00:00:00 → 00:00:01 แต่ละบ้านก็อาจจะมีอย่างนี้ครับมีปัญหา
00:00:01 → 00:00:05 เรื่องวิธีการชมคือบางคนน่ะชมไม่เป็นใช่
00:00:05 → 00:00:07 ยิ่งกรณีแบบนี้ด้วยนะครับคืออยู่บ้าน
00:00:07 → 00:00:09 เดียวกันอยู่ใกล้กันมากๆเนี่ยคนอะไรที่
00:00:09 → 00:00:11 มันอยู่ใกล้กันมันก็จะกระทบกระทั่งกัน
00:00:11 → 00:00:14 เป็นเรื่องธรรมดาจนบางทีไอ้ความขัดแย้ง
00:00:14 → 00:00:17 กระทบกระทั่งกันรายวันตั้งแต่เรื่องเล็ก
00:00:17 → 00:00:20 เรื่องน้อยเนี่ยไปจนถึงเรื่องใหญ่เบางที
00:00:20 → 00:00:23 มันทำให้มันลืมการชมกันอจริงครับบินๆมีคำ
00:00:23 → 00:00:25 แนะนำอย่างไงบางคิดผู้ใหญ่นี่ชมไม่เป็นนะ
00:00:25 → 00:00:28 ใช่ครับผมคิดว่ามันคือการสื่อสารเนี่ย
00:00:28 → 00:00:30 เป็นประเด็นสำคัญเลยที่ว่านี้เราต้องพูด
00:00:30 → 00:00:33 คุยกันเพราะว่าถ้าเราไม่สื่อสารกันเนี่ย
00:00:33 → 00:00:36 เราก็จะไม่รู้ว่าเค้ารักเรามั้ยเคชมเรา
00:00:36 → 00:00:39 หรือเปล่าหรือเขาคพอใจดีใจมั้ยซึ่งพอคน
00:00:39 → 00:00:42 ผู้สูงอายุที่อายุเยอะขึ้นไปเนี่ยบางที
00:00:42 → 00:00:45 เขาไม่เคยแสดงออกหรือเขาพอใจไม่พอใจเขา
00:00:45 → 00:00:48 ไม่บอกแต่อยากให้เรารู้เองเพราะการที่เรา
00:00:48 → 00:00:51 รู้ได้เนี่ยมันเหมือนเอ้ยเารู้ใจฉันเทำ
00:00:51 → 00:00:53 แล้วถูกใจเพราะฉะนั้นอันนี้ก็อาจจะทำให้
00:00:53 → 00:00:55 เขาพูดน้อยหรือไม่ค่อยแสดงออกแล้วคนอื่น
00:00:55 → 00:00:57 จะรู้ได้ยังไงว่าเขาชอบไม่ชอบหรือต้องการ
00:00:57 → 00:01:01 อะไรสเต็ปแรกคืออาจจะต้องเริ่มพูดออกมา
00:01:01 → 00:01:03 บ้างหรือเริ่มสื่อสารบ้างอแต่สิ่งที่อยาก
00:01:03 → 00:01:06 ชวนชวนให้เห็นครับคือคำว่าสื่อสารเนี่ย
00:01:06 → 00:01:09 ไม่จำเป็นต้องเป็นคำพูดอย่างเดียวเพราะ
00:01:09 → 00:01:11 ว่าหลายๆคนบอกว่าสื่อสารเนี่ยต้องพูดคือ
00:01:11 → 00:01:14 บางทีแล้วถ้าสมมติผมเป็นคนที่ดูแลนะผมก็
00:01:14 → 00:01:16 จะรู้สึกว่าแม่ไม่เห็นเคยชมแม่ไม่รักเรา
00:01:16 → 00:01:19 บ้างเลยหรือเขาไม่เคยใส่ใจเราแต่เพราะเรา
00:01:19 → 00:01:22 เนี่ยอาจจะไปมีบบรรทัดอยู่ที่ว่าเขาเคย
00:01:22 → 00:01:25 เอ่ยปากพูดบ้างมอเพราะจริงๆการแสดงออก
00:01:25 → 00:01:27 ความรักเนี่ยอาจจะแสดงได้หลายแบบถ้าเกิด
00:01:27 → 00:01:29 มีคนเคยนิยามไว้เนี่ยก็จะมีตั้ง 5 แบบอื
00:01:29 → 00:01:32 บางคนเนี่ยพูดด้วยคำพูดอ่าบอกว่าเธอเก่ง
00:01:32 → 00:01:36 จังขอบคุณนะชื่นชมอันนี้ใช้คำพูดใช้คำพูด
00:01:36 → 00:01:39 อแบบที่ 2 เนี่ยอาจจะไปด้วยการกระทำเช่น
00:01:39 → 00:01:42 อ่ะเอ่อหิวน้ำมั้ยอ่ะหยิบน้ำมาให้หรือพ่อ
00:01:42 → 00:01:45 แม่ในอดีตเขาอาจจะอทำปิ่นโตก็ได้ตอนเช้า
00:01:45 → 00:01:49 ลูกจะไปทำงานอ่ะเนี่ยข้าวแกแต่ไม่เคยบอก
00:01:49 → 00:01:52 บอกว่าภูมิใจนะแต่มีข้าวใส่กล่องไว้ให้
