00:00:00 → 00:00:01 มีใครเป็นสายบุฟเฟ่ต์เหมือนผมบ้างครับ
00:00:01 → 00:00:03 เมืองไทยเนี่ยต้องบอกว่าเป็นสวรรค์ของ
00:00:03 → 00:00:06 บุฟเฟ่ต์เลยเนามีเยอะมากปิ้งย่างชาบูหล่า
00:00:06 → 00:00:11 อาหารไทยอีสานญี่ปุ่นเกาหลีโอ้โหแล้วมัน
00:00:11 → 00:00:13 ก็แบบยั่วยวนไปหมดนะครับแต่แล้วเราจะมี
00:00:13 → 00:00:15 วิธีการกินบุฟเฟต์หรือกินอาหารมื้อใหญ่ๆ
00:00:15 → 00:00:18 ยังไงบ้างแล้วยังทำให้ร่างกายของเราเนี่ย
00:00:18 → 00:00:21 มันยังมีสุขภาพที่ดีอยู่วันนี้เนี่ยผมก็
00:00:21 → 00:00:24 ไปรวบรวมวิธีทั้งหมดแล้วก็สรุปมาเป็น How
00:00:24 → 00:00:27 to ฝากทุกๆคนที่เป็นสายบุฟเฟ่ต์เลยนะ
00:00:27 → 00:00:30 ครับ This is the Standard podcast
00:00:30 → 00:00:32 Eye Opening for your
00:00:33 → 00:00:36 ears Top To To podcast สุขภาพที่
00:00:36 → 00:00:41 ใช้วิทยาศาสตร์ไขปัญหาตั้งแต่หัวจด
00:00:41 → 00:00:44 เท้าสิ่งหนึ่งที่เป็นข้อควรระวังมากนะ
00:00:44 → 00:00:46 ครับในการกินอาหารมื้อใหญ่ๆหรืออย่างเช่น
00:00:46 → 00:00:48 บุฟเฟ่ต์หรือเวลาที่เรามีปาร์ตี้กับ
00:00:48 → 00:00:50 เพื่อนๆเนี่ยครับคือทำยังไงอ่ะให้เลือด
00:00:50 → 00:00:53 ของเราเนี่ยปริมาณน้ำตาลของมันเนี่ยไม่สป
00:00:53 → 00:00:56 คือพุ่งชวกเร็วๆมากๆนะครับเพราะว่าถ้า
00:00:56 → 00:00:59 เกิดว่าเรากินอาหารมื้อใหญ่บ่อยๆแล้วก็
00:00:59 → 00:01:01 น้ำตาลในเรื่องของเราเนี่ยพุ่งสูงปี๊ด
00:01:01 → 00:01:04 บ่อยๆบ่อยๆบ่อยๆเนี่ยครับมันมีโอกาสที่
00:01:04 → 00:01:07 ร่างกายของเราเนี่ยจะ develop ภาวะ
00:01:07 → 00:01:09 อิซูลิน resistance นะครับก็คือดื้อด้าน
00:01:09 → 00:01:13 ต่อฮอร์โมนอินซูลินซึ่งถ้าเกิดว่าร่างกาย
00:01:13 → 00:01:15 ของเราเนี่ยเกิดภาวะอิซูลิน resistance
00:01:15 → 00:01:18 ขึ้นมาแล้วเนี่ยครับก็จะทำให้เรามีโอกาส
00:01:18 → 00:01:20 เป็นเบาหวานประเภทที่ 2 หรือว่า type 2
00:01:20 → 00:01:24 diabetes แล้วเบาหวานเนี่ยครับเป็นต้น
00:01:24 → 00:01:27 เหตุของโรคอื่นๆตามมาอีกเยอะเลยไม่ว่าจะ
00:01:27 → 00:01:30 เป็นโรคหัวใจโรคสตกนะไขมันตในเส้นเลือด
00:01:30 → 00:01:33 เพรางั้นทางที่ดีก็คือต้องป้องกันตัวเอง
00:01:33 → 00:01:36 ให้ไม่เป็นเบาหวานได้จะดีที่สุดเพราะ
00:01:36 → 00:01:38 ฉะนั้นต่อให้เราจะเป็นสายกินก็ตามนะครับ
00:01:38 → 00:01:42 เราต้องพยายามหาทิปส์ต่างๆที่ทำให้น้ำตาล
00:01:42 → 00:01:45 ในเลือดเนี่ยมันไม่พุ่งครับขอเล่าสั้นๆ
00:01:45 → 00:01:46 นิดนึงแล้วกันนะครับว่าปกติแล้วเวลาน้ำ
00:01:46 → 00:01:48 ตาลในเลือดมันพุ่งเนี่ยมันร่างกายจะเป็น
00:01:48 → 00:01:51 ยังไงบ้างนะครับถ้าเรากินอาหารที่มีแป้ง
00:01:51 → 00:01:53 สูงหรือว่าน้ำตาลสูงนะครับสิ่งที่เกิด
00:01:53 → 00:01:56 ขึ้นคือมันดูดซึมเร็วแล้วก็จะมีน้ำตาลใน
00:01:56 → 00:01:59 เลือดอยู่เยอะนะครับพอในเลือดเรามีปริมาณ
00:01:59 → 00:02:02 น้ำตาลในเลือดเยอะมันก็จะส่งสัญญาณไปที่
00:02:02 → 00:02:04 ตับอ่อนบอกตับอ่อนให้หลั่งฮอร์โมน
00:02:04 → 00:02:08 อินซูลินมาเจ้าฮอร์โมนอินซูลินเนี่ยก็จะ
00:02:08 → 00:02:11 ไปบอกอวัยวะสำคัญำคัญนะครับไม่ว่าจะเป็น
00:02:11 → 00:02:16 ตับกล้ามเนื้อหรือว่าเซลล์ไขมันให้ดึงไอ้
00:02:16 → 00:02:18 เจ้าน้ำตาลหรือว่ากลูโคสที่อยู่ในเลือด
00:02:18 → 00:02:21 เนี่ยออกไปหน่อยเอาไปใช้เอาไปเก็บหน่อยนะ
00:02:21 → 00:02:24 ครับปริมาณน้ำตาลกลูโคสในเลือดเนี่ยมันก็
00:02:24 → 00:02:27 จะลดลงนั่นเองซึ่งโดยปกติแล้วเนี่ยไอ้
00:02:27 → 00:02:29 เจ้าอินซูลินก็จะส่งสัญญาณไปบอกอวัยวะได้
00:02:29 → 00:02:32 อวยวะก็รับรู้โอเคนะครับแต่ถ้าเกิดว่า
00:02:32 → 00:02:35 โอ้โหเรากินน้ำตาลเข้าไปเยอะกินอาหารเข้า
00:02:35 → 00:02:38 ไปเยอะๆนะครับแล้วปริมาณน้ำตาลเนี่ยมัน
00:02:38 → 00:02:41 พุ่งสูงปี๊ดมากๆนะครับบางครั้งเนี่ย
00:02:41 → 00:02:43 อวัยวะเหล่านั้นเนี่ยมันมันเหนื่อยมันทำ
00:02:43 → 00:02:45 งานไม่ไหวมันก็ไม่เชื่อฟังอินซูลินนะครับ
00:02:45 → 00:02:47 เพราะมันไม่เชื่อฟังอินซูลินหรือเกิดภาวะ
00:02:47 → 00:02:49 อิซูลิน resistance ขึ้นมาแล้วเนี่ยตับ
00:02:49 → 00:02:52 อ่อนก็ต้องสู้สิตับอ่อนก็จะสร้างอินซูลิน
00:02:52 → 00:02:54 เข้ามาเพิ่มขึ้นอีกให้สัญญาณมันเพิ่มขึ้น
00:02:54 → 00:02:56 เพื่อที่จะสั่งอวัยวะเหล่านั้นให้ช่วยดึง
00:02:56 → 00:02:58 น้ำตาลออกไปนะครับพอถึงจุดนึงเนี่ยบางที
00:02:58 → 00:03:00 เพิ่มอินซูลินเท่าไหร่แล้วเนี่ยอวัยวะ
00:03:00 → 00:03:02 นั้นก็ไม่ฟังแบบมันไม่เชื่อฟังอีกต่อไป
