00:00:00 → 00:00:03 อยากจะให้อาจารย์ช่วยเ่อพูดหรือว่าทำความ
00:00:03 → 00:00:05 เข้าใจอย่างง่ายให้คุณผู้ฟังได้เข้าใจนิด
00:00:05 → 00:00:09 นึงค่ะว่าเอ๊จิตวิทยาสติมันต่างกับสติยัง
00:00:09 → 00:00:12 ไงแล้วมันมีความสำคัญกับคนเรายังไงบ้าง
00:00:12 → 00:00:17 ค่ะอาจารย์อ๋อพอดีไอ้คำว่าสมาธิสติในภาษา
00:00:17 → 00:00:19 ไทยมันมีหลายความหมายเนาะค่ะผู้ฟังก็อาจ
00:00:19 → 00:00:25 จะงงนิดนึงเอ่อเอ่อถ้าใครสนใจจด้านด้าน
00:00:25 → 00:00:28 ด้านทางศาสนานะครับเจะมีคำว่าสัมมาสมาธิ
00:00:28 → 00:00:31 สัมมาสติใช่่มั้ยก็ก็คือการฝึกสมาธิฝึก
00:00:31 → 00:00:35 สติในแนวศาสนาครับอืออันนี้เนี่ยมันจะใน
00:00:35 → 00:00:38 ปัจจุบันเนี่ยในทางสายจิตวิทยาเนี่ยเขาค
00:00:38 → 00:00:40 ก็มีความสนใจในเรื่องเหล่านี้นะครับแล้ว
00:00:40 → 00:00:43 ก็แต่เขาไม่สนใจในตัวความเป็นศาสนาแต่เขา
00:00:43 → 00:00:47 เข้าใจเสนใจในแง่หลักคิดและวิธีการเนาะ
00:00:47 → 00:00:50 ว่าเอ๊ะคนเราสามารถที่จะนั่งสมาธิเพื่อ
00:00:50 → 00:00:53 ให้จิตสงบถือว่าเป็นการพักจิตที่ดีนะแล้ว
00:00:53 → 00:00:56 ก็ฝึกสติให้จิตทำงานได้อย่างมีคุณภาพนะ
00:00:56 → 00:01:00 ครับอันนี้เนี่ยเอ่อเป็นเพราะฉะนั้นถ้าใน
00:01:00 → 00:01:02 ภาษาจิตวิยาเนี่ยเขาก็จะไม่เรียกสัมมา
00:01:02 → 00:01:06 สมาธิสัมมาสติแต่เขาเาก็ใช้คำตรงไปตรงมา
00:01:06 → 00:01:09 ว่าสมาธิสติในฐานะที่เป็นจิตที่มีคุณภาพอ
00:01:10 → 00:01:13 เนาะคือผมปูคือนิดเดียวว่าปกติจิตจิตที่
00:01:13 → 00:01:18 เราใช้งานอยู่ทุกวันเนี่ยภาษาเอ่อภาษาทาง
00:01:18 → 00:01:21 จิตยาเเรียกจิตพื้นฐานเจิตพื้นฐานก็มี 2
00:01:21 → 00:01:25 แบบพรก็คือหลักทำงานก็คือตื่นนะครับงตอน
00:01:25 → 00:01:30 นี้นี่ก็จัดรายการดึกมากเนาะขอโทษค
00:01:30 → 00:01:33 ดษอาจารยเออแต่ว่าแต่ว่าเอ่อคนที่ตื่น
00:01:33 → 00:01:36 อยู่ก็ยังเยอะใช่มั้ยที่เราที่เราตื่น
00:01:36 → 00:01:39 อยู่เี่ก็คือจิตเราทำงานถูกมั้ยครับถ้า
00:01:39 → 00:01:43 เรานอนหลับนี่คือจิตเราพักนะตัวจิตพื้น
00:01:43 → 00:01:46 ฐานเนี่ยมันจะมีลักษณะหนึ่งซึ่งพวกเรามัก
00:01:46 → 00:01:49 จะมองข้ามไปก็คือจิตพื้นฐานเนี่ยมันจะ
00:01:49 → 00:01:53 ง่ายต่อการสะสมความคิดลงอนะครับบอยกตัว
00:01:53 → 00:01:56 อย่างอย่างเช่นว่าเอ่อเวลาที่คนที่บ้าน
00:01:56 → 00:01:58 พูดดีๆกับเรา 10 ครั้งเนาะครับแล้วก็
00:01:58 → 00:02:02 ประวาทใส่เราหนนึงเนี่ยลองนึกดูว่าเรามัก
00:02:02 → 00:02:05 จะจำได้หนไหนจำตอนตวาดแน่เลยเออจำได้ตอน
00:02:05 → 00:02:11 ตวาดนะครับหรืออย่างเอ่อเราใครทำเอ่องาน
00:02:11 → 00:02:15 ให้ให้เป็นเรื่องของธุรกิจหรือกิจการให้
00:02:15 → 00:02:19 บริการเงี้ยนะเราก็จะเจอผู้ผู้รับบริการ
00:02:19 → 00:02:22 ดีๆพฤติกรรมดีๆสัก 10 คนพอเจอไม่ดีสักคน
00:02:22 → 00:02:26 นึงเนี่ยถามว่าเย็นวันหน้าเราจะจำอะไรเรา
00:02:26 → 00:02:28 ก็จะจำได้คนที่พฤติกรรมไม่ดีใช่มั้ยเพราะ
00:02:28 → 00:02:31 ว่าไอ้สิ่งที่ไม่ดีเนี่ยทั้งหลายเนี่ยมัน
00:02:31 → 00:02:34 จะคุกคามเรามันก็จะไปกระตุ้นถ้าพูดแบบ
00:02:34 → 00:02:38 จิตยาปัจจุบันก็จะศึกษาการทำงานของสมองนะ
00:02:38 → 00:02:41 มันจะไปกระตุ้นสมองส่วนอารมณ์นะทำให้เรา
00:02:41 → 00:02:44 รู้สึกไม่ดีแต่ว่าไอ้เรื่องที่มันไม่
00:02:44 → 00:02:46 คุกคามมันก็เป็นเรื่องถือว่าเป็นธรรมดา
00:02:46 → 00:02:49 ใช่มครับเพราะงั้นด้วยเหตุนี้เนี่ยเอ่อคน
00:02:49 → 00:02:52 เราก็จะสะสมเรื่องลบมากๆเขาก็เลยกลายเป็น
00:02:52 → 00:02:55 อารมณ์และความเครียดเพราะฉะนั้นไอ้การการ
00:02:55 → 00:02:57 มีอารมณ์และความเครียดถือเป็นเรื่อง
00:02:57 → 00:03:00 ธรรมดานะครับจิตยากระแสหลักที่ผ่านมาในใน
00:03:00 → 00:03:04 อดีตเนี่ยก็คือมุ่งเน้นที่จะปรับปรุงการ
00:03:04 → 00:03:07 ทำงานของจิตพื้นฐานที่มันชอบสะสมเรื่องลบ
00:03:07 → 00:03:10 เนี่ยนะเช่นฝึกคิดบวกฝึกใายเครียดอะไร
00:03:10 → 00:03:13 เงี้ยนึกออกใช่มั้ยครับเวลาเราไปดูในหิ้ง
00:03:13 → 00:03:16 หนังสือในสายสุขภาพมันก็จะเน้นเรื่องพวกเ
00:03:16 → 00:03:19 เนาะโดยเฉพาะอย่ายิ่งได้สุขภาพจิตนะครับ
00:03:19 → 00:03:22 คราวนี้ปัจจุบันเนี่ยมันมีจิตยาอีกแบบนึง
00:03:22 → 00:03:24 เ้าเรียกจิตยากระแสใหม่นะที่ว่าเป็นกระแส
00:03:24 → 00:03:27 ใหม่เพราะมันเพิ่งเกิดขึ้นทีหลังเอ่อแต่
00:03:27 → 00:03:29 ว่าองค์ความรู้ไม่ใหม่หรอกเพราะส่วนใหญ่
00:03:29 → 00:03:33 ก็ก็มาจากพุทธธรรมอกูรูหรือว่าคนที่เป็น
00:03:33 → 00:03:36 เอ่อเป็นผู้นำในด้านนี้ส่วนใหญ่ก็มาศึกษา
00:03:36 → 00:03:39 จากทางฟากตะวันออกนะครับแต่อย่างที่หมอ
00:03:39 → 00:03:42 บอกคือเขาไม่ได้สนใจในตัวการเป็นศาสนาไง
00:03:42 → 00:03:44 เขาสนใจในแง่หลักและวิธีการว่าเออเรา
00:03:44 → 00:03:49 สามารถจะเอ่อฝึกกคายเครียดหรือฝึกให้จิต
00:03:49 → 00:03:52 พักสงบได้ด้วยการนั่งทำสมาธิแล้วเราก็ให้
00:03:52 → 00:03:55 ฝึกจิตอย่างมีทำงานอย่างมีคุณภาพก็คือสติ
00:03:55 → 00:03:58 เวลาเราฝึกสติให้ให้จิตทำงานอย่างมี
00:03:58 → 00:04:01 คุณภาพเนี่ยมันก็จะไม่สะสมความคิดลบนะจะ
00:04:01 → 00:04:05 เป็นจิตที่เอ่อมีความปล่อยวางมีเมตตาให้
00:04:05 → 00:04:07 อภัยอะไรอย่างเงี้ยอันนี้ก็คือสิ่งที่
00:04:07 → 00:04:11 เอ่อเป็นเบสิคพื้นฐานของจิตยาสติคราวนี้
00:04:11 → 00:04:14 เอ่อทั้งนี้ทั้งนั้นเนี่ยหอกว่าเราต้อง
00:04:14 → 00:04:17 เอ่อนึกว่าภาษาไทยเนี่ยมันมีการนำเอาคำ
00:04:17 → 00:04:22 สมาธิสติมาใช้ในหลากหลายเนาะอย่างเช่น
00:04:22 → 00:04:25 เอ่อเอ่อผู้ฟังนึกถึงคำพูดคำหนึงบอกว่า
00:04:25 → 00:04:28 ให้ขับรถอย่างมีสมาธิครับแปลว่านั่งสมาธิ
00:04:28 → 00:04:32 ขับรถเปล่าครับไม่ไม่ใช่ไม่ใช่่เออแล้ว
00:04:32 → 00:04:34 มันหมายถึงว่าหมายถึงอะไรก็คือหมายถึงให้
00:04:34 → 00:04:37 ขับรถอย่างตั้งใจอย่างจดจใช่มีสมาธิจดจ่อ
00:04:37 → 00:04:40 อยู่กับการขับรถเอออืเออแล้วก็เราก็มักจะ
00:04:40 → 00:04:43 ใช้เป็นคำพร้องว่าเอ่อให้ขับรถอย่างมีสติ
