00:00:04 → 00:00:26 [เพลง]
00:00:56 → 00:00:59 สวัสดีค่ะคุณผู้ฟังคะขอต้อนรับเข้าสู่ราย
00:00:59 → 00:01:01 การโรงหมอทาง Thai PBS port หาสาววัน
00:01:01 → 00:01:04 นี้เรามาคุยกันกับสหรัฐที่จะคุยกันวันนี้
00:01:04 → 00:01:07 นะคะน่าสนใจมากๆเลยมีพฤติกรรมอะไรบ้างที่
00:01:07 → 00:01:11 ทำให้เราหมดเสน่ห์เออน่าสนใจไหมคะเดี๋ยว
00:01:11 → 00:01:13 คุยกับผู้ช่วยศาสตราจารย์ดรจันทร์
00:01:13 → 00:01:14 วิภาดิโรสัมพันธ์ผู้ทรงคุณวุฒิ
00:01:14 → 00:01:18 มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยาผู้
00:01:18 → 00:01:19 เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์และครอบครัวค่ะ
00:01:19 → 00:01:22 สวัสดีค่ะอาจารย์ขาและสวัสดีค่ะสวัสดีค่ะ
00:01:22 → 00:01:24 ท่านผู้ฟังทุกท่านค่ะวันนี้คุยกันถึง
00:01:24 → 00:01:27 เรื่องของเสน่ห์นะคะไม่รู้แหละใครมี
00:01:27 → 00:01:29 เสน่ห์อะไรยังไงบ้างบางทีเรายังไม่รู้ตัว
00:01:29 → 00:01:32 เลยเรามีเสน่ห์ด้วยหรอนะคะอ่ะแต่ก็อยากจะ
00:01:32 → 00:01:35 รู้ว่าถ้าคนจะมีเสน่ห์เนี่ยต้องเป็นแบบ
00:01:36 → 00:01:38 ไหนแล้วแบบไหนที่ทำให้คนที่รู้สึกว่าแบบ
00:01:38 → 00:01:42 โอ้โหไม่น่าเสน่หาและคนนี้นะคะอันนี้คุย
00:01:42 → 00:01:45 เป็นภาพรวมเลยใช่ไหมคะเป็นภาพรวมค่ะเพราะ
00:01:45 → 00:01:47 ว่าเดี๋ยวท่านผู้ฟังอาจจะบอกว่าเอ๊ะที่
00:01:47 → 00:01:50 พูดมาไม่มีสักข้อนึงของฉันเนี่ยนะฮะอัน
00:01:50 → 00:01:53 นี้อันนี้เราโดยรวมที่แบบคนส่วนใหญ่แล้ว
00:01:53 → 00:01:57 กันที่เขาจะอ่าจัดเก็บการสำรวจมานะคะ
00:01:57 → 00:01:59 เดี๋ยวจะตั้งใจฟังเลยเพราะว่าเผื่อจะเอา
00:01:59 → 00:02:02 ไปใช้บริหารเสน่ห์บ้างเออ
00:02:02 → 00:02:04 เอาก่อนที่เราจะไม่พูดว่าพฤติกรรมไหนที่
00:02:04 → 00:02:07 ทำให้หมดเสน่ห์แล้วมาดูคนมีเสน่ห์ก่อนสัก
00:02:07 → 00:02:10 นิดนึงดีกว่านะคะว่าค่ะทุกคนเนี่ยอยากจะ
00:02:10 → 00:02:13 เป็นคนดีอยากจะเป็นคนหน้ารักในสายตาของคน
00:02:13 → 00:02:16 อื่นนะคะดึงดูดคนอื่นได้ด้วยเสน่ห์นะคะ
00:02:16 → 00:02:19 ซึ่งแถวนี้พาชอบมากเลยท่านอาจารย์ของ
00:02:19 → 00:02:21 อาจารย์วิภาเนี่ยท่านให้ไว้นะคะท่าน
00:02:21 → 00:02:23 อาจารย์สุนีย์สินทูเดย์ช้าของเราคงรู้จัก
00:02:23 → 00:02:26 นะคะอาจารย์แม่เนี่ยท่านบอกไปไหนก็ตาม
00:02:26 → 00:02:31 เราต้องมาดต้องตาวาจาจับใจภายในยอดเยี่ยม
00:02:31 → 00:02:35 โอ้โหนะคะฟังดูง่ายสั้นๆนะแต่ก็ไม่ง่ายนะ
00:02:35 → 00:02:40 ที่จะทำนะคะมันเป็นยังไงไม่ออกเลย
00:02:40 → 00:02:43 เนี่ยนะคะคนมองมาปั๊บเนี่ย First
00:02:43 → 00:02:46 impression ของการที่มองเห็นนะคะเราจะ
00:02:46 → 00:02:49 รู้สึกเป็นคนที่ดูให้ความสดใสร่าเริง
00:02:49 → 00:02:53 ยิ้มแย้มแจ่มใสอ่อนน้อมถ่อมตนให้เกียรติ
00:02:53 → 00:02:58 คนอื่นสง่างามวางตัวเหมาะสมแต่งกายถูกกาล
00:02:58 → 00:03:02 เทศะภาษากายดีมารยาทงามโอ้โหเห็นไหมคะ
00:03:02 → 00:03:04 หญิงไทย
00:03:04 → 00:03:08 ผู้ชายก็ได้ค่ะนะฮะลักษณะของการอ่อนน้อม
00:03:08 → 00:03:11 ถ่อมตนอะไรอย่างเงี้ยมาดูวาจาจับใจตามอง
00:03:11 → 00:03:14 เห็นและเอ่ยปากพูดบางคนนี่พอพูดปั๊บเอาไป
00:03:14 → 00:03:17 เก็บเลยอย่างนี้นะคะฟังไม่ได้เลยอะไร
00:03:17 → 00:03:20 อย่างเงี้ยนะวาจาจับใจนี่ก็คืออะไรคนมัก
00:03:20 → 00:03:22 จะคิดว่าต้องพูดเพราะใช่มั้ยไม่ใช่ค่ะ
00:03:22 → 00:03:26 อย่างแรกฝั่งตั้งแต่ต้นจนจบก่อนจะพูดอะไร
00:03:26 → 00:03:29 เนี่ยต้องฟังก่อนเก็บข้อมูลก่อนเป็นฟัง
00:03:29 → 00:03:33 ไมค์เซฟฟังทัศนคติฟังก่อนนะคะฟังตั้งแต่
00:03:33 → 00:03:36 ต้นจนจบก่อนว่าเขาพูดอะไรเขามีทัศนคติ
00:03:36 → 00:03:39 อะไรหรือเขาต้องการอะไรเสร็จแล้วเราจึงจะ
00:03:39 → 00:03:42 บอกว่าพูดในสิ่งที่เขาอยากฟังไม่ใช่สิ่ง
00:03:42 → 00:03:45 ที่เราอยากพูดนึกออกไหมคะมันต่างกันนะ
00:03:45 → 00:03:50 ไพเราะให้เกียรติไม่สอดแทรกไม่ยกตนข่ม
00:03:50 → 00:03:54 ท่านไม่ส่อเสียดไม่แดกดันไม่ประชดไม่ทำ
00:03:54 → 00:03:56 ร้ายใครคำพูดที่ออกมานะคะ
00:03:56 → 00:03:59 และยังบวกกับการพูดที่มีอารมณ์ขันและ
00:03:59 → 00:04:02 ศิลปะในการพูดสุดยอดไหมล่ะแต่ไม่ใช่ทุก
00:04:02 → 00:04:05 อย่างต้องขำไปหมดน้ำไม่ใช่นะต้องการ
00:04:05 → 00:04:07 ละเทศะค่ะ
00:04:07 → 00:04:09 ทีนี้มาดูภายในยอดเยี่ยม
00:04:09 → 00:04:13 ต้องเป็นคนมีน้ำใจค่ะเอื้ออาทรเป็นผู้ให้
00:04:13 → 00:04:17 มากกว่าผู้รับเป็นคนกตัญญูยกย่องคนอื่นมี
00:04:17 → 00:04:21 สติควบคุมอารมณ์ได้ดีให้อภัยและไม่อิจฉา
00:04:21 → 00:04:25 ริษยาใครนี่คือภายในยอดเยี่ยม
00:04:25 → 00:04:28 แต่ถามว่าคนที่มีทั้งหมดทั้ง 3 อย่างนี้
00:04:28 → 00:04:31 ใช่ไหมคะเราบอกเทวดาแล้วล่ะไม่ใช่คนแต่
00:04:31 → 00:04:34 อาจารย์วิภาเจอคนแบบนี้มาแล้วค่ะนะคะ
