00:00:06 → 00:00:07 หากคุณเคยเข้ารับการผ่าตัด
00:00:07 → 00:00:11 อาจจำได้ว่าตัวเองนับถอยหลังจาก 10...
00:00:11 → 00:00:12
00:00:12 → 00:00:13
00:00:13 → 00:00:18 แล้วก็ตื่นมาพบว่าผ่าตัดเสร็จแล้ว ก่อนนับถึง 5 ด้วยซ้ำ
00:00:18 → 00:00:21 คุณอาจรู้สึกเหมือนคุณหลับไป แต่จริง ๆ แล้ว ไม่ใช่
00:00:21 → 00:00:23 คุณถูกวางยาสลบ
00:00:23 → 00:00:25 ซึ่งซับซ้อนกว่านั้นมาก
00:00:25 → 00:00:26 คุณหมดสติ
00:00:26 → 00:00:28 ทั้งยังเคลื่อนไหวไม่ได้
00:00:28 → 00:00:29 จำอะไรไม่ได้
00:00:29 → 00:00:32 และหวังว่าจะไม่รู้สึกเจ็บด้วย
00:00:32 → 00:00:35 หากหยุดกระบวนการเหล่านี้ ทั้งหมดไม่ได้พร้อมกัน
00:00:35 → 00:00:39 การผ่าตัดคงสร้างความบอบช้ำเกินไป
00:00:39 → 00:00:42 ตำราการแพทย์โบราณของ อียิปต์ เอเชีย และตะวันออกกลาง
00:00:42 → 00:00:44 ต่างระบุไว้ว่ายาสลบในยุคแรกเริ่ม
00:00:44 → 00:00:46 มีส่วนผสมของดอกฝิ่น
00:00:46 → 00:00:48 ผลแมนเดรก
00:00:48 → 00:00:49 และแอลกอฮอล์
00:00:49 → 00:00:52 ปัจจุบัน วิสัญญีแพทย์ ผสม
00:00:52 → 00:00:56 สารออกฤทธิ์เฉพาะที่ สารสูดดม และสารฉีดเข้าหลอดเลือด
00:00:56 → 00:00:58 เพื่อให้เหมาะกับการผ่าตัดนั้น ๆ
00:00:58 → 00:01:03 ยาสลบเฉพาะที่ระงับความเจ็บปวด จากส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย
00:01:03 → 00:01:04 ไม่ให้ส่งไปถึงสมอง
00:01:04 → 00:01:10 ความเจ็บปวดและความรู้สึกต่าง ๆ เดินทางผ่านระบบประสาทในรูปคลื่นไฟฟ้า
00:01:10 → 00:01:14 ยาสลบเฉพาะที่ออกฤทธิ์ โดยสร้างแนวกั้นคลื่นไฟฟ้า
00:01:14 → 00:01:18 ดักจับโปรตีน ในเนื้อเยื่อเซลล์ประสาท
00:01:18 → 00:01:20 ที่ควบคุมการเข้าออกของประจุไฟฟ้า
00:01:20 → 00:01:23 และยับยั้งไม่ให้ประจุบวกไหลเข้ามา
00:01:23 → 00:01:26 สารประกอบที่ออกฤทธิ์เช่นนี้คือ โคเคน
00:01:26 → 00:01:29 ซึ่งเราพบว่ามีฤทธิ์ระงับปวดโดยบังเอิญ
00:01:29 → 00:01:33 เมื่อโคเคนโดนลิ้นของจักษุแพทย์ฝึกหัด
00:01:33 → 00:01:37 โคเคนยังใช้เป็นยาสลบบ้างเป็นครั้งคราว
00:01:37 → 00:01:39 แต่มียาสลบเฉพาะที่อีกหลายชนิดที่ใช้บ่อยกว่า
00:01:39 → 00:01:43 ที่มีโครงสร้างทางเคมีคล้ายกัน และมีกลไกการทำงานเหมือนกัน
00:01:43 → 00:01:46 แต่สำหรับการผ่าตัดใหญ่ ที่ต้องทำให้คนไข้หมดสติ
00:01:46 → 00:01:49 จำเป็นต้องใช้ยาที่ออกฤทธิ์ ต่อระบบประสาททั้งหมด
00:01:49 → 00:01:51 รวมถึงสมองด้วย
00:01:51 → 00:01:54 นั่นเป็นหน้าที่ของยาสลบแบบสูดดม
00:01:54 → 00:01:58 ในการแพทย์แผนตะวันตก ไดเอทิล อีเทอร์เป็นยาที่ใช้แพร่หลายชนิดแรก
00:01:58 → 00:02:01 รู้จักกันในฐานะยาที่เสพเพื่อผ่อนคลาย
00:02:01 → 00:02:05 จนกระทั่งแพทย์สังเกตว่า บางครั้งผู้ใช้ยา
00:02:05 → 00:02:08 ไม่รู้ตัวว่าตนได้รับบาดเจ็บ เมื่ออยู่ใต้ฤทธิ์ยา
00:02:08 → 00:02:12 ในช่วงปี พ.ศ. 2383 แพทย์เริ่มใช้อีเทอร์ ทำให้ผู้ป่วยสงบ
00:02:12 → 00:02:15 ระหว่างถอนฟันและผ่าตัด
00:02:15 → 00:02:19 ในทศวรรษถัดมา ไนตรัสออกไซด์เริ่มกลายเป็นที่นิยม
00:02:19 → 00:02:20 และยังใช้มาจนถึงทุกวันนี้
00:02:20 → 00:02:25 แม้ว่าอนุพันธ์ของอีเทอร์ อย่างเซโวฟลูเรนจะหาได้ง่ายกว่าแล้วก็ตาม
