00:00:02 → 00:00:05 คนที่เขาเคยกินยาแก้แพ้ แล้วเขารู้สึกว่าเขามีอาการง่วง
00:00:05 → 00:00:08 ทำให้เขาเชื่อว่ายานั้นมันมีประสิทธิภาพดี
00:00:08 → 00:00:10 จริง ๆ ต้องบอกก่อน แบบนี้...ควรต้องแจ้งแพทย์
00:00:10 → 00:00:11 เป็นสิ่งไม่ดีนะครับ
00:00:11 → 00:00:13 จากงานวิจัยก็พบว่า
00:00:13 → 00:00:18 มีอุบัติการณ์การเกิดโรคสมองเสื่อมสูงขึ้น ในกลุ่มที่มีการใช้ยาแก้แพ้รุ่นเก่าครับ
00:00:18 → 00:00:26 [เสียงดนตรี]
00:00:26 → 00:00:30 ยาแก้แพ้นั้น ถ้าตามชื่อมันคือ H1-antihistamine นะครับ
00:00:30 → 00:00:32 มันก็คือไปยับยั้งตัวรับของฮิสตามีน
00:00:32 → 00:00:35 ซึ่งมันเป็นสารตัวร้าย ที่ทำให้เกิดอาการภูมิแพ้
00:00:36 → 00:00:40 ถ้าฮิสตามีนไปอยู่ที่จมูก มันก็ทำให้เกิดอาการน้ำมูก คัดจมูก คัน จาม
00:00:40 → 00:00:43 ถ้าไปอยู่ที่ตามผิวหนัง ก็ทำให้เรามีอาการผื่นคัน
00:00:43 → 00:00:46 แต่ฮิสตามีนจริง ๆ ถ้าในสมองแล้วนี่ มันกลับกลายเป็นพระเอก
00:00:46 → 00:00:48 คือช่วยในการตื่นตัว
00:00:48 → 00:00:50 การรับรู้เกี่ยวกับความทรงจำ
00:00:50 → 00:00:54 ดังนั้น ยาต้านฮิสตามีนหรือยาแก้แพ้ที่ดีนี่
00:00:54 → 00:00:58 เราต้องการให้มันออกฤทธิ์ที่ภายนอก คือนอกสมอง
00:00:58 → 00:01:00 เช่น ไปยับยั้งตรงจมูกกับตรงผิวหนัง
00:01:00 → 00:01:03 แล้วก็เข้าสมองให้ได้น้อย ๆ เพื่อลดผลข้างเคียง
00:01:03 → 00:01:06 เราก็มีข้อมูลงานวิจัยอย่างที่บอกในช่วง 7 ปี
00:01:06 → 00:01:09 เราพบว่าอัตราการเกิดโรคสมองเสื่อมสูงขึ้น
00:01:09 → 00:01:11 แต่ถามว่าต้องกินไปขนาดเท่าใดนี่
00:01:11 → 00:01:12 แต่ละคนไม่เหมือนกัน
00:01:12 → 00:01:14 อาจจะลองสังเกตง่าย ๆ คือ
00:01:14 → 00:01:17 ถ้าเกิดเรากินยาแก้แพ้รุ่นเก่าอยู่ ร่วมกับมียากลุ่มอื่น
00:01:18 → 00:01:20 แล้วพอเรากินไปสักพักหนึ่ง เราเริ่มมีอาการ
00:01:20 → 00:01:22 เริ่มหลง ๆ ลืม ๆ
00:01:22 → 00:01:24 อาจจะเป็นการลืมในระยะต้น
00:01:24 → 00:01:27 ที่หลงลืมสิ่งที่จำเป็นในชีวิตประจำวันไป
00:01:27 → 00:01:29 อันนี้ก็อาจจะเป็นตัวสัญญาณเตือนอย่างหนึ่ง
00:01:29 → 00:01:32 ว่าเราเริ่มเกิดผลข้างเคียงอย่างที่ว่า กับตัวเราแล้ว
00:01:32 → 00:01:34 ดังนั้นการที่เรากินยาแก้แพ้
00:01:34 → 00:01:37 โดยเฉพาะยาแก้แพ้รุ่นเก่า แล้วเรามีอาการง่วง
00:01:37 → 00:01:38 นั่นก็เป็นตัวสะท้อนว่า
00:01:38 → 00:01:40 ยาแก้แพ้ที่เรากินนี่
00:01:40 → 00:01:43 มันได้เข้าสู่สมอง แล้วเกิดผลข้างเคียงไปเรียบร้อยแล้วครับ
00:01:43 → 00:01:46 ปัจจุบันยาแก้แพ้ หรือ H1-antihistamine นะครับ
00:01:46 → 00:01:47 ก็แบ่งเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน
00:01:48 → 00:01:51 กลุ่มที่ 1 ก็คือ First-generation antihistamine
00:01:51 → 00:01:52 หรือยารุ่นเก่า
00:01:52 → 00:01:54 ยาแก้แพ้รุ่นเก่า อย่างเช่น
00:01:54 → 00:01:55 ตัวยา Chlorpheniramine
00:01:55 → 00:01:56 Hydroxyzine
00:01:56 → 00:01:58 Diphenhydramine
00:01:58 → 00:02:03 ที่มีการใช้ในยุคก่อน เป็นตัวที่ เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคสมองเสื่อม
