวนะฮะ
00:31:23 → 00:31:25 ซึ่งอันเนี้ยมันก็จะเกิดตามมาหลังจากการ
00:31:25 → 00:31:28 เบน Out หรือการทำงานที่สมองล้ามากเกินไป
00:31:28 → 00:31:31 ได้เหมือนกันนะครับเพภาวะซิมเศร้ามันตาม
00:31:31 → 00:31:33 มาเสร็จปึ๊บปัญหาค่าตัวตายก็ค่อนข้างสูง
00:31:33 → 00:31:36 นะครับเหการค่าตัวตายของประเทศเราเนี่ยก็
00:31:36 → 00:31:39 จะเจอในกลุ่มวัยรุ่นเยอะนะครับวัยทำงาน
00:31:39 → 00:31:41 ต้นๆเนี่ยก็จะเจอค่อนข้างบ่อยเหมือนกันนะ
00:31:41 → 00:31:44 ครับซึ่งหลายครั้งก็มาจากเรื่องการเรียน
00:31:44 → 00:31:46 นะครับเพราะว่าสมองร้าวก็เกิดจากการเรียน
00:31:46 → 00:31:48 ได้เช่นกันหลายครั้งก็เกิดมาจากการทำงาน
00:31:48 → 00:31:52 ที่มากเกินไปลักษณะงานใหม่ปรับตัวไม่ได้
00:31:52 → 00:31:54 นะครับมีหลายสาเหตุมากครับเพราะฉะนั้นสุด
00:31:54 → 00:31:57 ท้ายมันเป็นอันตรายทั้งต่อตัวเองและอาจจะ
00:31:57 → 00:32:00 เป็นอันตรายตผู้อื่นได้ด้วยครับค่ะก็นะคะ
00:32:00 → 00:32:04 แต่แต่ละคนก็จะแบบว่าอืมงานหนักไม่ค่าคน
00:32:04 → 00:32:09 แต่เราอาจตายได้นะเออค่ะอาจารย์ขารบกวน
00:32:09 → 00:32:12 ค่ะพอดีมีคุณผู้ฟังทางบ้านนะคะรบกวนสอบ
00:32:12 → 00:32:15 ถามพอดีเห็นออะคุณผู้ฟังบอกว่าคุณหมอเป็น
00:32:15 → 00:32:18 ระบบคุณหมอทางด้านแบบระบบประสาทเลยอยากจะ
00:32:18 → 00:32:21 ขอรบกวนคุณหมอแบบนี้ค่ะว่าการดื่มกาแฟ
00:32:21 → 00:32:23 ช่วยลดอาการอัลไซเมอร์ได้มั้ยคะเมื่อกี้
00:32:23 → 00:32:25 เห็นคุณหมอพูดแบบนี้ก็เลยอยากจะถามดูค่ะ
00:32:25 → 00:32:28 ว่ากาแฟดำมีส่วนช่วยเรื่องของสมองเรื่อง
00:32:28 → 00:32:31 ความจำบ้างมั้ยคะอ่าครับอันนี้เป็นคำถาม
00:32:31 → 00:32:33 ที่ผมอาจจะตอบง่ายหน่อยเพราะว่าจริงๆผม
00:32:33 → 00:32:35 เป็นหมอที่รู้เรื่องคนค่าสมองเสื่อมเป็น
00:32:35 → 00:32:39 รักนะครับเพราะฉะนั้นอ่ากาแฟเนี่ยทีเนี้ย
00:32:39 → 00:32:42 อันนี้ต้องบอกก่อนว่าอ่ามันก็มีข้อมูล
00:32:42 → 00:32:45 หลายอย่างครับที่เ้ามีการศึกษาเรื่องการ
00:32:45 → 00:32:48 กินไม่ว่าจะเป็นของกินหรือว่าเครื่องดื่ม
00:32:48 → 00:32:51 เนี่ยอะไรเป็นตัวเพิ่มความเสี่ยงในการ
00:32:51 → 00:32:53 สมองเสี่ยมโดยเฉพาะอัลไซเมอร์ซึ่งเจอเยอะ
00:32:53 → 00:32:56 ที่สุด่ะครับอะไรใช้ลดความเสี่ยงของการ
