00:00:00 → 00:00:03 สวัสดีครับหลายๆคนเวลาที่ไปโรงพยาบาลนะ
00:00:03 → 00:00:05 ครับเคยเห็นไหมว่าคนไข้เนี่ยได้น้ำเกลือ
00:00:05 → 00:00:08 นะครับหรือบางคนเวลาที่ไม่สบายอะไรอย่าง
00:00:08 → 00:00:11 เงี้ยครับไปห้องฉุกเฉินไปหาคลินิกเนี่ยก็
00:00:11 → 00:00:14 อยากจะได้น้ำเกลือนะครับก็เลยจะมาเล่าให้
00:00:14 → 00:00:16 ฟังว่าเอ๊ะน้ำเกลือพวกนี้เมันเอาไว้ทำ
00:00:16 → 00:00:19 อะไรกันแน่ในในทางการแพทย์นะครับมันมีกี่
00:00:19 → 00:00:21 แบบเอาแต่ละแบบมันเหมือนกันหรือเปล่านะ
00:00:21 → 00:00:24 ครับแล้วเราได้ไปมันได้อะไรขึ้นมานะครับ
00:00:24 → 00:00:26 ก็จะเล่าเรื่องนี้ให้ฟังแล้วครับแล้วก็มี
00:00:26 → 00:00:28 ความรู้บางอย่างของทางแพทย์จะสอดแทรกไป
00:00:28 → 00:00:31 ให้บ้างนะครับพราะกผมนะครับนายแพทย์ธานี
00:00:31 → 00:00:32 ธนียวันนะครับเป็นอาจารย์แพทย์อยู่ที่
00:00:32 → 00:00:35 ประเทศสหรัฐอเมริกานะครับเชี่ยวชาญโรคปอด
00:00:35 → 00:00:37 การปลูกถ่ายปอดและวิกฤตบำบัดนะครับก่อน
00:00:37 → 00:00:41 อื่นเลยนะครับน้ำเกลือนะฮะชื่อมันตรงๆนะ
00:00:41 → 00:00:43 ครับในนั้นก็จะมีเกลืออยู่นะครับเกลือที่
00:00:43 → 00:00:46 ว่าเนี่ยนะครับก็มีหลากหลายประเภทแต่ว่า
00:00:46 → 00:00:49 น้ำเกลือที่เรารู้จักกันดีที่สุดนะฮะก็จะ
00:00:49 → 00:00:51 เป็นตัวที่เรียกว่า Normal saline นะ
00:00:51 → 00:00:55 ครับหรือเกลือโซเดียมคลอไรด์ 0.99% นะ
00:00:55 → 00:00:58 ครับในน้ำ 1 ลิตรนะครับหรือว่าจะเป็น 500
00:00:58 → 00:01:02 มลก็ได้นะครับตัวเนี้ยก็คือน้ำบวกเกลือ
00:01:02 → 00:01:04 ตรงๆเลยนะครับไม่ได้มีอะไรอย่างอื่นเลยนะ
00:01:04 → 00:01:07 ครับถ้าเราสามารถที่จะทานได้คือเราเอาน้ำ
00:01:08 → 00:01:11 น้ำเปล่าแล้วเนี่ยครับใส่เกลือเข้าไปชงก็
00:01:11 → 00:01:12 เหมือนกันนะครับมันเหมือนกันเปี๊ยบเลยนะ
00:01:12 → 00:01:15 ครับไม่ได้มีอะไรที่มันแตกต่างกันไปแม้
00:01:15 → 00:01:19 แต่น้อยนะครับทีนี้ถามว่าทำไมบางคนถึงจะ
00:01:19 → 00:01:22 ให้ตัวนี้เข้าไปนะครับเพราะว่าการที่เรา
00:01:22 → 00:01:25 ได้น้ำเข้าไปในร่างกายเนี่ยคสำหรับคนที่
00:01:25 → 00:01:28 ขาดน้ำอยู่นะครับหรือว่าเอ่อทานน้ำไม่ได้
00:01:28 → 00:01:30 นะครับทานอาหารทางปากไม่ได้การที่เราให้
00:01:30 → 00:01:33 เอาน้ำบวกเกลือเข้าไปในร่างกายก็จะทำเป็น
00:01:33 → 00:01:36 ทำให้เขาได้นับน้ำเข้าไปเพียงพอนะครับนี่
00:01:36 → 00:01:39 จึงเป็นสาเหตุที่เอ่อทำไมเราถึงจะให้น้ำ
00:01:39 → 00:01:41 เข้าไปในร่างกายได้อย่างไรโดยที่เขาไม่
00:01:41 → 00:01:44 จำเป็นจะต้องกินอนะฮะงั้นคนที่เขาป่วยมาก