00:03:02 → 00:03:05 แล้วเนี่ยครับระดับฮอร์โมนอินซูลินก็จะ
00:03:05 → 00:03:08 สูงตลอดเวลานะครับน้ำตาลในเลือดก็จะสูง
00:03:08 → 00:03:10 ตลอดเวลาพอน้ำตาลในเลือดสูงเนี่ยความดัน
00:03:10 → 00:03:13 ก็ขึ้นหลอดเลือดก็ถูกทำลายนะครับพอหลอด
00:03:13 → 00:03:15 เลือดถูกทำลายเนี่ยบางทีไขมันก็ไปแทรกใน
00:03:15 → 00:03:17 หลอดเลือดแล้วทำให้เกิดภาวะอุตาในเส้น
00:03:17 → 00:03:21 เลือดเกิดสตกเกิดหัวใจล้มเหลวได้อีกนะ
00:03:21 → 00:03:23 ครับก็เป็นโรคต่างๆตามมามากมายเป็นสิ่ง
00:03:24 → 00:03:27 ที่เราควรระวังนั่นเองถามว่าแล้วเราจะทำ
00:03:27 → 00:03:30 ยังไงดีมันมีหลักการเบื้องต้นอยู่นะครับ
00:03:30 → 00:03:33 ในการกินที่จะช่วยควบคุมให้ปริมาณน้ำตาล
00:03:33 → 00:03:36 ในเลือดเนี่ยมันอยู่ในเลเวลที่มันโอเคอ่ะ
00:03:36 → 00:03:38 ไม่พุ่งสูงปี๊ดเกินไปอยู่ดับที่แบบเออ
00:03:38 → 00:03:42 วิ่งอยู่กลางๆพอดีๆๆนะครับสิ่งๆนั้นเนี่ย
00:03:42 → 00:03:44 มันคือค่าดัชนีน้ำตาลนะครับหรือว่า
00:03:44 → 00:03:48 glycemic index คือเราเนี่ยควรจะเรียน
00:03:48 → 00:03:50 รู้ครับว่าในอาหารที่เรากำลังจะกินเอา
00:03:50 → 00:03:53 เข้าไปในร่างกายของเราเนี่ยมันมีค่าดัชนี
00:03:53 → 00:03:56 น้ำตาลเนี่ยสูงหรือต่ำโอหพูดแล้วค่ะมันดู
00:03:56 → 00:03:58 ยากเนาะค่าดัชรีน้ำตาลหรือว่า glycemic
00:03:58 → 00:04:00 index จริงๆแล้วแล้วมันคือสิ่งที่บอกว่า
00:04:00 → 00:04:03 อีอาหารนั้นเนี่ยกินเข้าไปแล้วเนี่ยมันทำ
00:04:03 → 00:04:06 ให้ระดับน้ำตาลในเลือดเนี่ยมันสูงขึ้นมาก
00:04:06 → 00:04:10 หรือน้อยหรือเร็วหรือช้ามากแค่ไหนนะครับ
00:04:10 → 00:04:13 ซึ่งค่าของมันมีตั้งแต่ 0 ถึง 100 ครับ
00:04:13 → 00:04:16 ยิ่งตัวเลขเยอะก็หมายความว่าทำให้น้ำตาล
00:04:16 → 00:04:18 ในเลือดเนี่ยพุ่งสูงขึ้นเยอะหรือพุ่งสูง
00:04:18 → 00:04:20 ขึ้นเร็วนั่นเองนะครับเป็นสิ่งที่อ่าเรา
00:04:20 → 00:04:23 อาจจะไม่ต้องการนะครับถ้าเรากังวลเรื่อง
00:04:23 → 00:04:25 อ่า insulin resistance หรือว่าคนที่
00:04:25 → 00:04:28 เป็นเบาหวานนะครับแต่ถ้าเกิดว่าเราเป็นคน
00:04:28 → 00:04:30 ที่แบบเฮ้ยกำลังไปออกกำลังกายที่ต้องใช้
00:04:30 → 00:04:32 พลังงานเยอะเนี่ยกำลังปีนเขาเลยรู้สึก
00:04:32 → 00:04:36 เหนื่อยมากต้องการพลังงานอย่างเร็วอ่าเรา
00:04:36 → 00:04:38 ก็จะกลับกันเราต้องการอาหารที่ให้พลังงาน
00:04:38 → 00:04:41 เร็วๆก็คือต้องการอาหารที่มี glycemic
00:04:41 → 00:04:43 index ที่สูงนะครับเพราะฉะนั้นการที่เรา
00:04:43 → 00:04:46 เรียนรู้ว่าอาหารแต่ละอย่างเนี่ยมันเอ๊
00:04:46 → 00:04:49 มันให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นเร็วหรือช้า
00:04:49 → 00:04:51 มันก็เป็นประโยชน์กับเราทำให้เราปรับใช้
00:04:52 → 00:04:54 ได้ในหลายสถานการณ์นั่นเองนะครับทนี้ถาม
00:04:54 → 00:04:59 ว่าต้องมานั่งจำมยว่าเฮ้ยอะไรมันให้ค่า GI
00:04:59 → 00:05:01 สูงหรือต่ำ G คือ glycemic index นะครับ
00:05:01 → 00:05:03 เอาจริงๆก็ไม่ต้องขนาดนั้นครับคือรู้
00:05:03 → 00:05:06 คร่าวๆก็พอแล้วนะครับถ้าคร่าวๆใหญ่ๆเลยนะ
00:05:06 → 00:05:08 ครับถ้าเทียบอาหารกลุ่มที่เป็น
00:05:08 → 00:05:12 คาร์โบไฮเดรตโปรตีนไขมันผักผลไม้ไฟเบอร์
00:05:12 → 00:05:15 เนี่ยครับก็คือคาร์โบไฮเดรตเนี่ยค่า G
00:05:15 → 00:05:17 สูงปี๊ดอยู่ด้านบนๆของตารางครับกินเข้าไป
00:05:17 → 00:05:20 ปึ๊บน้ำตาลในเลือดก็จะพุ่งเร็วกว่านะครับ
00:05:20 → 00:05:23 ในขณะที่โปรตีนไขมันไฟเบอร์เนี่ยโอ้โหแทบ
00:05:23 → 00:05:25 จะต่ำเตี้ยเรี่ยดินมากกินเข้าไปเนี่ยไม่
00:05:25 → 00:05:28 ค่อยกระทบกับระดับน้ำตาลในเลือดนะครับ
00:05:28 → 00:05:30 สิ่งแรกที่ควรจะรู้คร่าวๆสิ่งที่ 2 ที่
00:05:30 → 00:05:33 ควรจะรู้คือพอเจาะเข้าไปในคาร์โบไฮเดรตซะ
00:05:33 → 00:05:35 หน่อยไม่ใช่ว่าคาร์โบไฮเดรตทุกตัวเนี่ย
00:05:35 → 00:05:37 ครับจะมีค่า GI ที่สูงนะครับมันก็จะมี
00:05:38 → 00:05:40 คาร์โบไฮเดรตที่มีทั้ง G สูงกลางต่ำแตก
00:05:40 → 00:05:42 ต่างกันไปนะครับถามว่าตัวไหนที่มันสูง
00:05:42 → 00:05:46 บ้างสูงๆเนี่ยแน่นอนน้ำตาลนี่สิ่งเราต้อง
00:05:46 → 00:05:50 จำไม่ยากน้ำตาลกินเข้าไป GI สูงก็คือนน้ำ
00:05:50 → 00:05:52 ตาลในเลือดพุ่งขึ้นเร็วนะครับอย่างที่ 2
00:05:52 → 00:05:56 คือขนมปังครับไม่ว่าจะเป็นขนมปังขาวขนม
00:05:56 → 00:06:00 ปังโวดอะไรก็ตามเนี่ยโอ้มันย่อยเร็วน้ำ
00:06:00 → 00:06:03 ตาลพุ่งเร็วมากๆนะครับอย่างที่ 3 ครับคือ
00:06:03 → 00:06:06 พวกมันฝรั่งครับ Potato เนี่ยครับไม่ว่า