00:01:52 → 00:01:55 เอาไปกินที่ทำงานทุกวันหรือบางครั้งถ้า
00:01:55 → 00:01:58 เป็นคุณพ่อก็เช็กหม้อน้ำรดแจะไปทำงานแล้ว
00:01:58 → 00:02:00 เหรอเปิดฝากระโปรงแล้วก็เช็คหม้อน้ำอัน
00:02:00 → 00:02:03 นี้เขากำลังบอกรักอยู่แต่เป็นภาษารักที่
00:02:03 → 00:02:05 ไม่ได้มาด้วยคำพูดแต่เขามาด้วยการทำอะไร
00:02:05 → 00:02:08 บางอย่างให้ทำกับข้าวเช็กหม้อน้ำเพราะ
00:02:08 → 00:02:10 ฉะนั้นบางทีเขาอาจจะกำลังบอกรักแต่สไตล์
00:02:10 → 00:02:13 ของคนในบ้านเราไม่ใช่พูดก็ได้อันที่ 3
00:02:14 → 00:02:16 เนี่ยอาจจะเป็นเรื่องของเวลาคุณภาพอคือ
00:02:16 → 00:02:19 ถ้าเกิดเราบอกว่าเนี่ยเราอยากจะไปเที่ยว
00:02:19 → 00:02:22 นี่พ่อแม่อาจจะเคยจัดตารางเคลียร์เวลา
00:02:22 → 00:02:24 แล้วอยู่กับเราก็ได้หรือบางอาจจะแบบนั่ง
00:02:24 → 00:02:27 ดูทีวีคือเราทำอะไรก็อยากจะมานั่งใกล้
00:02:27 → 00:02:30 อยู่ข้างๆอือเขาอาจจะไม่ได้พูดว่ารักเขา
00:02:30 → 00:02:32 อาจจะไม่ได้ทำอะไรให้แต่เขาเนี่ยมีเวลา
00:02:32 → 00:02:35 คุณภาพให้เราเสมออือ่าเพราะฉะนั้นเราอยาก
00:02:35 → 00:02:37 จะทำอะไรหรือบางทีเราเดินไปเดินมาในบ้าน
00:02:37 → 00:02:39 เขาก็อยากจะอยู่ใกล้ๆตรงนั้นแหละเพราะเขา
00:02:39 → 00:02:41 รู้สึกว่าการได้ใกล้ชิดกับลูกได้มีเวลา
00:02:41 → 00:02:44 ที่คุณมีคุณภาพกับเขาเนี่ยคือการบอกรัก
00:02:44 → 00:02:47 ที่สำคัญอ่านี้ก็เป็น 3 แบบแล้วบางคนลืม
00:02:47 → 00:02:49 มองว่าเออเขาก็ทำให้เราบางทีเขาให้เวลา
00:02:49 → 00:02:52 เราเต็มที่เลยออันที่ 4 เป็นพวกของขงของ
00:02:52 → 00:02:55 ขวัญบางคนไม่เคยบอกรักเป็นคนไม่เคยทำอะไร
00:02:55 → 00:02:58 แต่เวลาเขาเลือกอะไรบางอย่างให้เราเนี่ยเ
00:02:58 → 00:03:01 พยายามจะเข้าใจเรามากๆจะซื้อปากาสักแท่ง
00:03:01 → 00:03:03 เนี่ยอย่างแกเขียนปากกาหมึกซึมแล้วเดี๋ยว
00:03:03 → 00:03:06 มันเลอะมือฉันเลยซื้อปากกาอันนี้ให้หรือ
00:03:06 → 00:03:08 ว่ากระเป๋าที่แกจะใช้เนี่ยฉันว่ามันต้อง
00:03:08 → 00:03:12 มีซิปนะแกเป็นคนซุ่มซ่ามชอบทำของหล่นอ่า
00:03:12 → 00:03:14 หรือบางทีเนี่ยแม่ซื้อที่ออกกำลังมาอยาก
00:03:14 → 00:03:18 ให้แกยกดัมเบลแต่ไม่เคยพูดว่ารักไม่เคยทำ
00:03:18 → 00:03:20 อะไรให้ด้วยไม่ได้ให้เวลาด้วยแต่ให้เป็น
00:03:20 → 00:03:23 ของขวัญที่รู้สึกว่าเหมาะหรือพิถีพิถันใน
00:03:23 → 00:03:26 การเลือกมาให้เราเขก็กำลังบอกรักครับครับ
00:03:26 → 00:03:30 หรือข้อสุดท้ายคือการแตะสัมผัสอือบอกรัก
00:03:30 → 00:03:34 ไม่อะไรแต่ว่ารูปเราจับมือเราหรือว่าจับ
00:03:34 → 00:03:38 บารูปหัวจเค้าไม่บอกรักนะแต่เการแตะ
00:03:38 → 00:03:41 สัมผัสกอดตรงเนี้ยคือเขากำลังพูดภาษารัก
00:03:41 → 00:03:44 ของเขาทีเนี้ยพอเราไม่ได้มองเห็นภาพกว้าง