00:04:43 → 00:04:45 ครับเพรางั้นคำว่าสมาธิสติตรงนี้เนี่ยไม่
00:04:46 → 00:04:49 ได้เกี่ยวกับจิตขั้นสูงกว่านะแต่ว่ามัน
00:04:49 → 00:04:52 แปลว่าจดจ่อเท่านั้นเองเพราะงั้นคนไทยเจะ
00:04:52 → 00:04:55 งงมากเมื่อเทียบกับชาติอื่นๆเรื่องของ
00:04:55 → 00:04:59 สมาธิสตินะเพราะเราเราใช้ในหลายหลายหลาย
00:04:59 → 00:05:02 หลายๆความหมายไงนะเพราะฉะนั้นในชั่วโมง
00:05:02 → 00:05:05 ที่เราคุยกันเนี้ยหมอก็จะพยายามเน้นว่า
00:05:05 → 00:05:08 เวลาเราพูดถึงสมาธิสติเนี่ยเราหมายถึงจิต
00:05:08 → 00:05:11 ขั้นสูงกว่านะที่เกิดจากการฝึกสมาธิฝึก
00:05:11 → 00:05:15 สติส่วนไอ้ที่บอกว่าสมาธิสติที่แปลว่าจด
00:05:15 → 00:05:17 จ่อก็จะใช้คำตรงๆเลยว่าจดจ่อจะได้ไม่ปน
00:05:17 → 00:05:21 กันดีมั้ยครับอ่ะได้ค่ะอืครับเพราะฉะนั้น
00:05:21 → 00:05:24 มันมันมีคนมาถามผมมาถามหมอนะบอกว่าผมไม่
00:05:24 → 00:05:27 เห็นต้องฝึกสมาธิเลยผมก็ทำงานมีสมาธิอยู่
00:05:27 → 00:05:30 แล้วคืออันนี้เนี่ยมันเอาส่งเรื่องมาปน
00:05:30 → 00:05:33 กันไงอครับคือคุณทำงานอย่างจดจ่อแต่คุณ
00:05:33 → 00:05:36 คุณก็ต้องฝึกสมการทำงานอย่างจดจ่อก็ไม่
00:05:36 → 00:05:39 ได้แปลว่าคุณแบบเอ่อฝึกสมาคุณนั่งสมาธิ
00:05:40 → 00:05:42 เป็นฝึกสติเป็นใช่มั้ยครับสิค่ะมันเป็น
00:05:42 → 00:05:45 อีกเรื่องหนึ่งเนาะอืมันจดจ่อบางครั้งงาน
00:05:45 → 00:05:49 มันยังไม่เสร็จอ่ะค่ะมันก็ต้องจดจ่ออือ
00:05:49 → 00:05:52 อืออ่ะก็ก็จิตพื้นฐานที่เรามีอยู่มันก็จด
00:05:52 → 00:05:54 จ่อได้อยู่แล้วล่ะอืค่ะอย่าอ่านหนังสือก็
00:05:55 → 00:05:57 ต้องจดจ่อขับรถก็ต้องจดจ่อทำงานหน้า
00:05:57 → 00:05:59 เครื่องจักรก็ต้องจดจ่อใช่มั้ยใช่ค่ะค่ะ
00:05:59 → 00:06:03 เออจะจะทำกิจกรรมใดๆมันก็ต้องจดจ่ออยู่
00:06:03 → 00:06:06 แล้วล่ะเอ่อในภาษาอังกฤษมันมีคำคำนึงนะ
00:06:06 → 00:06:10 เออถ้าถ้าถ้าเรานึกออกจะเข้าใจคือเขาบอก
00:06:10 → 00:06:14 ว่า mindfulness คือสติเนี่ย mindfulness
00:06:14 → 00:06:17 is not Only attentiveness
00:06:17 → 00:06:21 คือคือการมีสติเนี่ยไม่ใช่หมายถึงแค่เรา
00:06:21 → 00:06:25 มีความจดจ่อนะเพราะว่าไอ้ความจดจ่อเนี่ย
00:06:25 → 00:06:28 จิตเราพื้นฐานทุกคนก็มีอยู่แล้วแต่ว่าถ้า
00:06:28 → 00:06:33 เราไปฝึกสิอย่างอย่างสมมุติเรามีสติในการ
00:06:33 → 00:06:38 แบบดูเวลาเราโกรธเราก็มีสตินะดูความโกรธ
00:06:38 → 00:06:42 ของเราหรือว่าเวลาเรากินอาหารหยิบจับอะไร
00:06:42 → 00:06:45 ต่างๆเราหยิบจับอย่างมีสติอันเนี้ยมัน
00:06:45 → 00:06:48 เป็นสิ่งที่เค้าเรียกว่ามันจะมีคุณสมบัติ
00:06:48 → 00:06:50 นอกเหนือมากกว่าความจดจ่อก็คือว่ามันจะมี
00:06:50 → 00:06:53 ลักษณะของการที่แบบเราไม่เอาตัวเราเอง
00:06:53 → 00:06:56 เข้าไปตัดสินอค่ะเออเ่อเราไม่เอาตัวเรา
00:06:57 → 00:07:00 เองเข้าไปเข้าไปตัดสินเนี่ยหมอยุอย่าง
00:07:00 → 00:07:04 ง่ายๆนะค่ะเอ่อเอ่อเวลาที่เราฟังความเห็น
00:07:04 → 00:07:09 ต่างเงี้ยพื้นฐานนี่มันจะตัดสินไงอืว่า
00:07:09 → 00:07:11 เพราะฉะนั้นเนี่ยประเทศไทยเนี่ยเรามี
00:07:11 → 00:07:13 ปัญหาเรื่องนี้มาตลอดนะครับก็คืออย่าง
00:07:13 → 00:07:17 สมมุติว่าเอ่ออ่าหมอเลกเล่นๆแล้วกันนะ
00:07:17 → 00:07:19 สมมุติคนนึงเป็นด้อมส้มอีกคนนึงเป็นด้อม
00:07:19 → 00:07:22 ตู่อะไรอย่างเงี้ยนะครับคือเวลาคุยกันเี่
00:07:23 → 00:07:26 มันจะแบบมันจะตัดสินอีกฝ่ายนึงว่าว่านะ
00:07:26 → 00:07:28 หรือว่าเหลืองกับแดงสมัยนึงใช่มั้ยครับ
00:07:28 → 00:07:31 ค่ะคือเราเราก็จะไปตัดสินว่าอีกคนนึง
00:07:31 → 00:07:34 เนี่ยไม่ถูกอืใช่มั้ยคือมันแล้วเราก็จะ
00:07:34 → 00:07:37 เริ่มเกลียดชังไม่ชอบครับอนะมาหนกก็จะ
00:07:37 → 00:07:40 เกลียดกันเลยค่ะทั้งๆที่บางทีก็เป็นพ่อ
00:07:40 → 00:07:43 แม่ลูกเป็นเพื่อนสนิทกันนั่นแหละใช่แต่พอ
00:07:43 → 00:07:46 ไปตัดสินปุ๊บเนี่ยมันจะเกิดการการการเกิด
00:07:46 → 00:07:49 การอคติในทางชอบหรือทางชังถ้าคิดเหมือน
00:07:49 → 00:07:52 กันก็ชอบถ้าคิดไม่เหมือนกันก็ชังอะไร
00:07:52 → 00:07:54 อย่างเงี้ยนะนค่ะแล้วเอ่อเพราะฉะนั้น
00:07:54 → 00:07:58 เนี่ยอันนี้คือภาวะแบบเยคือเป็นภาวะที่
00:07:58 → 00:08:02 เป็นการใช้จิตพื้นฐานนะมันจะชอบเข้าไปตัด
00:08:02 → 00:08:05 สินอือนะแล้วก็จะเกิดการเข้าข้างแล้วก็
00:08:05 → 00:08:09 กรีดชังแบบนี้แต่ว่าคนที่เมีสติเนี่ยเขา
00:08:09 → 00:08:12 จะไม่เป็นแบบนี้อ่ะค่ะเจะแบบว่าไม่เจะไม่
00:08:12 → 00:08:15 เข้าไปตัดสินก็คือว่าความคิดแต่ละคนก็
00:08:15 → 00:08:18 เป็นสิ่งที่เราก็รู้ว่าอ้ามันก็เป็นความ
00:08:18 → 00:08:21 คิดแต่ละคนใช่มั้ยมันก็มีความเห็นที่ต่าง
00:08:21 → 00:08:24 กันได้อะไรอย่าเงี้ยเพราะงั้นแบบด้วยการ
00:08:24 → 00:08:28 ที่แบบมีสติในการฟังโดยไม่ตัดสินเนี่ยอัน
00:08:28 → 00:08:31 นี้เนี่ยเอ่อเป็นคุณสมบัติของสติที่สำคัญ
00:08:31 → 00:08:34 คือไม่ไปใบแอดไม่เข้าไปตัดสินอะไรอย่าง
00:08:34 → 00:08:37 เงี้ยซึ่งพวกนี้ต้องฝึกนะไม่ใช่อยู่ดีๆ
00:08:37 → 00:08:40 เราจะแบบมีจิตใจที่แบบไม่ตัดสินอะไรอย่าง
00:08:40 → 00:08:43 เงี้ยนะมันต้องเกิดกับการฝึกพอสมควรครับอ
00:08:43 → 00:08:46 ค่ะอาจารย์คะแต่อย่างที่อาจารย์บอกมาค่ะ
00:08:46 → 00:08:48 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเมืองศาสนาเนี่ย
00:08:48 → 00:08:50 เขาบอกว่าบางครั้งถ้าเราไม่อยากแตกแยกใช่
00:08:50 → 00:08:53 มั้ยคะก็ไม่ควรคุยกันเรื่องนี้แต่ตอนเย
00:08:53 → 00:08:56 ค่ะอาจารย์ถ้าเราสังเกตนะค่ะมันจะมี
00:08:56 → 00:08:59 เรื่องของการเมืองเอ้ยศาสนากับความเชื่อ
00:08:59 → 00:09:02 มามาแล้วรู้สึกว่าเหมือนเป็นเทรนจะต้องมี
00:09:02 → 00:09:05 มูมีอะไรอย่างเงี้ยค่ะอาจารย์คือบางครั้ง
00:09:05 → 00:09:07 ก็เลยอยากจะเนี่ยค่ะเลยเป็นที่มาอยากจะ
00:09:07 → 00:09:09 ชวนอาจารย์มาพูดแบบให้สติกับความคิดเพราะ
00:09:09 → 00:09:12 บางคนอมันก็เลยทำให้เกิดความสงสัยถ้าบาง
00:09:12 → 00:09:14 คนแบบเคยไปวัดไปอะไรอย่างเงี้ยค่ะหลวงพ่อ
