00:00:00 → 00:00:02 สวัสดีครับผมเชื่อว่าหลายๆท่านนะครับก็คง
00:00:02 → 00:00:04 จะรู้จักกับ smart watch นะครับหรือ
00:00:04 → 00:00:07 นาฬิกาที่อัจฉริยะนะฮะที่เป็นนาฬิกาแบบ
00:00:07 → 00:00:10 ดิจิตอลแต่ว่ามันมีอะไรที่มากกว่านั้นก็
00:00:10 → 00:00:13 คือมันสามารถที่จะวัดค่าต่างๆได้นะฮะทั้ง
00:00:13 → 00:00:16 นี้ทั้งนั้นก็รวมไปจนถึงค่าที่เกี่ยวข้อง
00:00:16 → 00:00:18 กับทางด้านร่างกายของคนนะครับยกตัวอย่าง
00:00:18 → 00:00:21 เช่นค่าออกซิเจนค่าการเต้นของหัวใจค่า
00:00:21 → 00:00:24 ความดันโลหิตหรือระดับการนอนหลับว่ามัน
00:00:24 → 00:00:26 หลับลึกหลับไม่ลึกนะครับพวกนี้เป็นต้นนะ
00:00:26 → 00:00:29 ฮะคำถามที่ตามมาก็คือว่าไอ้ค่าเหล่านี้
00:00:29 → 00:00:31 เนี่ยเนี่ยมันเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหนนะ
00:00:31 → 00:00:35 ครับแล้วเราจะใช้มันเป็นมาตรฐานอะไรในการ
00:00:35 → 00:00:38 ติดตามโรคต่างๆหรือติดตามสภาวะของร่างกาย
00:00:38 → 00:00:40 เราได้แค่ไหนนะครับวันนี้ผมก็จะเล่า
00:00:40 → 00:00:42 เรื่องนี้ให้ฟังเลยนะครับพบกับผมนะครับ
00:00:42 → 00:00:44 นายแพทย์ธานีธนียวันนะครับเป็นอาจารย์
00:00:44 → 00:00:46 แพทย์อยู่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกานะครับ
00:00:46 → 00:00:48 เชี่ยวชาญโรคปอดการปลูกถ่ายปอดและวิกฤต
00:00:48 → 00:00:50 บำบัดนะครับ smart watch เนี่ยนะครับก็
00:00:50 → 00:00:53 หลายๆคนก็คงจะใช้ส่วนตัวผมผมก็ใช้อย่าง
00:00:53 → 00:00:55 เงี้ยอันนี้ก็คือของ Apple นนะครับแต่ว่า
00:00:56 → 00:00:59 ก็นานแล้วนะฮะมันก็สามารถที่จะวัดค่าต่าง
00:00:59 → 00:01:02 ๆได้นะครับเช่นหลายๆคนก็คงจะรู้ดีว่าเอ๊ะ
00:01:02 → 00:01:05 มันวัดจำนวน้าวที่เราเดินได้ในแต่ละวันนะ
00:01:05 → 00:01:08 ครับปริมาณแคลอรี่อย่างเงี้ยเป็นต้นหรือ
00:01:08 → 00:01:11 ว่าเอ่อเรายืนนานแค่ไหนในแต่ละวันวัดค่า
00:01:11 → 00:01:13 การนอนหลับพวกเนี้ยคงจะเจอเยอะแยะไปหมดนะ
00:01:13 → 00:01:16 ครับก่อนที่เราจะไปเข้าใจว่าค่าต่างๆ
00:01:16 → 00:01:18 เหล่านี้เนี่ยมันวัดได้เที่ยงตรงแค่ไหน
00:01:18 → 00:01:21 เราก็ต้องทราบก่อนว่าเฮ้ยเค้าวัดกันยังไง
00:01:21 → 00:01:24 นะครับมันใช้วิธีอะไรในการวัดค่าพวกเนี้ย
00:01:24 → 00:01:27 นะครับผมก็จะไล่ไปทีละค่าเลยนะครับอ่ะยก
00:01:28 → 00:01:30 ตัวอย่างอันแรกก็คือที่เราเจอกันแน่ๆแน่
00:01:30 → 00:01:32 นะครับเรื่องของแคลอรี่ที่เราใช้ในแต่ละ
00:01:32 → 00:01:34 วันนะครับแคลอรี่เนี่ยนะครับเค้าก็จะ
00:01:34 → 00:01:38 คำนวณมาจากน้ำหนักของเราแล้วก็ส่วนสูงรวม
00:01:38 → 00:01:41 ไปถึงเรื่องของการเดินนะครับการใช้ชีวิต
00:01:41 → 00:01:44 ประจำวันของเรานะครับเวลาที่เราใช้น้ำ
00:01:44 → 00:01:47 หนักกับส่วนสูงเนี่ยเราจะพอทราบได้คร่าวๆ
00:01:47 → 00:01:50 ว่าอัตราการเผาผลาญของเราเนี่ยมันมากน้อย
00:01:51 → 00:01:53 แค่ไหนนะครับแล้วก็ไปดูว่ากิจวัตรประจำ
00:01:53 → 00:01:55 วันของเราเนี่ยมันทำอะไรบ้างนะครับทีนี้
00:01:55 → 00:01:58 กิจวัตรประจำวันของเราเนี่ยนะครับทาง
00:01:58 → 00:02:00 นาฬิกาพวกเนี้ยมันก็ได้มาจาก 2 อย่างนะ
00:02:01 → 00:02:04 ครับอย่างแรกนะครับก็เป็นการเดินซึ่งมัน
00:02:04 → 00:02:06 จะรู้ได้ยังไงว่าเราเดินไปแค่ไหนนะครับก็
00:02:06 → 00:02:10 คือในเนี้ยนาฬิกาพวกเนี้ยจะมีอิเตอร์นะ
00:02:10 → 00:02:12 ครับก็คือเวลาที่เราแกว่งแขนอย่างเงี้ยนะ
00:02:12 → 00:02:15 ครับมันก็จะถือว่าเอ๊ะเราน่าจะเดินถ้า
00:02:15 → 00:02:17 เกิดว่าเราแกว่งแขนสม่ำเสมอนะครับเป็น
00:02:17 → 00:02:19 จังหวะจังหวะแบบนั้นก็คือการออกกำลังกาย
00:02:19 → 00:02:22 โดยกันเดินนะฮะแล้วมันก็จะเอาไปสัมพันธ์
00:02:22 → 00:02:25 กับค่าการเต้นของหัวใจถ้ามันเต้นเร็วมากๆ
00:02:25 → 00:02:27 มีการเหวี่ยงแขนเร็วมากๆอันนั้นก็จะมีการ
00:02:27 → 00:02:31 เผาผลาญอ่าแคลอรีมากตามไปด้วยนะครับอ่า
00:02:31 → 00:02:34 มันก็จะใช้หลายๆอย่างประกอบกันว่าขณะนั้น
00:02:34 → 00:02:36 เรากำลังทำอะไรอยู่นะครับอีกอย่างนึงซึ่ง
00:02:36 → 00:02:39 มันใช้ก็คือว่าเราสามารถป้อนข้อมูลเข้าไป
