00:00:00 → 00:00:02 ทำไมภูมิคุ้มกันมันถึงมาทำร้ายตัวเซลล์
00:00:02 → 00:00:05 ของหนูล่ะหมอทำไมคนอื่นๆเขาไม่เป็นมนุษย์
00:00:05 → 00:00:08 เราเนี่ยนะเวลาป่วยไคร้สิ่งแรกที่เราตั้ง
00:00:08 → 00:00:11 คำถามคือทำไมมันเกิดขึ้นกับเราทำไมทั้ง
00:00:11 → 00:00:14 โรครอเรือและโรครอลิงถึงได้ทำร้ายฉัน
00:00:14 → 00:00:17 อย่างนี้พอเราเริ่มยอมแพ้ภูมิคุ้มกันต่าง
00:00:17 → 00:00:20 ๆเราก็ยอมแพ้ตามไปด้วยคุณตื่นในเวลาที่คน
00:00:20 → 00:00:23 อื่นเขนอนแล้วคุณนอนในเวลลาที่คนอื่นเข
00:00:23 → 00:00:26 ตื่นในเวลากินไม่ได้กินเวลานอนไม่ได้นอน
00:00:26 → 00:00:29 โลคภัยก็จะถามหาการนอนน่าจะเป็นอันดับต้น
00:00:29 → 00:00:33 ๆเลยในเรื่องของการดูแลสุขภาพคนเราอ่ะ
00:00:33 → 00:00:36 เวลาเสียชีวิตเนี่ยเราอยากเสียแบบไหนดี
00:00:36 → 00:00:38 กว่าคุณอยากจะเสียแบบเฟอร์นิเจอร์เต็มตัว
00:00:38 → 00:00:41 หรืออยากจะเสียแบบนอนสงบนิ่งและเสียชีวิต
00:00:42 → 00:00:45 ไปหลับสบายๆเมื่อมัจจุราชจะเอาตัวไปต่อ
00:00:45 → 00:00:48 ให้เอ็งเทพแค่ไหนอ่ะเอ็งก็เอาไม่อยู่
00:00:48 → 00:00:51 มัจจุราชจะหาทางเสมอตอนสุดท้ายส่วนใหญ่
00:00:51 → 00:00:55 น่ะมักจะมีกังวลลูกหลานร้องไห้สมทรัพย์
00:00:55 → 00:00:58 สมบัติยังไม่ได้แบกนู่นนี่นั่นลูกหลัง
00:00:58 → 00:01:00 ทะเลาะกันข้างเตียงอันเนี้ยมันเป็นเรื่อง
00:01:00 → 00:01:04 ที่คนตายก่อนตายยังไม่สุขเลยแล้วตายไปจะ
00:01:04 → 00:01:11 สุขได้ยังไงเกลาแก้โรคเกลานิสัยห่างไก
00:01:11 → 00:01:14 โรคสวัสดีค่ะกลับมาพบกันอีกแล้วนะคะกับ
00:01:14 → 00:01:16 รายการเกาแก้โลคค่ะซึ่งวันนี้นะคะเราก็
00:01:16 → 00:01:18 อยู่กันกับคุณหมอเกมจากเพจแพทย์เฉพาะทาง
00:01:19 → 00:01:21 บาดเดียวค่ะสวัสดีค่ะคุณหมอสวัสดีสวัสดี
00:01:21 → 00:01:24 ค่ะสวัสดีค่ะซึ่งท็อปปิกที่เราจะมาคุยกัน
00:01:24 → 00:01:26 ในวันนี้นะคะเชื่อว่าคนไทยหลายๆคนเนี่ยจะ
00:01:26 → 00:01:28 ต้องสนใจอย่างแน่นอนเพราะมันคือเรื่อง
00:01:28 → 00:01:30 เกี่ยวกับแก้โรคกรรมทำได้จริงจริงมมแล้ว
00:01:30 → 00:01:32 ก็วิธีการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันทางใจค่ะ
00:01:33 → 00:01:34 แต่ก่อนที่จะไปเข้าคำถามเนี่ยขอถามคุณหมอ
00:01:34 → 00:01:36 นิดนึงว่าอยู่ดีๆเราป่วยแล้วหาสาเหตุไม่
00:01:36 → 00:01:38 ได้เงี้ยเราจะมีวิธีรับมือหรือฮีลใจหรือ
00:01:39 → 00:01:41 แบบว่าวางใจยังไงดีให้เราไม่ไม่เครียด
00:01:41 → 00:01:43 กว่าเดิมให้เราไม่ทุกข์กว่าเดิมคือจริงๆ
00:01:43 → 00:01:47 ถ้าถามว่าหมอแนะนำแบบนี้มยบอกให้ทำใจคือ
00:01:47 → 00:01:50 ต้องบอกว่าจริงๆแล้วมันไม่ใช่เป็นคำแนะนำ
00:01:50 → 00:01:53 ที่ที่หมอคิดเองมันเป็นความคิดที่หมอได้
00:01:53 → 00:01:56 คุยกับคนไข้จะขอเล่าก็ให้ฟังก็แล้วกัน
00:01:56 → 00:01:58 เรื่องของกรรมเนี่ยตอนนั้นเนี่ยหมอเป็น
00:01:58 → 00:02:02 นักศึกษาแพทย์ที่ิศิริราชก็ย้อนกลับไปก็
00:02:02 → 00:02:04 30 กว่าปีแล้วล่ะหมอไปเจอคนไข้คนนึงเป็น
00:02:04 → 00:02:07 คนไข้ผู้หญิงป่วยเป็นโรค sle เห็นมั้ยผู้
00:02:07 → 00:02:10 หญิงจะป่วยเป็นไม่ใช่กล้ามเนื้ออ่อนแรง
00:02:10 → 00:02:14 เป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเองบางคนก็บอก
00:02:14 → 00:02:17 ว่าเป็นโรคภูมิเพี้ยนภูมิอยู่ดีๆภูมิกก
00:02:17 → 00:02:20 เราเม็ดเลือดขาวเนี่ยปกติจะต้องสู้เชืโลก
00:02:20 → 00:02:22 ใช่มั้ยอ่าปรากฏว่าทำลายเซลล์ของเราคือ
00:02:22 → 00:02:24 จริงๆต้องบอกว่า SL อีเนี่ยจะมีทั้งหมด
00:02:24 → 00:02:28 11-12 อาการอาการแสดงแต่คนไข้คนเนี้ยเขา
00:02:28 → 00:02:31 บอกว่ามีครบ 4 ก็ครบะวินิจฉัยได้แล้วว่า
00:02:31 → 00:02:34 เป็น s แต่คนไข้คนเนี้ยมีครบ 11 ข้อเลยก็
00:02:34 → 00:02:37 จะเป็นอะไรที่นักศึกษาแพทย์สนใจใช่มยต้อง
00:02:37 → 00:02:40 ไปดูว่าโอเฮ้ยคนนี้เขมีครบ 11 โลกเลยสิ่ง
00:02:40 → 00:02:42 ที่เราเรียนรู้จากคนไข้เนี่ยคนไข้เองก็
00:02:42 → 00:02:46 สอนเราสิ่งที่คนไข้อยากรู้คนไข้ถามมาคำ
00:02:46 → 00:02:50 นึงว่าหมอโลกที่ดิฉันเป็นอยู่เนี่ยมัน
00:02:50 → 00:02:52 เกิดเพราะอะไรเราก็อธิบายทางวิทยาศาสตร์
00:02:52 → 00:02:54 ก็เมื่อกี้นี่ไงภูมิคุ้มกันมันทำร้ายตัว
00:02:54 → 00:02:58 เองคนไข้ก็ถามต่อว่าแล้วอยู่ดีๆอ่ะทำไม
00:02:58 → 00:03:01 ภูมิคุ้มกันมันถึงมาทำทำร้ายตัวเซลล์ของ
00:03:01 → 00:03:04 หนูล่ะหมอทำไมคนอื่นๆน่ะเขาไม่เป็นหมอก็
00:03:04 → 00:03:08 นั่งคิดว่าเออว่ะทำไมถึงมาทำกับคนนี้ไม่
00:03:08 → 00:03:11 ทำกับคนนั้นคนไข้พูดขึ้นมาเองว่ามันคง
00:03:11 → 00:03:14 เป็นกรรมเวรของดิฉันนี่คือสิ่งที่คนไข้
00:03:14 → 00:03:16 พูดแล้วมันเป็นครั้งแรกที่เรานั่งฟังว่า
00:03:16 → 00:03:19 เออมันเป็นโรคกรรมพอคนไข้มองว่ามันเป็น
00:03:19 → 00:03:22 โรคกรรมว่ามันเป็นโรคกรรมโรคเวรของดิฉัน
00:03:22 → 00:03:25 เองเทำใจยอมรับมนุษย์เราเนี่ยนะเวลาป่วย
00:03:25 → 00:03:29 ไข้ค่ะเคยป่วยมั้ยเคยค่ะเคยเข้าโรงพยาบาล
00:03:29 → 00:03:31 มั้ยตเด็กๆบ่อยอ่าโอเคตอนเด็กๆอาจจะยัง
00:03:32 → 00:03:35 ไม่เท่าไหร่แต่ถ้าเราป่วยไข้ตอนโตอสิ่ง
00:03:35 → 00:03:38 แรกก็คือพอเราป่วยปุ๊บเขาจับเราเข้านอน
00:03:38 → 00:03:41 โรงพยาบาลสิ่งที่เรามองขึ้นไปก็คือเพดาน
00:03:41 → 00:03:45 นะเพดานห้องห้องสี่เหลี่ยมไม่ให้เราไปไหน
00:03:45 → 00:03:49 สิ่งแรกที่เราตั้งคำถามคือทำไมมันเกิด
00:03:49 → 00:03:51 ขึ้นกับเราสมมุติว่าเราเป็นโรคที่อธิบาย
00:03:51 → 00:03:54 ได้เราก็เข้าใจแหละสูบุหรี่กินเห่าแล้วผม
00:03:54 → 00:03:56 เป็นมะเร็งปอดเป็นมะเร็งตับเป็นก้ามเนื้อ
00:03:56 → 00:03:59 หัวใจขาดเลือกแต่สมมุติเราเป็นโรคที่มัน
00:03:59 → 00:04:01 อธิบายไม่ได้หาสาเหตุไม่เจอเราก็จะต้อง
00:04:01 → 00:04:04 ตั้งคำถามว่าเพราะอะไรมันเกิดกับเราได้
00:04:04 → 00:04:06 อย่างไรคราวนี้เราก็นั่งคิดเลยเกิดกับเรา
00:04:06 → 00:04:09 ได้อย่างไงอันที่ 2 พอเราคิดแล้วเราก็
00:04:09 → 00:04:13 เกิดคำถามหาคำตอบไม่ได้ก็จะเป็นความไม่พอ
00:04:13 → 00:04:17 ใจอ้าความโกรธความโกรธเยอาจจะแสดงออกโดย
00:04:17 → 00:04:20 การปฏิเสธการรักษาหมอมาทำอะไรเนี่ยเจอด
00:04:20 → 00:04:22 เลือดไปอีกละวันนึงเจอดเลือดตั้งกี่ครั้ง
00:04:22 → 00:04:25 เนี่ยหมอจะไปตรวจอะไรเคยเป็นมยเคยสมมุติ
00:04:25 → 00:04:27 ว่าถ้าหนูเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆมาเจาะเลือด
00:04:27 → 00:04:30 อีกะจะดูอะไรหมอเจาะเลือดทุกวันเลยสิ่ง
00:04:30 → 00:04:32 ที่หมอพูดไปเนี่ยเชื่อว่าจะต้องตรงใจหลาย
00:04:32 → 00:04:36 ๆคนก็จะเกิดความไม่พอใจแล้วจอไปแล้วตรวจ
00:04:36 → 00:04:39 ไปแล้วหนูเจ็บตัวแล้วทำไมู้หาคำตอบไม่ได้
00:04:39 → 00:04:41 คราวนี้มันก็จะเป็นสเต็ปต่อไปว่าเมื่อเรา
00:04:41 → 00:04:43 โกรธแล้วเนี่ยสิ่งที่พัฒนาทางด้านจิตใจ
00:04:43 → 00:04:47 เราต่อหก็คือเราจะเศร้าซึมเศร้า depress
00:04:47 → 00:04:51 แล้วทำไมทั้งโรครอเรือและโรครอลิงถึงได้
00:04:51 → 00:04:55 ทำร้ายฉันอย่างนี้ฉันแข็งแรงมาดีๆอ่ะทำไม
00:04:55 → 00:04:58 ฉันต้องมาป่วยไข้เราก็จะเริ่มซึมเศร้าถ้า
00:04:58 → 00:05:00 เราผ่านโหมดเนี้ยไปไม่ได้เราก็จะดิ่งกว่า
00:05:01 → 00:05:03 เดิมเราก็จะยิ่งดิ่งลงไปอีกเราก็จะสังเกต
00:05:03 → 00:05:06 ว่าหลายคนที่บอกว่าอย่าไปบอกเคนะว่าเป็น
00:05:06 → 00:05:10 มะเร็งอ่ะเดี๋ยวเขาจะแย่ก็จะเป็นโหมดนี้
00:05:10 → 00:05:12 แหละเพราะบางทีคนไข้รับรู้ว่าอ้าเป็น
00:05:12 → 00:05:15 มะเร็งทีนี้เลยสุดสมมติเอเป็นมะเร็งตับ
00:05:15 → 00:05:18 ก้อน 8 ซมจะรอดหรอวะไม่ไหวละซึมเศร้าร่าง
00:05:18 → 00:05:22 กายอย่างที่บอกว่าจิตใจกับจิตใจกับร่าง
00:05:22 → 00:05:25 กายเนี่ยมันไปด้วยกันสมอพอเราเริ่มยอมแพ้
00:05:25 → 00:05:28 ทุกอย่างเรายอมแพ้ะภูมิคุ้มกันต่างๆเราก็
00:05:28 → 00:05:31 ยอมแพ้ตามไปด้วยอืร่างกายมันก็จะออกทาง
00:05:31 → 00:05:34 ร่างกายเราก็จะสังเกตว่าหลายคนพอรับรู้
00:05:34 → 00:05:36 ว่าเป็นโรคที่รักษาไม่หายอีกไม่กี่วันไม่
00:05:36 → 00:05:39 กี่เดือนถอดใจไปเลยเออเขาก็ถอดใจแล้วก็
00:05:39 → 00:05:42 Dead ไปเลยใช่มยซึมเศร้า deess แล้วก็
00:05:42 → 00:05:45 Death แต่ในอีกกลุ่มหนึ่งที่มีพื้นฐาน
00:05:45 → 00:05:48 จิตใจอืที่แข็งแรงที่เข้มแข็งซึ่งมันไม่
00:05:48 → 00:05:51 รู้นะว่าตัวเราเข้มแข็งจริงรือเปล่าใชมัน
00:05:51 → 00:05:53 ไม่มีตัววัดว่าตอนนี้จิตใจเราเข้มแข็งแค่
00:05:53 → 00:05:55 คือเราอาจจะบอกว่ารับได้รับได้รับได้หมอ
00:05:55 → 00:05:58 รับได้บอกมันเลยหมอบอกมาเลยว่าหนูเป็น
00:05:58 → 00:06:01 อะไรบอกบอกมาเลยอีฉันเป็นอะไรถึงเวลาจริง
00:06:01 → 00:06:04 ๆอ่ะรับได้มากน้อยแค่ไหนไม่มีใครรู้
00:06:04 → 00:06:08 สมมุติว่าในกลุ่มที่จิตใจเข้มแข็งจริงรับ
00:06:08 → 00:06:11 ได้ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นกับฉันเนี่ยฉัน
00:06:11 → 00:06:14 ยอมรับฉันพร้อมที่จะเดินไปพร้อมกับมันฉัน
00:06:14 → 00:06:17 พร้อมที่จะสู้มันพวกเนี้ยก็จะเป็นกลุ่ม
00:06:17 → 00:06:20 ที่เรียกว่า acceptable ะใช่มจาก Angry
00:06:20 → 00:06:23 depress เริ่มเป็น acceptable อยู่กับ
00:06:23 → 00:06:25 มันไปคราวนี้พออยู่กับมันไปได้ก็จะมีผู้
00:06:25 → 00:06:29 ชนะกับผู้แพ้อืวินเนอรก็คือชนะจากโลกโอเค
00:06:30 → 00:06:32 ฉันหายไม่ว่าจะเป็นโรคมะเร็งหรือโรคอะไร
00:06:33 → 00:06:37 ก็แล้วแต่ถึงแม้จะทำใจได้แต่ก็พ่ายแพ้กับ
00:06:37 → 00:06:40 โรคอืก็มีถ้าพูดให้เข้าใจง่ายๆก็คือว่า
00:06:40 → 00:06:42 การที่เขาไปคิดถึงสมุทัยก็คือการที่เขาไป
00:06:42 → 00:06:44 โฟกัสที่ปัญหาแต่เขาอ่ะไม่โฟกัสที่วิธี
00:06:44 → 00:06:46 แก้ใชเหตุคืออย่างบางโลกอ่ะอย่างที่คุณ
00:06:46 → 00:06:48 หมอบอกมันคือโลกเป็นโรกกรรมใช่มยเราก็แบบ
00:06:48 → 00:06:50 อยู่ดีๆก็เป็นหาสาเหตุไม่ได้เราไม่รู้
00:06:50 → 00:06:52 สมุทัยอ่อเราจะมีวิธีเช็คได้มว่าเออตอน
00:06:52 → 00:06:54 นี้ฉันมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอะไรย
00:06:55 → 00:06:57 อย่างหนูเคยเห็นเทคโนโลยีแบบไปตรวจยีน
00:06:57 → 00:06:59 ตรวจอะไรเงี้ยค่ะเพื่อดูการตรวจยีนเนี่ย
00:06:59 → 00:07:02 หรือตรวจ DNA นะเ๋นี้ก็มีแลปหลายแลบเนี่ย
00:07:02 → 00:07:06 เตรวจถามว่ามันจะรู้ได้มั้ยอ่าใช้คำพูด
00:07:06 → 00:07:08 ว่าหมอดูก็แล้วกันหมอดูวิทยาศาสตร์ยกตัว
00:07:09 → 00:07:11 อย่างสมมุติว่าหนูไปตรวจ DNA เขาก็จะออก
00:07:11 → 00:07:15 มาว่าอืคุณจะมีโอกาสเกิดโรคกล้ามเนื้อหัว
00:07:15 → 00:07:19 ใจขาดเลือด 20% คุณจะมีโอกาสเกิดมะเร็งลำ
00:07:19 → 00:07:23 ไส้ 50% สมมุติดูจาก DNA แต่มันเป็นเค้า
00:07:23 → 00:07:26 เรียกว่ามันเป็นหมอดูสิ่งที่เขาพูดหรือใน
00:07:26 → 00:07:29 ลิสในรายการเนี่ยมันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นก
00:07:29 → 00:07:32 ก็ได้หลายคนเอามาส่งให้หมอดูหรือหลายคน
00:07:32 → 00:07:36 เกิดทุกข์เมื่อไปตรวจ DNA ดูนึกออกป่ะแต่
00:07:36 → 00:07:39 ตอนแรกไม่คิดอะไรมากกตอนไม่คิดบอกเฮ้ย
00:07:39 → 00:07:42 โอ้โหโลกนี่ลิสต์รายการเพียบเลยว่าฉันจะ
00:07:42 → 00:07:45 เกิดโรคเกิดนี้กี่เปอร์เซ็นต์ 80% บ้าง
00:07:45 → 00:07:48 70% บ้างกลุ่มนึงก็เหมือนเดิมกลุ่มนึง
00:07:48 → 00:07:51 รับได้ถ้าฉันรับได้ฉันมีโอกาสเกิดโรคพวก
00:07:51 → 00:07:55 นี้ใช่มั้ยอืงั้นฉันป้องกันก่อนอ่าฉัน
00:07:55 → 00:07:57 ป้องกันก่อนสมมุติฉันมีโอกาสเกิดมะเร็งลำ
00:07:57 → 00:07:59 ไส้ใช่มั้ยฉันไม่กินเนื้อสัตว์เนื้อแดงนะ
00:07:59 → 00:08:02 กินผักผลไม้เยอะๆไม่พยายามท่องผูกอ่านะ
00:08:02 → 00:08:05 เขาก็จะไปปรับตัวได้แต่พวกที่บอกว่าโอฉัน
00:08:06 → 00:08:08 ปรับตัวไม่ได้ยอมรับชะตะกลับยังไงก็ต้อง
00:08:08 → 00:08:11 เกิดอยู่แล้วสักวันนึงคนเรามันก็ต้อง
00:08:11 → 00:08:16 ตายพวกนี้ก็จะยังดำรงชีวิตแบบปกติแบบปกติ
00:08:16 → 00:08:19 อโดยที่ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
00:08:19 → 00:08:23 ดังนั้นมันจึงเป็นดาบ 2 คมในการที่คุณไป
00:08:23 → 00:08:26 ตรวจ DNA แล้วรู้ว่าคุณเป็นโรคนู้นโรคนี้
00:08:26 → 00:08:29 แต่เดี๋ยวเนี้ยมันมีเรื่องของค่าใช้จ่าย
00:08:29 → 00:08:33 การรักษาพยาบาลเกิดขึ้นอืทำประกันยังทำ
00:08:33 → 00:08:36 แล้วใช่มถ้าหนูไปตรวจ DNA ปาดปรากฏว่าหนู
00:08:36 → 00:08:40 มีความเสี่ยงในประมาณสัก 10 โรคร้ายหนู
00:08:40 → 00:08:42 เลยคิดในใจเฮ้ยฉันไปตรวจก่อนแล้วฉันจะได้
00:08:42 → 00:08:46 ไปทำประกันอ้าแต่ประกันบอกว่าเฮ้ยคุณตรวจ
00:08:46 → 00:08:50 มาแล้วนี่แล้วคุณรู้นี่หว่าคุณรู้นี่ว่า
