00:00:00 → 00:00:03 สวัสดีครับทุกคนเคยได้ยินโรคที่ชื่อว่า
00:00:03 → 00:00:07 โรคข้าวผัดไครับผมคิดว่าบางคนเนี่ยรู้จัก
00:00:07 → 00:00:11 บางคนไม่รู้จักแต่ผมเชื่อเลยครับว่ามัน
00:00:11 → 00:00:14 ต้องมีคนเคยเป็นแต่อาจจะไม่รู้ตัวโรคข้าว
00:00:14 → 00:00:17 ผัดคืออะไรนั้นวันนี้เดี๋ยวผมจะเล่าให้
00:00:17 → 00:00:20 ฟังนะครับทั้งสาเหตุการป้องกันการแก้ไขนะ
00:00:20 → 00:00:23 ครับพบกับผมนะครับนายแพทย์ธนีธนียวันเป็น
00:00:23 → 00:00:25 อาจารย์แพทย์อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา
00:00:25 → 00:00:28 เชี่ยวชาญโรคปอดการปลูกถ่ายปอดและวิกฤต
00:00:28 → 00:00:31 บำบัดนะครับโรคข้าวผัดเนี่ยภาษาอังกฤษตรง
00:00:31 → 00:00:35 ตัวเลยครับชื่อว่า fried Rice Syndrome
00:00:35 → 00:00:39 นะครับจริงๆแล้วนะครับมันคือโรคอาหารเป็น
00:00:39 → 00:00:43 พิษที่เกิดจากแบคทีเรียตัวนึงมีชื่อว่าิั
00:00:43 → 00:00:48 Serious นะครับโรคนี้เนี่ยเหตุผลหลักๆ
00:00:48 → 00:00:52 ของมันนะครับคือในข้าวเนี่ยเราจะเจอสปอ
00:00:52 → 00:00:56 ของแบคทีเรียชนิดนี้สปอเนี่ยมันมีความทน
00:00:56 → 00:01:01 ความร้อนมากทนกรดทนแสงทนรังสีทนทุกอย่าง
00:01:01 → 00:01:05 นะครับแล้วเราไปทำให้มันร้อนเราปรุงอาหาร
00:01:05 → 00:01:09 มันก็ไม่ตายครับทีนี้เนี่ยพอเราปรุงอาหาร
00:01:09 → 00:01:13 เสร็จเรามาทิ้งไว้ที่อุณหภูมิห้องนะครับ
00:01:13 → 00:01:18 ไอ้สปอพวกนี้เนี่ยมันจะเริ่มแปลงร่างกลาย
00:01:18 → 00:01:21 ไปเป็นเชื้อโรคนะครับแล้วก็สร้างสารพิษ
00:01:21 → 00:01:25 ถ้าเราทิ้งมันไว้ที่อุณหภูมิห้องนานเกิน 2
00:01:25 → 00:01:28 ช่วโมงเป็นต้นนไปแล้วล่ะก็มีสิทธิ์ครับ
00:01:28 → 00:01:30 ที่เราจะกินเข้าเข้าไปเราเกิดอาหารเป็น
00:01:31 → 00:01:36 พิษนะฮะทีนี้เหตุผลลึกๆของมันคืออะไรนะ
00:01:36 → 00:01:38 ครับทำไมต้องเป็นเชื้อตัวนี้ไม่เป็นเชื้อ
00:01:38 → 00:01:42 ตัวอื่นด้วยล่ะต้องบอกอย่างนี้นะครับว่า
00:01:42 → 00:01:45 ill Series เนี่ยมันเป็นเชื้อโรคที่พบ
00:01:45 → 00:01:49 ได้ทั่วไปในดินนะฮะแล้วตัวมันเองเวลาเข้า
00:01:49 → 00:01:52 สู่สภาพแวดร้อนที่มันโหดร้ายทารุนกับตัว
00:01:52 → 00:01:55 มันเองเราไม่เอื้ออำนวยต่อการมีชีวิต
00:01:55 → 00:02:00 เนี่ยมันจะแปลงร่างสร้างเป็นสปอขึ้นมาสปอ