00:01:44 → 00:01:46 ๆบางคนเนี่ยเขากินอะไรไม่ค่อยได้นะครับ
00:01:46 → 00:01:48 เวลากินอะไรไม่ค่อยได้ร่างกายขาดน้ำก็จะ
00:01:48 → 00:01:52 รู้สึกเพลียนะฮะเพลียมากๆนะครับการได้น้ำ
00:01:52 → 00:01:54 เกลือเข้าไปก็จะช่วยเรื่องเรื่องของอาการ
00:01:54 → 00:01:56 เพลียของเขาได้บ้างนะครับแต่ว่าอย่างไรก็
00:01:56 → 00:01:58 ตามมันก็ไม่ได้ดีเท่ากับการที่เรากินเข้า
00:01:58 → 00:02:00 ไปทางปากนั่นหรอกครับนะเพราะอันนี้มันก็
00:02:00 → 00:02:02 คือมันไม่ได้เป็นอะไรที่เราสามารถให้ไป
00:02:02 → 00:02:06 ตลอดเวลาได้นะครับที่สำคัญคือน้ำเกลือที่
00:02:06 → 00:02:08 ผมพูดถึงเนี่ยนะครับมันไม่ได้เข้าไปใน
00:02:08 → 00:02:10 เส้นเลือดได้แล้วก็อยู่ตรงนั้นตลอดเวลานะ
00:02:11 → 00:02:13 ครับมันผ่านไปสักพักเนี่ยนะครับมันจะ
00:02:13 → 00:02:16 เหลือแค่ประมาณ 30% ของน้ำเกลือที่เราให้
00:02:16 → 00:02:18 ไปทั้งหมดนันะครับที่มันยังอยู่ในเส้น
00:02:18 → 00:02:20 เลือดแต่ส่วนที่เหลือเนี่ยมันจะแทรกซึมไป
00:02:20 → 00:02:22 ตามเนื้อเยื้อต่างๆของร่างกายแล้วก็ถ้า
00:02:22 → 00:02:25 ให้ไปนานๆเนี่ยบางคนก็จะมีอาการบวมนะฮะ
00:02:25 → 00:02:28 บางคนก็อาจจะเคยได้ยินคำว่าบวมน้ำเกลือนะ
00:02:28 → 00:02:30 ฮะอันนี่ก็เป็นสาเหตุนะครับเพราะว่าน้ำ
00:02:30 → 00:02:32 เกลือมันไม่ได้อยู่ในเส้นเลือดเราได้ตลอด
00:02:32 → 00:02:34 เวลามันก็ต้องออกไปข้างนอกนะครับนี่ก็
00:02:34 → 00:02:38 เป็นเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งเอ่อทำไมเอ่อเราไม่
00:02:38 → 00:02:40 ได้อยากจะให้น้ำเกลือตลอดเวลาเราจะให้ก็
00:02:40 → 00:02:43 ต่อเมื่อมันมีเหตุผลในการให้นะครับทีนี้
00:02:43 → 00:02:46 เอ่อถ้าสมมุติเป็นนิสิตแพทย์นะมาเรียนกับ
00:02:46 → 00:02:50 ผมก็จะผมก็จะมีคนเชอบถามนะครับว่าเออทำไม
00:02:50 → 00:02:52 ถึงเรียกว่า Normal salan นะครับมัน
00:02:52 → 00:02:55 Normal คือ Normal แปลว่าปกติธรรมดานะ
00:02:55 → 00:02:57 ครับทำไมเราถึงึงเรียกว่า Normal saline
00:02:57 → 00:02:59 ถ้าเราเรียก Normal saline มันมีคำว่าแ
00:02:59 → 00:03:02 ABnormal saline คือเป็นน้ำเกลือไม่
00:03:02 → 00:03:04 ปกติหรือเปล่านะครับคือจริงๆคำคำนี้นะ
00:03:04 → 00:03:07 ครับ Normal saline เนี่ยมันมาตั้งแต่
00:03:07 → 00:03:10 สมัยก่อนนะฮะที่มันมีคนคิ้นคดว่าเอ่อใน
00:03:10 → 00:03:12 เลือดของเราเนี่ยมันมีเกลืออยู่ประมาณ
00:03:12 → 00:03:15 0.9% ซึ่งผิดนะครับจริงๆไม่ใช่นะฮะแล้ว
00:03:15 → 00:03:17 เขาก็คิดว่าถ้าเค้าทำไอ้ตัวน้ำเนี่ยนะ
00:03:18 → 00:03:20 ครับให้มันมีเกลืออยู่ 0.9% มันน่าจะ