00:04:34 → 00:04:37 เพราะฉะนั้นจะบอกได้ว่ามันทำได้แล้วก็ฝึก
00:04:37 → 00:04:40 ได้ด้วยเราอาจจะยังขาดข้อใดข้อหนึ่งแล้ว
00:04:40 → 00:04:44 มาฝึกกันนะฮะแต่ทีนี้ปัญหาของพวกเราก็คือ
00:04:44 → 00:04:47 พฤติกรรมที่เราทำไปเนี่ยนะคะบางครั้งมัน
00:04:47 → 00:04:51 ก็ดูน่ารักบางครั้งมันก็ดูดีนะคะแต่บาง
00:04:51 → 00:04:54 ครั้งในบางโอกาสบางพฤติกรรมเราอาจจะทำไป
00:04:54 → 00:04:58 โดยไม่รู้ตัวหรือเผลอตัวนะฮะแต่คนรอบข้าง
00:04:58 → 00:05:02 เขาไม่ชอบอ่ะนะฮะเขาก็จะค่อยๆหายหน้าไป
00:05:02 → 00:05:04 จากเราเลยเรื่อยๆ
00:05:04 → 00:05:08 นะคะก็ลองมาดูกันสิว่ามีประมาณ
00:05:08 → 00:05:12 เกือบ 20 พฤติกรรมนะคะที่ได้จากการสำรวจ
00:05:12 → 00:05:15 นะคะอาจารย์ก่อนไป 20 พฤติกรรมตรงนี้ขอ
00:05:15 → 00:05:18 อนุญาตเลยเพราะว่าพอวันพอฟังมาเมื่อสัก
00:05:18 → 00:05:22 ครู่นี้ค่ะสิ่งที่ทำให้มีเสน่ห์ตามที่
00:05:22 → 00:05:27 อาจารย์อาจารย์แม่ได้บอกมาโอ้โหแบบคำว่า
00:05:27 → 00:05:30 สนิทมันคือคำนี้มันนิยามมีคำนิยามไหม
00:05:30 → 00:05:32 เพราะว่าพอมันมีหลายๆข้อขนาดเมื่อกี้ที่
00:05:32 → 00:05:35 รู้สึกแบบทำไมมันก็เสน่ห์มันก็คือการดึง
00:05:35 → 00:05:39 ดูดผู้คนไงคะให้อยากเข้ามาใกล้เราเอ้ายก
00:05:39 → 00:05:41 ตัวอย่างเช่นคุณสุรีย์พรบอกว่าตัวอาจารย์
00:05:41 → 00:05:44 วิภาเนี่ยเวลาที่มาแล้วคุณสุรีย์พรสบายใจ
00:05:44 → 00:05:48 ทุกครั้งต้องกอดรู้สึกดีๆทุกครั้งเพราะ
00:05:48 → 00:05:51 ว่าอะไรคะหนึ่งในนั้นก็คือจะนิภาเป็นคน
00:05:51 → 00:05:54 คิดบวกใช่ไหมคะบวกกับทุกเรื่องการบวกคือ
00:05:54 → 00:05:57 แรงดึงดูดคนอื่นเข้ามาหาเราเพราะฉะนั้น
00:05:57 → 00:05:59 การที่เป็นคนคิดบวกก็เป็นเสน่ห์อย่าง
00:05:59 → 00:06:01 หนึ่ง
00:06:01 → 00:06:04 ถ้าคุณสุรีย์พรเจอคนที่ลบๆๆคิดอะไรก็ลบ
00:06:04 → 00:06:07 ใครทำอะไรก็ติเข้าไปหมดอะไรเข้าไปหมด
00:06:07 → 00:06:11 คุณศิริพรอยากเข้าใกล้ไหมคะไม่อยากเราก็
00:06:11 → 00:06:13 กระเด้งออกใช่ไหมคะอันนี้ก็คือก็ใช้คำว่า
00:06:13 → 00:06:16 เสน่ห์ได้แบบง่ายคือความความรู้สึกว่า
00:06:16 → 00:06:18 ความว่าเสน่ห์มันจะมีความเสน่ห์หามันต้อง
00:06:18 → 00:06:23 แบบหูยดึงดูดเข้าไปมันไม่ได้แปลว่าคำว่า
00:06:23 → 00:06:27 สิเหร่หาคนละตัวกันนะคะการดึงดูดเนี่ยเอา
00:06:27 → 00:06:29 ง่ายๆบางคนเนี่ยไปตรงไหนก็ตามหน้าตา
00:06:29 → 00:06:32 ธรรมดาไม่ได้มีอะไรที่จะบ่งบอกว่าคนนี้
00:06:32 → 00:06:35 ต้องสวยแบบน้องใบเฟิร์นอะไรเงี้ยแหละแต่
00:06:35 → 00:06:40 เวลาที่พูดคุยกันทีไรดึงดูดผู้คนมาฟังได้
00:06:40 → 00:06:44 ล้อมตัวเขาเลยอย่างเงี้ยมีเสน่ห์นะคะเออ
00:06:44 → 00:06:48 อ๋อนี่นี่ดีนะที่ถามอาจารย์ก่อนเพราะว่า
00:06:48 → 00:06:51 เราจะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาไปเกาหลี
00:06:51 → 00:06:54 เราก็จะรู้ว่าอ๋อเราไม่สวยนะ
00:06:54 → 00:06:56 คะ
00:06:56 → 00:06:59 กลับไปเวลาไปพอถือพาสปอร์ตคนละเล่มเลยนะ
00:06:59 → 00:07:02 ออกมาเนี่ยฉันไม่ใช่ผีน้อยนะฉันด้วยจะไป
00:07:02 → 00:07:04 ศัลยกรรมเฉยๆอะไรอย่างนี้อ๋อแต่คือว่า
00:07:04 → 00:07:06 จริงๆมันไม่ได้แค่ว่าการที่จะต้องสวย
00:07:06 → 00:07:09 อย่างเดียวแค่เราไปคืนหน้าตาปกติธรรมดา
00:07:09 → 00:07:13 ทั่วไปเราก็มีเสน่ห์ได้บางคนอาจจะไม่พามี
00:07:13 → 00:07:16 เพื่อนคนนึงนะคะต้องบอกว่าเป็นผู้หญิงมหา
00:07:16 → 00:07:20 เสน่ห์โอ้โหใช้คำว่ามหาเสน่ห์จนขนาดนี้ 60
00:07:20 → 00:07:23 กว่าแล้วนะเธอยังเป็นคนที่หน้าตาไม่ได้
00:07:23 → 00:07:27 ไม่ได้สวยนะคะแต่ก็ไม่ได้ขี้เหร่นะธรรมดา
00:07:27 → 00:07:30 ๆแต่เป็นคนที่ดึงดูดคนรอบข้างในเข้ามาหา
00:07:30 → 00:07:34 ตัวได้ตลอดเวลาทั้งชายและหญิงอ้อคือไปไหน
00:07:34 → 00:07:36 ก็เป็นคนมหาเสน่ห์นะคะเพื่อนคนนี้อ่ะค่ะ
00:07:36 → 00:07:39 ไปลงนะหน้าทองอะไรมาหรือเปล่าคะไม่รู้สิ
00:07:39 → 00:07:41 ตั้งแต่สาวจนเข้าเป็นอย่างเงี้ยก็ยังเป็น
00:07:41 → 00:07:43 อย่างนี้อยู่โอทั้งๆที่นิสัยส่วนตัวบาง
00:07:43 → 00:07:46 อย่างด้วยความเป็นเพื่อนสนิทอ่ะเนาะก็จะ
00:07:46 → 00:07:49 รู้ว่ายัยคนนี้มันซกมกตั้งแต่เด็กแต่แต่
00:07:49 → 00:07:54 ถ้าภายนอกใช่เออคนดึงดูดคนเข้ามาหาอุ้ย
00:07:54 → 00:07:57 ชายหนุ่มเนี่ยเดินตอนสาวๆนะคะหนุ่มมาจีบ
00:07:57 → 00:07:59 ในหัวมันอะไรไม่แห้งต้องเอาอย่างนี้ดี
00:07:59 → 00:08:01 กว่าทั้งๆที่ไปเทียบกับเพื่อนบางคนที่
00:08:01 → 00:08:03 เค้าสวยกว่าอะไรกว่าอย่างเงี้ยค่ะเออมี
00:08:03 → 00:08:07 กำไรทุกคนมาหาเสน่ห์นะฮะเพราะฉะนั้นตรง
00:08:07 → 00:08:10 เนี้ยมันไม่ได้แปลว่าต้องรูปสวยแต่มันมี
00:08:10 → 00:08:13 อะไรบางอย่างอ่ะเหมือนดาราบางคนน่ะคุณ
00:08:13 → 00:08:16 สุรีย์พรดูในในมีโทรทัศน์ใดอะไรอย่างนี้