00:32:56 → 00:33:00 เดือสมองเสี่ยมได้นะฮะค่ะก็ทีเนี้ยไอ้
00:33:00 → 00:33:02 เรื่องการเสพการกินของเราทั้งหลายอครับ
00:33:02 → 00:33:05 อันนี้ผมสรุปรวบยอดไปเลยทีเดียวคืออันที่
00:33:05 → 00:33:07 สามารถสรุปเลยละมีข้อมูลค่อนข้างชัดเจน
00:33:08 → 00:33:10 เลยครับคือการกินอาหารที่ถูกสุขลักษณะบาง
00:33:10 → 00:33:13 คนอาจจะเคยได้ยินคำว่าเมดิเตอเรเนียน di
00:33:13 → 00:33:16 ครับค่ะก็คือการกินอาหารที่มีพืชผักนะ
00:33:16 → 00:33:18 ครับหรือว่าอาหารที่เป็นพวกอาหารทะเลไม่
00:33:18 → 00:33:21 เน้นเนื้อสัตว์แดงไม่เน้นไขมันไม่เน้น
00:33:21 → 00:33:24 แป้งมากอันเนี้ยลดความเสี่ยงในการเกิด
00:33:24 → 00:33:26 สมองเสื่อมได้มีข้อมูลค่อนข้างชัดเจนแล้ว
00:33:26 → 00:33:29 ครับในปัจจุบันนะครับครับอืปูกบุหรี่คือ
00:33:29 → 00:33:32 ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงสมองเสี่ยมสูง
00:33:32 → 00:33:35 ที่สุดนะครับในบรรดาการกินการเสพทั้งหลาย
00:33:35 → 00:33:37 ของเรานะครับเพราะฉะนั้นใครก็ตามที่ยัง
00:33:37 → 00:33:39 สู่บุหรี่อยู่เสี่ยงทั้งเป็นอัลไซเมอร์
00:33:40 → 00:33:42 เสี่ยงทั้งสมองเสื่อมจากเส้นเลือดสมองตีน
00:33:42 → 00:33:45 นะครับการดื่มสุราานะครับยังเป็นที่ถก
00:33:45 → 00:33:47 เถียงกันอยู่นะครับแต่เป็นที่ยอมรับกัน
00:33:47 → 00:33:49 ทั่วไปว่าคนที่ดื่มมากนะครับเเรียกว่าไฮ
00:33:49 → 00:33:52 แอลกอฮอล์คนทำชาตินี่กินเยอะเกินไปส่วน
00:33:52 → 00:33:55 ใหญ่เจะตัดกันที่ 21 ิงเกิน 21 ิงต่อ 1
00:33:56 → 00:33:58 สัปดาห์นะครับเอาง่ายๆคือกินเหล้าเยอะอ่ะ
00:33:58 → 00:34:00 ครับเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดสมองเสื่อม
00:34:00 → 00:34:03 ในขณะเดียวกันการกินน้อยหรือกินปานกลาง
00:34:03 → 00:34:05 เนี่ยยังถกเถียงกันอยู่ว่าลดความเสี่ยง
00:34:05 → 00:34:08 หรือว่าไม่ได้มีผลอะไรนะครับกาแฟนะครับ
00:34:08 → 00:34:12 ขั้นสุดท้ายที่ทางผู้ทางบ้านถามมานะครับ
00:34:12 → 00:34:15 กาแฟเนี่ยถกเฉียงนค่อนข้างเยอะนะครับแต่
00:34:15 → 00:34:17 ยังไม่มีข้อมูลปัจจุบันที่สามารถสรุปได้
00:34:17 → 00:34:20 นะครับบางจะมีการศึกษาขนาดเล็กบางอันที่
00:34:20 → 00:34:23 บอกว่ากินแล้วอาจจะช่วยชะลอความเสี่ยง