00:09:15 → 00:09:17 มักจะเทศน์บอกว่าถ้าป่วยคุณก็ต้องไปหาหมอ
00:09:17 → 00:09:21 ไม่ใช่มาหาพระอันนี้พระพูดนะคะแต่ทุกวัน
00:09:21 → 00:09:24 เนี้ยค่ะเหมือนเราป่วยเราก็ไม่ได้ไปหาหมอ
00:09:24 → 00:09:26 แต่เราไปหาเหมือนเหมือนจะบอกว่าเหมือนที่
00:09:26 → 00:09:30 พึ่งทางใจที่พึ่งทางใจเทพไม่ว่าจะเป็น
00:09:30 → 00:09:33 อะไรก็ตามอะมากมายหลายอย่างที่ทุกคนได้
00:09:33 → 00:09:36 เห็นไม่ว่าจะมีอยู่ดีๆก็ยิงธนูขี่ม้านิล
00:09:36 → 00:09:39 มังกรเป็นพยามีทุกอย่างค่ะอาจารย์แต่ที
00:09:39 → 00:09:42 เนี้ยเราก็เลยบางครั้งอ่ะค่ะเหมือนการการ
00:09:42 → 00:09:44 เชื่อที่นี้อาจารย์บอกว่าสติใช่มั้ยคะแต่
00:09:44 → 00:09:48 อันเนี้ยค่ะเราก่อนที่เราจะไปเชื่อแบบ
00:09:48 → 00:09:50 นั้นน่ะค่ะอยากให้เราให้แบบทุกคนได้แบบ
00:09:50 → 00:09:54 ฉุกคิดนึกถึงตัวเองก่อนว่าตกลงเราต้องการ
00:09:54 → 00:09:56 อะไรเช่นเราป่วยเราต้องหาหมอหรือว่าอะไร
00:09:56 → 00:09:59 อย่างเงี้ยค่ะอาจารย์มีวิธีให้เราฉุกคิด
00:09:59 → 00:10:02 ได้เรียนรู้มั้ยคะะว่าก่อนที่เราจะเชื่อ
00:10:02 → 00:10:05 ก่อนที่เราจะตัดสินหรือว่าบางครั้งหรือ
00:10:05 → 00:10:08 เราต้องยังไงดีคะอาจารย์คือหนูก็ไม่รู้จะ
00:10:09 → 00:10:11 พูดยังไงที่มันจะละมุนละม่อมแล้วไม่ไป
00:10:11 → 00:10:15 กระทบใครค่ะคืออย่างี้ไอ้ไอความเชื่อ
00:10:15 → 00:10:20 เนี่ยมันก็เป็นมันก็เป็นเอ่อสิ่งซึ่งคือ
00:10:20 → 00:10:24 คือเป็นสิ่งที่เราเอ่อยอมรับโดยไม่ต้องไป
00:10:24 → 00:10:28 ใช้เหตุผลครับเอ่อไม่ต้องไปหาหลักฐานไม่
00:10:28 → 00:10:32 ต้องไปหาไปจากพยานอันนี้เเรียกว่าความ
00:10:32 → 00:10:35 เชื่อความเชื่อตัวมันเองไม่มันอาจจะมัน
00:10:35 → 00:10:40 อาจจะไม่จำเป็นต้องดีหรือไม่ดีนะค่ะนะ
00:10:40 → 00:10:43 อย่างเราอย่างสมมุติว่าเราก็เอ่อมีความ
00:10:43 → 00:10:47 เชื่อในเรื่องของเอ่อทำดีได้ดีอะไรอย่าง
00:10:47 → 00:10:50 เงี้ยนะค่ะทำทำชั่วได้ชั่วอะไรอย่างเงี้ย
00:10:50 → 00:10:53 นะคืออย่างเงี้ยคือเค้าเรียกว่าเป็นคือ
00:10:53 → 00:10:56 ยังไม่ต้องไปหาเหตุผลอะไรคราวนี้เอ่อตัว
00:10:56 → 00:11:00 ความเชื่อเนี่ยถ้ามันถ้ามันเป็นไปในทางลบ
00:11:00 → 00:11:04 นะเขาจะเรียกว่าความงมงายอืถ้าเป็นไปใน
00:11:04 → 00:11:07 ทางบวกเขจะเรียกว่าความศรัทธาอืคือร่ม
00:11:07 → 00:11:11 ใหญ่เนี่ยคือความเชื่อแล้วก็ในความเชื่อ
00:11:11 → 00:11:13 เนี่ยถ้ามันถ้ามันไปทางด้านบวกเป็นเรื่อง
00:11:13 → 00:11:16 ศรัทธาช่นคนเราในศรัทธาในศาสนาเนี่ยอย่าง
00:11:16 → 00:11:20 คนที่เเชื่อในในเอ่อเอ่อความดีงามของพระ
00:11:20 → 00:11:22 เจ้าคามดำรงอยู่ของพระเจ้าเค้าไม่ต้องไป
00:11:22 → 00:11:25 นั่งพิสูจน์อะไรนะค่ะแต่ว่ามันทำให้เขาค
00:11:25 → 00:11:28 ทำดีไงอืใช่มั้อย่างงี้เนี่ยเราเรียกว่า
00:11:28 → 00:11:31 ความศรัทธาครับแต่ว่าถ้าเชื่อเชื่อแบบสาย
00:11:31 → 00:11:35 มูทั้งหลายนะว่าแบบถ้าไปแบบว่าทำนู่นทำ
00:11:35 → 00:11:39 นี่แตะนู่นแตะนี่แล้วมันจะหายจากโรคแล้ว
00:11:39 → 00:11:41 จะมีราบมีรวยอะไรอย่างเงี้ยคืออย่างเงี้
00:11:41 → 00:11:44 เขาเรียกว่าความงมงายอืคือความงมงายเนี่ย
00:11:44 → 00:11:48 มันก็จะมีข้อเสียคือมันทำให้เราแบบไม่ได้
00:11:48 → 00:11:50 ไม่ได้พอเราไม่ได้ใช้เหตุและผลแล้วมัน
00:11:50 → 00:11:54 เป็นไปในทางงมงายเนี่ยมันก็จะทำให้เป็นผล
00:11:54 → 00:11:56 เสียกับตัวเราเองและกับคนอื่นได้เช่น
00:11:57 → 00:11:59 สุขภาพเราก็จะแย่ลงเพราะว่ามันอาจจะดูดี
00:11:59 → 00:12:02 ขึ้นเพราะตอนนั้นมีกำลังใจใช่มครับตอนได้
00:12:02 → 00:12:05 รับการน้ำมนต์ได้รับการแตะอะไรอย่าเงี้ย
00:12:05 → 00:12:08 นะแต่พอจริงๆมันไม่ได้รักษาที่ต้นเหตุไง
00:12:08 → 00:12:13 อืใช่มั้มันก็ในที่สุดมันก็กลับมากลับมา
00:12:13 → 00:12:16 หนักขึ้นอะไรอย่าเงี้ยเนใช่ค่ะแต่ว่าถ้า
00:12:16 → 00:12:18 เป็นความศรัทธาเนี่ยมันไม่ไปมันไปมันไม่
00:12:18 → 00:12:21 ไปทำให้เกิดผลร้ายอะไรไงเช่นเาศรัทธาใน
00:12:22 → 00:12:25 ศาสนาเศรัทธาในเรื่องกฎแห่งกรรมอะไรเงี้ย
00:12:25 → 00:12:27 มันก็มันก็ทำให้เขาประพฤติตัวดีอ่ะเพราะ
00:12:27 → 00:12:30 ั้นไอตัวความศรัทธาเนี่ยมันมักจะมีข้อดี
00:12:30 → 00:12:33 คือมันถึงแม้เราจะไม่ต้องไปนั่งหาเหตุผล
00:12:33 → 00:12:36 แต่ว่ามันก็ทำให้เราทำความดีไงแต่ไอ้ความ
00:12:36 → 00:12:39 งมงายเนี่ยมันมันไปทำให้เราเกิดการทำ
00:12:39 → 00:12:43 พฤติกรรมซึ่งเอ่ออาจจะกลายเป็นปัญหาในภาย
00:12:43 → 00:12:46 หลังเพราะว่าเราไม่ได้ไปแก้ไขปัญหาที่ต้น
00:12:46 → 00:12:50 เหตุอืเพราะฉะนั้นเพราะฉะนั้นถามบอกว่า
00:12:50 → 00:12:53 ความความเชื่อจำเป็นต้องแย่มก็ไม่จำเป็น
00:12:53 → 00:12:55 ต้องแย่แต่ว่าถ้าความเชื่อแบบงมงายเนี่ย
00:12:55 → 00:12:58 มันก็ต้องระวังอืนะคราวนี้บ้านเรานี่ก็จะ
00:12:58 → 00:13:01 มีความเชื่อแบบงมงายเยอะอานี้ถามบอกว่า
00:13:02 → 00:13:05 ถ้าแล้วแล้วสติเข้ามาช่วยได้ยังไงคือสติ
00:13:05 → 00:13:08 ก็ทำให้เราแบบรู้จักที่จะใคร่ครวญพิจารณา
00:13:08 → 00:13:12 ไงอืใช่ป่ะมันก็จะทำให้เราแบบว่าโอกาสที่
00:13:13 → 00:13:17 เราจะจะออกมาจากความ
00:13:17 → 00:13:21 งมงายค่ะมันก็จะดีขึ้นครับอือาจารย์คะแต่
00:13:21 → 00:13:24 ก่อนที่จะออกมาจากความงมงายสิคะพอเชื่อก็
00:13:24 → 00:13:26 เชื่อกันเป็นหมู่เหล่าแล้วบางครั้งเอา
00:13:26 → 00:13:29 ง่ายๆเหมือนแบบเหมือนมิจฉาชีพมาหลอกเรา
00:13:29 → 00:13:31 เราอ่ะค่ะอาจารย์สติก็มีส่วนช่วยให้เรา
00:13:31 → 00:13:34 ชุกคิดได้ว่าอ้าอันเนี้ยเราสนิทกันจริง
00:13:34 → 00:13:37 หรอเราคุยเ้าหวังผลประโยชน์แล้วมยหรือ
00:13:37 → 00:13:40 จริงๆแล้วเอ่อความเป็นมิตรมันเป็น
00:13:40 → 00:13:43 มิจฉาชีพมันเป็นแบบเคลือบแคลงแอบแฝงไงคะ
00:13:43 → 00:13:47 หรหรือแม้กระทั่งแบบการเข้าไปศรัทธาหรือ
00:13:47 → 00:13:50 งมงคือมันใช้จิตวิทยาอะไรดึงให้เราเชื่อ
00:13:51 → 00:13:53 ไปอย่างงั้นหรือเพราะพื้นฐานเราเราขาดการ