00:03:45 → 00:03:48 ว่าการสื่อสารเนี่ยภาษามันมีได้หลายภาษา
00:03:48 → 00:03:51 เราก็เลยอาจจะทดไปในใจว่าเาไม่เคยบอกรัก
00:03:51 → 00:03:54 เราเลยเไม่แคร์เราเลยออ่าซึ่งอันนี้ก็ไม่
00:03:54 → 00:03:56 แฟะหรือบางครั้งเอยากจะบอกรักมาเ่อพ่อก็
00:03:56 → 00:04:00 บอกว่าเนี่ยมาเดี๋ยวพ่อถือกระเป๋าให้อืโต
00:04:00 → 00:04:02 แล้วพ่อจะมาถืออะไรมือไม่ได้ด้วนกายว่าเข
00:04:02 → 00:04:05 กำลังจะบอกรักเราก็ไปปิดปากเอึๆๆไม่ให้
00:04:05 → 00:04:08 พูดแต่เกำลังเกำลังจะบอกรักแล้วอยู่ใช่
00:04:08 → 00:04:10 เพราะงั้นอันนี้เป็นเรื่องที่อยากให้ถอย
00:04:10 → 00:04:13 มาด้วยว่าการสื่อสารในบ้านเนี่ยบางทีอาจ
00:04:13 → 00:04:15 จะไม่ใช่คำแค่คำพูดแต่มีอีกตั้งหลายแบบ
00:04:15 → 00:04:18 ที่เขากำลังบอกรักครับผมว่าอันนี้จะเป็น
00:04:18 → 00:04:20 ประโยชน์มากๆเพราะบางทีผู้ใหญ่ฟังผู้ใหญ่
00:04:20 → 00:04:24 จะได้รู้วิธีการอะไรล่ะวิธีการบอกรักหรือ
00:04:24 → 00:04:26 อาจจะแบบเป็นเป็นการแสดงการชื่นชมทาง
00:04:26 → 00:04:29 หนึ่งแต่ในขณะเดียวกันลูกที่อยู่กับพ่อ
00:04:29 → 00:04:32 แม่แบางทีก็อาจจะไปคาดหวังว่าเาไม่เคยพูด
00:04:32 → 00:04:35 เลยก็เลยจะไปเข้าใจว่ามันมีแค่อย่างเดียว
00:04:35 → 00:04:38 แต่จริงๆเราลืมมองว่าบางทีเขามีการแสดง
00:04:38 → 00:04:41 ออกด้วยวิธีการอื่นๆด้วยใช่อ่าครับแล้ว
00:04:41 → 00:04:45 อย่างกรณีว่าลูกที่อยู่บ้านน่ะฮะด้วยกัน
00:04:45 → 00:04:49 มันจะมีความขัดแย้งกันบ่อยๆเช่นไอ้นั่น
00:04:49 → 00:04:51 นิดไอ้นี่หน่อยเพราะว่าแม่อยู่ใกล้ลูกคน
00:04:51 → 00:04:53 นี้เาก็จะเห็นอะไรที่แบบเขาอาจจะทำแล้ว
00:04:53 → 00:04:56 เขาก็ไม่ชอบอะไรอย่างเงี้นะครับแต่ในขณะ
00:04:56 → 00:04:59 ที่ลูกคนไกลนานๆมาทีไงก็เลยไม่รู้ว่าชอบ
00:04:59 → 00:05:01 อะไรบ้างตรงนี้ไอ้ความขัดแย้งตรงเนี้ย
00:05:01 → 00:05:03 ครับมันมีอะไรบ้างหรือเราจะป้องกันยังไง
00:05:03 → 00:05:05 บ้างครับพอันดับแรกคือต้องยอมรับว่ามัน
00:05:05 → 00:05:07 เป็นธรรมชาติที่จะเกิดขึ้นเพราะว่าเรามี
00:05:07 → 00:05:09 ชั่วโมงบินหรือชั่วโมงเวลาที่ใช้ชีวิต
00:05:09 → 00:05:11 ด้วยกันเนี่ย 10 ชมงกับแม่ในขณะที่คนที่
00:05:11 → 00:05:14 แวะเวียนมาเยี่ยมเนี่ยอยู่แค่ 30 นาที
00:05:14 → 00:05:16 หรือชั่วโมงนึงหรือไม่เกินครึ่งวันเพราะ
00:05:16 → 00:05:18 ฉะนั้นจำนวนชั่วโมงที่มันต้องอยู่ด้วยกัน
00:05:18 → 00:05:21 เนี่ยมันน้อยกว่ากันมากเพราะฉะนั้นโอกาส
00:05:21 → 00:05:23 ที่จะเกิดความขัดแย้งเนี่ยก็ยิ่งน้อย
00:05:23 → 00:05:25 เพราะฉะนั้นก็เลยกลายเป็นว่าคนที่อยู่
00:05:25 → 00:05:27 ใกล้เนี่ยจะเจอปัญหาทีนี้ผมก็เลยบอกว่า
00:05:27 → 00:05:29 ถ้ามันเป็นความขัดแย้งที่เราเชื่อเชื่อ
00:05:29 → 00:05:31 ว่ามันก็จะเกิดขึ้นได้เมื่อคนอยู่ใกล้กัน