00:03:20 → 00:03:22 เหมือนกับน้ำเลือดของเรานะฮะดังนั้นเขค
00:03:23 → 00:03:25 จึงเป็นที่มาของการที่เรียกน้ำเกลือเนี่ย
00:03:25 → 00:03:28 ว่า Normal saline ก็คือมีเกลือปริมาณ
00:03:28 → 00:03:30 เป็นเปอร์เซ็นต์เท่ากับเลือดของเราซึ่ง
00:03:30 → 00:03:33 ปัจจุบันเรารู้แล้วนะครับเกลือในในเลือด
00:03:33 → 00:03:35 ของเรามันไม่ใช่ 0.9% นะครับดังนั้นเรา
00:03:35 → 00:03:39 เราจะไม่ไม่เอาตรงนี้มาใช้ในการเรียกนะ
00:03:39 → 00:03:41 ครับมันเป็นการเรียกที่ไม่ถูกต้ององั้น
00:03:41 → 00:03:44 เลยนะครับทีนี้สำหรับคนที่ได้น้ำเกลือไป
00:03:44 → 00:03:48 นะฮะบางคนอาจจะเคยเคยได้ยินว่าเอ้ยวันนึง
00:03:48 → 00:03:50 เราไม่ควรกินเกลือเยอะถูกมั้ยครับเราไม่
00:03:50 → 00:03:53 ควรจะกินเกลือเยอะนะฮะโดยเฉพาะถ้าเกิดคน
00:03:53 → 00:03:56 ที่มีโรคไตนะฮะหรือความดันสูงที่คุมไม่
00:03:56 → 00:03:58 ได้เนี่ยเราควรจะคุมเกลือนะครับแล้วคงได้
00:03:58 → 00:04:02 ยินมาว่าการคุมเกลือต้องคุมเท่าไหร่ครับ 2
00:04:02 → 00:04:04 กรัมนะฮะแต่ในคนทั่วๆไปเ 4 กรัมถือว่า
00:04:04 → 00:04:08 โอเคเราอนุโลมให้ได้นะครับผมก็มักจะถาม
00:04:08 → 00:04:10 เอ่อนักเรียนที่มาเรียนกับผมอยู่เรื่อยๆ
00:04:10 → 00:04:13 นะครับว่าเนี่ยคุณรู้ใช่ไหมมว่าคนที่มี
00:04:13 → 00:04:16 โรคไตกับโรคเ่อความดันสูงเนี่ยเขาไม่ให้
00:04:16 → 00:04:18 กินเกลือเกินวันละ 2 กรัมนะครับแล้วคุณ
00:04:18 → 00:04:21 รู้หรือเปล่าว่าในน้ำเกลือ 1 ขวดเนี่ยนะ
00:04:21 → 00:04:24 ครับ Normal เซลินของเรา 0.9% นซีเนี่ย
00:04:24 → 00:04:27 มันมีเกลืออยู่กี่กรัม
00:04:27 → 00:04:31 อ่าเคยมีนักศึกษาแพทย์คนไหนเคยคิดมั้ยฮะ
00:04:31 → 00:04:34 ผมเชื่อว่าต้องมีคนเคยเคยโดนถามมางลองคิด
00:04:34 → 00:04:38 ดูนะครับ 0.9% เนี่ยนะครับมันก็คือมี 0.9
00:04:38 → 00:04:44 กรัมนะฮะในน้ำเท่าไหร่นะในน้ำ 100 นะครับ
00:04:44 → 00:04:47 ดังนั้นถ้าเรามีลิตร 1 เนี่ยนะครับก็สูง
00:04:47 → 00:04:49 กว่านั้น 10 เท่าก็คือแทนที่เป็น 0.9
00:04:49 → 00:04:52 กรัมก็คือมี 9 กรัมนั่นเองนะครับคูณ 10
00:04:52 → 00:04:55 เข้าไปนะครับดังนั้นในน้ำเกลือ 1 ลิตรนะ
00:04:55 → 00:04:58 ฮะที่เป็น Normal ไินก็จะมีเกลืออยู่ใน
00:04:58 → 00:05:01 นั้น 9 กรัมนะครับ 9 กรัมถือว่าเยอะใช่
00:05:01 → 00:05:04 มั้ยฮะเพราะว่ามันเยอะกว่าปริมาณที่เรา
00:05:04 → 00:05:07 ควรจะได้รับที่เราควรจะกินเข้าไปในคนที่
00:05:07 → 00:05:09 เป็นโรคไตนะฮะอันนั้นก็เป็นสาเหตุหนึ่ง
00:05:09 → 00:05:11 ซึ่งผมถามเล่นๆเท่านั้นเองนะฮะแต่ว่าน้ำ
00:05:11 → 00:05:13 เกลือแบบ Normal cin ก็มีประโยชน์ในคน