00:08:50 → 00:08:52 คุณมีโอกาสเสี่ยงโรคร้ายคุณปิดบังหรือ
00:08:52 → 00:08:56 เปล่าคุณไม่แถลงก่อนิว่าคุณมีโอกาสเกิด
00:08:56 → 00:09:00 เห็นมเาก็จะเอาไอ้ตรงเนี้ยที่ที่เไปหาเจอ
00:09:00 → 00:09:03 มาเนี่ยคมาบอกว่าไม่รับประกันนะจ๊ะตอนที่
00:09:03 → 00:09:08 หนูป่วยเพราะว่าหนูอ่าแต่เขาจะคืนเงิน
00:09:08 → 00:09:11 เบี้ยประกันให้หนูอืก็มีเรื่องค่าใช้จ่าย
00:09:11 → 00:09:14 เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งที่มันไม่ดีละแต่
00:09:14 → 00:09:17 การตรวจสุขภาพประจำปีอมันแตกต่างกันส่วน
00:09:17 → 00:09:21 ตัวหมอหมอสนับสนุนให้ตรวจสุขภาพประจำปี
00:09:21 → 00:09:25 ค่ะปีละครั้งคิดง่ายๆมีรถใช่มยทุกคนมีรถ
00:09:25 → 00:09:30 ไม่มีค่ะไม่มีอ้ารโอเคคนที่มีรถโดยปกติเา
00:09:30 → 00:09:34 จะมีเอารถเข้าศูนยเช็คเช็อ่าเช็ค 10,000
00:09:34 → 00:09:37 กล 50,000 กล 100,000 กล 2 กลเปลี่ยนถ่าย
00:09:37 → 00:09:39 น้ำมันเครื่องนู่นนี่นร่างกายคนเราก็
00:09:39 → 00:09:42 เหมือนกันเราก็ควรจะเช็คทุกๆปีอ่าทุกปี
00:09:42 → 00:09:45 ว่ามันมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้างคนเรานะมัน
00:09:45 → 00:09:48 ไม่ได้แข็งแรงไปเปือนทุกๆปีหรอกมันต้องมี
00:09:48 → 00:09:51 การเปลี่ยนแปลงดีขึ้นหรือเลวลงเอาง่ายๆ
00:09:51 → 00:09:54 เรื่องคอเลสเตอรอลเนี่ยเจาะเลือดมาปีนี้
00:09:54 → 00:09:57 ปกติปีหน้าไม่ได้บอกว่าจะปกติเพราะ
00:09:57 → 00:09:59 พฤติกรรมของเราอาจจะเปลี่ยนไปปีนี้อากิน
00:09:59 → 00:10:01 เยอะอันนี้นึกออกใช่มั้ยเพราะฉะนั้นเนี่ย
00:10:01 → 00:10:04 การตรวจสุขภาพประจำปียังแนะนำอยู่บางคน
00:10:04 → 00:10:07 คิดว่าตัวเองแข็งแรงดีบางคนอาจจะบอกว่าจะ
00:10:07 → 00:10:10 ไปรู้ทำไมอย่าไปรู้เลยทำไมอย่าไปตรวจ
00:10:10 → 00:10:12 สุขภาพจำปีเลยอย่าไปรู้เลยใช่บางคนเคถือ
00:10:12 → 00:10:15 คติที่ว่าถ้าไม่รู้ก็คือไม่เป็นเถือคติ
00:10:15 → 00:10:17 ไม่เป็นอะไรอย่างเงี้ยแต่จริงๆแล้วพวกที่
00:10:17 → 00:10:19 คิดแบบเนี้ยหลายคนหรือคิดว่าตัวเองแข็ง
00:10:19 → 00:10:23 แรงนะเรามักจะเห็นว่าสุดท้ายก็จะลงเอยว่า
00:10:23 → 00:10:25 ไปอยู่ในหน้าข่าวแข็งแรงเป็นนักวิ่ง
00:10:26 → 00:10:29 มาราธอนวิ่งประจำเลยปรากฏไปออกงานวิ่ง
00:10:29 → 00:10:32 วิ่งหัวใจวายตายได้ไงอ่ะแข็งแรงออกอย่าง
00:10:32 → 00:10:35 งั้นวิ่งอยู่ทุกวันวันละ 10 ก 10 กอยู่ดี
00:10:35 → 00:10:38 ๆไป Heart แทคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดคา
00:10:38 → 00:10:41 ถนนเ่ะไอ้เรื่องข่าวเนี่ยเราจะเจอประจำ
00:10:41 → 00:10:44 เพราะฉะนั้นไม่ได้ห้ามการออกกำลังกาย
00:10:44 → 00:10:46 เดี๋ยวคนบอกว่าอุ้ยแสดงว่าเดี๋นี้ฉันไม่
00:10:46 → 00:10:49 ไปวิ่งะนอนอ้วนๆอยู่ที่บ้านดีกว่าไม่ใช่
00:10:49 → 00:10:52 เออต้องบอกว่าก่อนคุณจะออกกำลังกายคุณ
00:10:52 → 00:10:56 เช็คร่างกายก่อนสุขภาพประจำปีปีละครั้ง
00:10:56 → 00:10:59 ถ้าคุณแข็งแรงดีคุณก็ออกไปสิอเพราะภายใน 1
00:10:59 → 00:11:01 ปีอ่ะถ้าเกิดอะไรขึ้นมันคงไม่แย่มันคงจะ
00:11:02 → 00:11:05 แก้ไขไทันอ่านะนึกออกป่ะหรือถ้าสมมุติว่า
00:11:05 → 00:11:08 เป็นโรคร้ายมันก็ได้เจอก่อนแต่ส่วนใหญ่
00:11:08 → 00:11:11 ของเราก็คือไปมาตอนที่แบบระยะ 3 ระยะ 4
00:11:11 → 00:11:14 นึกออกปที่มันออกอาการแล้วที่ีนี้ก็จะ
00:11:14 → 00:11:17 รักษายากลพูดจริงๆคือสมมุตินะค่ะคุณมา
00:11:17 → 00:11:20 ระยะ 4 เนี่ยหมอเขาก็รักษาไปเก็จะมีแนว
00:11:20 → 00:11:23 ทางรักษาให้เคมีบำบัดให้นู่นให้นี่อะไร
00:11:24 → 00:11:25 อย่าเงี้ยระยะที่ 4 จะหายสักกี่
00:11:25 → 00:11:28 เปอร์เซ็นต์อใช่ถูกมเดี๋ยวคราวเนี้ยมันจะ
00:11:28 → 00:11:31 เข้ามาสสู่ในเรื่องว่าเมื่อคุณรู้ว่า
00:11:31 → 00:11:34 โอกาสที่คุณจะมีชีวิตอยู่รอดหมอผมจะยุ
00:11:34 → 00:11:37 หรือได้กี่เดือนอะไรเงี้ยจะมีคนไข้เนี่ย
00:11:37 → 00:11:40 ชอบมาเค้นคอว่าจะมีวกี่เดือนหมอโดยทั่วไป
00:11:40 → 00:11:43 เจะจะไม่ค่อยพูดหรอกเพราะอะไรคะอันที่ 1
00:11:43 → 00:11:46 เหมือนเดิมจิตใจอกสุดคงไม่เกิน 4 เดือน
00:11:47 → 00:11:50 นี้หรอกพรุ่งนี้ตายแล้วนึกออกปหรือบางคน
00:11:50 → 00:11:53 บอกว่าอ๋ออย่างงี้ก็สมาณปีนึงเอปีนึงยัง
00:11:53 → 00:11:56 มีเวลาทำอย่าง่งอย่างอื่นก่อนปรากฏอ้าว
00:11:56 → 00:11:59 ไหนหมอบอกผมว่าปีนึงอ่ะ 2 เดือนผมก็ไปซะ
00:11:59 → 00:12:01 แล้วหมอส่วนใหญ่เาจึงไม่ค่อยบอกกันถ้าไม่
00:12:02 → 00:12:05 ไปเค้นคอเาให้พูดแต่บางคนก็จะพูดว่ากราบล
00:12:05 → 00:12:09 คุณหมอช่วยบอกผมเถอะว่ามีเวลาอีกกี่เดือน
00:12:09 → 00:12:13 ผมเนี่ยจะได้เตรียมตัวได้ถูกอืผมจะได้มี
00:12:13 → 00:12:15 สมบัติหมื่นล้านของผมเนี่ยจะได้แบ่งได้
00:12:15 → 00:12:17 ถูกจะได้แบ่งได้ถูกลูกหลานไม่ต้องทะเลาะ
00:12:18 → 00:12:20 กันบางคนเขาก็มองแบบนั้นเพราะฉะนั้นมันก็
00:12:20 → 00:12:23 ขึ้นอยู่กับพื้นฐานจิตใจแล้วแต่แต่ละเคสต
00:12:23 → 00:12:27 ก็ต่างกันแต่แน่นอนว่าตอนคนไข้มารักษาโรค
00:12:27 → 00:12:30 ด้วยโรคนั้นโรคนี้เราไม่รู้ว่าจิตใจเ้า
00:12:30 → 00:12:32 เป็นยังไงมันไม่ได้แบบใช่โชว์อมาหรือมี
00:12:32 → 00:12:35 มอนิเตอร์ให้เห็นว่าคนนี้พูดแล้วเจะรับ
00:12:35 → 00:12:39 ได้มันไม่มีงั้นแบบนี้ก็บางอย่างก็หมอคิด
00:12:39 → 00:12:41 ว่าไม่รู้จะดีกว่าเนาะให้เขาแบบอันนี้ก็
00:12:41 → 00:12:44 แล้วแต่คนถึงได้บอกไงว่าเป็นเราเราจะ
00:12:44 → 00:12:48 เลือกทางไหนแล้วมันก็จะมีส่วนสำคัญในการ
00:12:48 → 00:12:52 เลือกที่จะลงเอยวาระสุดท้ายของเราด้วย
00:12:52 → 00:12:55 กระบวนการไหนเหมือนกันที่มีข้อถกเถียงกัน
00:12:55 → 00:12:58 เข้าใจมั้แบบนี้เคเถึงบอกไงว่าให้ทำวัน
00:12:58 → 00:13:01 นี้ให้ดีที่สุดให้โฟกัสช่วันนี้ใช่อมันก็
00:13:01 → 00:13:04 ถูกต้องก็คือทำวันนี้ให้มันดีที่สุดแหละ
00:13:04 → 00:13:06 เพราะเราก็ไม่รู้หรอกว่ามันจะเกี่ยวอะไร
00:13:06 → 00:13:08 ขึ้นกับเราอย่างที่คุณหมอบอกว่าเออที่คุณ
00:13:08 → 00:13:10 หมอแนะนำให้ตรวจสุขภาพประจำปีเพื่อจะแบบ
00:13:10 → 00:13:12 เช็คว่าเออร่างกายเรายังโอเคมมเพื่อจะได้
00:13:12 → 00:13:14 แบบถ้ามีโรคเราจะได้รักษาได้ทันเงี้ยค่ะ
00:13:14 → 00:13:16 นอกจากการตรวจสุขภาพประจำปีแล้วคุณหมอมี
00:13:16 → 00:13:18 วิธีแบบว่านิสัยหรือพฤติกรรมอะไรที่เรา
00:13:18 → 00:13:21 ควรจะทำให้มันชินจนแบบเป็นปกติในชีวิต
00:13:21 → 00:13:23 บ้างคะเพื่อให้ชีวิตให้สุขภาพเรามันดีคือ
00:13:23 → 00:13:27 จริงๆเนี่ยอันนี้หมอหมอมองกลางๆนะหมอว่า
00:13:27 → 00:13:30 เชื่อว่าคนส่วนใหญ่รู้อยู่แล้วว่าอะไรดี
00:13:30 → 00:13:33 อะไรไม่ดีอันนี้พูดจริงๆนะคือทุกคนเนี่ย
00:13:33 → 00:13:37 มีสติปัญญาที่รับรู้ได้ว่าดีหรือไม่ดีอ
00:13:37 → 00:13:41 แต่เลือกที่จะทำหรือไม่กทำถูกป่ะคือไม่
00:13:41 → 00:13:44 ต้องให้หมอพูดซ้ำคุณต้องนอนวันละ 8 ชั่ม
00:13:44 → 00:13:48 กินน้ำวันละ 8 แก้วนะต้องออกกำลังกายวัน
00:13:48 → 00:13:50 ละ 30 นาทีนะอย่างน้อยวันเว้นวันอะไร
00:13:50 → 00:13:52 อย่างเงี้ยนะมันไม่จำเป็นหรอกเพราะว่าทุก
00:13:52 → 00:13:55 อันเนี่ยก็รู้อยู่แล้วเรู้อยู่แล้วแต่
00:13:55 → 00:13:58 ประเด็นก็คือเราจะทำหรือเปล่าถ้าเราไม่ทำ
00:13:58 → 00:14:01 พูดไปให้ปากเปียกปากแฉะเขาก็ไม่ทำเพราะ
00:14:01 → 00:14:04 ฉะนั้นเนี่ยด้วยสติปัญญาคนที่รับฟังช่อง
00:14:04 → 00:14:06 นี้อยู่เนี่ยอืเเนี่ยจะต้องรู้อยู่แล้ว
00:14:06 → 00:14:11 ว่าอะไรดีก็ทำอะไรไม่ดีอะไรหลีกเลี่ยงได้
00:14:11 → 00:14:13 ก็ไม่ควรทำแล้วแบบนี้ก็เลยอยากรู้ว่า
00:14:13 → 00:14:15 อย่างที่คุณหมอเคยพูดมันมีทั้งโลกที่เรา
00:14:15 → 00:14:17 แบบหาสาเหตุได้หาสาเหตุไม่ได้หลายๆอย่าง
00:14:17 → 00:14:19 ก็เลยอยากรู้ว่าแล้วเราจะมีวิธีสร้างภูมิ
00:14:19 → 00:14:21 คุ้มกันทางใจให้ตัวเองได้ยังไงบ้างถ้าคุณ
00:14:21 → 00:14:23 หมอแบบอยากจะแนะนำคนทางบ้านอะไรเงี้ยค่ะ
00:14:23 → 00:14:26 เรื่องหลักๆเลยนะเรื่องการนอนเออการนอน
00:14:26 → 00:14:30 เนี่ยนอนเป็นอะไรที่สำคัญมากๆบอกได้เลย
00:14:30 → 00:14:33 สำคัญกว่าอาหารซะอีกนะอันนี้ในมุมมองของ
00:14:33 → 00:14:35 หมอนะแล้วต้องนอนยังไงให้มีคุณภาพค่ะอัน
00:14:35 → 00:14:38 ที่ 1 เลยนอนอย่างไรให้ครบชั่วโมงกหนูนอน
00:14:38 → 00:14:40 วันละกี่ชั่วโมง 7-8 ประมาณนั้นนะค่ะเฮ้ย
00:14:40 → 00:14:44 เยอะว่ะหนูตื่นสายโดยปกติถ้านอนได้วันละ 8
00:14:44 → 00:14:47 ช่วโมงมันดีอยู่แล้วแต่อย่างที่บอกว่า 6-8
00:14:47 → 00:14:50 ก็พอโอเคคือการนอนเนี่ยมีงานวิจัยอยู่
00:14:50 → 00:14:53 แล้วล่ะว่าสมองมันรีเซตร่างกายรีเซตสิ่ง
00:14:53 → 00:14:55 ต่างๆที่ผ่านมาร่างกายเราก็อย่างที่บอก
00:14:55 → 00:14:58 ว่าก็หมอมักจะเปรียบเทียบเหมือนรถอ่ะถ้า
00:14:58 → 00:15:01 หนูสตาร์ทรถอยู่ตลอด 24 ชมงก็พังหนูก็
00:15:01 → 00:15:04 ต้องหยุดพักบ้างพักเครื่องบ้างนะร่างกาย
00:15:04 → 00:15:07 เรามันก็จะได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอภูมิ
00:15:07 → 00:15:10 คุ้มกันของเราเม็ดเลือดขาวของเรามันก็จะ
00:15:10 → 00:15:13 ได้ทำงานได้ตามปกติอันเนี้ยคือช่วงเวลา
00:15:13 → 00:15:18 การนอนมันมีความสำคัญแล้วการนอนที่สำคัญ
00:15:18 → 00:15:21 หรือนนอนตรงเวลาเนี่ยมันจะเข้ากับระบบที่
00:15:21 → 00:15:25 ชื่อว่า cc System ก็คือว่าแต่ละเวลาแต่
00:15:25 → 00:15:28 ละชั่วโมงเวลานั้นเวลานี้ฮอร์โมนตัวนั้น
00:15:28 → 00:15:30 ออกตัวนั้นตนี้นึออกมันก็จะแบ่งเป็นเช้า
00:15:30 → 00:15:32 กับเย็นอะไรอย่างเงี้ยเพราะฉะนั้นถ้าเรา
00:15:32 → 00:15:35 นอนตรงเวลาในช่วงที่ฮอร์โมนมันออกฤทธิ์
00:15:35 → 00:15:38 เอาง่ายๆเลยสมมติเด็กน้อยถ้าอยากจะให้ลูก
00:15:38 → 00:15:42 สูงคุณอย่าให้ลูกคุณน่ะนอนเกิน 22:00 นอื
00:15:42 → 00:15:45 เพราะในช่วง 22:00 นถึงเที่ยงคืนเนี่ยมัน
00:15:45 → 00:15:48 เป็นช่วงที่โกทฮอร์โมนมันหลั่งออกมาถ้า
00:15:48 → 00:15:50 เด็กมันนอนดึกไปกว่านั้นเนี่ยกว่ามันจะ
00:15:50 → 00:15:52 หลับสนิทเนี่ยโกทฮอร์โมนมันก็ไม่ออกมา
00:15:52 → 00:15:55 แล้วเด็กคนนั้นก็อาจจะเตี้ยไม่สูงก็ได้
00:15:55 → 00:15:58 นี่คือเรื่องของการนอนเป็นอันดับต้นๆ
00:15:59 → 00:16:02 สำคัญมากที่สำคัญมากแล้วก็เห็นหลายคนเลย
00:16:02 → 00:16:05 ว่าใช้ชีวิตการนอนที่ผิดปกติอืบางคนทำงาน
00:16:05 → 00:16:08 กะกลางคืนทำงานไม่เป็นเวลาเงี้โอใช่ๆ
00:16:09 → 00:16:12 อย่างอาชีพนึงที่ใกล้ชิดแพทย์ที่สุดก็คือ
00:16:12 → 00:16:15 พยาบาลพยาบาลจะมีกะดึกอืกับกๆกลางวันใช่
00:16:15 → 00:16:19 มั้ยเจะอยู่ทุก 8 ชั่วโมง 8 8 8 เงี้ย
00:16:19 → 00:16:23 8:00 นถึง 16:00 น 16 นถึงเที่ยงคน
00:16:23 → 00:16:27 เที่ยงถึง 8:00 นพยาบาลสาวๆอืมักจะได้
00:16:27 → 00:16:32 อยู่กับดึกกับเพะว่าอายมาก็อยู่กลางวไม่
00:16:32 → 00:16:36 ไหวร่างกายเนี่ยทำงานหนักมากคือคุณนอนไม่
00:16:36 → 00:16:39 เป็นเวลาคุณตื่นในเวลาที่คนอื่นเขานอน
00:16:39 → 00:16:42 แล้วคุณนอนในเวลาที่คนอื่นเขาตื่นแล้วคุณ
00:16:42 → 00:16:45 ก็ไม่ได้นอนค่ะแสงเสริงอะไรต่างๆมันก็
00:16:45 → 00:16:48 เข้ามาก็รบกวนการนอนตอนเช้าคุณต้องไปเข้า
00:16:48 → 00:16:52 เวรบ่ายอีกเวรบ่ายคือ 16:00 นถึง 2300 น
00:16:52 → 00:16:55 ถึงที่กลางคืนเงี้ยชีวิตพวกเยก็จะมีปัญหา
00:16:55 → 00:16:57 เพราะฉะนั้นพยาบาลก็เป็นอาชีพที่หนัก
00:16:57 → 00:17:02 หน่วงมากในช่วงอืวัยที่จบมาแรกๆแล้วก็ทำ
00:17:02 → 00:17:05 ให้พยาบาลหลายคนเนี่ยท้อแท้ลาออกหรือบาง
00:17:05 → 00:17:09 คนป่วยไข้เป็นโรคที่โรคแปลกๆที่เป็นโรค
00:17:09 → 00:17:11 เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันนี่แหละเพราะฉะนั้น
00:17:11 → 00:17:13 ก็อย่างที่บอกว่าเมื่อเราดำรงชีวิตแบบนี้
00:17:13 → 00:17:16 แล้วเราภูมิคุ้มกันเราเริ่มไม่ดีเราก็จะ
00:17:16 → 00:17:18 ป่วยเป็นโรคเกี่ยวกับโรคออโตอิมมูนโรค
00:17:18 → 00:17:21 ภูมิคุ้มกันที่มาในหลากหลายรูปแบบอันนี้
00:17:21 → 00:17:26 คือพยาบาลที่เราพมองเห็นดาราออ่าดาราหรือ
00:17:26 → 00:17:29 นักร้องที่เขใช้เวลาใช้ชีวิตแบบ
00:17:29 → 00:17:32 คือพวกเนี้ยได้เงินทองเยอะแต่เขาต้องสูญ
00:17:32 → 00:17:35 เสียหลายอย่างในเวลากินไม่ได้กินเวลานอน
00:17:35 → 00:17:39 ไม่ได้นอนนอนต้องไปนอนบนรถเพราะต้องขับไป
00:17:39 → 00:17:42 อีกที่นึงะแล้วก็ไปขึ้นแสดงคอนเสิร์ตต้อง
00:17:42 → 00:17:45 เอาพาเวอร์ของตัวเองออกมาเพื่อที่จะส่ง
00:17:45 → 00:17:49 ความสุขไปสคนอื่นมันหมดพลังโรคภัยก็จะถาม
00:17:49 → 00:17:52 หาอย่างถ้าเราเป็นระดับโลกก็เป็นซินอนใช่