00:05:31 → 00:05:34 มากขึ้นอือเราก็ต้องเรียนรู้ว่าวิธีการ
00:05:34 → 00:05:38 จัดการความขัดแย้งจัดการยังไงเช่นคำแนะนำ
00:05:38 → 00:05:40 เช่นพะมันเกิดความขัดแย้งเนี่ยเราอาจจะ
00:05:40 → 00:05:43 ต้องถามทวนก่อนว่าที่เขาพูดแบบเนี้ยหมาย
00:05:43 → 00:05:45 ความว่ายังไงเพราะบางทีความขัดแย้งมัน
00:05:45 → 00:05:48 เกิดจากการที่ฟังคำนึงแล้วเราก็มาผ่าน
00:05:48 → 00:05:50 สมุติฐานหรือ Assumption ในใจแล้วก็ตี
00:05:50 → 00:05:54 ความไปแบบนึงสมมุติแม่บอกว่าเอ้ยข้าวมัน
00:05:54 → 00:05:57 ไม่เห็นร้อนเลยอือๆอ่าแค่พูดประโยคนี้ลูก
00:05:58 → 00:06:00 ที่มาเยี่ยมข้าวไม่เห็นร้อนครับเอาไปอุ่น
00:06:00 → 00:06:02 อะไรงเงี้แต่พอเราที่อยู่ใกล้เนี่ยข้าว
00:06:02 → 00:06:05 ไม่เห็นร้อนเลยเราตีความว่าทำไมฉันดูแล
00:06:05 → 00:06:08 ไม่ดีเหรอหรือทำไมฉันไม่เหาว่าฉันไม่ใส่
00:06:08 → 00:06:11 ใจปรากฏว่าไอ้ตัวสมมุติฐานในใจเนี่ยเป็น
00:06:11 → 00:06:14 ตัวแปรความทำว่าข้าวมันข้าวต้มมันไม่ร้อน
00:06:14 → 00:06:16 เลยให้กลายเป็นคำด่าตัวเองก็ได้หรือให้
00:06:16 → 00:06:19 กลายเป็นคำตำหนิทั้ที่จริงๆคือเาแค่อาจจะ
00:06:19 → 00:06:22 บอกก็ได้ว่าข้าวต้มมันไม่ร้อนอ่าเราอาจจะ
00:06:22 → 00:06:25 ต้องถามทวนว่าอ๋อแม่อยากให้เอาไปอุดเหรอ
00:06:25 → 00:06:28 อะไรอย่างเงี้ยเเพราะบางทีเราเนี่ยประมวล
00:06:28 → 00:06:31 ผลเร็วมากเออคิดตัวอย่างตัวอย่างนี้ผมว่า
00:06:31 → 00:06:33 ชัดดีเนคือจริงๆแม่แค่พูดถึงเรื่องข้าว
00:06:33 → 00:06:35 ต้มไม่ร้อนแต่ไอ้นี่นี่เวลาไปฟังไปฟัง
00:06:35 → 00:06:38 เป็นคำตำหนิไปใช่เออเพราะอันนี้ก็อาจจะ
00:06:38 → 00:06:41 ต้องขั้นแรกคือถามทวนหน่อยว่าเขาหมายถึง
00:06:41 → 00:06:43 อะไรเพราะบางทีเราเดาใจด้วยสมมุติฐาน
00:06:43 → 00:06:45 เพราะคิดว่าอยู่ด้วยกันมานานอ้าปากก็เห็น
00:06:45 → 00:06:48 ลิ้นไก่บางทีฝั่งลูกก็บอกว่าแม่ไม่ห่มผ้า
00:06:48 → 00:06:51 ห่มเหรอครับทำไมแกหาว่าฉันไม่ดูแลตัวเอง
00:06:51 → 00:06:55 เหรอเ้าเราพูดว่าไม่ห่มผ้าห่มแต่เขาตี
00:06:55 → 00:06:57 ความว่าเหมือนเราไปตำหนิว่าเขาไม่ดูแลตัว
00:06:57 → 00:07:00 เองหรืออาจจะคิดไปไกลว่าทำแบบนี้เดี๋ยวก็
00:07:00 → 00:07:04 ตายไวคือคิดไปอีกไกลเลยสมมุติฐานหรือการ
00:07:04 → 00:07:07 ตีความในใจนี่แหละที่ทำให้คอนฟลิกหรือ
00:07:07 → 00:07:10 ความขัดแย้งในบ้านเนี่ยบางทีมันแก้ยาก
00:07:10 → 00:07:12 เพราะว่าเราเนี่ยไปตีความนะเพราะั้น
00:07:12 → 00:07:14 อันดับแรกคือถามทวนว่าหมายความว่ายังไงนะ
00:07:14 → 00:07:17 หรือต้องการอะไรหรือบางครั้งอาจจะต้อง
00:07:17 → 00:07:19 เป็นเราแหละที่สื่อสารว่าเราพอใจหรือไม่
00:07:19 → 00:07:23 พอใจกับสิ่งที่เขาทำแต่พูดแบบที่มีเทคนิค
00:07:23 → 00:07:26 หน่อยใช่คือความขัดแย้งเนี่ยมันจะหายได้