00:02:39 → 00:02:42 ได้ว่าตอนนั้นเนี่ยเราทำอะไรเช่นเราออก
00:02:42 → 00:02:44 กำลังกายด้วยการว่ายน้ำเราออกกำลังกาย
00:02:44 → 00:02:47 ด้วยการวิ่งเรากำลังยกเวทอยู่หรือว่าเรา
00:02:47 → 00:02:50 กำลังเล่นโยคะเพราะว่ากิจกรรมในแต่ละ
00:02:50 → 00:02:54 ประเภทนั้นมันก็สามารถที่จะเอาไปคำนวณได้
00:02:54 → 00:02:56 ว่ากิจกรรมแบบนั้นเนี่ยโดยเฉลี่ยแล้วเรา
00:02:56 → 00:02:58 จะใช้แคลอรีประมาณเท่าไหร่เอาไปจับกับค่า
00:02:59 → 00:03:01 การเต้นของหัวหัวใจของเราเมื่อในขณะที่
00:03:01 → 00:03:05 เราอยู่เฉยๆกับในขณะที่เราทำกิจกรรมนั้น
00:03:05 → 00:03:07 มันมีความแตกต่างกันมากน้อยแค่ไหนแล้วก็
00:03:07 → 00:03:09 เอาตัวนั้นน่ะไปจับกับส่วนสูงน้ำหนักของ
00:03:09 → 00:03:12 เราคำนวณออกมาเป็นแคลอรี่นะครับนี่คือ
00:03:12 → 00:03:15 วิธีในการคำนวณแคลอรี่คร่าวๆของนาฬิกาพวก
00:03:15 → 00:03:18 นี้ซึ่งโดยทั่วๆไปแล้วเนี่ยมันมีความคลาด
00:03:18 → 00:03:20 เคลื่อนกันได้ค่อนข้างที่จะสูงมากเลยนะ
00:03:20 → 00:03:23 ครับก็คือจริงๆเคยมีคนไปวัดดูแล้วว่าเออ
00:03:23 → 00:03:26 หลายๆครั้งเนี่ยบางนาฬิกามันก็ให้ค่า
00:03:26 → 00:03:30 แคลอรี่ออกมาต่ำกว่าที่ควรจะเป็นแต่ส่วน
00:03:30 → 00:03:31 ใหญ่แล้วมันมักจะสูงกว่าที่ควรจะเป็นนะ
00:03:31 → 00:03:33 ครับคือเราดูรู้สึกว่าเอ้ยเราเบิร์นไป
00:03:33 → 00:03:36 เยอะกว่าที่ควรจะเป็นนะครับโดยเนี่ยมันก็
00:03:36 → 00:03:38 จะเป็นปัญหาของนาฬิการุ่นนกแรกแต่นาฬกา
00:03:38 → 00:03:41 รุ่นหลังๆที่ออกมาเนี่ยเริ่มที่จะมี
00:03:41 → 00:03:44 ฟีเจอร์อันนึงก็คือมันจะเรียนรู้ระบบร่าง
00:03:44 → 00:03:47 กายของเรานะครับก็คือระบบการเต้นของหัวใจ
00:03:47 → 00:03:49 ว่ามันมากน้อยแค่ไหนในช่วงที่เราอยู่เฉยๆ
00:03:49 → 00:03:51 กับช่วงที่มีกิจกรรมบางอย่างที่เราป้อน
00:03:51 → 00:03:54 ข้อมูลเข้าไปนะครับมันก็เลยทำให้มีค่าที่
00:03:54 → 00:03:56 ค่อนข้างที่จะเข้าใกล้ความจริงมากขึ้น
00:03:56 → 00:03:59 เรื่อยๆนะครับอย่างไรก็แล้วแต่ค่าแคลอรี
00:04:00 → 00:04:02 นั้นเราสามารถใช้ในการพิจารณาว่าใน
00:04:02 → 00:04:05 กิจวัตรประจำวันของเราทำได้แค่ไหนนะฮะตัว
00:04:06 → 00:04:08 เลขของมันเนี่ยอาจจะไม่เป๊ะซะทีเดียว
00:04:08 → 00:04:10 เมื่อไปวัดด้วยวิธีทางการแพทย์นะครับอ่า
00:04:11 → 00:04:12 มันไม่เป๊ะมันไม่มีทางเป๊ะมันไม่ได้มีทาง
00:04:12 → 00:04:16 100% เต็มนะฮะมันใช้ในการดูสิว่าเออใน
00:04:16 → 00:04:20 แต่ละวันเนี่ยนะครับเราใช้พลังงานไปมีแนว
00:04:20 → 00:04:23 โน้มเป็นแบบไหนบ้างใช้มากใช้น้อยในแต่ละ
00:04:23 → 00:04:25 วันนะครับเราก็ใช้ตัวเนี้ยในการประเมิน
00:04:25 → 00:04:28 แต่ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะเอาไปประเมินกับ
00:04:28 → 00:04:31 การที่เราเรารับประทานอาหารเป็นแคลอรี่
00:04:31 → 00:04:33 เท่าไหร่นะครับเพื่อจะดูสมดุลของแคลอรี
00:04:33 → 00:04:37 ถ้าเราได้รับเข้าไปมากกว่าที่เราใช้ออกไป
00:04:37 → 00:04:39 วันนั้นเนี่ยเราก็มีโอกาสที่จะทำให้น้ำ
00:04:39 → 00:04:42 หนักของเราเพิ่มขึ้นได้นะครับโดยทั่วๆไป
00:04:42 → 00:04:46 แล้วเนี่ยในการเดินเนี่ยนะครับเอ่อเราก็
00:04:46 → 00:04:48 สามารถที่จะวัดได้ว่าแคลอรีที่เราใช้
00:04:48 → 00:04:50 เนี่ยมันมากน้อยแค่ไหนได้ด้วยการใช้ smart
00:04:51 → 00:04:52 watch นะครับอันนี้คือเป็นการวัดแคลอรี่
00:04:52 → 00:04:55 ซึ่งผมดูแล้วเนี่ยส่วนตัวนะครับคิดว่ามัน
00:04:55 → 00:04:58 อาจจะไม่แม่นเท่าที่ควรในเรื่องของแคลอรี
00:04:58 → 00:05:00 แต่ว่านาฬิการุ่นใหม่อาจจะแม่นมากขึ้นนะ
00:05:00 → 00:05:03 ครับอันที่ 2 ก็คือเรื่องของการแกว่งแขน
00:05:03 → 00:05:05 ซึ่งเป็นการบอกว่าเราเดินอยู่หรือเปล่านะ
00:05:06 → 00:05:08 ครับอันเนี้ยเราสามารถหลอกเครื่องได้นะ
00:05:08 → 00:05:10 ครับเช่นว่าถ้าเราแกว่งแขนเฉยๆอยู่กับที่
00:05:11 → 00:05:13 เนี่ยบางครั้งเนี่ยถ้าเกิดเป็นนาฬิการุ่น
00:05:13 → 00:05:15 เก่าเนี่ยมันก็จะคิดว่าเรากำลังเดินอยู่
00:05:15 → 00:05:19 แล้วก็ขึ้นเป็นค่าเดินได้นะครับแต่หลังๆ