00:05:13 → 00:05:16 ที่ 1 ความดันตกแล้วเราจำเป็นจะต้องให้
00:05:16 → 00:05:18 น้ำเข้าไปในร่างกายเร็วๆหรือว่าคนที่มี
00:05:18 → 00:05:22 เอ่อค่าโซเดียมในร่างกายต่ำมากๆนะครับจาก
00:05:22 → 00:05:24 สาเหตุบางอย่างที่เราจำเป็นจะต้องให้เรา
00:05:24 → 00:05:27 ก็ให้ได้แต่มันจะมีโรคบางโรคซึ่งโซเดียม
00:05:27 → 00:05:29 ต่ำแต่ว่าเราไม่สามารถให้น้ำเกลือแบบนี้
00:05:29 → 00:05:32 ได้ถ้าเรายิ่งให้จะยิ่งต่ำลงไปอีกนะครับ
00:05:32 → 00:05:34 ก็อันนั้นก็เอาไว้ให้แพทย์เค้ารู้แล้วกัน
00:05:34 → 00:05:37 นะครับแต่เราไม่ต้องรู้ก็ได้นะครับน้ำ
00:05:37 → 00:05:40 เกลือเนี่ยมันไม่ได้มีแค่ชนิดเดียวนะครับ
00:05:40 → 00:05:42 น้ำเกลือที่ผมกำลังจะพูดถึงให้หลายๆท่าน
00:05:42 → 00:05:45 ฟังเนี่ยจริงๆมันมีทั้งหมด 2 อย่างหลักๆ
00:05:45 → 00:05:48 อันนึงคือคริสตัลอีกอันนึงคือคอลอยนะครับ
00:05:48 → 00:05:50 คริสตัลเนี่ยมันเป็นน้ำเกลือชนิดที่มันมี
00:05:50 → 00:05:52 แต่เกลือในนั้นจริงๆเลยนะเวลาเข้าไปใน
00:05:52 → 00:05:54 กระแสเลือดเนี่ยมันก็จะอยู่ในกระแสเลือด
00:05:54 → 00:05:56 ได้ไม่เยอะเท่าไหร่แล้วที่เหลือเนี่ยมัน
00:05:56 → 00:05:59 ก็จะซึมออกไปนอกกระแสเลือดละนะครับแต่แบบ
00:05:59 → 00:06:02 คคอลอยนะครับคอลอยเนี่ยมันจะมีตัวนึงซึ่ง
00:06:02 → 00:06:04 สามารถทำให้มันอยู่ในเลือดได้นานขึ้นนะ
00:06:04 → 00:06:06 ครับเช่นอัลบูมินเป็นต้นนะครับอัลบูมินก็
00:06:06 → 00:06:09 เป็นโปรตีนอย่างนึงซึ่งเราเจอได้ในอ่าไข่
00:06:09 → 00:06:11 ขาวอะไรอย่างเงี้ยนะครับก็มันจะเป็นตัว
00:06:11 → 00:06:14 ที่ดึงน้ำเอาไว้ในเส้นเลื่อดได้นะครับอัน
00:06:14 → 00:06:15 นี้จะเป็นกลุ่มที่เรียกว่าคอลอยนะครับ
00:06:16 → 00:06:17 ซึ่งเราจะไม่ได้สนใจเท่าไหร่เพราะว่ามัน
00:06:17 → 00:06:19 ไม่ค่อยได้ให้กันเท่าเท่าไหร่นะครับยก
00:06:19 → 00:06:22 เว้นในกรณีพิเศษจริงๆนะครับตัวที่เราให้
00:06:22 → 00:06:25 กันบ่อยๆก็คือคริสตัลนะครับคริสตัลเนี่ย
00:06:25 → 00:06:29 โอ้โหมีมามหาศาลหลากหลายมากเลยนะครับเช่น
00:06:29 → 00:06:32 อ่าน้ำเกลือที่มีน้ำตาลในนั้นผสมนะครับ
00:06:32 → 00:06:35 เช่น dextrose นะครับอาจจะมีบางคนที่เคย
00:06:35 → 00:06:40 เห็นอ่า 5% dextrose in hal normalin
00:06:40 → 00:06:43 ก็คืออ่าถ้าเป็นภาษาทางการแพทย์เวลาเ
00:06:43 → 00:06:46 เขียนก็จะเขียนเป็น 5% dn แล้วก็มีหาร
00:06:46 → 00:06:49 ด้วย 2 นะครับนั่นแปลว่ามี 5% ของ
00:06:49 → 00:06:51 dextrose ก็คือเป็นน้ำตาลตัวนึงแล้วะกัน
00:06:51 → 00:06:54 นะครับที่ร่างกายเราเอาไปใช้ได้นะครับ n
00:06:54 → 00:06:57 ส2เี่คือ n ย่อมาจาก Normal serine หาร 2