00:02:00 → 00:02:03 เนี่ยจะเป็นสิ่งที่มีความพลทานสูงมากเลย
00:02:03 → 00:02:07 นะครับคือมันจะมีชั้นหลายๆชั้นนะครับสอ
00:02:07 → 00:02:09 ชั้นนอกเรียกว่า spall coating พวกนี้จะ
00:02:09 → 00:02:12 เป็นโปรตีนพิเศษที่เอาไว้ป้องกันสารเคมี
00:02:13 → 00:02:16 ไม่ให้มาทำลายตัวมันได้นะครับเข้ามาหน่อย
00:02:16 → 00:02:18 นึงก็มีชั้นคอร์กซึ่งประกอบไปด้วยสารที่
00:02:18 → 00:02:22 เป็นเปปติโดไลแคนพวกนี้ก็จะมีความทนทาน
00:02:22 → 00:02:25 อีกเหมือนกันแล้วชั้นในสุดนะครับคือเรียก
00:02:25 → 00:02:29 ว่า Core Wall นะครับค Wall นี่ก็มีเปโด
00:02:29 → 00:02:31 ไกแคนเหมือนกันจะมีชั้นที่เอาไว้ป้องกัน
00:02:31 → 00:02:34 ของที่จะมาทำลายสปอเนี่ยถึง 3 ชั้นด้วย
00:02:34 → 00:02:37 กันชั้นในเนี่ยจะเป็น DNA ของไอ้ตัว
00:02:37 → 00:02:39 แบคทีเรียพวกนี้นะครับแล้วที่ DNA ตัวนี้
00:02:39 → 00:02:43 เนี่ยมันจะมีสิ่งนึงเรียกว่าแคลเซียม
00:02:43 → 00:02:46 Complex กับ di picc Acid พวกเนี้ยมัน
00:02:46 → 00:02:49 เกาะอยู่ด้วยกันเอาไว้ป้องกันไม่ให้ตัว
00:02:49 → 00:02:53 DNA ของแบคทีเรียเนี่ยมันตายครับแล้วใน
00:02:53 → 00:02:57 สปอเนี่ยจะมีปริมาณน้ำที่น้อยมากๆเลยการ
00:02:57 → 00:03:00 ที่มันมีน้ำที่น้อยนี่แหละครับทำให้เวลา
00:03:00 → 00:03:04 เจอแสงเจอสารเคมีเจอความร้อนเจอความเย็น
00:03:04 → 00:03:09 หรือเจอพวกรังสีต่างๆเนี่ยมันไม่ทำให้
00:03:09 → 00:03:12 เกิดปฏิกิริยาอะไรกับสิ่งนั้นเลยถ้ามีน้ำ
00:03:12 → 00:03:15 จะเกิดปฏิกิริยาแล้วอาจจะเกิด DNA เสีย
00:03:15 → 00:03:18 หายแล้วก็ตายได้นะครับดังนั้นแบคทีเรีย
00:03:18 → 00:03:21 พวกนี้มันฉลาดก็คือมันเอาน้ำออกไปเลยทำ
00:03:21 → 00:03:25 ให้ DNA ของมันไม่โดนทำลายแล้วก็ไม่เพียง
00:03:25 → 00:03:28 แค่นั้นครับมันยังมีกระบวนการซ่อมแซม DNA
00:03:28 → 00:03:31 ของมันอีกคือมันจะมีสิ่งหนึซึ่งเรียกว่า
00:03:31 → 00:03:35 Small Acid soluble โปตนนะครับ Small
00:03:35 → 00:03:37 Acid soluble spall โปตนเกาะอยู่ที่
00:03:37 → 00:03:40 DNA ของมันเวลาที่มีอะไรมาทำร้าย DNA
00:03:40 → 00:03:43 ของมันไอ้ตัวนี้แหละมันจะรีบไปซ่อมทันที
00:03:43 → 00:03:46 นะครับสปอจึงเป็นสิ่งที่แบคทีเรียพวก
