00:00:00 → 00:00:03 สวัสดีครับผมคิดว่าหลายคนนะครับคงได้ข่าว
00:00:03 → 00:00:06 เรื่องที่องค์การอนามัยโลกนะครับออกมาให้
00:00:06 → 00:00:08 คำแนะนำติดกันถึง 2 อย่างเรื่องเกี่ยว
00:00:08 → 00:00:10 ข้องกับศาลให้ความหวานเทียมนะครับอย่าง
00:00:10 → 00:00:13 แรกก็คือทางองค์การอนามัยโลกเนี่ยเขาไม่
00:00:13 → 00:00:16 แนะนำให้ใช้สารให้ความหวานเทียมนะครับ
00:00:16 → 00:00:20 เป็น 1 ในวิธีในการลดน้ำหนักเพราะว่ามัน
00:00:20 → 00:00:22 อาจจะได้ผลที่ตรงกันข้ามกับที่เราคิดก็
00:00:22 → 00:00:24 คือน้ำหนักมันก็ไม่ลดนะครับบางทีอาจจะ
00:00:24 → 00:00:26 เพิ่มซะด้วยซ้ำไปแล้วก็อาจจะมีความเกี่ยว
00:00:27 → 00:00:29 ข้องกับโรคหลอดเลือดหัวใจโรคหลอดเลือด
00:00:29 → 00:00:32 สมองนะครับเบาหวานความดันไขมันโรค ncd
00:00:32 → 00:00:35 ทั้งหมดหรือ not communical นะครับและ
00:00:35 → 00:00:38 อีกอย่างหนึ่งซึ่งเพิ่งจะออกมาก็คือว่าจะ
00:00:38 → 00:00:42 มีการให้ขึ้นทะเบียนศาลให้ความหวังตัวนึง
00:00:42 → 00:00:45 ชื่อว่า Aston นะครับเป็นสารที่อาจจะก่อ
00:00:45 → 00:00:48 มะเร็งได้แน่นอนว่าทุกคนก็คงต้องกังวล
00:00:48 → 00:00:50 เรื่องนี้แล้วเรื่องมันก็ไม่หยุดเพียงแค่
00:00:50 → 00:00:53 นี้นะครับสายคีโตนะครับก็คงจะได้ข่าวมา
00:00:54 → 00:00:56 อีกตัวนึงก็คือศาลให้ความหวานชื่อว่า
00:00:56 → 00:01:00 elismal นะครับก็เพิ่งมีงานวิจัยออกมาหา
00:01:00 → 00:01:02 ไม่นานนี้เองนะครับว่ามันอาจจะมีความ
00:01:02 → 00:01:04 เกี่ยวข้องกับการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
00:01:04 → 00:01:08 โรคหลอดเลือดสมองนะครับวันนี้ผมก็เลยอยาก
00:01:08 → 00:01:09 จะเอาเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังกันเลยนะครับ
00:01:09 → 00:01:12 ว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างไรแล้วก็เราจะ
00:01:12 → 00:01:15 ต้องปฏิบัติตัวอย่างไรเราจะกินสารให้ความ
00:01:15 → 00:01:18 หวานพวกนี้อย่างไรนะครับก็พบกับผมนะครับ
00:01:18 → 00:01:20 นายแพทย์ธานินทร์ธนีวรรณนะครับเป็น
00:01:20 → 00:01:21 อาจารย์แพทย์อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
00:01:21 → 00:01:24 เชี่ยวชาญรบก่อนการปลูกถ่ายปอดและธุรกิจ
00:01:24 → 00:01:25 บำบัดครับ
00:01:26 → 00:01:29 ก่อนที่เราจะเข้าเรื่องพวกนี้นะครับผมบอก
00:01:29 → 00:01:32 ง่ายๆเลยนะครับถ้าเราไม่ต้องการติดตามใน
00:01:32 → 00:01:34 เรื่องของว่ามีสารตัวไหนที่เราใช้อยู่
00:01:34 → 00:01:37 แล้วมันกลายเป็นสารอันตรายในอนาคตหรือ
00:01:37 → 00:01:40 เปล่านะครับหรือว่าเราต้องคอยกังวลติดตาม
00:01:40 → 00:01:43 ข่าวสารครบทุกอย่างตลอดเวลาวิธีง่ายที่
00:01:43 → 00:01:46 สุดก็คือเรารับประทานอาหารให้สมดุลนะครับ
00:01:46 → 00:01:49 ไม่มากไปไม่น้อยไปไม่สุดตรงไปทางใดทาง
00:01:49 → 00:01:52 หนึ่งนะครับและสิ่งที่เราได้รับการสอนมา
00:01:52 → 00:01:55 ตั้งแต่เด็กๆเนี่ยนะครับเราก็คงจะรู้ดี
00:01:55 → 00:01:57 ว่าอาหารประเภทไหนมันดีอาหารประเภทไหนมัน
00:01:57 → 00:01:59 ไม่ดีนะครับอันนี้เรารู้ดีอยู่แล้วนะนะ
00:02:00 → 00:02:02 ครับทางสายกลางได้ดีที่สุดดังนั้นถ้าเกิด
00:02:03 → 00:02:05 คนไหนที่ไม่ต้องการติดตามข่าวสารไม่
00:02:05 → 00:02:07 ต้องการรับข่าวอะไรเยอะแยะไปหมดนะครับ
00:02:07 → 00:02:09 เดี๋ยวกลัวทำตัวไม่ถูกไม่รู้จะเชื่อใครดี
00:02:09 → 00:02:12 วิธีที่ดีที่สุดก็คือเชื่อทางสายกลางนะ
00:02:12 → 00:02:15 ครับตรงที่สุดเลยนะครับอ่ากินของหวานมาก
00:02:15 → 00:02:18 ก็ไม่ดีกินสารให้ความหวานมากเกินไปก็ไม่
00:02:18 → 00:02:20 ดีเช่นกันนะครับกินให้มันพอดีๆนี่แหละ
00:02:20 → 00:02:21 ครับดีแล้วนะครับ
00:02:21 → 00:02:24 นี่แหละครับคือวิธีในการปฏิบัติตัวที่
00:02:24 → 00:02:26 ง่ายที่สุดถ้าท่านไม่ต้องการเข้าใจราย
00:02:26 → 00:02:30 ละเอียดอะไรเรามาเริ่มต้นกันที่เรื่องของ
00:02:30 → 00:02:34 w h o กันก่อนเลยนะครับที่ล่าสุดเนี่ย
00:02:34 → 00:02:37 จะมีการให้ขึ้นทะเบียนสารสถปัญหาเป็นสถาน
00:02:37 → 00:02:40 ที่อาจจะก่อให้เกิดมะเร็งได้มันมีที่มา
00:02:40 → 00:02:44 ที่ไปอย่างไรนะครับมันก็มามาจากการวิจัย
00:02:44 → 00:02:47 ที่ประเทศฝรั่งเศสนะครับอันเนี้ยจริงๆผม
00:02:47 → 00:02:49 เคยเอามาเล่าคร่าวๆแล้วนะครับการวิจัยตัว
00:02:49 → 00:02:51 นี้ของฝรั่งเศสนะครับมันก็คือชื่อว่า