00:08:16 → 00:08:20 นะคะบางคนสวยแต่ทำไมไม่มีเสน่ห์เล่น
00:08:20 → 00:08:21 เรื่องเดียวสมมุติได้เป็นนางเอกเรื่อง
00:08:21 → 00:08:25 เดียวจบเลยเงียบหายไปเลยแต่บางคนเนี่ย
00:08:25 → 00:08:27 หน้าตาไม่ได้เพอร์เฟคเลยแต่ดูแล้วมี
00:08:27 → 00:08:30 เสน่ห์ดึงดูดดึงดูดให้คนมากุ๊กกิ๊ก
00:08:30 → 00:08:33 กุ๊กกิ๊กกุ๊กกิ๊กมันจะน่าดูน่าติดตามอยาก
00:08:33 → 00:08:36 ติดตามต่อใช่ค่ะแต่บางคนดูแล้วไม่น่าติด
00:08:36 → 00:08:39 ตามเลยอ่ะอะไรอย่างเงี้ยค่ะเพราะฉะนั้น
00:08:39 → 00:08:41 มันไม่ใช่ที่ความสวยแล้วก็ไม่ใช่ที่ความ
00:08:41 → 00:08:44 เสน่ห์หาไม่อย่างนั้นคนก็จะต้องเป็นลุค
00:08:44 → 00:08:48 ที่แบบเซ็กซี่อะไรอย่างเงี้ยไม่ใช่เลยค่ะ
00:08:48 → 00:08:52 นะฮะแต่ถ้าใช้คำว่า sex appeal เนี่ยอาจ
00:08:52 → 00:08:55 จะใช่เห็นแล้วดึงดูดทางเพศแต่ไม่ได้เป็น
00:08:55 → 00:08:59 เซ็กซี่ต้องมาโป๊ๆเปื่อยๆต้องมาอะไรอย่าง
00:08:59 → 00:09:01 งั้นไม่ใช่ค่ะเพราะบางทีพยายามจะโป๊
00:09:01 → 00:09:04 เปลือยแล้วแต่ว่าไม่สำเร็จแล้วแถมบางที
00:09:04 → 00:09:08 กับทุเรศต่างหากนะคะบางคนปลดไหลนะผู้ชาย
00:09:08 → 00:09:10 เค้าเห็นเค้าบอกกรุณาเอาขึ้นดึงขึ้นเถอะ
00:09:10 → 00:09:13 อะไรอย่างเงี้ยโอ้โห
00:09:13 → 00:09:16 นะคะมาเราลองมาดูกันว่าไอ้เกือบ 20
00:09:16 → 00:09:18 พฤติกรรมเนี่ยอะไรบ้างเนี่ยเดี๋ยวท่านผู้
00:09:18 → 00:09:22 ฟังอาจจะเติมให้อีกไปจนครบ 20 นะคะอย่าง
00:09:22 → 00:09:25 แรกเลยค่ะที่เมื่อกี้ยกตัวอย่างเลยชอบมอง
00:09:25 → 00:09:29 โลกในแง่ร้ายวงเล็บเกินไปนะคะการมองโลกใน
00:09:29 → 00:09:31 แง่ร้ายไว้บ้างเนี่ยมันก็ไม่ใช่เรื่อง
00:09:31 → 00:09:34 เสียหายแต่ถ้าเกินไปคือเห็นใครเขาทำอะไร
00:09:34 → 00:09:37 เขาชมกันทั้งเมืองเราก็ไปตินึกออกไหมคะหา
00:09:37 → 00:09:40 เรื่องติดเข้าอยู่เรื่อยอ่ะนะก็เลยกลาย
00:09:40 → 00:09:44 เป็นคนขี้นินทาขี้เมานักคิดลบตลอดเวลานะ
00:09:44 → 00:09:48 ฮะทำให้เกิดความระแวงนะคะเอ่อคนที่อยู่
00:09:48 → 00:09:51 รอบข้างก็เครียดนะคะก็เลยทำให้คนรอบข้าง
00:09:51 → 00:09:53 ก็ระแวงไปด้วยว่านี่พอฉันหันหลังปั๊บมัน
00:09:54 → 00:09:56 จะนินทาฉันไหมเนี่ยเพราะถ้าใครอยากเข้า
00:09:56 → 00:09:58 ใกล้ไหมคะก็ไม่อยากเข้าเพราะเข้ามาแล้ว
00:09:58 → 00:10:00 เย็นคนนี้กันหาเรื่องติหาเรื่องนินทาฉัน
00:10:00 → 00:10:03 ได้ตลอดเวลาเออทั้งหญิงและชายผู้ชายก็มี
00:10:03 → 00:10:06 นะคะผู้ชายปากจัดแบบนี้จริง
00:10:06 → 00:10:09 อันต่อไปค่ะพวกติดมือถือนะคะจมอยู่ในโลก
00:10:09 → 00:10:12 โซเชียลอย่างเดียวไม่ใส่ใจผู้คนเลยไม่มอง
00:10:12 → 00:10:15 หน้าใครคุยกับใครทักก็กดมือถือหรือเปล่า
00:10:15 → 00:10:18 ก็พูดไปอะไรอย่างเงี้ยลืมคนรอบข้างเพราะ
00:10:18 → 00:10:21 ฉะนั้นคนรอบข้างก็เซ็งแล้วก็จะเธออยู่ใน
00:10:21 → 00:10:24 โลกของเธอแล้วกันฉันก็ไปของฉันและนะคะคน
00:10:24 → 00:10:26 ก็เฟสหายหมดอันนี้มันเป็นอีกข้อนึงที่
00:10:27 → 00:10:29 เข้ากับยุคนี้มากแต่ว่าถ้าอย่างบางที
00:10:29 → 00:10:31 อย่างของดีเวลาไปคุยกับเพื่อนหรืออะไร
00:10:31 → 00:10:33 อย่างเงี้ยใช่มั้ยคะนั่งกินแล้วเราต้อง
00:10:33 → 00:10:35 ส่งงานอย่างเงี้ยเราก็จะบอกว่าเออที่ไม่
00:10:35 → 00:10:37 ได้มองหน้าไม่ใช่อะไรนะคือต้องส่งงานตอน
00:10:37 → 00:10:39 นี้จริงๆเพราะฉันคุยไม่ได้ไม่ต้องเดี๋ยว
00:10:39 → 00:10:41 อืมส่งงานเสร็จเดี๋ยวคุยเหมือนเดิมอะไร
00:10:41 → 00:10:45 อย่างเงี้ยก็ต้องบอกกันค่ะนะฮะอันต่อไป
00:10:45 → 00:10:48 ค่ะพวกที่พึ่งพาตัวเองไม่ได้หนูทำนั่นไม่
00:10:48 → 00:10:51 ได้พี่ช่วยหน่อยนะหรือเหนื่อยเกินไปเบื่อ
00:10:51 → 00:10:54 เกินไปไอ้พวกนี้มุ้งมิ้งอุ้งอิ้งเนี่ยนะ
00:10:54 → 00:10:57 คะมันอาจจะดีในช่วงแรกโดยเฉพาะผู้หญิงที่
00:10:57 → 00:11:00 อ้อนผู้ชายบางคนนะคะเพราะผู้ชายเนี่ยโดย
00:11:00 → 00:11:03 ธรรมชาติเนี่ยเขาเขาต้องการความเป็นผู้นำ
00:11:03 → 00:11:06 เพราะฉะนั้นพอเมื่อผู้หญิงมาออดอ้อนขอให้
00:11:06 → 00:11:10 ช่วยเหลือบางทีเขาชอบแต่สักระยะหนึ่งนะคะ
00:11:10 → 00:11:14 ไปๆแล้วมันจะเบื่อไปๆแล้วมันจะรำคาญไปๆ
00:11:14 → 00:11:17 แล้วมันจะเซ็งโอ้โหเพราะฉะนั้นเนี่ยที่
00:11:17 → 00:11:20 เอ่อช่วยตัวเองไม่ได้ต้องพึ่งพาคนอื่น
00:11:20 → 00:11:22 ตลอดด้วยบางทีคนอื่นเขาก็รำคาญค่ะนะอัน
00:11:22 → 00:11:25 นี้ก็เป็นตัวที่ทำให้เราไร้เสน่ห์หรือผู้
00:11:25 → 00:11:27 หญิงบางคนในคิดว่าทำตัวมุ้งมิ้งแบบนี้มัน
00:11:27 → 00:11:31 เคยได้ผลก็จะทำบ่อยๆซึ่งหารู้ไม่ว่ามัน
00:11:31 → 00:11:34 เริ่มน่าเบื่อและเอาล่ะเป็นเหมือนเดิมดี
00:11:34 → 00:11:37 กว่านะฮะมุ้งมิ้งข้อนี้ไม่สำเร็จอันต่อไป
00:11:37 → 00:11:41 นะคะพวกที่หยาบคายก้าวร้าวนะคะพูดทีไรชอบ
00:11:41 → 00:11:44 ทำให้คนอื่นเจ็บช้ำน้ำใจ