00:34:23 → 00:34:25 สมองเสื่อมได้นะครับแต่มันยังคงเป็นการ
00:34:25 → 00:34:29 ศึกษาขนาดเล็กนะครับอ่าอ่าทางการศึกษาใน
00:34:29 → 00:34:31 ภาพรวมเนี่ยเ่อผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่ยัง
00:34:32 → 00:34:35 ไม่สามารถฟันธงได้ครับว่ากาแฟเพิ่มหรือลด
00:34:35 → 00:34:37 ความเสี่ยงต่อการเกิดสมองเสื่อมนะครับ
00:34:37 → 00:34:40 หรือจริงๆแล้วไม่มีผลอะไรเลยก็อาจจะเป็น
00:34:40 → 00:34:43 ไปได้นะครับอันนี้ผมก็ต้องพูดว่ากาแฟยัง
00:34:43 → 00:34:46 ไม่มีข้อมูลแสครับว่ามีผลต่อสมองเสื่อม
00:34:46 → 00:34:49 ยังไงประมาณนั้นครับค่ะแล้วพวกการดื่มพวก
00:34:49 → 00:34:52 ชาคะอาจารย์ชาอู่หลงชาเขียวพราะมีสาร
00:34:52 → 00:34:54 แอนติออกซิแดนท์อะไรอย่างเงี้ยค่ะมันมี
00:34:54 → 00:34:57 ส่วนช่วยด้วยมั้ยคะเรื่องของสมองความจำ
00:34:57 → 00:35:00 อะไรอย่างเงี้ยค่ะครับ้าเนี่ยจะมีการ
00:35:00 → 00:35:03 ศึกษาซึ่งส่วนใหญ่มาจากโซนฝั่งพวกเอเชีย
00:35:03 → 00:35:05 เนี่แะครับโดยเฉพาะฝั่งเอเชียตะวันออกจีน
00:35:05 → 00:35:08 ญี่ปุ่นเนี่ยเค้าก็เชื่อว่าพวกคาเขียว
00:35:08 → 00:35:12 เนี่ยอาจจะช่วยให้สมองเสื่อมลดลงได้นะ
00:35:12 → 00:35:14 ครับส่วนใหญ่ก็จะเป็นจากข้อมูลจากญี่ปุ่น
00:35:14 → 00:35:16 เพราะญี่ปุ่นเนี่ยบริโภคช่าเกียวเยอะนะ
00:35:16 → 00:35:18 ครับญี่ปุ่นเป็นสังคมสูงอายุผู้สูงอายุ
00:35:18 → 00:35:20 บางคนก็ยังทำงานอยู่ยังสมองปลอดโปร่ง
00:35:20 → 00:35:23 สุขภาพแข็งแรงนะฮะแต่ยังไงก็ตามเนี่ยก็
00:35:23 → 00:35:26 ต้องยอมรับว่าชาเนี่ยยังจบแบบกาแฟนะครับ
00:35:26 → 00:35:29 ก็คือยไม่มีข้อมูลการศึกษาขนาดใหญ่หรือ
00:35:29 → 00:35:32 จำนวนมากที่น่าเชื่อถือเพียงพอที่สรุปว่า
00:35:32 → 00:35:35 มันช่วยหรือมันไม่ช่วยหรือจริงๆแล้วมัน
00:35:35 → 00:35:37 ไม่มีผลอะไรเลยกับสมองเสื่อมนะครับผมแต่
00:35:37 → 00:35:40 สิ่งนึงที่ต้องระวังที่สุดในเรื่องของชา
00:35:40 → 00:35:43 ก็คือถ้าเราดื่มชาแบบข่วนนะครับของแถมนอก
00:35:43 → 00:35:47 จากตัวชาก็คือน้ำตาลอืน้ำตาลเนี่ยก็ต้อง
00:35:47 → 00:35:50 ระวังคล้ายๆกับการกินกาแฟครับถ้ากินมากไป
00:35:50 → 00:35:54 เบาหวานเนี่ยเบาหวานทำให้สมองเสี่ยมนะ