00:05:19 → 00:05:21 มันชเริ่มฉลาดนะครับเช่นมันอาจจะไปผูกกับ
00:05:21 → 00:05:25 ค่า GPS หรือโทรศัพท์มือถือของเราซึ่ง
00:05:25 → 00:05:27 เวลาที่เราเคลื่อนที่เนี่ยเราโทรศัพท์ของ
00:05:27 → 00:05:28 เราเนี่ยมันจะมีการเคลื่อนที่ไปสัญญาณก็
00:05:28 → 00:05:31 จะมีการเคลื่อนไปมันก็จะรู้ว่าเรากำลัง
00:05:31 → 00:05:34 เดินนะครับแต่ถ้าเราแกว่งแขนอยู่กับที่
00:05:34 → 00:05:36 เนี่ยบางครั้งเนี่ยมันก็รู้ว่าเอ๊ะเราไม่
00:05:36 → 00:05:38 ได้มีการเคลื่อนไหวดังนั้นเนี่ยเราก็ไม่
00:05:38 → 00:05:42 ได้เดินมันเป็นแค่การแกว่งแขนปกตินะครับ
00:05:42 → 00:05:44 ทีนี้เครื่องมันก็ฉลาดเพิ่มขึ้นอีกเพราะ
00:05:44 → 00:05:46 ว่าการแกว่งแขนตามปกติเนี่ยนะครับถ้าเรา
00:05:46 → 00:05:48 อยู่เฉยๆเราแกว่งแขนเนี่ยมันก็จะคิดว่า
00:05:49 → 00:05:51 เราเดินได้ถ้าถ้าเกิดเครื่องมันยังไม่
00:05:51 → 00:05:52 ฉลาดพอแต่เครื่องรุ่นใหม่เนี่ยนะครับ
00:05:52 → 00:05:55 นาฬิการุ่นใหม่เนี่ยมันจะมีอันนึงซึ่งเอา
00:05:55 → 00:05:57 มาจับกับระบบการแกว่งแขนก็คือว่าระบบการ
00:05:57 → 00:05:59 สั่นสะเทือนท่านลองดูสิครับเวลาเวลาที่
00:05:59 → 00:06:01 ท่านแกว่งแขนอยู่เฉยๆเนี่ยมันจะไม่มีการ
00:06:01 → 00:06:04 สั่นสะเทือนถูกมั้ยครับแต่ถ้าท่านเดินนะ
00:06:04 → 00:06:06 หรือวิ่งเวลาเท้ากระทบพื้นเนี่ยมันจะมี
00:06:06 → 00:06:08 แรงสั่นสะเทือนและไอ้แสงสัสเดือนตรงนี้
00:06:08 → 00:06:11 แหละนะครับมันจะไปจับเข้ากับการที่เรา
00:06:11 → 00:06:13 แกว่งแขนก็จะทำให้การวัดเนี่ยมันแม่นมาก
00:06:14 → 00:06:17 ขึ้นดังนั้นจำนวนก้าวเนี่ยนะครับถ้าเรา
00:06:17 → 00:06:21 ก้าวบ่อยๆก้าวติดต่อกันนานๆเนี่ยไอ้อย่าง
00:06:21 → 00:06:22 งั้นน่ะมันจะยิ่งเชื่อถือได้มากขึ้นนะ
00:06:22 → 00:06:24 ครับแต่ถ้าเราเดินไปเดินมาแค่ในบ้านเนี่ย
00:06:24 → 00:06:27 นะครับเดิน 1029 เราก็หยุดไอ้อย่างเงี้ย
00:06:27 → 00:06:29 เครื่องมันอาจจะจับไม่ได้ว่าเรากำลังเดิน
00:06:29 → 00:06:32 อยู่นะครับแต่ถ้าเราเดินสม่ำเสมอเกินแบบ
00:06:32 → 00:06:34 สักนาที 2 นาทีขึ้นไปแล้วเนี่ยตรงนั้นจะ
00:06:34 → 00:06:36 เริ่มแม่นแล้วโดยเฉพาะถ้าเรามีการแกว่ง
00:06:36 → 00:06:39 แขนอย่างเสมอเสมอนะครับถ้าเราไม่แกว่งแขน
00:06:39 → 00:06:41 เลยเรายืนแล้วก็กอดอกแล้วก็เดินไปเรื่อยๆ
00:06:41 → 00:06:43 อย่างเงี้ยครับเครื่องมันจะไม่รู้ว่าเรา
00:06:43 → 00:06:46 กำลังเดินอยู่นะครับอ่าดังนั้นจะบอกว่า
00:06:46 → 00:06:48 การเดินของเราหรือการนับก้าวของเราเนี่ย
00:06:48 → 00:06:50 มันแม่นมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับการ
00:06:50 → 00:06:52 แกว่งแขนแล้วก็การที่เราเดินต่อเนื่องกัน
00:06:52 → 00:06:55 นานเท่าไหร่ด้วยนะครับโดยทั่วๆไปถ้าเกิน
00:06:55 → 00:06:57 เกิน 1 หรือ 2 นาทีเนี่ยมันเริ่มแม่นแล้ว
00:06:57 → 00:07:01 นะครับอันที่ 3 ก็คือเรื่องของการเต้นของ
00:07:01 → 00:07:04 หัวใจนะครับตรงเนี้ผมคิดว่ามันวัดได้ค่อน
00:07:04 → 00:07:06 ข้างที่จะแม่นนะครับการเต้นของหัวใจเนี่ย
00:07:06 → 00:07:10 มันต้องบอกไว้ก่อนว่าใช้วิธีในการเครื่อง
00:07:10 → 00:07:13 มันเนี่ยนะครับด้านในมันจะมีแสงเลเซอร์
00:07:13 → 00:07:16 อันนึงอันเนี้ยก็จะเป็นสีเขียวๆนะครับออา
00:07:16 → 00:07:18 จะมองไม่ค่อยเห็นเนี่ยถ้าถ้าดูที่มือของ
00:07:18 → 00:07:21 ผมนะครับก็จะเห็นเป็นเขียวๆขึ้นมานะตัว
00:07:21 → 00:07:24 นั้นน่ะเป็นจะเป็นแสงที่ส่องเข้าไปเพื่อ
00:07:24 → 00:07:26 ที่จะวัดว่าในเส้นเลือดของตัวแขนของผม
00:07:26 → 00:07:29 เนี่ยนะครับมันมีเลือดวิ่งอยู่เวลาที่ที่
00:07:29 → 00:07:31 หัวใจปั๊มครั้งนึงนะครับเต้นครั้งนึง
00:07:31 → 00:07:32 เลือดมันก็จะวิ่งอีกทีนึงแล้วมันก็จะชะลอ
00:07:32 → 00:07:34 แล้วก็วิ่งอีกทีนึงเมื่อมันมีการบีบตัว
00:07:34 → 00:07:36 ของหัวใจอีกครั้งนึงนะครับมันทำอย่าง
00:07:37 → 00:07:39 เงี้ยเป็นการแสงเลเซอร์ยิงเข้าไปเรื่อยๆ
00:07:39 → 00:07:42 เพื่อจะดูว่าเออหัวใจของเราเต้นกี่ครั้ง
00:07:42 → 00:07:45 นะครับดังนั้นคนที่จะมีปัญหาก็คือคนที่
