00:00:00 → 00:00:03 เป็นพ่อแม่สมัยนี้ยากเลี้ยงเด็กสมัยเยยาก
00:00:03 → 00:00:05 มันมีปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้เยอะ
00:00:05 → 00:00:08 มากๆอาบน้ำร้อนมาก่อนอาจจะไม่ใช่
00:00:08 → 00:00:09 ประสบการณ์ที่มีประโยชน์ะกลายเป็น
00:00:09 → 00:00:12 ประสบการณ์ที่ถูกยัดเยียดใครเริ่มเกมไม่
00:00:12 → 00:00:14 สำคัญแล้วใครเป็นคนจบเกมเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:00:14 → 00:00:17 พ่อแม่ต้องเริ่มตั้งสติก่อนความกดสงบทัน
00:00:17 → 00:00:20 ทีเมื่อถูกมองเห็นและยอมรับเวลาเรามีสติ
00:00:20 → 00:00:23 นะสิ่งที่จะเกิดขึ้นเราจะไม่ถึงทางตันแต่
00:00:23 → 00:00:25 สิ่งสำคัญก็คือว่าเวลาเราเลือกแล้วอ่ะเรา
00:00:25 → 00:00:28 ต้องรับผิดชอบความคาดหวังของใครคนนั้นรับ
00:00:28 → 00:00:31 ผิดชอบถามว่าเรามีสิทธิ์คาดหวังั้เราก็มี
00:00:31 → 00:00:33 สิทธิ์คาดหวังแต่เพียงแค่ว่าเราไม่มี
00:00:33 → 00:00:35 สิทธิ์เอาความคาดหวังของเราไปฝากไว้ที่
00:00:35 → 00:00:38 ใครที่สำคัญที่สุดเลยฉันไม่เคยเป็นพ่อแม่
00:00:38 → 00:00:40 ใครมาก่อนเพราะฉะนั้นเนี่ยเราก็ทำดีที่
00:00:40 → 00:00:42 สุดเท่าที่เหตุปัจจัยเรามีในวันนั้นแล้ว
00:00:42 → 00:00:44 ความรักมันจะทำงานของมันเองโดยเฉพาะคนใน
00:00:44 → 00:00:46 ครอบครัวเนาะครอบครัวเราเกิดมาเพื่อรัก
00:00:46 → 00:00:52 กันนะเกลาแก้โรคเกลานิสัยห่างไกล
00:00:52 → 00:00:56 โรควันนี้ EP นี้นะคะเรามาคุยกับจิตแพทย์
00:00:56 → 00:00:58 ค่ะจิตแพทย์ท่านนี้นะคะได้ฉายาว่า
00:00:58 → 00:01:01 จิตแพทย์นักแต่งเพลงซึ่งท่านก็นั่งอยู่
00:01:01 → 00:01:04 กับเราตรงนี้แล้วนะคะขอเสียงปรบมือ 598
00:01:04 → 00:01:06 เสียงจากในห้องส่งด้วย
00:01:06 → 00:01:10 ค่ะสวัสดีค่ะสวัสดีค่ะคุณหมอเอิ้นนะคะ
00:01:10 → 00:01:13 แพทย์หญิงพิยดาหาชัยภูมิค่ะขออนุญาตเรียก
00:01:13 → 00:01:16 พี่เอิ้นโอ้ยินดีเลยค่ะค่ะวันนี้ค่ะเราจะ
00:01:16 → 00:01:19 มาคุยกันในหัวข้อเกี่ยวกับโรคทางจิตเวท
00:01:20 → 00:01:22 หรือว่าอาการทางจิตใจในช่วงของวัยรุ่นคำ
00:01:22 → 00:01:25 ถามแรกค่ะที่ไม่ทำไม่ได้คือวัยหัวเลี้ยว
00:01:25 → 00:01:28 หัวต่อคืออะไรคะอ่าเป็นช่วงที่จะมีความสน
00:01:28 → 00:01:32 ใจในการยอมรับของเพศตรงข้ามหรือว่าการที่
00:01:32 → 00:01:36 แบบเราอยากจะมีตัวตนเป็นตัวของตัวเองมี
00:01:36 → 00:01:38 ฮอร์โมนที่เริ่มเปลี่ยนแปลงถ้าผู้หญิงก็
00:01:38 → 00:01:41 เริ่มมีประจำเดือนถ้าผู้ชายก็เริ่มเสียง
00:01:41 → 00:01:46 แตกสมัยก่อนนะก็คือว่าเราก็จะเห็นว่าช่วง
00:01:46 → 00:01:48 อารมณ์หรือว่าช่วงเอ่อการเปลี่ยนแปลงของ
00:01:48 → 00:01:52 ร่างกายประมาณเนี้ยก็จะอยู่ที่ 12 นะถึง
00:01:52 → 00:01:56 15 ปีแต่ว่าในยุคเก็ต้องบอกว่าเด็กๆตัว
00:01:56 → 00:01:59 เร็วเราเริ่มใช้ตัวเลขเนี่ยมาวัดไม่ค่อย
00:01:59 → 00:02:03 ได้ะดังนั้นในปัจจุบันเราเอาในเรื่องของ
00:02:03 → 00:02:05 การเปลี่ยนแปลงทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
00:02:05 → 00:02:08 เป็นหลักนะคะที่สำคัญเลยแน่นอนก็คือ
00:02:08 → 00:02:11 ฮอร์โมนจิตใจแล้วก็ความคิดของเขาก็จะ
00:02:11 → 00:02:14 เริ่มเปลี่ยนแปลงเปลี่ยนแปลงไปยังไงจิตใจ
00:02:14 → 00:02:18 เริ่มแสวงหาการยอมรับแล้วก็ความมีตัวตน
00:02:18 → 00:02:21 ของตัวเองงั้นการยอมรับในที่นี้เนี่ยจะ
00:02:21 → 00:02:25 เป็นการยอมรับโดยเฉพาะกับคนที่รักเพศตรง
00:02:25 → 00:02:28 ข้ามหรือว่าอยากจะเป็นอย่างไอดอลอยากจะทำ
00:02:28 → 00:02:30 ตามความฝันหรืออะไรประมาณอย่างเงี้ยนะคะ
00:02:30 → 00:02:33 เอ่อเป็นช่วงวัยที่เริ่มจะมีความรักด้วยม
00:02:33 → 00:02:37 คะ py Love โอ๊ยเอ่อตอนนี้นะคะอนุบาลก็
00:02:37 → 00:02:41 บอกเลยนะเริ่มเล่นเริ่มเล่นมีความรักะอ่ะ
00:02:41 → 00:02:44 แต่ต้องบอกว่าในวัยที่เริ่มฮอร์โมนเพศ
00:02:44 → 00:02:47 เริ่มทำงานจริงๆเนี่ยอันเนี้ยก็คืออาจจะ
00:02:47 → 00:02:50 เป็นช่วงที่เรียกว่าใจให้ความสำคัญในการ
00:02:50 → 00:02:55 ที่จะอยากเป็นคนสำคัญของคนที่เราหมายตา
00:02:55 → 00:02:58 อะไรเงี้ยแล้วสภาพแวดล้อมกับการเลี้ยงดู
00:02:58 → 00:03:00 อ่ะค่ะมีผลต่อสภาพจิตใจของเด็กแลวัยรุ่น
00:03:01 → 00:03:05 ยังไงบ้างคะตัวเราเนี่ยมีเอ่อกระบวนการ
00:03:05 → 00:03:09 คิดหรือมีบุคลิกภาพหรือเป็นคนยังไงหรือ
00:03:09 → 00:03:13 ให้ความสำคัญกับอะไรในชีวิตเนี่ยส่วนใหญ่
00:03:13 → 00:03:16 เนี่ยมันก็เป็นผลมาจากการที่เราเก็บสะสม
00:03:16 → 00:03:19 ประสบการณ์ทุกช่วงเวลาของชีวิตอย่างใน
00:03:19 → 00:03:22 ช่วงวัยรุ่นเนี่ยก็ต้องบอกว่ามันเป็นช่วง
00:03:22 → 00:03:24 เก็บประสบการณ์แรกๆหมายความว่าเค้าเองก็
00:03:25 → 00:03:27 จะมีโอกาสที่ยังเปลี่ยนแปลงได้อยู่นะไม่
00:03:27 → 00:03:30 ได้แบบเป็นบุคลิกภาพที่ฝังแน่นมันเป็น
00:03:30 → 00:03:33 ช่วงที่เา้าเ่อจะเริ่มรู้อย่างเช่นว่า
00:03:33 → 00:03:36 สมมุติว่าเขาอยู่ที่โรงเรียนในห้องเรียน
00:03:36 → 00:03:39 หรือในชั้นเรียนให้ความสำคัญกับเกรดเด็ก
00:03:39 → 00:03:41 ดีต้องเป็นยังไงเด็กเก่งต้องเป็นยังไง
00:03:41 → 00:03:43 เพราะงั้นเขาก็จะเริ่มส้างบรรทัดฐานใน
00:03:43 → 00:03:47 ความทรงจำของเขละว่าออคือเก่งต้องอย่าง
00:03:47 → 00:03:50 งี้นะดีต้องอย่างงี้แต่ถ้าเกิดว่าเด็กที่
00:03:50 → 00:03:52 เขามีความเก่งแต่ไม่ได้อยู่ในบรรทัดฐาน
00:03:52 → 00:03:57 ของสังคมที่เขาอยู่อ่ะอ่าเขาคก็อาจจะรู้
00:03:57 → 00:04:00 สึกแปลกแยกหรือรู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง
00:04:00 → 00:04:02 ได้ทั้งๆที่จริงๆแล้วอ่ะเคสามารถมีความ
00:04:02 → 00:04:04 มั่นใจในตัวเองได้นะเพราะงั้นอันนี้ก็คือ
00:04:04 → 00:04:08 ความสำคัญของสภาพแวดล้อมเอ่อสังคมแล้วก็
00:04:08 → 00:04:11 บรรทัดฐานที่ที่สังคมบอกกับเด็กค่ะค่ะ
00:04:11 → 00:04:14 เหล่านี้คือปัจจัยที่มีผลต่อการสร้างตัว
00:04:14 → 00:04:17 ตนหมดเลยมั้ยคะแน่นอนการที่เค้ารับรู้ว่า
00:04:17 → 00:04:21 อ้อสังคมหรือสิ่งแวดล้อมหรือคุณพ่อคุณแม่
00:04:21 → 00:04:24 หรือคนสำคัญหรืออะไรบางอย่างเนี่ยบอกเขา
00:04:24 → 00:04:27 ว่าสิ่งนี้สำคัญถ้าเค้าให้ความสำคัญแล้ว
00:04:27 → 00:04:29 เาสามารถที่จะประสบความสำเร็จกับกับ
00:04:29 → 00:04:32 เรื่องนั้นไปได้มันก็เป็นเรื่องดีแต่ถ้า
00:04:32 → 00:04:35 เกิดว่าเด็กบางคนไม่ได้โชคดีแบบนั้นน่ะ
00:04:35 → 00:04:38 อย่างเช่นนะเคอาจจะเกิดในครอบครัวของนัก
00:04:38 → 00:04:41 วิชาการคุณพ่อคุณแม่หรือว่าสังคมสิ่งแวด
00:04:41 → 00:04:44 ล้อมที่บอกโอ๊ยคุณต้องเก่งวิทยาศาสตร์นะ