00:03:46 → 00:03:48 เนี้ยมันสร้างไวสำหรับกรณีที่มันจะต้อง
00:03:48 → 00:03:50 อยู่รอดเป็นเวลานานมันจะอยู่อย่างนั้นได้
00:03:50 → 00:03:53 เป็น 10 ปีเลยโดยไม่มีน้ำไม่มีอะไรทั้ง
00:03:53 → 00:03:56 สิ้นมันไม่ตายด้วยนะครับและวันดีคืนดี
00:03:56 → 00:04:01 ครับถ้าเมื่อไหร่มีสารอาารเข้ามาให้มัน
00:04:01 → 00:04:03 มันก็จะเกิดกระบวนการแปลงร่างกายไปเป็น
00:04:03 → 00:04:07 เชื้อโรคนะครับตัวมันเองเนี่ยมันเป็นกลมๆ
00:04:07 → 00:04:09 นะครับแล้วก็เป็นสิ่งที่เอาไว้ป้องกันไม่
00:04:09 → 00:04:12 ให้อะไรมาทำร้าย DNA ของมันได้แต่มันจะมี
00:04:12 → 00:04:14 ซตหรือที่เรียกว่าตัวรับเนี่ยอยู่ตัวรับ
00:04:14 → 00:04:18 พวกเนี้ยมันจะคอยจับสัญญาณว่าเฮ้ยมี
00:04:18 → 00:04:22 อะมิโนกรดอะมิโนมาหรือยังมีกลูโคสเข้ามา
00:04:22 → 00:04:25 มั้ยมีน้ำหรือมีอะไรเข้ามามยถ้ามีเข้ามา
00:04:25 → 00:04:29 ปุ๊บอ่ามันรู้แล้วว่าบริเวณเนี้ยอุดม
00:04:29 → 00:04:31 สมบูรณ์มันไม่จำเป็นจะต้องเป็นสปออีกต่อ
00:04:31 → 00:04:35 ไปนะครับมันก็จะเริ่มกระบวนการทำลาย
00:04:35 → 00:04:38 เปลือกของมันเองแล้วก็ดูดน้ำเข้าเซลล์ของ
00:04:38 → 00:04:41 มันแปลงร่างกันไปเป็นแบคทีเรียบาซิลัส
00:04:41 → 00:04:43 Serious ตัวที่เรากำลังว่านี่แหละนะครับ
00:04:43 → 00:04:46 และต้องบอกว่าบาซิลัส Serious ตัวเนี้ย
00:04:46 → 00:04:49 ไม่ได้มีแค่ในข้าวนะครับมันอยู่ในทุกๆ
00:04:49 → 00:04:52 อย่างที่มันเป็นแป้งนี่แหละครับนะก็พวก
00:04:52 → 00:04:55 มันสำหลังก็อยู่ได้นะฮะพลาสต้าพวกนี้ก็
00:04:55 → 00:04:58 อยู่ได้นะครับอันนี้ไม่ไม่นับแป้งฝุ่นนะ
00:04:58 → 00:05:00 ครับแป้งทำอาหารเท่านั้นนะฮะมันจะอยู่รวม
00:05:00 → 00:05:05 กับพวกนี้ได้ทีนี้สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
00:05:05 → 00:05:09 แบคทีเรียพวกเนี้ยมันจะต้องอาศัยอุณหภูมิ
00:05:09 → 00:05:12 ที่เหมาะสมนะครับอุณหภูมิที่แบคทีเรียพวก
00:05:12 → 00:05:16 นี้มันจะโตได้คือประมาณ 5 องศ -60 องศ
00:05:16 → 00:05:20 เซลเซียถ้าสูงกว่านั้นมันโตไม่ได้ถ้าต่ำ
00:05:20 → 00:05:24 กว่านั้นมันก็โตไม่ได้ถามว่ารู้ไปทำไมรู้
00:05:24 → 00:05:26 ไปเพราะอย่างนี้ครับถ้าเราทำอาหารเสร็จ
00:05:27 → 00:05:31 ใหม่ๆนะฮะอย่างที่บอกอาหารข้าวพวกเนี้ย