00:35:54 → 00:35:56 ครับเพราะฉะนั้นอันนึงที่ต้องระวังก็คือ
00:35:56 → 00:36:01 เบาหวานฮอออน้ำตาลเออน้ำตาลสำคัญครับคะ
00:36:01 → 00:36:05 ของหวานคือยาพิษของแท้พี่ยนี่แหมแขอบคุณ
00:36:05 → 00:36:08 ค่ะอืนะคะมีคำถามเพิ่มเติมจากทางบ้านมั้ย
00:36:09 → 00:36:11 ครับพี่โยกครับอาจารย์คะพอดีมีคนผู้ฟัง
00:36:11 → 00:36:13 อันนี้รบกวนสอบถามอาจารย์แบบคร่าวๆถ้า
00:36:13 → 00:36:16 เกิดอาจารย์แบบพอทราบข้อมูลก็รบกวนบอกเรา
00:36:16 → 00:36:18 ด้วยนะคะแต่อันนี้แบบคือคุณผู้ฟังถาม
00:36:18 → 00:36:20 เรื่องลมแดดค่ะเพราะว่ามาจากข้อมูลที่
00:36:20 → 00:36:23 อาจารย์ให้มาเมื่อกี้ค่ะว่าเอลมแดดเนี่ย
00:36:23 → 00:36:26 ค่ะอาการที่สังเกตคือจะแบบไม่มีเหงื่อออก
00:36:26 → 00:36:29 ในขณะที่มีอาการหรือเปล่าคะคืออันนี้ใช่
00:36:29 → 00:36:32 มยเพราะว่าเาเคยเห็นว่าบางคนเนี่ยค่ะพอไป
00:36:32 → 00:36:36 ทำงานกลางแดดแล้วก็แบบล้มลงพอไปสัมผัสตัว
00:36:36 → 00:36:38 เนี่ยเราก็พบว่าอุ๊ยเหงื่อออกเต็มเลยหรือ
00:36:38 → 00:36:40 ว่ามันต้องมีเหงื่อหรือไม่มีเหงื่อค่ะถึง
00:36:40 → 00:36:43 จะเป็นดมแดดนะคะคุณผู้ฟังเลยรบกวนถามมา
00:36:43 → 00:36:46 แบบนี้ค่ะอาจารย์ครับอันนี้เป็นคำถามที่
00:36:46 → 00:36:49 ดีฮะเพราะว่าจริงๆลมแดดเนี่ยอ่าต้องเข้า
00:36:49 → 00:36:52 ใจก่อนว่าเวลาเราเกิดความร้อนน่ะครับผม
00:36:52 → 00:36:55 ร่างกายจะส่งผลทรุดง่ายๆ 2 อันผมสรุปง่าย
00:36:55 → 00:36:58 ๆคือเพลียแดดค่ะเียแดดนี่คือเหมือนเวลา
00:36:58 → 00:37:01 เราเป็นลมเวลาโดนอากาศร้อนนะครับแต่ว่า
00:37:01 → 00:37:04 อันนี้ช่วยทันนะครับก็คือตื่นมาในเวลาอัน
00:37:04 → 00:37:06 รวดเร็วไม่ได้ส่งผลระยะยาวต่อร่างกายมาก
00:37:06 → 00:37:09 ค่ะกับอีกกลุ่มนึงที่เคยเห็นบ่อยๆครับบาง
00:37:09 → 00:37:12 ๆคนเป็นแบบวงดุริยางค์อะไรเป็นลมไปนะครับ
00:37:12 → 00:37:14 แต่ว่าพอช่วยเหลือแป๊บเดียวก็ฟื้นกลับมา
00:37:14 → 00:37:17 ได้ปกติอันเนี้ยเป็นลักษณะของเพลียแดดนะ
00:37:17 → 00:37:20 ครับแต่ถ้าลมแดดลมแดดเนี่ยอ่ามันเป็นภาษา
00:37:20 → 00:37:22 ไทยภาษาอังกฤษเขาจะเรียกว่า heat Stroke
00:37:22 → 00:37:24 นะครับถ้าลมแดดหรือคำว่า heat Stroke
00:37:24 → 00:37:27 เนี่ยอันนี้คืออันตรายถึงชีวิตนะครับอันน