00:04:44 → 00:04:47 หรือว่าคุณต้องใช้ตรรกะแต่ว่าเด็กเกิดมา
00:04:47 → 00:04:51 โอ้โหอาจ่ามากเลยมีพรสวรรค์ทางด้านศิลปะ
00:04:51 → 00:04:53 มากเลยแต่ผู้ใหญ่ก็ไม่เข้าใจเด็กคนนี้ก็
00:04:53 → 00:04:56 มีโอกาสที่เขาจะไม่ได้ถูกใช้สิ่งที่เขา
00:04:56 → 00:05:00 เกิดมาเป็นน่ะค่ะการไม่ถูกยอมรับในสิ่ง
00:05:00 → 00:05:02 ที่เขาเป็นอยู่หรือสิ่งที่เขาชอบหรือสิ่ง
00:05:02 → 00:05:05 ที่เขาถนัดเนี่ยบางทีมันก็จะมีผลกับตัวตน
00:05:05 → 00:05:08 ของเขาเหมือนกันค่ะอันนี้ก็คือผู้ปกครอง
00:05:08 → 00:05:11 ก็มีผลเหมือนกันแล้วถ้าเป็นปัจจัยภายนอก
00:05:11 → 00:05:14 อื่นๆน่ะค่ะพี่พี่เอิ้นที่ผู้ปกครองอาจจะ
00:05:14 → 00:05:17 ไม่ได้อยู่กับเด็กตลอดเวลาผู้ปกครองเนี่ย
00:05:17 → 00:05:20 จะมีส่วนช่วยในการคัดกรองปัจจัยภายนอกที่
00:05:20 → 00:05:22 จะมีผลต่อการสร้างตัวตนของเด็กได้ยังไง
00:05:22 → 00:05:25 บ้างโออันนี้แหละคำถามเยเป็นที่มาของบอก
00:05:25 → 00:05:28 ว่าเป็นพ่อแม่สมัยนี้ยากใช่มั้เลี้ยงเด็ก
00:05:28 → 00:05:32 สมัยเนี้ยยากเพราะว่ามันมีปัจจัยภายนอก
00:05:32 → 00:05:35 ที่เราควบคุมไม่ได้เยอะมากๆเอาเป็นว่า
00:05:35 → 00:05:37 ปัจจัยภายนอกนั้นอาจจะอยู่ในบ้านก็ได้นะ
00:05:37 → 00:05:39 อย่างเช่นโซเชียลมีเดียอ่าค่ะใช่มั้ย
00:05:39 → 00:05:43 โซเชียลมีเดียมือถือแล้วคนที่ทำให้ควบคุม
00:05:43 → 00:05:46 ไม่ได้ก็อาจจะเป็นพ่อแม่เองก็ได้เออที่
00:05:46 → 00:05:49 ตัวเองก็เผลอติดเผลอให้เวลากับสิ่งเหล่า
00:05:49 → 00:05:52 นั้นสิ่งสำคัญเลยพ่อแม่ต้องมีสติมากๆอาจ
00:05:52 → 00:05:56 จะต้องลองพาตัวเองกลับเข้าไปในยุคอนาล่ะ
00:05:56 → 00:05:59 นะเออว่าเพราะว่าจริงๆแล้วอ่ะการที่เรา
00:05:59 → 00:06:03 เติบโตมาแบบธรรมชาติอ่ะเอ่อมันทำให้เราโต
00:06:04 → 00:06:06 ตามพัฒนาการเนาะเพราะฉะนั้นเนี่ยเราอาจจะ
00:06:06 → 00:06:09 ต้องมาดูว่าอย่างเราเองเงี้ยอะไรอ่ะที่
00:06:09 → 00:06:13 เราสามารถที่จะควบคุมได้ในสภาพแวดล้อมใน
00:06:13 → 00:06:16 ยุคปัจจุบันนี้อะไรที่เราไม่สามารถควบคุม
00:06:16 → 00:06:19 ได้เพราะงั้นสิ่งที่เราสามารถควบคุมได้
00:06:19 → 00:06:23 เราคุยกับลูกได้เอ่อว่าข้อตกลงมันเป็นยัง
00:06:23 → 00:06:26 ไงสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้พี่คิดว่า
00:06:26 → 00:06:29 สิ่งสำคัญคือเราต้องเป็นพี่เลี้ยงให้เขา
00:06:29 → 00:06:31 คือคือยังไงเราควบคุมไม่ได้ยังไงเขาก็
00:06:31 → 00:06:35 ต้องเจอแต่ว่าพอเขาเจอแล้วอ่ะเขาคจะมีการ
00:06:35 → 00:06:38 รับรู้ต่อสิ่งที่เขาเจออย่างไรอย่างเช่น
00:06:38 → 00:06:43 เด็กเราก็ไปเจอคิปโป๊อืใช่มยไปเจอหนัง x
00:06:43 → 00:06:46 หนัง R หรือว่าไปเจอพฤติกรรมที่มันไม่
00:06:46 → 00:06:49 เหมาะสมแกล้งสัตว์หรืออะไรอย่างเงี้ยทำ
00:06:49 → 00:06:52 ยังไงอ่ะถ้าเกิดเขาไปเจอแล้วเขาจะสามารถ
00:06:52 → 00:06:54 กล้าที่จะมาเล่าให้พ่อแม่ฟังอ่ะแล้วพ่อ
00:06:54 → 00:06:57 แม่สามารถที่จะคุยกับเขาได้หรือพลิกวิกฤต
00:06:57 → 00:07:00 ตรงนั้นน่ะเป็นโอกาสในการที่จะสอบ
00:07:00 → 00:07:04 การเอาตัวรอดในโลกในยุคปัจจุบันกับเขาได้
00:07:04 → 00:07:06 ในอีกมุมนึงค่ะพี่เอิ้ลเมื่อกี้นี้เป็น
00:07:06 → 00:07:09 มุมที่ว่าคุณพ่อคุณแม่หวังดีแล้วก็จะช่วย
00:07:09 → 00:07:12 โทคลูกๆจากเ่อปัจจัยภายนอกอื่นๆในมุมของ
00:07:12 → 00:07:16 ลูกค่ะที่ลูกรู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่ได้
00:07:16 → 00:07:18 เข้าใจเขาแล้วก็มายุ่งกับชีวิตของเขามาก
00:07:18 → 00:07:20 เกินไปความคิดหรือความรู้สึกแบบนี้ที่
00:07:20 → 00:07:22 เกิดขึ้นมันเกิดขึ้นได้ยังไงคะอันนี้เกิด
00:07:22 → 00:07:26 จากหลายปัจจัยมากๆถ้าถ้าเราพูดถึงเรื่อง
00:07:26 → 00:07:30 จริตนะจริงๆแล้วในจิตวิทยาเนี่ยก็จะมี
00:07:30 → 00:07:32 ความแมตชระหว่างพ่อแม่กับเด็กอยู่เหมือน
00:07:32 → 00:07:34 กันถ้าภาษาง่ายๆเราบอกว่าเคมีเข้ากันก็
00:07:34 → 00:07:38 ได้เนาเพราะนั้นเนี่ยคาแรคเตอร์บางอย่าง
00:07:38 → 00:07:41 ของลูกเนี่ยเป็นคาแรคเตอร์ที่แตกต่างจาก
00:07:41 → 00:07:46 พ่อแม่พ่อแม่รู้สึกว่าเอ้ยอันเนี้ยอาจจะ
00:07:46 → 00:07:51 แปลกหรืออาจจะไม่เคยชินคือสิ่งสำคัญก็คือ
00:07:51 → 00:07:54 พ่อแม่เองอ่ะต้องมาทำความเข้าใจพฤติกรรม
00:07:54 → 00:07:57 ของลูกมากกว่าปัญหาส่วนใหญ่นะมันจะเกิด
00:07:57 → 00:08:00 จากการที่พอพ่อแม่ไม่เข้าใจพฤติกรรมของ
00:08:00 → 00:08:03 ลูกไม่ว่าลูกจะตอนเด็กนะหรือเค้าเริ่ม
00:08:03 → 00:08:06 เข้าวัยรุ่นเนี่ยกังวลแล้วก็กลัวแล้วก็
00:08:06 → 00:08:09 จินตนาการและว่าโอหเดี๋ยวมันจะต้องเป็น
00:08:09 → 00:08:12 อย่างงี้ถ้ายังมีอย่างงี้จะต้องเกิดอย่าง
00:08:12 → 00:08:14 นี้แน่ๆอะไรอย่างเงี้ยคราวนี้พอไม่เข้าใจ
00:08:14 → 00:08:18 แล้วเนี่ยมันจะเลวร้ายไปอีกถ้าเกิดการ
00:08:18 → 00:08:21 สื่อสารของพ่อแม่เป็นการสื่อสารผ่านความ
00:08:21 → 00:08:25 กังวลและความกลัวอย่างเช่นโอ้ยกลัวลูกไม่
00:08:25 → 00:08:28 ขยันน่ะทำไงอ๋อเปรียบเทียบกับข้างบ้านเลย
00:08:28 → 00:08:31 เรียบร้อยเเห็นพี่เค้ามั้ยเออพี่เคเก่ง
00:08:31 → 00:08:35 แบบนั้นพี่เคเก่งแบบนี้อะไรอย่างเงี้ยนะ
00:08:35 → 00:08:39 หรือเอ้ยถ้าลูกคนนี้แบบอ่ะไม่แอคทีฟหน่อย
00:08:39 → 00:08:42 อ่ะเอาลูกคนนั้นมาเปรียบเทียบเนี่ยคือการ
00:08:42 → 00:08:45 สื่อสารผ่านความกลัวทั้งจริงจรๆพ่อแม่
00:08:45 → 00:08:49 สามารถสื่อสารผ่านความห่วงใยได้อันนี้ยัง
00:08:49 → 00:08:52 ไม่รวมกับว่าบางทีพ่อแม่แอคชั่นด้วย
00:08:52 → 00:08:56 แอคชั่นในแบบที่เป็นคำสั่งหรือการที่ไม่
00:08:56 → 00:09:00 ฟังหรือไม่เคยตั้งคำถามที่จะทำความเข้าใจ
00:09:00 → 00:09:04 เขาเหล่านี้อ่ะค่ะก็คือสิ่งที่อาจจะ
00:09:04 → 00:09:07 สามารถทำให้มีปัญหาได้ค่ะแต่ล้วนมันเกิด
00:09:07 → 00:09:10 จากความหวังดีและความรักที่คุณพ่อคุณแม่
00:09:10 → 00:09:12 มีให้ลูกๆแหละแต่ว่าอาจจะไม่รู้วิธีการ
00:09:12 → 00:09:15 ที่ถูกต้องที่จะใช้มันมีอีกอันนึงค่ะพี่
00:09:15 → 00:09:18 เอิ้นที่เ่อวัยรุ่นหลายๆคนอาจจะพูดคือมัน
00:09:18 → 00:09:20 มีคำกล่าวที่บอกว่าคุณพ่อคุณแม่อาบน้ำ
00:09:20 → 00:09:24 ร้อนมาก่อนซึ่งเด็กสมัยนี้อาจจะรู้สึกว่า
00:09:24 → 00:09:27 ตอนนี้เด็กเด็กสมัยนี้ไม่เอาแล้วใช่พี่
00:09:27 → 00:09:30 อ้อนคิดว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่องของ
00:09:30 → 00:09:34 การรับรู้ในแต่ละเเรชที่ไม่เหมือนกันเนาะ
00:09:35 → 00:09:37 พี่เอิ้นเนี่ยพี่เอิ้นแบบ 40 ขึ้นแล้ว