00:07:26 → 00:07:29 ก็ต่อเมื่อจากเดิมเนี่ยเป็นปัญญหาระหว่าง
00:07:29 → 00:07:32 ผมกับพี่ประสานอืแต่มันคือเหมือน I verus
00:07:32 → 00:07:34 you คือผมหรือพี่ใครผิดกันแน่แต่จริงๆ
00:07:34 → 00:07:37 ความขัดแย้งมันจะแก้ได้ดีคือเป็น V verus
00:07:37 → 00:07:39 problem ก็คือผมพี่ประสาเนี่ยอยู่ฝั่ง
00:07:39 → 00:07:42 เดียวกันแล้วปัญหาที่เราเห็นคืออะไรอ่าผม
00:07:42 → 00:07:45 ก็ต้องมาชวนว่าแม่ไหนไหนมานั่งคุยกัน
00:07:45 → 00:07:48 หน่อยเอิ่มแปลว่าตอนเนี้ยเรา 2 คนเนี่ย
00:07:48 → 00:07:50 อาจจะต้องแก้ปัญหานะว่าตอนเนี้ยเรารู้สึก
00:07:50 → 00:07:53 ว่าเราทะเลาะกันบ่อยเรื่องของอกับข้าวไหน
00:07:53 → 00:07:56 เราจะทำยังไงให้เราทะเลาะกันน้อยลงอือ่า
00:07:56 → 00:07:58 มันคือเราใช้คำว่าเราคือเราจะทำยังไงให้
00:07:58 → 00:08:01 เราทะเลาะกันน้อยลงเรื่องกับข้าวแต่ละ
00:08:01 → 00:08:03 มื้ออะไรเงี้ยเพราะมันต้องกินกัน 3 มื้อ
00:08:03 → 00:08:05 ทะเลาะกันได้ทุกมื้อเราจะทะเลาะกันน้อยลง
00:08:05 → 00:08:08 แม่ก็บอกว่าเนี่ยแม่ไม่ชอบกินเค็มแม่ไม่
00:08:08 → 00:08:12 ชอบกินหมู 3 ชั้นอครับโอเคแม่โอหนูเข้าใจ
00:08:12 → 00:08:14 มากขึ้นหนูก็คิดว่าหนูเคยเห็นแม่ชอบกิน
00:08:14 → 00:08:18 ไข่พะโล้หนูก็สั่งมาประจำเลยอใช่คนเรามัน
00:08:18 → 00:08:20 ชอบแต่แม่กินทุกวันหรือกินทุกอาทิตย์อ่ะ
00:08:20 → 00:08:22 แม่ก็เบื่อมั้อันนี้มันไม่ใช่ปัญหาว่าใคร
00:08:22 → 00:08:24 ผิดใครถูกแล้วมันคือเรามานั่งฝั่งเดียว
00:08:24 → 00:08:26 กันแล้วบอกว่ามานั่งดูไข่พะโลด้วยกันว่าอ
00:08:26 → 00:08:30 ทำไมไข่พะโลแม่ถึงไม่ชอบทำปัหาเนี่ยไม่
00:08:30 → 00:08:33 รู้สึกว่าเราไปโจมตีเขาแต่เราโจมตีปัญหา
00:08:33 → 00:08:35 ด้วยกันต่างหากอเนี่ยก็ต้องเป็น mindset
00:08:35 → 00:08:38 ที่เราเริ่มบอกว่าเราต่อสู้กับปัญหาอยู่
00:08:38 → 00:08:41 แล้วปัญหานั้นคืออะไรอ่าแต่ถ้าเป็นเป็น
00:08:41 → 00:08:44 เรากับเราคือฉันกับแม่อ่าถ้าเป็นสถานการ
00:08:44 → 00:08:46 นี้ก็อาจจะพูดว่าทำไมแม่ไม่ชอบกินไข่
00:08:46 → 00:08:49 พะโล้อ่ะก็เห็นคือแม่เคยชอบกินกันอันนี้
00:08:49 → 00:08:51 เป็นปัญหาระหว่างเรากับแม่แหละไอเราก็คัน
00:08:51 → 00:08:53 ก็พูดได้ก็ใครจะใครจะไปกินทุกวันได้กิน
00:08:53 → 00:08:55 น่าจะเป็นน่าจะเป็นใครอยู่แล้วอะไรเงี้ใช
00:08:55 → 00:08:57 ปัญหาไม่หายเลยการว่าทะเลาะไปทะเลาะกันมา
00:08:57 → 00:09:00 อแต่ถ้าเกิดเราบอกว่าแม่เหนูปรึกษาหน่อย
00:09:00 → 00:09:02 ทำยังไงถึงแม่จะได้แม่จะกินไข่พะโล้หรือ
00:09:02 → 00:09:05 ว่าทำยังไงถึงหนูจะรู้เมนูที่แม่อยากกิน
00:09:05 → 00:09:07 อะไรอย่างเงี้ยฮะอันนี้ก็จะทำให้ปัญหา
00:09:07 → 00:09:10 เนี่ยหรือความขัดแย้งเริ่มคลี่คลายออครับ
00:09:10 → 00:09:12 ๆแล้วก็คำแนะนำบางข้ออาจจะเป็นเรื่องของ