00:06:06 → 00:06:09 จะมาในรูปแบบไหนจะเป็นมันฝรั่งทอดหรือว่า
00:06:09 → 00:06:12 จะเป็นมันฝรั่งต้มนะครับก็มีค่า G สูง
00:06:12 → 00:06:14 ทั้งสิ้นนะครับเพงั้นน้ำตาลขนมปังมัน
00:06:14 → 00:06:17 ฝรั่งเนี่ย G สูงแล้วข้าวกับขนมจีนล่ะ
00:06:17 → 00:06:20 จริงๆข้าวกับขนมจีนนะครับนับว่าเป็นอาหาร
00:06:20 → 00:06:23 ที่มีค่า G กลางๆนะครับก็คือน้ำตาลก็จะ
00:06:23 → 00:06:25 พุ่งช้ากว่า 3 อาหารอย่างแรกที่ผมบอกถ้า
00:06:25 → 00:06:27 เกิดว่าเป็นข้าวที่ไม่ขัดสีเนี่ย G มันก็
00:06:27 → 00:06:29 จะต่ำลงมาอีกนะครับเราก็สามารถจะเลือกกิน
00:06:29 → 00:06:32 ได้นะว่าเราต้องการคาร์โบไฮเดรตที่ให้น้ำ
00:06:32 → 00:06:34 ตาลในเลือดเร็วหรือช้าถ้าเกิดต้องการน้ำ
00:06:34 → 00:06:36 ตาลในเลือดเร็วก็ต้องเลือกคาร์โบไฮเดรต
00:06:36 → 00:06:39 หรืออาหารที่มีน้ำตาลเยอะๆมีขนมปังมีแป้ง
00:06:39 → 00:06:41 เยอะๆนะครับหรือมีมันฝรั่งเยอะๆรีบกิน
00:06:41 → 00:06:43 เข้าไปโอ้เราจะได้พลังงานรวดเร็วทันทีนะ
00:06:43 → 00:06:46 ครับแลกมากับน้ำตาลในเลือดสูงแล้วก็
00:06:46 → 00:06:48 อินซูลินอาจจะพุ่งเร็วนะครับก็ต้องระวัง
00:06:48 → 00:06:50 นิดนึงเนาะทีนี้มีอีกหนึ่งอย่างที่เราควร
00:06:50 → 00:06:53 จะต้องรู้นะครับว่าถ้าเกิดว่าเรากินอาหาร
00:06:53 → 00:06:56 ที่มีส่วนผสมของ GI สูงกับ GI ต่ำเนี่ย
00:06:56 → 00:06:58 ครับไอ้เจ้าอาหารที่มี GI ต่ำเนี่ยมัน
00:06:58 → 00:07:02 สามารถที่จะไปเบรคไปดึงไปฉุดค่า GI สูงทำ
00:07:02 → 00:07:05 ให้ค่า GI overall ของมื้ออาหารที่เรา
00:07:05 → 00:07:08 กินเนี่ยมันต่ำลงมาเป็นค่ากลางๆได้นะครับ
00:07:08 → 00:07:10 เทคนิคเนี้ยเป็นเทคนิคที่ Food Industry
00:07:10 → 00:07:12 เนี่ยเอาไปใช้ในการผลิต produc หลายอย่าง
00:07:12 → 00:07:14 เลยนะยกตัวอย่างเช่นเจลพลังงานครับเป็น
00:07:14 → 00:07:17 เจลที่กินแล้วแบบได้พลังงานเร็วๆนะครับ
00:07:17 → 00:07:19 ที่พวกนักกีฬาคนออกกำลังกายเนี่ยกินเพื่อ
00:07:19 → 00:07:21 ต้องการได้พลังงานเร็วๆเนี่ยครับถ้าไปดู
00:07:21 → 00:07:23 ดีๆเนี่ยในส่วนประกอบนะครับเขาจะมี
00:07:23 → 00:07:26 คาร์โบไฮเดรตที่มีค่า GI สูงเยอะๆแล้วก็
00:07:26 → 00:07:29 มีคาร์โบไฮเดรตที่มีค่า G ต่ำแทรกอยู่
00:07:29 → 00:07:32 ด้วยนะครับเหตุผลคือเพื่อให้กินเข้าไป
00:07:32 → 00:07:34 ปึ๊บเฮ้ยเราได้พลังงานแบบปึ๊บแบบเสทันที
00:07:34 → 00:07:38 เลยนะครับแต่เพื่อช่วยเซฟร่างกายของเรา
00:07:38 → 00:07:41 สุขภาพของเราเขาจะมีตัวที่เป็น GI ต่ำไป
00:07:41 → 00:07:45 ด้วยนะครับที่จะช่วยฉุดให้ average GI
00:07:45 → 00:07:47 เนี่ยมันเป็นค่ากลางๆนะครับเท่านั้นยัง
00:07:47 → 00:07:49 ไม่พอเนี่ยเวลาเรากินพวกเจลให้พลังงาน
00:07:49 → 00:07:51 เข้าไปแล้วเนี่ยก็จะมีทั้งแบบ Burst
00:07:51 → 00:07:53 release ก็คือได้พลังงานเร็วเลยกับ slow
00:07:53 → 00:07:55 release คือกินไปแล้วเนี่ยเฮ้ยกินไปพัก
00:07:55 → 00:07:57 นึงก็ยังมีพลังงานอยู่ด้วยนะครับมันเป็น
00:07:57 → 00:08:00 เทคนิคที่แม้กระทั่ง Food Industry เขา
00:08:00 → 00:08:03 ก็ใช้เพราะงั้นคนทั่วไปธรรมดาอย่างเราๆก็
00:08:03 → 00:08:06 สามารถจะใช้เทคนิคนี้ในการ mix and
00:08:06 → 00:08:08 match อาหารที่เรากินเพื่อให้ค่า GI
00:08:08 → 00:08:11 เนี่ยมันอยู่กลางๆก็คือได้กินของอร่อย
00:08:11 → 00:08:14 แล้วยังไม่พอนะครับยังทำให้ลดความเสี่ยง
00:08:14 → 00:08:16 ที่จะเป็นเบาหวานได้ด้วยครับงั้นเดี๋ยวมา
00:08:16 → 00:08:18 เข้าถึงประเด็นสำคัญเลยดีกว่าว่าถ้าเกิด
00:08:18 → 00:08:21 เราจะต้องไปกินบุฟเฟ่ต์อาหารมื้อใหญ่ๆ
00:08:21 → 00:08:23 อาหารที่จะแบบโอ้มีปาร์ตี้เนี่ยเราจะต้อง
00:08:23 → 00:08:25 เตรียมตัวหรือว่าจะต้องทำยังไงทั้งก่อน
00:08:25 → 00:08:28 มื้ออาหารระหว่างกินอาหารแล้วก็หลังจาก
00:08:28 → 00:08:30 ที่เรากินนะครับแล้วเทคนิคนี้เนี่ยสามารถ
00:08:30 → 00:08:33 ที่จะใช้ได้กับทั้งคนที่สุขภาพดีที่ยัง
00:08:33 → 00:08:36 ไม่เคย Dict ว่าเป็นเ diabetes นะครับ
00:08:36 → 00:08:39 หรือว่าแม้กระทั่งผู้ป่วยเองที่อ่าเป็น
00:08:39 → 00:08:41 เบาหวานแล้วหรือผู้ป่วยที่สุ่มเสี่ยงนะ
00:08:41 → 00:08:43 ครับที่จะเป็นเบาหวานเนี่ยก็สามารถทุกคน
00:08:43 → 00:08:45 ใช้เทคนิคนี้ได้ครับนะครับเป็นประโยชน์
00:08:45 → 00:08:48 กับทุกคนลองไปดูนะครับสเต็ปแรกครับถ้าเรา
00:08:49 → 00:08:52 จะต้องเลือกกินบุฟเฟ่ต์หรือว่าจะนัด
00:08:52 → 00:08:55 สังสรรค์กันนะครับดีที่สุดนะครับควรจะนัด