00:02:51 → 00:02:54 นิวทริเน็ตนะครับเป็นการเก็บข้อมูล
00:02:54 → 00:02:57 ออนไลน์นะครับของคนหลายๆคนซึ่งสามารถที่
00:02:57 → 00:03:00 จะเข้าไปในโลกออนไลน์ได้นะครับแล้วแล้ว
00:03:00 → 00:03:02 แน่นอนว่าประชากรส่วนใหญ่ซึ่งตอบคำถามพวก
00:03:02 → 00:03:05 นี้มักจะเป็นผู้หญิงนะครับแล้วก็อาจจะมี
00:03:05 → 00:03:08 อายุเยอะนิดหนึ่งนะครับก็มีเวลาว่างในการ
00:03:08 → 00:03:11 ตอบคำถามพวกนี้นะครับรายงานอันนี้เนี่ย
00:03:11 → 00:03:13 เขาพบว่านะครับ
00:03:13 → 00:03:17 จำนวนคนที่ตอบคำถามพวกนี้มีประมาณสักแสน
00:03:17 → 00:03:21 กว่าคนนะฮะแล้วเขาก็มีการดูว่าแต่ละคนกิน
00:03:21 → 00:03:23 อะไรบ้างนะครับโดยเก็บข้อมูลเป็นช่วงๆนะ
00:03:23 → 00:03:27 ครับทุกๆ 6 เดือนติดตามจนปัจจุบันนี้ก็
00:03:27 → 00:03:29 ยังติดตามอยู่เรื่อยๆนะครับทำมาหลายปี
00:03:29 → 00:03:31 แล้วนะครับแล้วก็คาดว่าจะทำต่อไปเรื่อยๆ
00:03:31 → 00:03:34 นะครับเป็นการศึกษาประชากรในประเทศ
00:03:34 → 00:03:38 ฝรั่งเศสนะครับทีนี้เวลาที่เขาตอบคำถาม
00:03:38 → 00:03:40 เนี่ยไอ้แสนกว่าคนที่เขาเจออะไรนะครับเขา
00:03:40 → 00:03:44 ก็เจอว่ามีคนส่วนใหญ่นะครับกินสั่งให้
00:03:44 → 00:03:47 ความหวานอยู่หลักๆอยู่ 2 ตัวนะครับตัวแรก
00:03:47 → 00:03:50 คือ Aston อีกตัวนึงคือ Assassin K นะ
00:03:50 → 00:03:52 ครับ 2 ตัวเนี้ยเป็นตัวที่หลักๆเลยนะครับ
00:03:52 → 00:03:56 แล้วเขาก็ไปเจอว่าการที่คนกินไอ้ของพวก
00:03:56 → 00:04:00 เนี้ยเข้าไปเยอะๆนะครับมันเจอว่ามีความ
00:04:00 → 00:04:02 เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งสูงขึ้นโดยมะเร็ง
00:04:02 → 00:04:04 ที่เขาพบเป็นอันดับ 1 ก็คือมะเร็งเต้านม
00:04:04 → 00:04:07 นะครับต่อมาก็คือเป็นมะเร็งที่มีความ
00:04:07 → 00:04:10 เกี่ยวข้องกับความอ้วนน้ำหนักเยอะต่างๆนะ
00:04:10 → 00:04:11 ครับซึ่งพวกนี้มีหลากหลายไม่ว่าจะเป็น
00:04:12 → 00:04:15 มะเร็งเต้านมมะเร็งมะเร็งทางด้านของทาง
00:04:15 → 00:04:17 เดินอาหารนะครับมะเร็งตับอ่อนหรืออะไรพวก
00:04:17 → 00:04:21 นี้เยอะแยะไปหมดเลยนะครับเขาเจอว่ามันมี
00:04:21 → 00:04:23 ความเพิ่มสูงขึ้นของมะเร็งเหล่านี้นะครับ
00:04:23 → 00:04:27 อย่างไรก็ตามเวลาที่เราแปลผลพวกนี้เรา
00:04:27 → 00:04:30 ต้องรู้อีก 2-3 อย่างนะครับอย่างแรกก็คือ
00:04:30 → 00:04:33 มันเป็นการเก็บข้อมูลดังนั้นเนี่ยมัน
00:04:33 → 00:04:36 เหมือนกับว่าเราเลือกคนที่เขาจะเข้ามาตอบ
00:04:36 → 00:04:37 คำถามอยู่แล้วครับถ้าเกิดคนอื่นที่เขาไม่
00:04:37 → 00:04:40 ตอบคำถามเราก็ไม่มีข้อมูลของเขาถูกไหม
00:04:40 → 00:04:43 ครับและอย่างที่บอกคือคนที่ตอบคำถามส่วน
00:04:43 → 00:04:45 ใหญ่เป็นผู้หญิงแน่นอนว่ามะเร็งเต้านม
00:04:45 → 00:04:47 เนี่ยเจอในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายอยู่แล้ว
00:04:47 → 00:04:50 นะครับมันเองเต้านมในผู้ชายเจอได้ไหมเจอ
00:04:50 → 00:04:52 ได้แต่มันน้อยมากนะครับดังนั้นเนี่ยก็
00:04:52 → 00:04:54 เป็นการบอกว่าเอ้ยมะเร็งเต้านมเนี่ยใน
00:04:54 → 00:04:57 กรณีนี้มันเกี่ยวข้องกับคนที่เขามาตอบคำ
00:04:57 → 00:04:58 ถามมากกว่า
00:04:58 → 00:05:01 ส่วนอันนึงที่เขาพูดรวมๆก็คือบอกว่ามัน
00:05:01 → 00:05:03 เป็นมะเร็งที่เกี่ยวข้องกับความอ้วนนะ
00:05:03 → 00:05:06 ครับซึ่งไม่มีการเจาะจงลงไปว่าเป็นมะเร็ง
00:05:06 → 00:05:09 ชนิดใดชนิดหนึ่งนะครับให้เรารู้เอาเองว่า
00:05:09 → 00:05:11 มะเร็งอะไรที่เกี่ยวข้องกับความอ้วนนะ
00:05:11 → 00:05:14 ครับเหตุผลที่เขาทำเช่นนั้นเพราะว่าเขา
00:05:14 → 00:05:17 ไม่สามารถที่จะมีประชากรมากพอที่จะชี้ไป
00:05:17 → 00:05:20 ได้ชัดๆว่าในนั้นเนี่ยมันมีมะเร็งชนิดไหน
00:05:20 → 00:05:23 อยู่บ้างเขาก็เลยเอามันรวมเป็นก้อนๆเดียว
00:05:24 → 00:05:26 นะครับแล้วก็อันนี้ก็อันนี้ถือว่าเป็น
00:05:26 → 00:05:29 มะเร็งแล้วกันนะครับนี่เลยครับก็เป็นที่
00:05:29 → 00:05:33 มาของงานวิจัยชิ้นนี้ทีนี้อีกอย่างที่
00:05:33 → 00:05:37 ต้องรู้ก็คือว่าการที่เราตรวจพบว่าคน
00:05:37 → 00:05:39 กลุ่มนึงเนี่ยที่กินสารให้ความหวานเทียม
00:05:39 → 00:05:44 ทำให้เจอว่ามีมะเร็งเพิ่มขึ้นตรงนี้นะ
00:05:44 → 00:05:46 ครับต้องบอกว่ามันไม่ได้บอกว่ามันเป็น
00:05:46 → 00:05:49 สาเหตุนะครับไม่ได้บอกว่ามันเป็นสาเหตุ
00:05:49 → 00:05:52 มันบอกแค่ว่าเจอร่วมกันได้เท่านั้นการเจอ