00:09:37 → 00:09:41 อย่างเงี้ยก็อาบน้ำร้อนมาก่อนเนี่ยดี
00:09:41 → 00:09:43 เพราะว่าอะไรเพราะว่าการรับรู้ของเราคือ
00:09:43 → 00:09:47 ประสบการณ์ที่ที่มีประโยชน์สำหรับน้องๆ
00:09:47 → 00:09:51 สมัยเนี้ยเอ่ออาบน้ำร้อนมาก่อนอาจจะไม่
00:09:51 → 00:09:53 ใช่ประสบการณ์ที่มีประโยชน์ะกลายเป็น
00:09:53 → 00:09:55 ประสบการณ์ที่ถูกยัดเยียดไม่มีใครผิดไม่
00:09:55 → 00:09:58 มีใครถูกงั้นสิ่งสำคัญกับคำเนี้ยเพื่อน
00:09:58 → 00:10:02 คิดว่าเราควรเคารพเราเองในฐานะที่เคยรู้
00:10:02 → 00:10:06 สึกว่ามันเป็นมันเป็นคำพูดที่ที่ดีสำเรา
00:10:06 → 00:10:09 ก็ต้องระวังว่ามันจะไม่ได้แบบคนอื่นเขาก็
00:10:09 → 00:10:12 จะรู้สึกดีเหมือนเราขออนุญาตถามอีกมุมนึง
00:10:12 → 00:10:15 คือการใช้คำว่าอาบน้ำร้อนมาก่อนน่ะ
00:10:15 → 00:10:19 มันนอกจากความรักความเป็นห่วงที่มีต่อลูก
00:10:19 → 00:10:21 แล้วอีกมุมนึงคือเรื่องของความกลัวหรือ
00:10:21 → 00:10:24 ว่าการมีอำนาจของคุณพ่อคุณแม่มั้ยคะว่า
00:10:24 → 00:10:27 ลูกต้องเชื่อฟังจริงๆปัญหาเนี้ยเจอน้อย
00:10:27 → 00:10:32 กว่าการกลัวลูกไม่รักด้วยนะเออเออคือแน่
00:10:32 → 00:10:35 นอนพ่อแม่ก็คงจะอยากให้ให้ลูกเชื่อฟังใช่
00:10:35 → 00:10:38 มยแต่ว่าวิธีการในแต่ละคนในแต่ละยุคในแต่
00:10:38 → 00:10:42 ละสมัยก็อาจจะไม่เหมือนกันถ้าเราพูดอะไร
00:10:42 → 00:10:46 แล้วลูกทำตามมันก็ชื่นใจใช่มแต่ถ้าเกิด
00:10:46 → 00:10:50 ว่าเราพูดอะไรแล้วลูกเกิดการต่อต้านลูก
00:10:50 → 00:10:53 เกิดการเถียงแน่นอนบรรยากาศก็ไม่มีแล้วก็
00:10:53 → 00:10:56 ทำให้พ่อแม่ก็อาจจะเกิดความลังเลสงสัยใน
00:10:56 → 00:10:58 ตัวเองด้วยเหมือนกันเพราะว่ายิ่งกลัวลูก
00:10:58 → 00:11:00 ไม่รักยิ่งกลัวลูกไม่เคารพอ่ะการแสดงออก
00:11:00 → 00:11:03 ก็คงแตกต่างกันแต่ว่าแน่นอนถ้าเกิดลูกทำ
00:11:03 → 00:11:06 ตามเราเราก็คงรู้สึกดีพูดถึงการสปอยลูก
00:11:06 → 00:11:09 ค่ะพี่เอินพฤติกรรมแบบไหนที่เข้าขายการ
00:11:09 → 00:11:12 สปอยลูกแล้วอ่ะค่ะถ้าสปอยเราก็จะพูดถึง
00:11:12 → 00:11:15 เรื่องของการตามใจนะงเนี่ยจริงๆแล้วอ่ะ
00:11:15 → 00:11:19 การตามใจอย่างมีสติมันก็จะมีขอบเขตสำคัญ
00:11:19 → 00:11:22 คือการที่ไม่เบียดเบียนคือพ่อแม่เองก็ไม่
00:11:22 → 00:11:26 เบียดเบียนตัวเองบางคนคือคือตามใจแบบแล้ว
00:11:26 → 00:11:30 ลูกอยากได้อะไรที่มันเยอะเกินฐานะเกินการ
00:11:30 → 00:11:32 เงินอะไรอย่างเงี้ยจริงๆแล้วมันก็จะเริ่ม
00:11:32 → 00:11:35 เบียดเบียนละอันนี้คือการตามใจแบบไม่มี
00:11:35 → 00:11:38 สติถ้าเกิดมีสติเนี่ยเราจะรู้ว่าขอบเขต
00:11:38 → 00:11:41 แล้วเรามักจะมีการสื่อสารที่มีข้อตกลงกัน
00:11:41 → 00:11:43 ได้เสมออย่าเช่นครั้งนี้พ่อให้ครั้งนี้
00:11:43 → 00:11:47 แม่ให้เพราะอะไรเ้ยครั้งนี้ให้ไม่ได้
00:11:47 → 00:11:50 เพราะอะไรอ่าทั้งหมดทั้งมวลเเมื่อสักครู่
00:11:50 → 00:11:53 เค่ะที่เราพูดกันมาเรื่องความไม่เข้าใจ
00:11:53 → 00:11:56 คุณพ่อคุณแม่ก็มีความหวังดีน้องๆก็อาจจะ
00:11:56 → 00:11:58 รู้สึกว่าคุณพ่อคุณแม่ยุ่งมากไปเกิดการถก
00:11:58 → 00:12:02 เถียเงกันขึ้นมาอาจจะนำไปสู่ปัญหาอ่าความ
00:12:02 → 00:12:05 สัมพันธ์ในครอบครัวค่ะพี่เอิ้ลถ้า
00:12:05 → 00:12:07 ครอบครัวไหนที่กำลังมีปัญหานี้อยู่อ่ะเ่า
00:12:07 → 00:12:10 ในฐานะของจิตแพทย์มีคำแนะนำยังไงบ้างคะ
00:12:10 → 00:12:14 สิ่งสำคัญเลยเราต้องอย่าเป็นทาสของอารมณ์
00:12:14 → 00:12:17 แล้วก็ที่สำคัญคุณพ่อคุณแม่อาจต้องเข้าใจ
00:12:17 → 00:12:20 ว่าไอ้คำว่าผ่านน้ำร้อนมาก่อนเราต้องรีบ
00:12:20 → 00:12:24 เอามาใช้เลยอ่ะหมายความว่าเราเนี่ยอยู่
00:12:24 → 00:12:27 และเจอปัญหาและมีประสบการณ์ในการตั้งสติ
00:12:28 → 00:12:31 มากกว่าลูกแน่นอนใครเริ่มเกมไม่สำคัญถใคร
00:12:31 → 00:12:32 เป็นคนจบเกมเพราะฉะนั้นเนี่ยพ่อแม่ต้อง
00:12:33 → 00:12:36 เริ่มจบเกมจบเกมด้วยการที่พ่อแม่ต้อง
00:12:36 → 00:12:40 เริ่มตั้งสติก่อนงั้นการตั้งสติคือการที่
00:12:40 → 00:12:43 เราไม่เป็นทาสของอารมณ์ในตอนนั้นเพราะ
00:12:43 → 00:12:45 งั้นดนั้นเวลาที่เราอยู่ในความขัดแย้ง
00:12:45 → 00:12:47 หมายความว่าอะไรต่างคนต่างมีอารมณ์เพราะ
00:12:47 → 00:12:49 ฉะนั้นเนี่ย
00:12:49 → 00:12:53 ถ้าอยู่ในช่วงที่ขัดแย้งมากกำลังทะเลาะ
00:12:53 → 00:12:56 เลยคิดว่าสิ่งสำคัญต้องแยกก่อนทุกคนมี
00:12:56 → 00:12:59 ความต้องการของตัวเองฉันก็จะเอาแบบนี้ลูก
00:12:59 → 00:13:02 ก็จะเอาแบบนี้พ่อแม่ก็จะเอาแบบนี้ไม่
00:13:02 → 00:13:04 จำเป็นต้องตกลงเราไม่จำเป็นต้องหาข้อสรุป
00:13:04 → 00:13:09 กันตอนนี้เพหาไม่ได้ทคาได้ใช่มเออเพรา
00:13:09 → 00:13:11 งั้นเนี่ยทุกคนต้องเข้ามุมก่อนต่อมาคือ
00:13:12 → 00:13:14 เราจะต้องจัดการอารมณ์ตัวเองไม่ใช่จัดการ
00:13:14 → 00:13:18 อารมณ์ของลูกหรือจัดการอารมณ์คนอื่นตั้ง
00:13:18 → 00:13:22 สติตั้งสติเสร็จถ้าเราดูแลความรู้สึกตัว
00:13:22 → 00:13:25 เองได้แล้วเนี่ยเราถึงจะเริ่มไปดูแลความ
00:13:25 → 00:13:28 รู้สึกของอีกฝ่ายการเริ่มดูแลความรู้สึก
00:13:28 → 00:13:32 ของอีกฝ่ายก็คือการยอมรับอารมณ์อย่างเช่น
00:13:32 → 00:13:34 ลูกโกรธ
00:13:34 → 00:13:36 ไหนไม่พอใจ
00:13:36 → 00:13:39 อะไรเล่าให้ฟังหน่อยอันไหนลองเล่าไอ้ความ
00:13:39 → 00:13:42 แบบความต้องการหรือความไม่พอใจที่มันเกิด
00:13:42 → 00:13:45 ขึ้นให้พ่อแม่ฟังหน่อยสิเพราะงั้นสิ่งที่
00:13:45 → 00:13:49 พ่อแม่ทำต่อมาคือฟังความกดสงบทันทีเมื่อ
00:13:49 → 00:13:51 ถูกมองเห็นและยอมรับครอบครัวไหนที่กำลัง
00:13:52 → 00:13:54 มีปัญหาภายในครอบครัวอยู่ที่อาจจะเคยคุย
00:13:54 → 00:13:57 กันมาหลายครั้งแล้วมันหาข้อสรุปไม่ได้คุณ
00:13:57 → 00:14:00 หมอเพี่เอื้นก็แนะนำว่าอุก่อนคุณพ่อคุณ
00:14:00 → 00:14:02 แม่ก็ตั้งสติก่อนกลับมาจัดการตัวเอง
00:14:02 → 00:14:05 อารมณ์ตัวเองก่อนแล้วก็ค่อยไปใช้โอกาสนี้
00:14:05 → 00:14:08 ในการที่อาจจะสอนลูกหรือว่าให้ลูกได้เห็น
00:14:08 → 00:14:11 ได้รู้จักกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเขาก็
00:14:11 → 00:14:13 จะได้รู้จักสังเกตตัวเองแยกแย้แล้วก็มี
00:14:13 → 00:14:15 เหตุผลด้วยว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงถ้าตั้ง
00:14:15 → 00:14:18 สติได้หรือว่ามีวิธีการที่ถูกต้องมันอาจ
00:14:18 → 00:14:21 จะเจอทางออกอื่นๆก็ได้ใช่มั้ยคะใช่แน่นอน
00:14:21 → 00:14:24 เวลาเรามีสตินะแบบสิ่งที่จะเกิดขึ้นเราจะ
00:14:24 → 00:14:29 ไม่ถึงทางตันอืค่ะมันจะมีพื้นที่ว่างมัน