00:02:25 → 00:02:30 ยาสลบแบบสูดดมนั้น มักเสริมด้วยยาสลบแบบฉีดเข้าหลอดเลือด
00:02:30 → 00:02:32 ซึ่งคิดค้นขึ้นในช่วงปี พ.ศ. 2413
00:02:32 → 00:02:36 ยาสลบชนิดฉีดเข้าหลอดเลือด มีทั้งระงับประสาท อย่าง โพรโพฟอล
00:02:36 → 00:02:37 ซึ่งทำให้ไม่รู้สึกตัว
00:02:37 → 00:02:42 และสารอนุพันธ์ฝิ่นอย่าง เฟนทานิล ซึ่งลดความเจ็บปวด
00:02:42 → 00:02:44 นอกจากนั้น ยาสลบเหล่านี้ ยังออกฤทธิ์
00:02:44 → 00:02:47 ด้วยการส่งผลต่อสัญญาณไฟฟ้า ภายในระบบประสาท
00:02:47 → 00:02:51 ปกติแล้ว สัญญาณไฟฟ้าภายในสมอง จะทำงานวุ่นวาย
00:02:51 → 00:02:55 ระหว่างที่สมองส่วนต่าง ๆ ติดต่อสื่อสารกัน
00:02:55 → 00:02:58 การติดต่อสื่อสารนี้ ทำให้เราตื่นและรู้ตัว
00:02:58 → 00:03:00 แต่สำหรับคนที่ถูกวางยาสลบ
00:03:00 → 00:03:03 สัญญาณเหล่านี้จะสงบลง และทำงานเป็นระบบมากขึ้น
00:03:03 → 00:03:05 อันแปลว่าสมองส่วนต่าง ๆ
00:03:05 → 00:03:08 หยุดสื่อสารระหว่างกัน
00:03:08 → 00:03:12 ยังมีอีกหลายอย่างที่เรายังไม่รู้ ว่าทำไมยาจึงออกฤทธิ์เช่นนี้
00:03:12 → 00:03:18 ยาสลบโดยทั่วไปนั้นจะจับกับ ตัวรับ จีเอบีเอ-เอ ภายในเซลล์ประสาท
00:03:18 → 00:03:20 ซึ่งเปิดช่องทางไว้
00:03:20 → 00:03:25 ให้ประจุไฟฟ้าขั้วลบไหลผ่านเข้าสู่เซลล์
00:03:25 → 00:03:28 ประจุไฟฟ้าขั้วลบจะสะสม และก่อตัวเป็นแนวกั้น
00:03:28 → 00:03:31 ไม่ให้เซลล์ประสาทส่งสัญญาณไฟฟ้าผ่านไปได้
00:03:31 → 00:03:35 ระบบประสาทประกอบด้วย ช่องทางเช่นนี้จำนวนมาก
00:03:35 → 00:03:37 ทำหน้าที่ควบคุมวิถีประสาทสั่งการ
00:03:37 → 00:03:38 ความทรงจำ
00:03:38 → 00:03:39 และสติ
00:03:39 → 00:03:42 ยาสลบส่วนใหญ่ น่าจะส่งผลได้มากกว่าหนึ่งอย่าง
00:03:42 → 00:03:45 และไม่ได้ส่งผล เฉพาะแต่ระบบประสาทเท่านั้น
00:03:45 → 00:03:47 ยาสลบหลายชนิดยังส่งผลถึงหัวใจ
00:03:47 → 00:03:48 ปอด
00:03:48 → 00:03:50 และอวัยวะสำคัญอื่น ๆ อีกด้วย
00:03:50 → 00:03:52 เช่นเดียวกับยาสลบในสมัยก่อน
00:03:52 → 00:03:55 ที่มีส่วนผสมที่เป็นพิษที่เรารู้จักดี อย่าง เฮมล็อค และอะโคไนต์
00:03:55 → 00:03:58 ยาสลบในปัจจุบัน ก็อาจมีผลข้างเคียงรุนแรงเช่นกัน
00:03:58 → 00:04:02 ดังนั้นวิสัญญีแพทย์ จึงต้องผสมยาต่าง ๆ ในปริมาณที่เหมาะสม
00:04:02 → 00:04:04 เพื่อให้ได้ยาสลบที่มีคุณสมบัติครบถ้วน
00:04:04 → 00:04:08 ในขณะที่ต้องคอยสังเกต สัญญาณชีพผู้ป่วย
00:04:08 → 00:04:10 และปรับขนาดยาให้เหมาะกับผู้ป่วยไปด้วย
00:04:10 → 00:04:13 การวางยาสลบเป็นศาสตร์ซับซ้อน
00:04:13 → 00:04:14 แต่การค้นหาวิธีใช้ยาสลบ
00:04:14 → 00:04:18 ก่อให้เกิดเทคนิคและวิธีการผ่าตัดใหม่ ๆ ที่ก้าวหน้ากว่าเดิม
00:04:18 → 00:04:23 ทำให้ศัลยแพทย์สามารถผ่าท้องคลอด ได้อย่างมีแบบแผนและปลอดภัย
00:04:23 → 00:04:25 ขยายเส้นเลือดตีบ
00:04:25 → 00:04:27 เปลี่ยนถ่ายตับและไตที่เสียหาย
00:04:27 → 00:04:30 และผ่าตัดอีกหลายอย่างที่ช่วยชีวิตคนไข้ได้
00:04:30 → 00:04:33 แต่ละปี มีการคิดค้นเทคนิคการวางยาสลบใหม่ ๆ
00:04:33 → 00:04:38 เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีผู้ป่วย รอดชีวิตจากการผ่าตัดมากขึ้น