00:11:44 → 00:11:46 ใช้ถ้อยคำน่ารังเกียจทำร้ายจิตใจผู้คน
00:11:46 → 00:11:48 ตลอดเวลาเนี่ยไม่ว่าจะเป็นหญิงหรือชายนะ
00:11:48 → 00:11:50 ฮะไอ้พวกโวยวายกล่าวเล่าด่าเขาฉันเสียเธอ
00:11:50 → 00:11:52 เสียอะไรอย่างเงี้ยไม่มีใครอยากเข้าใกล้
00:11:52 → 00:11:53 หรอกค่ะ
00:11:53 → 00:11:57 กลุ่มต่อไปคือพวกหลงตัวเองค่ะอาจารย์วิภา
00:11:57 → 00:12:00 ขอใช้คำว่ามั่นใจเกินเหตุและมั่นใจในตัว
00:12:00 → 00:12:02 เองเกินเหตุอันนี้มันเป็นการทำร้ายตัวเอง
00:12:02 → 00:12:05 นะคะเขาไม่รู้หรอกว่าการที่เขามั่นใจใน
00:12:05 → 00:12:08 ตัวเองมากๆเนี่ยเขาจะหยุดพัฒนาตัวเองค่ะ
00:12:08 → 00:12:11 เพราะคิดว่าตัวเองดีแล้ววิเศษแล้วแล้วก็
00:12:11 → 00:12:14 หันไปคอยจับผิดคนอื่นนะฮะแล้วคนอื่นก็เลย
00:12:14 → 00:12:18 เบื่อแล้วก็รำคาญกับคนอย่างนี้นะคะอันต่อ
00:12:18 → 00:12:20 ไปค่ะพวกที่ Say Yes ตลอดเวลา
00:12:20 → 00:12:23 Say Yes ซึ่งไม่ได้แปลว่าช่วยเหลือคน
00:12:23 → 00:12:27 อื่นนะคะแต่ต้องเข้าข่ายรับปากพล่อยๆนะฮะ
00:12:27 → 00:12:30 รับปากค่อยๆเหมือนโกหกซ้ำซากอ่ะค่ะนึกออก
00:12:30 → 00:12:33 มั้ยคะอ่ะอย่าทำงี้นะจ๊ะๆๆไปทำแล้วก็ทำ
00:12:33 → 00:12:37 อีกทำอีกงั้นอ่าแล้วทำไปงั้นน่ะนะคะผิด
00:12:37 → 00:12:41 กับคำพูดนะคะหรือทำไม่ได้แล้วก็เป็นการ
00:12:41 → 00:12:43 discredit ตัวเองด้วยนะคะทำให้ความเชื่อ
00:12:43 → 00:12:47 ถือลดลงแล้วก็มานั่งทำให้ตัวเองมานั่ง
00:12:47 → 00:12:48 ทุกข์ทางใจคนอื่นก็ไม่มีความเชื่อถือ
00:12:48 → 00:12:51 เพราะไม่เคยอีคนนี้รับปากอย่าไปเชื่อมัน
00:12:51 → 00:12:56 จะบอกอย่างนี้เลยใช่ไหมคะอันต่อไปค่ะชอบ
00:12:56 → 00:12:59 แข่งขันเสมอหรือแข่งขันตลอดเวลาโอ้ยไม่
00:12:59 → 00:12:59 เหนื่อย
00:12:59 → 00:13:02 ทั้งๆที่จริงๆแล้วการแข่งขันเนี่ยมันเป็น
00:13:02 → 00:13:05 การพัฒนาคนนะคะทำให้คนเนี่ยพัฒนาตัวเอง
00:13:05 → 00:13:08 มากขึ้นแต่พวกนี้ค่ะมันจะบวกกับความใจแคบ
00:13:08 → 00:13:11 เห็นใครดีกว่าไม่ได้อิจฉาริษยาเข้าไปหมด
00:13:11 → 00:13:14 อยากจะเอาชนะคนไปซะทุกเรื่องแม้แต่เรื่อง
00:13:14 → 00:13:17 เล็กๆน้อยๆนะฮะเพราะฉะนั้นคนรอบข้างเนี่ย
00:13:17 → 00:13:19 ก็ไม่รู้ว่าเอ้ยถูกแข่งขันตลอดเวลามัน
00:13:19 → 00:13:22 เหนื่อยนะเออมันเบื่อนะมันเพลียนะฉันไป
00:13:22 → 00:13:25 ห่างๆอย่างคนนี้ดีกว่าเห็นมั้ยคะก็ไม่มี
00:13:25 → 00:13:27 ใครอยากจะคบไม่มีใครทุกคนก็จะเฟสหนีออกไป
00:13:27 → 00:13:30 ให้แกเก่งคนเดียวแข่งอยู่คนเดียวน่ะงงๆ
00:13:30 → 00:13:33 เลยเออนะคะอันต่อไปคือพวกที่บ้าอำนาจค่ะ
00:13:33 → 00:13:37 ชอบวงการชีวิตคนอื่นนะคะถ้าเป็นผู้หญิงนะ
00:13:37 → 00:13:40 คะผู้ชายเขาก็เบื่อเพราะผู้ชายเนี่ยเขามี
00:13:40 → 00:13:43 แม่แค่คนเดียวเขาก็จะแย่แล้วนะมาทำตัว
00:13:43 → 00:13:46 เป็นแม่ที่ 2 เขาเนี่ยเขาจะคิดว่าคนอื่น
00:13:46 → 00:13:49 ก็จะมองว่าเราเครียดหรือดูจริงจังเกินไป
00:13:49 → 00:13:53 นะไม่น่าคบนะอะไรก็สติ๊กไปหมดเลยนะฮะคน
00:13:53 → 00:13:57 อื่นน่ะที่อยู่รอบข้างก็จะอึดอัดนะคะบาง
00:13:57 → 00:13:59 ทีก็เกิดความขัดแย้งเพราะมันคิดต่างกัน
00:13:59 → 00:14:01 ใช่ไหมคะไม่อยากคบด้วยเพราะไปไหนแกก็จะ
00:14:01 → 00:14:04 เป็นเหมือนซูสีไทเฮาบงการใครๆอยู่เรื่อย
00:14:04 → 00:14:06 ผู้ชายก็เหมือนกันก็จะเป็นผู้ชายที่บ้า
00:14:06 → 00:14:10 อำนาจเออใช่ไหมคะห้ามแฟนนุ่งสั้นห้ามนั่น
00:14:10 → 00:14:13 ห้ามนี่ห้ามโน่นอะไรอย่างเงี้ยก็ไม่มีใคร
00:14:13 → 00:14:15 ชอบหรอกค่ะยิ่งในยุคนี้เนี่ยมันต้องเป็น
00:14:15 → 00:14:18 ทุกข์ยุคที่ให้ให้ความคิดเค้าอิสระหรือ
00:14:18 → 00:14:22 อะไรต่างๆเหล่านี้นะคะอันต่อไปก็คือเป็น
00:14:22 → 00:14:25 พวกที่มองแต่รูปลักษณ์ภายนอกค่ะหรือมองคน
00:14:25 → 00:14:28 แค่เปลือกนอกนะคะชอบดูถูกคนอื่นอันนี้ก็
00:14:28 → 00:14:32 เป็นคนที่ไร้เสน่ห์ไม่ให้เกียรติไงคะนะคะ
00:14:32 → 00:14:35 อันต่อไปก็คือพวกที่ยืมเงินค่ะแบบไม่มีคำ
00:14:35 → 00:14:39 ว่าเกรงใจเลยนะฮะไม่มีความรับผิดชอบยืม
00:14:39 → 00:14:42 แล้วลืมคืนบ่อยๆนะฮะพวกนี้ก็จะหมดความน่า
00:14:42 → 00:14:45 เชื่อถือและเลือกคบเห็นมั้ยคะเพราะฉะนั้น
00:14:45 → 00:14:47 เพื่อนที่เจอหน้าแล้วยืมเงินจนหน้ายืม
00:14:47 → 00:14:51 เงินเนี่ยไม่มีใครอยากคบหรอกอืมนะคะอัน
00:14:51 → 00:14:54 ต่อไปค่ะขี้เหวี่ยงขี้วีนนะคะไม่ค่อยจะ
00:14:54 → 00:14:57 ปลอดปล่อยผ่านสักเรื่องนึงนะคะจะดูเป็นคน
00:14:57 → 00:15:00 เจ้าอารมณ์ก็น่าเบื่อแหละเสียบุคลิกภาพ
00:15:00 → 00:15:04 และบางครั้งขายหน้าด้วยนะครับใครไปด้วย
00:15:04 → 00:15:06 แล้วมาเจอคนอย่างนี้ไม่รู้นะว่าเป็น
00:15:06 → 00:15:09 เพื่อนฉันที่ไหนเขาอันนี้โดนนิสัยใช่ไหม
00:15:09 → 00:15:11 คะไม่ใช่ฮอร์โมนใช่ค่ะแล้วก็จะทำให้เป็น