00:17:52 → 00:17:55 มั้ยโรค stiffness Person คือโรคคนตัว
00:17:56 → 00:18:00 แข็งเกิดจากภาวะอิมซก็คือเป็นโรคภูมิคุ้ม
00:18:00 → 00:18:04 กันเมันทำลายตัวเองมันก็เลยทำให้ร่างกาย
00:18:04 → 00:18:07 เกิดสภาวะดังกล่าวนี่คือระดับโลกนะถ้าบอก
00:18:07 → 00:18:10 ว่าทัวร์คอนเสิร์ต World ทัวเนี่ยจะได้
00:18:10 → 00:18:12 นอนที่ไหนคุณไปตื่นอีกประเทศนึงเนี่ยคุณ
00:18:12 → 00:18:16 ก็เจ็ทแคแล้วนี่คือเรื่องของการนอนก็
00:18:16 → 00:18:18 เหมือนเป็นสิ่งที่ต้องแลกใช่เป็นสิ่งที่
00:18:18 → 00:18:20 ต้องแลกแล้วก็อย่างที่บอกว่าการนอนน่าจะ
00:18:20 → 00:18:23 เป็นอันดับต้นๆเลยในเรื่องของการดูแล
00:18:23 → 00:18:25 สุขภาพค่ะอันดับถัดไปก็จะเป็นเรื่องของ
00:18:25 → 00:18:28 การกินซึ่งการกินเ่ะท่านพอรู้อยู่แล้ว่ะ
00:18:28 → 00:18:31 กินผักให้มากๆกินเนื้อสัตว์ให้น้อยลงกิน
00:18:31 → 00:18:34 คาร์โบไฮเดรตให้พอสมควรไม่ได้มากจนเกินไป
00:18:34 → 00:18:37 กินเนื้อสัตว์ก็กินเนื้อสัตว์ที่มีคุณภาพ
00:18:37 → 00:18:39 กินเนื้อปลากินเนื้ออะไรพวกนี้อแล้วเมื่อ
00:18:39 → 00:18:41 กี้ที่คำถามถามว่าวิธีสร้างภูมิคุ้มกัน
00:18:41 → 00:18:43 ทางใจคุณหมอก็แนะนำมาว่าโอเคเราต้องนอน
00:18:43 → 00:18:45 ให้พอแล้วก็เราต้องกินอาหารให้ดีแล้ว
00:18:46 → 00:18:48 อย่างเงี้ยว่าอันนี้คือในด้านของ physical
00:18:48 → 00:18:50 เข้าใจกว่าในด้านของพวก mental Health
00:18:50 → 00:18:51 พวกอะไรเงี้ยค่ะการที่เรานั่งสมาธิหรือ
00:18:51 → 00:18:53 เจริญสติอะไรเงี้ยมันมันช่วยได้มากน้อย
00:18:53 → 00:18:56 ขนาดไหนต้องพูดว่าเรานั่งสมาธิเนี่ยเป้า
00:18:56 → 00:19:01 หมายคืออะไรการนั่งสมาธิของคนหลายคนอืมี
00:19:01 → 00:19:03 จุดมุ่งหมายไม่เหมือนกันเอาเอาคนในประเทศ
00:19:03 → 00:19:08 ไทยนะถ้าต่างประเทศอาจจะนั่งสมาธิกำหนดลม
00:19:08 → 00:19:10 หายใจเนี่ยเพื่อคลายกังวลผ่อนคลายความ
00:19:11 → 00:19:14 เครียดอันนี้คือนั่งแบบโดยทั่วๆไปเขาก็จะ
00:19:14 → 00:19:17 มองแค่จุดนี้ยกตัวอย่างเช่น Angle
00:19:17 → 00:19:21 management คนโกรธอือๆๆเขาบอกว่าหายใจ
00:19:21 → 00:19:24 เข้าลึกๆช้าๆอันนี้คือการกำหนดลมหายใจละ
00:19:24 → 00:19:27 แล้วเดี๋ยวมันก็จะค่อยๆเบาลงเพราะอะไรมัน
00:19:27 → 00:19:30 ถึงเบาลงคะอเพราะว่าความคิดของเรานั้นไม่
00:19:30 → 00:19:33 ได้ไปโฟกัสตรงนั้นเหมือนเราย้ายโฟกัสมา
00:19:33 → 00:19:35 ไว้ที่ลมหายใจของเราแทนอ่าใช่เคสที่พบ
00:19:35 → 00:19:38 บ่อยในห้องฉุกเฉินคือเคส
00:19:38 → 00:19:41 hyperventilation Syndrome คือภาวะหาย
00:19:41 → 00:19:45 ใจเครียดมือจีบมือ
00:19:45 → 00:19:48 จีบเกร็งตัวเข้ามาพ่อแม่เห็นแล้วตกใจพา
00:19:48 → 00:19:52 ลูกจากที่บ้านเนี่ยมาโรงพยาบาลหายใจหายใจ
00:19:52 → 00:19:54 อันเนี้ยหมอก็จะเจอบ่อยเพราะว่าหมอ
00:19:54 → 00:19:56 อันเนี้ยเป็นหมอห้องฉุกเฉินคือเป็น
00:19:56 → 00:19:59 ศัลแพทย์ที่ชอบอยู่ห้องฉุกเฉินอมันจะมี
00:19:59 → 00:20:02 ความสนุกของมันหายใจมาอย่างงี้เลยพ่อแม่
00:20:02 → 00:20:06 อุ้มมาเราเห็นละเด็กวัยรุ่นอายุ 1516 ปี
00:20:06 → 00:20:10 ซักประวัติพ่อแม่ก่อนทะเลาะอะไรกันมาเป่า
00:20:10 → 00:20:14 ไม่ได้ทะเลาะนู่นนี่นั่นซักไปซักมาก็ได้
00:20:14 → 00:20:17 เรื่องว่าไปพูดอะไรบางอย่างที่ทำร้ายจิต
00:20:17 → 00:20:20 ใจก็แล้วกันเกิดความเครียดยกตัวอย่างเด็ก
00:20:21 → 00:20:23 เล่นมือถืออยู่ใช่มยพ่อโกรธจัดเล่นมาตั้ง
00:20:23 → 00:20:26 แต่เช้าแล้วแย่งมือถือออกไปทะเลาะกันว่า
00:20:26 → 00:20:31 กันตอนนี้อยู่ดีๆลูกสาวเริ่มหายใจเร็ว
00:20:31 → 00:20:33 เฮ้ยพ่อตกใจลูกไม่ได้แกล้งไม่เคยมีการ
00:20:34 → 00:20:36 อย่างนี้มาก่อนพามาลงชบาสิ่งแรกที่หมอ
00:20:36 → 00:20:39 เห็นหมอก็รู้ะ hyperventilation Syndrome
00:20:39 → 00:20:41 เพราะมาบ่อยเหลือเกินสิ่งแรกที่เขาบอกคน
00:20:41 → 00:20:43 ไข้คืออะไรรือเปล่าค่ะเขาบอกว่าเอามือไป
00:20:44 → 00:20:47 จับปึ๊บใจเย็นๆฟังหมอนะได้ยินหมอมยให้พ
00:20:47 → 00:20:52 ยักหน้าได้ยินกำหนดลมหายใจฟังเสียงหมอหาย
00:20:52 → 00:20:58 ใจเข้าออกอืพยายามกำหนดตามนะค่อยๆหายใจ
00:20:58 → 00:21:01 เข้าเขลึกนะออกอย่างเงี้ยนะเพื่อให้เขา
00:21:01 → 00:21:04 แบบว่าย้ายโฟกัสจากเรื่องที่เครียดมาอยู่
00:21:04 → 00:21:07 ที่เสียงหมอแทนะคะการหายใจที่สั้นและตื้น
00:21:07 → 00:21:10 ของเขามันจะเริ่มค่อยๆลึกขึ้นเพราะเขาฟัง
00:21:10 → 00:21:15 ะเมียหูยังได้ยินอยู่เออหายใจแทนที่จะตึด
00:21:15 → 00:21:19 ๆๆเขาไปโฟกัสในเรื่องของการกำหนดลมหายใจ
00:21:19 → 00:21:22 ตามเสียงของแพทย์ที่เป็นคนบอกความคิดอื่น
00:21:22 → 00:21:26 ๆมันก็จะหายไปอ่าแต่คราวนี้กลับบ้านไป
00:21:27 → 00:21:29 ใหม่ก็อาจจะเป็นแบบเดิมอีกบงหรือว่าบางที
00:21:29 → 00:21:31 พ่อแม่เขาไม่รู้ว่าไอ้วิธีนั้นน่ะที่เขา
00:21:31 → 00:21:33 ทำมันทำให้ลูกเป็นแบบนั้นส่วนใหญ่ไปครั้ง
00:21:33 → 00:21:35 แรกเนี่ยหมอรู้แล้วว่าเป็นหมอก็จะบอกพ่อ
00:21:36 → 00:21:40 แม่แหละว่าลูกก็เป็นนะอย่าไปขัดใจคำถาม
00:21:40 → 00:21:43 คือหมอไม่อ่านหนังสือจะสอบอยู่แล้วไม่ให้
00:21:43 → 00:21:45 ผมเตือนได้ยังไงหมอแล้วจะไม่ให้ผมขัดใจ
00:21:46 → 00:21:48 ได้ไงอ่ะลูกผมไม่อ่านหนังสือเลยอจะเล่น
00:21:48 → 00:21:51 ติตอกอ่ะดูทั้งวันเลยเนี่ยหมูเด้งเเด้ง
00:21:51 → 00:21:54 เด้งๆขึ้นมาเห็นมมุมมองแตกต่างกันส่วน
00:21:54 → 00:21:57 ใหญ่เนี่ยโรค hyperventilation Syndrome
00:21:57 → 00:21:59 เนี่ยค่ะอย่างที่บอกก็คือว่าเกิดในเด็ก
00:21:59 → 00:22:02 หญิงมากกว่าเด็กผู้ชายหรอคะมากกว่ามาก
00:22:02 → 00:22:04 กว่าเด็กผู้ชายเนี่ยหลายเท่ามากๆเพราะ
00:22:04 → 00:22:08 อะไรคะเพราะเรื่องของพื้นฐานจิตใจเอาง่าย
00:22:08 → 00:22:13 ๆผู้ชายมักจะมีแนวโน้มที่มีจิตใจเข้มแข็ง
00:22:13 → 00:22:16 กว่าผู้หญิงเป็นเพศที่อ่อนโยนนะออเมีความ
00:22:16 → 00:22:18 sensitive มากกว่าอ่า sensitive มากกว่า
00:22:18 → 00:22:20 ดังนั้นเนี่ยอย่างที่บอกว่าเราด่าคำเดียว
00:22:20 → 00:22:24 กันยกตัวอย่างยกตัวอย่างทำไมกินหญ้าล่ะ
00:22:24 → 00:22:26 ทำไมไม่กินข้าว
00:22:26 → 00:22:29 อสมมุติเราด่าคำเดียวเดียวกันคนที่เด็ก
00:22:29 → 00:22:32 เด็กผู้ชายอาจจะแบบอืได้ครับเดี๋ยวผมจะ
00:22:32 → 00:22:34 ออกไปหาหญ้า
00:22:34 → 00:22:38 กินแต่พอเป็นเด็กผู้หญิงพอฟังเฮ้ยอาจารย์
00:22:38 → 00:22:43 ด่าฉันเป็นสัตว์สเท้าหรือเปล่าที่กินย้า
00:22:43 → 00:22:46 อันนี้คือสิ่งภายนอกแต่ที่พบเยอะเลยก็คือ
00:22:46 → 00:22:51 ทะเลาะกับแฟนอืแฟนเนี่ยคือบุคคลใกล้ชิด
00:22:51 → 00:22:54 ที่ทำให้เกิด hyperventilation Syndrome
00:22:54 → 00:22:58 เป็นอันดับ 2 มากกว่าพ่อแม่หรือบางทีอ่ะ
00:22:58 → 00:23:01 มันคือเรื่องเดียวกันยกตัวอย่างเช่นว่า
00:23:01 → 00:23:05 เด็กอายุ 15 16 ใช่มมีแฟนพ่อแม่ก็บอกว่า
00:23:05 → 00:23:08 มันเร็วไปลูกคุยโทรศัพท์น้อยลงหน่อยนู่น
00:23:08 → 00:23:10 นี่นั่นแย่งโทรศัพท์หรือไปทะเลาะกับแฟน
00:23:10 → 00:23:13 เกิดภาวะเครียด hyperventilation
00:23:13 → 00:23:16 Syndrome เหมือนกันมันมีวิธีป้องกันมยคะ
00:23:16 → 00:23:18 คนที่เป็น Hyper vation Syndrome เนี่ย
00:23:18 → 00:23:20 นะอือเไม่ได้เป็นไปตลอดชีวิตเเป็นแค่บาง
00:23:20 → 00:23:22 ช่วงเจะเป็นช่วงวัยรุ่นนี่แหละอเราจะเห็น
00:23:22 → 00:23:25 ถึงได้บอกว่ามาอายุเท่าเนี้ยก็เป็ดแต่พอ
00:23:25 → 00:23:29 โตขึ้นน่ะจิตใจเรามันก็จะเข้มแข็งอืมันมี
00:23:29 → 00:23:33 เกราะป้องกันคุ้มครองเรามากขึ้นเราอาจจะ
00:23:33 → 00:23:37 ก้านโลกขึ้นทำให้สิ่งห่างๆที่มันกระทบเรา
00:23:37 → 00:23:40 เนี่ยไม่สามารถทำร้ายจิตใจเราได้หมอถึง
00:23:40 → 00:23:42 ได้พูดถึงเรื่องเกี่ยวกับขันธ์ 5 ขันธ์ 5
00:23:42 → 00:23:45 เนี่ยโดยรวมก็คือว่าเมื่อมีทุกข์ท่านอย่า
00:23:45 → 00:23:48 ไปถือทุกข์นั้นไว้เมื่อมีอะไรมากระทบจิต
00:23:48 → 00:23:52 ใจให้ปล่อยผ่านตัวไปมันก็แบบเดียวกันยก
00:23:52 → 00:23:54 ตัวอย่างเช่นสมมุติว่าการที่เราจะทะเลาะ
00:23:54 → 00:23:57 กับใครบางคนได้นะมันอยู่ที่ว่าใจของเรา
00:23:57 → 00:23:58 พร้อมที่จะทะเลาะ
00:23:59 → 00:24:02 ถ้าเราคิดว่าจบการทะเลาะนั้นยังไงเราต้อง
00:24:02 → 00:24:05 ไปง้อเอยู่ดียกตัวอย่างเช่นว่าสามีภรรยา
00:24:05 → 00:24:08 ลิ้นกับฟันอยู่ด้วยกันต้องมีเรื่องหหมา
00:24:08 → 00:24:10 กันทะเลาะกันบ้างบางอย่างพูดไม่เข้าหู
00:24:10 → 00:24:13 ประเด็นก็คือพอพูดไม่เข้าหูเราจะปล่อยให้
00:24:13 → 00:24:17 มันทะลุผ่านไปหจะเอไอ้ที่เข้าหูเรามาแล้ว
00:24:17 → 00:24:20 เนี่ยมันเก็บไว้ในใจแล้วกลั่นมันออกมา
00:24:20 → 00:24:23 แล้วระเบิดใส่เพื่อทะเลาะเกิดขึ้นเพราะ
00:24:23 → 00:24:26 ฉะนั้นเนี่ยถ้าสมมุติว่าเราคิดได้แล้วว่า
00:24:26 → 00:24:28 เดี๋ยวทะเลาะก็ต้องกลับมาคืนดีเดี๋ยว
00:24:28 → 00:24:31 ทะเลาะก็ต้องไปง้อแล้วคนที่ต้องง้อก็เป็น
00:24:31 → 00:24:34 เรางั้นก็อย่าไปทะเลาะเลยปล่อยมันผ่านไป
00:24:34 → 00:24:37 ดีกว่าบางครั้งการที่ปล่อยผ่านไปมันก็
00:24:37 → 00:24:40 ผ่านไปแล้วเราไม่ต้องเก็บมาในใจก็เหมือน
00:24:40 → 00:24:42 เป็นวิธีปล่อยวางอย่างนึงใช่โดยที่เมื่อ
00:24:43 → 00:24:45 เก็บวางในใจเราก็เกิดทุกข์ออใช่คุณหมอ
00:24:45 → 00:24:47 กำลังจะบอกว่าเวลาเรามีทุกข์ให้เราแยก
00:24:47 → 00:24:50 ความทุกข์กับตัวเราออกจากกันใช่หรือให้
00:24:50 → 00:24:53 ความทุกข์นั้นผ่านตัวเราออกไปแล้วมันก็จะ
00:24:53 → 00:24:56 มีสิ่งดีเกิดขึ้นชีวิตของมนุษย์เปรียบ
00:24:56 → 00:24:59 เสมือนคลื่นขึ้นลง
00:24:59 → 00:25:02 จะมีทั้งดีและแย่สลับกันไม่มีใครมีความ
00:25:02 → 00:25:05 สุขตลอดและก็ไม่มีใครที่มีความทุกข์ตลอด
00:25:05 → 00:25:09 ดังนั้นเมื่อมีความทุกข์ให้มองไว้ว่าสุด
00:25:09 → 00:25:13 ท้ายมันก็จะมีความสุขตามมาแต่ในช่วงที่มี
00:25:13 → 00:25:17 ทุกข์นั้นค่ะอย่าจมอยู่กับทุกข์เหตุผลก็
00:25:17 → 00:25:20 คือว่าเราเคยดูนาฬิกาใช่มั้ยค่ะ 1 นาที
00:25:20 → 00:25:24 ยาวนานมั้ยถ้าเราจ้องมันก็นานถูกต้องถ้า
00:25:24 → 00:25:26 เราไปโฟกัสกับทุกข์มันก็จะยิ่งทุกข์นัก
00:25:26 → 00:25:28 มันก็จะขยายทุกข์ก็
00:25:28 → 00:25:31 ทุกข์นั้นกว่าจะผ่านทำไมนานจังอ่ะค่ะแต่
00:25:31 → 00:25:34 ถ้ามุติเราไม่โฟกัสกับทุกข์ทุกข์นั้นก็จะ
00:25:34 → 00:25:37 หายไปเหมือนเวลาแค่ 1 นาทีอืสวัสดีค่ะ
00:25:38 → 00:25:40 กลับมาพบกันอีกแล้วนะคะกับรายการเกาแก้
00:25:40 → 00:25:41 โลกค่ะซึ่งแน่นอนว่าวันนี้เราก็อยู่กัน
00:25:41 → 00:25:44 กับคุณหมอเกมคนเดิมนะคะแพทย์เฉพาะทางบาด
00:25:44 → 00:25:47 เดียวสวัสดีค่ะคุณหมอสวัสดีครับสวัสดีค่ะ
00:25:47 → 00:25:49 ค่ะซึ่งจากที่เราเคยคุยกันไปแล้วเมื่อ
00:25:49 → 00:25:51 Episode ที่แล้วนะคะก็คือได้รับความรู้
00:25:51 → 00:25:53 มากมายส่วน Episode นี้จากประสบการณ์ของ
00:25:53 → 00:25:56 คุณหมอเองในอีก 10 ปีข้างหน้าคิดว่าโลก
00:25:56 → 00:25:58 อะไรที่คนไทยจะเป็นเยอะที่สุดค่ะมี
00:25:58 → 00:26:00 เปอร์เซ็นต์สูงที่ควรจะเป็นโรคแบบเนี้ย
00:26:00 → 00:26:02 บ่อยมากที่เราจะเจอกันได้แบบทั่วไปเอ่อ
00:26:02 → 00:26:06 สังคมไทยเนี่ยกำลังจะเข้าสู่สังคมสูงอายุ
00:26:06 → 00:26:08 ค่ะอันนี้ทุกคนรู้อยู่แล้วอัตราการเกิด
00:26:08 → 00:26:12 ของเราก็ต่ำคนสูงอายุมีมากขึ้นโลกที่จะ
00:26:12 → 00:26:17 ต้องเกิดขึ้นกราฟขึ้นสูงเลยคือสกอ้าสกคือ
00:26:17 → 00:26:22 เส้นเลือดในสมองตีบแตกหรือตันอันเนี้ยน่า
00:26:22 → 00:26:25 จะพบเยอะขึ้นใน 10 ปีข้างหน้าเนี่ยเพราะ
00:26:25 → 00:26:29 ว่าโลกนี้มักพบในคนสูงอายุซึ่งแน่นอนว่า
00:26:29 → 00:26:32 ในอายุผ่านมา 60 ปีอือเราผ่านอะไรมาเยอะ
00:26:32 → 00:26:35 แยะก็แล้วแต่เราอาจจะไม่เคยดูแลตัวเองเลย
00:26:35 → 00:26:38 แล้วก็จะมาเกิดผลณตอนอายุประมาณนี้ซึ่ง
00:26:38 → 00:26:41 สาเหตุส่วนใหญ่มันเกิดจากอะไรคะสตกเนี่ย
00:26:41 → 00:26:43 สาเหตุส่วนใหญ่แล้วก็คือมาจากการกินการ
00:26:43 → 00:26:46 กินคือกินไม่ดีกินเนื้อสัตว์กินอาหารไข
00:26:46 → 00:26:48 มันใช่มั้ยกินเนื้อสัตว์ก็อย่างที่บอกว่า
00:26:48 → 00:26:51 ทำให้เกิดสาร tmao เกิดขึ้นในหลอดเลือดพอ
00:26:51 → 00:26:54 เส้นเลือดเกิดการอักเสบเกิดขึ้นเกิดแผลใน
00:26:54 → 00:26:57 เส้นเลือดเส้นเลือดก็จะพยายามหาทางซ่อม
00:26:57 → 00:26:59 แซมโดยการดึงเอาตัวคอเลสเตอรอลเนี่ยมา
00:26:59 → 00:27:02 ซ่อมแซมตัวหลอดเลือดมันเป็นกลไกของร่าง
00:27:02 → 00:27:04 กายพอตัวคอเลสเตอรอลมาซ่อมแซมหลอดเลือด
00:27:05 → 00:27:07 คอเลสเตอรอลก็ไปอุดตัวไขมันตัวหลอดเลือด