00:07:45 → 00:07:50 ผิวคล้ำเข้มๆถ้าเราเป็นคนดำนะครับแสงพวก
00:07:50 → 00:07:52 เนี้ยมันเข้าไปก็อาจจะมีการผลิดเพี้ยนก็
00:07:52 → 00:07:54 ได้นะครับทำให้การวัดอัตราการเต้นของหัว
00:07:54 → 00:07:56 ใจในคนเหล่านั้นก็อาจจะผิดพลาดได้แต่ถ้า
00:07:57 → 00:07:59 เราผิวปกติผิวเหลืองเหมือนคนเอเชียผิวขาว
00:07:59 → 00:08:01 เนี่ยนะครับส่วนใหญ่ก็จะไม่ค่อยมีปัญหา
00:08:01 → 00:08:03 เท่าไหร่ดังนั้นถ้าเป็นคนเหล่านี้เนี่ยก็
00:08:03 → 00:08:06 มักจะวัดอัตราการเต้นของหัวใจได้ค่อนข้าง
00:08:06 → 00:08:09 ที่จะแม่นยำนะครับอ่าทีนี้การวัดอัตราการ
00:08:09 → 00:08:11 เต้นของหัวใจเนี่ยมันมีประโยชน์อย่าง
00:08:11 → 00:08:14 หนึ่งนะครับอย่างแรกก็คือว่าเราสามารถรู้
00:08:14 → 00:08:17 ได้ว่าในสภาวะปกติเนี่ยหัวใจเราเต้นกี่
00:08:17 → 00:08:20 ครั้งนะครับเครื่องมันก็จะจดจำในสภาวะ
00:08:20 → 00:08:23 ปกติของเรานะครับถ้าเมื่อไหร่ที่เรามีการ
00:08:23 → 00:08:25 เต้นหัวใจที่มันเร็วจนผิดปกตินะครับ
00:08:25 → 00:08:28 เครื่องมันก็จะเตือนละเอ๊ะอันนี้เราอาจจะ
00:08:28 → 00:08:30 ผิดปกติเราอาจจะมีมีภาวะการเต้นของหัวใจ
00:08:30 → 00:08:33 ที่มันผิดปกตินะเราควรจะไปตรวจกับแพทย์นะ
00:08:33 → 00:08:35 ครับแล้วที่สำคัญคือมันจะบันทึกนั่นน่ะ
00:08:35 → 00:08:37 เข้าไว้ในโทรศัพท์มือถือของเราที่เรามี
00:08:37 → 00:08:39 การลิงก์ข้อมูลไว้นะครับทำให้เราสามารถ
00:08:39 → 00:08:42 เอาตัวเนี้ยไปปรึกษาแพทย์ได้นะครับหรือ
00:08:42 → 00:08:45 อีกแบบนึงคือคนที่อยู่ๆมีการเต้นของหัวใจ
00:08:45 → 00:08:47 แล้วมันหยุดค้างไว้สักพักนึงเนี่ยนะครับ
00:08:47 → 00:08:51 เต้นมันเป็นสั่งสม่ำเสมอตุ๊บตุบๆบแล้วมัน
00:08:51 → 00:08:54 ก็ค้างหยุดแล้วก็ตุ๊บๆุบอย่างเงี้ยนะครับ
00:08:54 → 00:08:56 คือเครื่องมันก็จะสามารถเตือนได้ว่าเรามี
00:08:56 → 00:08:59 การเต้นของหัวใจที่มันผิดปกติหรือที่ที่
00:08:59 → 00:09:02 เรียกทางการแพทย์เราเรียกว่าอิมีนะครับอ
00:09:02 → 00:09:04 มันจะแจ้งเตือนเลยว่าถ้ามันเร็วผิดปกติ
00:09:04 → 00:09:07 เนี่ยจะเป็นจังหวะที่มันไม่ควรจะเกิดขึ้น
00:09:07 → 00:09:09 นะครับมันก็จะเตือนเราว่าเอ้ยอันนี้ผิด
00:09:09 → 00:09:13 ปกติซึ่งการเตือนเนี่ยนะครับบางครั้งก็จะ
00:09:13 → 00:09:15 เป็นการเตือนที่ถูกต้องจริงๆแต่บางครั้ง
00:09:15 → 00:09:18 มันก็จะไม่ถูกต้องนะครับแล้วถามว่าเราจะ
00:09:18 → 00:09:21 รู้ได้ยังไงนะครับถ้าเราเป็นครั้งแรกแล้ว
00:09:21 → 00:09:24 ถ้ายิ่งเรามีอาการเช่นเรามีใจสั่นร่วม
00:09:24 → 00:09:25 ด้วยนะครับเรามีอาการเหนื่อยเรามีอาการ
00:09:25 → 00:09:28 แน่นหน้าอกพวกเนี้ยควรจะไปพบแพทย์เพื่อ
00:09:28 → 00:09:30 ที่จะทำทำการตรวจยืนยันนะครับแล้วเอาข้อ
00:09:30 → 00:09:33 มูลตรงเนี้ไปให้แพทย์ดูด้วยเพราะว่าอาจจะ
00:09:33 → 00:09:35 ช่วยในการวินิจฉัยว่าเอ้ยเราเป็นอะไรแล้ว
00:09:35 → 00:09:37 เราต้องตรวจอะไรเพิ่มเติมนะครับกับอีกแบบ
00:09:37 → 00:09:40 นึงก็คือว่าถ้ามันมีการหยุดไปเรื่อยๆ
00:09:40 → 00:09:42 อย่างเงี้ยนะครับแล้วเราไม่มีอาการแต่มัน
00:09:42 → 00:09:45 มีเตือนอยู่เรื่อยๆพวกนี้ก็สมควรที่จะไป
00:09:45 → 00:09:47 ตรวจให้แน่จอยแน่ใจก่อนเาครับว่าเอ๊ะมัน
00:09:47 → 00:09:50 มีปัญหาอะไรหรือเปล่านะครับอ่าอย่าไปคิด
00:09:50 → 00:09:54 ว่ามันไม่มีปัญหาปัญหาอะไรนะฮะอ่าแล้วถ้า
00:09:54 → 00:09:56 เกิดเรารู้แล้วว่าเราเป็นอะไรนะครับมันก็
00:09:56 → 00:09:58 ใช้ในการติดตามโรคเราได้ด้วยว่าเอ๊ะเรา
00:09:58 → 00:10:01 กินยป้องกันการเกิดการใจสั่นป้องกันการ
00:10:01 → 00:10:04 เต้นผิดปกติของหัวใจแล้วมันได้ผลแค่ไหนนะ
00:10:04 → 00:10:07 ครับอ่าตรงนี้ก็จะสามารถบอกได้ด้วยนะครับ
00:10:07 → 00:10:09 อันต่อมาซึ่งใช้แสงเลเซอร์ตัวนี้ในการวัด
00:10:09 → 00:10:12 ก็คือค่าออกซิเจนในเลือดนะครับหรือเอ่อ
00:10:12 → 00:10:15 ออกซิเจน saturation อ่าตัวนี้มันมีบทบาท
00:10:15 → 00:10:18 มากในช่วงที่เป็นโควิดนะครับผมจะบอกอย่าง
00:10:18 → 00:10:20 นี้ครับเวลาที่เราวัดค่าออกซิเจนที่แม่น