00:02:03 → 00:02:06 เมื่อเราใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ๆ
00:02:06 → 00:02:07 กับกลุ่มที่ 2 ก็คือ
00:02:07 → 00:02:11 Second-generation antihistamine หรือยาแก้แพ้รุ่นใหม่
00:02:11 → 00:02:14 ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ปัจจุบันก็มีหลากหลายนะครับ
00:02:14 → 00:02:16 ตั้งแต่ Cetirizine
00:02:16 → 00:02:17 Loratadine
00:02:17 → 00:02:19 Fexofenadine
00:02:19 → 00:02:20 Levocetirizine
00:02:20 → 00:02:21 Desloratadine
00:02:21 → 00:02:22 Bilastine
00:02:22 → 00:02:23 Rupatadine
00:02:23 → 00:02:26 ความเหมือนกันของยาแก้แพ้ในสองกลุ่มนี้
00:02:26 → 00:02:31 คือมันหวังผลให้ไปยับยั้งตำแหน่งของที่จมูก กับตรงที่ผิวหนัง
00:02:31 → 00:02:32 ช่วยลดอาการภูมิแพ้
00:02:32 → 00:02:35 เช่น ลดอาการคัน อาการจาม
00:02:35 → 00:02:38 อาการคันตามผิวหนัง หรือผื่นลมพิษที่ผิวหนัง
00:02:38 → 00:02:41 โดยความต่างก็คือ ยารุ่นเก่า มันถูกออกแบบมานานแล้ว
00:02:42 → 00:02:46 มันสามารถเข้าสู่สมองโดยผ่าน Blood-brain barrier ของมนุษย์ได้
00:02:46 → 00:02:48 Blood-brain barrier มันก็คือ
00:02:48 → 00:02:52 เป็นเกราะคุ้มกันให้ยาหรือสารบางอย่าง ที่มันมาจากเลือดนะครับ
00:02:52 → 00:02:53 ไม่สามารถเข้าสู่สมองได้
00:02:53 → 00:02:57 บังเอิญยาบางตัวสามารถผ่าน Blood-brain barrier เข้าสู่สมอง
00:02:57 → 00:02:58 แล้วก็เกิดผลข้างเคียงได้
00:02:58 → 00:03:01 แล้วก็ไปส่งผล ทำให้คนไข้มีอาการง่วง
00:03:01 → 00:03:05 แล้วก็มีอาการปากแห้ง คอแห้ง หรือผลข้างเคียงของมันตามมานะครับ
00:03:05 → 00:03:11 ส่วนยารุ่นใหม่จะออกแบบเพื่อให้ เข้าสู่สมองได้ลดลงจากยารุ่นเก่าเยอะมาก
00:03:11 → 00:03:13 ทำให้ผลข้างเคียงเรื่องของง่วง
00:03:13 → 00:03:15 ปากแห้ง คอแห้ง ลดลงจากเดิม
00:03:16 → 00:03:17 โดยที่ยังมีประสิทธิภาพดี
00:03:18 → 00:03:20 แล้วก็ออกฤทธิ์เร็ว ไม่แตกต่างจากรุ่นที่ 1 นะครับ
00:03:20 → 00:03:23 สุดท้ายนี้อยากจะฝากเอาไว้นะครับว่า
00:03:23 → 00:03:25 ปัจจุบันโรคภูมิแพ้เราเจอได้เยอะขึ้น
00:03:25 → 00:03:28 การกินยาแก้แพ้ก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว
00:03:28 → 00:03:30 คือถ้าจะกิน กินได้ครับ
00:03:30 → 00:03:33 แต่อาจจะต้องเลือกเป็นยาแก้แพ้รุ่นใหม่
00:03:33 → 00:03:34 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูง
00:03:34 → 00:03:37 แล้วก็ผลข้างเคียงด้านการกดสมองน้อยนะครับ
00:03:38 → 00:03:40 อย่างวันนี้ถ้าเกิดเรากลับไปที่บ้าน
00:03:40 → 00:03:41 เราอาจจะไปดูในตู้ยานะครับว่า
00:03:42 → 00:03:45 ตอนนี้ในครอบครัวเรามีใช้ยา กลุ่มแก้แพ้รุ่นเก่าอยู่หรือเปล่า
00:03:46 → 00:03:50 ถ้ามี ก็ควรจะหยิบยานั้น แล้วก็ไปปรึกษาแพทย์
00:03:50 → 00:03:52 เรื่องความจำเป็นที่จะต้องใช้
00:03:52 → 00:03:56 แล้วก็พิจารณาเรื่องการเปลี่ยนเป็น ยาแก้แพ้รุ่นใหม่แทนนะครับ
00:03:56 → 00:04:00 [เสียงดนตรี]