00:05:31 → 00:05:34 มันมีสปอป่นเปื้อนอยู่แล้วสปอทนความร้อน
00:05:35 → 00:05:37 ได้ต่อให้คุณไปปรุงสุกยังไงสปอมันไม่ตาย
00:05:37 → 00:05:40 ครับมันยังอยู่ของมันอย่างงั้นแหละและตอน
00:05:40 → 00:05:43 แรกอุณหภูมิอาจจะ 100 องศาพอเราเอามาวาง
00:05:43 → 00:05:46 ไว้ข้างนอกนานเกิน 2 ชั่วโมงสิ่งที่เกิด
00:05:46 → 00:05:48 ขึ้นนะครับคืออุณหภูมิมันค่อยๆตกลงมาจาก
00:05:48 → 00:05:52 100 เข้ามาถึงตรง 60 ปุ๊บพอมัน 60 เท่า
00:05:52 → 00:05:55 นั้นแหละสปมันเริ่มรู้แล้วว่าเฮ้ยอ่า
00:05:55 → 00:05:57 อุณหภูมิเหมาะสมแล้วพออุณหภูมิเหมาะสมแถว
00:05:57 → 00:06:00 ตรงแถมบริเวณนั้นเนี่ยมันมีมีข้าวมีอาหาร
00:06:00 → 00:06:03 มันอยู่มันไปจับกับตัวรับสปอสปอรู้แล้ว
00:06:03 → 00:06:07 ว่าโอเคอุณหภูมิเหมาะสมความชื้นอาหาร
00:06:07 → 00:06:10 เหมาะสมมันก็เริ่มกระบวนการทำลายเปลือก
00:06:10 → 00:06:12 มันทิ้งแล้วก็แปลงร่างกันไปเป็นแบคทีเรีย
00:06:12 → 00:06:16 โตเต็มไว ill Series จากนั้นแบคทีเรีย
00:06:16 → 00:06:21 ตัวนี้ก็จะทำการสร้างพิษนะครับพิษชื่อว่า
00:06:22 → 00:06:25 เูดตัวนี้เนี่ยทำให้คลื่นไส้อาเจียนเป็น
00:06:25 → 00:06:28 อย่างมากแล้วก็สามารถสร้างเอโทซินตัว
00:06:29 → 00:06:33 เนี้ยทำให้ท้องเสียปวดท้องได้นะครับสิ่ง
00:06:33 → 00:06:36 ที่เกิดขึ้นนะครับคือถ้าเราทิ้งอาหารไว้
00:06:36 → 00:06:41 ข้างนอกอุณหภูมิห้องเกิน 2 ชมงเป็นต้นไป
00:06:41 → 00:06:45 แบคทีเรียมันจะโตแล้วมันก็จะเริ่มสร้าง
00:06:45 → 00:06:50 สารพิษพวกเนี้ยออกมานะฮะและที่น่ากลัวก็
00:06:50 → 00:06:54 คือถ้าเลย 2 ชั่วโมงไปแล้วต่อให้คุณเอาไป
00:06:54 → 00:06:56 อุ่นร้อนอีกรอบนึงนะครับคุณก็ยังมีอาการ
00:06:56 → 00:06:59 พวกนี้อยู่ดีเพราะว่าพิษเซลูไลเนี่ยมันทน
00:06:59 → 00:07:04 ความร้อนครับแล้วมันก็ทนกรดเสียด้วยบางคน
00:07:04 → 00:07:07 อาจจะคิดว่าเอาไปอุ่นร้อนมันจะได้ทำลาย
00:07:07 → 00:07:09 เชื้อโรคใช่ครับมันทำลายเชื้อโรคมันทำลาย
00:07:09 → 00:07:12 บาซิลัสซีเรียสที่มันไม่เป็นสปอแล้วเมื่อ
00:07:12 → 00:07:15 กี้มันเป็นสปอตอนนี้กลายมาเป็นตัวเต็มวัย
00:07:15 → 00:07:17 ของมันตัวเต็มวัยเนี่ยทนความร้อนไม่ได้
00:07:17 → 00:07:20 มันตายครับแต่พิษที่ตัวมันสร้างไว้ไม่โดน