00:10:20 → 00:10:23 ยำที่สุดก็คือหลอดเลือดซึ่งมันอยู่ใต้ผิว
00:10:23 → 00:10:26 หนังและใกล้ผิวหนังมากที่สุดนะครับนั่นก็
00:10:26 → 00:10:29 คือนิ้วนะครับอ่าที่เอาเครื่องมาวัดที่
00:10:29 → 00:10:31 ที่นิ้วอันนั้นจะแม่นยำที่สุดแล้วขนาด
00:10:31 → 00:10:34 นิ้วเนี่ยเรายังต้องให้แน่ใจก่อนว่าเออ
00:10:34 → 00:10:36 นิ้วมันไม่ได้เย็นจนเกินไปนะครับเพราะถ้า
00:10:36 → 00:10:38 เย็นมันวัดไม่ได้มันวัดได้ค่าต่ำนะครับ
00:10:38 → 00:10:40 นิ้วนั้นมีเลือดมาเลี้ยงดีนะครับเช่นถ้า
00:10:40 → 00:10:43 แบบ 4 นิ้วแล้วบางคนมีบางโรคเช่นโรค renal
00:10:44 → 00:10:46 ที่ึทำให้เลือดมาเลี้ยงนิ้วสมมุตินิ้วชี้
00:10:46 → 00:10:49 นะครับเลี้ยงไม่ดีวัดนิ้วนี้ก็จะต่ำวัด 3
00:10:49 → 00:10:52 นิ้วนี้ก็จะสูงเราให้เอาวัดนิ้วที่มันสูง
00:10:52 → 00:10:54 ที่สุดเหมือนที่ผมเคยสอนไปเมื่อนานมาแล้ว
00:10:54 → 00:10:57 นะครับแต่ไอ้นาฬิกาเนี่ยมันก็จะวัดตรงข้อ
00:10:57 → 00:10:59 มือตรงนี้นะครับซึ่งอาจจะมีการคลาด
00:10:59 → 00:11:01 เคลื่อนได้นะครับดังนั้นเวลาที่มันคลาด
00:11:01 → 00:11:03 เคลื่อนเนี่ยนะครับสิ่งที่เราต้องรู้ก็
00:11:03 → 00:11:06 คือว่าโอเคถ้าวัดออกมาแล้วเนี่ยในภาวะ
00:11:06 → 00:11:08 ปกติที่เราไม่เหนื่อยเนี่ยมันคือค่าเท่า
00:11:08 → 00:11:11 ไหร่นะครับและในภาวะที่มันมีความียปกติ
00:11:11 → 00:11:13 ของร่างกายถ้าค่ามันแตกต่างไปจากเดิมที่
00:11:13 → 00:11:15 เคยวัดได้เนี่ยไอ้อย่างเงี้ยเราควรจะต้อง
00:11:15 → 00:11:19 ปรึกษาแพทย์นะครับอ่ามันหมายความว่าเราจะ
00:11:19 → 00:11:21 ต้องดูแนวโน้มของค่าค่านั้นนะครับไม่ใช่
00:11:21 → 00:11:23 ดูว่าเอ๊ะค่านั้นมันเท่าไหร่เช่นเฮ้ยวัด
00:11:23 → 00:11:27 ออกมาได้ 95 94 เราผิดปกติหรือเปล่านะ
00:11:27 → 00:11:30 ถ้าเราทุกอย่างปกติหดและในภาวะปกติของเรา
00:11:31 → 00:11:33 ก็วัดได้ 94-95 แล้วเราก็เคยไปตรวจร่าง
00:11:33 → 00:11:35 กายแล้วเราไม่มีปัญหาเรื่องโรคปอดโรคหัว
00:11:35 → 00:11:37 ใจโรคอะไรใดๆทั้งสิ้นแล้วไปวัดที่โรง
00:11:37 → 00:11:40 พยาบาลได้ 99 ที่นิ้วแต่มาวัดที่นี่ได้ 94
00:11:40 → 00:11:42 95 นั่นเป็นปัญหาที่นาฬิกามันวัดไม่
00:11:42 → 00:11:44 เที่ยงตรงแล้วครับนะถ้าท่านวัดออกมาแล้ว
00:11:44 → 00:11:47 มันต่ำแล้วท่านไม่แน่ใจนะครับโดยเฉพาะถ้า
00:11:47 → 00:11:50 มีอาการแนะนำว่าไปตรวจที่โรงพยาบาลนะครับ
00:11:50 → 00:11:53 ไปตรวจที่โรงพยาบาลถ้าตรวจที่โรงพยาบาล
00:11:53 → 00:11:55 แล้วทุกอย่างปกติหมดแปลว่าปัญหาอยู่ที่
00:11:55 → 00:11:57 นาฬิกามันวัดไม่เที่ยงตรงนะครับแต่ถ้า
00:11:57 → 00:12:00 ท่านมีอาการพวกเนี้ยแน่นอนต้องไปตรวจนะ
00:12:00 → 00:12:02 ครับถ้าท่านไม่มีอาการแล้วท่านกังวลแล
00:12:02 → 00:12:04 ท่านเจออยู่เรื่อยๆก็แนะนำว่าไปตรวจที่
00:12:04 → 00:12:06 โรงพยาบาลหรือถ้าท่านไหนที่มีเครื่องวัด
00:12:06 → 00:12:09 แบบปลายนิ้วท่านก็วัดเทียบกันเลยครับที่
00:12:09 → 00:12:10 ข้อมือเท่าไหร่ที่ปลายนิ้วเท่าไหร่ให้
00:12:10 → 00:12:13 เชื่อที่ปลายนิ้วและปลายนิ้วอย่าลืมเชื่อ
00:12:13 → 00:12:16 นิ้วที่มันสูงที่สุดนะครับไม่ใช่นิ้วที่
00:12:16 → 00:12:18 ต่ำที่สุดนะครับถ้าวัดอ่าสมมุตินิ้วชี้ผม
00:12:18 → 00:12:22 ได้ 94 นิ้วกลางผมได้ 95 นิ้วนางผมได้ 99
00:12:22 → 00:12:25 เชื่อนิ้วนางนะครับเชื่อนิ้วนางนิ้วที่
00:12:25 → 00:12:27 มันต่ำเนี่ยไม่ต้องสนใจใดๆทั้งสิ้นนะครับ
00:12:27 → 00:12:29 มันเป็นปัญหาที่การวัดแล้วแล้วก็เลือดมา
00:12:29 → 00:12:32 เลี้ยงตรงนั้นที่มันมีปัญหานะครับอ่ะนี่
00:12:32 → 00:12:35 คือเรื่องของออกซิเจนต่อมานาฬิกาบางรุ่น
00:12:35 → 00:12:38 อาจจะเคยได้ยินว่ามันสามารถใช้วัดความดัน
00:12:38 → 00:12:41 ได้นะครับอันนี้ต้องบอกเลยนะครับว่ามัน
00:12:41 → 00:12:43 ไม่แม่นยำนะครับมันไม่แม่นยำเลยนะครับไม่
00:12:43 → 00:12:46 ว่าความดันต่ำหรือความดันสูงถ้าท่านไหน
00:12:46 → 00:12:49 ที่วัดแล้วมันผิดปกติไปจากธรรมดานะครับ
00:12:49 → 00:12:53 เช่นคนทั่วๆไปก็อยู่ประมาณซักเอ่อ 110 70
00:12:53 → 00:12:56 กับ 120 800 อย่างนี้เป็นต้นนะครับจะ