00:14:29 → 00:14:31 จะมีทางเลือกบางอย่างแต่สิ่งสำคัญก็คือ
00:14:31 → 00:14:34 ว่าเวลาเราเลือกแล้วอ่ะเราต้องต้องรับผิด
00:14:34 → 00:14:37 ชอบหมายความว่าไม่ว่ามันจะดีหรือมันจะ
00:14:37 → 00:14:42 ร้ายอโอมันโอเคนะอค่ะเอแล้วก็เรียนรู้กับ
00:14:42 → 00:14:45 มันอืสำคัญคือต้องเรียนรู้ไปใช่ใช่อีก
00:14:45 → 00:14:47 ปัญหานึงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในครอบครัว
00:14:47 → 00:14:51 หลายๆครอบครัวค่ะพี่เอิ้ลอคือปัญหาที่ลูก
00:14:51 → 00:14:55 ๆอ่ะรู้สึกว่าครอบครัวไม่ใช่เซฟโซนในฐานะ
00:14:55 → 00:14:57 คุณพ่อคุณแม่เนี่ยควรจะรับมือกับปัญหานี้
00:14:57 → 00:15:01 ยังไงดีคะถ้าเกิดว่าลูกรู้สึกแบบนั้นเนาะ
00:15:01 → 00:15:04 เราก็ต้องเข้าใจว่าผลกระทบที่มันจะเกิด
00:15:04 → 00:15:06 ขึ้นกับคุณพ่อคุณแม่หรือว่าในครอบครัวแน่
00:15:06 → 00:15:09 นอนเลยก็คือว่าเราจะรู้จักลูกตัวเองน้อย
00:15:09 → 00:15:12 มากบางทีคุณพ่อคุณแม่อาจจะรู้จักลูกแค่
00:15:12 → 00:15:16 50% 60% ในำคุยกับน้องๆสัมผัสมาส่วน
00:15:16 → 00:15:19 ใหญ่ก็จะมาจากการตอบสนองของคุณพ่อคุณแม่
00:15:19 → 00:15:24 หรือว่าคำพูดการที่เค้ารู้สึกว่าเถูกตัด
00:15:24 → 00:15:27 สินน่ะอาจจะมีคำอะไรบางอย่างที่จริงๆแล้ว
00:15:27 → 00:15:30 พ่อแม่อยากให้กำลังใจแหละแต่เขาตีความว่า
00:15:30 → 00:15:33 เถูกว่าอีกแล้วว่าไม่ได้เรื่องบางคนเนี่ย
00:15:34 → 00:15:37 คือรู้สึกว่าตัวเองคิดว่าพ่อแม่คาดหวัง
00:15:37 → 00:15:40 แบบนี้แล้วตัวเองเป็นไม่ได้พ่อแม่อาจจะ
00:15:40 → 00:15:43 ไม่ได้ซีเรียสขนาดนั้นลูกเรียนดีอ่าเรียน
00:15:43 → 00:15:46 วิศวะสิเรียนหมอสิใช่มยคือก็เป็น
00:15:46 → 00:15:50 แพทเทิร์นปกติอ่ะแต่ว่าเด็กเองก็คือเอ้ย
00:15:50 → 00:15:52 เอาไปจำว่าเฮ้ยฉันต้องเป็นหมอฉันต้องเป็น
00:15:52 → 00:15:55 วิศวะคิดเอาเองว่าถ้าพ่อแม่รู้ว่าไม่อยาก
00:15:55 → 00:15:59 เป็นหมอเป็นวิศวะพ่อแม่จะเสียใจมันทำให้
00:15:59 → 00:16:01 ต่างฝ่ายเนี่ยต่างไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัย
00:16:01 → 00:16:03 ของกันและกันวิธีการแก้กลับไปเหมือนเดิม
00:16:03 → 00:16:07 เลยนะเราในฐานะพ่อแม่เนี่ยก็คือเราสามารถ
00:16:07 → 00:16:12 ที่จะสร้างเซฟโซนให้กับเขาได้ด้วยการที่
00:16:12 → 00:16:15 รับฟังและถ้าเกิดว่าเรารับฟังความคิดความ
00:16:15 → 00:16:17 รู้สึกของเขาแล้วอ่ะเรารู้สึกว่ามันเป็น
00:16:17 → 00:16:20 อันตรายอาจะเป็นอันตรายกับตัวเองหรือ
00:16:20 → 00:16:22 อันตรายกับคนอื่นอันนี้เป็นสิ่งที่เรา
00:16:22 → 00:16:25 ต้องพลิกอีกละวิกฤตเป็นโอกาสในการที่จะ
00:16:25 → 00:16:29 สอนเขาความเข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญมากมากๆ
00:16:29 → 00:16:32 อืค่ะแต่ว่าเท่าที่ฟังดูหนูรู้สึกว่าใน
00:16:32 → 00:16:35 หลายๆปัญหาที่เกิดขึ้นในครอบครัวที่เกิด
00:16:35 → 00:16:37 ขึ้นกับลูกการที่เราจะแก้ปัญหาเหล่านี้
00:16:37 → 00:16:40 ได้ในฐานะผู้ปกครองพ่อแม่คุณพ่อคุณแม่เอง
00:16:40 → 00:16:43 ก็ต้องจิตใจเข้มแข็งมากๆเหมือนกันอันนี้
00:16:43 → 00:16:45 ก็ใช่นะการที่คุณพ่อคุณแม่เองก็ต้องดูแล
00:16:45 → 00:16:48 จิตใจตัวเองเนี่ยก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ
00:16:48 → 00:16:51 เพราะไม่อย่างงั้นเนี่ยคุณพ่อคุณแม่ก็จะ
00:16:51 → 00:16:54 ตกเป็นาตุของอารมณ์เหมือนกันทีนี้อีก
00:16:54 → 00:16:57 ปัญหาต่อไปค่ะของวัยรุ่นซึ่งหนูแปลกใจมาก
00:16:57 → 00:17:01 ๆเพราะว่าหนูไปเห็นอ่าประสบการณ์ตรงแล้ว
00:17:01 → 00:17:03 กันว่ามีคนใกล้ตัวหลายๆคนที่อาจจะยังอยู่
00:17:03 → 00:17:07 ในวัยมัธยมหรือว่ากำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย
00:17:07 → 00:17:10 แล้วมีอาการของโรคแพนิคค่ะอาการแพนิคกับ
00:17:10 → 00:17:12 โรคแพนิคเนี่ยต่างกันมั้ยคะแล้วอาการมัน
00:17:13 → 00:17:15 เป็นยังไงทำไมถึงเกิดขึ้นกับเด็กในช่วง
00:17:15 → 00:17:20 วัยนี้ได้อาการแพนิคมันก็จะเป็นอาการที่
00:17:20 → 00:17:23 เรียกว่าระบบประสาทอัตโนมัติมันรวนเนาอ่า
00:17:23 → 00:17:25 ระบบประสาทอัตโนมัติในที่นี้ของเราคือ
00:17:25 → 00:17:29 อะไรก็คือว่าอวัยวะที่เราไม่สามารถที่จะ
00:17:29 → 00:17:31 สั่งงานมาได้อ่ะอย่างเช่นกล้ามเนื้อหายใจ
00:17:31 → 00:17:34 เนี่ยเราอาจจะแบบบอกได้เออหายใจเข้าหายใจ
00:17:34 → 00:17:37 ออกหรือว่าการหายใจระบบบางส่วนเนี่ยเราจะ
00:17:37 → 00:17:40 ไม่สามารถควบคุมได้หัวใจระบบลำไส้เอ่อ
00:17:40 → 00:17:44 อย่างตอนเนี้ยแพนด้าบอกให้ลำไส้บีบตัวได้
00:17:44 → 00:17:46 มั้ยหนูคุยแป๊บนึงนะ
00:17:46 → 00:17:50 คะไม่ได้ใช่มั้ยอ่าเนี่ยๆนี่คือระบบประสา
00:17:50 → 00:17:52 นตก็คือเป็นแบบนี้เนาะระบบประสานตเนี่ย
00:17:52 → 00:17:56 มันจะรวนคำว่ารวนเนี่ยก็คือมันจะปั่นป่วน
00:17:56 → 00:18:00 อย่างเช่นใจอาจจะเต้นแรงหายใจถี่ท้องไส้
00:18:00 → 00:18:04 รู้สึกปั่นปวนม่วนท้องอะไรอย่างเงี้ยแล้ว
00:18:04 → 00:18:07 อยู่ๆเกิดถ้าเกิดว่าสมมุติว่าเป็นแพนิค
00:18:07 → 00:18:10 เฉยๆนะมันอาจจะเกิดกับสถานการณ์บางอย่าง
00:18:10 → 00:18:15 ที่มากระตุ้นอย่างเช่นโอ๋จะต้องไปเจอแบบ
00:18:15 → 00:18:19 พี่แจ็คสันหวังอะไรอย่างเงี้ยอเอ่อดารา
00:18:19 → 00:18:22 ที่ชอบแล้วไปเจอสถานการณ์ที่ตัวเองกลัว
00:18:22 → 00:18:26 มากๆหรือคือตื่นเต้นมากไปเจอสิ่งที่เรา
00:18:26 → 00:18:30 รู้สึกว่าเออเราอันตรายก็เกิดอาการนี้อัน
00:18:30 → 00:18:32 นี้ก็คือจะเป็นเรื่องของแพนิคเนาะถ้าเกิด
00:18:33 → 00:18:36 ว่าเป็นโรคแพนิคเนี่ยบางทีหาเหตุไม่ได้
00:18:36 → 00:18:39 อยากจะเป็นก็เป็นน่ะเออไอ้อาการหัวใจเต้น
00:18:39 → 00:18:42 เหงื่อแตกนะหายใจไม่อิ่มวนท้องเนี่ยบางคน
00:18:42 → 00:18:45 จะเป็นลมนะบางคนรู้สึกว่าแบบโอจะไม่
00:18:45 → 00:18:48 สามารถทรงตัวได้หรือว่ารู้สึกว่าตัวเอง
00:18:48 → 00:18:51 เหมือนกับจะตายอ่ะบางคนมีมีความคิดเป็น
00:18:51 → 00:18:53 อัตโนมัติขึ้นมาแบบนี้เหมือนกันซึ่งเอ๊ะ
00:18:53 → 00:18:56 อาการเหล่าเนี้ยอยู่ๆเกิดตอนไหนก็ไม่รู้
00:18:56 → 00:18:59 เกิดมันอยู่ๆมันอย่าเกิดมันก็เกิดเกิด
00:18:59 → 00:19:01 เกิดได้ทุกที่ทุกเวลาอ่าแล้วประเด็นคือ
00:19:01 → 00:19:04 บางทีมันไปเกิดในสถานการณ์ที่มันอันตราย
00:19:04 → 00:19:07 อย่างเช่นขับรถอยู่แล้วเกิดอย่าเงี้ยบาง
00:19:07 → 00:19:09 คนต้องจอดรถเลยไอ้สถานการณ์เมันเริ่มเกิด
00:19:09 → 00:19:12 บ่อยฮะจนเริ่มรบกวนการใช้ชีวิตละประชุม
00:19:12 → 00:19:15 อยู่แพนิคขับรถอยู่แพนิคอันนี้ก็คือเริ่ม
00:19:15 → 00:19:18 เป็นโรคถ้ามันเริ่มเกิดในสถานการณ์ที่ไม่