00:09:12 → 00:09:16 การยืนยันจุดยืนอหรือว่าการบอกว่าสิ่งที่
00:09:16 → 00:09:19 แม่ทำเนี่ยบางครั้งเราก็ไม่พอใจนะเพราะ
00:09:19 → 00:09:21 บางทีข้อเนี้ยคนที่เป็นคนดูแลไม่เคยบอก
00:09:22 → 00:09:24 แม่แล้วก็หวังว่าแม่จะรู้นะว่าสิ่งที่แม่
00:09:24 → 00:09:26 พูดเนี่ยท็อกซิกหรือสิ่งที่แม่พูดเนี่ย
00:09:26 → 00:09:29 กระทบเราแต่แม่จะรู้ได้ไงอ่ะเราไม่เคยบอก
00:09:29 → 00:09:31 ว่าเราไม่พอใจเราได้แต่เก็บเก็บซึ่งอัน
00:09:31 → 00:09:33 นี้เาเรียกว่าการ assertive หรือการยืน
00:09:33 → 00:09:36 ยันหรือการยืนกรานว่าจุดยืนเราเป็นแบบนี้
00:09:36 → 00:09:39 นะซึ่งเทคนิคมี 4 ขั้นอข้อแรกก็คือให้เรา
00:09:39 → 00:09:43 พูดว่าฉันรู้สึกจุดๆๆนะแม่อ่าฉันรู้สึก
00:09:44 → 00:09:46 จุดๆๆคือแม่หนูรู้สึกเสียใจเหมือนกันนะ
00:09:46 → 00:09:49 หนูรู้สึกเสียใจอซึ่งตรงเนี้ยต้องระมัด
00:09:49 → 00:09:52 ระวังว่าเวลาที่เนี่ยอย่าบอกสิ่งที่เราตี
00:09:52 → 00:09:54 ความเช่นสมมติหนูรู้สึกเสียใจนะเวลาที่
00:09:54 → 00:09:57 แม่ด่าหนูอันเนี้ยเราไปตีความว่าแม่ด่า
00:09:57 → 00:10:00 แต่เราต้องบอกว่าเวลาที่แม่พูดว่าว่าเรา
00:10:00 → 00:10:03 ไม่ยอมหนูไม่ค่อยดูแลตัวเองอ่าแทนที่จะ
00:10:03 → 00:10:05 บอกเวลาที่แม่ด่าหนูเพราแม่พะแม่จะเสียก
00:10:05 → 00:10:07 มาอันทีฉันดแที่ไหนันใช่เพราะฉะนั้น
00:10:07 → 00:10:09 เทคนิคคือเราต้องแปลงไอ้สิ่งที่เราตีความ
00:10:09 → 00:10:11 ให้กลายเป็นเหมือนกับสิ่งที่เราสังเกต
00:10:11 → 00:10:14 เห็นก็คือใครทำอะไรที่ไหนยังไงเช่นหนูรู้
00:10:14 → 00:10:17 สึกเสียใจเหมือนกันนะเวลาที่แม่พูดว่า
00:10:17 → 00:10:19 หรือเวลาที่แม่ทำว่าอะไรอย่าเงี้ยเพราะ
00:10:19 → 00:10:22 ว่าคนเรามันตีความกันตลอดเวลาเช่่นบางที
00:10:22 → 00:10:24 แม่ก็บอกว่าแกทำตัวให้มันเรียบร้อยหน่อย
00:10:24 → 00:10:28 ครับเรียบร้อยของแม่คือทำอะไรอ่ะอเช่นแม่
00:10:28 → 00:10:30 เรียบร้อยของแม่คือหนูทำอะไรผิดเหรอหรือ
00:10:30 → 00:10:33 คือทำอะไรเนี่ยรองเท้าถอดไว้เก็บขึ้นตู้
00:10:33 → 00:10:36 สิอ๋อโอเคแม่อยากให้หนูเก็บรองเท้าเข้า
00:10:36 → 00:10:40 ตู้อ่าหรือว่าเนี่ยทำตัวให้มันสะอาดหน่อย
00:10:40 → 00:10:43 คืออะไรอ่ะแม่เอเนี่ยจานที่แกล้างเนี่ย
00:10:43 → 00:10:45 กินเสร็จแล้วก็ล้างทันทีได้มั้ยอ๋อแม่
00:10:45 → 00:10:48 อยากให้หนูล้างจานทันทีหลังกินเสร็จเพราะ
00:10:48 → 00:10:50 ไม่งั้นชีวิตในความสัมพันธ์คนในบ้านเนี่ย
00:10:50 → 00:10:53 จะอยู่แต่การตีความว่าเนี่ยอย่าเลิกขี้
00:10:53 → 00:10:54 เกียจได้มั้ยแกก็ขี้เกียจตลอดแล้วขี้
00:10:54 → 00:10:57 เกียจคืออะไรหรอแม่คือเออแต่แต่ขี้เกียจ
00:10:57 → 00:11:00 มันอาจจะแค่แกทิ้งจานไว้ไม่ยอมรับ
00:11:00 → 00:11:05 ผแต่พเราพูดคำว่าขี้เมันได้ไกแหาว่าหนู