00:12:56 → 00:12:59 อยู่แถวๆนี้ถ้าวัดมาแล้วเฮ้ยมันได้ 100
00:12:59 → 00:13:02 50 90 ซึ่งมันสูงนะครับหรือบางคนวัดมา
00:13:02 → 00:13:05 ได้ 170 เฮ้ยมันสูงท่านอย่าเพิ่งตกใจนะ
00:13:05 → 00:13:09 ครับให้ท่านไปหาเครื่องวัดที่มันวัดจริงๆ
00:13:09 → 00:13:11 อ่ะที่เป็นเครื่องวัดความดาโลหิตแบบจริงๆ
00:13:11 → 00:13:14 จังๆมาวัดซะก่อนแล้วดูเทียบกันในภาวะปกติ
00:13:14 → 00:13:16 กับภาวะที่มันผิดปกตินะครับเช่นอ่ะตอนนี้
00:13:16 → 00:13:18 ผมสบายดีแล้วผมใช้นาฬิการุ่นที่มันวัด
00:13:18 → 00:13:21 ความนันได้ผมวัดก่อนมันได้เท่าไหร่ไม่รู้
00:13:21 → 00:13:23 นะครับสมมุติว่าอ่ะ 170 90 เราวัดได้ 170
00:13:24 → 00:13:26 90 เราก็เอานาฬิกาวางแล้วเอาเครื่องวัด
00:13:26 → 00:13:29 คำดาโลหิตจริงๆอ่ะมาวัดดูเทียบกับเลยเลย
00:13:29 → 00:13:32 เทียบกันเดี๋ยวนั้นเลยว่ามันเป็นยังไงถ้า
00:13:32 → 00:13:34 โอเคมันเท่ากันก็แปลว่าเฮ้ยอย่างนี้เราก็
00:13:34 → 00:13:37 เชื่อนาฬิกาได้นะแต่ถ้ามันไม่เท่ากันก็
00:13:37 → 00:13:39 ต้องเชื่อเครื่องที่มันเอาไว้สำหรับวัด
00:13:39 → 00:13:42 ความดันโลหิตโดยเฉพาะนะครับอ่าแต่ถ้าเรา
00:13:42 → 00:13:45 รู้แล้วว่าเฮ้ยถ้าเราวัดเครื่องคอนดา
00:13:45 → 00:13:48 โลหิตจริงๆเนี่ยมันต่ำกว่านาฬิกาสัก
00:13:48 → 00:13:51 ประมาณ 10 มลมตลอดแล้วทุกครั้งที่เราวัด
00:13:51 → 00:13:53 มันเป็นอย่างเงี้ยเราก็บอกได้เลยว่าเฮ้ย
00:13:53 → 00:13:56 ถ้านาฬิกาเรานะมันวัดได้ตัวบน 150 แล้ว
00:13:56 → 00:13:59 เราวัดด้วยเครื่องจริงๆมันได้ 140 เนี่ย
00:13:59 → 00:14:01 มันต่ำกว่า 10 ทุกครั้งเลยอ่ะนะครับถ้า
00:14:01 → 00:14:03 นาฬิกาคราวหน้าเราวัดได้ 120 ก็แปลว่า
00:14:03 → 00:14:07 จริงๆเราอาจจะ 110 อ่านะครับให้เทียบ
00:14:07 → 00:14:09 คร่าวๆแบบนี้นะครับมันจะมีประโยชน์ในแง่
00:14:09 → 00:14:11 ของการติดตามอาการรักึกษาเฮ้ยเราเป็นความ
00:14:11 → 00:14:14 เดาลหิตสูงเราใช้นาฬิกาวัดพวกเยนะครับ
00:14:14 → 00:14:16 เมื่อเทียบกับข้อมือแบบเนี้ยได้เอเมื่อ
00:14:16 → 00:14:18 เทียบกับการวัดแบบจริงจังเนี่ยมันได้แค่
00:14:18 → 00:14:21 ไหนก็ใช้ตัวนั้นเป็นตัวในการบอกเราว่าเออ
00:14:21 → 00:14:25 วัดได้อย่างไรบ้างนะครับนะถ้ามีข้อสงสัย
00:14:25 → 00:14:27 จะต้องไปตรวจทางการแพทย์ให้ชัดเจนนะครับ
00:14:28 → 00:14:30 อีกอันนึงซึ่งมีมีคนเคยพูดถึงก็คือเรื่อง
00:14:30 → 00:14:32 ของการนอนหลับนะครับว่าเออนาฬิกามันบอก
00:14:32 → 00:14:35 ว่าวันนี้เราหลับไม่ลึกเลยนะครับเราหลับ
00:14:35 → 00:14:38 มีฝันตลอดเวลามีเร็มเยอะนะครับอันเนี้ยนะ
00:14:38 → 00:14:42 ครับถามว่ามันวัดได้ยังไงนะครับเครื่อง
00:14:42 → 00:14:45 นาฬิกาของเราเนี่ยครับเวลาที่เราค่อยค่อย
00:14:45 → 00:14:47 หลับนะครับเวลาเราหลับเนี่ยสิ่งที่เกิด
00:14:47 → 00:14:49 ขึ้นก็คือหัวใจจะเต้นช้าลงนะครับช้าลง
00:14:49 → 00:14:52 เรื่อยๆเรื่อยๆนะครับจนถึงภาวะหยุดนิ่ง
00:14:52 → 00:14:53 แล้วเราก็จะไม่ค่อยเคลื่อนไหวเท่าไหร่นะ
00:14:53 → 00:14:55 ครับแน่นอนเวลาที่เรานอนเนี่ยตอนช่วงหลับ
00:14:55 → 00:14:58 ลึกๆเนี่ยเราจะนอนนิ่งๆไม่เคลื่อนไหวหัว
00:14:58 → 00:15:01 จะจนั่นช้าเครื่องมันก็จะใช้ตัวเนี้ยใน
00:15:01 → 00:15:05 การบอกว่าเราหลับอยู่ใน Stage ไหนหรือใน
00:15:05 → 00:15:08 ระยะไหนแล้วเวลาช่วงที่เราฝันเนี่ยนะครับ
00:15:08 → 00:15:11 อ่าช่วงที่เราฝันเนี่ยหัวใจเราจะเต้นเร็ว
00:15:11 → 00:15:14 ขึ้นมันก็จะบอกว่าเอ๊ะเราอยู่นิ่งๆนะเรา
00:15:14 → 00:15:16 นอนนิ่งๆมานานแล้วแต่หัวใจเต้นเร็วขึ้น
00:15:16 → 00:15:19 น่าจะเป็นช่วงที่ฝันนะครับแต่ช่วงที่แบบ
00:15:19 → 00:15:22 หัวใจเต้นช้าลงแล้วก็ขยับยับบ้างเออมัน
00:15:22 → 00:15:24 ยังนอนหลับไม่ลึกนะแล้วเดี๋ยวหัวใจเต้น
00:15:24 → 00:15:27 เร็วขึ้นอีกแล้วก็เช่นท้าลงอีกแต่มันช้า
00:15:27 → 00:15:29 กว่าตอนที่เราตื่นน่ะนะครับมันตอนตื่น
00:15:29 → 00:15:31 เนี่ยแน่นอนมันต้องเร็วกว่าตอนหลับมันจะ
00:15:31 → 00:15:33 ช้าลงมาแต่ถ้ามันช้าเดี๋ยวมันเร็วเดี๋ยว
00:15:33 → 00:15:34 มันช้าเดี๋ยวมันเร็วอันนั้นก็จะเป็นตัว