00:19:18 → 00:19:21 ได้มีสาเหตุหรือว่าไม่ได้มีความสัมพันธ์
00:19:21 → 00:19:24 กันอย่างเช่นอาการอาการก็แค่แบบว่าเราจะ
00:19:24 → 00:19:26 ต้องไปเจอไอดอลนั้นเราตื่นเต้นแต่อันนี้
00:19:26 → 00:19:29 การเป็นโรคนี่คือมาตอนไหนก็ใช่เกิดทุกที่
00:19:29 → 00:19:33 ทุกจะรบกวนการใช้ชีวิตอันนี้ก็คือควรที่
00:19:33 → 00:19:37 จะไปปรึกษาอิอันแน่นอนนะอันนี้ต้องต้องไป
00:19:37 → 00:19:40 เพราะว่าประธานหลักๆเนี่ยมันก็คือการที่
00:19:40 → 00:19:43 เราจะต้องทำให้สมองผ่อนคลายเพราะฉะนั้น
00:19:43 → 00:19:46 เนี่ยมันก็จะมีวิธีการรักษาหลายอย่างนะ
00:19:46 → 00:19:48 ทั้งในเรื่องของของยาเองก็สำคัญถ้าเกิด
00:19:48 → 00:19:52 ว่าเอ่อแพนิคเนี่ยมันเริ่มไปรบกวนการใช้
00:19:52 → 00:19:55 ชีวิตอย่างที่บอกอ่ะบางทีมันเกิดในเวลา
00:19:55 → 00:19:57 ที่มันอาจจะเป็นอันตรายได้แต่ถ้าเกิด
00:19:57 → 00:20:00 สมมุติว่าเป็นแพแิกเฉยๆอันนี้จริงๆถ้าไม่
00:20:00 → 00:20:03 ไม่มีเหตุก็จะไม่เกิดถูกมยค่ะอ่าหรือบาง
00:20:03 → 00:20:09 คนเป็นทุกครั้งที่จะต้องพรีเซนงานอันนี้
00:20:09 → 00:20:13 ก็มาฝึกการคลายกังวลได้ฝึกยังไงคะการคลาย
00:20:13 → 00:20:15 กังวลอย่างเช่นเมื่อตะกี้เนี่ยยกตัวอย่าง
00:20:15 → 00:20:18 เรื่องของการที่สมมุติเราต้องพรีเซนงาน
00:20:18 → 00:20:20 แล้วก็รู้สึกทุกครั้งแน่นอนก็จะเป็น
00:20:20 → 00:20:22 เรื่องของการเตรียมตัวเพราะเหตุมันชัดเจน
00:20:22 → 00:20:27 ใช่มยออันที่ 2 ฝึกการหายใจอันนี้สำคัญ
00:20:27 → 00:20:30 มากสำหรับแนิก็คือการที่เวลาเราเกิดแพนิค
00:20:30 → 00:20:33 เนี่ยเราจะหายใจสั้นเราจะรู้สึกหายใจไม่
00:20:33 → 00:20:35 ค่อยอิ่มดังนั้นเนี่ยความอัตโนมัติมันจะ
00:20:35 → 00:20:38 เกิดขึ้นแบบนั้นดังนั้นถ้าเรารู้ตัวว่า
00:20:38 → 00:20:42 เฮ้ยเราหายใจแบบนี้เราตั้งใจที่จะหายใจ
00:20:42 → 00:20:46 เข้าแล้วก็หายใจออกให้ยาวหายใจเข้ารู้สึก
00:20:46 → 00:20:50 ตัวหายใจออกผ่อนคลายหายใจเข้ารู้สึกตัว
00:20:51 → 00:20:53 หายใจออกผ่อนคลายหายใจเข้าแล้วหายใจออก
00:20:53 → 00:20:57 ให้ยาวๆยิ่งยาวเท่าไหร่สมองยิ่งรีแล็ก
00:20:57 → 00:21:01 สำคัญเลยก็คือก็คือเตรียมตัวแล้วใช่มยฝึก
00:21:01 → 00:21:04 การหายใจฝึกการผ่อนคลายแล้วฝึกเผชิญหน้า
00:21:04 → 00:21:09 อืเอเป็นการก้าวข้ามเลยใช่ค่ะต้องฝึก
00:21:09 → 00:21:12 เผชิญหน้าแล้วก็ต้องฝึกเท่าทันความคิด
00:21:12 → 00:21:15 จริงๆแพนิคเนี่ยสำคัญคือความคิดมันมักจะ
00:21:15 → 00:21:19 มีความคิดอัตโนมัติขึ้นมาแย่แน่ๆเลยเนาะ
00:21:19 → 00:21:24 หรือว่าเอ่อฉันจะตายมนะนะหรือว่าเอ่อฉัน
00:21:24 → 00:21:28 จะรอดมั้ยอะไรอย่างเงี้ยงั้นการเท่าทำ
00:21:28 → 00:21:32 ความคิดว่าเฮ้ยไอความคิดเนี้ยมันมันยิ่ง
00:21:32 → 00:21:35 ทำให้เราเครียดงั้นการรับรู้แล้วก็ให้
00:21:35 → 00:21:39 กำลังใจตัวเองไม่เป็นไรไม่
00:21:39 → 00:21:45 ตายนะเออใจเต้นยังไงไม่ตายอ่าหายใจไม่
00:21:45 → 00:21:49 อิ่มไม่ตายท้องใจปั่นป่วนไม่ตายเดี๋ยวมัน
00:21:49 → 00:21:53 ก็ผ่านไปการฝึกรับรู้มีสติฝึกรับรู้แล้ว
00:21:53 → 00:21:57 ก็เปลี่ยนคำพูดที่เรามีกับตัวเองอันนี้ก็
00:21:57 → 00:22:01 จะเป็นเอืที่เรา่เร่ิเหมือนกันสำคัญมากๆ
00:22:01 → 00:22:05 แล้วก็อาการแพนิคเท่าที่หนูฟังก็คือ
00:22:05 → 00:22:07 เรื่องของความเร็วต่างๆในชีวิตที่มันไม่
00:22:07 → 00:22:11 เท่าทันตัวเองก็ก็สำคัญอย่างถ้าเราใช้
00:22:11 → 00:22:15 โซเชียลไปบวกกับสมาธิสั้นอีกที่ไปเรื่อย
00:22:15 → 00:22:17 เลยอยู่แต่กส่งจิตออกนอกตลอดสนใจเรื่อง
00:22:17 → 00:22:19 นู้นเรื่องนี้ตลอดแล้วก็เกิดอาการแพนิค
00:22:19 → 00:22:21 ขึ้นกับตัวเองได้ก็คือสุดท้ายแล้วก็คือ
00:22:21 → 00:22:24 กลับมาอยู่กับลมหายใจกลับมารู้เท่าทันตัว
00:22:24 → 00:22:27 เองอ่ามันก็จะช่วยได้ใช่คราวนี้เมื่อกี้
00:22:27 → 00:22:31 แพนด้าบอกว่าทำไมเจอกับเด็กอ่าใช่ค่ะทำไม
00:22:31 → 00:22:34 เจอกับเด็กวัยรุ่นเยอะจังเลยก็ต้องบอกว่า
00:22:34 → 00:22:37 บางทีเขาอาจจะยังไม่ถึงขั้นโรคก็ได้อาจจะ
00:22:37 → 00:22:40 เป็นแค่อาการเรื่องของแพนิคซึ่งเอ่อก็
00:22:40 → 00:22:44 ต้องบอกว่าสิ่งสำคัญคือน้องๆในยุคนี้ 1
00:22:44 → 00:22:48 คือเขาสนใจจริงๆอาจจะมีมานานแล้วก็ได้นะ
00:22:48 → 00:22:50 เด็กวัยรุ่นสมัยก่อนก็อาจจะเป็นก็ได้อแต่
00:22:50 → 00:22:54 เพียงแค่ว่าไม่รู้ไม่รู้ว่าว่ามันคืออะไร
00:22:54 → 00:22:56 เหมือนโรคซุมเศร้าอ่ะถ้าเป็นสมัยก่อนไม่
00:22:56 → 00:22:59 มีนะตอนพี่เอิ้นเป็นวัยรุ่นอย่าเงี้เคือ
00:22:59 → 00:23:01 คำคำนี้นี่คือเอ๊ะอะไรตอนที่ยังไม่ได้
00:23:01 → 00:23:06 เรียนนะคือ 1 คือเค้าเสนใจมากขึ้นเค้า
00:23:06 → 00:23:12 เริ่มที่จะแบบหานิยามของสิ่งที่เป็นใช่มย
00:23:12 → 00:23:15 มากขึ้นเรื่อยๆอันที่ 2 คือเด็กๆสมัย
00:23:15 → 00:23:18 เนี้ยอยู่ท่ามกลางการแข่งขันที่สูงจริง
00:23:18 → 00:23:21 ค่ะอุ๊ยหนูก็ชื่นชมน้องๆนะถ้าหนูอยู่ใน
00:23:21 → 00:23:24 วัยน้องๆหนูก็แบบโหเครียดมากเลยอ่ะโหแต่
00:23:24 → 00:23:27 หนูก็ยังดูหน้าเด็กอยู่นะหนูยังหน้าน้องๆ
00:23:27 → 00:23:32 อยู่นะขอบคุณค่ะเออน้องๆนี่ต้องบอกว่า
00:23:32 → 00:23:34 ขนาดพี่เอิ้นยังรู้สึกนับถือเขานะค่ะเ
00:23:34 → 00:23:37 ต้องแข่งขันเขต้องต่อสู้อันนี้ไม่รวมถึง
00:23:37 → 00:23:40 กับความเปลี่ยนแปลงของโลกที่มันเร็วมากๆ
00:23:40 → 00:23:42 อ้าอยู่ๆตอนนี้กลายเป็นยุค AI ไปแล้วอ่ะ
00:23:43 → 00:23:46 ถูกต้องค่ะเดี๋ยวนี้เรียนต้องใช้ iPad
00:23:46 → 00:23:51 อ้าอยู่ๆอ้า AI หลายอย่างเริ่มเก่งกว่า
00:23:51 → 00:23:54 เราละเริ่มเริ่มเริ่มไม่ต้องมีนี่เรียนมา
00:23:54 → 00:23:58 ตั้งนานเนี่ยอยู่ๆปึ๊บอ้าวเคโยนงานทำทำ
00:23:58 → 00:24:01 แอนิเมชั่นแต่ก่อนนะคนทำแอนนิเมชั่นเนี่ย
00:24:01 → 00:24:04 นะโอ้โหต้องบางทีต้องไปเรียนต่างประเทศ
00:24:04 → 00:24:08 ด้วยำนะในยุคแรกแๆนะการลงทุนแบบสูงมาก
00:24:08 → 00:24:12 เดี๋ยวนี้โยนข้อมูลไปคือนอกจากการแข่งขัน
00:24:12 → 00:24:15 ที่สูงเนี่ยการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วต้อง
00:24:15 → 00:24:19 บอกว่าเกำลังอยู่บนโลกที่ความเครียดกลาย
00:24:19 → 00:24:21 เป็นเรื่องปกติกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต
00:24:21 → 00:24:25 ประจำวันใช่ๆดังนั้นถ้าเกิดเราไม่สามารถ
00:24:25 → 00:24:28 ที่จะปรับตัวกับความเปลี่ยนแปลงได้เราก็
00:24:28 → 00:24:31 มีโอกาสที่ใจเราจะพังได้เหมือนกันอุ๊ยการ
00:24:31 → 00:24:33 จะใช้ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ต้องเก่งจัง