00:07:20 → 00:07:25 ทำลายไปด้วยครับดังนั้นเนี่ยตรงนี้เรารู้
00:07:25 → 00:07:28 ไปอ่ะมันช่วยเราได้หลายอย่างนะครับคือถ้า
00:07:28 → 00:07:31 เราทำอาหารเสร็จเสร็จออกมาแล้วเนี่ยและ
00:07:31 → 00:07:34 เรารู้ว่าเราไม่ต้องกินเราจะไม่กินมันแน่
00:07:34 → 00:07:38 ๆให้รีบเอาเข้าตู้เย็นที่ต่ำกว่า 5 อง 4
00:07:38 → 00:07:42 เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
00:07:42 → 00:07:46 ไม่ให้มันแปลงร่างจากสปอมาเป็นตัวเต็มไว
00:07:46 → 00:07:49 นะครับแล้วพอเราจะกินเอามาอุ่นนะฮะแล้วก็
00:07:49 → 00:07:52 กินคนเราเนี่ยกินสปอเข้าไปพวกเนี้ยไม่
00:07:52 → 00:07:55 เป็นไรนะเดี๋ยวเราก็จัดการมันทิ้งไปได้นะ
00:07:55 → 00:07:58 ครับไม่เป็นไรนะแต่ถ้ามันโตออกมาเป็นตัว
00:07:58 → 00:08:00 เต็มวัยแล้วปล่อยพิษออกมาเนี่ยเกิดเรื่อง
00:08:00 → 00:08:05 และนะครับและอีกอย่างนึงคือสมมุติว่าถ้า
00:08:05 → 00:08:08 เราจะกินแล้วเสิร์ฟเป็นบุฟเฟ่ต์เนี่ยคือ
00:08:08 → 00:08:12 จะต้องให้อุณหภูมิของอาหารนั้นมันสูงกว่า
00:08:12 → 00:08:14 60 องศา
00:08:14 → 00:08:19 เสมอแล้วรู้ได้มั้ยครับสิ่งที่ทำให้คุคน
00:08:19 → 00:08:22 ทุกคนเนี่ยเสี่ยงต่ออาหารเป็นพิษคืออาหาร
00:08:22 → 00:08:25 ข้างทางที่วางไว้นั่นแหละทำไมรู้มั้ยเค้า
00:08:26 → 00:08:28 ทำเสร็จแล้วมาวางไว้ในถาดคุณคิดว่าถาดที่
00:08:28 → 00:08:31 เา้าวางไว้เนี่ยอุณหภูมิมันจะต่ำกว่า 5
00:08:31 → 00:08:35 องศ C มั้ยไม่มีทางแล้วมันจะสูงกว่า 60
00:08:35 → 00:08:39 อง C มั้ยก็ไม่มีทางอีกเช่นกันนะครับดัง
00:08:39 → 00:08:42 นั้นพวกนี้เนี่ยถ้าทิ้งไว้ข้างทางนานๆนะ
00:08:42 → 00:08:44 แกงหรืออะไรก็แล้วแต่ที่อุณหภูมิไม่ถึงนะ
00:08:44 → 00:08:47 ครับแล้วปล่อยไว้อย่างั้นมีโอกาสที่พวก
00:08:47 → 00:08:51 สปอพวกเนี้ยมันจะออกมาเป็นบาซิซีเรียสตัว
00:08:51 → 00:08:53 เต็มไวแล้วก็ปล่อยพิษออกมาในอาหารคุณกิน
00:08:53 → 00:08:56 เข้าไปคุณก็อาจจะท้องเสียได้นะครับเนี่ย
00:08:56 → 00:08:59 คือสิ่งที่มันมีปัญหานะฮะงั้นเราเราต้อง
00:08:59 → 00:09:01 ระวังนะครับเวลาที่เราไปกินอะไรข้างทาง
00:09:01 → 00:09:04 บางทีเราดูมันสะอาดดีแหละแต่มันทิ้งไว้
00:09:04 → 00:09:06 ข้างนอกนานเกินไปแล้วเนี่ยก็จะเกิดปัญหา
00:09:06 → 00:09:11 ขึ้นมาได้นะฮะบางคนเนี่ยจะสังเกตได้ว่า