00:08:55 → 00:08:58 กันมื้อเช้าหรือว่ามื้อกลางวันนะครับถ้า
00:08:58 → 00:09:00 จะกินมื้อใหญ่ๆเนาะถามว่าทำไมเพราะว่า
00:09:00 → 00:09:02 หลังจากที่เรากินอาหารมื้อใหญ่แล้วที่
00:09:02 → 00:09:04 เป็นมื้อช้ากว่ามื้อกลางวันเนี่ยวันนั้น
00:09:04 → 00:09:07 เนี่ยเรายังมีกิจกรรมที่เรายังต้องทำต่อ
00:09:07 → 00:09:09 เรายังไม่ได้นอนทันทีนะครับเพราะฉะนั้น
00:09:09 → 00:09:11 เนี่ยอาหารที่เรากินเข้าไปก็จะถูกใช้มัน
00:09:11 → 00:09:14 ก็จะไม่สะสมเป็นอาหารส่วนเกินนะครับแต่ผม
00:09:14 → 00:09:17 เชื่อแหละว่าจริงๆแล้วเนี่ยคนส่วนใหญ่มัก
00:09:17 → 00:09:19 จะสังสรรค์กันมื้อเย็นเนาะมันเลี่ยงไม่
00:09:19 → 00:09:22 ได้นะครับคือถ้าเลือกได้เลือกบุฟเฟ่ต์
00:09:22 → 00:09:23 มื้อกลางวันแต่ถ้ามันจำเป็นจริิงต้องกิน
00:09:24 → 00:09:26 มื้อเย็นจะต้องทำยังไงบ้างสเต็ปที่ 2
00:09:26 → 00:09:28 ครับก่อนที่เราจะไปกินบุฟเฟ่ต์สักแป๊บนึง
00:09:28 → 00:09:31 นะครับเชียร์เลยให้ทุกคนลองทำดูนะครับคือ
00:09:31 → 00:09:35 ให้กินน้ำเปล่าแก้วนึงนะครับที่ผสมกับ
00:09:35 → 00:09:37 Apple ไอร์วิการหรืออะไรก็ได้ที่มีความ
00:09:37 → 00:09:40 เปรี้ยวนิดนึงนะครับสัก 1 ช้อนโต๊ะลงน้ำ
00:09:40 → 00:09:43 มะนาวก็ได้นะครับกินเข้าไปครับปึ๊บดื่ม
00:09:43 → 00:09:46 เข้าไปก่อนที่เราจะเริ่มมืออาหารใหญ่ๆนะ
00:09:46 → 00:09:48 ครับมันจะช่วยได้ดีมากๆเลยนะครับเพราะว่า
00:09:48 → 00:09:51 กรดเหล่านี้นะครับมันจะลดการทำงานของ
00:09:51 → 00:09:54 เอนไซมอเลสหรือเอนไซมที่ย่อยพวกแป้งนะ
00:09:54 → 00:09:57 ครับมันก็จะย่อยได้ช้าลงพอมันย่อยช้าลง
00:09:57 → 00:10:00 เนี่ยมันก็จะดูดซึมช้าลงนะครับเท่านั้น
00:10:00 → 00:10:02 ยังไม่พอนะครับเจ้าวาก้าหรือว่าของ
00:10:02 → 00:10:04 เปรี้ยวๆเนี่ยครับยังช่วยทำให้อาหารเนี่ย
00:10:04 → 00:10:08 อยู่ในกระเพาะของเรานานยิ่งขึ้นนะครับคือ
00:10:08 → 00:10:11 ไม่รีบส่งไปที่ลำไส้นะครับเพราะว่าร่าง
00:10:11 → 00:10:13 กายเนี่ยมันจะดูดซึมที่ลำไส้เนาะเพราะ
00:10:13 → 00:10:15 ฉะนั้นถ้าเกิดอาหารอยู่ในกระเพาะนานขึ้น
00:10:15 → 00:10:17 เนี่ยมันก็จะดูดซึมอาหารแล้วก็ดูดซึมน้ำ
00:10:17 → 00:10:20 ตาลช้าลงนั่นเองนะครับแถมยังมีงานวิจัย
00:10:20 → 00:10:23 เจอว่าไอ้พวกวิการ Acid ต่างๆนะครับช่วย
00:10:23 → 00:10:26 ในการดูดซึมกลูโคสได้ดีมากยิ่งขึ้นด้วยนะ
00:10:26 → 00:10:29 ครับงั้นลองดูก่อนที่จะเริ่มมือบุฟเฟ่ต์
00:10:29 → 00:10:31 มื้อใหญ่ๆครับพอเหยียบเข้าไปถึงร้าน
00:10:31 → 00:10:33 บุฟเฟ่ต์แล้วนะครับเ็ปต่อมาครับเวลาเราไป
00:10:33 → 00:10:36 กดน้ำครับทุกคนอย่าเพิ่งกินน้ำอะไรก็ตาม
00:10:36 → 00:10:39 ที่มีน้ำตาลน้ำส่วนใหญ่ที่เป็นที่เป็น
00:10:39 → 00:10:41 แทงคๆอ่ะที่กดอ่ะมีน้ำตาลทั้งนั้นนะครับ
00:10:41 → 00:10:44 เพราะฉะนั้นใจเย็นๆผมไม่ได้ห้ามให้ทุกคน
00:10:44 → 00:10:46 กินครับกินได้แต่อย่าเพิ่งกินน้ำแก้วแรก
00:10:46 → 00:10:49 ที่ควเราควรจะกินคือน้ำเปล่าครับที่จะควร
00:10:49 → 00:10:52 ตั้งบนโต๊ะระหว่างที่เรากินเนาะคำแรกๆ
00:10:52 → 00:10:54 แล้วก็ถ้าเกิดจะเป็นชาก็โอเคนะแต่ชานั้น
00:10:54 → 00:10:57 ต้องไม่มีน้ำตาลนะครับทุกคนลองดูดีๆเนาะ
00:10:57 → 00:11:00 แต่ถ้าเกิดว่าใครแบบเฮ้ยอยากกินแบบชานมโ
00:11:00 → 00:11:02 หูเคอุตส่าห์มีชาไต้หวันอยู่ในบุฟเฟ่ต์
00:11:02 → 00:11:06 อยากกินกินได้รอรอช่วงท้ายๆอดใจไว้ก่อนนะ
00:11:06 → 00:11:08 ครับเพราะถ้าเกิดเรารีบกินปึ๊บน้ำตาลใน
00:11:09 → 00:11:11 เครื่องดื่มนั้นเยอะมากมันก็จะดูดซึมเร็ว
00:11:11 → 00:11:15 มากเพราะน้ำตาลเรก็จะชูดเร็วมากงั้นควรจะ
00:11:15 → 00:11:17 อดใจไว้อย่าเพิ่งกินนะครับอย่างที่ 4
00:11:17 → 00:11:21 ครับสำคัญมากเลยนะอันนี้จริงๆเป็นวิธีการ
00:11:21 → 00:11:23 ที่คุณหมอแนะนำให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคเบา
00:11:23 → 00:11:26 หวาดเนี่ยปฏิบัติเลยนะครับคือการกินอาหาร
00:11:26 → 00:11:28 เป็นออเดอร์เป็นลำดับขั้นนั่นเองนะครับ
00:11:29 → 00:11:31 ถามว่ากินอาหารเป็นลำดับขั้นคืออะไรเรา
00:11:31 → 00:11:33 ควรจะเลือกกินอาหารที่เป็นผักที่มี
00:11:33 → 00:11:38 ไฟเบอร์ก่อนเป็นคำแรกๆแล้วตามด้วยโปรตีน
00:11:38 → 00:11:40 กับไขมันครับกินได้ครับแล้วหลังจากนั้น
00:11:40 → 00:11:43 เนี่ยพอกินไฟเบอร์ไปแล้วกินโปรตีนไขมันไป
00:11:43 → 00:11:45 แล้วไอ้พวกที่เป็นแป้งคาร์โบไฮเดรตเนี่ย
00:11:45 → 00:11:49 ค่อยกินเป็นคำหลังๆครับการทำแบบเนะครับ
00:11:49 → 00:11:51 คือคุณยังได้กินอาหารจานเดิมเหมือนเดิม