00:27:07 → 00:27:09 ก็ทำให้หลอดเลือดค่อยๆตีบเพราะฉะนั้นเขา
00:27:09 → 00:27:12 ถึงได้บอกว่าเออควรที่จะตรวจร่างกายดู
00:27:12 → 00:27:16 หน่อยนะทุกๆปีดูว่าหลอดเลือดที่เลี้ยงหัว
00:27:16 → 00:27:18 ใจเนี่ยมันมีแคลเซียมมากาะหรือเปล่าหรือ
00:27:19 → 00:27:22 หลอดเลือดที่วิ่งจากคอไปเลี้ยงสมองเนี่ย
00:27:22 → 00:27:24 มันมีปัญหาหรือยังมันตีบหรือยังมี
00:27:24 → 00:27:26 แคลเซียมมาก่อนหรือเปล่าคุณหมอเนี่ยเคย
00:27:26 → 00:27:28 เจอเคสแบบไหนที่บ่อยที่สุดแล้วก็อยากให้
00:27:28 → 00:27:31 ยกเคส study ให้ฟังเป็นตัวอย่างสักนิดนึง
00:27:31 → 00:27:34 อ่ะค่ะด้วยความที่เป็นสัแพทยตกแต่งนะครับ
00:27:34 → 00:27:38 ก็มักจะคุ้นเคยหรือว่าเจอเคสคนที่ถูกไฟ
00:27:38 → 00:27:41 ไหม้ไฟไหม้อ่าน้ำร้อนรวกเพราะว่าถ้าเคสไฟ
00:27:41 → 00:27:44 ไหม้น้ำร้อนรวกเนี่ยโดยปกติเขาจะส่งให้สั
00:27:44 → 00:27:46 แพทย์ตกแต่งดูเพราะว่ามันจะมีเรื่อง
00:27:46 → 00:27:48 เกี่ยวกับว่าแผลเนี่ยพอโดนไฟไหม้น้ำร้อน
00:27:48 → 00:27:52 ลวกแล้วเนี่ยมันจะต้องทำการปลูกผิวหนังด
00:27:52 → 00:27:54 การไถผิวหนังเนี่ยจากบริเวณหน้าขาหรือตรง
00:27:54 → 00:27:57 บริเวณที่ไม่ได้โดนไฟไหม้เนี่ยเอามาปักใน
00:27:57 → 00:28:00 ตำแหน่งที่ที่โดนไฟไหม้อันนี้สาเหตุก็มา
00:28:00 → 00:28:02 จากอุบัติเหตุใช่มั้ยคะหรือว่าจากอะไร
00:28:02 → 00:28:06 เอ่ยส่วนใหญ่แล้วก็จะเป็นอุบัติเหตุบางที
00:28:06 → 00:28:09 เนี่ยมันเป็นเรื่องที่ไม่คาดคิดมาก่อนว่า
00:28:09 → 00:28:11 มันจะเกิดอเช่นยกตัวอย่างได้มั้ยคะยกตัว
00:28:11 → 00:28:14 อย่างเคสนึงก็คือคุณผู้หญิงท่านนึงไปทำ
00:28:14 → 00:28:18 การนั่งสตีมแล้วปรากฏว่าตัวสตีมเนี่ยมัน
00:28:18 → 00:28:21 ควบคุมความร้อนเนี่ยผิดปกติไอ้น้ำที่ออก
00:28:21 → 00:28:24 มาเนี่ยมันก็มีความรุนแรงมีอุณหภูมิที่
00:28:24 → 00:28:27 สูงก็ทำให้ผิวเนี่ยไหม้เหมือนโดนน้ำร้อน
00:28:27 → 00:28:30 รวกเนี่ยทั้งตัวอันนี้คือเคสที่พอที่จะจำ
00:28:30 → 00:28:34 เคสได้เคสเเนี่ยพอคนโดนน้ำร้อนรวกหรือว่า
00:28:34 → 00:28:37 โดนสตรีมอย่างเงี้ยสูงๆเป็นเวลาสักนานๆ
00:28:37 → 00:28:40 เนี่ยมันจะทำให้เปอร์เซ็นต์ของผิวหนังของ
00:28:40 → 00:28:44 ร่างกายเนี่ยสูญเสียเยอะเมื่อถ้าผิวหนัง
00:28:44 → 00:28:48 โดนน้ำร้อนลวกหรือไฟไหม้เนี่ยมากกว่า 20%
00:28:48 → 00:28:52 จำเป็นจะต้องนอนโรงพยาบาลหรือให้สารน้ำ
00:28:52 → 00:28:54 หรือถ้าสมมุติว่ามีเปอร์เซ็นต์ที่มากกว่า
00:28:54 → 00:28:57 นั้นอีกหรืออยู่ในบริเวณที่จำเป็นที่ต้อง
00:28:57 → 00:28:59 ได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิดอย่างเช่นว่า
00:28:59 → 00:29:03 บริเวณอวยเพศหรือรูทวารอย่างเงี้ยบางทีคน
00:29:03 → 00:29:05 ไข้ไม่สามารถกลับไปดูแลตัวเองได้เพราะว่า
00:29:05 → 00:29:08 เดี๋ยวอุจจาระถ่ายอุจจระโดนแผลเขาก็จะนอน
00:29:08 → 00:29:13 โรงพยาบาลบางท่านต้องนอนใน ICU อือ่า ICU
00:29:13 → 00:29:15 ก็จะเรียกว่าเบร์ยูนิก็แล้วกันสำหรับคน
00:29:15 → 00:29:18 ไข้ที่มีไฟไหม้น้ำร้อนร่วงแล้วจะต้องไป
00:29:18 → 00:29:22 นอนใน ICU มันจะเป็น ICU ที่แยกออกจาก
00:29:22 → 00:29:24 ส่วนอื่นๆออคือมันแยกกันอ่าใช่เพราะว่า
00:29:24 → 00:29:27 ไม่งั้นเดี๋ยวเติดเชื้อง่ายคนเราไม่มีผิว
00:29:27 → 00:29:30 หนังแล้วแล้วเนี่ยจะติดเชื้อง่ายโดยเคส
00:29:30 → 00:29:32 เนี้เนี่ยระหว่างที่เราทำแผลไปเนี่ยเราก็
00:29:32 → 00:29:35 สงสารคนไข้นะเพราะว่าเราต้องทำความสะอาด
00:29:35 → 00:29:38 ต้องฟอกผิวหนังเนี่ยอยู่ตลอดคนไข้ก็จะ
00:29:38 → 00:29:41 เจ็บปวดมากๆเวลาเราเห็นคนไข้เจ็บปวดเนี่ย
00:29:41 → 00:29:45 มันก็จะมีการฉีดยาใช่มฉีดยาพวกเดินก็เป็น
00:29:45 → 00:29:48 ยาแก้ปวดเป็นอนุพันธ์ของมอร์ฟีนนะเป็นยา
00:29:48 → 00:29:51 แก้ปวดรุนแรงแหละฉีดเพื่อให้คนไข้สงบแต่
00:29:51 → 00:29:53 จริงๆแล้วเนี่ยมันก็แค่เบาบางเท่านั้น
00:29:53 → 00:29:56 แหละคนไข้ก็ยังรู้สึกอยู่เราก็เลยมักจะ
00:29:56 → 00:30:01 บอกคนไข้ว่าอย่าไปโฟกัสโอย่าไปคิดถึงจุด
00:30:01 → 00:30:04 ที่หมอกำลังทำอยู่คนไข้ก็บอกว่ามันทำไม่
00:30:04 → 00:30:07 ได้หมอมันเจ็บมันปวดมากยังไงก็ทำไม่ได้
00:30:07 → 00:30:10 เราก็บอกว่างั้นก็สวดมนต์ทำอะไรก็ได้หรือ
00:30:10 → 00:30:12 สวดมนต์ที่ตัวเองสวดได้มากที่สุดหรือจะ
00:30:12 → 00:30:15 บวดสวดมนต์แผ่เมตตาหรืออะไรก็แล้วแต่
00:30:15 → 00:30:18 อิติปิโสอะไรก็ได้เพื่อให้เขาย้ายโฟกัสไป
00:30:18 → 00:30:21 ใช่ๆเพื่อให้เขาไม่ไปโฟกัสในสิ่งที่เราทำ
00:30:21 → 00:30:25 ในระหว่างนั้นน่ะที่เราบอกคนไข้คให้ทำคน
00:30:25 → 00:30:28 ไข้เนี่ยก็พูดขึ้นมาว่าเนี่ยนึกถึงสิ่ง
00:30:28 → 00:30:34 ที่ตัวเองเคยทำไว้หืยังไงคะเราก็หือ
00:30:34 → 00:30:37 เหมือนกัน่ะฮึเรื่องอะไรหรออะไรอย่าเงี้ย
00:30:37 → 00:30:40 เราก็อยากรู้เราทำแผลคนไข้เร้องเจ็บปวดโด
00:30:40 → 00:30:44 โๆนะเขาก็บอกว่าเ้าอ่ะชอบกินปูเขาชอบไป
00:30:44 → 00:30:48 กินปูที่ร้านอาหารโดยที่เห็นปูนี่มันว่าย
00:30:48 → 00:30:50 อยู่ที่ในถังเนี่ยนะแล้วก็ไปเลือกแล้วก็
00:30:50 → 00:30:53 เอเก็ไปเลือกเขาก็เลือกเสร็จแล้วเนี่ยเขา
00:30:53 → 00:30:56 ก็ชอบไปยืนดูกุ๊กปรุงอาหารโดยเขาก็จะเห็น
00:30:56 → 00:30:59 ว่ากุ๊กเนี่ยก็หยิบปูนเนี่ยลงไปลวกน้ำ
00:30:59 → 00:31:02 ร้อนเขาบอกว่าภาพนั้นเนี่ยมันฉายขึ้นมา
00:31:02 → 00:31:05 เออมันชัดขึ้นมาเลยตอนที่หมอบอกให้เขาสวด
00:31:05 → 00:31:09 หมดทำให้เขา่ะนึกถึงว่าผ้าปูที่เขาชอบกิน
00:31:09 → 00:31:12 กับตัวเองที่โดนอยู่เนี่ยมันช่างเหมือน
00:31:12 → 00:31:15 กันเลยนี้คือเป็นสิ่งแรกนะที่ทำให้เรารู้
00:31:15 → 00:31:17 สึกว่าเอ๊ะที่เราบอกว่าเป็นอุบัติเหตุ
00:31:17 → 00:31:19 เนี่ยมันเป็นอุบัติเหตุหรือมันเป็นบาง
00:31:19 → 00:31:22 อย่างที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุหรือแม้แต่
00:31:22 → 00:31:25 อีกเคสนึงก็เป็นเคสพลทหารเพราะว่าเราอยู่
00:31:25 → 00:31:29 โรงพยาบาลทหารเนาะก็เป็นคนไข้พนทหารมา
00:31:29 → 00:31:32 ด้วยเรื่องว่าแก๊สระเบิดจะหุงต้มอาหารให้
00:31:32 → 00:31:34 นายนั่นแหละแก๊สมันระเบิดปรากฏว่าตอน
00:31:34 → 00:31:36 ระเบิดเนี่ยมันไม่ใช่เป็นแบบแก๊สระเบิด
00:31:36 → 00:31:38 แบบเป็นเศษหินนะหรือเอ้ยเป็นเศษเหล็กหรือ
00:31:39 → 00:31:42 อะไรเงี้ยนะแต่ว่ามันเป็นไฟมันลุกพรึบ
00:31:42 → 00:31:44 ขึ้นมาคนไข้ก็โดนไปทั้งหน้าทั้งตัวเี่
00:31:45 → 00:31:47 ทั้งแขนทั้งขาเปอร์เซ็นต์มากกว่า 20% ใช่
00:31:47 → 00:31:49 มั้ยก็ต้องนอนโรงพยาบาลต้องให้สาน้ำแล้ว
00:31:49 → 00:31:53 ก็ต้องมาอยู่ ICU เบินนี่แหละเราก็พอเห็น
00:31:53 → 00:31:57 เคสนี้เออเราก็บอกแบบเดียวกันว่าอตอนที่
00:31:57 → 00:32:00 หมอทำแผ่นเนี่ยก็สวดมนต์นะสวดมนต์ไปก็
00:32:00 → 00:32:02 แล้วกันจริงๆเราก็ไม่ได้บอกเสวดมนต์อย่าง
00:32:02 → 00:32:05 เดียวด้วยนะเราก็บอกว่าตอนสวดมนต์นะให้
00:32:05 → 00:32:09 นึกถึงว่าเคยทำอะไรไว้หมอชี้นำไงเก็เลย
00:32:09 → 00:32:12 แบบนึกถึงเออซึ่งจริงๆแล้วต้องบอกว่าพอ
00:32:12 → 00:32:15 เราพูดแบบเนี้ยคนไข้จะนึกถึงเรื่องที่ตัว
00:32:15 → 00:32:18 เองเคยทำในอิตเขาก็บอกว่าผมนึกออกแล้ว
00:32:18 → 00:32:22 ครับสมัยก่อนน่ะผมชอบจับกิ้งกาอจับกิ้งกา
00:32:22 → 00:32:25 มาแล้วก็ยัดตัวประทักใส่เข้าไปในปามันเคย
00:32:25 → 00:32:28 เห็นนะจริงๆพวกคนต่างจังหวัดเค้าก็ทำสนุก
00:32:28 → 00:32:31 ๆของเขาคแหละแล้วเก็จุดประทัดมันก็มันตาย
00:32:31 → 00:32:33 มั้ยค่ะเออมันก็ระเบิดปึ้มอย่าเงี้ยอเา
00:32:34 → 00:32:36 บอกว่าตอนที่เขาเป็นอยู่เนี่ยยที่หมอ
00:32:36 → 00:32:40 กำลังทำแผลเนี่ยเขามานึกถึงเคสเนี้ขึ้นมา
00:32:40 → 00:32:42 ว่ามันสิ่งมันเป็นสิ่งที่เขาเคยทำส่วน
00:32:43 → 00:32:45 ใหญ่ต้องบอกว่าหลายสิ่งหลายอย่างเนี่ย
00:32:45 → 00:32:49 เวลาที่คนไข้ไปอยู่ในห้องเล็กๆนะอย่าง ICU
00:32:49 → 00:32:51 ก็จะเป็นห้องเล็กๆเนี่ยค่ะทั้งวันเไม่มี
00:32:51 → 00:32:54 อะไรทำทำให้เค้าเนี่ยสามารถมีเวลาคิดถึง
00:32:54 → 00:32:56 เรื่องตัวเองคิดถึงเรื่องนู้นเรื่องนี้
00:32:57 → 00:32:59 เรื่องนั้นนะเราชี้นำหรือเปล่าเราไม่รู้
00:32:59 → 00:33:02 แต่เราก็คิดว่าโอเคถ้าคุณคิดออกก็ให้แผ่
00:33:02 → 00:33:06 เมตตาซะการแผ่เมตตาได้ผลหรือไม่ได้ผลเจ็บ
00:33:06 → 00:33:08 ปวดน้อยลงหรือเปล่าเราก็ไม่รู้นะแต่มันก็
00:33:08 → 00:33:12 ทำให้เค้าไม่ไปโฟกัสกับสิ่งที่เรากำลังทำ
00:33:12 → 00:33:15 อยู่ซึ่งมันเจ็บปวดแน่นอนสิ่งที่เราพูดละ
00:33:15 → 00:33:18 ก็คือว่าถ้าคุณไปโฟกัสกับความทุกข์คุณก็
00:33:18 → 00:33:21 ยิ่งทุกข์หนักอก็จะยิ่งเจ็บปคุณก็ต้องทำ
00:33:21 → 00:33:24 อย่างอื่นค่ะเพื่อให้สิ่งนั้นเนี่ยเบาบาง
00:33:24 → 00:33:26 ลงแล้วอย่างกรณีเนี้ยค่ะ 2 เคสที่คุณหมอ
00:33:26 → 00:33:27 เล่าเพราะเคเล่าให้คุณหมอฟังแบบนั้นคุณ
00:33:27 → 00:33:29 หมอตอบกับไปว่าไงคะหมอก็ไม่ได้ตอบว่าอะไร
00:33:29 → 00:33:31 หรอกเพราะส่วนใหญ่เนี่ยเคสที่มาประมาณ
00:33:31 → 00:33:34 เนี้ยหมอมักจะบอกคนไข้อยู่แล้วหล่ะว่าลอง
00:33:34 → 00:33:36 นึกดูว่าตัวเองเคยทำอะไร
00:33:36 → 00:33:40 ไว้ฟังดูมันเหมือนกับเป็นเรื่องที่เหมือน
00:33:40 → 00:33:43 ไปซ้ำเติมเนะแต่จริงๆแล้วเราไม่ได้ซ้ำ
00:33:43 → 00:33:45 เติมการที่เราบอกให้เขาระลึกถึงสิ่งที่
00:33:45 → 00:33:48 เขาเคยทำไว้ในกรณีที่เขาเกิดเหตุการณ์
00:33:48 → 00:33:51 เดียวกันเพื่อให้เขาได้แผ่เมตตาถูกได้
00:33:51 → 00:33:54 โฟกัสในสิ่งที่ตัวเองทำว่าโอเคเราเคยทำ
00:33:54 → 00:33:57 ไม่ดีตอนเนี้ยมันเกิดขึ้นเราถูกทำแผลเจ็บ
00:33:57 → 00:34:00 เราจะได้เจ็บน้อยลงแล้วถ้าเขาหายหรือไม่
00:34:00 → 00:34:02 หายหรืออะไรก็แล้วแต่เนี่ยก็อย่างที่บอก
00:34:02 → 00:34:05 ว่ามันก็น่าจะมีส่วนบ้างอืไม่มากก็น้อย
00:34:05 → 00:34:06 อย่างน้อยก็อาจจะช่วยจิตใจเขาได้บ้างนิด
00:34:06 → 00:34:09 หน่อยใช่อย่างน้อยเได้รู้สึกว่าเขได้ชำระ
00:34:09 → 00:34:12 สิ่งที่ตัวเองทำไปแล้วอะไรอย่างเงี้ยนึ
00:34:12 → 00:34:15 ออกมั้เออชโลกทั่วไปที่เราเคยเห็นกันในใน
00:34:15 → 00:34:17 โลกเนี้ยอย่างปัจจุบันเนี้ยโลกอะไรที่คน
00:34:17 → 00:34:19 เป็นบ่อยที่สุดคะที่เป็นเยอะมากๆคืออย่าง
00:34:19 → 00:34:24 งี้ดีกว่าอืถ้าถามว่าโรคอะไรที่พบบ่อยเรา
00:34:24 → 00:34:27 อาจจะตอบง่ายๆว่าเออเป็นโรคระบบทางเดิน
00:34:27 → 00:34:30 หายใจใครๆก็เป็นหวัดใครๆก็อาจจะติดโควิด
00:34:30 → 00:34:33 อะไรอย่างเงี้ยนะแต่ถ้าถามว่าโรคอะไรที่
00:34:33 → 00:34:36 เป็นขาวอือค่ะนั่นหมายความว่าโรคนั้นน่ะ
00:34:36 → 00:34:40 ต้องแตกต่างจากโลกอื่นๆเอโลกทั่วไปทั
00:34:40 → 00:34:42 เพราะว่าด้วยความแตกต่างของมันทำให้คนสน
00:34:42 → 00:34:45 ใจยกตัวอย่างอย่างเช่นแบบโรคภูมิคุ้มกัน
00:34:45 → 00:34:48 ที่เกิดขึ้นแบบแปลกๆอย่างเงี้ยอย่างโรค
00:34:48 → 00:34:52 ของนักร้องท่านนึงที่เขามีปัญหาเรื่องการ
00:34:52 → 00:34:55 มองเห็นตัวย่อก็คือ vkh นี่คือชื่อย่อของ
00:34:55 → 00:34:58 โลกเเป็นชื่อย่อของโลกคือโลกเนี้ยเกิดจาก
00:34:58 → 00:35:02 ระบบภูมิคุ้มกันในสมองน้ำในสมองเนี่ยอมัน
00:35:02 → 00:35:06 ไปสงสัยว่าเม็ดสีของมันเนี่ยทำงานผิดปกติ
00:35:06 → 00:35:09 คือเม็ดสีผิวของเราเนี่ยเป็นตัวแปลกปลอม
00:35:09 → 00:35:11 มันก็เลยไปทำลายพอระบบภูมิคุ้มกันมันไป
00:35:11 → 00:35:14 ทำลายเม็ดสีคนไข้ก็เกิดทำให้ตาเนี่ยมอง
00:35:14 → 00:35:17 ไม่เห็นตรงกลางเพราะว่าตาเราก็เป็นสีดำคน
00:35:17 → 00:35:20 ไข้ก็มีภาวะคิ้วเนี่ยค่อยๆกลายเป็นสีขาว
00:35:20 → 00:35:23 แล้วรอบตากลายเป็นสีขาวแล้วก็มีภาวะด่าง
00:35:23 → 00:35:25 ขาวเนี่ยขึ้นตามตัวเนี่ยเป็นโรคของนัก
00:35:25 → 00:35:28 ร้องดังซึ่งอย่างที่บอกว่าเฮ้ย
00:35:28 → 00:35:31 จริงๆโลกนี้เนี่ยพบในคนเอเชียพอสมควรแต่
00:35:31 → 00:35:35 พอเกิดกับคนที่มีชื่อเสียงก็จะคนก็สนใจก็
00:35:35 → 00:35:37 จะดังขึ้นมาเอันนี้ก็คือบอกว่าโรคที่
00:35:37 → 00:35:39 เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันเนี่ยจะเป็นโรคอะไร
00:35:39 → 00:35:42 ที่แปลกๆแล้วก็มักอย่างที่บอกว่าอธิบาย
00:35:42 → 00:35:44 ได้ยากคนก็จะสนใจเยอะเพราะมันไม่ตรงไปตรง
00:35:44 → 00:35:46 มาไงพฤติกรรมแบบไหนที่มันทำให้เราเสี่ยง
00:35:46 → 00:35:48 เป็นโรคแบบเยค่ะโรคที่มันเกิดขึ้นเยอะ
00:35:48 → 00:35:50 อย่างเช่นทุกวันนี้ที่เราเห็นเยอะก็มีโรค
00:35:50 → 00:35:52 เกี่ยวกับภูมิุ้มกันเบาหวานมะเร็งอะไร
00:35:52 → 00:35:55 เงี้ยค่ะที่ที่เราเห็นกันบ่อยๆการดูแล