00:15:12 → 00:15:14 คนไร้เสน่ห์โดยไม่รู้ตัวทั้งๆที่แต่งตัว
00:15:14 → 00:15:18 สวยแต่งตัว Perfect เลิศเลอแต่พอมีอารมณ์
00:15:18 → 00:15:21 ปั๊บวีนแตกอย่างเงี้ยนะฮะเพื่อนหายหมดเลย
00:15:21 → 00:15:25 ค่ะนะคะอันต่อไปพูดมากค่ะพูดน้ำไหลไฟดับ
00:15:25 → 00:15:29 เลยขี้โม้อวดไม่ฟังใครนะคะอันนี้มีทั้ง
00:15:29 → 00:15:31 ผู้หญิงผู้ชายนะอาจจะพูดเสียงดังหัวเราะ
00:15:31 → 00:15:35 เสียงดังๆอะไรอย่างเงี้ยนะคะค่ะผู้ชายขี้
00:15:35 → 00:15:37 โม้เลยเจอเยอะนะโอ๊ยคนนั้นสนิทกับผมโอ๊ย
00:15:37 → 00:15:40 คนนี้ผมพูดคำเดียวเนี่ยอะไรอย่างเงี้ย
00:15:40 → 00:15:44 มันก็คนหมั่นไส้เอานะคะอันต่อไปคือพวกที่
00:15:44 → 00:15:47 ชอบพูดแทรกหรือชอบพูดขัดจังหวะขัดคอคนนะ
00:15:47 → 00:15:51 คะไปเบรคคนเขาอยู่เรื่อยนะคะไม่เอาใจใส่
00:15:51 → 00:15:53 ความรู้สึกหรืออารมณ์ของคนอื่นเช่นเขา
00:15:53 → 00:15:56 กำลังเศร้าเงี้ยก็ไปแทรกเขาหรือไปเอา
00:15:56 → 00:15:59 เลือกมองเป็นเรื่องตลกซึ่งมันไม่ใช่พวก
00:16:00 → 00:16:03 นี้นะคะทำให้มันหมดเสน่ห์ไปทันทีเลยอัน
00:16:03 → 00:16:07 ต่อไปคือจู้จี้ขี้บ่นจุกจิกนะคะกลุ่มนี้
00:16:07 → 00:16:10 นะคะทั้งหญิงและชายยิ่งผู้ชายยิ่งอายุมาก
00:16:10 → 00:16:13 แล้วเป็นแบบนี้นะคะยิ่งแย่เลยค่ะนะฮะอัน
00:16:13 → 00:16:17 ต่อไปค่ะเอาแต่ใจตัวเองเรื่องมากเห็นตัว
00:16:17 → 00:16:19 เองสำคัญที่สุดคือตัวเอาตัวเองเป็นจุด
00:16:19 → 00:16:22 ศูนย์รวมทุกคนต้องมาปรับเพื่อชั้นเพื่อ
00:16:22 → 00:16:26 ให้ตามใจฉันเอาใจฉันอย่างเงี้ยมันไม่ได้
00:16:26 → 00:16:30 นะคะขี้หึงตะพึดตะพือค่ะหึงไม่ลืมหูลืมตา
00:16:30 → 00:16:33 นะหึงแบบไร้เหตุผลจริงๆแล้วการที่เป็นคน
00:16:33 → 00:16:36 รักกันแล้วหึงเนี่ยอีกฝ่ายนึงเขาก็ครึ้ม
00:16:36 → 00:16:38 ดีนะเขาก็มีความรู้สึกว่าหวงเค้านะอะไร
00:16:38 → 00:16:41 พวกนั้นแต่ถ้ามันมากเกินไปอ่ะค่ะมันมาก
00:16:41 → 00:16:43 เกินไปมันก็ดูจะกลายเป็นไร้เสน่ห์ไปเลย
00:16:43 → 00:16:47 เพราะว่ามันน่าเบื่อมันไร้เหตุผลมันอะไร
00:16:47 → 00:16:51 ต่ออะไรอย่างเงี้ยนะคะแล้วก็อันต่อไปค่ะ
00:16:51 → 00:16:54 พวกที่ตามติดตัวติดกันเป็นแตงเมย์เลยไป
00:16:54 → 00:16:56 ไหนฉันต้องไปด้วยเราจะไม่แยกจากกันเราจะ
00:16:56 → 00:16:59 เป็นปาท่องโก๋ที่ไม่มีวันฉีกขาออกจากกัน
00:16:59 → 00:17:01 อะไรอย่างเงี้ยนะคะมันก็น่าเบื่อเกินไป
00:17:01 → 00:17:05 เพราะว่าคนแบบเนี้ยคนเรามันต้องให้ความ
00:17:05 → 00:17:08 เป็นอิสระของกันและกันบ้างมันต้องมีมุม
00:17:08 → 00:17:10 ส่วนตัวมีพื้นที่ส่วนตัวของกันและกันบ้าง
00:17:10 → 00:17:13 ไม่ว่าจะเป็นแฟนกันเป็นเพื่อนสนิทหรือจะ
00:17:13 → 00:17:16 เป็นอะไรก็ตามนะฮะกลุ่มจากการสำรวจกลุ่ม
00:17:16 → 00:17:19 สุดท้ายคือพวกบ้าช้อปปิ้งค่ะบ้าแบรนด์เนม
00:17:19 → 00:17:23 ค่ะนะพวกเนี้ยบางทีถ้าตัวเองเป็นพวกแบบ
00:17:23 → 00:17:27 นี้เขาก็อาจจะตามได้สักระยะนึงแต่ถ้ามัน
00:17:27 → 00:17:30 มากเกินไปเนี่ยมันก็ดูไร้เสน่ห์ดูกลาย
00:17:30 → 00:17:33 เป็นทาสอ่ะค่ะอืมเป็นทาสของอะไรบางอย่าง
00:17:33 → 00:17:37 อะไรอย่างเงี้ยถ้ามันมากเกินไปเป็นข้อที่
00:17:37 → 00:17:40 พลิกความคาดหมายว่าไม่มีไม่คิดว่าจะมีทำ
00:17:40 → 00:17:43 ให้หมดเสน่ห์ไงนะคะเพราะว่าของแบรนด์เนม
00:17:43 → 00:17:46 มันก็จะแพงใช่ไหมคะซึ่งบางอย่างมันก็ไม่
00:17:46 → 00:17:49 ได้คุ้มค่าหรือมันเป็นการที่มองแล้วใช้
00:17:49 → 00:17:53 เงินไม่ไม่ชอบด้วยเหตุผลคือถ้าคนที่เขามี
00:17:53 → 00:17:56 แล้วเขาใช้เนี่ยเขาจะใช้อะไรก็ได้แต่ถ้า
00:17:56 → 00:17:59 เราไม่มีแล้วเราอยากจะใช้แบบนี้มันไม่
00:17:59 → 00:18:03 สมฐานะมันไม่อะไรต่างๆมันเป็นการทำให้คน
00:18:03 → 00:18:06 รอบข้างเขามองว่าเราใช้เงินไม่เป็นมันก็
00:18:06 → 00:18:09 ทำให้ไร้เสน่ห์อันนี้ไม่พูดถึงคนที่เขามี
00:18:09 → 00:18:11 ฐานะที่เขาจะทำได้นะคะอันนั้นเป็นเรื่อง
00:18:11 → 00:18:12 ของเขา
00:18:12 → 00:18:16 ค่ะโอ้โหเยอะท่านผู้ฟังอาจจะมีอะไรอีกที่
00:18:16 → 00:18:19 เราเคยเห็นแล้วเราไม่ชอบใจนะคะแต่นี่ก็
00:18:19 → 00:18:23 เป็นผลสำรวจจากที่เขาสำรวจโดยส่วนรวมแต่
00:18:23 → 00:18:27 ว่าไม่ได้หมายความว่าคือคือต่อให้มีมีข้อ
00:18:27 → 00:18:30 2 ข้อ 3 ข้ออะไรอย่างนี้มันจะทำให้การมี
00:18:30 → 00:18:32 เสน่ห์ในบางมุมของเราเนี่ยมันหายไปไม่ใช่
00:18:32 → 00:18:35 นะคือแต่ละคนก็มองความมีเสน่ห์ของแต่ละคน
00:18:35 → 00:18:39 แตกต่างกันบางคนอาจจะรู้สึกว่าอุ๊ยคนนี้
00:18:39 → 00:18:42 แบบเฮ้ยโอเคจังเลยอะไรอย่างเงี้ยส่วนอีก
00:18:42 → 00:18:44 คนนึงอาจจะแบบก็เฉยๆนะ
00:18:44 → 00:18:47 คือที่ให้ไว้เนี่ยเผื่อท่านผู้ฟังไม่รู้
00:18:47 → 00:18:50 ตัวและเรามีอย่างนี้เราลองปรับไหมนะคะ