00:11:51 → 00:11:54 แค่สลับออเดอร์แต่ผลที่มันเกิดขึ้นกับ
00:11:54 → 00:11:57 ร่างกายเนี่ยมันยิ่งใหญ่มหาศาลมากนะครับ
00:11:57 → 00:11:59 เพราะว่าปริมาณน้ำตาลในเลือดเนี่ยที่มัน
00:11:59 → 00:12:02 ชู้ดเนี่ยมันแตกต่างกันเลยนะมีงานวิจัย
00:12:02 → 00:12:06 ครับเค้าเอาคนเนี่ยมาทดลองเลยกินอาหารจาน
00:12:06 → 00:12:08 เดียวกันจานนั้นมีทั้ง
00:12:08 → 00:12:12 ไฟเบอร์เนื้อสัตว์แล้วก็แป้งนะครับแต่ให้
00:12:12 → 00:12:16 สลับออเดอร์ในการกินนะครั้งแรกให้ลองกิน
00:12:16 → 00:12:20 แป้งก่อนตามด้วยผักที่มีไฟเบอร์แล้วตาม
00:12:21 → 00:12:23 ด้วยเนื้อครับแล้วเขาก็เจาะเลือดตรวจเบอก
00:12:23 → 00:12:25 ว่าใครที่กินออเดอร์เนี้ยปริมาณน้ำตาล
00:12:25 → 00:12:28 เลือดก็พุ่งสูงปี๊ดเลยนะครับนี้ลองเอา
00:12:28 → 00:12:31 ใหม่ลองให้ปรับออเดอร์นิดนึงนะครับให้กิน
00:12:31 → 00:12:35 ผักก่อนตามมาด้วยแป้งตามมาด้วยเนื้อก็เจอ
00:12:36 → 00:12:38 ว่าระดับน้ำตาเลือดเนี่ยลดต่ำลงมาเป็น
00:12:38 → 00:12:43 กลางๆเนาะทนี้ลองอีกกินผักก่อนตามด้วย
00:12:43 → 00:12:46 เนื้อตามด้วยแป้งนะครับก็เจอว่าโอ้โห
00:12:46 → 00:12:49 สามารถที่จะลดปริมาณน้ำตาลในเลือดเทียบ
00:12:49 → 00:12:52 กับแบบแรกคือกินแป้งก่อนเนี่ยได้ถึง 70%
00:12:52 → 00:12:54 เลยนะครับซึ่งเรียกว่ามัน significant
00:12:54 → 00:12:57 มากๆในการแค่สลับออเดอร์นิดเดียวอ่ะเพราะ
00:12:57 → 00:12:59 ฉะนั้นใครที่เหมือนเหมือนกับว่าเวลากิน
00:12:59 → 00:13:01 ข้าวอะไรเงี้ยต้องกินข้าวพร้อมกับกับไป
00:13:02 → 00:13:05 พร้อมๆกันเนี่ยผมก็เป็นเข้าใจนะครับก็ลอง
00:13:05 → 00:13:08 คำแรกๆเนี่ยลองหาผักกินก่อนหรือให้กิน
00:13:08 → 00:13:11 ข้าวเนี่ยน้อยๆปริมาณน้อยๆให้แบบพอเป็น
00:13:11 → 00:13:14 กระสัยว่าเราได้กินข้าวได้ลิ้มรดแป้งนิด
00:13:14 → 00:13:17 นึงนะครับแล้วก็ค่อยๆเก็บมันเอาไว้ครับ
00:13:17 → 00:13:19 ข้อดีคือบางทีเราอาจจะอิ่มและแล้วก็อาจจะ
00:13:19 → 00:13:22 กินข้าวไม่หมดก็เป็นการลดพอชั่นของการกิน
00:13:22 → 00:13:24 คาร์โบไฮเดรตไปนะครับแต่ถ้าคุณยังกินหมด
00:13:24 → 00:13:27 ก็ถือว่าพอกระเพาะมันไม่ว่างอ่ะครับไอ้
00:13:27 → 00:13:29 เจ้าสชหรือว่าพวกคาร์โบไฮเดรตเนี่ยมันก็
00:13:30 → 00:13:33 จะย่อยช้าขึ้นดูดซึมนานขึ้นนั่นเองนะครับ
00:13:33 → 00:13:36 แล้วถามว่าทำไมเราควรจะต้องกินไฟเบอร์
00:13:36 → 00:13:39 ก่อนกินเนื้อสัตว์กับกินไขมันก่อนไม่ได้
00:13:39 → 00:13:43 หรอจริงๆก็ได้นะครับถ้าเกิดในมุมว่าจะลด
00:13:43 → 00:13:45 ความเร็วในการดูดซิมน้ำตาลแต่ข้อดีของการ
00:13:45 → 00:13:48 กินไฟเบอร์ก่อนคือพอเรากินผักยิ่งเป็นผัก
00:13:48 → 00:13:50 ใบผักที่พองตัวในกระเพาะได้ครับพอเรากิน
00:13:50 → 00:13:52 ไฟเบอร์เข้าไปแล้วสิ่งที่จะเกิดขึ้นนะ
00:13:52 → 00:13:55 ครับทุกคนผักเหล่าเยครับมันจะไปแผ่กระจาย
00:13:55 → 00:13:58 เป็นเหมือนกับแพอยู่ในกระเพาะอาหารแล้วพอ
00:13:58 → 00:14:02 พอเรากินโปรตีนหรือว่ากินไขมันตามเข้าไป
00:14:02 → 00:14:04 นะครับไอ้เจ้าแไฟเบอร์เนี่ยครับมันก็
00:14:04 → 00:14:07 สามารถที่จะนอกจากจะต้านทานการดูดซึมแป้ง
00:14:07 → 00:14:11 น้ำตาลได้แล้วมันก็สามารถที่จะไปดูดเอา
00:14:11 → 00:14:13 พวกไขมันเนี่ยดักไขมันเอาไว้นะครับเราก็
00:14:14 → 00:14:16 จะลดปริมาณไขมันที่จะดูดซึ้งเข้าไปในร่าง
00:14:16 → 00:14:18 กายได้นะครับเป็นผลพลอยได้ของการกิน
00:14:18 → 00:14:21 ไฟเบอร์เข้าไปก่อนเพราะฉะนั้นจานแรกๆที่
00:14:21 → 00:14:23 เราควรจะกินในบัฟเฟ่จริงๆควรจะเป็นพวก
00:14:23 → 00:14:25 สลัดครับแล้วยิ่งถ้าเกิดเป็นสลัดที่มี
00:14:25 → 00:14:27 เดรสซิ่งหรือว่าน้ำสลัดที่มีส่วนผสมของ
00:14:27 → 00:14:31 วิกมีส่วนผสมของโอลีฟ Oil ที่เป็นไขมันดี
00:14:31 → 00:14:33 เนี่ยครับก็จะเป็นสิ่งที่ดีมากๆนะครับถ้า
00:14:34 → 00:14:36 เกิดว่าเป็นอาหารไทยจะเป็นอะไรอ่ะสมมุติ
00:14:36 → 00:14:39 ว่าไปกินอาหารอีสานอย่างเงี้ยก็ควรจะ
00:14:39 → 00:14:41 เลือกกินส้มตำก่อนเลยส้มตำมีเส้นมะละกอมี
00:14:41 → 00:14:46 ผักแล้วก็ตัวอ่าซอสของส้มตำเนี่ยก็มีความ
00:14:46 → 00:14:48 เปรี้ยวนะครับถ้าเกิดว่าเป็นส้มตำไทยเนาะ
00:14:48 → 00:14:51 สามารถที่จะลอง mi แ Match อ่ะเป็นความ
00:14:51 → 00:14:54 สนุกที่คุณสามารถจะลองทดลองเล่นได้ในแต่
00:14:54 → 00:14:57 ละมื้ออาหารนะครับเริ่มจากผักและอะไรที่
00:14:57 → 00:14:59 มันเปรี้ยวๆเข้าไปก่อนแล้วค่อยค่อยกิน
00:14:59 → 00:15:02 โปรตีนไขมันตามเข้าไปปิดท้ายด้วยแป้งนั่น