00:06:57 → 00:07:00 ก็คือเอ่อแทนที่จะมีเกลืออยู่ 0.9% มันก็
00:07:00 → 00:07:04 มีครึ่งนึงก็คือ 0.45% นะฮะก็มีการบอกเอา
00:07:04 → 00:07:06 น้ำตาลใส่เข้าไปในนั้นมีเกลือที่เป็น
00:07:06 → 00:07:08 โซเดียมคลอไรด์อยู่ในนั้นด้วยนะครับทำให้
00:07:08 → 00:07:11 เราได้ปริมาณเกลือโซเดียมคลอไรด์เข้าไปใน
00:07:11 → 00:07:13 ร่างกายรวมกับน้ำตาลซึ่งเอาไปสร้างเป็น
00:07:13 → 00:07:15 พลังงานนะครับดังนั้นเราก็จะให้พวกเนี้ย
00:07:15 → 00:07:19 ในคนที่อาจจะมีเ่อเรากินข้าวไม่ได้เราก็
00:07:19 → 00:07:21 ต้องให้ตัวนี้เข้าไปนะครับแต่ต้องบอกก่อน
00:07:21 → 00:07:24 นะครับว่าไอ้ 5% dextrose เนี่ยนะฮะหรือ
00:07:25 → 00:07:28 5% อะไรก็แล้วแต่นะครับมันให้พลังงาน
00:07:28 → 00:07:31 น้อยมากนะครับน้อยมากๆเลยน้อยแบบน้อยที่
00:07:31 → 00:07:36 สุดนะฮะเช่นอ่าถ้า 5% เนี่ย 5% ก็คือหมาย
00:07:36 → 00:07:39 ความว่ามี 5 กรัมในน้ำ 100 นะฮะแต่ถ้าเรา
00:07:39 → 00:07:42 ให้ไปขวดลิตนึงนะครับก็คูณ 10 เข้าไปก็
00:07:42 → 00:07:44 คือมี 50 กรัมของ dextrose ตัวนี้นะครับ
00:07:44 → 00:07:47 แล้วไอ้ dextrose ตัวนี้มันจะให้พลังงาน
00:07:47 → 00:07:50 เราประมาณสัก 4 กิแคลอรีนะครับต่อกรัมดัง
00:07:50 → 00:07:52 นั้นถ้าเรามี 50 ก็คูณ 4 ก็ได้ 200 นะ
00:07:52 → 00:07:55 ครับ 200 นี่คือเท่าไหร่ครับยังไม่ได้
00:07:55 → 00:07:57 ครึ่งนึงของแฮมเบอร์เกอร์ที่เรากินเลยนะ
00:07:57 → 00:08:00 ครับถูกมั้ยฮะแฮมเบอร์เกอร์เราก้อนนึงอ่า
00:08:00 → 00:08:02 500 แคลอรี่ได้นะบางทีก็มากกว่านั้นถ้า
00:08:02 → 00:08:04 เป็น Big แ็กอะไรอย่างเงี้ยนะครับก็อาจจะ
00:08:04 → 00:08:06 ได้เอ่อเกือบ 1000 เลยนะครับ 1000 1000
00:08:06 → 00:08:10 กว่าก็ได้นะครับแต่ถ้าเป็นน้ำเกลือให้ไป
00:08:10 → 00:08:12 ลิตรนึงให้ไปตั้งเยอะแล้วเนี่ยนะฮะมันได้
00:08:12 → 00:08:15 แค่ 200 เขี้ปติ๋วเลยนะครับดังนั้นมันไม่
00:08:15 → 00:08:18 ได้สามารถช่วยอะไรให้เราเอ่อมีเรี่ยวมี
00:08:18 → 00:08:20 แรงอะไรได้มากขนาดนั้นหรอกครับถ้าเราจะ
00:08:20 → 00:08:22 ให้เข้าไปจริงๆก็อาจจะต้องเป็น 10% หรือ
00:08:22 → 00:08:25 12.5% หรือกรณีที่จำเป็นจะต้องให้สาร
00:08:25 → 00:08:27 อาหารทางเส้นเลือดดำพวกนั้นก็อาจจะสูงถึง
00:08:28 → 00:08:30 20% แต่ว่ามันจะต้องให้ให้เข้าไปในเส้น
00:08:30 → 00:08:32 เลือดใหญ่นะครับดังนั้นอันนี้เราเราไม่
00:08:32 → 00:08:34 พูดเรื่องนี้ก็ะกันนะครับเอาเรื่องง่ายๆ
00:08:34 → 00:08:38 ธรรมดาดีกว่านะครับดังนั้นจะมีการผสมอ่า
00:08:38 → 00:08:41 ผสมปริมาณเกลือที่ไม่เหมือนกันผสมปริมาณ