00:24:33 → 00:24:38 เลยใช่มั้ยคะเออทำไมแพนด้ายิ่งคุยกับพี่
00:24:38 → 00:24:40 เอิ้นยิ่งท้อ
00:24:40 → 00:24:44 เนาะอันนี้เป็นวัยรุ่นค่ะหนูเลยมาแล้วนิด
00:24:44 → 00:24:47 หน่อยหนูเลยมาแล้วที่่อยออเด็กๆแล้วก็วัย
00:24:47 → 00:24:51 รุ่นหรือเยาวชนเนี่ยค่ะก็โตมาจากการอบรม
00:24:51 → 00:24:53 สั่งสอนของคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองอือฮึที
00:24:54 → 00:24:56 นี้อาจจะเคยได้ยินนิยามที่บอกว่าเด็กคือ
00:24:56 → 00:24:58 ผ้าขาวหรือเปล่าที่คุณพ่อคุณแม่สั่งสอน
00:24:58 → 00:25:01 อะไรก็คือเขาจะมีความเข้าใจความเชื่อแบบ
00:25:01 → 00:25:03 นั้นแล้วมีความเชื่ออะไรมยคะที่คุณพ่อคุณ
00:25:03 → 00:25:07 แม่ควรระวังเพราะว่าความเชื่อเนี้ยอาจจะ
00:25:07 → 00:25:11 สอนไปแล้วแล้วส่งผลระยะยาวกับลูกหลานได้
00:25:11 → 00:25:14 คุณพ่อคุณแม่แต่ละคนไม่เหมือนกันค่ะวิธี
00:25:14 → 00:25:16 การคิดแต่ละคนไม่เหมือนกันเพราะฉะนั้น
00:25:16 → 00:25:21 เนี่ยเราคงจะไม่ได้มีชุดความเชื่ออะไรที่
00:25:21 → 00:25:24 เหมือนใช้ได้กับคุณพ่อคุณแม่ทุกคนเนาะแต่
00:25:24 → 00:25:27 ว่ามีคีย์ให้เราสังเกตตัวเองและระวังใน
00:25:28 → 00:25:31 เร่เรื่องของความเชื่ออ่ะให้ไปสำรวจนะก็
00:25:31 → 00:25:33 คือว่าตอนสมัยเราเด็กๆอ่ะตอนที่เราเป็น
00:25:33 → 00:25:37 ลูกอ่ะแล้วเรามองพ่อแม่มันมีมยที่เราเคย
00:25:38 → 00:25:41 คิดว่าถ้าฉันเป็นพ่อเป็นแม่ฉันจะไม่ทำแบบ
00:25:41 → 00:25:44 นี้หรือเรามีความรู้สึกที่เราอยากจะชดเชย
00:25:44 → 00:25:48 ตัวเองมตอนเด็กๆไม่ได้เลยของเล่นที่บ้าน
00:25:48 → 00:25:50 อาจจะลำบากเงี้ยฉันอยากได้ของเล่นถ้าฉัน
00:25:51 → 00:25:54 มีลูกลูกอยากได้อะไรต้องได้อย่างเงี้ยเรา
00:25:54 → 00:25:56 จะให้ในสิ่งที่เราไม่เคยได้กับลูกเพราะ
00:25:56 → 00:26:00 ฉะนั้นเนี่ยสิ่งที่เราต้องระวังที่สุด
00:26:00 → 00:26:03 ซึ่งมันจะเป็นที่มาของความเชื่อที่บิด
00:26:03 → 00:26:06 เบี้ยวของคุณพ่อคุณแม่คือเรากำลังชดเชย
00:26:06 → 00:26:09 อะไรตัวเองหรือเปล่าเพงั้นชีวิตเราไม่ใช่
00:26:09 → 00:26:13 ชีวิตลูกงั้นสิ่งที่ระวังก็คือว่ายุคสมัย
00:26:13 → 00:26:16 ก็ไม่เหมือนกันการเติบโตของเรากับลูกก็
00:26:16 → 00:26:18 ไม่เหมือนกันคือทุกอย่างมันไม่มีอะไร
00:26:18 → 00:26:19 เหมือนกันน่ะเพราะฉะนั้นเอาทาบกันไม่ได้
00:26:19 → 00:26:22 อ่ะถ้าสมมุติว่าวันนี้ฉันไปทบทวนตัวเอง
00:26:22 → 00:26:27 แล้วนะเออแล้วก็เห็นแล้วว่าเนี่ยเราเคย
00:26:27 → 00:26:29 เคยมีความคิดความเชื่อหรือว่าเรากำลังจะ
00:26:29 → 00:26:32 ชดเชยอะไรอยู่อะไรเงี้ยให้คุณพ่อคุณแม่
00:26:32 → 00:26:36 เนี่ยคือมองเห็นสิ่งที่อยากจะชดเชยนั้น
00:26:36 → 00:26:38 แล้วก็ให้รับรู้ว่าอันนั้นน่ะมันเป็นของ
00:26:38 → 00:26:41 เราอมันเป็นสิ่งที่เราอยากได้แล้วโค้ชคำ
00:26:41 → 00:26:45 นี้นะให้สังเกตว่าลูกอยากได้มยสังเกตด้วย
00:26:45 → 00:26:50 วิธีไหนคะอ่าสังเกตได้อย่างเช่นแต่ก่อนนะ
00:26:50 → 00:26:53 อยากเรียนอะไรไม่ได้เรียนคนนี้พอมีลูก
00:26:53 → 00:26:56 เดี๋ยวเทนนิสเดี๋ยวบัลเล่เดี๋ยวเขกิจกรรม
00:26:56 → 00:26:59 เพียบเลยเพงั้นเนี่ยถ้าเราชดเชยเนี่ยเรา
00:26:59 → 00:27:01 จะจัดตารางให้ลูกเรียบร้อยเลยว่าต้อง
00:27:01 → 00:27:05 เรียนดนตรีแล้วไปเรียนเปียโนแล้วไปเรียน
00:27:05 → 00:27:08 กีฬาแล้วอะไรอย่างเงี้ยนึกออกมั้ยค่ะเออ
00:27:08 → 00:27:11 แต่ถ้าเกิดบอกว่าเราสังเกตเนี่ยก็คือว่า
00:27:11 → 00:27:13 เราอาจจะลองพาเ้าไปเรียนเนาแล้วลองดูว่า
00:27:13 → 00:27:17 เขาชอบมเมีความสุขมถ้าเชอบเมีความสุขเบอก
00:27:17 → 00:27:20 อุ้ยหนูอยากเรียนต่อโอก็ไปก็ไปได้ละแต่
00:27:20 → 00:27:23 ถ้าเกิดเขาเริ่มต่อต้านเหลายบ้านที่เอิ้น
00:27:23 → 00:27:25 ก็จะเห็นว่าเด็กเริ่มต่อต้านเริ่มงองแง
00:27:25 → 00:27:27 เริ่มไม่อยากไม่เรียนพ่อแม่ก็เริ่ม
00:27:27 → 00:27:30 หงุดหงิดนี่อุตส่าห์หาครูให้เนี่ยเสีย
00:27:30 → 00:27:32 ตังค์ทำไมไม่ตั้งใจเรียนอย่างเงี้ยกลาย
00:27:32 → 00:27:35 เป็นคอนฟลิกนี่คือการสังเกตแล้วก็อาจจะ
00:27:35 → 00:27:37 ต้องรู้ว่าความต้องการของเรากับความ
00:27:37 → 00:27:40 ต้องการของลูกอาจจะเป็นคนละก้อนกันความ
00:27:40 → 00:27:43 ต้องการกับความคาดหวังเหมือนกันมั้ยคะ
00:27:43 → 00:27:46 หรือว่าไม่ใช่พี่เอิ้นว่าความคาดหวังจะ
00:27:46 → 00:27:50 หนักกว่าคือความต้องการเนี่ยบางทีมันอาจ
00:27:50 → 00:27:53 จะถูกตอบสนองมันเหมือนกับเป็นการที่เรา
00:27:53 → 00:27:56 ต้องการรับได้รับการตอบสนองกความคาดหวัง
00:27:56 → 00:28:00 เนี่ยเหมือนเราความต้องการเนี้ยไปคาดกับ
00:28:00 → 00:28:03 คนอื่นไปคาดกับสิ่งที่อยู่ข้างนอกอีกแล้ว
00:28:03 → 00:28:05 หวังว่ามันจะได้เรียกได้ว่าเอาภาระไปให้
00:28:05 → 00:28:08 เขาคอ่ะถ้าเขารับความคาดหวังนั้นเขาก็แบก
00:28:08 → 00:28:13 แต่ถ้าเกิดเขาตีตกเราก็ผิดหวังเนาะอืแล้ว
00:28:13 → 00:28:15 ถ้าสมมุติว่าเราเป็นคุณพ่อคุณแม่ที่มี
00:28:15 → 00:28:18 ความคาดหวังกับลูกแล้วเราก็อาจจะเคยผ่าน
00:28:18 → 00:28:20 เฟสนั้นมาแล้วก็ได้ที่เอาความคาดหวังไป
00:28:20 → 00:28:23 ให้แล้วอาจจะเป็นลูกที่มีความเข้มแข็งทาง
00:28:23 → 00:28:26 จิตใจคือเไม่รับแล้วไอ้ความคาดหวังที่ถูก
00:28:26 → 00:28:29 ตีกลับมาที่คุณพ่อคุณแม่จัดการยังไงดีคะ
00:28:29 → 00:28:31 จริงๆอันนี้ไม่ใช่แค่พ่อแม่นะคะพี่เอิ้น
00:28:31 → 00:28:35 คิดว่าเป็นเรื่องของเราทุกคนเลยก็คือทุก
00:28:35 → 00:28:38 คนเลยความคาดหวังของใครคนนั้นรับผิดชอบ
00:28:38 → 00:28:40 ถามว่าเรามีสิทธิ์คาดหวังไหมเราก็มี
00:28:40 → 00:28:43 สิทธิ์คาดหวังแต่เพียงแค่ว่าเราไม่มี
00:28:43 → 00:28:45 สิทธิ์เอาความคาดหวังของเราไปฝากไว้ที่
00:28:45 → 00:28:48 ใครเพราะความคาดหวังก็เป็นความคิดอย่าง
00:28:48 → 00:28:52 นึงซึ่งมันห้ามไม่ได้อ่ะเราเรายังไม่ได้
00:28:52 → 00:28:55 แบบปล่อยวางขนาดนั้นน่ะอเออมันมันเป็น
00:28:55 → 00:28:58 ความออโตเมติกที่เกิดขึ้นได้แต่ว่าสิ่ง
00:28:58 → 00:29:01 ที่เราจะต้องรับรู้และตระหนักเสมอก็คือ
00:29:01 → 00:29:06 ว่ามันมีโอกาสเจ็บปวดแน่นอนถ้าเกิดเราให้
00:29:06 → 00:29:09 คนอื่นรับผิดชอบความคาดหวังของเราหัวใจ
00:29:09 → 00:29:13 เลยตรงนี้ใช่อืดังนั้นเนี่ยเรามีสิทธิ์
00:29:13 → 00:29:16 ที่จะคาดหวังแล้วเราก็มีสิทธิ์ที่จะผิด
00:29:16 → 00:29:18 หวังถ้าเกิดเราเอาความหวังไปฝากไว้ที่คน
00:29:18 → 00:29:21 อื่นแต่ถ้าเกิดเราไม่ฝากไว้ที่คนอื่น
00:29:21 → 00:29:23 เพราะฉะนั้นเนี่ยเราก็ต้องดูแลความคาด