00:11:05 → 00:11:08 ไม่ทำงานเหรอเงี้แต่จริงความขี้เกียจในใจ
00:11:08 → 00:11:10 ของแม่คือตื่นแล้วไม่เห็นพับผ้าห่มเงี้
00:11:10 → 00:11:12 เพราะงั้นอันเนี้ยเมื่อกี้ขั้นแรกคือหนู
00:11:12 → 00:11:15 รู้สึกเสียใจนะเวลาที่คือให้พูดเป็นสิ่ง
00:11:15 → 00:11:19 ที่เราสังเกตเห็นไม่ใช่สิ่งที่ตีความเวลา
00:11:19 → 00:11:23 ที่แม่พูดกับหนูว่าไม่ได้เรื่องอ่าเนี่ย
00:11:23 → 00:11:26 เพราะแล้วก็ถัดไปข้อที่ 3 ก็คือเพราะว่า
00:11:26 → 00:11:30 เพราะว่าหนูอ่ะก็ไม่รู้ว่าการจะได้เรื่อง
00:11:30 → 00:11:32 ในมุมของแม่มันต้องทำยังไงหนูก็พยายามจะ
00:11:32 → 00:11:35 ทำดีแล้วนะแล้วปิดท้ายด้วย Request คือคำ
00:11:35 → 00:11:38 ขอร้องก็คือว่าเป็นไปได้มมแม่ถ้าแม่จะพูด
00:11:38 → 00:11:40 ถึงเรื่องของไม่ได้เรื่องเนี่ยแม่ช่วยแนะ
00:11:41 → 00:11:43 นำหนูทีละเรื่องให้มันชัดหรือว่าพูดเป็น
00:11:43 → 00:11:46 ประเด็นที่ชัดเจนเพราะว่าหนูฟังคำว่าไม่
00:11:46 → 00:11:48 ได้เรื่องไม่ได้เรื่องแต่ละครั้งอ่ะหนู
00:11:48 → 00:11:51 เสียใจตลอดเลยออคือข้อสุดท้ายเนี่ยก็
00:11:51 → 00:11:54 สำคัญก็คือคำว่ารคสคือเราขอร้องอะไรเพราะ
00:11:54 → 00:11:57 ว่าหลายๆครั้งเราจะบอกว่าหนูไม่ชอบให้แม่
00:11:57 → 00:11:59 พูดว่าไม่ได้เรื่องอืแม่อย่าพูดว่าไม่
00:11:59 → 00:12:01 เรื่องได้มั้แต่เราไม่เคยปิดท้ายว่าแล้ว
00:12:01 → 00:12:04 ให้พูดอะไรแล้วให้ทำอะไรกลายเป็นว่าคนที่
00:12:04 → 00:12:06 ฟังก็ต้องเดาใจว่าแล้วฉันต้องพูดว่าอะไร
00:12:06 → 00:12:09 อ่ะแล้วฉันต้องทำไงต่อเพราะฉะนั้นการที่
00:12:09 → 00:12:11 เราปิดท้ายด้วยคำขอร้องหรือข้อเสนอแนะ
00:12:11 → 00:12:14 เนี่ยมันทำให้เขาเนี่ยมีโอกาสทำถูกมาก
00:12:14 → 00:12:16 กว่าทำผิดเพราะว่าเขไม่ต้องไปเดาใจเราอีก
00:12:16 → 00:12:19 เราบอกไปชัดๆเลยว่าอยากให้ทำแบบไหนเพราะ
00:12:19 → 00:12:21 ฉะนั้นทวนขั้นตอนช้าๆอีกทีขั้นแรกคือฉัน
00:12:21 → 00:12:24 รู้สึกจุดๆๆก็คือบอกอารมณ์แว่ารู้สึก
00:12:24 → 00:12:28 เศร้ารู้สึกเสียใจรู้สึกโกรธนะเวลาที่อ่ะ
00:12:28 → 00:12:30 ให้บอกเป็นสิ่งที่สังเกตเห็นน่ะเวลาที่
00:12:30 → 00:12:32 เขาพูดว่าเวลาที่เขาทำกระแทกจานอะไรเงี้ย
00:12:32 → 00:12:35 เวลาที่ทำอะไรเงี้ยอเอ่าจริงๆกระแทกจานก็
00:12:35 → 00:12:37 อาจจะเป็นตีความต้องบอกว่าเวลาที่แม่วาง
00:12:37 → 00:12:40 จานแล้วมันเสียงดังเออเพราะว่ากระแทก
00:12:40 → 00:12:43 เนี่ยแม่อาจจะไม่ได้ตั้งใจกระแทกแต่แม่
00:12:43 → 00:12:45 เขาอาจจะมือไม่มีแรงแล้วจานมันลนมาเสียง
00:12:45 → 00:12:48 ดังงี้เพราะฉนั้นเราก็ต้องบอกว่าเวลาที่
00:12:48 → 00:12:51 แม่วางจานเสียงดังครับนะทีนี้ฉันรู้สึก
00:12:51 → 00:12:54 เวลาที่อันที่ 3 คือเพราะว่าทำไมอ่ะทำไม