00:13:53 → 00:13:55 ยั้งคิดหรือเราขาดสติเเราถึงได้ไปเชื่อ
00:13:56 → 00:13:59 เค้าอย่างเงี้ยค่ะอาจารย์วันนี้เค้าก็คือ
00:13:59 → 00:14:02 ทั้งคือเรื่องของการหลอกลวงทั้งหลายเนี่ย
00:14:02 → 00:14:06 มันอาศัยจุดอ่อนของเราไงอือก็คือเรามีแนว
00:14:06 → 00:14:10 โน้มที่จะแบบเอ่อมีความอยากได้นู่นได้นี่
00:14:10 → 00:14:13 ใช่มยค่ะเออเพรางั้นมันก็ใช้สิ่งเหล่านี้
00:14:13 → 00:14:17 เป็นตัวที่แบบเใช้จุดอ่อนของมนุษย์อ่ะนะ
00:14:17 → 00:14:21 ผู้หญิงก็อยากสวยอยากงามอยากให้สามีรักนะ
00:14:21 → 00:14:25 เออเอ่อคนไม่มีเงินก็อยากจะมีเงินคนมี
00:14:25 → 00:14:27 เงินแล้วก็อยากจะมีเงินให้มากขึ้นอะไร
00:14:27 → 00:14:31 เงี้ยอือเพราะั้นมันก็ใช้จุดอ่อนของความ
00:14:31 → 00:14:34 ความอยากของเราทั้งหลายเนี่ยในในเป็นตัว
00:14:34 → 00:14:37 ที่ทำให้เราแบบว่าเกิดการหลงผิดเข้าไปได้
00:14:37 → 00:14:41 เนาะคราวนี้ถ้าคนที่เขาคิดอย่างมีเหตุมี
00:14:41 → 00:14:44 ผลเนี่ยมันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วอ่ะเนาะ
00:14:44 → 00:14:48 ที่แบบว่าเออจะมีคนอยู่ดีๆเอาเอ่อเอาเงิน
00:14:48 → 00:14:51 มาให้เราแต่ว่าก่อนจะเอาเงินมาให้เราก็
00:14:51 → 00:14:53 ต้องให้เราโอนเงินโอนเเก่อนอะไรอย่าง
00:14:53 → 00:14:56 เงี้ยอคือถ้าเราคิดด้วยเหตุด้วยผลเนี่ย
00:14:56 → 00:14:58 มันก็มันก็ไม่ควรอยู่มันก็ไม่น่าเป็นไป
00:14:58 → 00:15:02 ได้อยู่แล้วแล้วนะค่ะใช่มั้ยแต่ว่าพอพอ
00:15:02 → 00:15:05 มันแบบถูกบังตาด้วยความว่าโอ้โหอยากจะได้
00:15:05 → 00:15:07 เงินก้อนใหญ่มันเอาเงินเอาเงินก้อนโอน
00:15:07 → 00:15:10 ก้อนนึงไปเค้าก่อนอืนะเพราะเราถูกรางวัล
00:15:10 → 00:15:13 ใหญ่แต่ว่าการจะได้รางวัลใหญ่เราต้องมี
00:15:13 → 00:15:17 เงินโอนไปเก่อนเนี่ยด้วยความที่เราแบบมี
00:15:17 → 00:15:21 ความอยากได้อ่ะมันก็เลยทำให้บทบังความมี
00:15:21 → 00:15:25 เหตุมีผลไปในบางคนนะแต่ถ้าคนที่เขาคิด
00:15:25 → 00:15:28 อย่างมีเหตุผลเนี่ยนะเคก็เก็จะไม่ยอมอยู่
00:15:28 → 00:15:31 แล้วล่ะอืนะเพราะงั้นเพราะงั้นจะเห็นว่า
00:15:31 → 00:15:33 เวลาที่บอกหลอกเนี่ยมันไม่ใช่ว่าทุกคนถูก
00:15:33 → 00:15:37 หลอกนะค่ะคือมันก็มีบางคนที่ถูกหลอกเพราะ
00:15:37 → 00:15:41 ว่าแบบว่าจรูงใจได้ง่ายไงเชื่อได้ง่ายนะ
00:15:41 → 00:15:44 เอ่อเราก็มักจะใช้คำว่าขาดสติใช่มั้ยแต่
00:15:44 → 00:15:48 ความหมายคือว่าก็คือเราแบบเอ่อถูกชักจูง
00:15:48 → 00:15:56 ได้ง่ายอ่ะอือืเออนะคะคือเราแล้วมันคือ
00:15:56 → 00:16:01 เนี่ยไอ้การการที่มีหลายๆคุณหมอนี่ก็ออก
00:16:01 → 00:16:05 มาให้ให้แนวทางแนวความคิดรวมทั้งพระ
00:16:05 → 00:16:08 อาจารย์ต่างๆก็ตามเคุณหมอครับเรายังเห็น
00:16:08 → 00:16:10 ข่าวคราวแบบนี้อยู่เนี่ยมันมันบ่งบอกอะไร
00:16:10 → 00:16:15 ถึงถึงสภาพสังคมสภาพจิตใจของคนไทยใน
00:16:15 → 00:16:18 ปัจจุบันนี้ได้บ้างครับคุณหมอฮะมันมอง
00:16:18 → 00:16:23 เห็นภาพอะไรได้บ้างมั้ยฮะเนี่ยเอ่อคือคือ
00:16:23 → 00:16:27 คือบ้านเราเราเป็นสังคมที่เรียกว่าอาศัย
00:16:27 → 00:16:32 ความสัมพันธ์อือมากกว่าเอ่อแล้วก็ความ
00:16:32 → 00:16:35 คววามเชื่อเนามากกว่าการใช้เหตุและผลแล้ว
00:16:35 → 00:16:39 ก็ใช้สตินะเพราะฉะนั้นเนี่ยมันก็เลยทำให้
00:16:39 → 00:16:42 เรื่องแบบเกลายเป็นเรื่องค่อนข้างแพร่
00:16:42 → 00:16:45 หลายปรากฏการณ์อย่างเช่นเอ่อเคเคยศึกษา
00:16:45 → 00:16:49 วิจัยเรื่องว่าคนไทยทำไมชื่อว่าน้ำมะนาว
00:16:49 → 00:16:54 รักษามะเร็งได้อืปรากฏว่าเก็ทำการศึกษาไป
00:16:54 → 00:16:57 นะค่ะปรากฏว่ามันไม่ได้ออกมาจากสถาบันไหน
00:16:57 → 00:17:00 เลยนะมันเกิดจากคนไทยส่งต่อกันไปเรื่อยๆ
00:17:00 → 00:17:04 ครับอืค่ะคือส่งต่อจนจับมือดมไม่ได้ว่ามา
00:17:04 → 00:17:09 จากไหนแต่มันไม่ได้มาจากแบบแหล่งสถาบัน
00:17:09 → 00:17:12 แห่งใดแห่งหนึ่งเลยแต่มันเกิดจากอ่านแล้ว
00:17:12 → 00:17:15 ทุกคนก็คนที่อ่านแล้วก็ชื่อแล้วก็ส่งต่อ
00:17:15 → 00:17:18 ส่งต่อไปเรื่อยๆๆเราลองคิดดูนะสมมุติเรา
00:17:18 → 00:17:20 ส่งต่อกันทางวง line ใช่มั้ยตอนนี้คนไทย
00:17:20 → 00:17:23 ทุกคนก็มีวง line อยู่สัก 100 วงได้มั้ง
00:17:23 → 00:17:27 อืใช่ค่ะผมเป็นไปได้่ถ้าที1ึคุณส่งไปก็
00:17:27 → 00:17:29 ถึง 100 คนค
00:17:29 → 00:17:33 สือหมืคนส่งต่อก็เป็นล้านคน 3 รอบเนี่ย
00:17:33 → 00:17:36 ถึงล้านแล้วนะ
00:17:36 → 00:17:40 ค่ะเพราะฉะนั้นพอเราพอเราเชื่อแล้วเรารีบ
00:17:40 → 00:17:42 ส่งต่อเนี่ยมันก็จะทำให้ไอความเชื่อแบบ
00:17:42 → 00:17:45 เนี้ยมันแพร่หลายมากขึ้นเรื่อยๆอือันนี้
00:17:45 → 00:17:48 ก็งั้นอันนี้ก็คนไทยก็จะอยู่ภายใต้
00:17:48 → 00:17:52 เฟกนิวส์มากกว่าชาติอื่นๆอุยนะคืออย่าง
00:17:52 → 00:17:54 อย่างฝรั่งเนี่ยพะมันเห็นว่าไอ้เรื่องแบบ
00:17:54 → 00:17:57 นี้เอ้ไม่รู้น่าชื่อได้เปล่าต้องค้นหา
00:17:57 → 00:18:00 ก่อนเขาจะไม่ส่งนะนะแต่คนไทยอ่านปุ๊บชอบ
00:18:00 → 00:18:03 โอ้เดี๋ยวอยากให้เพื่อนเราไม่เป็นมะเร็ง
00:18:03 → 00:18:07 บ้างหรือว่าเป็นมะเร็งหายบ้างรีบส่งอือ
00:18:07 → 00:18:09 ค่ะใช่นะเพราะฉะนั้นเพราะฉนั้นเนี่ย
00:18:09 → 00:18:12 ปรากฏการณ์ของคนไทยเนี่ยก็คือ 1 จากความ
00:18:12 → 00:18:15 ที่เชื่อง่ายแล้วก็ใช้สัมพันธภาพเนี่ย
00:18:15 → 00:18:18 เป็นตัวการันตีแล้วพอเรารู้สึกเพื่อนเรา
00:18:18 → 00:18:21 ส่งมาเนี่ยเราจะรู้สึกว่าเราเชื่อนะอื
00:18:21 → 00:18:24 แล้วแล้วไอ้ไอ้วงลายเนี่ยมันก็คือเพื่อน
00:18:24 → 00:18:27 กันทั้งนั้นครับค่ะใช่มั้เพราะฉะนั้นมัน
00:18:27 → 00:18:30 ก็ยิ่งเสริมไอระบบความจุดอ่อนของเราให้
00:18:30 → 00:18:33 อ่อนหนักขึ้นอีกนะอือืคือการมี
00:18:33 → 00:18:35 โซเชียลมีเดียเนี่ยทำให้สังคมไทยซึ่งมี
00:18:36 → 00:18:38 จุดอ่อนอยู่แล้วในเรื่องเอ่อนหนักขึ้น 1
00:18:38 → 00:18:43 ก็คือเรื่องเกนครับนะ 2 เรื่องเ Speed นะ
00:18:43 → 00:18:48 พอพอแบบว่าความเห็นเอ่อเหมือนกับที่เรา