00:15:02 → 00:15:05 เองนะครับแต่ถ้าเกิดว่าใครรู้สึกว่าเอิม
00:15:05 → 00:15:08 อยากกินแป้งไปด้วยอ่ะทำยังไงก็โอเคครับขอ
00:15:08 → 00:15:11 เพียงแค่ว่าคุณอยากกินแป้งเดียวๆเป็นคำ
00:15:11 → 00:15:14 แรกๆครับอย่างน้อยขอให้กินแป้งคู่กับ
00:15:14 → 00:15:16 เนื้อสัตว์หรือโปรตีนหรือกินแป้งคู่กับ
00:15:16 → 00:15:20 แฟตหรือกินแป้งคู่กับไฟเบอร์ถือว่าก็ยัง
00:15:20 → 00:15:24 ดีกว่าการกินแป้งเพียวๆคำแรกๆนะครับมันจะ
00:15:24 → 00:15:26 ช่วยได้เยอะเลยเพราะว่าการทำแบบนี้มันจะ
00:15:26 → 00:15:28 ดียการที่อาหารเนี่ยจะถูกส่งจากกระเพาะ
00:15:28 → 00:15:31 อาหารไปลำไส้ก็คือให้มันอยู่ในกระเพาะนาน
00:15:31 → 00:15:34 ที่สุดนั่นแหละมันก็จะทำให้ด่ดซึมช้าลง
00:15:34 → 00:15:36 นั่นเองนะครับมีอีก 1 ทริกครับถ้าเกิดว่า
00:15:36 → 00:15:38 ใครอยากกินแป้งนะครับเป็นความรู้ใหม่ที่
00:15:38 → 00:15:41 ผมก็เพิ่งเจอครับว่าเวลาที่เราคุกหรือว่า
00:15:42 → 00:15:45 ปรุงแป้งอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตแล้วนะ
00:15:45 → 00:15:47 ครับร้อนๆเนี่ยครับถ้าเราทิ้ง
00:15:47 → 00:15:49 คาร์โบไฮเดรตให้มันเย็นตัวลงนะครับความ
00:15:49 → 00:15:52 เย็นมันจะทำให้โมเลกุลของแป้งเนี่ยมีการ
00:15:52 → 00:15:56 เรียงตัวใหม่แล้วก็ทำให้มันย่อยได้ยากมาก
00:15:56 → 00:15:58 ยิ่งขึ้นนะครับนั่นหมายความว่าถ้าเกิดเรา
00:15:58 → 00:16:01 เรากินมันฝรั่ง mash Potato ที่มันมา
00:16:01 → 00:16:05 ร้อนๆกับ mash Potato มันฝรั่งบดที่ต้ม
00:16:05 → 00:16:07 แล้วบดแล้วแล้วมันเย็นตัวลง้วครับการกิน
00:16:07 → 00:16:12 มันฝรั่งบดที่เย็นมันจะย่อยช้ากว่ามัน
00:16:13 → 00:16:15 ฝรั่งบดที่ร้อนเพราะว่าโครงสร้างของ
00:16:15 → 00:16:18 โมเลกุลแป้งเนี่ยมันแตกต่างกันนะครับเพ
00:16:18 → 00:16:20 งั้นก็เป็นอีกหนึ่งทริกครับถ้าเกิดอยาก
00:16:20 → 00:16:23 กินแป้งอ่ะอาจจะเป็นคำท้ายๆแล้วแล้วก็
00:16:23 → 00:16:25 เลือกแป้งที่มันมีความเย็นตัวลงซะหน่อย
00:16:25 → 00:16:27 ไม่ต้องกินร้อนๆเนี่ยมันก็สามารถที่จะ
00:16:27 → 00:16:29 ช่วยทำให้มันดูดซึมช้าลงได้ด้วยนะครับ
00:16:29 → 00:16:32 เป็นอีกหนึ่งเทคนิคที่น่าสนใจมากนะครับ
00:16:32 → 00:16:34 แล้วก็เทคนิคนี้สามารถจะ Apply ได้หลาย
00:16:34 → 00:16:37 อย่างเลยในการเก็บอาหารหรือว่าพรีเสิร์ฟ
00:16:37 → 00:16:39 อาหารนะครับยกตัวอย่างเช่นเราซื้อขนมปัง
00:16:39 → 00:16:41 มาเนี่ยครับแทนที่เราจะเก็บขนมปังใน
00:16:41 → 00:16:44 อุณหภูมิห้องเราไปเก็บขนมปังในตู้เย็น
00:16:44 → 00:16:46 หรือว่าขนมปังในฟรีเซอร์นะครับก่อนที่จะ
00:16:46 → 00:16:49 เอามาปิ้งนะครับขนมปังที่เก็บในตู้เย็น
00:16:49 → 00:16:51 หรือในฟรีเซอร์เนี่ยครับโครงสร้างแป้งของ
00:16:51 → 00:16:53 มันก็จะย่อยยากกว่าขนมปังที่เก็บใน
00:16:53 → 00:16:56 อุณหภูมิห้องนะครับก็จะทำให้มันดูซึมช้า
00:16:56 → 00:16:58 กว่านั่นเองครับเป็นทริกที่เอาไป Apply
00:16:59 → 00:17:00 ได้นะครับทริกต่อมาครับคือการเลี่ยง
00:17:00 → 00:17:03 process Food นะครับคืออาหารที่เอิ่ม
00:17:03 → 00:17:05 ต้องผ่านกระบวนการแปรรูปมาเยอะนะครับ
00:17:05 → 00:17:07 เพราะว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่อาหารมีการแปร
00:17:07 → 00:17:11 รูปเนี่ยมันก็อาจจะมีการบดมีการย่อยอาหาร
00:17:11 → 00:17:13 มาแล้วส่วนนึงนะครับพอกินเข้าไปเนี่ยมัน
00:17:13 → 00:17:16 ก็จะถูกย่อยแล้วก็ดูดซึมได้ง่ายกว่าการ
00:17:16 → 00:17:19 กินอาหารที่เป็นอาหารที่แบบ Natural อ่ะ
00:17:19 → 00:17:21 ไม่ผ่าน process ที่เป็นเนื้อสดๆหรือว่า
00:17:21 → 00:17:25 อ่าแป้งที่ยังดิบๆอยู่เนี่ยไม่ผ่านกระบวน
00:17:25 → 00:17:27 การย่อยมาก่อนมันก็จะดูดซึมช้าลงนะครับ
00:17:27 → 00:17:31 ต่อมาครับครับกระบวนการ Cooking ก็มีผล
00:17:31 → 00:17:34 ต่อความเร็วช้าในการดูดซึมนะครับเมีโอห
00:17:35 → 00:17:37 การศึกษาเป็นร่ำเป็นสันเลยนะครับก็เจอว่า
00:17:37 → 00:17:40 อาหารชนิดเดียวกันถ้าเอาไปต้มหรือเอาไป
00:17:40 → 00:17:43 นึ่งเนี่ยครับมันจะดูซึมช้ากว่าการที่เอา
00:17:43 → 00:17:46 อาหารชนิดเดียวกันไปอบหรือเอาอาหารชนิด
00:17:46 → 00:17:48 เดียวกันไปย่างนะครับเพราะว่าการย่าง
00:17:48 → 00:17:51 โอ้โหยิ่งใช้ความร้อนเยอะๆหรือการอบเนี่ย
00:17:51 → 00:17:55 ครับมันจะทำให้โมเลกุลของแป้งเนี่ยมันถูก
00:17:55 → 00:17:58 ย่อยมาแล้วส่วนนึงนะครับพอเข้าไปในร่าง
00:17:58 → 00:18:00 กายปุ๊บึบๆแป๊บเดียวดูดซึมแหละนะครับต่าง
00:18:00 → 00:18:03 กับการที่เอาแป้งเนี่ยไปต้มหรือไปนึ่งนะ