00:08:41 → 00:08:45 อ่าน้ำตาลที่ไม่เท่ากันเช่นอาจจะมี 5% มี
00:08:45 → 00:08:48 10% 12.5% เข้าไปกับน้ำเกลือนะครับบาง
00:08:48 → 00:08:51 ทีก็เป็นน้ำตาลผสมกับน้ำเปล่าๆเลยนะครับ
00:08:51 → 00:08:54 เราจะไม่สามารถฉีดน้ำเปล่าเข้าไปในเส้น
00:08:54 → 00:08:57 เลือดเราได้นะครับอันนั้นมีคนถามผมเหมือน
00:08:57 → 00:08:59 กันว่าเออทำไมเราถึงไม่เอาน้ำเปล่าเปล่า
00:08:59 → 00:09:02 นะครับที่เป็นน้ำเปล่าสเตอไรด์ปลอดสจาก
00:09:02 → 00:09:04 เชื้อไม่มีอะไรสักอย่างเลยฉีดเข้าไปฉีด
00:09:04 → 00:09:07 เข้าไปเนี่ยมันอันตรายนะครับเพราะว่าน้ำ
00:09:07 → 00:09:10 เปล่าของเราเนี่ยนะครับมันเข้าไปในใน
00:09:10 → 00:09:13 เลือดเนื่องจากว่าเซลล์ต่างๆของเราเนี่ย
00:09:13 → 00:09:15 นะครับมันจะมีตัวเยื่อหุ้มเซลล์นะครับ
00:09:16 → 00:09:18 แล้วก็ในเซลล์เนี่ยมันจะมีความเข้มข้นของ
00:09:18 → 00:09:21 พวกเกลือแรกต่างๆอยู่สูงนะครับแล้วถ้าเรา
00:09:21 → 00:09:24 เอาเซลล์ตรงเนี้ยไปใส่ไว้ในน้ำซึ่งมันไม่
00:09:24 → 00:09:26 มีอะไรเลยไม่มีความเข้มข้นไม่มีเกลือแร่
00:09:26 → 00:09:28 ไม่มีอะไรอะไรทั้งสิ้นนะครับน้ำเนี่ยมัน
00:09:28 → 00:09:31 จะซึมเข้าไปในเซล์ซึมๆๆๆเข้าไปทำให้เซลล์
00:09:31 → 00:09:34 แตกนะครับอ่าทำให้เซลล์แตกได้นะฮะอันนี้
00:09:34 → 00:09:37 ก็เป็นเป็นปัญหาอย่างนึงที่เราไม่สามารถ
00:09:37 → 00:09:39 ทำเช่นนั้นได้นะครับเม็ดเลือดแดงก็จะแตก
00:09:39 → 00:09:41 เม็ดเลือดอะไรก็แตกเซลล์อะไรก็จะแตกได้
00:09:41 → 00:09:43 หมดนะครับดังนั้นเราไม่สามารถทำเช่นนั้น
00:09:43 → 00:09:46 ได้นะครับมีข้อยกเว้นที่เราทำก็คือเราจะ
00:09:46 → 00:09:50 ต้องผสมไปกับตัวเอ่อ dextrose หรือน้ำตาล
00:09:50 → 00:09:53 ของเราเมื่อกี้นี้นะครับเวลาที่คนเรา
00:09:53 → 00:09:56 เนี่ยมีภาวะที่มีเกลือแร่สูงมากๆในร่าง
00:09:56 → 00:09:59 กายสูงจนกระทั่งวิกฤตเลยนะครับคือคนเรา
00:09:59 → 00:10:01 ปกติเนี่ยโซเดียมน่ะมันเป็นเกลือตัวนึง
00:10:01 → 00:10:04 ซึ่งเราเสนใจมากๆนะครับถ้ามันจะมีคนที่
00:10:04 → 00:10:06 สูงแบบวิกฤตเนื่องด้วยสาเหตุบางอย่างนะ
00:10:06 → 00:10:10 ครับเช่นสูงไปจนถึงเอ่อ 180 มกรเนี่ยคน
00:10:10 → 00:10:13 ทั่วๆไปจะอยู่ที่ประมาณ 140 นะครับถ้าสูง
00:10:13 → 00:10:16 ไป 180 โอ้โหแน่นอนจะมีอาการซึมเพ้อสับสน
00:10:16 → 00:10:18 ชักได้เลยนะครับเราต้องให้สารน้ำเข้าไป
00:10:18 → 00:10:20 อย่างรวดเร็วก็คือเราจะให้ตัวเนี้ยเข้าไป
00:10:20 → 00:10:23 ในร่างกายเร็วๆนะครับเพื่อที่จะแปดึงเอา
00:10:23 → 00:10:26 เพื่อไปทำละลายให้ตัวอ่าเกลือในร่างกาย
00:10:26 → 00:10:28 ของเราเนี่ยแทนที่มันจะสูงเข้มข้นมากๆทำ