00:18:48 → 00:18:52 เราอยากให้เป็นแทนนะคือไปด่าฝ่ายฝ่ายที่
00:18:52 → 00:18:56 เห็นต่างอ่ะเรารีบส่งต่อเลยอืเพราะงั้น
00:18:56 → 00:18:59 มันก็ยิ่งทำให้ความความเปตชังมันมากขึ้น
00:18:59 → 00:19:03 ซึ่งโอ้โหนี้แบบสังคมอื่นไม่ค่อยมีนะอที่
00:19:03 → 00:19:05 ว่าคือปกติความเห็นต่างก็คือความเห็นต่าง
00:19:05 → 00:19:09 นะมันไม่ต้องคือเขาบอกว่าเอ่อกระบวนการ
00:19:09 → 00:19:12 สร้างเ Speed เนี่ยมันมันมันเป็นกระบวน
00:19:12 → 00:19:16 การที่มันมีเป็นชั้นๆคือมันเริ่มต้นจากพอ
00:19:16 → 00:19:19 ไปให้ไปให้คุณค่าว่าความเห็นต่างเนี่ย
00:19:19 → 00:19:22 เป็นเรื่องถูกผิดพอถูกผิดปุ๊บมันก็จะขยับ
00:19:22 → 00:19:24 ไปขั้นนึงก็คือ
00:19:24 → 00:19:28 ดีลนะพอจากดีลแล้วก็ขยับไปอีกขั้นนึงว่า
00:19:28 → 00:19:33 มันเลวแบบเมันไม่ควรมีชีวิตอยู่อือืไม่
00:19:33 → 00:19:35 ควรจะอยู่ในเมืองไทยอะไรอย่าเงี้ยนะครับ
00:19:35 → 00:19:39 คือคือเพราะบ้านเราเนี่ยเราจะเราจะมีคน
00:19:39 → 00:19:42 ขนาดที่เป็นแบบบุคคลสำคัญระดับชาติเนี่ย
00:19:42 → 00:19:45 ที่คึเช่นเป็นผู้ที่เป็นรัฐนายกหรือเป็น
00:19:45 → 00:19:49 รัฐมนตรีสามารถขึพูดได้นะว่าถ้าคิดอย่าง
00:19:49 → 00:19:52 นี้อย่าอยู่ประเทศไทยอืคือถ้าในในยุโรป
00:19:52 → 00:19:54 เนี่ยถ้าคุณพูดอย่างเงี้ยวันลุ่งขึ้นคน
00:19:54 → 00:19:58 ที่ไปก่อนคือคุณอืคือเขาไม่ยอมรับเลยอ่ะ
00:19:58 → 00:20:01 ว่าว่าการที่ความเห็นต่างแล้วคุณจะแบบไป
00:20:01 → 00:20:03 ขับไล่เ้าไม่ให้อยู่ในประเทศอะไรเงี้ยนะอ
00:20:03 → 00:20:05 ก็ถือว่าความเห็นต่างเป็นเรื่องเป็น
00:20:05 → 00:20:08 เรื่องธรรมดาเราต้องมีเปิดใจเปิดกว้างถ้า
00:20:08 → 00:20:11 คุณไม่เห็นด้วยคุณก็คุณก็ให้เหตุผลไวว่า
00:20:11 → 00:20:14 ว่าความเห็นต่างที่คุณเห็นต่างเคุณมีเหตุ
00:20:14 → 00:20:18 ผลยังไงแต่ไม่ใช่ไปสร้างความเกลียดชังไงอ
00:20:18 → 00:20:21 ครับนะเพราะงั้นบ้านเรานี่ก็ 1 ก็
00:20:21 → 00:20:25 เฟกนิวส์แพร่หลาย 2 สร้างความเ็ดฉั่งได้
00:20:25 → 00:20:28 ง่ายครับนะด้วยกระบวนการแล้วพอแล้วไอ้
00:20:29 → 00:20:31 สื่อสังคมเนี่ยเพราะว่าคนไทยชอบเรื่อง
00:20:31 → 00:20:34 สัมพันธภาพอคือพูดง่ายๆคือเป็นสังคมที่
00:20:34 → 00:20:38 เชื่อเชื่อคนที่ใกล้ชิดอืใช่เหมือนเ
00:20:38 → 00:20:42 การันตีเราส่งมาทางทางทางสื่อสังคมเก็
00:20:42 → 00:20:44 เป็นเพื่อนเราทั้งนั้นใช่มั้ยเราก็จะยิ่ง
00:20:45 → 00:20:47 ยิ่งเชื่อเฟกนิวส์เชื่อเ Speed อะไรเงี้ย
00:20:47 → 00:20:52 อืค่ะอือคืออันถามว่าสังคมไทยเนี่ยต้อง
00:20:52 → 00:20:55 ต้องทำอะไรก็คือ 1 คุณต้องปรับปรุงนะให้
00:20:55 → 00:20:59 แบบมีใจที่เปิดกว้างมีการใช้เหตุใช้ใช้ผล
00:20:59 → 00:21:02 ใช้หลักฐานมากขึ้นใช้หลักฐานนี้ก็ดี
00:21:02 → 00:21:05 สำหรับเฟคนิวเปิดใจกว้างขึ้นก็ดีสำหรับ
00:21:05 → 00:21:09 การที่แบบไม่ไม่ไปเ Speed นะครับคือ 2
00:21:09 → 00:21:13 คุณต้องมีสติครับรู้นะเวลาเราฟังอะไรเรา
00:21:13 → 00:21:17 ฟังอย่างไข้ครวญนะเทคนิคของการมีสติเนี่ย
00:21:17 → 00:21:21 ที่รมันมีวิธีการฝึกนะแต่ว่าชั่วโมงสนทนา
00:21:21 → 00:21:23 แบบนี้มันอาจจะไม่สามารถมานั่งฝึกกันได้
00:21:23 → 00:21:26 เดี๋หมอจะแนะนำเอ่อช่องทางในการที่จะไป
00:21:26 → 00:21:30 ฝึกได้แต่หมายถึงว่าเอ่อถ้าเรามีสติใคร่
00:21:30 → 00:21:35 ครวญเนี่ยนะมันจะทำให้เราแบบว่าไม่ไปหลง
00:21:35 → 00:21:40 เชื่อหรือว่าไม่ไปเฮสเอ่อไปไปไปเกลียดชัง
00:21:40 → 00:21:45 อะไรง่ายๆครับคอือาจารย์คะการใคร่ครวญที่
00:21:45 → 00:21:48 ถูกต้องค่ะเดี๋เงยค่ะมันสารพัดความเชื่อ
00:21:48 → 00:21:51 เนาะเราจะเห็นว่าคนนี้ก็บอกเป็นอาจารย์
00:21:51 → 00:21:55 บางคนก็ลุกดูท่าทางที่ดีรูปรูปลักษณ์ภาย
00:21:55 → 00:21:57 นอกอ่ะค่ะก็แบบดูดีดูน่าเชื่อถืออะไร
00:21:57 → 00:21:59 อย่างเงี้ยค่ะการใคร่ครวญน่ะค่ะเราควร
00:22:00 → 00:22:03 ใคร่ครวญจากตำแหน่งชื่อเสียงหรือใคร่ครวญ
00:22:03 → 00:22:06 จากภาพลัพภายนอกสวมเสื้อผ้าดูดีวันนี้ออก
00:22:06 → 00:22:08 ทีวีหลายช่องหรือว่าเราควรใคร่ครวญจาก
00:22:08 → 00:22:13 อะไรคะอาจารย์เอ่อเอ่อเอจริงๆแล้วเราเรา
00:22:14 → 00:22:16 เรากำลังพูดถึง 2 เรื่องเรื่องนะเรื่อง
00:22:16 → 00:22:20 เรื่องเรื่องเกนกับเรื่องเ Speed ค่ะนะ
00:22:20 → 00:22:23 เรื่องข่าวลวมกับเรื่องสร้างความเกียดชัง
00:22:23 → 00:22:26 อันนี้อันนี้มันมันใช้คนละแบบอ่าโอเคค่ะอ
00:22:26 → 00:22:28 ถ้าถ้าเฟกนิวส์เนี่ยแหล่งก็คือเช็คจาก
00:22:28 → 00:22:31 แหล่งที่เชื่อถือได้ค่ะไม่ใช่แบบว่าไม่มี
00:22:31 → 00:22:34 แหล่งมาอย่างถ้าเรื่องสุขภาพต้องกระทรวง
00:22:34 → 00:22:37 สาธารสุขต้องคณะแพทย์ต่างๆอะไรอย่าเงี้ย
00:22:37 → 00:22:41 ถูกมั้ยครับค่ะเออคือคราวนี้ในหมู่คณะ
00:22:41 → 00:22:44 แพทย์ก็อาจจะมีความเห็นต่างก็ไม่เป็นไรนะ
00:22:44 → 00:22:47 อย่างเช่นเรื่องวัคซีนอย่างเงี้ยใช่มั้ย
00:22:47 → 00:22:51 วัคซีนการฉีดวัคซีนโควิดเนี่ยมันก็จะมี
00:22:51 → 00:22:55 หมอบางคนที่บอกว่าเนี่ยมันมีผลร้ายมากอื
00:22:55 → 00:22:58 อีกคอีกบางคนก็บอกว่ามันมีผลดีมากครับที่
00:22:58 → 00:23:01 จริงมันถูกทั้งคู่นะอืเพียงแต่ว่าเค้าไป
00:23:01 → 00:23:05 เน้นอะไรไงค่ะคือไอ้ไๆไอ้เจ้าคนที่บอกว่า
00:23:05 → 00:23:09 มีผลเสียมากมันก็คือไปเน้นแต่ตรงผลเสีย
00:23:09 → 00:23:11 ไอ้คนที่บอกว่ามีผลดีมากก็ไปเน้นแต่ว่ามี
00:23:11 → 00:23:14 ผลดีแต่ทุกวันนี้เรารู้ว่าโควิดมันมีทั้ง
00:23:14 → 00:23:17 ผลดีผลเสียเพราะฉะนั้นที่จริงแล้วก็คือ
00:23:17 → 00:23:20 คุณก็ต้องถ้าคุณเป็นบุคคลที่มีโอกาสจะได้
00:23:20 → 00:23:24 รับผลเสียเยอะคุณก็ต้องระวังแค่นั้นเองอื
00:23:24 → 00:23:27 ไม่ควรจะไปฉีดเยอะๆใช่มั้หรือตอนนี้เนี่ย
00:23:27 → 00:23:30 เอ่อโลกโควิด- 19 มันก็อ่อนตัวลงมาจน
00:23:30 → 00:23:32 กระทั่งเหมือนหวัดชนิดนึงแล้วอ่ะก็ไม่
00:23:32 → 00:23:35 จำเป็นที่คุณต้องไปฉีดวัคซีนแล้วค่ะคุณก็
00:23:35 → 00:23:38 เพียงแต่เนี่ยดูแลดูแลตัวเองถ้าเกิดว่า