00:18:03 → 00:18:06 ครับมันจะดูดซึมช้ากว่านะครับและถ้าเกี่
00:18:06 → 00:18:09 ว่าอาหารเนี่ยมีการหมักในกรดหรือว่ามีการ
00:18:09 → 00:18:11 เอาไปลวกแล้วก็ไปน็อคน้ำเย็นเนี่ยครับมัน
00:18:11 → 00:18:14 จะทำให้โครงสร้างโมเลกุลเนี่ยย่อยยากขึ้น
00:18:14 → 00:18:18 ก็จะดูดซึมช้าลง Blood Sugar ก็จะ spike
00:18:18 → 00:18:20 ช้าลงนั่นเองนะครับเพราะงั้นถามว่า Apply
00:18:20 → 00:18:22 ยังไงได้บ้างสมมุติว่าเราจะต้มอ่า
00:18:22 → 00:18:25 สปาเกตตี้หรือเราจะหุงข้าวนะครับการต้ม
00:18:25 → 00:18:27 สปาเกตตี้ให้ตัวเส้นเนี่ยมันยังมีความ
00:18:27 → 00:18:31 แข็งอยู่อยู่หนึบๆกรึบๆอยู่อย่างเป็น ente
00:18:31 → 00:18:34 เนี่ยครับก็จะย่อยได้ยากกว่าหรือย่อยได้
00:18:34 → 00:18:37 ช้ากว่าการต้มเส้นสปาเกตี้ให้มันสุกให้
00:18:37 → 00:18:39 มันวอร์ Cook นะครับแม้กระทั่งการหุงข้าว
00:18:39 → 00:18:42 เองครับถ้าเกิดว่าเราหุงข้าวแล้วใช้
00:18:42 → 00:18:45 ปริมาณน้ำค่อนข้างเยอะเทียบกับการหุงข้าว
00:18:45 → 00:18:48 ที่ใช้ปริมาณน้ำน้อยกว่านะครับข้าวที่หุง
00:18:48 → 00:18:50 ด้วยน้ำเยอะกว่าหรือมันฝรั่งที่ต้มด้วย
00:18:50 → 00:18:52 ปริมาณน้ำที่เยอะกว่าเนี่ยครับก็จะทำให้
00:18:52 → 00:18:55 โมเลกุลเนี่ยมันถูกย่อยสลายมาส่วนนึงเวลา
00:18:55 → 00:18:57 กินเข้าไปแล้วเนี่ยมันก็จะย่อยได้เร็วมาก
00:18:57 → 00:18:59 ยิ่งขึ้นนั่นเองนะครับยังไม่พูดถึงของ
00:18:59 → 00:19:02 หวานเลยอ่ะโอเคเรากินของคาวไปแล้วก็ถึง
00:19:02 → 00:19:04 เวลาของหวานนะครับถามว่ากินได้มั้ยกินได้
00:19:04 → 00:19:07 ครับแต่ว่าใจเย็นๆนะกินตอนท้ายๆหลังจาก
00:19:07 → 00:19:09 ที่กระเพาะเรามันเริ่มเต็มแล้วนะครับพอ
00:19:09 → 00:19:11 กระเพาะเราเริ่มเต็มแน่นอนมันก็จะดูดซึม
00:19:11 → 00:19:14 น้ำตาลช้าลงเพราะว่าในของหวานเนี่ยโอ้โห
00:19:14 → 00:19:19 มีแต่ตัวที่ G สูงๆคือน้ำตาลก็มาขนมปังก็
00:19:19 → 00:19:21 มานะครับแป้งต่างๆเนี่ยมาเพราะฉะนั้นกิน
00:19:21 → 00:19:24 ตอนหลังหลังมันจะดูซึมช้านะครับผลไม้นะ
00:19:24 → 00:19:27 ครับล้างปากนิดนึงฮตอนจบครับจริงๆการ
00:19:27 → 00:19:30 เลือกผลไม้ก็มีผลนะครับผลไม้ที่มีความ
00:19:30 → 00:19:34 หวานหรือผลไม้ชนิดเดียวกันที่สุกมากกว่า
00:19:34 → 00:19:36 กันเนี่ยครับมันก็จะเพิ่มน้ำตาลในเลือด
00:19:36 → 00:19:37 ได้เร็วกว่านะครับเช่นมะม่วงเงี้ยการ
00:19:37 → 00:19:40 เลือกกินมะม่วงดิบแทนมะม่วงสุกนะครับก็จะ
00:19:40 → 00:19:43 ทำให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดเนี่ยพุ่งช้าลง
00:19:43 → 00:19:47 นั่นเองนะครับอ่ะสตว่ากินบุฟเฟ่ต Enjoy
00:19:47 → 00:19:50 แล้วนะครับหลังจากนั้นทำอะไรต่อครับหลายๆ
00:19:50 → 00:19:53 คนก็ขับรถกลับบ้านหรือว่ากลับไปนอนพักใคร
00:19:53 → 00:19:55 ที่ทำแบบนั้นเนี่ยอย่าทำนะครับแนะนำเลย
00:19:55 → 00:19:57 ว่าหลังจากกินอาหารมื้อใหญ่ๆเสร็จแล้ว
00:19:57 → 00:20:01 เนี่ยเราควรจะไปเดินเล่นหรือเราควรจะไป
00:20:01 → 00:20:04 ช้อปปิ้งครับอย่างน้อย 10 นาทีนะครับต้อง
00:20:04 → 00:20:07 บอกว่าการเดินเล่นหลังมื้ออาหารใหญ่ๆจริง
00:20:07 → 00:20:09 ๆไม่ต้องอาหารมื้อใหญ่หรอกการเดินเล่น
00:20:09 → 00:20:11 หรือการให้เราเคลื่อนไหวร่างกายหลังจาก
00:20:11 → 00:20:14 ทุกมื้ออาหารเนี่ยครับเพียงแค่ระยะเวลา
00:20:14 → 00:20:16 สั้นๆเพียงแค่ 10 นาทีเนี่ยจะสร้าง Big
00:20:16 → 00:20:19 Impact ให้กับร่างกายมากๆเลยนะครับมีงาน
00:20:19 → 00:20:23 วิจัยเจอเลยครับว่าการที่เราร่างกายสัก 10
00:20:23 → 00:20:25 นาทีนะครับหลังจากที่กินอาหารเนี่ยมันจะ
00:20:25 → 00:20:29 ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเนี่ยต่ำลงทันที
00:20:29 → 00:20:30 เพราะว่าตอนหลังจากที่เรากินอาหารปุ๊บน้ำ
00:20:30 → 00:20:32 ตาลมันถูกดูดซึมนั่นแหละมันดูดซึมเร็ว
00:20:32 → 00:20:35 เนาะมันก็จะมีเต็มไปหมดในเลือดนะครับแล้ว
00:20:35 → 00:20:37 ถ้าเกิดว่าเราเคลื่อนไหวนะครับเซลล์ต่างๆ
00:20:37 → 00:20:40 อวยต่างๆเนี่ยมันจะรีบดึงน้ำตาลออกจาก
00:20:40 → 00:20:42 เลือดเองโดยที่ไม่ต้องพึ่งอินซูลินมากเลย
00:20:42 → 00:20:44 นะครับน้ำตาลในเลือดที่มันพุ่งสูงอยู่
00:20:44 → 00:20:47 เนี่ยมันก็ถูกฉุดลงมาให้อยู่ในปริมาณที่
00:20:47 → 00:20:50 โอเคทันทีเลยถ้าเกิดว่าเราเคลื่อนไหวร่าง
00:20:50 → 00:20:52 กายนะครับแล้วก็มีงานวิจัยนะครับเทียบกัน
00:20:52 → 00:20:55 ว่าระหว่างที่เราเคลื่อนไหว 10 นาทีหลัง
00:20:55 → 00:20:58 มื้ออาหารทั้ง 3 มื้อกับเราเราเคลื่อนไหว