00:05:52 → 00:05:55 ร่วมกันไม่ได้แปลว่าเป็นสาเหตุเสมอไป
00:05:55 → 00:05:58 เพราะว่าอาจจะมีปัจจัยอื่นอีกนะครับที่
00:05:58 → 00:06:00 เราไม่ได้ดูเช่นว่าความเสี่ยงต่อการเกิด
00:06:00 → 00:06:02 โรคมะเร็งในครอบครัวของคนเหล่านั้นนะครับ
00:06:02 → 00:06:05 ไม่ได้มีการเก็บข้อมูลถูกไหมครับโรคประจำ
00:06:05 → 00:06:08 ตัวอะไรที่เคยเป็นอยู่อย่างนี้เป็นต้นนะ
00:06:08 → 00:06:10 ครับน้ำหนักตัวหรืออะไรพวกนี้นะครับซึ่ง
00:06:10 → 00:06:12 ของพวกนี้มันมีความเกี่ยวข้องกับมะเร็ง
00:06:12 → 00:06:15 พฤติกรรมการใช้ชีวิตเช่นออกกำลังกายบ่อย
00:06:15 → 00:06:17 แค่ไหนนะครับมีความเครียดเยอะหรือเปล่านะ
00:06:17 → 00:06:20 ครับอ่าการนอนหลับพักผ่อนมันดีแค่ไหนการ
00:06:21 → 00:06:23 กินอาหารเป็นอย่างไรพวกนี้ทั้งหมดเลยนะ
00:06:23 → 00:06:26 ครับมันมีตัวแปรซึ่งเราต้องเอามาพิจารณา
00:06:26 → 00:06:30 รวมนะครับอย่างไรก็ตามการที่บอกว่ามันมี
00:06:30 → 00:06:33 สัญญาณของการเกิดโรคมะเร็งเพิ่มขึ้นนะมัน
00:06:33 → 00:06:35 ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราจำเป็นจะต้องติดตาม
00:06:35 → 00:06:38 ต่อไปแล้วก็ในงานวิจัยชิ้นนี้เนี่ยซึ่งผม
00:06:38 → 00:06:40 จะแปะลิงค์ให้ทุกคนไปดูด้วยเลยนะครับเขา
00:06:40 → 00:06:43 เขียนไว้ชัดเจนแล้วนะครับว่าอันนี้มีความ
00:06:43 → 00:06:47 จำเป็นที่จะต้องทำการศึกษาเพื่อยืนยันมัน
00:06:47 → 00:06:50 อีกรอบนึงนะครับต้องทำการศึกษาเพื่อยืน
00:06:50 → 00:06:53 ยันเพราะว่าอันนี้เป็นการดูคร่าวๆเฉยๆนะ
00:06:53 → 00:06:55 ครับยังไม่สามารถบอกได้ว่าไอ้สารให้ความ
00:06:55 → 00:06:58 หวานเทียมทั้งหมดที่พูดไปนะครับ Aston
00:06:58 → 00:07:00 พวกนี้หรือ Asset Frame พวกนี้มีความ
00:07:00 → 00:07:04 เกี่ยวข้องอะไรกับมะเร็งต่อมาหลายคนก็คง
00:07:04 → 00:07:06 จะสงสัยว่าแล้วมันต้องกินเข้าไปเท่าไหร่
00:07:06 → 00:07:09 แล้วมันถึงจะก่อมะเร็งได้นะครับ
00:07:09 → 00:07:14 คือตัวสารที่ผมบอก 2 ตัวหลักๆที่เป็นสาร
00:07:14 → 00:07:17 ให้ความหวานที่คนกินกันเยอะที่สุดในราย
00:07:17 → 00:07:19 งานวิจัยฉบับนี้เนี่ยนะครับคือ Aston กับ
00:07:19 → 00:07:24 Kate นะครับเขาพบว่าคนที่รายงานนะครับคน
00:07:24 → 00:07:26 ทดลองที่อยู่ในกลุ่มทดลองทั้งหมดเนี่ยนะ
00:07:26 → 00:07:30 ครับเขาบอกมาชัดเจนว่าเขาพิจารณาดูว่าคน
00:07:30 → 00:07:34 ทั้งหมดเนี่ยไม่ได้กินเกินที่กำหนดไว้นะ
00:07:34 → 00:07:37 ครับอ่าเกินกำหนดไว้คือ
00:07:37 → 00:07:42 ไดอารี่ intake นะครับก็คือเป็นจำนวนที่
00:07:42 → 00:07:45 เขากำหนดไว้ละกันถ้าเป็นของ Aston Time
00:07:45 → 00:07:47 เนี่ยเอ่อในที่เขาเขียนงานวิจัยตรงเนี้ย
00:07:47 → 00:07:50 คือไม่เกิน 40 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อ
00:07:50 → 00:07:53 วันนะครับส่วน assok เนี่ยนะครับไม่เกิน
00:07:53 → 00:07:57 15 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวันเออและไอ้
00:07:57 → 00:07:59 ตัวนี้มันหมายความว่าอะไรอย่างง่ายๆเลยนะ
00:07:59 → 00:08:01 ครับถ้าท่านไปดูพวกเครื่องดื่ม
00:08:01 → 00:08:04 เครื่องดื่มน้ำอัดลมต่างๆนะครับที่ไม่มี
00:08:04 → 00:08:08 กาแฟไม่มีไม่มีน้ำตาลไม่มีสารให้ความหวาน
00:08:08 → 00:08:11 ในนั้นที่เป็นน้ำตาลอย่างนึงนะครับก็พวก
00:08:11 → 00:08:14 นี้ใช้สารให้ความหวานเทียมมันแปลว่าคน
00:08:14 → 00:08:17 เหล่านี้เนี่ยนะครับถ้ากินตามค่าที่เขา
00:08:17 → 00:08:19 กำหนดให้เนี่ยนะครับ
00:08:19 → 00:08:22 ต้องกินพวกอย่างยกตัวอย่างนะเขากระป๋อง
00:08:22 → 00:08:24 เป๊ปซี่กระป๋องพวกนี้ประมาณวันละ 10 กว่า
00:08:24 → 00:08:28 กระป๋องนะครับถึงจะถือว่าเกิดนะครับถึงจะ
00:08:28 → 00:08:31 ถือว่าเกิดซึ่งคงไม่มีใครกินขนาดนั้นหรอก
00:08:31 → 00:08:33 ครับในแต่ละวันนั้นมันอาจจะมีก็ได้นะครับ
00:08:33 → 00:08:35 แต่ว่านั้นก็คือพวกสุดโต่งนะครับที่คิด
00:08:35 → 00:08:38 ว่าเออกินของที่มันไม่มีน้ำตาลในนั้นมี
00:08:38 → 00:08:40 แค่สารให้ความหวานเทียมมันคงจะปลอดภัย
00:08:40 → 00:08:43 เนาะเราคงจะน้ำหนักไม่มีปัญหาเนาะเราก็
00:08:43 → 00:08:45 กินเข้าไปเรื่อยๆนะครับซึ่งอันเนี้ยผมคิด
00:08:45 → 00:08:47 ว่ามันไม่ถูกต้องถ้าใครจะกินเข้าไปวันละ
00:08:47 → 00:08:49 เป็น 10 กระป๋องเนี่ยอันนี้ก็อาจจะเยอะ