00:23:38 → 00:23:41 เอ่อป่วยคุณก็ควรจะสวมมาสกจะได้ไม่ไปเผย
00:23:41 → 00:23:43 แพร่เชื้อคนอื่นเวลาคุณเข้าไปในที่ที่คน
00:23:43 → 00:23:46 แอรอัดมากๆกใช่มั้ยเช่นโรงภาพยนตร์โรง
00:23:46 → 00:23:49 พยาบาลอะไรคุณก็ควรจะสวมมาสกอันนี้มันก็
00:23:49 → 00:23:52 เป็นการป้องกันตัวเราเองไม่ให้ไม่ให้รับ
00:23:52 → 00:23:55 เชื้อส่งเชื้อเนาะแต่ว่าถามว่าจำเป็นต้อง
00:23:55 → 00:23:57 ไปฉีดวัคซีนมั้ยตอนนี้ไม่จำเป็นล่ะอืใช่
00:23:57 → 00:23:59 ค่ะเพราะว่ามันมันก็เหมือนกับวัตต์ชนิด
00:24:00 → 00:24:03 นึงครับนะแต่ว่าต้องระวังตัวถามว่าต้อง
00:24:03 → 00:24:05 ระวังตัวมยก็ต้องระวังตัวสิเราควรจะเป็น
00:24:05 → 00:24:09 วัตตหรออือ่ะสมมุติว่าโควิดเท่ากับวัตต์
00:24:09 → 00:24:12 เนี่ยใช่มยบก็ต้องถามเธอทั้ง 2 คนว่าแล้ว
00:24:12 → 00:24:15 เธอควรจะเป็นวัตต์เหรออมันก็ไม่ควรจะเป็น
00:24:15 → 00:24:18 ใช่มยอือืเพราะงั้นมันก็เพราะงั้นอันนี้
00:24:18 → 00:24:21 ก็คือแค่ระวังเนาเพราะงั้นถ้าเราถ้าเรา
00:24:21 → 00:24:26 ฟังทั้งเอ่อแม้ว่าจะมีหมอ 2 คนซึ่งก็น่า
00:24:26 → 00:24:28 จะเป็นแหล่งที่เชื่อถือทั้งคู่เนี่ยเพูด
00:24:28 → 00:24:30 แล้วมันความเห็นต่างกันที่จริงถ้าเรามอง
00:24:30 → 00:24:33 ให้ดีๆคือมันถูกทั้งคู่ค่ะเราก็ต้องเลือก
00:24:34 → 00:24:36 มาปฏิบัติให้เหมาะสมอันนี้เนี่ยก็อาจจะ
00:24:36 → 00:24:39 เป็นเรื่องยากสักนิดนึงนะนแต่ว่าโดยส่วน
00:24:39 → 00:24:44 ใหญ่เนี่ยสถาบันที่เป็นสถาบันทางทางด้าน
00:24:44 → 00:24:45 ในเรื่องเหล่านั้นอย่างสิเรื่อง
00:24:45 → 00:24:48 ประวัติศาสตร์ที่ก็ต้องถามมันก็เป็น
00:24:48 → 00:24:50 เรื่องเรื่องของคนที่เทำเรื่อง
00:24:51 → 00:24:53 ประวัติศาสตร์ใช่มั้ยค่ะเออเรื่องกฎหมาย
00:24:53 → 00:24:56 ก็คนที่เป็นกฎหมายแต่ว่าเราก็จะบอกว่านัก
00:24:56 → 00:24:59 ประศักดิ์ก็ความเห็นขัดแย้งกันนักกฎหมาย
00:24:59 → 00:25:02 ก็จะตีความกฎหมายต่างกันอันนี้ก็ไม่เป็น
00:25:02 → 00:25:06 ไรแต่หมายถึงว่าเอ่อแทนที่เราจะฟังความ
00:25:06 → 00:25:09 ข้างดีวเราก็ฟังหลายๆความความหลายๆด้าน
00:25:09 → 00:25:13 เราก็จะได้แนวคิดที่จะทำให้เราแบบว่าไม่
00:25:13 → 00:25:17 ต้องไปตกอยู่ในความเชื่อโดนไปอยู่ในความ
00:25:17 → 00:25:19 งมงายไปอยู่ใน
00:25:19 → 00:25:23 เอ่อที่เป็นเฟกนิวส์ทั้งหลายเนาะค่ะอื
00:25:23 → 00:25:25 เพราะว่าไอ้ความงมงายทั้งหลายมันก็ออกไป
00:25:25 → 00:25:29 ทางเฟกนิวอ่ะครับใช่มั้ตัวอย่างเฟคนิวกับ
00:25:29 → 00:25:31 เรื่องว่าน้ำมะนาวรักษามะเร็งเมันก็
00:25:31 → 00:25:34 ตระกูลเดียวกันเนาะค่ะเพราะงั้นอันนี้คือ
00:25:34 → 00:25:36 ตระกูลที่ 1 ก่อนตระกูลเฟกนิวส์ตระกูล
00:25:36 → 00:25:39 งมงายอะไรเงี้ยก็คือให้ฟังจากข้อมูลที่
00:25:39 → 00:25:43 เชื่อถือได้ฟังจากหลากหลายความคิดเห็นนะ
00:25:43 → 00:25:47 แล้วเราก็จะจะสามารถที่จะตัดสินใจได้ด้วย
00:25:47 → 00:25:49 ตัวเราเองมากขึ้นอันนี้คือกลุ่มที่ 1
00:25:49 → 00:25:51 ครับส่วนกลุ่มที่ 2 คือกลุ่ม H Speed
00:25:51 → 00:25:52 เนี่ยแก้ได้อย่างเดียวคือต้องเปลี่ยน
00:25:52 → 00:25:56 ทัศนคติใหม่ว่าความเห็นต่างไม่ใช่ความดี
00:25:56 → 00:25:59 เลวอืมันความเห็นต่างเพราเราต้องเป็น
00:26:00 → 00:26:02 สังคมที่เปิดกว้างต่อความเห็นต่างคุณอยาก
00:26:02 → 00:26:06 จะเอ่อคุณชอบการเมืองแบบไหนก็เป็นความการ
00:26:06 → 00:26:09 เมืองแบบไหนก็เป็นความเห็นต่างคุณจะเอ่อ
00:26:09 → 00:26:12 อนุรักษ์สถาบันหรือคุณจะบรุสถาบันก็เป็น
00:26:12 → 00:26:15 ความเห็นต่างอือืใช่มั้เพราะงั้นความเห็น
00:26:15 → 00:26:19 ต่างถ้าเรายอมยอมรับความเห็นต่างได้แล้ว
00:26:19 → 00:26:23 ก็เอ่อใช้เหตุใช้ผลในการอธิบายเหตุผลมาก
00:26:23 → 00:26:26 กว่าที่จะไปสร้างความเกียดชังกับความเห็น
00:26:26 → 00:26:28 ที่ต่างเนี่ยอันนี้อันนี้คือคือการมีใจ
00:26:28 → 00:26:34 เปิดกว้างอืเนาอืค่ะคุณหมอคือถ้าถ้าย้อน
00:26:34 → 00:26:36 กลับไปในสิ่งที่คุณหมอได้อธิบายมาตั้งแต่
00:26:36 → 00:26:39 ช่วงต้นเนี่ยที่บอกว่าสังคมไทยเป็นสังคม
00:26:39 → 00:26:42 ที่เน้นในเรื่องของความเชื่อเนี่ยถ้าย้อน
00:26:42 → 00:26:45 กลับไปที่ต้นทางของมันคือเรื่องของระบบ
00:26:45 → 00:26:48 การศึกษาของเราเนี่ยมันไม่ได้สอนให้มีการ
00:26:49 → 00:26:52 คิดวิเคราะห์แยกแยะอย่างอย่างละเอียดถี
00:26:52 → 00:26:55 ถ้วนก็คือเน้นการท่องจำนี่มันมีส่วนทำให้
00:26:55 → 00:26:58 เกิดเรื่องเกิดราวลักษณะแบบนี้ซ้ำแล้ว
00:26:58 → 00:27:00 แล้วซ้ำเล่าในสังคมไทยเกี่ยวข้องขนาดไหน
00:27:01 → 00:27:04 ฮะคุณหมอฮะก็เอ่อเรื่องการศึกษาก็เป็น
00:27:04 → 00:27:08 ส่วนหนึ่งแล้วก็เรื่องของเอ่อเอ่อวิธีคิด
00:27:08 → 00:27:10 แบบไทยก็เป็นแบบหนึ
00:27:10 → 00:27:14 นะอย่างเยคือคืออย่างเรื่องแบบแรกคือการ
00:27:14 → 00:27:17 ศึกษามันมันมีปัญหาคือว่ามันให้คนท่องจำ
00:27:17 → 00:27:21 ไงให้คนเชื่อข้อมูลโดยที่ไม่ต้องแบบไปคิด
00:27:21 → 00:27:25 วิเคราะห์อืนะแต่ว่าในการศึกษาสมัยใหม่
00:27:25 → 00:27:28 เนี่ยเจะเจะส่งเสริมให้อภิปรายแรกเปี่น
00:27:28 → 00:27:32 ความคิดเห็นกันนะจนกระทั่งเราวิเคราะห์นะ
00:27:32 → 00:27:35 เอ่อสังเคราะห์ได้ดีอะไรอย่างเงี้ยเนาะ
00:27:35 → 00:27:38 อันนี้ก็คือจะเป็นแบบแบบนี้มันก็จะทำให้
00:27:38 → 00:27:42 คนเราแบบเอ่อจะเชื่อ 1 ก็คือจะเชื่อ
00:27:42 → 00:27:45 เฟกนิวส์น้อยอยลง 2 ก็คือจะเปิดใจกว้าง
00:27:45 → 00:27:48 กับความเห็นที่ต่างมากขึ้นอืนะเพราะงั้น
00:27:48 → 00:27:52 ไอ้งั้นไอ้ตัวนี้การสามีส่วนแต่แบบที่ 2
00:27:52 → 00:27:56 คือคือคู้ใหญ่ของเราก็จะเป็นแบบนั้นด้วย
00:27:56 → 00:28:01 นะอคือคือครับคือคนคือคนที่ควรจะต้องเป็น
00:28:01 → 00:28:05 แบบอย่างในการที่จะไม่เชื่ออะไรง่ายๆแล้ว
00:28:05 → 00:28:10 ก็แล้วก็เอ่อไม่ไม่ไม่สร้างความเกรียดชัง
00:28:10 → 00:28:13 เนี่ยปรากฏว่าผู้ใหญ่ในสังคมเราเองน่ะ
00:28:13 → 00:28:17 เป็นตัวแบบซะเองครับนะอย่างเช่นนักการ