00:09:11 → 00:09:15 อาหารที่มันมีแบคทีเรียเจริญเติบโตมันจะ
00:09:15 → 00:09:19 เหมือนมียางยืดๆอยู่อ่ะนะครับปกติข้าวผัด
00:09:19 → 00:09:22 เนี่ยเวลาเรากินใช่มยมันควรจะเม็ดมันร่วน
00:09:22 → 00:09:24 ใช่มั้ยฮะแต่ไอ้ข้าวพวกเนี้ยเวลาที่มันมี
00:09:25 → 00:09:27 เชื้อโรคเจริญเติบโตแล้วเนี่ยมันจะเหมือน
00:09:27 → 00:09:31 มีเมือกยืดๆเหนียวๆเงี้ยไอ้ถ้าเป็นแบบ
00:09:31 → 00:09:33 นั้นนะครับคุณไม่ต้องไปอุ่นนะครับโยนทิ้ง
00:09:33 → 00:09:35 ไปได้เลยนะฮะเพราะว่าถ้ากินเข้าไปก็อาหาร
00:09:35 → 00:09:38 เป็นพิษแน่ๆนะครับอย่าไปกินนะครับเพื่อ
00:09:38 → 00:09:43 ความแน่นอนนะครับจะได้ไม่มาป่วยนะครับที
00:09:43 → 00:09:46 นี้ถามว่ากินเข้าไปแล้วอาการมันเป็นยังไง
00:09:46 → 00:09:48 นะครับถ้าใครเคยเป็นอาหารเป็นพิษสักครั้ง
00:09:48 → 00:09:51 นึงชีวิตอ่ะคงจะรู้นะครับกินเข้าไปปุ๊บ
00:09:51 → 00:09:55 ภายในประมาณ 1-6 ชมงนะครับมันจะปวดท้องนะ
00:09:55 → 00:09:58 ท้องบิดคลื่นไส้อาเจียนเพราะไอ้พิษเซลูไล
00:09:58 → 00:10:02 เนี่ยมันจะไปจับกับอ่าตัวรับของกระเพาะ
00:10:02 → 00:10:05 อาหารเรานะครับที่มีระบบประสาท
00:10:05 → 00:10:07 parasympathetic คือเส้นประสาทชื่อว่า
00:10:07 → 00:10:09 vegus nerve ตัวนี้เนี่ยมันจะโดนพิษ
00:10:09 → 00:10:13 เนี่ยกระตุ้นทำให้เราคลื่นไส้อเจนได้
00:10:13 → 00:10:16 เชื้อโรคถ้ามันลงไปจนถึงตรงบริเวณลำไส้
00:10:16 → 00:10:19 เราเนี่ยมันจะสร้างพิษตัวนึงชื่อว่าเทรท
00:10:19 → 00:10:22 กินทำให้ท้องเสียแต่ก็โชคดีครับเพราะ
00:10:22 → 00:10:25 อาการพวกนี้ทั้งหมดเมันมักจะดีขึ้นใน
00:10:25 → 00:10:27 24-48
00:10:27 → 00:10:31 ชมงแต่ถ้าเกิดว่าเราเป็นคนที่มีโรคประจำ
00:10:31 → 00:10:33 ตัวเยอะเราเป็นคนแก่หรือเราเป็นเด็กแล้ว
00:10:33 → 00:10:35 เรามีอาการแบบนี้ขึ้นมาบางทีเราแย่ได้
00:10:36 → 00:10:38 เพราะว่ามันทำให้เราขาดน้ำแล้วการขาดน้ำ
00:10:38 → 00:10:40 เพียงแค่นิดเดียวในคนที่เขามีความเสี่ยง
00:10:40 → 00:10:43 สูงเช่นคนอายุเยอะมีโรคเยอะเช่นโรคหัวใจ
00:10:43 → 00:10:45 โรคตับโรคไตเบาหวานอะไรเยอะแยะพวกนี้ไป
00:10:45 → 00:10:48 หมดนะครับมันอาจจะทำให้อาการเขาแย่ลงก็
00:10:48 → 00:10:51 ได้ถ้าเป็นแบบนั้นต้องรีบไปรักษานะครับ