00:08:49 → 00:08:51 เกินไปนะครับอันนี้เยอะเกินไปแน่นอนนะ
00:08:51 → 00:08:54 ครับอย่างมากก็กระป๋องเนี่ยก็เกินพอแล้ว
00:08:54 → 00:08:56 นะครับในแต่ละวันถ้า 2 กระป๋องก็นานๆ
00:08:56 → 00:08:58 ทีโอเคอย่างพอได้อยู่นะครับถ้าวันละมัน
00:08:58 → 00:09:01 เป็น 10 กระป๋องนี้อาจจะเยอะไปนะครับงั้น
00:09:01 → 00:09:05 รายงานฉบับนี้เนี่ยเขาดูแค่ว่าเรากินเข้า
00:09:05 → 00:09:08 ไปแค่ไหนนะครับแล้วก็อย่างที่ผมบอกไปนะฮะ
00:09:08 → 00:09:10 ถ้าไปอ่านตัวเนื้องานของรายงานตัวนี้
00:09:10 → 00:09:13 เนี่ยเขาก็จะบอกไว้ว่าคนส่วนใหญ่นะครับ
00:09:13 → 00:09:17 กินไม่เกินที่กำหนดนะครับไอ้ที่เขากำหนด
00:09:17 → 00:09:19 ไว้นี้ผมก็สงสัยว่าเขาคิดมาจากอะไรเหมือน
00:09:19 → 00:09:21 กันเพราะว่าการที่กำหนดมาอย่างเช่น
00:09:21 → 00:09:25 aspartment 40 mg ต่อกิโลกรัมต่อวัน
00:09:25 → 00:09:28 เนี่ยมันแปลว่าเราต้องกินไอ้พวกโค้ก
00:09:28 → 00:09:30 กระป๋องเป๊ปซี่กระป๋องที่แบบไม่มีน้ำตาล
00:09:30 → 00:09:34 เนี่ยวันละหลายกระป๋องมากเลยแบบบางอย่าง
00:09:34 → 00:09:36 บางยี่ห้อเนี่ย 40 กระป๋องอะไรอย่างเงี้ย
00:09:36 → 00:09:38 นะครับคือมันกินไม่ได้อยู่แล้วนะครับแต่
00:09:38 → 00:09:40 บางทีก็มีการผสมกันระหว่างสารให้ความหวาน
00:09:40 → 00:09:43 2 ตัวนะครับ as ก็ทานกับ assocrame ผสม
00:09:43 → 00:09:46 กันนะครับด้วยสัดส่วนที่แตกต่างกันนะถ้า
00:09:46 → 00:09:49 เราไปดูที่สัดส่วนเนี่ยไอ้ตัวที่มันจะทำ
00:09:49 → 00:09:51 ให้เราเกิดได้มากกว่าปกติก็คือตัว access
00:09:51 → 00:09:54 นะครับถ้าเราคำนวณเราก็จะพอบอกได้คร่าวๆ
00:09:54 → 00:09:57 นะครับอ่ะดังนั้นจากรายงานฉบับเนี้ยผมบอก
00:09:57 → 00:10:00 เลยนะครับว่ามันไม่ได้เปลี่ยนแปลงความคิด
00:10:00 → 00:10:02 อะไรของผมเลยนะครับคือมันไม่มีคนไหนหรอก
00:10:03 → 00:10:06 ครับที่จะไปกินไอ้พวกน้ำตาลเยอะขนาดนั้น
00:10:06 → 00:10:08 นะครับถ้ากินโค้กกระป๋องเป๊ปซี่กระป๋อง
00:10:08 → 00:10:10 ที่ใช้น้ำตาลเทียมที่มันเยอะขนาดนั้นอัน
00:10:10 → 00:10:13 นี้ก็จะเยอะเกินไปแน่ๆนะครับแล้วการที่
00:10:13 → 00:10:15 มันเกี่ยวข้องกับความอ้วนอะไรพวกนี้คือคน
00:10:15 → 00:10:18 เรานะครับถ้าพฤติกรรมของเราเนี่ยชอบกิน
00:10:18 → 00:10:20 ของหวานอยู่แล้วมันไม่ใช่ไม่มีแค่
00:10:20 → 00:10:22 พฤติกรรมชอบกินของหวานอย่างเดียวนะครับ
00:10:22 → 00:10:25 มันมีพฤติกรรมบางอย่างเช่นอาจจะไม่ชอบออก
00:10:25 → 00:10:28 กำลังกายอาจจะชอบอยู่เฉยๆชอบนั่งอยู่เฉยๆ
00:10:28 → 00:10:30 ชอบเล่นโน่นเล่นนี่เล่นเกมอย่างเงี้ยนะ
00:10:30 → 00:10:33 ครับหรือว่าวันๆเนี่ยเรา
00:10:33 → 00:10:35 ได้พักผ่อนเราก็ไม่อยากออกไปไหนนะครับก็
00:10:35 → 00:10:38 คือสรุปแล้วไม่ค่อยได้มีกิจวัตรประจำวัน
00:10:38 → 00:10:41 ที่เกี่ยวข้องกับความแข็งแรงสุขภาพของ
00:10:41 → 00:10:44 ร่างกายอะไรพวกนี้ดังนั้นไม่ใช่แค่การกิน
00:10:44 → 00:10:47 ของหวานที่เป็นน้ำตาลเทียมอย่างเดียวนะ
00:10:47 → 00:10:49 ครับที่มันมีความเกี่ยวข้องกับโรคภัยไข้
00:10:49 → 00:10:51 เจ็บแต่การใช้ชีวิตประจำวันของเราเนี่ยมี
00:10:51 → 00:10:54 ความเกี่ยวข้องด้วยซึ่งไม่ได้พูดถึงในราย
00:10:54 → 00:10:57 งานฉบับนี้เลยนะครับอ่ะตัวนี้เป็นอันนึง
00:10:57 → 00:11:00 ที่อยากจะบอกปล่อยมาต่อกันที่ตัวที่ 2 ดี
00:11:00 → 00:11:02 กว่าอันเนี้ยน่าสนใจขึ้นมาละ
00:11:02 → 00:11:06 นะครับคือคนทำวิจัยเนี่ยนะครับเขาอยู่ที่
00:11:06 → 00:11:09 คลิปเล่นคลินิก Foundation นะครับก็เป็น
00:11:09 → 00:11:13 หมอโรคหัวใจคนหนึ่งนะครับทำการตรวจตัว
00:11:13 → 00:11:15 อย่างทั้งหมดนะครับประมาณสักพันกว่าคนตอน
00:11:15 → 00:11:17 แรกๆนี่เขาสงสัยว่าพันกว่าคนเนี่ยนะครับ
00:11:17 → 00:11:21 มันมันจะมีสารให้ความหวานตัวไหนไหมนะครับ
00:11:21 → 00:11:23 ที่ไม่ใช่น้ำตาลที่มีความเกี่ยวข้องกับ
00:11:23 → 00:11:26 โรคหลอดเลือดหัวใจหลอดเลือดสมองกล้าม
00:11:26 → 00:11:29 เนื้อหัวใจตายอะไรพวกนี้นะครับเขาก็เอาคน
00:11:29 → 00:11:32 จำนวน 1,000 กว่าคนเนี่ยนะครับที่ได้รับ
00:11:32 → 00:11:36 การส่งต่อมาเพื่อที่จะสวนหัวใจนะครับฉีด
00:11:36 → 00:11:39 สีดูสวยหัวใจหมายความว่าอะไรครับหมายความ
00:11:39 → 00:11:42 ว่าคนกลุ่มนี้เนี่ยจะต้องทำการสวนหัวใจ
00:11:42 → 00:11:45 อยู่แล้วเขาก็จะนำเข้าสู่การวิจัยเพื่อ
00:11:45 → 00:11:49 ที่จะตรวจเลือดดูหาระดับ elital นะครับคน