00:10:28 → 00:10:30 ให้มันเจือจ่างลงซักซะนะครับนั่นก็เป็น
00:10:30 → 00:10:32 สาเหตุอันนึงที่เราจะให้ในกรณีแบบนี้ได้
00:10:32 → 00:10:35 นะครับนอกเหนือจากนี้กลุ่มคริสตัลเนี่ย
00:10:35 → 00:10:38 มันยังมีอีกใหญ่เยอะแยะไปหมดเช่น aeta
00:10:38 → 00:10:40 ringer acetate ringer lactate
00:10:40 → 00:10:42 พลาสมา Light นะครับพวกเนี้ยจะมีสาร
00:10:42 → 00:10:44 ประกอบอย่างอื่นนอกเหนือจากโซเดียม
00:10:44 → 00:10:46 คลอไรด์เข้ามาแล้วะเช่นมีอะซิเตตมีแลคเตส
00:10:46 → 00:10:48 มีกลูโคเนตมีอะไรอย่างเงี้ยแปลกๆมี
00:10:48 → 00:10:50 แมกนีเซียมชื่อประหลาดๆนะครับท่านไม่ต้อง
00:10:50 → 00:10:53 สนใจอะไรนะครับแต่ว่าถ้าเป็นในทางการ
00:10:53 → 00:10:55 แพทย์นะฮะถ้ามาเรียนแพทย์เนี่ยครับเราจะ
00:10:55 → 00:10:58 ต้องรู้ว่าตัวไหนมันใช้ทำอะไรนะครับแต่ละ
00:10:58 → 00:11:00 ตัวเนี่ยมันจะมีค่า่าความเป็นกรดด่างหรือ
00:11:00 → 00:11:03 พีไม่เท่ากันนะครับแล้วก็มีสารที่อยู่ใน
00:11:03 → 00:11:05 นั้นไม่เหมือนกันนะครับโดยทั่วๆไปกลุ่มเย
00:11:05 → 00:11:08 จะเรียกว่าเป็น Balance salt solution
00:11:08 → 00:11:10 นะครับเนื่องจากว่ามันมีความที่โอเคดี
00:11:10 → 00:11:15 กว่านะฮะถ้าปกติให้ผมเลือกสารน้ำจะให้คน
00:11:15 → 00:11:18 ไข้คนนึงผมก็จะคิดว่าข้อแรกคนไข้มีความ
00:11:18 → 00:11:21 จำเป็นจะต้องได้รับเกลือโซเดียมสูงหรือ
00:11:21 → 00:11:22 เปล่าถ้ามีความจำเป็นจะต้องได้รับเกลือ
00:11:22 → 00:11:25 โซเดียมสูงผมให้ Normal saline นะครับ
00:11:25 → 00:11:27 ถ้าไม่มีความจำเป็นผมจะให้กลุ่มที่เรียก
00:11:27 → 00:11:29 ว่า Balance sce solution มากกว่าแล้ว
00:11:29 → 00:11:32 ก็จะเลือกตัวที่ ph มันค่อนข้างที่จะปกติ
00:11:32 → 00:11:35 หน่อยก็จะมี ringle lactate แล้วก็จะมี
00:11:35 → 00:11:37 อีกตัวนึงคือ plm a นะครับ PL มาลมี 2
00:11:37 → 00:11:40 แบบมีพสมาล a พสมาล 148 อะไรอย่างเงี้ย
00:11:40 → 00:11:43 เป็นต้นนะครับแต่พสมาล a พีมันจะดีกว่านะ
00:11:43 → 00:11:46 ครับบางคนก็สงสัยเอ๊ะ ringle lactate
00:11:46 → 00:11:49 มันมีคำว่า lactate เอ่ออันนี้เกินเกิน
00:11:49 → 00:11:52 ระดับคนธรรมดาไปนิดนึงแล้วกันนะครับก็มี
00:11:52 → 00:11:54 คนไข้เนี่ยบางคนมีเลือดเป็นกรดนะครับเขา
00:11:54 → 00:11:57 จะเรียกว่า lactic acidosis หรือบางคนมี
00:11:57 → 00:12:00 โรคตับนะฮะตับเนี่ยมันจะปกติตับเนี่ยจะ
00:12:00 → 00:12:03 เปลี่ยนไอ้ตัวกรดแลคเตสเนี่ยให้มันิเนี่ย
00:12:03 → 00:12:05 ให้มันเป็นแลคเตสธรรมดาได้แต่ถ้าเกิดว่า
00:12:05 → 00:12:07 เราเปลี่ยนไม่ได้หรือเรามีปัญหาอะไรก็