00:10:51 → 00:10:55 โรคนี้อาหารเป็นพิษไม่มียาฆ่าเชื้อที่ได้
00:10:55 → 00:10:59 ผลนะปกติใช้ยาฆ่าเชื้อไปมันมันไม่คุ้มค่า
00:10:59 → 00:11:00 เพราะว่ามันก็เป็นแค่วันเดียวเมันก็หาย
00:11:00 → 00:11:03 เองใช้ยาไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมานะ
00:11:03 → 00:11:06 ครับอาการพวกเนี้ยเราจะรักษาตามอาการซะ
00:11:06 → 00:11:09 มากกว่าถ้าคลื่นไส้มากเราให้ยาลดการคลื่น
00:11:09 → 00:11:15 ไส้เช่นดพนเคปพวกนี้ถ้าปวดท้องใช้พวก
00:11:15 → 00:11:20 ไฮซีนพวกเนี้ยหรือไอซีพวกนี้นะเป็นต้นถ้า
00:11:20 → 00:11:24 ท้องเสียก็ยาในกลุ่มอิโมเดียมนะครับก็
00:11:24 → 00:11:27 สามารถที่จะใช้ได้นะพวกนี้ก็ใช้ยาพวกนี้
00:11:27 → 00:11:29 แล้วก็กินเกลือแรกเข้าไปหรือบางคนถ้าแย่
00:11:29 → 00:11:32 มากๆไปโรงพยาบาลเขาก็จะให้น้ำเกลือนะครับ
00:11:32 → 00:11:36 เป็นการรักษาแบบนี้บางคนก็อาจจะสอบถามว่า
00:11:36 → 00:11:40 เฮ้ยแล้วถ้าเรากินอย่างนี้บ่อยๆเนี่ยเรา
00:11:40 → 00:11:45 จะมีภูมิต้านทานต่อไอ้พิษพวกนี้ไนะครับก็
00:11:45 → 00:11:47 ต้องบอกอย่างนี้ครับว่าส่วนใหญ่แล้วจะไม่
00:11:47 → 00:11:50 นะครับเพราะว่าพิษพวกเนี้ยมันอยู่ในร่าง
00:11:50 → 00:11:55 กายสั้นมากเลยนะฮะแค่ 24-48 ช่มเองร่าง
00:11:55 → 00:11:57 กายเรายังไม่ทันสร้างภูมิต้านทานเลยนะ
00:11:57 → 00:12:00 ครับปกติปติภูมิด้านทานของเรากว่ามันจะ
00:12:00 → 00:12:03 ออกมาได้เนี่ยใช้เวลาเป็นอาทิตย์ครับไม่
00:12:03 → 00:12:05 ใช่แบบวันเดียวถ้าวันเดียวปุ๊บแล้วก็เฮ้ย
00:12:05 → 00:12:09 สร้างมาเลยนี้อาจจะไม่ใช่ครับแต่ก็แน่นอน
00:12:09 → 00:12:12 แน่นอนนะครับอาจจะมีบางคนไปกินอาหาร
00:12:12 → 00:12:15 ประเภทเนี้ยอยู่เรื่อยๆเรื่อยๆนะครับกิน
00:12:15 → 00:12:18 มันทุกวันเลยนะครับแน่นอนถ้าเป็นแบบนั้น
00:12:18 → 00:12:20 ร่างกายของเราก็อาจจะสร้างพิษเอ่อสร้าง
00:12:20 → 00:12:23 แอนติบอดี้ออกมาต่อต้านพิษเหล่านั้นก็ได้
00:12:23 → 00:12:26 นะครับแต่ไม่ว่าไงก็อย่าเสี่ยงเลยนะครับ
00:12:27 → 00:12:30 อันเนี้ยอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ที่คนไทย
00:12:30 → 00:12:34 หลายๆคนกินอาหารข้างทางท้องไม่เสียนะฮะ
00:12:34 → 00:12:37 ท้องไม่เสียไม่มีคลื่นไส้อเจนไม่มีอาหาร