00:11:49 → 00:11:51 กลุ่มนี้พอเขาเอามาตรวจเลือดเค้าเพราะว่า
00:11:51 → 00:11:54 เออถ้าเกิดว่าเรามีระดับ erritical ใน
00:11:54 → 00:11:57 เลือดสูงมากจะมีความเกี่ยวข้องกับการเกิด
00:11:57 → 00:12:01 โรคหัวใจโรคหลอดเลือดสมองนะครับและการ
00:12:01 → 00:12:03 เสียชีวิตที่เพิ่มมากกว่าคนที่มีระดับ
00:12:03 → 00:12:08 Evil ในเลือดต่ำนะครับอันนี้เป็นข้อ
00:12:08 → 00:12:11 สังเกตที่เขาเจอนะครับอันต่อมาก็คือเขาก็
00:12:11 → 00:12:14 อยากจะรู้ว่า aly มันเกี่ยวอะไรนะครับกับ
00:12:14 → 00:12:17 โรคพวกนี้บ้างเขาก็เลยเอามาทดลองอีก 2-3
00:12:17 → 00:12:20 อย่างด้วยกันอย่างแรกก็คือเอาไอ้ตัวสาร
00:12:20 → 00:12:22 นี้แหละครับ eligital เนี่ยใส่เข้าไปใน
00:12:22 → 00:12:26 หลอดทดลองพร้อมกับตัวเลือดของเรานะครับ
00:12:26 → 00:12:28 แล้วก็ให้สารที่มันเกี่ยวข้องกับคอลลาเจน
00:12:28 → 00:12:30 ให้พวกคอลลาเจนเข้าไปนะครับคอลลาเจนที่
00:12:30 → 00:12:32 มันมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดการแข่งตัว
00:12:32 → 00:12:35 ของเลือดด้วยนะครับพอเราเติมสารตัวนี้
00:12:35 → 00:12:38 เข้าไปเนี่ยเขาพบว่าเลือดมันแข็งตัวจะ
00:12:38 → 00:12:40 เป็นก้อนได้เร็วกว่านะครับเมื่อเทียบกับ
00:12:40 → 00:12:43 กลุ่มควบคุมซึ่งเขาใส่พวกน้ำเกลือหรือ
00:12:43 → 00:12:45 อย่างอื่นเข้าไปนะครับอ่าแข็งตัวเร็วกว่า
00:12:45 → 00:12:48 แล้วก็ไม่หยุดแค่นั้นเขาก็ไปทดลองต่อใน
00:12:48 → 00:12:53 หนูนะครับโดยเขาจะใช้หนูเนี่ยที่มีการบาด
00:12:53 → 00:12:55 เจ็บของหลอดเลือดตรงส่วนคอเรียกว่าโทรติด
00:12:55 → 00:12:57 arraries นะครับคือเขาใส่สารเข้าไปตัว
00:12:57 → 00:12:59 นึงนะครับเพื่อที่จะให้หลอดเลือดมัน
00:12:59 → 00:13:01 อักเสบแล้วก็ให้สารอิเล็กทรอลเข้าไปกำหนด
00:13:01 → 00:13:04 นะครับครับก็พบว่าเมื่อหลอดเลือดมีการบาด
00:13:04 → 00:13:07 เจ็บอักเสบแล้วได้สารอิเล็กทรอนในเลือด
00:13:07 → 00:13:09 ที่มันสูงขึ้นมันทำให้หลอดเลือดของหนู
00:13:09 → 00:13:12 เนี่ยมันตันได้ง่ายขึ้นนะครับกว่าการที่
00:13:12 → 00:13:15 เราไม่ให้สารอิเล็กตรอนเข้าไปนะครับก็เลย
00:13:15 → 00:13:20 ยิ่งคิดว่าน่าจะมีความเกี่ยวข้องกับการ
00:13:20 → 00:13:23 เกิดการอุดตันของหลอดเลือดแล้วสิแบบนี้นะ
00:13:23 → 00:13:25 ครับแล้วยังไม่หยุดแค่นั้นเขาก็อยากจะรู้
00:13:25 → 00:13:28 ว่าเออแล้วมันต้องกินเข้าไปปริมาณเท่า
00:13:28 → 00:13:31 ไหร่มันถึงจะเกิดเรื่องเขาก็เลยเอาคน
00:13:31 → 00:13:33 ประมาณสัก 8 คนเนี่ยนะครับที่แข็งแรงดี
00:13:33 → 00:13:36 ไม่มีโรคหัวใจไม่มีอะไรทั้งสิ้นนะครับมา
00:13:36 → 00:13:38 ให้กินสาร alligital นะครับคือให้กิน
00:13:38 → 00:13:40 ประมาณกินเยอะเหมือนกันแต่ผมจำตัวเลขเข้า
00:13:40 → 00:13:43 เอ่อชัดๆไม่ได้นะก็คือกินเยอะเหมือนกันนะ
00:13:43 → 00:13:43 ฮะ
00:13:43 → 00:13:48 กินเข้าไปมันเทียบได้กับอ่าถ้าเป็นพวก
00:13:48 → 00:13:51 ไอติมที่เป็นของคีโตก็คือหมดไปทั้งกระปุก
00:13:51 → 00:13:53 เลยอ่ะครับให้กินเข้าไปทั้งกระปุกอย่าง
00:13:53 → 00:13:55 นั้นนะครับได้สารอิเล็กทรอนประมาณเท่า
00:13:55 → 00:13:57 นั้นนะครับพอกินเข้าไปเสร็จปุ๊บเนี่ยเขา
00:13:57 → 00:13:58 ก็วัดระดับ
00:13:58 → 00:14:00 ericyal เนี่ยร่างกายหลังจากกินแล้วดู
00:14:00 → 00:14:03 ว่าเมื่อไหร่มันถึงจะลดลงไปนะครับเขาพบ
00:14:03 → 00:14:05 ว่าหลังจากกินเข้าไปแป๊บเดียวเนี่ยครับ
00:14:05 → 00:14:08 ระดับของ Evil Digital ในร่างกายเนี่ย
00:14:08 → 00:14:12 มันสูงมากๆนะครับสูงจนกระทั่งน่าจะมีความ
00:14:12 → 00:14:14 เกี่ยวข้องกับการเกิดลิ่มเลือดที่มันอุด
00:14:14 → 00:14:17 ตันได้นะครับแล้วมันก็จะสูงแบบนี้อยู่
00:14:17 → 00:14:19 ประมาณสัก 2 วันกว่ามันจะลงไปอยู่ในระดับ
00:14:19 → 00:14:23 ปกตินะครับจากรายงานทั้งหมดที่เขาว่ามา
00:14:23 → 00:14:26 เขาก็เลยคิดว่าเออไอ้ตัวเท่าเนี่ยนะครับ
00:14:26 → 00:14:30 มันอาจจะมีความเกี่ยวข้องกับการเกิดการ
00:14:30 → 00:14:33 อุดตันของหลอดเลือดพวกนี้นะครับอ่าก็เลย
00:14:33 → 00:14:36 ทำให้ทุกคนกังวลอย่างนี้สายคีโตเนี่ยซึ่ง
00:14:36 → 00:14:39 เป็นสายที่ของทุกอย่างที่ทำมาเพื่อคนคีโต
00:14:39 → 00:14:41 คนเบาหวานเนี่ยมันมักจะมี elitrical อยู่
00:14:41 → 00:14:43 ในนั้นนะครับก็เลยกังวลว่าอย่างนี้เราจะ