00:12:07 → 00:12:10 แล้วแต่เนี่ยก็ทำให้มันคั่งในเลือดได้นะ
00:12:10 → 00:12:12 ครับคนก็จะสงสัยเอ๊ะให้ ringle lactate
00:12:12 → 00:12:14 เข้าไปในร่างกายจะเป็นอะไรหรือเปล่าคำตอบ
00:12:14 → 00:12:16 ก็คือไม่เป็นอะไรทั้งสิ้นไม่เป็นอะไรทั้ง
00:12:16 → 00:12:19 สิ้นนะครับไม่ไม่ต้องกลัวให้ได้นะครับ
00:12:19 → 00:12:22 แล้วก็คนบางคนก็จะบอกว่าเอ้เนี่ยสารมันมี
00:12:22 → 00:12:24 มีโปรแทสเซียมสูงหรือเปล่าโพแทสเซียมมัน
00:12:24 → 00:12:27 เขียวว่าตั้ง 5 แนนะฮะในใน Balance sce
00:12:27 → 00:12:29 solution บางอย่างนะครับตั้ง 5 น่ะ
00:12:29 → 00:12:32 พลาสมา A อย่างเงี้ยนะครับมีมีโพแทสเซียม
00:12:32 → 00:12:34 เอ่ออยู่ในนั้นประมาณ 5 มิล equivalent
00:12:34 → 00:12:37 ในนั้นนะครับคือคนเราเนี่ยถ้ามี
00:12:37 → 00:12:39 โพแทสเซียมสูงในร่างกายเคก็จะบอกโอเนี่ย
00:12:39 → 00:12:42 สารน้ำมันมีโพแทสเซียมอยู่ในนั้นเราให้คน
00:12:42 → 00:12:44 โปแทสเซียมสูงก็ยิ่งสูงไปสิไม่ถูกต้องนะ
00:12:44 → 00:12:47 ครับไม่ถูกต้องเลยนะฮะเพราะว่าโพแทสเซียม
00:12:48 → 00:12:50 ที่อยู่ในน้ำเกลือแบบเนี้ยมันเจือจางแล้ว
00:12:50 → 00:12:53 ก็เข้าไปในร่างกายเรามันแทบจะไม่มีผลอะไร
00:12:53 → 00:12:55 ซิมันเจือจางเข้าไปนะครับดังนั้นไม่ต้อง
00:12:55 → 00:12:57 กลัวว่าโพแทสเซียมมันจะสูงนะครับมันไม่
00:12:57 → 00:13:00 สูงนะครับนะให้ได้นะฮะงั้นผมก็ไม่ได้สนใจ
00:13:00 → 00:13:03 ในตรงนั้นมากนะครับดังนั้นเท่าที่พูดมา
00:13:03 → 00:13:05 ทั้งหมดนะครับน้ำเกลือเราเนี่ยก็จะให้ก็
00:13:05 → 00:13:08 ต่อเมื่อมีความจำเป็นเท่านั้นนะครับถ้า
00:13:08 → 00:13:11 ท่านสามารถที่จะกินน้ำทานอาหารเข้าไปได้
00:13:11 → 00:13:12 ท่านทานเข้าไปดีกว่านะครับการให้น้ำเกลือ
00:13:12 → 00:13:14 เข้าไปทางเส้นเลือดมันไม่ได้ช่วยอะไรทั้ง
00:13:14 → 00:13:16 สิ้นนะครับการบางคนบอกว่าอยากไปให้น้ำ
00:13:16 → 00:13:18 เกลือแล้วก็ฉีดเอาวิตามินบีรวมเข้าไปใน
00:13:18 → 00:13:20 นั้นจริงๆก็ไม่ได้ช่วยอะไรทั้งสิ้นนะครับ
00:13:21 → 00:13:23 บางคนก็ชอบอยากจะได้นะครับก็คืออยากจะได้
00:13:24 → 00:13:25 เราก็ให้ก็ได้นะครับแต่ว่ามันไม่ได้ช่วย
00:13:25 → 00:13:27 อะไรทั้งสิ้นนะฮะนอกมันก็เหมือนกับท่าน
00:13:28 → 00:13:30 เอาน้ำผสมเกลือใส่ใส่วิตามินีแล้วก็กิน
00:13:30 → 00:13:32 เข้าไปเท่านั้นเองนะฮะมันก็เข้าไปในร่าง
00:13:32 → 00:13:35 กายท่านแล้วนะครับงั้นก็มาไขความข้องใจ
00:13:35 → 00:13:38 ตรงนี้ให้หลายๆท่านได้ฟังกันนะครับมีข้อ
00:13:38 → 00:13:40 สงสัยอะไรเรื่องนี้ก็สอบถามมาได้นะครับ
00:13:40 → 00:13:43 ขอบคุณมากสวัสดีครับ