00:28:17 → 00:28:20 เมืองเนี่ยก็ต้องพยายามที่จะเอ่อแทนที่จะ
00:28:20 → 00:28:24 สนใจว่าทำงานยังไงให้มีผลงานต้องทำข่าว
00:28:24 → 00:28:28 ยังไงให้คนเชื่อทำยังไงให้คนรู้สึกว่าเมี
00:28:28 → 00:28:31 มีผลงานอืก็เพราะฉะนั้นจะเห็นว่าส่วนที่
00:28:32 → 00:28:34 นักการมให้ความสคัญมากสุดเนี่ยคือจะทำ
00:28:34 → 00:28:36 ข่าวยังจะทำไงให้เป็นข่าวไม่ให้เป็น
00:28:36 → 00:28:40 รัฐมนตรีโนมอะไรอย่าเงี้ยนะอ่าครับๆคือ
00:28:40 → 00:28:42 คือคืออย่างเงี้ยคือมันไม่ถูกอ่ะที่จริง
00:28:43 → 00:28:45 มันต้องเป็นผลงานที่เกิดจากการที่แบบทำ
00:28:45 → 00:28:48 งานแล้วมันให้ให้เกิดประโยชน์ระยะยาวระยะ
00:28:48 → 00:28:52 สั้นกับกับผู้คนเขาใช่มั้ยอครับคือคือ
00:28:52 → 00:28:55 อย่างเงี้ยมันเพราะงั้นจะเห็นว่าเอ่อเวลา
00:28:55 → 00:28:59 ที่บอกบอกว่าคนไทยเอ่อประเทศนักเรียนมี
00:28:59 → 00:29:02 ปัญหาทำยังไงให้สอนประวัติศาสตร์
00:29:02 → 00:29:05 อืคือวิธีคิดแบบเนี้ยอืคือให้สอน
00:29:05 → 00:29:08 ประวัติศาสตร์คือสอนประวัติศาสตร์ก็คือ
00:29:08 → 00:29:10 ให้สอนให้คนเชื่ออะไรง่ายๆไงอ่าครับๆที่
00:29:10 → 00:29:12 จริงๆประวัติศาสตร์นี่มันโอ้อะไรที่
00:29:12 → 00:29:14 บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์มันก็เป็นแค่
00:29:14 → 00:29:16 ความจริงส่วนหนึ่งนะครับอย่างเี้ยพระ
00:29:16 → 00:29:20 นรศวรชนช้างกับพระมหาปประหลาดเนี่ยเออถ้า
00:29:21 → 00:29:22 ชื่อประวัติศาสตร์ก็แบบนึงไปอ่าน
00:29:22 → 00:29:25 ประวัติศาสตร์มเป็นอีกแบบนึงครับอืแล้ว
00:29:25 → 00:29:29 แล้วงั้นมันก็มันมันมันมันมันคุณคุณบอก
00:29:29 → 00:29:31 ว่าสอนประวัติศาสตร์ไรเชื่อประวัติศาสตร์
00:29:31 → 00:29:34 แบบนี้ยนะคือมันก็แย่สิอใช่มั้ยคือ
00:29:34 → 00:29:36 ประวัติศาสตร์มันก็เป็นมันก็เป็นสิ่ง
00:29:36 → 00:29:39 หนึ่งที่คุณคุณก็ต้องเรียนรู้แบบ
00:29:39 → 00:29:42 วิเคราะห์เหมือนกันนะไม่ใช่เชื่อหมดอะไร
00:29:42 → 00:29:44 เงี้ยเนาใชมีคนบอกว่าเรียนประวัติศาสตร์
00:29:44 → 00:29:46 ให้เหมือนิวิทยาศาสตร์ต้องหาข้อมูลหลายๆ
00:29:46 → 00:29:50 ด้านเอามาดูจะได้บานกันแต่ว่าถูกต้องแล้ว
00:29:50 → 00:29:52 ก็เข้าใจบทเหตุแล้วก็ที่สำคัญคือเข้าใจ
00:29:52 → 00:29:55 เบื้องหลังไงว่าที่เต้องพูดแบบนี้เพราะ
00:29:55 → 00:29:58 อะไรใช่บริบทแวดล้อมแต่อาจารเออาจารย์คะ
00:29:58 → 00:30:00 เรื่องการเมืองประวัติศาสตร์อันเนี้ยเข้า
00:30:00 → 00:30:02 ใจแต่ว่าเนี่ยค่ะพอมีความเชื่อเรื่องของ
00:30:02 → 00:30:05 หลักศาสนามาเกี่ยวข้องเงี้ยค่ะอาจารย์
00:30:05 → 00:30:07 อันเนี้ยเราจะเชื่อกันยังไงคะมองกันยังไง
00:30:07 → 00:30:09 ดีคะอาจารย์เออที่จริงชาวพุทธเนี่ยก็ควร
00:30:09 → 00:30:11 จะต้องรู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านบอกอยู่แล้ว
00:30:11 → 00:30:15 ว่าอย่าไปเชื่ออะไรง่ายๆอเชื่อด้วยความ
00:30:15 → 00:30:18 งมงายเชื่อด้วยการที่บอกต่อๆกันมาเชื่อ
00:30:18 → 00:30:20 ด้วยเพราะว่าเค้าเป็นผู้ใหญ่อะไรอย่าง
00:30:20 → 00:30:24 เงี้ยนะคือคือในพุทธศาสนาเบอกอยู่แล้วว่า
00:30:24 → 00:30:27 ให้เชื่อเพราะว่ามันมีเหตุมีผลให้เชื่อ
00:30:27 → 00:30:30 เพราะว่าคุณได้ทดลองทำแล้วเห็นจริงครับอื
00:30:30 → 00:30:33 อันนี้เป็นเป็นหลักของเป็นหลักการสอนของ
00:30:33 → 00:30:35 พระพุทธเจ้าอยู่แล้วเพราะงั้นพวกที่สอน
00:30:35 → 00:30:38 ให้งมงายทั้งหลายเนี่ยคือถ้าถ้าพูดแบบ
00:30:38 → 00:30:41 ภาษารุนแรงแบบสมัยก่อนเเรียกว่าพวกอลัชชี
00:30:41 → 00:30:45 คือพวกปลอมบวชอือืเพราะว่าเพราะว่าหลัก
00:30:45 → 00:30:49 ของพุทธธรรมท่านท่านเน้นอยู่แล้วว่าให้
00:30:49 → 00:30:51 เชื่อในสิ่งที่แบบมีเหตุมีผลให้เชื่อใน
00:30:51 → 00:30:55 สิ่งที่เราทำแล้วเราเกิดผลจริงอืแต่แต่ที
00:30:56 → 00:30:58 เนี้ยค่ะอแล้วท่านมียาตั้งหลายอย่างครับ
00:30:58 → 00:31:00 อย่าเชื่อเพราะพูดตามๆกันมาอย่าเชื่อ
00:31:00 → 00:31:05 เพราะงมงายอย่าเชื่อเพราะเป็นนะเอ่อเป็นอ
00:31:05 → 00:31:07 ขนาดเป็นอาจารย์เราก็ยังบอกอย่าไปเพิ่ง
00:31:07 → 00:31:11 เชื่อเลยอืถ้าถ้าอาจารย์เราพูดแล้วเราไป
00:31:11 → 00:31:14 ปฏิบัติแล้วเราเห็นผลจริงเนี่ยถึงค่อยให้
00:31:14 → 00:31:17 ยอมรับตรงนั้นอืค่ะอาจารย์คะแต่ทีเนี้ย
00:31:18 → 00:31:20 ทุกทุกลัทธิหรือว่าทุกจะใช้คำว่าอย่าง
00:31:20 → 00:31:23 งั้นก็จะดูแแลงไปคือทุกคนจะต่างโชว์ภาพ
00:31:23 → 00:31:24 ว่าทุกคนก็นั่งสมาธิเหมือนกันเหมือน
00:31:24 → 00:31:27 อาจารย์เหมือนมีสติเรว่าทุกอาจารย์ทั้ง
00:31:27 → 00:31:29 ทั้อาทั้งแกแต่ที่ปวารณาตัวเองขึ้นมาอะไร
00:31:29 → 00:31:32 อย่าเงี้ยออ่าๆก็จะบอกโชว์ภาพว่าวันเนี้ย
00:31:32 → 00:31:36 วันพระเก็จะนั่งสมาธิทุกคนก็จะโชว์ภาพแบบ
00:31:36 → 00:31:41 นี้กันหมดวันนี้ก็ทำบุญอือคือคือคนเราอ่ะ
00:31:41 → 00:31:43 ค่ะก็เห็นว่าเป็นบุญก็จะพร้อมใจกันว่า
00:31:43 → 00:31:46 สาธุสาธุทุกคนก็จะต้องเป็นออกอาการเดียว
00:31:46 → 00:31:48 กันหมดแต่ทีเนี้ยค่ะคือคือก็ต้องกลับไป
00:31:48 → 00:31:52 ที่เราพูดตอนต้นไงว่าเราต้องเข้าใจว่าพูด
00:31:52 → 00:31:56 ถึงสมาธิสติในที่เป็นแบบการพัฒนาจิตเนี่ย
00:31:56 → 00:31:59 มันคืออะไรใช่มั้ยสมาธิเนี่ยก็คือไม่ใช่
00:31:59 → 00:32:02 ว่าใครนั่งสมาธิแล้วก็ดีคือคุณต้องนั่ง
00:32:02 → 00:32:06 สมาธิแล้วคุณพบว่าดีอ่ะอืไม่ใช่ว่าใคร
00:32:06 → 00:32:08 นั่งสมาธิแล้วก็ดีเพราะที่จริงสมาธิไม่
00:32:08 → 00:32:11 ใช่เรื่องดีไม่ดีนะสมาธิเป็นเรื่องการการ
00:32:11 → 00:32:14 ทำให้จิตสงบอเป็นการทักจิตอย่างมีคุณภาพ
00:32:14 → 00:32:17 อย่างเราทำอานาปานสติสมาธิเงี้ยนะนเรา
00:32:18 → 00:32:21 หลับตาอยู่กับลมหายใจเงี้ยพอลมหายใจเบาๆ
00:32:21 → 00:32:24 มันทำให้เราหยุดคิดอพอเราพอเราว่างจาก
00:32:24 → 00:32:26 ความคิดทั้งปวงจิตมันก็จะสงบมันก็นำไปสู่
00:32:26 → 00:32:29 ความสของความสงบมากเก็นำไปสู่ความผ่อน