00:35:55 → 00:35:57 สุขภาพอย่างที่บอกแก็คือว่าถ้าเราจะหลีก
00:35:58 → 00:36:01 เลี่ยงสิ่งต่างๆเนี่ยเราก็ต้องดูแลสุขภาพ
00:36:01 → 00:36:04 ให้มันแข็งแรงนะนอน 6-8 ชมงกินอาหารที่
00:36:04 → 00:36:08 สุกสุลักษณะให้ครบ 5 หมู่กินอย่ามากเกิน
00:36:08 → 00:36:10 ไปไม่กินของหวานอะไรออกกำลังกายอะไรเงี้ย
00:36:10 → 00:36:13 อันนี้มันก็คือเบสิคที่ทุกคนจะต้องรู้
00:36:13 → 00:36:15 อยู่แล้วแต่อย่างที่บอกว่าโอเคถ้าเราทำ
00:36:15 → 00:36:18 ตามเนี้ยเราจะหลีกเลี่ยงโรคบางอย่างได้
00:36:18 → 00:36:20 อย่างเช่นโรคที่เกิดขึ้นจากภูมิคุ้มกันก็
00:36:20 → 00:36:24 อาจจะลดน้อยลงเพราะว่าเรามองว่าโรคจากที่
00:36:24 → 00:36:26 เกิดขึ้นจากภูมิคุ้มกันเนี่ยมักจะเกิดจาก
00:36:26 → 00:36:29 ระบบคุ้มกันในร่างกายมันทำงานผิดปกติเกิด
00:36:29 → 00:36:31 จากความเครียดการนอนไม่พออะไรก็แล้วแต่
00:36:32 → 00:36:34 แต่อย่างโรคมะเร็งอย่าเงี้ยมันก็คือเป็น
00:36:34 → 00:36:36 โรคที่เกิดจากส่วนใหญ่เงี้ยเราก็จะมอง
00:36:36 → 00:36:38 เรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เรารับเข้าไป
00:36:38 → 00:36:41 มะเร็งลำไส้อาหารไม่ดีมะเร็งปอดอากาศไม่
00:36:41 → 00:36:44 ดีอันนี้คือเราก็จะมองว่ามันเป็นสิ่งที่
00:36:44 → 00:36:47 เรารับเข้าไปหรือแม้แต่มะเร็งตับส่วนนึง
00:36:47 → 00:36:51 ก็เป็นเพราะเรื่องของพยาธิพยาธก็เกิดจาก
00:36:51 → 00:36:55 อาหารไม่ดีกินหรือสารอัลฟ่าท็อกซินที่
00:36:55 → 00:36:57 เป็นเชื้อราที่เกิดขึ้นจากถั่วเรากินเข้า
00:36:57 → 00:37:00 ไปก็ทำให้เกิดมะเร็งต่ำหรือเกิดจากเชื้อ
00:37:00 → 00:37:03 ไวรัสเปปติอะไรเงี้ยคือต้องบอกว่าของพวก
00:37:03 → 00:37:06 เนี้ยบางอย่างมันก็หลีกเลี่ยงได้แต่บาง
00:37:06 → 00:37:09 อย่างเราเรากินไปครั้งแรกมันก็ไม่ได้เห็น
00:37:09 → 00:37:12 ผลณวันนี้ซึ่งเราก็คิดว่าสิ่งที่เราทำ
00:37:12 → 00:37:15 อยู่เนี่ยไม่ได้ส่งผลเสียอะไรแต่สิ่งนั้น
00:37:15 → 00:37:17 น่ะเมื่อทำซ้ำผลเสียก็จะเกิดอันนั้นอัน
00:37:17 → 00:37:19 นั้นคือเรื่องนิสัยการ่าการรักตัวเองการ
00:37:19 → 00:37:21 ดูแลตัวเองเนี่ยคนก็น่าจะรู้อยู่แล้วเป็น
00:37:21 → 00:37:23 พื้นฐานแต่ถ้าอยากให้ยกตัวอย่างนิสัยหรือ
00:37:23 → 00:37:26 พฤติกรรมที่ถ้าทำแบบเนี้ยโลกถามหาแน่นอน
00:37:26 → 00:37:28 นิสัยพฤติกรรมแบบนี้หรอแบถ้าคุณทำยังไง
00:37:28 → 00:37:31 อนาคตต้องมีโลกแน่นอนคะแรกสุดเลยก็คือนอน
00:37:31 → 00:37:33 ไม่เพียงพอพิส่วนที่ผ่านมาเนี่ยหมอก็จะ
00:37:33 → 00:37:35 พูดเกี่ยวกับเรื่องการนอนเนี่ยเป็นอันดับ
00:37:35 → 00:37:38 หนึนคือการนอนไม่เพียงพออันที่ 2 ก็คือ
00:37:38 → 00:37:40 เรื่องของการกินกินไม่ดีกินไม่เป็นเวลา
00:37:40 → 00:37:43 เกี่ยวมยคะกินไม่เป็นเวลาเกี่ยวมก็เกี่ยว
00:37:43 → 00:37:46 แต่กินไม่ดีจะเกี่ยวข้องกว่ากินไม่เป็น
00:37:46 → 00:37:48 เวลาคุณอาจจะเป็นแค่โรคกระเพาะแต่ถ้าคุณ
00:37:48 → 00:37:52 กินไม่ดีด้วยกินอาหารที่ไม่สะอาดและมี
00:37:52 → 00:37:55 เชื้อ H ไรนเชื้อเนี้ยทำให้เกิดมะเร็ง
00:37:55 → 00:37:59 กระเพาะอาหารบางคนกลิ่นคลีนเลยกินดีอค่ะ
00:37:59 → 00:38:02 แต่เกิดมะเร็งกระเพาะอาหารเพราะสิ่งที่
00:38:02 → 00:38:05 กินน่ะมันดันมีเชื้อโรคตัวนี้อยู่พอกิน
00:38:05 → 00:38:08 เข้าไปเรื่อยๆก็ทำให้ป่วยใครไม่สบายได้
00:38:08 → 00:38:12 เรื่องของการออกกำลังกายไม่ออกอหรือออก
00:38:12 → 00:38:14 ได้ไม่เต็มที่เหมือนที่เราเห็นในคลิปบาง
00:38:14 → 00:38:18 คนนั่งกินอยู่เลยแล้วขาก็นั่งอยู่บนไอ้
00:38:18 → 00:38:21 ที่ตัววิ่งอ่ะนะการออกกำลังกายที่ไม่ดี
00:38:21 → 00:38:26 หรือไม่ถูกต้องมากไปก็ไม่ดีอืน้อยไปก็ดี
00:38:27 → 00:38:29 มันก็ทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับหลอดเลือดไข
00:38:29 → 00:38:32 มันอุดตันหรือหลอดเลือดแข็งนะอันนี้คือ
00:38:33 → 00:38:35 สิ่งที่มันจะเกิดขึ้นตามมาก็คือ 3 อย่าง
00:38:35 → 00:38:38 ก็คือนอนไม่ดีกินไม่ดีไม่ออกกำลังกายหรือ
00:38:38 → 00:38:40 ออกกำลังกายแบบผิดวิธีอคือหลักโดยทั่วไป
00:38:40 → 00:38:43 ใช่คือถ้าทำตามเนี้ยเป็นโรคแน่นอนอือใช่
00:38:43 → 00:38:45 ต้องเป็นโรคสักอย่างนึงอ่ะอย่างสมมุติว่า
00:38:45 → 00:38:47 เรากินไม่ดีอย่างเงี้ยกินไขมันเยอะเกินก็
00:38:47 → 00:38:49 ต้องเป็นคอเลสเตอรอลสูงอยู่แล้วสุดท้าย
00:38:49 → 00:38:52 เราก็จะต้องลงท้ายด้วยความดังก็เป็นโรค
00:38:52 → 00:38:54 ตามมาอยู่ดีอ่ามันก็จะมีโรคตามมาเคยได้
00:38:54 → 00:38:57 ยินตามข่าวว่าคนที่เขาตายแล้วฟื้นขึ้นมา
00:38:57 → 00:38:59 เนี่ยเนี่ยค่ะกรณีเคสแบบเนี้ยมันจริงมั้ย
00:38:59 → 00:39:02 หรือว่ามันเป็นแค่การมโนของคนเฉยๆคะอืก็
00:39:02 → 00:39:05 หมอก็เคยทำคล้ายๆทำคลิปเกี่ยวกับพวกเนี้ย
00:39:05 → 00:39:07 นะมันก็เหมือนเป็นการทำรีเสิร์ชนั่นแหละ
00:39:07 → 00:39:11 เพราะว่าหมอจะไม่ได้ดูแค่เคสใเคสเดียวแต่
00:39:11 → 00:39:14 หมอจะดูเคสทั้งในประเทศแล้วก็ต่างประเทศ
00:39:14 → 00:39:17 ด้วยอ่าว่าเกิดกี่เคสแล้วก็ต่างประเทศ
00:39:17 → 00:39:20 เกิดกี่เคสเกือบทุกเคสเลยก็คือว่าส่วน
00:39:20 → 00:39:23 ใหญ่แล้วแพทย์แผนปัจจุบันประเมินว่าให้ไป
00:39:23 → 00:39:25 เสียชีวิตที่บ้านตอนนั้นยังไม่ได้มีการ
00:39:25 → 00:39:29 ตรวจพรูฟชัดเจนว่าคนไข้ตายแล้วหรือยัง
00:39:29 → 00:39:31 ตรวจวัดไวทอลไซเเรียกว่าสัญญาณชีพแล้ว
00:39:31 → 00:39:35 คราวนี้พอคนไข้กลับมาอยู่ที่บ้านคนรอบตัว
00:39:35 → 00:39:38 เห็นก็คิดว่าเออสงสัยว่าตายแล้วก็จัดงง
00:39:38 → 00:39:41 จัดงานอันนี้ส่วนนึงเลยจะเป็นแบบนี้ก็คือ
00:39:42 → 00:39:46 ยังไม่ได้มีการตายที่แท้จริง 2 พบว่า
00:39:46 → 00:39:50 เมื่อตายแล้วยังไม่ได้มีการทำชะล้างร่าง
00:39:50 → 00:39:53 กายหรือเตรียมร่างกายหรือการดองร่างกาย
00:39:53 → 00:39:57 เพื่อที่จะทำการชาปนกิจก็คือยังไม่ได้เอ
00:39:58 → 00:40:00 ไม่ได้ฉีดยาถ้ามพูดชาวตามชาว่าไม่ได้ฉีด
00:40:00 → 00:40:03 ยาดองศพอ่ะ 2 ข้อนี้ถ้าสมมุติว่าผ่านข้อ 2
00:40:03 → 00:40:06 ไปแล้วแล้วมาฟื้นเนี่ยยังไม่เคยเจอในความ
00:40:06 → 00:40:09 หมายคือถ้าฉีดยาดองศพมาเนี่ยยังไงคุณต้อง
00:40:09 → 00:40:12 ตายแน่ๆคุณจะไม่มีทางฟื้นแน่นอนเพราะ
00:40:12 → 00:40:14 ฉะนั้นมันก็จะหยุดอยู่แค่อันที่ 1 ก็คือ
00:40:14 → 00:40:17 ว่ายังไม่ได้มีการตรวจวัดสัญญาณชีพที่ชัด
00:40:17 → 00:40:20 เจนว่าตายจริงหรือเปล่าเอแล้วอย่างเงี้ย
00:40:20 → 00:40:22 ค่ะหนูเคยได้ยินมาว่าก่อนที่คนเราจะเสีย
00:40:22 → 00:40:25 ชีวิตอ่ะเหมือนจะเป็นแชบแล้วก็เป็นภาพที่
00:40:25 → 00:40:28 เราทั้งชีวิตที่เราเคยทำต่างๆมาพึๆขึ้นมา
00:40:28 → 00:40:29 อยากรู้ว่าอันนี้มันจริงหรือเปล่าคะคุณ
00:40:29 → 00:40:32 หมอทางการแพทย์คุณหมอวินิจฉัยได้ว่ายังไง
00:40:32 → 00:40:33 เพราะว่าคุณหมอบอกว่าสมองมันตายทีหลังหัว
00:40:34 → 00:40:36 ใจใช่ไมมคะมันต้อง 4 นาทีหัวใจมันหยุด
00:40:36 → 00:40:38 ก่อนแล้วสมองมันถึงจะหยุดตามฉะนั้น
00:40:38 → 00:40:39 ระหว่างที่หัวใจมันหยุดไปแล้วแต่สมองมัน
00:40:40 → 00:40:41 ยังทำงานอยู่เนี่ยมันเป็นไปได้มว่าเออคน
00:40:41 → 00:40:44 ไข้จะแบบเห็นภาพในอดีตที่มันฉายพึบๆๆขึ้น
00:40:44 → 00:40:48 มาคือเขาบอกว่าไอ้ช่องว่างของเวลาตรง
00:40:48 → 00:40:51 เนี้ยนะคนแต่ละคนที่ผ่านประสบการณ์ความ
00:40:51 → 00:40:54 ตายภาษาแพทย์ก็จะเรียกว่า Near Death
00:40:54 → 00:40:57 experience คนที่ผ่านประสบการณ์ความตาย
00:40:57 → 00:40:59 ไปแล้วคือเห็นแล้วล่ะหัวใจหยุดเต้นหรือ
00:40:59 → 00:41:02 หัวใจหยุดเต้นแล้วมีการปั๊มมันก็จะแบ่ง
00:41:02 → 00:41:05 ออกเป็น 3 กลุ่มกลุ่มแรกเลยเหมือนที่หมอ
00:41:05 → 00:41:07 เล่า Episode แล้วก็คือกล้ามเนื้อหัวใจ
00:41:07 → 00:41:11 ขาดเลือดไปส่งห้องฉุกเฉินปึ๊บภาพตัดจอดับ
00:41:11 → 00:41:13 หายไป 2 วันก็ไม่ได้หายไปไหนไม่รู้ว่าหาย
00:41:14 → 00:41:17 ไปไหนกลุ่มที่ 2 จะเห็นแสงสีขาวอันนี้
00:41:17 → 00:41:21 แล้วแต่บุคคลแสงนั้นจะมีองค์ประกอบดังง
00:41:21 → 00:41:25 นี้สว่างสุขแล้วก็สงบจริงๆรวมสบายไปด้วย
00:41:25 → 00:41:27 แสงนั้นเนี่ยมันจะทำให้เรารู้สึกว่าว่าอบ
00:41:27 → 00:41:30 อุ่นอยากที่จะอยู่ในแสงนั้นอยากที่จะเดิน
00:41:30 → 00:41:33 ตามแสงนั้นไปอันนี้เขาก็เล่าประสบการณ์
00:41:33 → 00:41:36 นี้มาเลยนะว่าคนที่จิตใจดีทำดีเนี่ยไป
00:41:36 → 00:41:39 อย่างเงี้ยแสงสีขาวมาและกับกลุ่มที่ 3
00:41:39 → 00:41:43 กลุ่มที่ก่อนที่จะเสียชีวิตมักจะมีภาพแช
00:41:43 → 00:41:46 Back ย้อนกลับไปอย่างรวดเร็วให้เห็นภาพ
00:41:47 → 00:41:50 ตั้งแต่ปัจจุบันจนถึงอดีตตอนเด็กปึ๊บขึ้น
00:41:50 → 00:41:54 มาโดยที่ในสภาวะของเราที่เราเห็นเนี่ยมัน
00:41:54 → 00:41:57 จะเป็นเวลาไม่นานแต่ในสมองเราเนี่ยมัน
00:41:57 → 00:42:01 ย้อนเวลากลับเข้าไปเป็นเวลา็นมย 203 ปี
00:42:01 → 00:42:04 สมมุติย้อนกลับไปจนถึงเด็กถามว่ามันเพราะ
00:42:04 → 00:42:07 อะไรทางการแพทย์เขาก็อธิบายว่ามันก็คือ
00:42:07 → 00:42:09 เรื่องของเลือดที่มันไปเลี้ยงสมองนั่น
00:42:09 → 00:42:13 แหละก็คือพอหัวใจหยุดเต้นจากสาเหตุใดๆก็
00:42:13 → 00:42:16 แล้วแต่อาจจะหัวใจวายหรืออะไรเงี้ยพอ
00:42:16 → 00:42:19 เลือดมันไม่ไปเลี้ยงสมองส่วนนึงมันก็เกิด
00:42:19 → 00:42:23 การทำงานมากกว่าอีกส่วนหนึงเอ่อเหมือนกับ
00:42:23 → 00:42:26 ง่ายๆว่าส่วนเนี้ยอ่ะสมองในสมองเราทั้ง
00:42:26 → 00:42:29 หมดเนี่ยมันจะมีส่วนนึงที่อึดต่อการขาด
00:42:29 → 00:42:32 เลือดอันนี้มันชื่อว่าอะไรนะอ่า temp
00:42:32 → 00:42:36 paral อสมองส่วนด้านข้างหูก็แล้วกันอ่า
00:42:36 → 00:42:39 สมองส่วนหูเนี่ยจะเป็นส่วนที่ทนการขาด
00:42:39 → 00:42:42 เลือดได้นานกว่าส่วนอื่นเพราะฉะนั้นในบาง
00:42:42 → 00:42:45 ทีเราก็จะเห็นว่าคนไข้ที่หัวใจหยุดเต้นไป
00:42:45 → 00:42:48 แล้วแต่เขายังได้ยินเสียงที่เกิดขึ้นอยู่
00:42:48 → 00:42:52 ในห้องฉุกเฉินได้ยินเสียงหมอทำนู่นทำนี่
00:42:52 → 00:42:54 ได้ยินเสียงหมอตะโกนเรียกยาอย่างงู้น
00:42:54 → 00:42:55 อย่างงี้เพราะสมองส่วนนี้เขายังทำงานอยู่
00:42:55 → 00:42:59 อ่าคราวนี้พอสมองขาดเลือดในส่วนอื่นที่
00:42:59 → 00:43:02 เป็นสมองเก็บความทรงจำอย่างที่บอกว่าพอ
00:43:02 → 00:43:05 มันมีการแย่งเลือดมาเลี้ยงเนี่ยสมองส่วน
00:43:05 → 00:43:08 ที่เก็บความทรงจำก็ดูดเลือดเข้ามาเลี้ยง
00:43:08 → 00:43:10 การทำงานของมันมากขึ้นนะเพราะมันก็ไม่
00:43:10 → 00:43:14 อยากตายใช่มยมันก็เลยทำให้เราย้อนภาพที่
00:43:14 → 00:43:17 เห็นขึ้นมาส่วนอีกสมองส่วนนึงเป็นสมอง
00:43:17 → 00:43:20 ส่วนที่ดวงตาที่ควบคุมอยู่ occipital บ
00:43:20 → 00:43:23 หรือเส้นประสาทตาเนี่ยพอมันขาดเลือดเขาก็
00:43:23 → 00:43:26 บอกว่าสาเหตุพอมันขาดเลือดเนี่ยมันก็เลย
00:43:26 → 00:43:29 ทำให้คนคนเนี่ยเห็นภาพเป็นสีขาวแว้บขึ้น
00:43:29 → 00:43:32 มานี่คือคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์การทำงาน
00:43:32 → 00:43:35 ของสมองนั่นแหละที่มันเริ่มมีการขัดเลือด
00:43:35 → 00:43:38 เลยทำให้ประสบการณ์ต่างๆของแต่ละคนเนี่ย
00:43:38 → 00:43:41 ไม่เหมือนกันบางคนบอกว่าภาพตัดก็จริงมอง
00:43:41 → 00:43:43 ไม่เห็นอะไรเลยแต่หูเขายังได้ยินเหมือน
00:43:43 → 00:43:45 กันก็มีอันนี้คือเ้าฟื้นแล้วมาเล่าให้ฟัง
00:43:45 → 00:43:47 ใช่ประสบการณ์พวกเนี้ยอย่างที่บอกว่าหมอ
00:43:47 → 00:43:50 เคยทำคลิปพวกนี้แหละหมอก็จะไปหาของทั่ว
00:43:50 → 00:43:53 โลกคนเเป็นเป็นพันเป็นหมื่นคนนะที่มี
00:43:53 → 00:43:55 ประสบการณ์ Near desperation เนี่ยก็คือ
00:43:55 → 00:43:58 ว่าประสบการณ์ใกล้ตายแต่กลับมาเล่าให้ฟัง
00:43:58 → 00:44:02 ได้ว่าเไปประสบเจออะไรมาแต่ทั้งนี้ทั้ง
00:44:02 → 00:44:06 นั้นในแต่ละคนที่ประสบก็ขึ้นอยู่กับพื้น
00:44:06 → 00:44:09 ฐานและวัฒนธรรมของแต่ละคนสมมุติว่าเราไป
00:44:09 → 00:44:13 ดูเราไปอ่านเหตุการณ์ในฝรั่งไปเจอเวลาพอ
00:44:13 → 00:44:16 เว้ยประสบการณ์ใกล้ตายลืมตาขึ้นมาเจอแสง
00:44:16 → 00:44:19 สีขาวอบอุ่นเหลือเกินเจอญาติพี่น้องที่
00:44:19 → 00:44:23 เสียชีวิตไปแล้วมารอรับพาไปสู่ดินแดนอัน
00:44:23 → 00:44:27 เป็นนิรันดร์ของพระเจ้านี้คือคือยุโรป
00:44:27 → 00:44:31 ยุโรปใช่มั้ศาสนาคริสต์นะถ้าเป็นคนไทย
00:44:31 → 00:44:36 ตื่นขึ้นมาปรากฏว่าเอ๊ะมีคนใส่จุงกระเบน
00:44:36 → 00:44:42 ออตัวใหญ่อพาเดินไปไปถึงก็ไปยืนรอคิวมีคน
00:44:42 → 00:44:47 หนูตัวใหญ่มากเลยพิจารณาคดีพาไปดูนรกกับ
00:44:47 → 00:44:50 สวรรค์นู่นนี่นั่นก็คือความเชื่อของคนไทย