00:37:27 → 00:37:29 จะเป็นอย่างคำอธิบายที่ผมเล่าให้ฟังก็คือ
00:37:30 → 00:37:32 เมื่อไหร่ก็ตามที่เรารับความร้อนมามาก
00:37:32 → 00:37:35 เกินไปแต่ร่างกายไม่สามารถกำจัดความร้อน
00:37:35 → 00:37:37 ได้ทันนะครับพอความร้อนมาสสดส่ำในร่างกาย
00:37:37 → 00:37:40 อยู่ระดับนึงเนี่ยร่างกายมันจะอวอร์ดนะ
00:37:40 → 00:37:43 ครับและสุดท้ายเมื่อร่างกายมันปรับตัวไม่
00:37:43 → 00:37:45 ได้ร่างกายมันก็จะปล่อยให้ความร้อนมัน
00:37:45 → 00:37:48 พุ่งถึงขีดสุดเมื่อนั้นเนี่ยสมองจะเสีย
00:37:48 → 00:37:51 หายฮะและระบบอวัยวะในร่างกายทุกส่วนจะล้ม
00:37:51 → 00:37:54 เหลวนะครับซึ่งลมแดดเนี่ยจะมีได้ 2
00:37:54 → 00:37:58 สาเหตุหลักๆนะครับคือกลุ่มลมแดดที่อย่าง
00:37:58 → 00:38:00 ที่คุณผู้ฟังพูดเมื่อกี้เลยฮะจะมีกลุ่ม
00:38:00 → 00:38:03 ที่เสียเหงื่อง่ายกับเสียเหงื่อยากครับจะ
00:38:03 → 00:38:06 มี 2 แบบกลุ่มที่มักจะดูแล้วไม่ค่อยเสีย
00:38:06 → 00:38:09 เหงื่อเท่าไหร่นะครับคือกลุ่มที่กำจัด
00:38:09 → 00:38:12 ความร้อนออกจากร่างกายได้ไม่ดีนะครับ
00:38:12 → 00:38:15 อย่างเช่นตัวอย่างก็คือผู้สูงอายุนะครับ
00:38:15 → 00:38:18 หรือว่าเด็กเล็กๆมากๆถ้าผู้สูงอายุโดย
00:38:18 → 00:38:20 เฉพาะกลุ่มที่มีความเสี่ยงนอนติดเตียงอาจ
00:38:20 → 00:38:24 จะหกล้มและกระดูกหักนะครับกลุ่มนี้ถ้าไป
00:38:24 → 00:38:27 อยู่ในที่ที่อากาศร้อนมากเกินไปไม่มีคนดู
00:38:27 → 00:38:30 แลไม่มีอากาถ่ายเทสะดวกนะครับกลุ่มนี้เมี
00:38:30 → 00:38:33 ความสามารถในการขับเหงื่อออกมาได้น้อยลง
00:38:33 → 00:38:36 นะครับตามอายุที่เพิ่มขึ้นหรือเด่นเนี่ย
00:38:36 → 00:38:39 ยังพัฒนาได้ไม่เต็มที่นะครับกลุ่มเนี้ย
00:38:39 → 00:38:41 อาจจะเกิด He Stroke ได้โดยไม่มีเหงื่อ
00:38:41 → 00:38:44 เลยอืนะครับอันเนี้ยเป็นส่วนที่สำคัญนะ
00:38:44 → 00:38:47 ครับอันนี้คือกลุ่มแรกกลุ่มที่ 2 ก็คือ
00:38:47 → 00:38:49 กลุ่มที่รับพลังงานรับความร้อนมามากเกิน
00:38:49 → 00:38:53 ไปนะครับกำจัดเนี่ยพอจะกำจัดทันแต่รับมา
00:38:53 → 00:38:56 มากเกินไปจนปรับตัวไม่ทันนะครับกลุ่มนี้
00:38:56 → 00:39:00 ก็จะเป็นกลุ่มของของทหารที่ประจำการนะ
00:39:00 → 00:39:03 ครับอาจจะกลุ่มหนักกลางแดดกลุ่มนักวิ่ง