00:32:29 → 00:32:32 คลายของร่างกายและจิตใจเนี่ยจิตแวสติเ
00:32:32 → 00:32:34 อธิบายง่ายๆแบบเนี้ยอืเพราะงั้นมันมัน
00:32:34 → 00:32:37 เพราะงั้นมันไม่ใช่ว่าใครนั่งสมาธิแล้วดี
00:32:37 → 00:32:41 เกำลังพักจิตเขาอยู่อืแล้วถ้าคุณจะคุณจะ
00:32:41 → 00:32:45 ได้ผลดีคุณก็ต้องพักจิตของตัวเองไม่ใช่ไป
00:32:45 → 00:32:49 กราบไหว้คนที่นั่งสมาธิเพราะคนนั่งสมาธิ
00:32:49 → 00:32:53 ก็คือแค่เพักเทำให้จิตเาสงบพักส่วนตัวที่
00:32:53 → 00:32:55 สำคัญกว่าในในพุทธธรรมเนี่ยเขาเรียกว่า
00:32:55 → 00:32:59 ตัวสติเพราะการที่เราเราแบบมีสติแทนที่จะ
00:32:59 → 00:33:01 เป็นฉันโกรธก็ฉันเห็นความโกรธความโกรธก็
00:33:01 → 00:33:04 แค่เกิดขึ้นแล้วเปลี่ยนแปลงไปนะจิตมันก็
00:33:04 → 00:33:08 จะไม่ไปยึดติดมันเกิดการปล่อยวางอันเนี้ย
00:33:08 → 00:33:13 เพราะงั้นเพราะงั้นถ้าแบบว่าคนที่เรามา
00:33:13 → 00:33:16 เชื่อถือยังไม่เอ่อคนที่แบบอ้างว่าตัว
00:33:16 → 00:33:19 เป็นศาสดาตัวเองยังไม่ปล่อยวางเลยอใช่
00:33:19 → 00:33:23 มั้ยยังเรียกเงินแพงๆยังแบบยึดติดกับเอ่อ
00:33:23 → 00:33:26 สิ่งเอ่อสิ่งต่างๆเหล่านี้อย่าเงี้ยคือ
00:33:26 → 00:33:27 อย่างเงี้มันก็แสดงให้เห็นอยู่แล้วไม่
00:33:27 → 00:33:30 ปล่อยวางเพราะว่าเอ่อในเราจะเห็นว่าพระ
00:33:31 → 00:33:35 พระอาจารย์ที่ท่านมีแบบความความความดีงาม
00:33:35 → 00:33:38 ของจิตใจเนี่ยท่านก็จะไม่ไปยึดติดใช่มั้ย
00:33:38 → 00:33:41 ครับอ้าครับเออท่านก็มีชีวิตอยู่เป็นอยู่
00:33:41 → 00:33:43 อย่างง่ายๆเป็นตัวอย่างที่ดีของการมี
00:33:43 → 00:33:47 ชีวิตที่เรียบง่ายอืใช่มั้ยฮะเพราะงั้นเพ
00:33:47 → 00:33:50 งั้นคนคนที่แบบว่าเรียกเรียกค่ารักษาแพงๆ
00:33:50 → 00:33:53 อย่างเงี้ยมันก็คงแบบไม่ไม่คงไม่ใช่ไม่
00:33:53 → 00:33:57 ใช่ไม่ใช่ตัวอย่างที่ดีอยู่แล้วอ่ะอืใช่
00:33:57 → 00:33:59 มะเออเพราะฉะนั้นอันนี้ก็เป็นตัวอย่างที่
00:33:59 → 00:34:02 เห็นว่าแบบเอ่อพระที่ท่านปฏิบัติดี
00:34:02 → 00:34:05 ปฏิบัติชอบเนี่ยท่านใช้ชีวิตเรียบๆง่ายๆ
00:34:05 → 00:34:08 นะแล้วท่านถ้าคนจะทำบุญก็เพราะความศรัทธา
00:34:08 → 00:34:11 ท่านก็เอาเงินก้อนนั้นไปใช้ประโยชน์เช่น
00:34:11 → 00:34:13 ไปสร้างสนับสนุนการสร้างโรงพยาบาลไป
00:34:13 → 00:34:17 สับสนุนโรงเรียนไปช่วยเด็กที่แบบมีปัญหา
00:34:17 → 00:34:20 ถูกทอดทิ้งอะไรอย่างเงี้ยใช่มยไม่ใช่แบบ
00:34:20 → 00:34:23 ว่าเอามาแบบสร้างกุฏิสร้างวัดให้ใหญ่โตอื
00:34:23 → 00:34:25 ค่ะ
00:34:25 → 00:34:30 อืก็พอจะเห็นเห็นภาพนะอว่าเราควรจะต้องทำ
00:34:30 → 00:34:33 ยังไงก่อนที่เราจะไปตัดสินใจว่าจะเชื่อ
00:34:33 → 00:34:36 สิ่งนั้นสิ่งนู้นสิ่งนี้นะฮะอสำคัญก็คือ
00:34:36 → 00:34:39 เรื่องของสตินะครับอาจารย์สำคัญมากๆเลย
00:34:39 → 00:34:42 เนาะเออคนิสติที่ที่ที่ที่ที่จริงแล้ว
00:34:42 → 00:34:45 เนี่ยมันต้องเกิดจากการฝึกนะครับไม่ใช่
00:34:45 → 00:34:48 บอกว่าให้มีสติให้มีสติแต่ไม่รู้จะทำยัง
00:34:48 → 00:34:50 ไงเอมันต้องฝึกอาจารย์พอจะมีช่องทางให้
00:34:51 → 00:34:55 เราไปศึกาตไปศึกษาไปไปไปไปไปทบทวนต่อมั้ย
00:34:55 → 00:34:58 ครับว่าเราจะสามารถไปดูได้ในในพื้นที่ตรง
00:34:58 → 00:35:01 ไหนช่องทางไหนได้บ้างครับอาจารย์ก็มีหลาย
00:35:01 → 00:35:04 ช่องทางครับครับอย่างอย่างในของเอ่อ
00:35:04 → 00:35:08 เว็บไซต์กรมสกิจเก็จะมีโปรแกรมฝึกสติอนะ
00:35:08 → 00:35:10 ตอนนี้อาจจะค้นหายากหน่อยเพราะข้อมูลใน
00:35:10 → 00:35:13 เว็บไซต์มันเยอะท่านก็อาจจะเข้าไปในเอ่อ
00:35:13 → 00:35:16 เว็บไซต์อีกอันนึงที่เขาทำเรื่องจิตยาสติ
00:35:16 → 00:35:18 โดยเฉพาะคือเอ่อ
00:35:18 → 00:35:23 th.com ในนั้นเนี่ยเขาก็จะมีเค้าเเก็จะ
00:35:23 → 00:35:26 ลิงก์กับทางฟากของกรมภาจิตที่จะหาได้ง่าย
00:35:26 → 00:35:29 ค่ะเพราะว่าไซตนี้มันจะไม่มีโครงสร้างที่
00:35:29 → 00:35:32 เนื้อหาเยอะเหมือนกับของกรมงั้นเราก็
00:35:32 → 00:35:34 สามารถแต่ว่าเคก็ไปลิงก์กับของกรมนั่น
00:35:34 → 00:35:38 แหละก็เป็นการฝึกสมาธิฝึกสติในแนวที่แบบ
00:35:38 → 00:35:42 จิตยาเนาะอันนี้ก็เอ่อรับรองในทางวิชาการ
00:35:42 → 00:35:47 แน่นอนว่าไม่งมงายเนาะก็อธิบายแล้วก็ฝึก
00:35:47 → 00:35:50 ไปได้อย่างอย่างไม่ยากอีกอันนึงเรามีช่อง
00:35:50 → 00:35:53 ช่อง YouTube ถ้าเราสนใจนะพิมพ์คำว่า
00:35:53 → 00:35:57 จิตยาสติอืมันก็จะมีโปรแกรมที่แบบตอนนี้เ
00:35:57 → 00:36:00 ทำทำกันมา 50 ตอนแล้วนะครับในโปรแกรม
00:36:00 → 00:36:03 เนี้ยก็จะมีเอ่อคนที่เป็น influencer
00:36:04 → 00:36:08 เช่นคุณนิ้วโกมมาจัดอนะแล้วก็มีเอ่อ
00:36:08 → 00:36:10 วิทยากรเช่นหมอหรือขั้นอื่นๆที่มี
00:36:10 → 00:36:14 ประสบการณ์ไปพูดอือนะแล้วก็เขาจะแบ่งเป็น
00:36:14 → 00:36:17 56 หมวดเพราะว่าเรื่อง 50 เรื่องมันเยอะ
00:36:17 → 00:36:19 มันไม่รู้จะฟังเรื่องไหนเขาก็แบ่งเป็น
00:36:19 → 00:36:22 หมวดไว้ให้เช่นเอ่อจิยสติกับชีวิตและ
00:36:22 → 00:36:26 สังคมจิตยาสติกับสุขภาพจิตยาสติกับศาสนา
00:36:26 → 00:36:29 จิตยาสติกับการนำมาใช้ในองค์กรอะไรเงี้ย
00:36:29 → 00:36:32 นึกออกใช่มั้ยฮะเพงั้นเราสนใจหมดไหนเราก็
00:36:32 → 00:36:34 เข้าไปฟังได้หมวดนึงก็จะมีเรื่องสัก
00:36:34 → 00:36:38 ประมาณ 6-10 เรื่องอือืค่ะอันนี้ก็จะเป็น
00:36:38 → 00:36:42 แหล่งให้ความรู้ที่ดีเพราะคนดำเนินงานคน
00:36:42 → 00:36:46 ดำเนินการและคนพูดก็มาจากสายที่แบบเน้น
00:36:46 → 00:36:50 เรื่องของการเอ่อนำเรื่องของสมาธิิลในแนว
00:36:50 → 00:36:54 จิตยามาประยุกต์ใช้กับบริบทต่างๆค่ะครับ
00:36:54 → 00:36:57 อันนี้ก็เป็นตัวอย่างที่ลองไปศึกษาดูได้
00:36:57 → 00:37:00 นะครับครับค่ะวันนี้ต้องขอบพระคุณอาจารย์
00:37:00 → 00:37:02 มากนะคะเพราะว่ารายการเราก็ดึกอย่างที่
00:37:02 → 00:37:06 อาจารย์บอกจิตก็แล้วกันักพอยงั้นเราก็ขอ
00:37:06 → 00:37:08 รบกวนอาจารย์แค่นี้นะคะอาจารย์ขอบพระคุณ
00:37:08 → 00:37:11 มากนะคะสำหรับคืนี้นะคะอาจารย์สวัสดีครับ
00:37:11 → 00:37:15 ขอบพระคุณค่ะสวัสดีค่ะ