00:44:50 → 00:44:53 ของของแต่ละพื้นที่ของของแต่ละศาสนา
00:44:53 → 00:44:56 วัฒนธรรมการที่เขากลับมาเล่าเรื่องจริง
00:44:56 → 00:44:59 หรือเปล่าก็ไม่รู้อันนี้สงสัยเหมือนกัน
00:44:59 → 00:45:03 แต่ว่าทุกคนจะเล่าเรื่องสตอรี่คล้ายๆกัน
00:45:03 → 00:45:04 ค้ากันอันนี้หนูก็สงสัยเหมือนกันอย่าง
00:45:04 → 00:45:06 เมื่อกี้หมอพูดว่าของฝรั่งอ่ะเขาคก็ซื้อ
00:45:06 → 00:45:08 แสงสีขาวเขาก็แบบไปหาพระเจ้าอะไรเงี้ย
00:45:08 → 00:45:10 แล้วทำไมพอเป็นของไครถึงไปนรกตลอดเลยถึง
00:45:10 → 00:45:13 แบบว่าสนุ่งจงกระเบนตลอดเลยจริงๆของฝรั่ง
00:45:13 → 00:45:17 ก็มีไปนรกนะนรกของฝรั่งก็ก็เป็นลักษณะมืด
00:45:17 → 00:45:21 มีผีมีอะไรแบบของเขาอ่ะนะแบบของเขาส่วน
00:45:21 → 00:45:25 ของไทยเนี่ยในมุมมองที่คนมาเล่าเรื่องนรก
00:45:25 → 00:45:28 เพราะส่วนนึงอยากจะแฝงว่าว่าให้คนทำความ
00:45:28 → 00:45:32 ดีทำบุญเก็บสะสมบุญไปนะจะได้ไปสวรรค์หลีก
00:45:32 → 00:45:35 เลี่ยงการทำชั่วเรื่องเล่าจึงเป็นเรื่อง
00:45:35 → 00:45:38 ที่เอามาเตือนสติเหมือนเป็นกุศโลบายหรรือ
00:45:38 → 00:45:41 เปล่าเพื่ออ่าว่ามีนรกจริงๆนะอืเธอไม่
00:45:41 → 00:45:44 อยากไปนรกใช่มั้ยเธอก็ต้องทำความดีอะไร
00:45:45 → 00:45:47 เงี้ยอันนี้อยากให้คุณหมอเล่าเคสแปลกๆ
00:45:47 → 00:45:49 บ้างที่อธิบายไม่ได้ในทางการแพทย์ที่คุณ
00:45:49 → 00:45:51 หมออาจจะเคยเจอเองกับตัวก็ได้หรือว่าอาจ
00:45:51 → 00:45:54 จะเคยอ่านตามข่าวหรือที่ไปเสิร์ชมาก็ได้
00:45:54 → 00:45:57 เอ๊เคยเจอกับตัวเองในในในชีชวิตเนี่ยมี
00:45:57 → 00:46:01 เคสนึงตอนสมัยเป็นศัลแพทย์ฝึกหัดตอนนั้น
00:46:01 → 00:46:05 ก็ไปเข้าเคสผ่าตัดหัวใจเคสหลอดเลือดหัวใจ
00:46:05 → 00:46:08 ตีบหมอเขาก็จะใช้วิธีการมันจะมีวิธีการ
00:46:08 → 00:46:10 ผ่าตัดหลายวิธีแล้วกันเคสเนี้ยเป็นเคสที่
00:46:10 → 00:46:12 หมอเข้าก็คือเขาใช้ Heart R Machine
00:46:12 → 00:46:15 Heart R Machine ก็คือทำให้หัวใจเนี่ย
00:46:15 → 00:46:17 หยุดเต้นกันโดยที่เลือดส่วนอื่นๆเนี่ยทำ
00:46:17 → 00:46:20 งานอยู่โดยใช้ตัว Heart R Machine
00:46:20 → 00:46:23 เนี่ยเป็นตัวปั๊มเลือดแทนดะนั้นเราจะได้ส
00:46:23 → 00:46:26 ผ่าตัดได้เป็นระยะเวลานานๆเลือดยังไป
00:46:26 → 00:46:29 เลี้ยงไปแขนขาไปสมองอะไรได้อยู่โดยเคส
00:46:29 → 00:46:31 เนี้ยหัวใจก็หยุดเต้นไปแล้วแล้วก็ทำการ
00:46:31 → 00:46:33 เปลี่ยนถ่ายเส้นเลือดเอาเส้นเลือดใหม่มา
00:46:33 → 00:46:36 ต่อขั้วกับเส้นเลือดเก่าที่ไม่ได้ตันอะไร
00:46:36 → 00:46:38 อย่างเงี้ยนะอ่าอันนี้ก็คือวิธีการผ่าตัด
00:46:38 → 00:46:43 ในเคสเนี้ยเป็นเคสที่ยากจะอธิบายของจริง
00:46:43 → 00:46:46 ไหนลองช่วยอธิบายนิดนึงในระหว่างผ่าตัด
00:46:46 → 00:46:50 โดยปกติสัญแพทย์ส่วนใหญ่พอคนไข้หลับเขาก็
00:46:50 → 00:46:52 จะเปิดเพลงเพราะอย่างที่บอกว่าเวลาผ่าตั
00:46:52 → 00:46:54 มันเครียดเปิดเพลงเหรอคะอ่าเปิดเพลงก็
00:46:54 → 00:46:57 แล้วแต่ว่าหัวหน้าศัลแพทย์วันนั้นเนี่ย
00:46:57 → 00:47:01 ชอบแนวไหนบางคนชอบหมอรำก็เปิดหมอรำไปมัน
00:47:01 → 00:47:04 ไม่ทำให้หลุดโฟกัสหรอคะมันไม่ทำให้หลุด
00:47:04 → 00:47:06 โฟกัสหรอคะมันไม่ได้หยุดโฟกัสหรอกเพราะ
00:47:06 → 00:47:09 ว่าเวลาผ่าตัดเขายังโฟกัสแหละคือบางคนน่ะ
00:47:09 → 00:47:13 ชอบมองว่าเอ๊ะหมอเปิดอะไรไปแล้วออกลำแต้
00:47:13 → 00:47:16 เลยหรือเปล่าวะอะไรอย่างเงี้ยนะไม่ใช่เา
00:47:16 → 00:47:19 เปิดไปให้มันผ่านหูแต่เขาอ่ะโฟกัสอยู่บาง
00:47:19 → 00:47:22 คนพื้นฐานไปเรียนต่อเมืองนอกเมืองนามาก็
00:47:22 → 00:47:27 จะเปิดคลาสสิคบีโทเฟนโชแปงอะไร
00:47:27 → 00:47:29 ก็แล้วแต่นะ Number 5 number 6 อะไร
00:47:29 → 00:47:32 ของเคนะก็เปิดไปวันนั้นเก็เปิดเพลงธรรมดา
00:47:32 → 00:47:34 แต่ว่าวันนั้นเนี่ยถ้าจำได้ผิดอาจารย์เจะ
00:47:34 → 00:47:38 ชอบเพลงไทยแหละเขาก็จะเปิดพวก 106.5 อะไร
00:47:38 → 00:47:40 อย่างเงี้ยนะในสมัยนั้นนะเอก็เปิดเพลงไทย
00:47:40 → 00:47:44 ไปแล้วก็ช่วยผ่าตัด
00:47:44 → 00:47:48 สัแดงน้อยเนี่ย 3 ท่านส่วนเราเนี่ยเป็น
00:47:48 → 00:47:51 ัแหเราก็จะเป็นเค้าเรียกว่ามือ 4 ก็แล้ว
00:47:51 → 00:47:54 กันมือสก็คอยช่วยอยู่ห่างๆช่วยมันเป็นลูก
00:47:54 → 00:47:57 มือช่วยเออช่วยๆแหกนู่นแหกนี่ช่วยักชนู่น
00:47:57 → 00:47:59 นี่นั่นอะไรอย่างเงี้ยนะอ่ะตามเรื่อง
00:47:59 → 00:48:04 ปรากฏว่าเราก็ช่วยผ่าตัดไปแล้วก็เอ่อง่วง
00:48:04 → 00:48:07 บ่ายแล้วน่ะเวลาผ่าตัดของศัลแพทย์นะ 99:00
00:48:07 → 00:48:10 นเนี่ยถึง 16:00 นเนี่ยยังยืนอยู่แล้วนะ
00:48:10 → 00:48:15 โหถึง 1600 นเออไม่ได้ไปเข้าห้องน้ำนะยืน
00:48:15 → 00:48:19 อย่างเงี้ยบางทีก็บอกว่างั้นเราก็มันก็
00:48:19 → 00:48:23 ง่วงไงยืนแล้วก็ไม่มีอะไรทำก็ให้เราดึงแก
00:48:23 → 00:48:26 ทรวงอกไว้อย่างเงี้ยแล้วก็ดึงแล้วก็หลับ
00:48:26 → 00:48:29 หลับคะจริงนี่พูดเรื่องจรพอเราหลับ
00:48:29 → 00:48:34 อาจารย์เก็จะใช้ศอกกระทุ้งอือแล้วก็จะ
00:48:34 → 00:48:37 ตื่นถ้าเราหลับอยู่นิ่งๆก็โอเคไม่เกิด
00:48:37 → 00:48:40 อะไรขึ้นค่ะแต่พอเราหลับแล้วบางทีอ่ะงก
00:48:40 → 00:48:43 เราเริ่มเอียงเราจะไปชนเ้าเก็จะกระตุก
00:48:43 → 00:48:46 กระตุกหรือบางทีแม้ในตอนผ่าตัดอาจารย์เขา
00:48:46 → 00:48:49 ก็จะชวนคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้เรื่องนั้น
00:48:49 → 00:48:53 เพื่อไม่ให้คนที่ร่วมผ่าตัดเนี่ยหลับแต่
00:48:53 → 00:48:55 ไอ้แน่นอนว่าบางทีมันเลือดพุ่งออกมาทุกคน
00:48:55 → 00:48:57 มันตื่นเต้นอยู่
00:48:57 → 00:48:59 อันนั้นอันนั้นอีกเรื่องนึงนะถ้าทุกอย่าง
00:48:59 → 00:49:03 มันสมูทดีอ่ะแล้วคุณก็มีเพลงเบาๆคลาสสิค
00:49:03 → 00:49:06 ฟังนะโอกาสคุณชงอ่ะคราวนี้การผ่าตัดในเคส
00:49:06 → 00:49:09 เนี้ยก็ผ่านไปได้ด้วยดีตอนเช้าเราก็มี
00:49:09 → 00:49:12 หน้าที่มาดูคนไข้หน้าที่เราก็คือว่าดูคน
00:49:12 → 00:49:15 ไข้หายใจได้ดีหรือยังถ้าหายใจได้ดีแล้ว
00:49:15 → 00:49:18 เนี่ยก็เอาท่อช่วยหายใจเนี่ยออกตอนเช้า
00:49:18 → 00:49:21 เราก็มาดูโอเคอาจารย์ก็มาดูกันใกล้แล้ว
00:49:21 → 00:49:23 บอกอ่ะเคสนี้อทิ้วอฟทิ้วก็คือเอาท่อช่วย
00:49:23 → 00:49:27 หายใจออกหมอก็มาโบวบัลลูนให้เล็กลงเจะมี
00:49:27 → 00:49:30 บัลลูนเล็กๆอยู่ในคอนะพอบัลลูนเล็กลงเรา
00:49:30 → 00:49:33 ก็ดึงพเราก็บอกคนไข้รู้ตัวนะคนไขรู้ตัวก็
00:49:33 → 00:49:36 แต่พูดเสียงออกมาไม่ได้เราก็อ่ะค่อยๆดึง
00:49:36 → 00:49:38 นะนิดนึงนะนิดนึงนะนิดนึงนะมันจะพอถึงแถว
00:49:38 → 00:49:40 นี้มันจะเหมือนอย่าอยากจะอ้วกนึกออกป่ะพอ
00:49:40 → 00:49:43 ดึงออกมาอ่ะคนไข้ก็ถุยน้ำลายเราก็อ้าว
00:49:43 → 00:49:46 เช็ดน้ำลายนะครับมาเช็ดน้ำลายอะไรเรียบ
00:49:46 → 00:49:49 ร้อยเราก็เอาท่อช่วยหายใจใส่ถังขยะเราก็
00:49:49 → 00:49:54 มาทำแผลคนไข้ต่อคนไข้ก็พูดนะเมื่อวานน่ะ
00:49:54 → 00:49:57 หมอยืนหลับเราบอกฮึรู้ได้ไงอ่ะว่าหมอยืน
00:49:57 → 00:50:00 หลับเราก็แซวคนไข้บอกจะรู้ได้ไงเนี่ยคน
00:50:00 → 00:50:02 ไข้อ่ะหลับอยู่ไม่ใช่หรออคือเขแบบสลบแบบ
00:50:02 → 00:50:04 หลับตาเออเพราะว่าเพราะว่าหัวใจก็หยุด
00:50:04 → 00:50:07 เต้นด้วยใส่ท่อช่วยหายใจด้วยก็ต้องสลบสิ
00:50:07 → 00:50:10 จะมันรู้ได้ไงหมอนอนหลับเบอกว่าผมมาเห็น
00:50:10 → 00:50:13 หมอเวลาผ่าตัดคุณไม่สามารถเห็นศัลแพทย์
00:50:13 → 00:50:15 ได้หรือเป่าเพราะว่ามันจะมีที่กั้นอย่าง
00:50:15 → 00:50:19 เงี้ยอ๋อหัวคนไข้เนี่ยจะจะถูกที่กั้นผ้า
00:50:19 → 00:50:22 เนี่ยกั้นอยู่อีกฝั่งนึงแล้วในช่องอกเขา
00:50:22 → 00:50:24 ก็จะอีกฝั่งนึงใช่ป่ะอเพราะงั้นคนไข้
00:50:24 → 00:50:27 Impossible ที่จะเห็นได้ที่จะมาเห็นว่า
00:50:28 → 00:50:31 ใครหลับหรือใครทำอะไรก็ไม่ได้สนใจหรอกก็
00:50:31 → 00:50:34 คงแซวฉันไปเรื่อยแล้วมั้งอะไรเงี้ยนะบฏ
00:50:34 → 00:50:38 ว่าหมอผมยังได้ยินด้วยนะว่าเนี่ยเปิดเพลง
00:50:38 → 00:50:42 นี้อยู่เราก็แบบเฮ้ยคนไข้ไม่หลับว่ะแง
00:50:42 → 00:50:46 เรื่องใหญ่เรื่องใหญ่แล้วเว้ยไปตามสตาฟก็
00:50:46 → 00:50:49 คืออาจารย์ที่เป็นหมอผ่าตัดบอกอาจารย์จาร
00:50:49 → 00:50:52 คนไข้อ่ะบอกว่าผมอ่ะยืนหลับบอกว่าผมยืน
00:50:52 → 00:50:55 หลับยังไม่พอนะเยังรู้ด้วยว่าอาจารย์คุย
00:50:55 → 00:50:58 อะไรกันน่ะแถมยังรู้ด้วยว่าเราเปิดเพลง
00:50:58 → 00:51:01 อะไรในห้องผ่าตัดนี่คือเรื่องจริงคราวนี้
00:51:01 → 00:51:06 ยกโขยงไปคุยกับคนไข้ว่าไหนลองเล่าให้ฟัง
00:51:06 → 00:51:08 หน่อยซิเอ่อเรื่องราวมันเป็นยังไงอะไร
00:51:08 → 00:51:11 อย่างเงี้ยคนไข้บอกว่าผมอ่ะได้ยินทุก
00:51:11 → 00:51:13 อย่างนะหมอนี่ยังพูดเรื่องนี้เรื่องนี้
00:51:13 → 00:51:15 เลยเนี่ยเล่าเรื่องลูกไปนู่นไปนี่ใช่มย
00:51:15 → 00:51:18 เนี่ยแล้วก็เปิดเพลงนี้ๆๆเขาจับราย
00:51:18 → 00:51:21 ละเอียดได้หมดแล้วบอกว่าแล้วเห็นไอ้
00:51:21 → 00:51:24 อดุลชัยมันยืนหลับได้ไงอ่ะผมมันลอยตัว
00:51:25 → 00:51:28 อยู่ในห้องผ่าตัดผมไม่ได้นอนนะหมอผมลอย
00:51:28 → 00:51:32 อยู่บนห้องผ่าตัดเหนือส่วนในสิ่งที่ผมมอง
00:51:32 → 00:51:37 ลงมาผมจึงเห็นว่าหมอเนี่ยหลับอยู่หมอคุย
00:51:37 → 00:51:40 กันแล้วหมอผมก็ยังเห็นหัวใจผมด้วยอื
00:51:40 → 00:51:42 เหมือนเขาจะสื่อว่าเขาอ่ะเป็นวิญญาณอยไป
00:51:42 → 00:51:46 ข้างบนแล้วเเห็นทั้งหมดเหตุการณ์ทำนองนี้
00:51:46 → 00:51:49 ค่ะไม่ได้เกิดขึ้นกับหมอคนเดียวในต่าง
00:51:49 → 00:51:52 ประเทศเนี่ยคุณแทบจะไปเปิดเจอเลยว่ามันมี
00:51:52 → 00:51:55 เหตุการณ์คล้ายๆอย่างเงี้ยคือคนไข้ถูกดม
00:51:55 → 00:51:57 ยางสลบแล้วหัวใจหยุดได้นแล้วแต่เขาบอกว่า
00:51:57 → 00:52:00 เยังอยู่ในห้องนั่นแหละเลอยอยู่บนห้อง
00:52:00 → 00:52:03 แล้วเเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดที่มันเกิดขึ้น
00:52:03 → 00:52:05 อันนี้อธิบายยังไงอ่ะใช่อันนี้ก็อธิบาย
00:52:05 → 00:52:09 ไม่ได้ไม่มีอะไรพูดด้วยหมอดมยาเถามว่า
00:52:09 → 00:52:11 แล้วคุณผ่าตอนผ่าตัดเจ็บมั้ยบอกไม่ไม่รู้
00:52:11 → 00:52:13 สึกไม่เจ็บอะไรทั้งสิ้นแต่อันนี้คือกรณี
00:52:13 → 00:52:16 ที่เขยังไม่เสียชีวิตถูกมั้ยคะในทางการ
00:52:16 → 00:52:18 แพทย์สมมุตินะเพราะว่าหัวใจหยุดเต้นแล้ว
00:52:18 → 00:52:23 ไงๆเก็คือในภาวะนี่คือหัวใจไม่เต้นละสมอง
00:52:23 → 00:52:25 ยังทำงานอยู่แหละเพราะว่ามีเลือดไปเลี้ยง
00:52:25 → 00:52:28 ขึ้นเข้าหาหลังแม่ฉีดแต่เขาเห็นเหตุการณ์
00:52:28 → 00:52:32 จากข้างบนได้ไงอือธิบายไม่ได้อธิบายไม่
00:52:32 → 00:52:36 ได้จนกว่าจะไปเป็นคนนั้นซะเองคือต้องบอก
00:52:36 → 00:52:38 ว่ามันก็ไม่ได้เกิดกับทุกคนไงเดี๋ยวไม่
00:52:38 → 00:52:41 ใช่ว่าทุกคนแบบเอ้ยดมยาสลบแล้วจะนู่นนี่
00:52:41 → 00:52:44 นั่นเพราะเพราะโดยส่วนตัวตัวเองตอนที่ถูก
00:52:44 → 00:52:49 ผ่าตัดแล้วก็ดมยาสลบเนี่ยก็ภาพตัดหายเออ
00:52:49 → 00:52:52 มันตื่นมาอีกทีนึงก็คือห้องรองฟื้นไม่ได้
00:52:52 → 00:52:55 ไปเห็นเหตุการณ์ในห้องผ่าตัดหรือไม่ได้
00:52:55 → 00:52:58 อะไรทั้งทั้งสิ้นแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
00:52:58 → 00:53:01 แล้วก็ไม่ได้บอกว่าหมอที่ดมยาฉลบ่ะดมไม่
00:53:01 → 00:53:05 ดีนะเพราะว่าเขาก็ดมตามปกติอ่ะเออแต่ทำไม
00:53:05 → 00:53:07 เคสนี้ถึงได้เป็นเคสแบบนี้แล้วมันก็ไม่
00:53:08 → 00:53:11 ได้เกิดทุกเคสในหมื่นเคส 1000 เคสเอออาจ
00:53:11 → 00:53:14 จะมีสักเคสนึงที่มีประสบการณ์ลักษณะดัง
00:53:14 → 00:53:17 กล่าวอันนี้ก็คืออยากรู้ส่วนตัวะจากในๆ
00:53:17 → 00:53:20 เราก็พูดถึงเรื่องความตายความพลัดพากอะไร
00:53:20 → 00:53:21 อย่างงี้นะใช่มยคะที่อยากรู้ว่าก่อนที่
00:53:22 → 00:53:24 เขาจะเสียชีวิตอย่างที่ประสบการณ์ที่คุณ
00:53:24 → 00:53:26 หมอเคยเล่ามาว่าคนที่เขาแบบใกล้ตหรือ
00:53:26 → 00:53:28 เฉียดตายแล้วเาก็ฟื้นกลับมาได้อะไรเงี้ย
00:53:28 → 00:53:31 สิ่งที่เขาเสียดายที่สุดอ่ะค่ะตอนที่เา
00:53:31 → 00:53:33 รู้สึกว่าเอ้ยเขาจะต้องจากไปแล้วนะมันมี
00:53:33 → 00:53:35 อะไรที่เขารู้สึกว่าเออเขาเสียดายที่ไม่
00:53:35 → 00:53:39 ได้ทำบ้างอันนี้ตอบยากนะหมอว่าประสบการณ์
00:53:39 → 00:53:41 การเสียชีวิตเป็นเรื่องส่วนตัวและเรื่อง
00:53:41 → 00:53:44 ส่วนบุคคลอย่างสมมุติว่าเคงไม่มาบอกหมอ
00:53:44 → 00:53:47 หรอกว่าหมอแหมผมอยากจะไปเที่ยวต่างประเทศ
00:53:47 → 00:53:50 เี่ไม่ได้ไปเลยอะไรเคงไม่บอกแต่เขาอาจจะ
00:53:50 → 00:53:53 บอกญาติแต่ให้ดูไว้ก่อนว่าคนเราอ่ะเวลา
00:53:53 → 00:53:56 เสียชีวิตเนี่ยเราอยากเสียแบบไหนดีกว่า