00:14:43 → 00:14:45 ทำยังไงดีแล้วเราจะกินของพวกนี้ได้อยู่
00:14:45 → 00:14:48 หรือเปล่านะครับอ่ะเรามาเริ่มทำความเข้า
00:14:48 → 00:14:50 ใจทำงานวิจัยชิ้นนี้ก่อนเลยครับ
00:14:50 → 00:14:55 เนี่ยมันเป็นน้ำตาลอย่างนึงนะครับเขา
00:14:55 → 00:14:57 เรียกว่าเป็นอ่าแอลกอฮอล์ Sugar คือเป็น
00:14:57 → 00:14:59 แอลกอฮอล์ชนิดหนึ่งแล้วแอลกอฮอล์กับน้ำ
00:14:59 → 00:15:01 ตาลเป็นบางอย่างเป็นชนิดที่มีร่วมกันกัน
00:15:01 → 00:15:04 ได้นะครับแล้วไอ้ชนิดเนี้ยมันถูกสร้าง
00:15:04 → 00:15:08 ขึ้นในร่างกายของคนเราได้นะครับแต่มันจะ
00:15:08 → 00:15:11 ไม่ได้รับการทำลายจนกลายเป็นพลังงานไม่
00:15:12 → 00:15:14 ได้รับการเอาไปสลายให้กลายเป็นพลังงานดัง
00:15:14 → 00:15:16 นั้นเวลาที่เรามีสารพวกนี้ขึ้นมาในร่าง
00:15:16 → 00:15:19 กายเราก็จะปัสสาวะทิ้งออกไปในรูปเดิมของ
00:15:19 → 00:15:22 มันนั่นแหละครับนะอันนี้คือเยลลี่ Detox
00:15:22 → 00:15:27 นะครับทีนี้เวลาที่เขาทำการวิจัยแบบนี้
00:15:27 → 00:15:29 เขาเรียกว่า observational studys ก็คือ
00:15:29 → 00:15:31 เป็นการสังเกตอย่างเดียวเลยนะครับไม่ได้
00:15:31 → 00:15:34 มีกลุ่มควบคุมและกลุ่มทดลองดังนั้นไม่มี
00:15:34 → 00:15:36 กลุ่มเปรียบเทียบเวลาไม่มีกลุ่มเปรียบ
00:15:36 → 00:15:37 เทียบแล้วเราเจออะไรเข้ามาสักอย่างเนี่ย
00:15:37 → 00:15:41 เราไม่สามารถบอกได้นะครับว่าสิ่งๆนั้นทำ
00:15:41 → 00:15:43 ให้เกิดสิ่งอีกสิ่งหนึ่งนะครับเราบอกได้
00:15:43 → 00:15:46 แค่ว่ามันเจอคู่กันเท่านั้นเองนะครับไม่
00:15:46 → 00:15:48 ได้บอกอะไรได้มากกว่านั้นยกตัวอย่างอะไร
00:15:48 → 00:15:52 ที่ชัดๆบ้างสมมุตินะครับผมไปเจาะเลือดหา
00:15:52 → 00:15:55 ค่าการอักเสบในร่างกายตัวหนึ่งชื่อว่า crt
00:15:55 → 00:15:58 นะครับอ่าซีเรียส 7 peptide ตัวนี้นะ
00:15:58 → 00:16:01 ครับถ้าเราตรวจแล้วเจอว่ามันสูงนะครับเขา
00:16:01 → 00:16:04 เจอว่ามีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคหลอด
00:16:04 → 00:16:08 เลือดหัวใจหลอดเลือดสมองเพิ่มขึ้นแต่สาร
00:16:08 → 00:16:11 crp ไม่ได้ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ
00:16:11 → 00:16:14 และหลอดเลือดสมองครับต่อให้ท่านฉีดสาร clp
00:16:14 → 00:16:16 เข้าไปในร่างกายก็ไม่ทำให้ท่านเกิดโรคพวก
00:16:16 → 00:16:18 นั้นขึ้นมาแต่มันเป็นตัวแทนซึ่งบอกว่า
00:16:18 → 00:16:20 กำลังมีการอักเสบในร่างกายเท่านั้นเลย
00:16:20 → 00:16:23 ครับนะแต่สิ่งที่ทำให้เกิดโรคหลอดเลือด
00:16:23 → 00:16:25 หัวใจหลอดเลือดสมองนะมันเป็นอย่างอื่นไม่
00:16:25 → 00:16:27 ใช่สารตัวนี้ดังนั้นเนี่ยการที่เราทำการ
00:16:27 → 00:16:30 ศึกษาแบบ observational แล้วเราเจอของ 2
00:16:30 → 00:16:33 อย่างคู่กันไม่ได้แปลว่าของอย่างนี้ทำให้
00:16:33 → 00:16:35 เกิดอีกอย่างนึงนะครับมันแค่เจอคู่กัน
00:16:35 → 00:16:37 อย่างเดียวเท่านั้นเองนะครับดังนั้นตรง
00:16:37 → 00:16:40 เนี้ยเวลาเราแปลผลก็ต้องระวังมากๆด้วยนะ
00:16:40 → 00:16:42 ครับอ่า
00:16:42 → 00:16:46 ต่อมาทีนี้พอเราพอทราบแล้วว่ามันมันแปลผล
00:16:46 → 00:16:48 อย่างนั้นไม่ได้นะแต่ว่างานวิจัยชิ้นนี้
00:16:48 → 00:16:51 เขาก็เตือนเรานะครับว่ามันอาจจะมีความ
00:16:51 → 00:16:53 เกี่ยวข้องกันก็ได้เพราะว่าเขาไปทำการทด
00:16:53 → 00:16:57 ลองแล้วเฮ้ยมันเป็นแบบนั้นต้องย้อนกลับไป
00:16:57 → 00:16:59 แล้วครับว่ากลุ่มที่เขาเอามาวิจัยเนี่ย
00:16:59 → 00:17:02 คือกลุ่มไหนเมื่อกี้ผมบอกไปคร่าวๆนะครับ
00:17:02 → 00:17:05 คือกลุ่มที่เขามีการส่งตัวมาเพื่อฉีดสี
00:17:05 → 00:17:08 หลอดเลือดหัวใจคนไหนที่ต้องฉีดสีหลอด
00:17:08 → 00:17:11 เลือดหัวใจมันแปลว่าคนๆนั้นเนี่ยหมอเขา
00:17:11 → 00:17:13 สงสัยตั้งแต่แรกแล้วครับว่าน่าจะมีโรค
00:17:13 → 00:17:16 หลอดเลือดหัวใจนั่นแปลว่าความเสี่ยงของคน
00:17:16 → 00:17:19 กลุ่มนี้สูงกว่าคนทั่วๆไปตั้งแต่แรกแล้ว
00:17:19 → 00:17:23 ครับนะฮะสูงกว่าคนทั่วไปตั้งแต่แรกแล้วนะ
00:17:23 → 00:17:26 ฮะมันแปลว่าคนกลุ่มนี้เนี่ยถ้าเราได้รับ
00:17:26 → 00:17:29 อิทธิพลมากไปอาจจะมีความเสี่ยงต่อการเกิด
00:17:29 → 00:17:31 โรคหลอดเลือดหัวใจและหลอดเลือดสมองสูง
00:17:31 → 00:17:34 ขึ้นแล้วก็แน่นอนคนกลุ่มนี้เนี่ยมักจะ
00:17:34 → 00:17:37 ต้องเป็นคนที่กังวลเรื่องสุขภาพตัวเองว่า
00:17:37 → 00:17:39 เฮ้ยเราเริ่มมีโรคหัวใจเราต้องทำการดูแล