00:29:23 → 00:29:26 หวังของเราพฤติกรรมอะไรบ้างที่คุณพ่อคุณ
00:29:26 → 00:29:28 แม่หรือผู้ปกครองอ่ะควรระมัดระวังเพราะ
00:29:28 → 00:29:31 ว่าการกระทำสิ่งเนี้ยหรือการพูดสิ่งเนี้ย
00:29:31 → 00:29:35 อาจจะทำให้เกิดปมในใจกับลูกเราได้สำคัญคำ
00:29:35 → 00:29:38 พูดเลยเนาะคำพูดที่เปรียบเทียบส่อเสียด
00:29:38 → 00:29:43 ประชดประชันอันนี้คือความรุนแรงทางวาจา
00:29:43 → 00:29:47 ที่มีโอกาสที่จะเกิดแผลทางใจได้เอาจริงๆ
00:29:47 → 00:29:49 นะพ่อแม่จำไม่ได้หรอกเพราะว่าอะไรเพราะ
00:29:49 → 00:29:52 ว่าตอนพูดมักมีอารมณ์บางอย่างไอ้แผนนั้น
00:29:52 → 00:29:56 น่ะมันมักจะไปปรากฏในใจของลูกมันมักจะผิ
00:29:56 → 00:30:00 ดอกออกผลไปเป็นปัญหาต่างๆบางทีพ่อแม่ลืม
00:30:00 → 00:30:04 ไปแล้วอ่ะแต่ว่าความเจ็บใจอ่ะลูกจะไม่
00:30:04 → 00:30:07 ค่อยลืมให้เราแยกนิดนึงนะว่าเอ้ยอย่างงี้
00:30:07 → 00:30:10 ลูกแตะต้องไม่ได้เลยหรือเปล่านะพูดไม่ได้
00:30:10 → 00:30:15 เลยก็คือไม่ใช่นะแต่เพียงแค่ว่าอะไรที่
00:30:15 → 00:30:20 เอ่อมันนำด้วยอารมณ์แสดงออกด้วยคำพูดอัน
00:30:20 → 00:30:23 นี้ต้องระวังเออเราบอกเราไม่ไม่ไม่อยาก
00:30:23 → 00:30:27 ให้ให้ลูกมีแบบพฤติกรรมแบบนี้หรือเวลาเรา
00:30:27 → 00:30:30 ท้อกันเราไม่อยากให้ลูกขึ้นเสียงเงี้ยอัน
00:30:30 → 00:30:32 บางทีเราก็ต้องดูตัวเราด้วยว่าแล้วเราใช้
00:30:32 → 00:30:35 น้ำเสียงยังไงกับเขาดีที่สุดก็คือว่าเรา
00:30:35 → 00:30:38 อยากให้ลูกเป็นยังไงตัวเราต้องเริ่มเป็น
00:30:38 → 00:30:41 อย่างนั้นก่อนงั้นเนี่ยถ้าเกิดว่าเราเป็น
00:30:41 → 00:30:44 อย่างนั้นแล้วลูกยังเป็นอีกแบบอันนี้ต้อง
00:30:44 → 00:30:48 มาทำความเข้าใจแสดงว่ามันมีการรับรู้อะไร
00:30:48 → 00:30:50 บางอย่างของลูกที่ยังผิดเพี้ยนอยู่หรือ
00:30:50 → 00:30:54 เปล่าต้องมาคุยกันการสื่อสารที่ดีใน
00:30:54 → 00:30:57 ครอบครัวก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆใช่อันนี้
00:30:57 → 00:31:01 พี่อิ้นไม่ไปพูดถึงเรื่องของเอ่อความ
00:31:01 → 00:31:03 รุนแรงทางด้านร่างกายไม่ควรเกิดขึ้นทุก
00:31:03 → 00:31:06 ที่อยู่แล้วแต่ว่าั้นเนี่ยอาจจะเป็นความ
00:31:06 → 00:31:10 รุนแรงที่ไม่ได้มองเห็นด้วยตาแต่ว่าปรากฏ
00:31:10 → 00:31:15 ที่ใจก็คือความรุนแรงทางด้านวาจาสำคัญและ
00:31:15 → 00:31:16 ตรา
00:31:16 → 00:31:20 ตรึงใช่มยเราจะมีเราจะมีสิ่งที่ตราตรึง
00:31:20 → 00:31:22 อยู่ในใจใช่ค่ะแล้วรบออกไปได้ยากมากอะไร
00:31:22 → 00:31:26 งี้อใช่ค่ะในอีกมุมนึงที่เป็นคุณพ่อคุณ
00:31:26 → 00:31:28 แม่ที่อาจจะมีปมในจใจเหมือนกันหรืออาจจะ
00:31:28 → 00:31:31 ไม่เรียกว่าปมก็ได้อาจจะเป็นบาดแผลทางจิต
00:31:31 → 00:31:34 ใจที่รู้สึกว่าเลี้ยงลูกได้ไม่ดีพอหรือ
00:31:34 → 00:31:39 ว่าเราทำให้ลูกมีปมอ่าความรู้สึกผิดหวัง
00:31:39 → 00:31:41 ในตัวเองของคุณพ่อคุณแม่ที่เกิดขึ้นเนี่ย
00:31:41 → 00:31:44 ค่ะพี่เอิลคุณพ่อคุณแม่จะจัดการกับมันยัง
00:31:44 → 00:31:46 ไงดีหรือว่าจะมีวิธีการเยียวยาความรู้สึก
00:31:46 → 00:31:49 นี้ยังไงได้บ้างคะเราอาจจะต้องเมตตาตัว
00:31:49 → 00:31:52 เองด้วยเนาะเราก็ไม่เคยเป็นพ่อแม่ใครมา
00:31:52 → 00:31:57 ก่อนใช่ๆถูกมยทุกคนเรามักมีครั้งแรกเสมอ
00:31:57 → 00:32:00 แล้วครั้งแรกแกอ่ะเราก็ทำดีได้เท่าที่เรา
00:32:00 → 00:32:05 ทำได้ตอนนั้นการที่อดีตเนี่ยมันเข้ามาใน
00:32:05 → 00:32:08 ความคิดของเราเนี่ยบางทีมันมาเพื่อให้เรา
00:32:08 → 00:32:11 มองเห็นแล้วเรียนรู้เออแล้วฉันจะอยู่กับ
00:32:11 → 00:32:16 ปัจจุบันยังไงงั้นปัจจุบันที่ดีจะนำไปสู่
00:32:16 → 00:32:19 อนาคตที่ดีไม่ใช่อดีตไม่มีความหมายนะอดีต
00:32:19 → 00:32:22 อ่ะก็มีความหมายยิ่งอดีตที่เจ็บปวดก็มี
00:32:22 → 00:32:26 ความหมายแต่สิ่งสำคัญก็คือเรามองเห็นไหม
00:32:26 → 00:32:29 ว่าอดีตที่ผิดพลาดนั้นให้ของขวัญอะไรกับ
00:32:29 → 00:32:32 เราในปัจจุบันที่สำคัญที่สุดเลยฉันไม่เคย
00:32:32 → 00:32:35 เป็นพ่อแม่ใครมาก่อนเนาะเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:32:35 → 00:32:37 เราก็ทำดีที่สุดเท่าที่เหตุปัจจัยเรามีใน
00:32:37 → 00:32:42 วันนั้นแล้วอืจริงค่ะเมตตาตัวเองอืใช่ไม่
00:32:42 → 00:32:45 ว่าเราจะอยู่ในบทบาทไหนก็ตามก็ใจดีกับตัว
00:32:45 → 00:32:47 เองหน่อยปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัวที่
00:32:47 → 00:32:49 อาจจะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนน่ะค่ะอือ
00:32:49 → 00:32:53 อ่าแล้วมันอาจจะทำให้เกิดความบั่นทอน
00:32:53 → 00:32:55 กำลังใจของเราไม่ว่าเราจะเป็นคุณพ่อคุณ
00:32:55 → 00:32:57 แม่หรืออาจจะเป็นลูกก็ตามเป็นสมาชิกใน
00:32:57 → 00:33:00 ครอบครัวนี่แหละเราจะมีวิธีการสร้างกำลัง
00:33:00 → 00:33:02 ใจให้กับตัวเองได้ยังไงบ้างคะเราต้องเข้า
00:33:02 → 00:33:06 ใจว่าเรามีคนเดียวในโลกเนเราไม่มีใคร
00:33:06 → 00:33:08 เหมือนกันอยู่แล้วพ่อแม่ก็คงไม่เหมือนเรา
00:33:08 → 00:33:10 เราก็ไม่เหมือนพ่อแม่เอ่อพี่ก็ไม่เหมือน
00:33:10 → 00:33:13 น้องน้องก็ไม่เหมือนพี่เรามีความแตกต่าง
00:33:13 → 00:33:16 กันเป็นธรรมชาติเพรางั้นปัญหาคือเรา
00:33:17 → 00:33:19 พยายามอยากให้เหมือนกันน่ะเราพยายามอยาก
00:33:19 → 00:33:22 ให้คิดเหมือนกันอยากให้รู้สึกเหมือนกัน
00:33:22 → 00:33:24 อยากให้มีเป้าหมายเดียวกันอยากให้คาดหวัง
00:33:24 → 00:33:27 กันเพราะฉะนั้นเนี่ยอันนี้มันก็จะทำให้
00:33:27 → 00:33:29 เราสามารถที่จะมีความขัดแย้งกันได้ง่าย
00:33:29 → 00:33:32 เพราะต่างคนก็มีความเป็นตัวของตัวเองเนา
00:33:32 → 00:33:35 เพราะฉะนั้นเนี่ยคือการยอมรับว่าเราก็
00:33:35 → 00:33:37 เป็นเราเขเก็เป็นเเราไม่จำเป็นต้องเหมือน
00:33:37 → 00:33:40 กันอันที่ 2 ก็คือเราจะอยู่กับความแตก
00:33:40 → 00:33:42 ต่างนั้นได้อย่างไรอย่างเป็นสุขในเมื่อ
00:33:42 → 00:33:44 เราเกิดมาอยู่ในความสัมพันธ์ที่อยากขาด
00:33:44 → 00:33:46 กันไม่ได้เนาะงั้นเป็นแฟนยังอยากขาดได้
00:33:46 → 00:33:49 ใช่มยเออเป็นเพื่อนเลิกคบได้แต่คนใน
00:33:49 → 00:33:52 ครอบครัวเนี่ยยังไงก็อยากขาดไม่ได้นะเรา
00:33:52 → 00:33:56 อาจจะต้องเริ่มเรียนรู้กระบวนการที่
00:33:56 → 00:33:58 เชื่อมโยงความแตกต่าง
00:33:58 → 00:34:01 ก็คือว่าอย่างเช่นทักษะการรู้จักฟังกัน
00:34:01 → 00:34:03 รู้จักให้กำลังใจกันการรู้จักที่จะสื่อ
00:34:03 → 00:34:06 สารกันสำคัญที่สุดก็คือว่าเราทำตัวเรา
00:34:06 → 00:34:09 ก่อนเราอย่าไปคาดหวังว่าลูกต้องทำพ่อต้อง