00:39:03 → 00:39:05 ที่ไม่มีการวอร์มมาก่อนหรือออกกำลังหัก
00:39:05 → 00:39:09 โห่งเกินไปกลุ่มนี้เหงื่อจะออกมากครับแต่
00:39:09 → 00:39:13 ว่ามันสู้ความร้อนที่ได้รับไม่ทันนะครับ
00:39:13 → 00:39:15 กลุ่มเก็จะเป็นอีกกลุ่มนึงที่เสี่ยงฮีสตก
00:39:15 → 00:39:18 ได้ก็โดยสรุปก็คือถ้าปัญหามันเกิดจากความ
00:39:18 → 00:39:20 สามารถระบายอากาศระบายความร้อนไม่ได้
00:39:20 → 00:39:22 เหงื่อมันไม่ออกเพราะมันเหงื่อมันระบาย
00:39:22 → 00:39:25 ไม่ดีก็เกิดีสตกได้ครับส่วนใหญ่จะเจอใน
00:39:25 → 00:39:27 กลุ่มผู้สูงอายุหรือว่าเด็กในขณะเดียวกัน
00:39:28 → 00:39:31 ถ้าเป็นกลุ่มนักวิ่งทหารนะครับที่ออก
00:39:31 → 00:39:34 กำลังกายในที่ร้อนจัดกลุ่มนี้เหงื่อจะออก
00:39:34 → 00:39:36 ครับแต่ก็เป็นที่ีสตได้เพราะได้รับความ
00:39:36 → 00:39:40 ร้อนมามากเกินไปค่ะอืโอชัดเจนนะกับคำถาม
00:39:40 → 00:39:42 นี้นะครับโอเป็นเรียกว่าอันตรายกว่าที่
00:39:42 → 00:39:45 เราคิดด้วยช่วงท้ายครับคุณหมอครับอยากให้
00:39:45 → 00:39:47 คุณหมอช่วยฝากอะไรถึงคนที่กำลังอยู่ใน
00:39:47 → 00:39:50 ช่วงของระหว่างการเดินทางหรือว่าอ่าพัก
00:39:50 → 00:39:52 ผ่อนอยู่แหละแล้วก็กำลังจะเดินทางกลับการ
00:39:52 → 00:39:54 เตรียมเนื้อเตรียมตัวอย่างไรเพื่อไม่ให้
00:39:54 → 00:39:58 สมองล้าในช่วงที่จะต้องเดินภายในอีก 2-3
00:39:58 → 00:40:01 วันข้างหน้าเคุณหมอ
00:40:01 → 00:40:05 ฮะครับผมอ่าบางคนต้องขับรถไประยะทางค่อน
00:40:05 → 00:40:09 ข้างไกลครับเพราะฉะนั้นแล้วก็คือขับรถ
00:40:09 → 00:40:12 เนี่ยอันที่ 1 ก็คือถ้าเป็นไปได้นะครับ
00:40:12 → 00:40:15 ควรจะมีคนขับไปด้วยถ้าถ้าควรจะมีคนประกบ
00:40:15 → 00:40:18 ไปด้วยนะครับสลับกันขับนะครับเพราะว่าการ
00:40:18 → 00:40:21 ขับรถระยะเวลาที่นานเกินไปเหนื่อยเกินไป
00:40:21 → 00:40:24 ร่างกายพักผ่อนไม่ไหวนะครับหลับในเกิด
00:40:24 → 00:40:27 อุบัติเหตุได้ง่ายนะครับถ้ามีคนช่วยขับ
00:40:27 → 00:40:31 หลายคนสลับกันขับนะครับถ้าขับคนเดียวนะ
00:40:31 → 00:40:34 ครับควรจะมีเวลาพักอันนี้เป็นส่วนที่
00:40:34 → 00:40:37 สำคัญที่สุดนะครับอาจจะทุก 3-4 ชั่วโมงนะ
00:40:37 → 00:40:40 ครับเข้าห้องน้ำแวะพักผ่อนสักครึ่ง
00:40:40 → 00:40:43 ชั่วโมงนั่งกินกาแฟหรืออะไรก็ได้นะครับ