00:17:39 → 00:18:41 ตัวเองงั้นเราลองไปดูซิว่า
00:18:41 → 00:18:44 ถูกต้องมีการอักเสบของหลอดเลือดก่อนนะ
00:18:44 → 00:18:47 ครับคือมีการทำให้เกิดการอักเสบก่อนแล้ว
00:18:48 → 00:18:51 จึงให้สารในวิธีทอดเข้าไปแล้วมันจึงเกิด
00:18:51 → 00:18:54 การอุดตันหมายความว่าอะไรครับถ้าเขาทำการ
00:18:54 → 00:18:58 ทดลองอีกอันนึงแล้วไม่เกิดการอักเสบของ
00:18:58 → 00:18:58 หลอดเลือด
00:18:58 → 00:19:03 แล้วให้ศาลเข้าไปมันอาจจะไม่มีการอุดตัน
00:19:03 → 00:19:06 อะไรเลยก็ได้นะครับนั่นแปลว่าอะไรมันแปล
00:19:06 → 00:19:08 ว่าท่านต้องมีความเสี่ยงอะไรบางอย่าง
00:19:08 → 00:19:10 เกี่ยวข้องกับโรคหลอดเลือดและหัวใจเช่นมี
00:19:10 → 00:19:13 ความอ้วนมีเบาหวานมีความดันมีไขมันสูงพวก
00:19:13 → 00:19:15 นี้อยู่แล้วนะครับแล้วก็ไม่ออกกำลังกาย
00:19:15 → 00:19:17 นอนหลับพักผ่อนได้เพียงพอมีความเครียดสูง
00:19:17 → 00:19:20 พวกนี้จะต้องมีความเสี่ยงแล้วอาจจะมี
00:19:20 → 00:19:22 ปัญหาถ้าท่านได้ englishedal ที่มันสูง
00:19:22 → 00:19:24 เกินไปนะครับ
00:19:24 → 00:19:28 นี่แหละครับคือเป็นสิ่งซึ่งผมถอดบทเรียน
00:19:28 → 00:19:31 มาจากงานวิจัยพวกนี้ได้ดังนั้นมันแปลว่า
00:19:31 → 00:19:34 อะไรได้อีกครับมันแปลถ้าลองคิดดูก็ได้
00:19:34 → 00:19:38 สมมุติจริงๆนะสมมติว่าเรามีงานวิจัยใหญ่ๆ
00:19:38 → 00:19:41 สัก 2-3 อันซึ่งยืนยันผลงานวิจัย
00:19:41 → 00:19:44 ที่ตัวคลิปเล่นคลินิกทำขึ้นมาว่า
00:19:44 → 00:19:46 Electrical เนี่ยน่าจะเป็นอันตรายจริงๆ
00:19:46 → 00:19:49 เขินเกิดสมมุติว่าเรามีวิจัยในอนาคตว่า
00:19:49 → 00:19:51 มันเป็นอันตรายจริงๆแล้วเราก็ไปเจอว่า
00:19:51 → 00:19:54 astime หรือ Assassin K เนี่ยทำให้เกิด
00:19:54 → 00:19:56 มะเร็งจริงๆสมมุติว่ามันมีความเกี่ยวข้อง
00:19:56 → 00:20:01 กันจริงๆสมมุตินะครับแล้วเราทำยังไงง่าย
00:20:01 → 00:20:04 มากเลยครับเราลองดูซิว่าเหตุใดเราจำเป็น
00:20:04 → 00:20:09 จะต้องไปกินของพวกนั้นนะครับแล้วเรากิน
00:20:09 → 00:20:12 มันมากจนเกินไปหรือเปล่านะครับถ้าเรากิน
00:20:12 → 00:20:14 มาม่าจนเกินไปเราก็แค่ตัดออกเท่านั้นเอง
00:20:14 → 00:20:16 เราไม่จำเป็นต้องกินเยอะแล้วของพวกนี้
00:20:16 → 00:20:19 อย่างที่ผมเคยเล่าไว้หลายๆคลิปนะครับอะไร
00:20:19 → 00:20:22 ที่มันมากไปมันไม่ดีหรอกครับน้อยไปมันก็
00:20:22 → 00:20:25 ไม่ดีนะฮะเราต้องอยู่ตรงกลางดังนั้นของ
00:20:25 → 00:20:27 พวกนี้ที่ออกมาวิจัย 2 ชิ้นเนี้ยถามว่า
00:20:27 → 00:20:29 ทำไมผมถึงไม่เอามันออกมาพูดตั้งแต่แรกๆ
00:20:29 → 00:20:32 ที่มันออกมาก็เพราะผมเคยบอกไว้หลายครั้ง
00:20:32 → 00:20:35 แล้วไงครับว่าของพวกนี้เนี่ยนะครับถ้าเรา
00:20:35 → 00:20:37 ไม่ได้ใช้มันมากจนเกินไปมันไม่มีปัญหา
00:20:37 → 00:20:40 อะไรหรอกครับนะฮะแล้วเราก็ไม่จำเป็นจะ
00:20:40 → 00:20:43 ต้องไปเสียเวลาติดทำงานศึกษาอะไรต่างๆใน
00:20:43 → 00:20:46 อนาคตไปดูว่าของพวกนี้มันพึ่งออกมาใหม่ๆ
00:20:46 → 00:20:48 เนี่ยเดี๋ยวต่อไปมันก็ต้องเกิดอันตรายกับ
00:20:48 → 00:20:51 ร่างกายนะครับง่ายๆนะครับเราก็เดินทางสาย
00:20:51 → 00:20:54 กลางเราไม่ต้องไปกินมันเยอะนะครับหรือคน
00:20:54 → 00:20:57 ที่กินอาหารคีโตเขาบอกว่าเรากินไอติมคีโต
00:20:57 → 00:20:59 ตัวนี้นะครับหรือว่าคุกกี้คีโตแล้วมันจะ
00:20:59 → 00:21:02 ปลอดภัยเราก็กินคุกกี้ 1 กินไป 10-20 อัน
00:21:02 → 00:21:04 เลยอย่างนี้อย่างนี้มันก็เยอะเกินไปถูก
00:21:04 → 00:21:07 ไหมครับนะอย่างถ้าเราเห็นแบบลูกหลานเรา
00:21:07 → 00:21:10 อย่างนี้ครับกินไอติม 2 ไพรซ์อย่างเงี้ย 2
00:21:10 → 00:21:13 กระปุกอย่างเงี้ย 2-3 กระปุกทั้งๆที่มัน
00:21:13 → 00:21:16 ไม่มีน้ำตาลมันก็ดูเยอะเกินไปอยู่ดีถูก
00:21:16 → 00:21:18 ไหมครับอันนี้คือใช้สามัญสำนึกคนทั่วๆไป
00:21:18 → 00:21:20 ก็เห็นว่ามันเยอะเกินไปนะฮะแล้วแน่นอนคน
00:21:20 → 00:21:23 เหล่านี้ก็บอกว่าเอ้ยเรากินอาหารที่มัน
00:21:23 → 00:21:25 ปลอดภัยมันไม่มีน้ำตาลสูงแล้วก็จบแค่นั้น
00:21:25 → 00:21:28 แต่ไม่ได้ทำอย่างอื่นเลยคือไม่ได้ออก
00:21:28 → 00:21:31 กำลังกายพักผ่อนก็ไม่ค่อยพักผ่อนก็คือนอน
00:21:31 → 00:21:33 ดึกนั่งเล่นเกมอยู่นะครับอ่าอย่างเงี้ย
00:21:33 → 00:21:39 นั่นก็แปลว่าหวังว่าการกินของที่มันปลอด
00:21:39 → 00:21:42 ภัยอย่างเดียวจะช่วยท่านได้ซึ่งก็ไม่ถูก