00:18:50 → 00:18:52 เพราะคนข้างตัวเราบางทีเขาก็อาจจะไม่กล้า
00:18:52 → 00:18:55 บอกก็ได้อะไรอย่างนี้ค่ะแต่บางคนก็ทนได้
00:18:55 → 00:18:59 นะในในข้อเหล่านี้เขาทนของเขาได้ก็ไม่
00:18:59 → 00:19:03 เป็นไรแต่เราพูดถึงทั่วๆไปทั่วๆไปจากการ
00:19:03 → 00:19:05 สำรวจคนที่เขาบอกว่าเขาไม่โอเคกับนิสัย
00:19:05 → 00:19:09 แบบนี้นะคะอย่างก็ห่างอย่างเงี้ยค่ะสร้าง
00:19:09 → 00:19:13 เสน่ห์ก็ง่ายกว่าที่จะแบบว่าทำลายเสน่ห์
00:19:13 → 00:19:16 ตัวเองใช่ทุกคนจะมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง
00:19:16 → 00:19:20 นะคะทุกคนมีนะไม่ใช่แบบว่าฉันจะต้องไป
00:19:20 → 00:19:22 เหมือนที่สุรีพรบอกว่าอ่าแล้วฉันจะไป
00:19:22 → 00:19:26 เกาหลีแล้วไปเสริมความสวยให้มันดูมีพอสวย
00:19:26 → 00:19:29 ปุ๊บมันก็จะได้ดูแบบดีอะไรอย่างเงี้ยไม่
00:19:29 → 00:19:31 ใช่นะคะเสน่ห์ก็อยู่ที่พฤติกรรมใช่ไหมคะ
00:19:31 → 00:19:34 อาจารย์คำพูด
00:19:34 → 00:19:38 คือบางคนเนี่ยเราดูตัวแบบดาราเนี่ยค่ะบาง
00:19:38 → 00:19:41 คนเนี่ยสวยแต่ต้องตั้งไว้เฉยๆคือถ่ายรูป
00:19:41 → 00:19:44 ถ่ายอะไรเงี้ยสวยพอเริ่มพูดจาเนี่ยไม่น่า
00:19:44 → 00:19:48 รักและอืมแจกมั้ยคะแต่บางคนเนี่ยไม่สวย
00:19:48 → 00:19:51 อ่ะแต่เวลาเขาพูดจากิริยาท่าทางเข้ามัน
00:19:51 → 00:19:55 น่ามองหน้าติดตามน่าดูอ่ะเห็นไหมคะนี่ก็
00:19:55 → 00:19:58 คือบ้านต้องตาวาจาจับใจภายในยอดเยี่ยม
00:19:58 → 00:20:01 อย่างที่บอกอ่ะค่ะเหมือนเป็นการวางตัวคือ
00:20:01 → 00:20:04 อาจจะเป็นเพราะว่าอันนี้ด้วยไหมคะว่าเรา
00:20:04 → 00:20:07 สังคมไทยเรายังชอบอะไรแบบนี้ใช่ค่ะก็เลย
00:20:07 → 00:20:09 ทำให้รู้สึกว่าแต่ละสังคมมันไม่เหมือนกัน
00:20:09 → 00:20:13 ไงคะแต่นี่เราสำรวจในสังคมของเราต้องใช้
00:20:13 → 00:20:17 คำนี้นะคะเราก็ยังชอบคนที่มีท่าทีที่สง่า
00:20:17 → 00:20:19 งามแต่ในขณะเดียวกันให้เกียรติคนอื่นเห็น
00:20:19 → 00:20:22 ไหมคะมีการอ่อนน้อมถ่อมตัวอะไรอย่างเงี้ย
00:20:22 → 00:20:24 ไม่ใช่กลางใส่ในไทยเขาอะไรอย่างเงี้ยค่ะ
00:20:24 → 00:20:27 เพราะว่าอย่างถ้าเกิดเราไปใช้ชีวิตอยู่
00:20:27 → 00:20:28 ตามประเทศหรืออะไรอย่างเงี้ยเค้าก็จะเป็น
00:20:28 → 00:20:31 อีกแบบนึงวัฒนธรรมนึงที่เค้าจะรู้สึกว่า
00:20:31 → 00:20:35 เอ่อการไม่หน่อมแน้มการไม่อะไรหรือหรือ
00:20:35 → 00:20:37 การที่แบบเราได้แสดงออกมีความมั่นใจนะจะ
00:20:37 → 00:20:40 เป็นเสน่ห์ค่ะแต่พอๆมาบ้านเรามั่นใจปึ๊บ
00:20:40 → 00:20:43 อาจจะดูมากเกินไป
00:20:43 → 00:20:49 ซึ่งผู้ใหญ่มองเด็กว่าอ่าพอๆคุยกับ
00:20:49 → 00:20:50 อาจารย์แล้วก็เข้าใจแล้วว่ามันไม่ได้เป็น
00:20:50 → 00:20:54 ในเชิงที่จะต้องแบบเป็นการดึงดูดเสน่หา
00:20:54 → 00:20:56 แบบไม่ใช่แบบว่ามันเป็นสนิมที่แบบว่าทำ
00:20:56 → 00:21:00 ให้รู้สึกว่าเออหน้าคบหาหน้าพูดคุยอ่า
00:21:00 → 00:21:03 หน้าเข้าใกล้หรืออะไรแบบนี้มากกว่าใช่ไหม
00:21:03 → 00:21:08 คะอืมก็ไปใช้ให้แบบว่าอย่าไปแบบอารมณ์แบบ
00:21:08 → 00:21:12 ฟิลลิ่งสลับกันแต่ทีนี้อาจารย์คะมันการ
00:21:12 → 00:21:14 ที่จะทำให้ตัวเองมีเสน่ห์เนี่ยแน่นอนว่า
00:21:14 → 00:21:17 บางคนอาจจะแบบอุ๊ยก็ฉันเป็นของฉันอย่าง
00:21:17 → 00:21:20 เงี้ยฉันจะไปทำยังไงอยากให้มันมีเสน่ห์
00:21:20 → 00:21:23 อ่ะเออมันอยู่ที่ตัวเราก่อนต้องยอมรับ
00:21:23 → 00:21:26 ก่อนนะฮะว่าเรามีข้อดีข้อด้อยอะไรที่ง่าย
00:21:26 → 00:21:30 ที่สุดเลยก็คือต้องมีกระจกค่ะคำว่ากระจก
00:21:30 → 00:21:32 เนี่ยจะวิภาหมายถึงคนที่เราจะสะท้อนมาให้
00:21:32 → 00:21:35 เราเห็นก็คือกัลยาณมิตรทั้งหลายคนที่เขา
00:21:35 → 00:21:38 หวังดีกับเรานะคะให้เขาลองบอกเราว่าเรามี
00:21:38 → 00:21:42 ข้อด้อยอะไรที่ควรจะแก้ไขปรับปรุงแล้วฟัง
00:21:42 → 00:21:45 เขาอย่างยุติธรรมนะคะแต่ไม่ต้องไปฟังคำ
00:21:45 → 00:21:48 นินทาบูลลี่อะไรนะคะเพราะไอ้การบูลลี่
00:21:48 → 00:21:51 เนี่ยมันเป็นการพูดทางลบทั้งสิ้นนะคะแต่
00:21:51 → 00:21:54 เราฟังคนที่เขามีความหวังดีกับเรานะฮะ
00:21:54 → 00:21:57 แล้วบอกช่วยบอกแล้วต้องทำใจที่จะรับด้วย
00:21:57 → 00:21:59 นะคือบางคนบางคนอื่นเขาบอกแล้วก็จะรับไม่
00:21:59 → 00:22:02 ได้และก็เอามั้ยคะเพราะฉะนั้นอันแรกคือ
00:22:02 → 00:22:05 เปิดใจให้ได้ก่อนเปิดใจที่จะรับฟังก่อน
00:22:05 → 00:22:06 ว่าเราควรจะปรับปรุงอะไร
00:22:06 → 00:22:09 ถ้าฟังหลายๆปากแล้วเขาพูดตรงกันเนี่ยก็
00:22:09 → 00:22:12 น่าจะเชื่อได้ว่ามันเออระบบพร่องตรงนี้
00:22:12 → 00:22:16 จริงๆนะคะเราก็เริ่มด้วยการพัฒนาตัวเองหา
00:22:16 → 00:22:18 สิ่งที่มันดีกว่าเช่น
00:22:18 → 00:22:21 สมมติว่าเพื่อนเนี่ยพูดตรงกันพี่น้องพูด
00:22:21 → 00:22:22 ตรงกันว่าเราเนี่ย
00:22:22 → 00:22:25 แต่งตัวไม่เป็นสมมุตินะคะเลือกเสื้อผ้า