00:40:43 → 00:40:46 แล้วค่อยกลับไปขับใหม่นะครับอย่าขับผักผม
00:40:46 → 00:40:48 ทีเดียวหลายสบชั่วโมงนะครับโอกาสเกิด
00:40:48 → 00:40:51 อุบัติเหตุสูงมากและที่สำคัญที่สุดเมื่อ
00:40:51 → 00:40:54 ถึงเวลากลางคืนแล้วรู้สึก่อนเพลียเมื่อ
00:40:54 → 00:40:58 ไหร่นะครับสัญญาณชัดเจนครับว่าขับต่อไม่
00:40:58 → 00:41:01 ได้แล้วควรหยุดพักครับก็ปัจจุบันนี้อาจจะ
00:41:01 → 00:41:04 มีทางภาครัฐอาจจะมีจุดที่ให้ขับหยุดพัก
00:41:04 → 00:41:07 แวะพักเหมือนกันนะของตำรวจทางหลวงนะครับ
00:41:07 → 00:41:09 อันนี้ก็สามารถศึกษาเพิ่มเติมได้นะครับ
00:41:09 → 00:41:12 หรือบางคนอาจจะต้องหาที่พักหาโรงแรมนอนก็
00:41:12 → 00:41:14 ว่ากันไปนะครับสุดท้ายนะครับเครื่องดื่ม
00:41:14 → 00:41:18 แอลกอฮอล์อุปสรรคของการขับรถระยะยาวครับ
00:41:18 → 00:41:22 ค่ะทำให้การตัดสินใจไม่ดีการสงตัวไม่ดี
00:41:22 → 00:41:25 ขับแล้วเซสุดท้ายมันทำให้หลับครับหลับใน
00:41:25 → 00:41:28 จะเกิดขึ้นแน่นอนในคนที่ดื่มครับไม่ว่าจะ
00:41:28 → 00:41:30 ดื่มน้อยหรือดื่มมากนะครับเพราะฉะนั้น
00:41:30 → 00:41:32 ดื่มให้ขับดีที่สุดครับร่วมไม่ถึงสารเสพ
00:41:33 → 00:41:35 ติดอื่นด้วยครับบางคนอาจจะใช้ของแถมอย่าง
00:41:35 → 00:41:38 อื่นนะครับหลีกเลี่ยงนะครับสารเสพติดอื่น
00:41:38 → 00:41:41 ก็ทำให้ความสามารถในการตัดสินใจไม่ดีมี
00:41:41 → 00:41:43 โอกาสที่จะขับรถชนได้ถ้าคุณไม่อยากเป็น
00:41:43 → 00:41:46 หนึ่งในตัวเลขของ 7 วันอันตรายครับผมอื
00:41:46 → 00:41:50 ค่ะเรียกว่าครบถ้วนขอบพระคุณอาจารย์มากนะ
00:41:50 → 00:41:53 คะแล้วก็เรา 2 คนถือโอกาสสวัสดีปีใหม่ไทย
00:41:53 → 00:41:55 อาจารยด้วยนะคะสุขสันวันสงกรานต์นะคะ
00:41:55 → 00:41:57 อาจารย์ขอบพระคุณมากนะคะที่มาเป็นเกียรติ
00:41:57 → 00:42:01 ในรายการของเรานะคะครับผมครับสุกสันวัน
00:42:01 → 00:42:03 สงกรานต์ท่านผู้ฟังแล้วก็พิธีกรทั้ง 2
00:42:03 → 00:42:07 ท่านครับค่ะขอบคุณขอบคุณคุณหมอมากๆนะครับ
00:42:07 → 00:42:11 อาจารยสวัสดีค่ะขอบพระคุณค่ะค่ะครับที่จบ
00:42:11 → 00:42:14 ไปนะคะก็คืออาจารย์เจสดาเขียวกระจีนะคะอ
00:42:14 → 00:42:17 นายแพทย์ชำนาญการสถาบันปราสาทวิทยากรมการ
00:42:17 → 00:42:21 แพทย์กระทรวงสาธารณสุขค่ะ