00:21:42 → 00:21:46 ต้องนะครับเท่าที่อ่าน 2 งานวิจัยนี้ให้
00:21:46 → 00:21:48 ท่านฟังทั้งหมดเนี่ยนะครับผมก็ตอบได้ง่าย
00:21:48 → 00:21:51 ๆเลยครับว่าสุดท้ายแล้วมันก็กลับมาเหมือน
00:21:51 → 00:21:54 เดิมคือรับประทานอาหารให้สมดุลไม่มากไป
00:21:54 → 00:21:56 ไม่น้อยไปไม่สุดตรงไปทางใดทางหนึ่งนะครับ
00:21:56 → 00:22:00 แล้วก็ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอพักผ่อนที่
00:22:00 → 00:22:03 เพียงพอลดความเครียดลงนะครับแล้วถ้ามีโรค
00:22:03 → 00:22:06 ประจำตัวใดๆทั้งสิ้นก็รักษาให้ดีนะครับ
00:22:06 → 00:22:09 ติดตามการรักษากับคุณหมอให้ดีดูผลเลือดดู
00:22:09 → 00:22:12 ผลการตรวจร่างกายเป็นประจำมันก็เท่านี้
00:22:12 → 00:22:14 เลยครับนะไม่ต้องไปวุ่นวายอะไรกับมันเยอะ
00:22:14 → 00:22:18 แยะนะครับอ้อขอเสริมอีกอย่างหนึ่งเรื่อง
00:22:18 → 00:22:21 ของคนที่รับประทานอาหารบางประเภทเพื่อที่
00:22:21 → 00:22:24 จะได้ผลในการควบคุมโรคประจำตัว ncd นะ
00:22:24 → 00:22:26 ครับได้ผลในการลดน้ำหนักยกตัวอย่างเช่น
00:22:26 → 00:22:30 กินอาหารคีโตกินอาหารแพลีโอนะครับหรือจะ
00:22:30 → 00:22:33 เป็น Carnival Diet นะครับหรือเป็นวีแกน
00:22:33 → 00:22:36 นะครับพวกเนี้ย metallien พวกเนี้ยทั้ง
00:22:36 → 00:22:39 หมดนะครับมันก็คือการกินที่สุดไปทางใดทาง
00:22:39 → 00:22:43 หนึ่งซึ่งอาจจะได้ผลในช่วงแรกนะครับส่วน
00:22:43 → 00:22:45 ใหญ่แล้วอาจจะได้ผลในช่วงแรกเช่นว่าเรา
00:22:45 → 00:22:47 เฮ้ยเราคุมน้ำหนักได้ทุกอย่างมันเริ่มดี
00:22:47 → 00:22:50 ขึ้นนะครับโรคดีขึ้นนี่ดีขึ้นแต่มันเป็น
00:22:50 → 00:22:52 เพราะว่าก่อนหน้านั้นเนี่ยเราทานอาหาร
00:22:52 → 00:22:54 อะไรไม่เคยสมดุลมาก่อนเลยนะครับตอนนี้เรา
00:22:54 → 00:22:57 มากินสุดมาอีกทางนึงมันก็ทำให้ทุกอย่าง
00:22:57 → 00:23:00 เริ่มเข้าสู่สมดุลแต่ถ้าเรายังกินมันต่อ
00:23:00 → 00:23:02 ไปเรื่อยๆเราก็จะเข้าสู่การเสียสมดุลอีก
00:23:03 → 00:23:06 ทีนึงนะครับแล้วพอมันเสียสมดุลทีนี้ท่าน
00:23:06 → 00:23:09 ก็จะเกิดโรคและอาการต่างๆตามมาแต่ที่มัน
00:23:09 → 00:23:12 น่ากลัวไปกว่านั้นก็คือหลายคนอาจจะไม่รู้
00:23:12 → 00:23:15 ว่าอาการที่เกิดขึ้นมานั้นหรือสิ่งที่มัน
00:23:15 → 00:23:18 เปลี่ยนแปลงไปนั้นมันเกิดจากการกินอาหาร
00:23:18 → 00:23:22 ชนิดพวกนั้นนะครับเพราะว่าเราติดว่าตอน
00:23:22 → 00:23:24 แรกเรากินแล้วมันดีเนี่ยกินแล้วไม่เห็นมี
00:23:24 → 00:23:26 ปัญหาอะไรไปหาหมอเอ้ยเบาหวานมันก็ลดลงนะ
00:23:26 → 00:23:29 น้ำหนักตัวเราก็ลดลงคุมได้ดีนะครับแล้วดู
00:23:29 → 00:23:32 แข็งแรงดีมันน่าจะต้องเป็นที่อย่างอื่น
00:23:32 → 00:23:35 มันไม่น่าใช่อาหารนะครับอ่าอันนั้นแหละ
00:23:35 → 00:23:37 ครับที่เราพลาดไปเราไม่รู้นะครับว่ามัน
00:23:37 → 00:23:40 เกี่ยวข้องกับอาหารนี่แหละนะครับแล้วเรา
00:23:40 → 00:23:42 ไปทำตัวสุดโต่งก็ไม่ได้นะครับแล้วมนุษย์
00:23:42 → 00:23:44 ของเราเนี่ยนะครับเกิดมาเนี่ยมันจะต้องมี
00:23:45 → 00:23:48 ความสมดุลเราทานอาหารเราไม่ใช่เป็นพวกที่
00:23:48 → 00:23:50 กินแต่เนื้ออย่างเดียวแล้วเราก็ไม่ใช่
00:23:50 → 00:23:51 เป็นแต่พวกกินแต่ผักอย่างเดียวนะครับดัง
00:23:51 → 00:23:54 นั้นเราต้องกินให้สมดุลสำหรับท่านซึ่ง
00:23:54 → 00:23:58 เป็นท่านที่ไม่กินเนื้อสัตว์เลยนะครับ
00:23:58 → 00:24:01 เพราะว่าด้วยความเชื่อทางศาสนาหรือจะด้วย
00:24:01 → 00:24:04 อะไรก็แล้วแต่พวกนี้อาจจะต้องทานสิ่งที่
00:24:04 → 00:24:07 ไปเสริมกันนะครับที่ท่านไม่สามารถหาได้ใน
00:24:07 → 00:24:10 พืชยกตัวอย่างเช่นวิตามินบี 12 อย่างนี้
00:24:10 → 00:24:13 เป็นต้นนะครับพวก Carnitine พวกนี้ก็จะ
00:24:13 → 00:24:17 ไม่ค่อยมีในพวกพืชเท่าไหร่นะครับอ่าพวก
00:24:17 → 00:24:19 นี้จะไม่ค่อยเจอนะครับหรือพวกกรดอะมิโน
00:24:19 → 00:24:22 จำเป็นพวกนี้ในพืชมันน้อยมากนะครับบางที
00:24:22 → 00:24:25 ไม่มีเลยด้วยซ้ำไปก็อาจจะน้อยกว่าในกรณี
00:24:25 → 00:24:27 ของสัตว์อ่ะท่านก็อาจจะต้องไปหาของพวก
00:24:27 → 00:24:29 นั้นน่ะมากินเสริมเพิ่มเติมนิดนึงนะครับ
00:24:29 → 00:24:31 ไม่ฉะนั้นก็อาจจะเกิดความไม่สมดุลบาง
00:24:31 → 00:24:34 อย่างขึ้นมาได้นะครับโอเควันนี้ก็เล่าให้
00:24:34 → 00:24:37 ฟังเพียงเท่านี้นะถ้าใครมีอะไรสงสัยก็สอบ
00:24:37 → 00:24:40 ถามมาได้นะครับขอบคุณมากครับสวัสดีครับ