00:12:37 → 00:12:40 เป็นพิษแต่ถ้าเกิดว่าเป็นลูกหลานคุณหนู
00:12:40 → 00:12:42 ไฮโซที่ไม่เคยกินอาหารข้างทางมาก่อนวัน
00:12:43 → 00:12:46 นึงไปกินแล้วเขาทิ้งไว้อ่ะเอาออกมาจากเตา
00:12:46 → 00:12:49 อ่าต้มเสร็จทำอะไรเสร็จวางไว้ข้างทางเกิน
00:12:49 → 00:12:53 2 2 ชั่วโมงแล้วเราไปกินเนี่ยถ้าเราไม่
00:12:53 → 00:12:56 เคยกินมาก่อนนะอาจจะมีอาการเลยอ้วกท้อง
00:12:56 → 00:12:58 เสียเยอะแยะไปหมดนะครับแต่ในขณะที่เพื่อน
00:12:58 → 00:13:01 ของของคุณหนูไฮโซคนนี้ถ้าเขาคกินมาประจำเ
00:13:01 → 00:13:03 บอกว่าเออเราก็กินแล้วก็ไม่เป็นไรก็อาจจะ
00:13:03 → 00:13:06 บอกโอ้เราไฮโซผู้ดีตีนแดงไม่เคยกินอาหาร
00:13:06 → 00:13:09 ชาวบ้านมิน่ามันถึงท้องเสียนะครับกิน
00:13:09 → 00:13:11 อาหารชาวบ้านไม่ได้อันนี้ก็ไม่จริงนะครับ
00:13:11 → 00:13:13 เหตุผลมันเป็นเพราะว่าเขาไม่เคยเจอไอพิษ
00:13:13 → 00:13:16 พวกนี้มาก่อนมากกว่าแล้วก็เป็นเหตุผล
00:13:16 → 00:13:19 หนึ่งด้วยนะครับที่ฝรั่งหรือคนต่างชาติ
00:13:19 → 00:13:22 ถ้ามาประเทศไทยแล้วไปกินอาหารข้างทางพวก
00:13:22 → 00:13:25 เนี้ยบางคนท้องเสียนะฮะโดยเฉพาะอาหารที่
00:13:25 → 00:13:29 เขาเก็บไว้ข้างนอกไม่ได้มาตรฐานก็คือ
00:13:29 → 00:13:31 อุณหภูมิมันไม่สูงเกิน 60 องศามันวางไว้
00:13:31 → 00:13:35 เฉยๆนี่แหละนะฮะก็จะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
00:13:35 → 00:13:39 มาได้นะงั้นวันเนี้ผมหวังว่าจะได้ให้ให้
00:13:40 → 00:13:43 ความรู้กับทุกคนในแง่ของเหตุและผลเพราะผม
00:13:43 → 00:13:46 รู้สึกว่าการที่เราเข้าใจเหตุและผลว่า
00:13:46 → 00:13:50 ทำไมเราทำอาหารออกมาแล้วมันจะต้องกินภาย
00:13:50 → 00:13:52 ใน 2 ชั่วโมงวางไว้นานเกินกว่านั้นจะต้อง
00:13:53 → 00:13:55 วางที่อุณหภูมิเท่าไหร่จะเก็บรักษาอย่าง
00:13:55 → 00:14:01 ไรอุ่นแล้วมันจะหายเป็นพิษมานะครับก็หวัง
00:14:01 → 00:14:03 ว่าทุกคนจะได้คำตอบพอเราทำอย่างเงี้ยเรา
00:14:03 → 00:14:05 เข้าใจทุกประเด็นทุกแง่ทุกมุมมันก็จะทำ
00:14:05 → 00:14:08 ให้เรารู้สึกว่าสนุกกับการค้นหาคำตอบใน
00:14:08 → 00:14:11 แต่ละอย่างนะครับวันนี้ก็เล่าให้ฟังเพียง
00:14:11 → 00:14:14 เท่านี้นะครับในเรื่องของโรคข้าวผัดหรือ
00:14:14 → 00:14:19 ไฟัซดรมสวัสดีครับ