00:20:58 → 00:21:01 30 นาทีหลังจากมื้ออาหารแค่มื้อเดียว
00:21:01 → 00:21:04 เนี่ยแบบไหนระดับน้ำตาลในเลือดเนี่ยมันจะ
00:21:04 → 00:21:07 ค่อนข้างอยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่าก็เจอว่าการ
00:21:07 → 00:21:09 เคลื่อนไหวเพียงแค่ 10 นาทีหลังมื้ออาหาร
00:21:09 → 00:21:13 ทุกมื้อจะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเนี่ย
00:21:13 → 00:21:16 อยู่ในระดับที่ดีต่อสุขภาพแล้วก็ป้องกัน
00:21:16 → 00:21:18 การเกิด insulin resistance ได้ดีกว่า
00:21:18 → 00:21:21 นั่นเองนะครับเพราะฉะนั้นเนี่ยนัดเพื่อน
00:21:21 → 00:21:24 ไปกินบุฟเฟ่เผื่อเวลาช้อปปิ้งเผื่อเวลา
00:21:24 → 00:21:27 ห้างปิดด้วยอย่าซัดเอาจนแบบว่าโอ้โหไม่
00:21:27 → 00:21:29 รู้จะไปไหนต่อแล้วนะครับหรือว่าถ้าเกิด
00:21:29 → 00:21:31 ว่าทางที่ๆกินมื้อกลลางวันเงี้ยกินเสร็จ
00:21:31 → 00:21:34 ก็เผื่อเวลาเอาไปเดินเล่นหรือว่าแพลนที่
00:21:34 → 00:21:37 จะไปออกกำลังกายต่อตอนบ่ายๆแก่ๆเนี่ยก็จะ
00:21:37 → 00:21:40 ดีนะครับในฐานะที่ผมเป็นสายบุฟเฟ่ต์นะ
00:21:40 → 00:21:42 ครับก็อยากจะแชร์ mindset นึงให้กับ
00:21:42 → 00:21:44 เพื่อนที่เป็นสายบุฟเฟ่ต์เหมือนกันนะครับ
00:21:44 → 00:21:46 คือแทนที่เมื่อก่อนเนี่ยเราอาจจะรู้สึก
00:21:46 → 00:21:49 ว่าเราไปกินบุฟเฟ่ต์เนี่ยเรากะเอาคุ้มซัด
00:21:49 → 00:21:52 เอาอิ่มจ่ายเท่านี้เราต้องกินให้เรียบให้
00:21:52 → 00:21:54 มันคุ้มกับเงินที่เราเสียไปนะครับจริงๆ
00:21:54 → 00:21:56 อยากให้ปรับ mindset นิดนึงครับว่าจริงๆ
00:21:56 → 00:21:59 การกินบุฟเฟ่ต์คือคือการกินอาหารที่หลาก
00:21:59 → 00:22:03 หลายแต่เราก็ไม่ต้องกินจนแบบโหเราแบบเดิน
00:22:03 → 00:22:06 ไม่ไหวจนจุกนะครับกินให้มันรู้สึกอิ่มพอ
00:22:06 → 00:22:08 ดีพอๆแล้วก็ได้ Enjoy กับอาหารที่มันหลาก
00:22:08 → 00:22:11 หลายในมื้อเดียวน่าจะดีกว่านะครับแล้วก็
00:22:11 → 00:22:14 อยากให้ทุกคนเนี่ยเอาทริกต่างๆที่ผมแชร์
00:22:14 → 00:22:16 ให้ฟังเนี่ยไปปรับใช้เพราะทุกวันนี้เนี่ย
00:22:16 → 00:22:19 ผมเอาไปใช้เวลาที่ผมกินบุฟเฟ่ต์ตลอดเลยนะ
00:22:19 → 00:22:22 ครับถ้าเกิดว่าอยากจะจำง่ายๆนะครับผมสรุป
00:22:22 → 00:22:24 มาให้ 4 ขั้นจริงๆอ่ะไม่ต้องกินแค่
00:22:24 → 00:22:27 บุฟเฟ่ต์หรอกถ้าเราอยากกินอาหารที่แบบมัน
00:22:27 → 00:22:29 ไม่ค่อยจะเตหน่อยอาหารที่แบบมีน้ำตาลเยอะ
00:22:29 → 00:22:32 แป้งเยอะอะไรเงี้ยครับหรือหรือว่ามันเยอะ
00:22:32 → 00:22:35 นิดนึงเนี่ยครับจริงๆกินได้ครับแต่จะกิน
00:22:35 → 00:22:37 ยังไงครับมี 4 ขั้นตอนครับอย่างแรกนะครับ
00:22:37 → 00:22:41 ดื่มน้ำที่ผสม Apple Cider วิการ 1 ช้อน
00:22:41 → 00:22:43 โต๊ะนะครับหรือว่าจะเป็นอย่างอื่นเช่นอาจ
00:22:43 → 00:22:45 จะเป็นน้ำมะนาวหรืออะไรก็ตามที่เป็น Acid
00:22:45 → 00:22:48 มีความเป็นกรดสัก 1 ช้อนโต๊ะนะครับมันจะ
00:22:48 → 00:22:51 ช่วยดียอาการดูดซึมแป้งหรือว่าน้ำตาลได้
00:22:52 → 00:22:54 นะครับสเต็ปที่ 2 ครับอย่าเพิ่งกินของที่
00:22:54 → 00:22:56 คุณอยากกินนะครับไปกินอย่างอื่นก่อนนั่น
00:22:56 → 00:23:01 ก็คือกินไฟเบรหรือกินพวกโปรตีนหรือกินไข
00:23:01 → 00:23:03 มันที่ดีนะครับเวลาผมบอกว่ากินไขมันก็ไม่
00:23:03 → 00:23:06 ใช่ว่าโอ้โหซัดของทอดแป้งกรอบๆแต่เรา
00:23:06 → 00:23:09 เลือกไขมันที่ดีนะนิดนึงเนาะกินเข้าไป
00:23:09 → 00:23:11 ก่อนถามว่าอีอย่างที่ 2 เี่กินเพื่ออะไร
00:23:11 → 00:23:14 กินเพื่อไปทำให้กระเพาะเนี่ยมันมีอะไร
00:23:14 → 00:23:16 เหมือนไปสร้างกำแพงเอาไว้อ่ะเวลาที่เราไป
00:23:16 → 00:23:18 กินอย่างที่เราอยากกินของอย่างที่ 3 ที่
00:23:18 → 00:23:20 เราจะยัดเข้าไปคือของหวานอะไรก็ตามที่
00:23:20 → 00:23:22 เป็นแป้งเนี่ยครับกินเข้าไปแล้วเนี่ยมัน
00:23:22 → 00:23:25 ก็จะถูกบล็อกเอาไว้ไม่ให้ส่งผ่านไปยังลำ
00:23:25 → 00:23:28 ไส้เล็กได้เร็วจนเกินไปมันก็จะชะลองการ
00:23:28 → 00:23:30 ดูดซึมเนาะและสเต็ปสุดท้ายหลังจากที่เรา
00:23:30 → 00:23:33 กินของที่เรา Enjoy แล้วก็อย่าเพิ่งนั่ง
00:23:33 → 00:23:36 เฉยครับ Move Your Body ครับออกไปเดิน
00:23:36 → 00:23:38 ออกไปทำอะไรก่อนสัก 10 นาทีเพียงแค่คุณทำ
00:23:38 → 00:23:41 4 ข้อเครับคุณก็ยังสามารถที่จะ Enjoy
00:23:41 → 00:23:44 Life enjoy eating แล้วก็ยังมีสุขภาพ
00:23:44 → 00:23:46 ที่ดีได้อยู่
00:23:46 → 00:23:50 ครับ Top to Toe The Standard
00:23:50 → 00:23:56 podcast I Opening for your
00:23:56 → 00:24:00 ears .