00:22:25 → 00:22:28 เลือกอะไรที่ไม่เหมาะกับตัวเองก็เราชอบ
00:22:28 → 00:22:30 ของเราอย่างนี้เราก็จะแต่งอย่างนี้แต่เรา
00:22:30 → 00:22:33 ฟังมากเข้ามากเข้ามากเข้าเนี่ยมันก็อาจจะ
00:22:33 → 00:22:35 ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นนะ
00:22:35 → 00:22:39 ยกตัวอย่างนะคะสมมุติว่าเขาจะเลือกคนที่
00:22:39 → 00:22:40 เป็นหัวหน้างานเนี่ย
00:22:40 → 00:22:43 อะไรเก่งเท่ากันหมดเลยเนี่ยเขาก็จะมาดู
00:22:43 → 00:22:47 ที่บุคลิกภาพแล้วนะฮะคนนึงเขาแต่งตัวแบบ
00:22:47 → 00:22:50 ทะมัดทะแมงดูเป็น Working Woman ไปไหน
00:22:50 → 00:22:53 แล้วเจ้านายไม่อายไปไหนแล้วเป็นผู้นำ
00:22:53 → 00:22:56 บริษัทได้กับเราซึ่งยังแต่งตัวเป็นใยคุณ
00:22:56 → 00:22:59 ยายหรือว่ามันไม่ได้มันไม่ได้เป็นผู้นำ
00:22:59 → 00:23:02 อะไรอย่างนี้นะคะเขาก็ต้องเลือกอีกคนนึง
00:23:02 → 00:23:05 ถูกไหมคะเพราะฉะนั้นตรงนี้ถ้าเรายอมรับ
00:23:05 → 00:23:08 สิ่งที่มันเกิดขึ้นแล้วเราอย่าเอาความชอบ
00:23:08 → 00:23:11 และเราบอกก็ฉันชอบของฉันอย่างนี้ใส่สบายๆ
00:23:11 → 00:23:15 ชอบได้แต่มันเหมาะไหมกับหน้าที่การงานเรา
00:23:15 → 00:23:17 ก็มาเริ่มเปิดใจเสร็จแล้วเราก็เริ่มพัฒนา
00:23:17 → 00:23:20 ตัวเองเรียนรู้ว่าเราควรจะแต่งตัวอย่างไร
00:23:20 → 00:23:24 พออาจารย์พูดแบบนี้เห็นภาพชัดในแวดวงการ
00:23:24 → 00:23:27 ทำงานของตัวเองไงคะเพราะว่าเอ่อในแวดวง
00:23:27 → 00:23:29 ที่ทำงานอยู่ตอนนี้เนี่ยเขาก็จะมองเรื่อง
00:23:29 → 00:23:33 ของบุคลิกภาพเป็นสำคัญค่ะหรือเอ่อเรื่อง
00:23:33 → 00:23:36 ของการแบบวางตัวการคุยคือมันองค์รวมหมด
00:23:36 → 00:23:38 เหมือนกันนะคะแล้วก็ทำให้แบบ
00:23:38 → 00:23:42 คนๆนี้เหมาะที่จะเป็นผู้แทนขององค์กรหรือ
00:23:42 → 00:23:44 หน่วยงานหรือเปล่าเฮ้ยเค้ามองกันอย่างนี้
00:23:44 → 00:23:48 จริงๆนะแต่บางที่อาจจำไม่ได้แบบเอ่อขนาด
00:23:48 → 00:23:51 นั้นแต่มันมีอยู่แล้วแหละมันปฏิเสธไม่ได้
00:23:51 → 00:23:53 เลยเรื่องพวกเนี้ยเป็นพื้นฐานมากๆเลยจริง
00:23:53 → 00:23:56 ๆอ่ะค่ะอาจารย์ค่ะเออก็ตัวจะไม่เองเนี่ย
00:23:56 → 00:24:00 ได้ได้ตัวอย่างจากตรงนี้เลยนะคะว่าตอนที่
00:24:00 → 00:24:03 ย้ายจากคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมา
00:24:03 → 00:24:05 อยู่ที่มหาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา
00:24:05 → 00:24:08 ซึ่งตอนนั้นเป็นวิทยาลัยครูน่ะนะคะก็มี
00:24:08 → 00:24:13 ใครรู้จักเราแต่ปรากฏว่าพ.ศหนังสือไปสัก
00:24:13 → 00:24:16 ระยะหนึ่งก็มีอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง
00:24:16 → 00:24:17 ซึ่งเป็นผู้บริหาร
00:24:17 → 00:24:19 ท่านก็ดึงจันทร์วิภาขึ้นมาเป็นผู้อำนวย
00:24:19 → 00:24:22 การสำนักกิจการนักศึกษาโดยที่ท่านก็ไม่
00:24:22 → 00:24:24 รู้จักเรามาก่อนว่าเราเคยทำอะไรเกี่ยวกับ
00:24:24 → 00:24:28 การรักษาไหมแต่ท่านบอกว่าสิ่งที่กระทบตา
00:24:28 → 00:24:30 ท่านเนี่ยแล้วคิดว่าเราต้องมาทำตรงนี้ได้
00:24:30 → 00:24:34 เพราะเห็นการแต่งกายและบุคลิกว่าเราแต่ง
00:24:34 → 00:24:38 กายเหมาะสมที่จะเป็นตัวแบบของเด็กได้ดี
00:24:38 → 00:24:42 นะคะอะไรอย่างนี้เป็นต้นนะคะเพราะฉะนั้น
00:24:42 → 00:24:44 ตรงนี้สะท้อนให้เห็นอันนี้จากประสบการณ์
00:24:44 → 00:24:47 ตรงของตัวเองนะคะเพราะเราก็ไม่รู้ว่าเอ๊ะ
00:24:47 → 00:24:50 ทำไมอยู่ๆท่านก็ดึงเราขึ้นมาแล้วก็พยายาม
00:24:50 → 00:24:53 จะดันให้เราขึ้นมาดูแลเด็กๆตรงนี้มาทำ
00:24:53 → 00:24:56 หน้าที่ตรงเนี้ยเพราะอะไรเพราะยังไม่รู้
00:24:56 → 00:24:59 จักความรู้ความสามารถกันมาก่อนแต่ท่านบอก
00:24:59 → 00:25:01 ว่าสิ่งที่ท่านเห็นอันแรกเลยก็คือการแต่ง
00:25:01 → 00:25:06 กายของเรามีผลจริงๆตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้ว
00:25:06 → 00:25:09 ยิ่งพออยู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นในการแต่งกาย
00:25:09 → 00:25:12 ก็มีความสำคัญด้วยใช่ไหมสำคัญและจาพี่ภา
00:25:12 → 00:25:15 ก็โชคดีที่มีกัลยาณมิตรเยอะนะคะก็คือ
00:25:15 → 00:25:18 อาจารย์ผู้ใหญ่ที่เป็นพี่ๆที่เราเรียกพี่
00:25:18 → 00:25:21 ๆที่สนิทเนี่ยจะคอยบอกค่ะเช่นเสื้อบางตัว
00:25:21 → 00:25:23 เนี่ยเราชอบมันเนอะเราก็ใส่จนตะเข็บขึ้น
00:25:23 → 00:25:26 เคยได้ยินไหมคะตะเข็บขึ้นก็คือถูกรีดจน
00:25:26 → 00:25:29 ไอ้ๆๆตรงที่เย็บอ่ะค่ะมันขึ้นเป็นรอย
00:25:29 → 00:25:32 ตะเข็บละค่ะท่านก็บอกว่าเปลี่ยนได้แล้ว
00:25:32 → 00:25:35 เนี่ยตะเข็บขึ้นและนะฮะก็เลยบอกท่านบอก
00:25:35 → 00:25:39 แม่มันใส่สบายฮะพี่ชุดนี้รักมากเลยท่านก็
00:25:39 → 00:25:43 จะแหย่บอกว่านี่ตอนนี้แต่งชุดนี้ไปเนี่ย
00:25:43 → 00:25:45 นะค่าตัว 5,000 บาทนะแต่ถ้าเปลี่ยนชุด