00:53:56 → 00:53:59 เราอยากเสียแบบมีท่อช่วยหายใจ
00:53:59 → 00:54:02 เฟอร์นิเจอร์ทางการแพทย์ระโยงระยางตัวเรา
00:54:02 → 00:54:04 ไปหมดไอ้แบบเนี้ยเราไม่สามารถพูดได้ด้วย
00:54:04 → 00:54:08 ซ้ำไปว่าหมอผมอยากไปเที่ยวต่างประเทศหรือ
00:54:08 → 00:54:10 อยากจะทำอะไรครั้งสุดท้ายกับอีกแบบนึงก็
00:54:11 → 00:54:14 คือรู้ตัวและว่าจะเสียชีวิตไอ้อย่างเงี้ย
00:54:14 → 00:54:18 ยังพอได้สติว่าจะอยากจะทำอะไรอยากจะสั่ง
00:54:18 → 00:54:21 เสียอะไรกับญาติเพราะฉะนั้นต้องดูก่อนว่า
00:54:21 → 00:54:25 ในบริบทของการเสียชีวิตเนี่ยคุณอยากจะ
00:54:25 → 00:54:26 เสียแบบไหน
00:54:27 → 00:54:29 คุณอยากจะเสียแบบที่เฟอร์นิเจอร์เต็มตัว
00:54:30 → 00:54:33 หรืออยากจะเสียแบบนอนสงบนิ่งและเสียชีวิต
00:54:33 → 00:54:36 ไปหลับสบายสบายไอ้ตรงเนี้ยมันจะมีความ
00:54:36 → 00:54:40 สำคัญถึงกรณีคนพูดเรื่องตายดีนะตายดีใน
00:54:40 → 00:54:44 ที่นี้ก็คือว่าในบางคนที่ป่วยไม่สบายหมอ
00:54:44 → 00:54:48 บอกละระยะที่ 4 มันไม่หายแล้วล่ะเราจะมี
00:54:48 → 00:54:52 ทางส่งคนพวกเนี้ยตายดีได้อย่างไรก็จะแบ่ง
00:54:52 → 00:54:55 หมอเป็น 2 กลุ่มและแบ่งความคิดของคนเป็น 2
00:54:55 → 00:55:00 กลุ่มกลุ่มนึงสนับสนุนการตายดีโดยทางการ
00:55:00 → 00:55:04 แพทย์มันคืออะไรคะง่ายๆก็คือสมมุติเไม่
00:55:04 → 00:55:07 สบายเราเห็นแล้วว่าจะเสียชีวิตก็ฉีดยาให้
00:55:07 → 00:55:12 เขาหลับซะนึกออกมเาก็จะได้ไปดีนะคุยกับคน
00:55:12 → 00:55:15 ไข้ล่ะเสร็จแล้วแต่กกลุ่มนึงก็บอกว่าไม่
00:55:16 → 00:55:18 ใช่นะอย่างเงี้ไม่ได้เรียกว่าตายดีการที่
00:55:19 → 00:55:23 คุณฉีดยาเข้าไปการที่มีการแพทย์มาแทรกแซง
00:55:23 → 00:55:25 อย่างเงี้ยมันไม่ได้เรียกว่าตายดีแล้วไม่
00:55:25 → 00:55:29 ได้ตายตามธรรมชาติหมอก็จะแบ่งอย่างที่บอก
00:55:29 → 00:55:31 เป็น 2 กลุ่มแล้วให้ไปคุยกับคนทั้งกลด้วย
00:55:31 → 00:55:34 อ่ากลุ่มนึงเห็นด้วยบอกโอ้ยก็ฉีดยางให้เ
00:55:34 → 00:55:36 ไปอีกกลุ่มหนึ่งบอกไม่เห็นด้วยคุณมีการ
00:55:36 → 00:55:39 พลาดแทรกแซงตอนนี้ก็ยังเป็นปัญหากันกลุ่ม
00:55:39 → 00:55:41 ที่เห็นด้วยก็จะมีคนไข้กลุ่มหนึที่เห็น
00:55:41 → 00:55:45 ด้วยกับหมอเหมือนกันค่ะจะมีคนไข้ว่าเาไม่
00:55:45 → 00:55:49 อยากอยู่แล้วอ่ะอายุเยอะละอยากไปละอหมอ
00:55:49 → 00:55:52 ช่วยทำให้ตายดีหน่อยได้มยกับหมออีกกลุ่ม
00:55:52 → 00:55:56 นึงบอกป้ายายอย่างเงี้ยหมอคนที่ทำเนี่ย
00:55:56 → 00:56:00 ควรจะติดคุกนะเพราะว่าถือว่าเป็นการฆ่า
00:56:01 → 00:56:02 แล้วแบบนี้เราทำอย่างงี้ไม่ได้หรอคะก็ให้
00:56:02 → 00:56:04 หมอ 2 กลุ่มที่เห็นต่างกันไปคุยกับคนไข้
00:56:04 → 00:56:06 ทั้ง 2 กลุ่มนี้แล้วให้คนไข้เลือกเองถาม
00:56:06 → 00:56:10 ว่าเลือกเองได้มต้องบอกว่าลักษณะเนี้ยใน
00:56:10 → 00:56:14 ต่างประเทศบางประเทศบอกว่าทำได้เช่น
00:56:14 → 00:56:17 สวิตเซอร์แลนด์บางประเทศซึ่งประเทศส่วน
00:56:17 → 00:56:20 ใหญ่บอกว่ามันไม่ได้ไม่ได้เพราะมันขัดกับ
00:56:20 → 00:56:22 หลักศาสนาหรือเปล่าคะหรือว่าเพราะอะไร
00:56:23 → 00:56:26 หลักศาสนาหรือเปล่าอันนี้ตอบยากแต่ถ้า
00:56:26 → 00:56:29 เป็นศาสนาก็คือหมอคนที่ทำเนี่ยผิดศีล 5
00:56:29 → 00:56:34 ข้อปาณาติบาตก็คือการฆ่าสัตว์ถึงแม้คุณจะ
00:56:34 → 00:56:38 ทำก็ผมเห็นเค้าอยากจะตายอ่ะผมก็ฉีดย้าให้
00:56:38 → 00:56:41 เค้าอ่ะผมผิดด้วยหรอปาณาติปาตาไม่มีข้อยก
00:56:41 → 00:56:45 เว้นบาปก็คือบาปกรรมอ่ะมันจะเป็นตัวกำหนด
00:56:45 → 00:56:49 การกระทำของเราสมมุติว่าเราคิดว่าสิ่งที่
00:56:49 → 00:56:53 เราทำเราทำเพราะหน้าที่ใช่มั้ยถามนิดนึง
00:56:53 → 00:56:56 ในหน้าที่ดังกล่าวไม่ใช่ว่าไม่ทั้งหน้า
00:56:56 → 00:56:58 ที่แพทย์ก็แล้วกันเดี๋ยวไปพูดอาทีปอื่นนะ
00:56:59 → 00:57:02 ในเคสที่เราดูแลทั้งหมดเนี่ยเราดูแลด้วย
00:57:02 → 00:57:07 ใจอันเป็นกุศลทุกเคสหรือเปล่าหรือมีอกุศล
00:57:07 → 00:57:10 เข้ามาแทรกอย่างกรณีอย่างสมมุติว่าเราฉีด
00:57:10 → 00:57:13 ยาให้คนไข้เสียชีวิตเชื่อเหลือเกินสมมุติ
00:57:13 → 00:57:16 ว่ามี 100 เคสไม่ได้มีทั้ง 100 เคสหรอก
00:57:16 → 00:57:20 ที่คุณทำด้วยกุศลจิตมันจะต้องมีหลุด
00:57:20 → 00:57:25 อกุศลจิตฉีดยาให้คนไข้เสียชีวิตแน่นอน
00:57:25 → 00:57:29 เพราั้นถ้าถามว่าสำหรับหมอถามว่าสนับสนุน
00:57:29 → 00:57:34 การตายดีมตอบว่าสนับสนุนนะอนะพูดไว้ในที่
00:57:34 → 00:57:39 นี้แต่ให้ตายดีแบบธรรมชาติการแพทย์ไม่ควร
00:57:39 → 00:57:42 แทรกแซงเคหายใจไม่ได้อย่าไปใส่ทอช่วยเหใจ
00:57:42 → 00:57:46 ให้เขาถ้าเขาเขียนไวแล้วว่า nr nr ก็คือ
00:57:46 → 00:57:48 non resuscitate อย่างที่เราบอกว่าให้
00:57:48 → 00:57:50 คนไข้ตัดสินใจได้เองมยในเมื่อเป็นชีวิต
00:57:50 → 00:57:54 เค้าเราจะมีใบให้เขียนตอนต้นว่าให้ญาติมา
00:57:55 → 00:57:57 รับรู้ด้วยว่าถ้าเมื่อถึงวาระสุดท้าย
00:57:57 → 00:58:02 เนี่ยจะให้ช่วยชีวิตสุดกำลังมยถ้าตัวเค้า
00:58:02 → 00:58:07 ญาติเ้าบอกให้เขียนไว้ว่า nr non
00:58:07 → 00:58:09 resuscitation เมื่อถึงเวลาสุดท้ายเราจะ
00:58:09 → 00:58:13 ปล่อยให้เขาไปตามธรรมชาติอือหายใจไม่ได้
00:58:13 → 00:58:18 ก็คือปล่อยไขก็อาจจะให้แสออกซิเจนนิดนึง
00:58:18 → 00:58:23 อือๆให้เา้าพอหายใจแล้วค่อยๆไปเรื่อยๆอ
00:58:23 → 00:58:28 แต่จะไม่มีการแพทย์มาแทรกแซงให้เขาไวขึ้น
00:58:28 → 00:58:33 ถ้าเขาปวดเจ็บปวดรวดร้าวเราจะฉีดยาแก้ปวด
00:58:33 → 00:58:36 ให้แต่ยาแก้ปวดที่เราฉีดไม่ใช่
00:58:36 → 00:58:40 วอร์ดสเพื่อที่จะไปกดการหายใจหรืออะไรก็
00:58:40 → 00:58:44 แล้วแต่ตายดีแบบธรรมชาติและมีคุณภาพควรจะ
00:58:44 → 00:58:47 เป็นแบบนั้นแต่ไม่ใช่ในแบบที่ต่างประเทศ
00:58:48 → 00:58:51 ทำเคยมีข่าวอยู่นะเข้าไปในตู้เตียงนอนเลย
00:58:51 → 00:58:54 เข้าไปนอนแล้วปล่อยแก๊สออกแล้วก็มีฉีดยา
00:58:54 → 00:58:58 ให้คนไข้ตายนั้นใครสมัครใจเดินเข้าไปทำ
00:58:58 → 00:59:00 ให้ตายอันนี้นึกถึงช่วงสงครามโลกเลยที่
00:59:00 → 00:59:03 ถ้าให้แก๊สแล้วให้คามเสียชีวิตใช่แบบนั้น
00:59:03 → 00:59:05 มันมีมีเหมือนกันจริงๆยังมีข่าวอยู่เลย
00:59:05 → 00:59:08 ล่าสุดนี่แหละว่าเขาเอาเครื่องเนี้ยไปแอบ
00:59:08 → 00:59:11 ทำในป่าเพราะว่าเพราะมันผิดกฎหมายเออ
00:59:11 → 00:59:13 เพราะมันผิดกฎหมายกฎหมายเนี่ยยังไม่ได้
00:59:13 → 00:59:16 ยอมรับทั่วโลกในประเทศไทยก็อย่างที่บอก
00:59:17 → 00:59:19 ว่าเป็นเมืองพุทธพุทธแบบแปลกๆก็แล้วกัน
00:59:19 → 00:59:21 ใช้คำว่าพุทธก็ยังมีผิดอะไรเยอะแยะแหละ
00:59:21 → 00:59:25 แต่หมอยังเชื่อมั่นว่าปาณาติปาตาหือการ
00:59:25 → 00:59:30 ฆ่าเป็นบาปอันสูงสุดอใน 5 ข้อเลยนะเพราะ
00:59:30 → 00:59:33 มันถูกเลือกมาเป็นข้อที่ 1 นึกออกป่ะถูก
00:59:33 → 00:59:35 เลือกมาเป็นข้อที่ 1 ฉะนั้นไม่ควรทำถ้า
00:59:35 → 00:59:38 หลีกเลี่ยงได้ก็ให้หลีกเลี่ยงทีนี้อยาก
00:59:38 → 00:59:40 รู้ต่อบ้างในในฐานะที่คุณหมอเป็นหมอแล้ว
00:59:40 → 00:59:43 ก็ทำงานในอาชีพนี้มานานะอยากรู้ว่าวิธี
00:59:43 → 00:59:46 รับมือกับความตายแบบเมื่อถึงวาระสุดท้าย
00:59:46 → 00:59:49 ของชีวิตแล้วอคุณหมอมีวิธีแนะนำยังไงบ้าง
00:59:49 → 00:59:51 อันนี้ในกรณีของที่เป็นคนไข้ที่เขาใกล้จะ
00:59:51 → 00:59:55 เสียชีวิตแล้วกับกรณีที่ญาติที่เป็นญาติ
00:59:55 → 00:59:59 อืว่าเออเคควรจะทำใจยังไงอันนี้ executive
00:59:59 → 01:00:03 สุดเลยนะก็คือค่ะพูดในฐานะญาตอืหมอเี่พูด
01:00:03 → 01:00:08 ในฐานะญาตก็คือคุณพ่อหมอเนี่ยเสียชีวิตไป
01:00:08 → 01:00:11 ประมาณซัก 7-8 ปีแล้วะพ่อหมอเนี่ยป่วย
01:00:11 → 01:00:14 เป็นเนื้องอกชนิดนึงก็แล้วกันนะอ่าใช้คำ
01:00:14 → 01:00:16 พูดว่าเป็นเนื้องอกที่ชื่อว่า bowen
01:00:16 → 01:00:19 disease เป็นมะเร็งผิวหนังชนิดนึงก็แล้ว
01:00:19 → 01:00:21 กันหมอเนี่ยตรวจว่าพ่อหมอเนี่ยเป็นมะเร็ง
01:00:21 → 01:00:24 ผิวหนังชนิดเนี้ยมาหลายสบปีแล้วอหมอตรวจ
01:00:25 → 01:00:26 เองด้วยเหอเ
01:00:26 → 01:00:29 เจอเนี่ยแล้วหมอก็พาพ่อรักษาเองและผ่าตัด
01:00:29 → 01:00:33 ให้พ่อเองในการรักษาดีสเพราะโวนซสเนี่ย
01:00:33 → 01:00:35 มันไม่ใช่เป็นแค่ตำแหน่งใดตำแหน่งหนึงมัน
01:00:35 → 01:00:39 เป็นได้ทั่วๆตัวสาเหตุก็เกิดจากศาลหนู
01:00:39 → 01:00:43 สมัยก่อนเมหาวิทยาลัยเหมืองแร่นะพ่อก็ไป
01:00:43 → 01:00:46 อยู่แถวๆนั้นแหละก็ได้รับสาหนูก็เวลาผ่าน
01:00:46 → 01:00:50 มา 10 ปีหมอก็ดูแลพ่อหมอเนี่ยมาโดยตลอดพอ
01:00:50 → 01:00:53 พ่อหมอเนี่ยป่วยเป็นกล้ามเนื้อหัวใจขาด
01:00:53 → 01:00:57 เลือดหมอก็พาไปรักษากับหมอที่ดีที่สุดสวน
01:00:57 → 01:01:01 หัวใจบอกโอ้ยพ่ออยู่ได้ 80 ปีแน่นอนสบาย
01:01:01 → 01:01:04 หัวเส้นเลือดใหม่ละมีอะไรเนี่ยรักษากับ
01:01:04 → 01:01:08 หมอที่ดีที่สุดเพราะว่าเราเข้าถึงหมอได้
01:01:08 → 01:01:11 ไวกว่าคนอื่นเพราะเราเป็นหมอใช่มยเรา
01:01:11 → 01:01:13 เลือกหมอได้บอกเฮ้ยพ่อฉันเองรักษาให้
01:01:13 → 01:01:17 หน่อยจนสุดท้ายเนี่ยมันมีวันนึงก็คือว่า
01:01:17 → 01:01:21 พี่สาวเนี่ยไปสังเกตว่าเอ๊ะกางเกงในของ
01:01:21 → 01:01:24 พ่อเนี่ยเลอะเลือดเขาก็เลยถามพ่อว่ามัน
01:01:24 → 01:01:27 เกิดอะไรขึ้นพ่อพ่อก็บอกว่าอ๋อมีแผลที่ขา
01:01:27 → 01:01:30 หีบก็ไม่ได้คิดว่าอะไรก็คิดว่าเป็นแผล
01:01:30 → 01:01:33 ธรรมดาคราวนี้เลือดอ่ะมันไม่หยุดสักทีนึง
01:01:33 → 01:01:36 มันก็เลอะกางเกงในอยู่ก็เลยไปเค้นว่าตกลง
01:01:36 → 01:01:39 ว่าเลือดอะไรกันแน่เออปรากฏว่าเปิดขาหนีบ
01:01:39 → 01:01:43 ขึ้นมาเป็นก้อนที่ขาหนีบแล้วก็มีแผลแตก
01:01:43 → 01:01:46 ออกมาคราวนี้พี่สาวหมอก็เรียกหมอไปดูหมอ
01:01:46 → 01:01:50 เห็นแล้วหมอก็แบบลูบหน้าลูบตาในใจรู้แล้ว
01:01:50 → 01:01:53 มันคือมะเร็งก็แล้วกันพ่อหมอพูดมาคำนึง
01:01:53 → 01:01:57 บอกว่าไม่เอาเคมีบำบัดนะเราก็บอกว่าได้
01:01:57 → 01:02:00 เดี๋ยวจะรักษาวิธีอื่นคก้อนตัวแล้วก็แตก
01:02:01 → 01:02:04 ปะทุนะหมอก็ติดต่อเพื่อนว่ามีวิธีการไหน
01:02:04 → 01:02:06 บ้างที่จะจัดการไอ้ตัวมะเร็งเนี่ยปรากฏ
01:02:06 → 01:02:10 ว่าเพื่อนก็บอกออใช้วิธีการฉายรังสีเนี่ย
01:02:10 → 01:02:14 เครื่องมาใหม่ล่าสุดยิงทะลุเข้าไปในก้อน
01:02:14 → 01:02:18 ได้แน่นอนรับรองพามาเกมพามาเราก็พามาก็
01:02:18 → 01:02:23 ยิงตๆๆๆๆๆพ่อๆก็ยังไม่อยากผ่าตัดด้วยแล้ว
01:02:23 → 01:02:26 ก็อย่างอื่นก็ยังไม่มีอะไรก็ดูสตจจก็คือ
01:02:26 → 01:02:29 ว่ามีเฉพาะก้อนตรงนี้ในโป่งในปอดอะไรยัง
01:02:29 → 01:02:33 ไม่มียิงไปซักเดือนนึงก็ดูปรากฏเอ๊ะก้อน
01:02:33 → 01:02:37 ก็ไม่ลดขนาดแผลเนี่ยก็ยังดูไม่ค่อยดีก็
01:02:37 → 01:02:40 เลยตัดสินใจว่าอ่ะผ่านมาเดือนนึงและรักษา
01:02:40 → 01:02:43 ครบคอร์สในการยิงรังสีแล้วเนี่ยไม่หาย
01:02:43 → 01:02:47 ก้อนไม่เรอนก็ต้องผ่าตัดเราก็มีหมอมือ
01:02:47 → 01:02:50 หนึ่งพอหลังผ่าตัดเสร็จอยู่ดีๆเนี่ยแผลก็
01:02:50 → 01:02:53 ดูโอเคละแต่อยู่ดีๆพ่อหมอเี่สะอึกสะอึก
01:02:53 → 01:02:57 สะอึกสะอึกเ้ก็แปลกใจว่าเพราะอะไรก็เลยทำ
01:02:57 → 01:03:01 CT สแกนซ้ำปรากฏว่าเต็มปอดและเออเนื้อ
01:03:01 → 01:03:05 งอกกระจายเต็มปอดเลยโหเรานี่แบบเราคิดใน
01:03:05 → 01:03:08 ใจนะตอนนั้นสิ่งแรกที่คิดเลยว่าในช่วง
01:03:08 → 01:03:11 ระยะเวลา 10 ปีเนี่ยที่พ่อรักษากับหมอที่
01:03:11 → 01:03:15 เก่งเก่งอืทั่วประเทศละระดับเทพหมดเรายัง
01:03:15 → 01:03:17 เอาไม่อยู่เลยคือระหว่างที่รักษานั้นก็
01:03:17 → 01:03:19 ไม่ไม่ไม่เจอมะเร็งในปอดถูกมั้ยคะเค้าเก็
01:03:19 → 01:03:21 ไม่ได้เป็นมะเร็งปอดมันมันเป็นการกระจาย
01:03:22 → 01:03:26 ของเนื้องอกไปที่ปอดคือต้องบอกว่านวัน
01:03:26 → 01:03:29 นั้นน่ะคิดเลยว่าเมื่อมัจจุราชจะเอาตัวไป
01:03:29 → 01:03:32 ต่อให้เอ็งเทพแค่ไหนอ่ะเอ็งก็เอาไม่อยู่
01:03:32 → 01:03:35 เาแสดงให้เห็นแล้วว่ามะเร็งผิวหนังมัน
01:03:35 → 01:03:38 เกิดขึ้นทที่ถ้าเราเห็นด้วยตาเราจับพ่อ
01:03:38 → 01:03:41 ผ่าหมดมาเป็นเวลา 10 ปีแล้วแต่มันไปเกิด
01:03:41 → 01:03:44 ในตำแหน่งที่เราไม่เห็นไปเกิดในร่มผ้า
01:03:44 → 01:03:46 เกิดในกางเกงตอนนั้นน่ะถึงได้บอกว่าได้
01:03:46 → 01:03:50 รู้คำตอบว่าต่อให้เราเทพแค่ไหนนะมีทีมงาน
01:03:50 → 01:03:53 ที่เทพแค่ไหนถ้าถึงเวลาที่เขาจะต้องไปยัง
01:03:53 → 01:03:56 ไงเก็ต้องไปมัจจุราชจะหาทางเสมอในการที่
01:03:56 → 01:03:59 จะจัดการกับเราแล้วอย่างงี้คุณพ่อของคุณ
01:03:59 → 01:04:02 หมอเขาแบบเทำใจยังไงหรือวางใจยังไงบ้าง
01:04:02 → 01:04:06 ตอนนี้ก็ถึงว่าพอเรารู้แล้วว่าพ่อเนี่ย
01:04:06 → 01:04:09 สงสัยไม่น่าจะรอดะนะพ่อก็มีแค่อาการ