00:12:54 → 00:12:56 เราถึงรู้สึกแบบนั้นแล้วข้อสุดท้ายคือ
00:12:56 → 00:12:58 Request คือขอร้องว่าแล้วอยากให้ทำแบบ
00:12:58 → 00:13:00 ไหนอืประโยคแพทเทิร์น 4 อันนี้ยครับเรา
00:13:00 → 00:13:02 เรียกว่า I Message คือประโยคที่เป็น
00:13:03 → 00:13:05 ชั้นอครับเพราะที่ผ่านมาเวลาเรามีความขัด
00:13:05 → 00:13:09 แย้งเนี่ยจะเป็นย Message คือแกเธออ่าเรา
00:13:09 → 00:13:11 จะไปแบบย Message เสมอเลยแต่ถ้าเกิดเรา
00:13:11 → 00:13:14 พูดว่าไ Message เนี่ยแม่ไม่มีทางมาบอก
00:13:14 → 00:13:17 ว่าแกไม่เศร้าหรอกไม่จริงอ่ะฉันพูดในมุม
00:13:17 → 00:13:20 ขอโทษฉันพูดในมุมว่าฉันชีนิ้วหาตัวเองว่า
00:13:20 → 00:13:22 หนูรู้สึกเศร้าแม่จะไม่มีทางมาแย้งได้ว่า
00:13:22 → 00:13:26 เธอไม่เศร้านะก็หนูเศร้าอ่ะหนูพูดถึงตัว
00:13:26 → 00:13:29 เองเราไม่ได้ไปโจมตีแม่อ่าเรารู้สึกเ้า
00:13:29 → 00:13:31 เศร้าเพราะว่าอะไรที่เห็นอะไรแบบไหนเพราะ
00:13:31 → 00:13:33 งั้นประโยคแบบเนี้ยจะทำให้เราเข้าใจกัน
00:13:33 → 00:13:35 ได้มากขึ้นครับเพราะฉะนั้นเนี่ยในความ
00:13:35 → 00:13:38 สัมพันธ์คนในบ้านเนี่ยเราจะเริ่มอยู่กัน
00:13:38 → 00:13:41 ด้วยการเข้าใจมากกว่าเดาใจเพราะที่ผ่านมา
00:13:41 → 00:13:43 ที่เราทะเลาะบ่อแวงเนี่ยเพราะเราเดาใจกัน
00:13:43 → 00:13:45 ทั้งนั้นเลยเดใจกันอ่าครับอันนี้ผมพูดดัก
00:13:45 → 00:13:49 คอผู้ฟังผมไว้ก่อนเอาจจะรู้สึกว่าโอ๊ยอัน
00:13:49 → 00:13:52 นี้แบบว่าโรแมนติกหรือเปล่าคุณบีนอะไร
00:13:52 → 00:13:54 อย่างเงี้ยนะเอาจจะเอาจจะเอาจจะรู้สึกว่า
00:13:54 → 00:13:58 โอที่บ้านเที่บ้านเราอ่ะใช้วิธีการแบบนี้
00:13:58 → 00:14:01 ไม่ได้หรอกก็เลยอยากจะบอกว่าจริงๆลองเอา
00:14:01 → 00:14:03 คู่มือนี้ไปทดลองดูก่อนใช่มั้ยต้องลอง
00:14:03 → 00:14:05 ต้องลองอ่ะหรือถ้ายังรู้สึกว่าฟังแล้วมัน
00:14:05 → 00:14:08 ยังสั้นไปลองค้นหาในอินเทอร์เน็ตว่าไ
00:14:08 → 00:14:11 Message หรือว่าภาษาฉันเนี่ยเราลองเห็น
00:14:11 → 00:14:13 ตัวอย่างเราลองเห็นแล้วจะมีคนมาคอมเมนต์
00:14:13 → 00:14:16 เยอะเลยว่าพอลองพูดแบบนี้แล้วเนี่ยปรากฏ
00:14:16 → 00:14:18 ว่าดีขึ้นเพราะว่าเราได้แเราไม่อึดอัด
00:14:18 → 00:14:21 ด้วยเราได้บอกจุดยืนว่าเรารู้สึกอะไรเรา
00:14:21 → 00:14:23 ได้แสดงคำขอร้องออกไปว่าคนตรงหน้าช่วยเรา
00:14:23 → 00:14:26 ทำได้ยแล้วมันก็เกิดความเข้าใจดีขึ้น
00:14:26 → 00:14:28 เพราะงั้นถ้ารู้สึกว่ายังทำไม่ไหวเนี่ย
00:14:28 → 00:14:30 อาจจะหาตัวอย่างเพิ่มแล้วก็ฝึกซ้อมไม่ได้
00:14:30 → 00:14:34 โรแมนติกเกินไปฮะก็ใช้อยู่แล้วก็หลายๆคน
00:14:34 → 00:14:37 ก็ได้ผลจริงๆบุพการีที่เคารพคู่มือการดู
00:14:37 → 00:14:40 แลพ่อแม่ของคนเจนลูกถ้าชอบเนื้อหาแบบนี้
00:14:40 → 00:14:45 ก็อย่าลืมกด Subscribe ไว้้ด้วยนะครับ