00:15:34 → 00:15:37 บอกว่าเออเราอาจจะหลับไม่ลึกเครื่องมันก็
00:15:37 → 00:15:40 ใช้ตัวนี้ในการประมาณการนะครับ
00:15:40 → 00:15:44 แต่เวลาที่เราวัดการหลับในโรงพยาบาลวัด
00:15:44 → 00:15:47 โดยการทดลองเนี่ยนะครับเราวัดที่ไหนครับ
00:15:47 → 00:15:50 เราไม่ได้วัดที่การแทหัวใจนะครับไม่ได้
00:15:50 → 00:15:54 วัดที่การขยับตัวเราวัดที่คลื่นสมองนะ
00:15:54 → 00:15:56 ครับเราก็ต้องมาติดที่สมองไม่ได้วัดที่
00:15:56 → 00:15:58 มือนะครับไม่ได้วัดที่มือดังนั้นการวัด
00:15:58 → 00:16:01 ไอ้ที่มือเนี่ยนะครับมันก็จะผิดพลาดคลาด
00:16:01 → 00:16:04 เคลื่อนได้นะครับเพราะว่าถ้าคนไหนลองนั่ง
00:16:04 → 00:16:07 เฉยๆแล้วไม่หลับนั่งสมาธิแล้วก็มีการขยับ
00:16:07 → 00:16:09 ตัวนี้นี่หน่อยๆหรือว่าคิดมากคิดโน่น
00:16:09 → 00:16:11 เนี้ยหัวใจมันเต้นขึ้นลงขึ้นลงนะครับ
00:16:11 → 00:16:13 เครื่องมันก็จะบอกว่าเออตอนนั้นเรานอน
00:16:13 → 00:16:15 อยู่แล้วนอนหลับไม่สนิทซะด้วยนะครับมันก็
00:16:15 → 00:16:17 จะบอกอย่างนั้นได้นะฮะดังนั้นเนี่ยเรื่อง
00:16:17 → 00:16:19 ของการนอนหลับว่าเราหลับลึกหลับไม่ลึก
00:16:19 → 00:16:22 เนี่ยบางครั้งเนี่ยเชื่อมากไม่ได้นะครับ
00:16:22 → 00:16:25 เชื่อมากไม่ได้นะฮะคนบางคนจะไปเชื่อซะ
00:16:25 → 00:16:27 ตลอดเวลาถ้าท่านมีความกังวลซะขนาดนั้น
00:16:27 → 00:16:31 สิ่งที่ผมแนะนำว่าควรจะทำก็คือไปตรวจเลย
00:16:31 → 00:16:33 ดีกว่าครับอาจจะตรวจการนอนหลับแบบที่บ้าน
00:16:33 → 00:16:35 เลิกก็ได้นะครับถ้าท่านไม่ได้มีอาการอะไร
00:16:35 → 00:16:38 ผิดปกติหรือถ้าท่านมีควปี่ปกติเช่นอืมัน
00:16:38 → 00:16:40 ก็รู้สึกว่านอนไม่เต็มอิ่มนะตื่นมาตอน
00:16:40 → 00:16:43 เช้าปวดหัวเ่อเพลียระหว่างวันเยอะๆนอนกลน
00:16:43 → 00:16:45 แล้วไอ้เครื่องเยมันก็เตือนว่าเรานอนหลับ
00:16:45 → 00:16:48 ไม่สนิทนะอย่างงั้นน่ะท่านไปตรวจการนอน
00:16:48 → 00:16:50 หลับที่โรงพยาบาลก็ถือว่าเป็นสิ่งที่
00:16:50 → 00:16:52 นาฬิกามันเตือนสามารถทำให้ท่านไปตรวจได้
00:16:52 → 00:16:56 นะครับอันที่ผมว่าดีนะครับต่อมาอันเนี้ย
00:16:56 → 00:16:59 อาจจะเคยได้ยินที่เอ่อของ Apple เ้าจะทำ
00:16:59 → 00:17:00 นะครับแต่มันยังไม่ทำออกมานะครับก็คือ
00:17:00 → 00:17:03 เรื่องของการวัดน้ำตาลในเลือดนะฮะอันนี้
00:17:03 → 00:17:05 ต้องบอกเลยนะครับว่าเชื่อไม่ได้ในตอนนี้
00:17:05 → 00:17:09 นะครับยังเชื่อไม่ได้เครื่องที่วัดน้ำตาล
00:17:09 → 00:17:13 ในเลือดแบบตลอดเวลาถามว่ามีมั้ยมีครับนะ
00:17:13 → 00:17:15 ไม่ใช่เอ่อคนที่เป็นเบาหวานอจะรู้ดีว่า
00:17:15 → 00:17:17 มันมีแบบที่เอามาเจาะปลายนิ้วเอาเลือดไป
00:17:17 → 00:17:19 แปะกับตัวสติฟแล้วก็ให้เครื่องมันอ่านนะ
00:17:19 → 00:17:22 ครับแต่นั้นน่ะมันเป็นการตรวจแบบเป็น
00:17:22 → 00:17:24 ครั้งคราวนะครับมันไม่ตรวจตลอดเวลา
00:17:24 → 00:17:27 เครื่องที่ตรวจตลอดเวลามีครับอ่าเรามี
00:17:27 → 00:17:29 ชื่อทางการแพทย์ว่าว่า Continuous
00:17:29 → 00:17:33 glucose monitoring นะครับมันจะเป็นตัว
00:17:33 → 00:17:36 แป้นกลมๆซึ่งมีเข็มอยู่นะครับแล้วก็จะมา
00:17:36 → 00:17:38 ยิงเข้าไปกับตัวเองเช่นยิงไว้ตรงหน้าท้อง
00:17:38 → 00:17:40 หรือยิงไว้ตรงต้นแขนนะครับมันก็จะมีเข็ม
00:17:40 → 00:17:42 ตัวเนี้ยฝังเข้าไปใต้ผิวหนังเราแล้วมันก็
00:17:42 → 00:17:45 จะติดอยู่กับผิวหนังเราเนี่ยตลอดจนกว่า
00:17:45 → 00:17:47 เราจะไปแกะมันทิ้งในช่วงที่มันติดอยู่กับ
00:17:47 → 00:17:50 ผิวหนังเราตลอดเวลาเนี่ยนะครับมันก็จะมี
00:17:50 → 00:17:53 การวัดค่าน้ำตาลตลอดเวลาแล้วไปแสดงผลที่
00:17:53 → 00:17:55 หน้าจอมือถือของเราได้อันเนี้ยเครื่อง
00:17:55 → 00:17:57 อย่างเงี้ยมันมีจริงๆแล้วก็ใช้ในการรักษา
00:17:57 → 00:18:00 โรคเบาหวานนะครับหรือในในคนที่รักสุขภาพ
00:18:00 → 00:18:02 มากจริงๆแล้วต้องการดูพวกเนี้ยโดยที่ท่าน
00:18:02 → 00:18:04 ไม่ได้เป็นเบาหวานแล้วท่านจ่ายค่าเครื่อง
00:18:04 → 00:18:06 เหล่านี้ได้นะก็มีคนเอามาวัดเหมือนกันนะ
00:18:06 → 00:18:09 ครับแต่นาฬิกาเนี่ยนะครับยังไม่สามารถทำ