00:25:45 → 00:25:48 ใหม่นะคะตัวหมื่นนึงนะหมายถึงการพูดต่อๆ
00:25:48 → 00:25:50 ครั้งของการเชิญไปวิทยากรอะไรอย่างเงี้ย
00:25:50 → 00:25:53 ก็จะพูดกันเล่นแบบเนี้ยค่ะว่านั่นก็คือ
00:25:53 → 00:25:55 ท่านเตือนเราแล้วว่าชุดนี้มันเก่าไปแล้ว
00:25:55 → 00:25:58 ไม่เหมาะกันแล้วและอ่ะเราก็จะทำการถอดละ
00:25:58 → 00:26:01 ต้องเปลี่ยนชุดใหม่ชุดนี้เราก็ไม่ทิ้งไม่
00:26:01 → 00:26:04 ต้องเสียดายค่ะแจกค่ะมีคนคอยรับเยอะเลยนะ
00:26:04 → 00:26:07 คะจนกระทั่งที่บ้านสมเด็จในบางทีเดินสวน
00:26:07 → 00:26:09 กับเจ้าหน้าที่อะไรเงี้ยนะคะเขาก็จะเรียก
00:26:09 → 00:26:11 แม่กันหมดนะเรียกกันแม่เจี๊ยบแม่เจี๊ยบไง
00:26:11 → 00:26:15 ชุดนี้ใสไปวันแรกเลยนะแม่คะหนูจองนะคะชุด
00:26:15 → 00:26:17 นี้
00:26:17 → 00:26:19 เพราะฉะนั้นเราก็จะเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยที่
00:26:19 → 00:26:21 เราไม่เสียดายเพราะว่ามีคนคอยรับช่วงแล้ว
00:26:21 → 00:26:25 เราก็จะไม่ถึงก็ให้มันโทรมใช่ไหมคะจนเขา
00:26:25 → 00:26:27 ใส่ไม่ได้ไม่ใช่อย่างนั้นก็ต้องเอาดีๆให้
00:26:27 → 00:26:30 เขาใส่ไปอะไรอย่างนี้คือบางทีเราอาจจะมอง
00:26:30 → 00:26:33 ไม่เห็นจะไม่เห็นตัวเองนะคะแต่ว่าอาจจะมี
00:26:33 → 00:26:36 คนมองเห็นก็ได้นะแล้วสะท้อนมาให้เราเพราะ
00:26:36 → 00:26:38 ฉะนั้นกระจกที่มองจากกัลยาณมิตรทั้งหลาย
00:26:38 → 00:26:43 เนี่ยช่วยเราได้มากค่ะเสริมเสน่ห์กันค่ะ
00:26:43 → 00:26:46 ขอบคุณอาจารย์ค่ะยินดีค่ะ
00:26:46 → 00:26:48 เอาล่ะค่ะคุณผู้ฟังหมดเวลาแล้วนะคะพบกัน
00:26:48 → 00:26:51 ใหม่ครั้งหน้ากับรายการโรงหมอทางไทย
00:26:51 → 00:26:52 พีบีเอสผ่อนขาสำหรับวันนี้ลาไปก่อนนะคะ
00:26:52 → 00:26:54 สวัสดีค่ะ
00:26:54 → 00:26:57 ssoft
00:26:57 → 00:27:00 เครื่องดื่มชามอ่ะเกิดจากกระบวนการอะไร
00:27:00 → 00:27:02 ทำไมจึงมีประโยชน์กับร่างกายผู้ช่วย
00:27:02 → 00:27:05 ศาสตราจารย์ดรเอกราชบำรุงพืชผู้เชี่ยวชาญ
00:27:05 → 00:27:08 ด้านโภชนาการมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตมา
00:27:08 → 00:27:09 เล่าให้ฟังครับ
00:27:09 → 00:27:12 คำบูชาหรือบางคนเรียก comboard เครื่อง
00:27:12 → 00:27:15 ดื่มชนิดนี้เนี่ยมันส่งผลดีกับสุขภาพถ้า
00:27:15 → 00:27:18 เราดื่มได้อย่างถูกต้องนะแล้วมันขึ้นอยู่
00:27:18 → 00:27:21 กับสูตรด้วยไงเพราะเครื่องขึ้นชื่อว่า
00:27:21 → 00:27:23 เครื่องดื่มมักมีน้ำตาลแฝงอยู่สรรพคุณ
00:27:23 → 00:27:26 เนี่ยต้องบอกก่อนมันมีชื่อคำว่าชาอยู่มัน
00:27:26 → 00:27:29 ก็จะมีได้ประโยชน์จากชานะอ่าแล้วนอกจาก
00:27:29 → 00:27:32 ชานะเนี่ยกระบวนการหรือวิธีการเนี่ยเขา
00:27:32 → 00:27:36 เอาชาไปหมักกับเชื้อจุลินทรีย์ที่ดีก็คือ
00:27:36 → 00:27:39 พวก probiotic งั้นแล้วคุณประโยชน์ก็มา
00:27:39 → 00:27:42 จากตัวชาแล้วก็ probiotic ที่เขาใช้ในการ
00:27:42 → 00:27:45 หมักชานะแล้วปูไบโอติกมันก็จะมา
00:27:45 → 00:27:50 เฟอร์เมนต์หรือหมัดนะก็คือเหมือนกับพูด
00:27:50 → 00:27:54 ง่ายๆว่ามากินชามากินส่วนประกอบที่อยู่ใน
00:27:54 → 00:27:56 ชานะครับซึ่งเขาก็จะมีการเติมพวกน้ำตาล
00:27:56 → 00:27:58 ทรายอะไรอย่างนี้ไปด้วยนะเพื่อให้มันเป็น
00:27:58 → 00:28:01 อาหารของจุลินทรีย์ไอ้พวกสารที่อยู่ในชา
00:28:01 → 00:28:04 ทั้งหลายแหล่สารแอนตี้ออกซิแดนท์สาร
00:28:04 → 00:28:07 โพลีฟีโน่ที่อยู่ในชาเพราะเวลาทำกัมพูชา
00:28:07 → 00:28:09 เนี่ยเขาก็เอาชามาน้องมาต้มมาสกัดทั้ง
00:28:09 → 00:28:13 หลายแหล่แล้วก็จะเติมไอ้หัวเชื้อนะหัว
00:28:13 → 00:28:16 เชื้อที่เราเรียกว่าสโคบี้เป็นหัวเชื้อ
00:28:16 → 00:28:18 ของจุลินทรีย์แล้วก็หมักไปเลย 7 ที่ว่า
00:28:18 → 00:28:21 ราตรีกลางนะครับอ่าเหมือนอารมณ์เหมือนทำ
00:28:21 → 00:28:24 โยเกิร์ตนะครับแต่ว่าผลิตภัณฑ์คอมบูชา
00:28:24 → 00:28:26 หมายถึงประโยชน์ทั้งชาทั้ง probiotic และ
00:28:26 → 00:28:30 Post biotic ฟังดูแล้วมีประโยชน์แต่ว่า
00:28:30 → 00:28:34 สิ่งที่ต้องระวังก็มีนั้นอ่าถ้าเราดูว่า
00:28:34 → 00:28:36 แบบเฮ้ยๆคอมบูชาเนี่ยถ้าคุณผู้ฟังเกิดรับ
00:28:36 → 00:28:39 ประทานก็จะรู้ว่าเอ้ยรสชาติมันจะแบบมี
00:28:39 → 00:28:42 ความเปรี้ยวนำใช่ไหมหวานเล็กน้อยแล้วก็
00:28:42 → 00:28:45 แบบเฮ้ยซ่าๆเหมือนกระบวนการหมักบางทีรู้
00:28:45 → 00:28:47 สึกว่าเฮ้ยเหมือนน้ำส้มอะไรนะน้ำ
00:28:47 → 00:28:51 แอปเปิ้ลไซเดอร์อะไรอย่างเงี้ยอ่าอารมณ์
00:28:51 → 00:29:00 แบบประมาณนั้นเลย
00:29:00 → 00:29:03 ติดตามรายการทางเว็บไซต์และแอปพลิเคชั่น
00:29:03 → 00:29:06 ของไทย pbsort Class spotify
00:29:06 → 00:29:08 soundcloud Google podcast Apple
00:29:09 → 00:29:12 podcast และ YouTube Channel ThaiPBS
00:29:12 → 00:29:17 กด Cash ท้าย PBS beautiful
00:29:17 → 00:29:23 [เพลง]