01:04:09 → 01:04:12 เหนื่อยสะอึกหายใจไม่ได้เพราะว่าก้อน
01:04:13 → 01:04:15 มะเร็งมันอยู่เต็มปอดใช่ป่ะที่กระจาย
01:04:15 → 01:04:18 เงี้ยก้อนมันก็โตขึ้นเรื่อยๆมีอยู่วันนึง
01:04:18 → 01:04:22 ตอนนั้นพ่อนอนโโรงพยาบาลตอนกลางคืนหายใจ
01:04:22 → 01:04:25 ไม่ออกปรากฏว่าหมอที่อยู่เวรเขาก็ใส่ท่อ
01:04:25 → 01:04:28 ช่วยให้ใส่ใจให้น้องคนที่สนิทกับหมอก็มา
01:04:28 → 01:04:32 โทรศัพท์หาเลยพี่ๆน้องที่อยู่เวรน่ะเขาค
01:04:32 → 01:04:34 ไม่รู้เคสเขาใส่ท่อช่วยหายใจไปก่อนเพราะ
01:04:34 → 01:04:37 เห็นว่าพ่อพี่เนี่ยหายใจไม่ดีพี่เอาท่อ
01:04:37 → 01:04:41 ออกเลยนะน้องคนนี้เป็นหมอนะเพราะว่าถ้า
01:04:41 → 01:04:44 ใส่ไว้ต่อไปน่ะคือมันก็พูดตรงไปตรงมาบอก
01:04:44 → 01:04:48 พี่ก็รู้ใช่มยว่ามันไม่หายการใส่ท่อต่อไป
01:04:48 → 01:04:52 มีแต่ทรมานพ่อพี่แม้พ่อพี่จะหายใจได้เรา
01:04:52 → 01:04:56 ก็โทรศัพท์คุยกับญาติพี่น้องนี่บอกได้เลย
01:04:56 → 01:04:58 นะมันคือกระบวนการที่ทุกบ้านจะเกิดขึ้นก็
01:04:58 → 01:05:01 คือเราเป็นน้องคนสุดท้องเราไม่สามารถตัด
01:05:01 → 01:05:04 สินใจได้หรอกแม้แต่ว่าเราเป็นหมอเพราะทุก
01:05:04 → 01:05:08 คนเจะโยนมาให้เราเนี่ยตัดสินใจแต่เราตัด
01:05:08 → 01:05:12 สินใจไม่ได้หรอกก็คุยกันทุกคนว่าเออมันมา
01:05:12 → 01:05:14 ถึงจุดนี้ละทุกคนก็บอกว่าอ่ะงั้นโอเคเรา
01:05:14 → 01:05:17 ต้องเซ็นยินยอม nr ก็คือ non
01:05:17 → 01:05:20 resuscitation ก็เอาท่อช่วยหายใจออกคราว
01:05:20 → 01:05:23 เนี้ยทางโรงพยาบาลก็บอกว่าเอองั้นก็ใช้
01:05:23 → 01:05:26 วิธีการใส่ไอ้ตัวสายออก
01:05:26 → 01:05:29 ที่เป็นไ Flow อัดออกซิเจนอัดลมเข้าไปคือ
01:05:29 → 01:05:32 ตอนเก็จะเข้ามาในถึงว่าที่หมอเคยพูดไว้
01:05:32 → 01:05:35 ตอนต้นว่าเราจะไม่มีเฟอร์นิเจอร์ทางการ
01:05:35 → 01:05:38 แพทย์เยอะแยะนะเราจะไม่เจาะคอไม่ใส่ท่อ
01:05:38 → 01:05:41 ไม่อะไรนะแต่โอเคออกซิเจนเรายังให้อยู่
01:05:41 → 01:05:46 วันสุดท้ายในชีวิตของพ่อหมอหมอคือคนสุด
01:05:46 → 01:05:48 ท้ายที่อยู่กับพ่อเพราะว่าหมอติดผ่าตัด
01:05:48 → 01:05:50 จากที่นู่นที่นี่พี่สาวหมอหรืออะไรเาก็มา
01:05:50 → 01:05:53 เยี่ยมตอนเช้าไปหมดแล้วะหมอก็มาตอนเย็น
01:05:53 → 01:05:56 ตอนอยู่ในห้องห้องพักคนไข้หมอก็เข้าไปก็
01:05:56 → 01:06:00 รู้สึกโทำไมห้องเนี่ยเตียงที่พ่อนอนเนี่ย
01:06:00 → 01:06:02 มันร้อนอย่างงี้วะแต่ห้องที่จองให้เนี่ย
01:06:02 → 01:06:06 เป็นห้องพิเศษ VIP นะกว้างขวางนะแล้วก็
01:06:06 → 01:06:09 เปิดแอร์อยู่แต่เตียงที่พ่อนอนนี่ร้อน
01:06:09 → 01:06:12 เหลือเกินเราก็ไปถึงก็คุยกับพ่อพ่อเป็น
01:06:12 → 01:06:14 ยังไงบ้างบอกทุกอย่างมันก็ดีแหละแต่ว่า
01:06:14 → 01:06:17 มันเนี่ยในเนี้ยมันไม่ค่อยดีเราก็
01:06:17 → 01:06:22 เอ๊จะคุยกับพ่อยังไงดีน้าเราเราก็เลยบอก
01:06:22 → 01:06:26 ว่าพ่อเอาความจริงมั้ยเนี่ยที่พ่อเป็นน่ะ
01:06:26 → 01:06:29 มันไม่หายนะคือเราทำเต็มที่ะตอนเนี้ย
01:06:29 → 01:06:32 เนื้องอกเนี่ยมันกระจายไปที่ปอดหมดะทั้ง 2
01:06:32 → 01:06:37 ฝั่งมันจะไม่หายนะพ่อมีอะไรอยากจะบอกเกม
01:06:37 → 01:06:41 บ้างมยหรือพ่อมีอะไรที่จะอยากจะสั่งเสีย
01:06:41 → 01:06:43 เป็นครั้งสุดท้ายหรือเปล่าหรืออยากจะให้
01:06:43 → 01:06:46 ทำอะไรพ่อหมอก็บอกไม่มีไม่มีอะไระเราก็
01:06:46 → 01:06:50 บอกพ่อแน่ใจนะบอกไม่มีเพราะฉะนั้นคำถาม
01:06:50 → 01:06:53 ที่น้องถามเนี่ยหมอโดนมาหมดะในฐานะญาตินะ
01:06:53 → 01:06:57 เราก็บอกว่าพ่อเนี่ยแต่เกมเนี่ยอยากให้
01:06:57 → 01:07:00 พ่อทำอะไรบางอย่างพ่อจำตอนเด็กๆได้มตอน
01:07:00 → 01:07:04 เด็กๆที่พ่อพาเกมเนี่ยไปเที่ยววัดไปไหว้
01:07:04 → 01:07:08 พระไปสวดมนต์นู่นนี่นั่นเราก็จะเล่า
01:07:08 → 01:07:11 เรื่องการทำบุญออให้เขานึกถึงแต่สิ่งดีๆ
01:07:11 → 01:07:14 อ่าเล่าเรื่องการทำบุญที่เกับเราเนี่ยเคย
01:07:14 → 01:07:17 ทำด้วยกันบอกเนี่ยพ่อจำหลวงพี่ได้มยนี่นะ
01:07:17 → 01:07:21 นู่นี่ก็เล่าให้พ่อระลึกถึงเราก็บอกว่า
01:07:21 → 01:07:24 พ่อให้พ่อนึกถึงเรื่องตอนช่วงนี้นะช่วง
01:07:24 → 01:07:27 ที่เราทำบุญด้วยกันกันไปที่วัดไปเจอหลวง
01:07:27 → 01:07:30 พี่ตอนเนี้ยพ่อนึกถึงแต่เรื่องนี้เลย
01:07:30 → 01:07:34 เชื่อมว่าเตียงที่เขานอนอยู่ที่ร้อนๆน่ะ
01:07:34 → 01:07:38 เย็นขึ้นมาทันทีเลยนี่คือความจริงนะจาก
01:07:38 → 01:07:40 ปากหมอเองนะว่าแล้วเราก็บอกว่าเรารู้
01:07:40 → 01:07:44 แล้วะว่าเราเหนี่ยวนำใจเาครั้งสุดท้าย
01:07:44 → 01:07:47 เนี่ยให้ไปในทิศทางที่ดีเรื่องที่ค้างคา
01:07:47 → 01:07:51 ใจเเนี่ยไม่มีเก็ได้ไปสบายเขาจะได้ไปใน
01:07:51 → 01:07:55 ทิศทางที่ดีให้เขานึกถึงแต่สิ่งที่ดีๆ
01:07:55 → 01:07:59 สิ่งที่เคยทำความดีไว้ในอดีตกุศลกรรมที่
01:07:59 → 01:08:03 ดีที่เคยทำไว้ทำบุญไว้ในอดีตให้ตอนเนี้ย
01:08:03 → 01:08:07 ต้องนึกนึกอย่างเดียวอ่าแล้วมันก็เกิด
01:08:07 → 01:08:09 เหตุการณ์งขึ้นจริงๆว่าเตียงนอนที่พ่อนอน
01:08:09 → 01:08:12 อยู่เนี่ยมันเย็นขึ้นมาเลยจากที่ร้อนๆ
01:08:12 → 01:08:14 เนี่ยเราก็ไม่รู้นะว่ามันเกิดจากเพราะ
01:08:14 → 01:08:16 อะไรแต่มันเย็นเราอยู่กับพ่อเรา 2 คนนี่
01:08:16 → 01:08:19 แหละแล้วเราก็เดินออกมาอเราก็บอกว่าพ่อ
01:08:19 → 01:08:22 21:00 นลเราบอกอพ่อเดี๋ยวเกมกลับบ้าน
01:08:22 → 01:08:25 ก่อนนะพ่อนึกถึงแต่เรื่องนี้ไว้นะสบายๆ
01:08:25 → 01:08:28 เราก็มาบอกพยาบาลเออพี่พยาบาลพ่อผมอ่ะ
01:08:29 → 01:08:31 พร้อมไปแล้วนะก็บอกแค่เนี้ยแล้วเราก็กลับ
01:08:31 → 01:08:34 บ้าน 22:00 นจาก 21:00 นไป 22:00 นโรง
01:08:34 → 01:08:38 พยาบาลโทรมาพ่อเสียแล้วนะครับคุณ
01:08:38 → 01:08:43 หมอขับรถไปอ่าเนี่ยนี่คือเหตุการณ์ที่
01:08:43 → 01:08:46 เกิดขึ้นทั้งหมดแลเล่าในฐานะญาติก็คือว่า
01:08:46 → 01:08:49 ถ้าเป็นไปได้ในช่วงสุดท้ายของชีวิตอย่า
01:08:49 → 01:08:53 ให้คนไข้มีห่วงเราไม่ไปร้องไห้ภูมิไฟไม่
01:08:53 → 01:08:56 มีน้ำตาสักหยดจัดหน้าหมอเพื่อไม่ให้เขา
01:08:56 → 01:09:00 แบบรู้สึกเป็นหวงกวใช่เพียงแต่บอกว่าพ่อ
01:09:01 → 01:09:04 ถึงเวลาและต้องไปละไปนึกถึงกุศลกรรมทำ
01:09:04 → 01:09:09 ความดีที่เคยทำเอาไว้จะได้ไปในสิ่งที่ดี
01:09:09 → 01:09:13 อย่าให้ไปนึกถึงสิ่งที่ไม่ดีอันนี้คือ
01:09:13 → 01:09:17 สิ่งที่สำคัญเลยในวาระสุดท้ายส่วนใครจะพฟ
01:09:17 → 01:09:20 ได้ว่าไปดีหรือไม่ดีเนี่ยไม่มีใครรู้ไม่
01:09:20 → 01:09:23 มีใครรู้แต่เรารู้ว่าเราส่งคุณพ่อของเรา
01:09:23 → 01:09:26 เนี่ยไปในทางที่ดีอยู่แล้วเพราะว่าเรา
01:09:26 → 01:09:30 รู้ึกได้ว่าเตียงที่เขานอนอยู่เนี่ยมัน
01:09:30 → 01:09:34 เย็นขึ้นมาทันทีทันใดที่พ่อนึกถึงเรื่อง
01:09:34 → 01:09:38 ความดีในอดีตอันนี้คือกรณีที่คุณหมอเออ
01:09:38 → 01:09:40 แบบเล่าให้ฟังเป็นกรณีของของคุณหมอกับคุณ
01:09:40 → 01:09:42 พ่อใช่มั้ยคะใช่แล้วอย่างเงี้ยอยากรู้ว่า
01:09:43 → 01:09:45 เรื่องการพิจารณาความตายเรื่องการคือเรา
01:09:45 → 01:09:47 รู้อยู่แล้วว่าเวียนว่ายตายเกิดมันเป็น
01:09:47 → 01:09:50 เรื่องปกติอือของชีวิตใช่มั้ยคะมันคือการ
01:09:50 → 01:09:52 พลัดพากจากคนที่เรารักจากสิ่งของที่เรา
01:09:52 → 01:09:54 รักมันเป็นทุกข์มันเป็นปกติอยู่แล้วเราจะ
01:09:54 → 01:09:56 พิจารณาความตายได้ไงเมื่อถึงวันนั้นวัน
01:09:56 → 01:09:58 ที่เราจะต้องจากคนที่เรารักอย่างกรณีของ
01:09:58 → 01:10:01 คุณหมอเงี้ยที่ต้องจากคุณพ่อไปหรือคนอื่น
01:10:01 → 01:10:03 ที่เขาจะต้องสูญเสียคนที่เขารักไปอ่ะเขา
01:10:03 → 01:10:05 จะทำใจยังไงดีอันนี้คือเป็นการลกับจิตใจ
01:10:05 → 01:10:08 ตัวเองหรค่ะว่าเออเราควรจะฝึกจิตใจยังไง
01:10:08 → 01:10:12 ดีเราสิ่งที่เราจะต้องคิดนะอืก็คือให้คิด
01:10:12 → 01:10:16 ตามปกติร่างกายเนี้ยที่พ่ออยู่เนี่ยมัน
01:10:16 → 01:10:20 ผูกพังแล้วอืมันไม่สามารถใช้งานได้ต่อไป
01:10:20 → 01:10:24 แล้วสิ่งที่ต้องทำก็คือให้พ่อย้ายจากร่าง
01:10:24 → 01:10:28 เนี้ยออกไปสู่ที่อื่นอืความทุกข์ทรมาน
01:10:28 → 01:10:32 นั้นก็จะหมดไปดังนั้นการที่เขาออกจากร่าง
01:10:32 → 01:10:35 นี้ไปที่อื่นเป็นการทำให้เขาพ้นทุกข์
01:10:35 → 01:10:37 เพราะฉะนั้นเราไม่ควรที่จะเสียใจแล้วพอ
01:10:37 → 01:10:41 เขาหลุดออกร่างตรงงนี้ไปเนี่ยเรารู้ว่า
01:10:41 → 01:10:44 เราแนะนำให้เขานึกถึงสิ่งที่ดีเขาก็จะไป
01:10:44 → 01:10:48 ดีเชื่อมยอย่างนึงพอหมอพูดตรงเนี้ยมนุษย์
01:10:48 → 01:10:51 เราเนี่ยอตราบใดนะที่ยังยึดอยู่กับร่าง
01:10:51 → 01:10:54 อยู่อ่ะต่อให้ร่างมันผูกพันแค่ไหนก็ไม่
01:10:54 → 01:10:57 ยอมปล่อยตรรงเนี้ยสำคัญเจะต้องยอมปล่อย
01:10:57 → 01:10:59 ร่างที่ผูกพังเราจะต้องพูดให้เขาเข้าใจ
01:10:59 → 01:11:02 ว่าร่างเยมันอยู่ไม่ได้แล้วมันถึงเวลาที่
01:11:02 → 01:11:06 ต้องไปแล้วก็ชี้ทางให้ไปในสิ่งที่เคยทำ
01:11:06 → 01:11:10 ความดีไว้ในอดีตอืเพราะบางคนน่ะลืมไปแล้ว
01:11:10 → 01:11:13 ว่าก็เคยทำอะไรมาบ้างเคยทำอะไรมาบ้างอตอน
01:11:13 → 01:11:16 สุดท้ายส่วนใหญ่นะมักจะมีกังวลลูกหลาน
01:11:16 → 01:11:20 ร้องไห้สทรัพย์สมบัติยังไม่ได้แบกนู่นนี่
01:11:20 → 01:11:22 นั่นลูกหลานทะเลาะกันข้างเตียงอันเนี้ย
01:11:22 → 01:11:26 มันเป็นเรื่องที่คนตายก่อนตายยังไม่สุข
01:11:26 → 01:11:29 เลยแล้วตายไปจะสุขได้ยังไงใช่ค่ะอันนี้
01:11:29 → 01:11:32 คือก็อยากจะบอกคุณผู้ชมนะค่ะทุกคนให้ฟัง
01:11:32 → 01:11:35 ว่าคือที่ยกท็อปปิกนี้มาพูดคุยกันคือเรา
01:11:35 → 01:11:37 ไม่ได้อยากให้ทุกคนรู้สึกกลัวว่าเฮ้ยมัน
01:11:37 → 01:11:39 คือเป็นเรื่องหดหูอะไรไม่ใช่แต่อยากให้
01:11:39 → 01:11:42 ทุกคนตระหนักแล้วก็เอ่อใช้ชีวิตของตัวเอง
01:11:42 → 01:11:44 ให้ดีมากขึ้นเพราะว่าเราไม่มีทางรู้เลย
01:11:44 → 01:11:46 ว่าอนาคตจะเป็นวันไหนเราจะมีชีวิตอยู่ได้
01:11:46 → 01:11:47 ถึงวันไหนเราไม่มีทางรู้ใช่ไหมมคะงั้นคำ
01:11:48 → 01:11:49 ถามสุดท้ายแล้วขอให้คุณหมอแนะนำกับคุณผู้
01:11:49 → 01:11:52 ชมทางบ้านนิดนึงว่าเราควรจะใช้ชีวิตเรา
01:11:52 → 01:11:54 เรายังไงดีให้มันคุ้มค่าแล้วก็มีความสุข
01:11:54 → 01:11:56 ในทุกวินาทีที่เรายังมีโอกาสอยู่อ่ะค่ะ
01:11:56 → 01:11:59 เออต้องบอกอย่างงี้ก็คือว่าเวลาใช้ชีวิต
01:11:59 → 01:12:03 เนี่ยอืให้นึกถึงว่าถ้าตอนตายมีคนมาถาม
01:12:03 → 01:12:07 เราว่าตอนมีชีวิตอยู่อ่ะทำความดีอะไรบ้าง
01:12:07 → 01:12:08 นึกออก
01:12:08 → 01:12:14 มยโอ๊ะเยอะค่ะแต่ให้จดจำเอาไว้สักเรื่อง
01:12:14 → 01:12:17 นึงว่าเรื่องไหนที่เราคิดว่ามันเป็น
01:12:17 → 01:12:20 เรื่องที่เราทำความดีเราจะได้ไปตอบเาถูก
01:12:20 → 01:12:23 เมื่อถึงเวลานั้นที่เขาพิจารณาว่าในชีวิต
01:12:23 → 01:12:27 ที่คุณอุตส่าห์ได้เกิดอุแล้วทำความดีอะไ
01:12:27 → 01:12:30 บ้างแล้วเราตอบได้เต็มปากว่าหนูทำนู่นทำ
01:12:30 → 01:12:34 นี่มาเราก็จะได้สบายใจดังนั้นการทำความดี
01:12:34 → 01:12:37 อ่ะแน่นอนว่ามันไม่ได้ไปเบียดเบียนใครบาง
01:12:37 → 01:12:40 ทีคุณร่ำรวยขึ้นมาอย่างเงี้ยคุณเอาเงิน
01:12:40 → 01:12:43 บาปไปทำบุญมันก็ไม่ได้ดีอยู่แล้วคุณก็รู้
01:12:43 → 01:12:47 อยู่กับใจนออกมเพราะฉะนั้นเราใช้ชีวิตแบบ
01:12:47 → 01:12:50 ทำความดีก็ไม่ไปเบียดเบียนใครทำความชั่ว
01:12:50 → 01:12:53 มันเบียดเบียนคนอื่นหมอก็คงแนะนำได้
01:12:53 → 01:12:55 ประมาณนี้เท่านั้นแหละแล้วก็อย่างที่บอก
01:12:55 → 01:12:58 ว่าเมื่อตายแล้วถ้าเขาถามว่าในชีวิตที่
01:12:58 → 01:13:02 ผ่านมาทำความดีอะไรบ้างค่ะขอให้นึกให้ออก
01:13:02 → 01:13:05 อืก็คือให้เรามีสติมีสมาธิตระหนักรู้กับ
01:13:05 → 01:13:07 ชีวิตปัจจุบันแล้วก็ทุกเวลาที่เรายังมี
01:13:07 → 01:13:09 โอกาสมีชีวิตอยู่เนี่ยทำในสิ่งที่ดีๆทั้ง
01:13:09 → 01:13:11 ต่อตัวเองและต่อผู้อื่นไว้ด้วยนะคะสำหรับ
01:13:11 → 01:13:14 วันนี้โหได้ข้อคิดดีๆมากมายเชื่อว่าคุณ
01:13:14 → 01:13:16 ผู้ชมทางบ้านนะคะก็คงจะรู้สึกเหมือนกัน
01:13:16 → 01:13:19 อย่าลืมกดไลค์กดแชร์กดติดตามด้วยนะคะถ้า
01:13:19 → 01:13:21 เกิดใครมีคำถามถามได้ที่ใต้คอมเมนต์เลย
01:13:21 → 01:13:23 ค่ะแล้วเดี๋ยวทางทีมงานนะคะก็จะไปคัด
01:13:23 → 01:13:25 เลือกแล้วก็มาถามคุณหมอให้ให้ค่ะหรือว่า
01:13:25 → 01:13:28 ถ้าอยากรู้แบบรวดเร็วกว่านี้ก็คือไปติด
01:13:28 → 01:13:31 ตามได้ที่เพจแพทย์เฉพาะทางบาทเดียวของคุณ
01:13:31 → 01:13:33 หมอได้เลยนะคะสำหรับวันนี้พวกเราทั้ง 2
01:13:33 → 01:13:36 คนต้องขอตัวลาไปก่อนสวัสดีค่ะคุณหมอ
01:13:36 → 01:13:37 สวัสดี
01:13:37 → 01:13:54 [เพลง]
01:13:54 → 01:13:58 ค่ะ n