00:18:09 → 00:18:12 เช่นนั้นได้แล้วน้ำตาลในเลือดเนี่ยนะครับ
00:18:12 → 00:18:15 มันก็เป็นสิ่งที่ต้องใช้ความต่างสัตว์ใช้
00:18:15 → 00:18:18 ปฏิกิริยาเคมีสักอย่างเในการวัดนะครับการ
00:18:18 → 00:18:21 ใช้แสงเลเซอร์หรือการแปะเฉยๆเนี่ยไม่ได้
00:18:21 → 00:18:24 นะครับอาจจะมีคนพยายามคิดว่าเออเนี่ยถ้า
00:18:24 → 00:18:26 เราแปะในช่วงนี้แล้วลองสร้างความต่างสัก
00:18:26 → 00:18:29 ระหว่างตรงนี้กับอีกที่นึงเพื่อใช้ในการ
00:18:29 → 00:18:31 ดูว่ามันสามารถเอ่อวัดอะไรพวกนี้ได้มาก
00:18:31 → 00:18:34 น้อยแค่ไหนก็คิดว่ายังไม่แม่นยำนะครับ
00:18:34 → 00:18:36 ส่วนตัวคิดว่ายังไม่แม่นยำแล้วอีกอย่าง
00:18:36 → 00:18:38 มันจะมีความเกี่ยวข้องกับถ้าเรามีเหงื่อ
00:18:38 → 00:18:40 เยอะล่ะมันอาจจะมีทำให้การเหนี่ยวนำไฟฟ้า
00:18:40 → 00:18:42 ผิดปกติได้และยิ่งทำให้มันไม่แม่นเข้าไป
00:18:42 → 00:18:45 อีกนะครับตรงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งซึ่งมัน
00:18:45 → 00:18:47 ยังไม่สามารถที่จะวัดได้ด้วยเทคโนโลยีใน
00:18:47 → 00:18:49 ปัจจุบันนี้แล้วผมก็คิดว่าถ้ามันวัดได้
00:18:49 → 00:18:51 จริงๆมันก็ไม่น่าจะแม่นเท่ากับเครื่องที่
00:18:51 → 00:18:54 มันต้องมีการเจาะผ่านผิวหนังเข้าไปนะครับ
00:18:54 → 00:18:57 โอเควันนี้ผมก็คิดว่าเราเล่ามาค่อนข้าง
00:18:57 → 00:18:59 ที่จะพอสมควรเนี่ยนะครับเรื่องเกี่ยวข้อง
00:19:00 → 00:19:01 กับว่า Smart Watch เนี่ยมันเชื่อถือได้
00:19:01 → 00:19:04 มากน้อยแค่ไหนในการวัดค่าต่างๆของร่างกาย
00:19:04 → 00:19:07 นะครับดังนั้นส่วนตัวผมนะครับโดยสรุปแล้ว
00:19:07 → 00:19:11 คิดว่าค่าต่างๆเหล่านี้มันใช้ในการข้อแรก
00:19:11 → 00:19:14 บ่งบอกถึงว่าอาจจะมีความผิดปกติโดยเฉพาะ
00:19:14 → 00:19:16 ถ้าท่านมีอาการอะไรที่ผิดปกติแนะนำว่าไป
00:19:16 → 00:19:19 ตรวจกับแพทย์นะครับถ้าไม่มีอาการอะไรผิด
00:19:19 → 00:19:21 ปกติแล้วกังวลแนะนำว่าตรวจด้วยวิธี
00:19:21 → 00:19:24 มาตรฐานแล้วลองเออเปรียบเทียบดูนะครับอ่า
00:19:24 → 00:19:26 ถ้ามันเปรียบเทียบแล้วมันมีความแตกต่าง
00:19:26 → 00:19:29 กันเท่าไหนนะครับเช่นอ่าก็ออกซิเจน
00:19:29 → 00:19:31 saturation เราที่ปลายนิ้วเนี่ยมันได้ 99
00:19:31 → 00:19:33 แต่ไตรงนี้วัดเท่าไหร่ก็ได้ 97 ทุกทีตรง
00:19:33 → 00:19:36 นี้ 99 97 นะครับมันก็จะต่างกัน 2%
00:19:36 → 00:19:38 อย่างเงี้ยนะครับก็แปลว่าเอ้ยอันเนี้ยค่า
00:19:38 → 00:19:41 คล่าเคลื่อนมันก็ประมาณ 2% นะนะครับก็ใช้
00:19:41 → 00:19:43 อย่างนั้นในการจับในอนาคตก็ได้เกิดว่า
00:19:43 → 00:19:45 อยู่ๆเฮ้ยเครื่องนี้มันวัดได้ 94 นะครับ
00:19:46 → 00:19:48 จริงๆบวกไปอีก 2 ก็ 96 อ่าอย่างงั้นเป็น
00:19:48 → 00:19:52 ต้นนะใช้ในการบอกได้ถ้าเราเทียบกับเ่อ
00:19:52 → 00:19:55 วิธีมาตรฐานนะครับอีกอย่างนึงก็คือว่า
00:19:55 → 00:19:57 เวลาที่เราตรวจพวกเนะครับถ้าเรามีความ
00:19:57 → 00:20:00 กังวลไปตรวจกับหมอเลยครับไปตรวจกับหมอให้
00:20:00 → 00:20:02 ชัดเจนว่าตกลงแล้วมันมีปัญหาอะไรมยถ้า
00:20:02 → 00:20:05 ตรวจเสร็จทุกอย่างเสร็จปุ๊บสิ่งที่จะมี
00:20:05 → 00:20:07 ประโยชน์อีกอย่างนึงก็คือใช้ในการตรวจติด
00:20:07 → 00:20:10 ตามอาการอ่าใช้ในการตรวจติดตามอาการนะ
00:20:10 → 00:20:12 ครับโดยที่เราจะต้องรู้ว่าพื้นฐานของเรา
00:20:12 → 00:20:15 เนี่ยค่าต่างๆเหล่านั้นเนี่ยโดยภาวะปกติ
00:20:15 → 00:20:17 ของร่างกายเรามันแค่ไหนนะครับแล้วเราจะ
00:20:17 → 00:20:19 ได้รู้ว่าเวลาที่มันค่ามันผิดปกติไปเนี่ย
00:20:19 → 00:20:23 มันผิดปกติไปจากค่าพื้นฐานของเรามากน้อย
00:20:23 → 00:20:25 แค่ไหนนะครับโอเคตรงนี้ผมคิดว่าเป็น
00:20:25 → 00:20:26 ประโยชน์ของ smart watch อย่างนึแล้วคิด
00:20:26 → 00:20:29 ว่าในอนาคตเนี่ยน่าจะมีการทำ smart watch
00:20:29 → 00:20:32 ที่มันค่อนข้างแม่นขึ้นเรื่อยๆนะครับโอเค
00:20:32 → 00:20:35 ถ้าใครมีอะไรที่สอบถามหรือว่าสงสัยอะไรก็
00:20:35 → 00:20:36 สอบถามมาได้นะครับวันนี้เท่านี้นะครับ
00:20:36 → 00:20:40 ขอบคุณมากครับสวัสดีครับ