00:34:09 → 00:34:13 ทำแม่ต้องทำพี่ต้องทำน้องต้องทำเรารู้สึก
00:34:13 → 00:34:16 ว่าเราเป็นคนยังไงที่เราสามารถที่จะเติม
00:34:16 → 00:34:20 เต็มความสุขแบบให้กับตัวเองได้โดยที่ไม่
00:34:20 → 00:34:24 เดือดร้อนใครแล้วเราเผลอแผ่ความรักความ
00:34:24 → 00:34:27 เมตตานั้นได้เราเรากลับมาจัดการตัวเอง
00:34:27 → 00:34:29 ก่อนความรักมันจะทำงานของมันเองโดยเฉพาะ
00:34:29 → 00:34:31 คนในครอบครัวเนาะมนุษย์เราเกิดมาเพื่อ
00:34:31 → 00:34:33 พึ่งพากันอยู่แล้วงั้นเนี่ยครอบครัวเรา
00:34:34 → 00:34:36 เกิดมาเพื่อรักกันนะเราไม่ได้เกิดมาเพื่อ
00:34:36 → 00:34:39 เกียรติกันการที่เราเริ่มกลับมาดูแลใจตัว
00:34:39 → 00:34:44 เองเนาะมีสติมีเมตตากับตัวเองมีความกรุณา
00:34:44 → 00:34:46 กับคนในครอบครัวของเราเนี่ยความรักมันจะ
00:34:46 → 00:34:49 ทำงานเองแล้วในการสร้างกำลังใจตรงเค่ะพี่
00:34:49 → 00:34:53 เอิ้นสมาธิมีส่วนช่วยยังไงบ้างมยคะสมาธิ
00:34:53 → 00:34:58 มีส่วนช่วยทำให้เราตั้งสติได้ง่ายต้อง
00:34:58 → 00:35:00 เข้าใจว่าสมาธิมันคือการที่เราต้องตั้งใจ
00:35:00 → 00:35:02 อ่ะถ้าเราปล่อยตัวเองไปตามกระแสของโลกไป
00:35:02 → 00:35:05 ตามกระแสของอารมณ์ไปตามกระแสของความคิด
00:35:05 → 00:35:08 เรื่อยๆอ่ะเราก็จะตั้งต้นไม่ได้ถูกมยเออ
00:35:09 → 00:35:11 เพราะงั้นความรู้มันจะกลายเป็นความหลบ
00:35:11 → 00:35:13 งั้นเราต้องเริ่มต้นจากการที่เราอาจจะ
00:35:13 → 00:35:19 ต้องมีสมาธิคือตั้งใจตั้งใจที่จะมีอารมณ์
00:35:19 → 00:35:22 อะไรสักอย่างที่เป็นสุขตั้งใจที่จะสงบ
00:35:22 → 00:35:26 บ้างตั้งใจที่จะรู้สึกตัวบ้างนะแล้วมันก็
00:35:26 → 00:35:29 จะทำให้เราตั้งสติได้ง่ายเราก็จะเริ่มรู้
00:35:29 → 00:35:32 ทันแล้วเราก็จะเริ่มอย่างที่บอกเราจะ
00:35:32 → 00:35:35 เริ่มมี Space เราจะเริ่มมีช่องว่างเราจะ
00:35:35 → 00:35:38 เริ่มมีทางเลือกกับชีวิตของตัวเราแล้วก็
00:35:38 → 00:35:41 คนอื่นคุณพ่อคุณแม่เนี่ยควรจะปลูกฝัง
00:35:41 → 00:35:43 นิสัยอะไรให้กับลูกเพื่อที่เขาเนี่ยเติบ
00:35:43 → 00:35:46 โตไปจะเป็นคนที่มีสุขภาพจิตใจที่ดีค่ะก็
00:35:46 → 00:35:50 คือ 1 นะคือเรื่องของความเมตตาการเมตตา
00:35:50 → 00:35:54 ตรงนี้เนี่ยก็คือไม่ใช่แค่เราเมตตาคนอื่น
00:35:54 → 00:35:57 นะคือลูกก็ต้องฝึกที่จะเมตตาตัวเองได้ได้
00:35:57 → 00:36:01 ด้วยเมตตาตัวเองแล้วก็เมตตาคนอื่นอันที่ 2
00:36:01 → 00:36:04 คือต้องไม่เบียดเบียนเพราะว่าั้นมันจะ
00:36:04 → 00:36:07 เป็นจุดตัดของของความเห็นแก่ตัวก็คือว่า
00:36:08 → 00:36:10 คือเราจะทำอะไรสักอย่างเรามีสิทธิ์ที่จะ
00:36:10 → 00:36:12 เราทำเพื่อตัวเองได้เนาะแต่ว่าต้องไม่
00:36:12 → 00:36:14 เบียดเบียนคนอื่นไม่เบียดเบียนตัวเองนึก
00:36:14 → 00:36:17 ออกมยค่ะหรือสมมุติว่าเลือกไม่ได้อ่ะคุณ
00:36:17 → 00:36:19 ก็ต้องรับรู้ว่าเลือกที่จะเบียดเบียนไม่
00:36:19 → 00:36:24 ใช่มาตีโพยตีพายทีลักลูกที่จะเมตตาตัวเอง
00:36:24 → 00:36:27 แล้วก็คนอื่นเนาะเป็นสิ่งที่สำคัญอันที่ 2
00:36:27 → 00:36:30 จริงๆคือการมีความอดทนในยุคสมัยนี้นะก็
00:36:30 → 00:36:33 คือมันก็จะเป็นเรื่องของตัวตัว EF อ่ะ
00:36:33 → 00:36:35 executive ฟังก์ชันอย่างหนึ่งก็คือการ
00:36:35 → 00:36:39 ที่เขาสามารถที่จะทนอยู่กับปัญหาได้ตอน
00:36:39 → 00:36:42 เนี้ยคือปัญหากลายเป็นเรื่องปกติอืใช่ค่ะ
00:36:42 → 00:36:45 นะความเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติความเร็ว
00:36:45 → 00:36:48 เรืเพราะฉะนั้นเนี่ยเขต้องเจอสิ่งที่มัน
00:36:48 → 00:36:52 ไม่ถูกใจอยู่แล้วเค้าจะอยู่รอดปลอดภัยมี
00:36:52 → 00:36:55 ความสุขและความสำเร็จได้ก็ต้องมีความอดทน
00:36:56 → 00:37:00 เป็นพื้นฐานอดทนรอโอกาสอดทนที่จะทำในสิ่ง
00:37:00 → 00:37:04 ที่ตัวเองไม่อยากทำบ้างการมีวิลัยเนี่ยดี
00:37:04 → 00:37:09 แต่ไม่ถึงกับกดดันตัวเองจนเกินไปบางคนจัด
00:37:09 → 00:37:12 มากคือคือต้องบอกว่าแต่ละคนมันไม่เหมือน
00:37:12 → 00:37:15 กันจริงๆนะคือบางคนก็พ่อแม่ยกมือไหว้ช่วย
00:37:15 → 00:37:18 มีวินัยใได้มั้ยใช่มั้ยเออแต่บางคนหนูกด
00:37:18 → 00:37:20 ดันตัวเองน้อยกว่านี้ได้มั้ยพี่เอิ้นก็
00:37:20 → 00:37:24 เลยต้องใช้คำว่าการมีวินัยแต่พอดี
00:37:24 → 00:37:27 อันเนี้ยคนจะเริ่มพูดถึงน้อยนะแต่พี่
00:37:27 → 00:37:32 เอิ้นคิดว่ายังสำคัญอยู่คือความกตัญญูและ
00:37:33 → 00:37:36 ความนอบน้อมคำว่ากตัญญูเนี่ยไม่ค่อยมีพูด
00:37:36 → 00:37:40 ถึงในแบบในในที่อื่นนะนอกจากสังคมบ้านเรา
00:37:40 → 00:37:45 ออคือการระลึกถึงหรือว่ารู้คุณหรือว่า
00:37:45 → 00:37:49 ย้อนระลึกและยินดีกับคนที่เขาเคยทำดีกับ
00:37:49 → 00:37:52 เราใช่มยแล้วถ้าเกิดเรามีโอกาสที่จะช่วย
00:37:52 → 00:37:54 เหลือเขาเราก็คือได้ตอบแทนได้ช่วยเหลือ
00:37:55 → 00:37:57 เขาเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ห่างหายไปเหมือน
00:37:57 → 00:38:00 กันนะคะแล้วก็ส่วนใหญ่ถ้าเราสังเกตนะคน
00:38:00 → 00:38:04 ที่มีความกตัญญูเนี่ยเาจะมีความนอบน้อม
00:38:04 → 00:38:08 กับคนที่ให้คุณค่ากับเขาเขาคเห็นค่าคนที่
00:38:08 → 00:38:11 ให้คุณค่าทำไมสิ่งนี้สำคัญสำหรับเด็กยุค
00:38:11 → 00:38:13 ใหม่เลยนะเพราะมันคือที่มาของโอกาสสุด
00:38:13 → 00:38:17 ท้ายโอกาสยังอยู่กับคนรุ่นคุณพ่อคุณแม่นะ
00:38:17 → 00:38:20 โอกาสยังอยู่กับหัวหน้าใช่มยโอกาสยังอยู่
00:38:20 → 00:38:23 กับผู้บริหารโอกาสยังอยู่กับผู้ใหญ่เพราะ
00:38:23 → 00:38:26 ฉะนั้นเนี่ยการที่เด็กๆอ่ะค่ะมีคุณสมบัติ
00:38:26 → 00:38:30 เนี่ยเค้าไปอยู่ที่ไหนนะเคก็จะได้โอกาส
00:38:30 → 00:38:33 ค่ะอันนี้ก็จะเป็นเรื่องของนิสัยที่คุณ
00:38:33 → 00:38:35 พ่อคุณแม่จะช่วยกันปลูกฝังให้กับลูกๆเอา
00:38:35 → 00:38:38 ไว้เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันทางใจที่ดีใน
00:38:38 → 00:38:41 อนาคตได้หนูว่าคุณพ่อคุณแม่หลายๆท่านที่
00:38:41 → 00:38:44 กำลังฟังอยู่แล้วก็ฟังมาถึงตรงนี้นะคะน่า
00:38:44 → 00:38:47 จะได้ความรู้ความเข้าใจหลายๆอย่างเกี่ยว
00:38:47 → 00:38:50 กับเรื่องของจิตใจที่เกิดในอ่าลูกๆเรา
00:38:50 → 00:38:52 หรือว่าในครอบครัวของเราถ้าใครนะคะมีคำ
00:38:52 → 00:38:54 ถามอะไรนะคะสามารถฝากคำถามกันไว้ที่
00:38:54 → 00:38:57 คอมเมนต์ได้รัวๆเลยนะคะเดี๋ยวเราจะเอามา
00:38:57 → 00:39:02 ตอบใช่มคะค่ะผู้รับหน้าที่นะคะค่ะก็วัน
00:39:02 → 00:39:05 นี้ขอขอบคุณคุณหมอเอิ้นแล้วก็ขอบคุณทุก
00:39:05 → 00:39:08 ผู้ชมทุกๆคนด้วยนะคะสวัสดีค่ะ
00:39:08 → 00:39:26 [เพลง]
00:39:26 → 00:39:30 สั y