00:00:06 → 00:00:08 จากการศึกษาในปี 1990
00:00:08 → 00:00:13 ผู้เข้าร่วมถูกทำให้นึกถึงช่วงเวลา ในวัยเด็กตอนที่พลัดหลงในห้างสรรพสินค้า
00:00:13 → 00:00:17 บางคนสามารถเล่าได้อย่างชัดเจน
00:00:17 → 00:00:20 บางคนจำได้แม้กระทั่ง ว่ามีชายชราที่มาช่วยเหลือเขานั้น
00:00:20 → 00:00:23 สวมเสื้อสักหลาด
00:00:23 → 00:00:28 แต่จริง ๆ แล้วไม่มีใครเลยที่ เคยหลงในห้างสรรพสินค้าจริง ๆ
00:00:28 → 00:00:30 พวกเขาสร้างความทรงจำผิด ๆ
00:00:30 → 00:00:35 เมื่อนักจิตวิทยาที่ศึกษาเรื่องนี้ บอกพวกเขาว่าพวกเขาเคยหลง
00:00:35 → 00:00:37 และถึงแม้ว่าพวกเขา จะไม่สามารถจำเหตุการณ์พลัดหลงนั้นได้
00:00:37 → 00:00:40 แต่ครอบครัวของพวกเขา ก็ช่วยยืนยันอีกเสียงหนึ่ง
00:00:40 → 00:00:45 และมันไม่ใช่แค่หนึ่งหรือสองคน ที่คิดว่าจำได้ว่าตนเคยพลัดหลง
00:00:45 → 00:00:48 แต่เป็นจำนวนหนึ่งในสี่ ของพวกเข้าร่วมเลยต่างหาก
00:00:48 → 00:00:50 การค้นพบนี้อาจจะฟังดูเหลือเชื่อ
00:00:50 → 00:00:54 แต่มันค่อนข้างสะท้อน ถึงความเป็นจริงพื้นฐานที่ว่า
00:00:54 → 00:00:57 ความทรงจำของเรานั้น ในบางครั้งเชื่อถือไม่ได้
00:00:57 → 00:01:01 แต่ถึงอย่างนั้นพวกเรายังคง ไม่รู้อย่างแน่ชัดว่าอะไรทำให้มันแย่ลง
00:01:01 → 00:01:03 ในทางประสาทวิทยา
00:01:03 → 00:01:07 งานวิจัยได้ชี้ชัดว่า บางส่วนของความทรงจำของเรานั้น
00:01:07 → 00:01:10 แตกต่างไปจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นจริง
00:01:10 → 00:01:14 งานศึกษาเรื่องห้างสรรพสินค้าแสดง ให้เห็นว่าเราสามารถประมวลผลข้อมูลผิด ๆ
00:01:14 → 00:01:16 จากปัจจัยภายนอก
00:01:16 → 00:01:18 เช่น คนอื่น ๆ หรือข่าวสารต่าง ๆ
00:01:18 → 00:01:22 มารวมเข้ากับความ ทรงจำของเราโดยไม่รู้ตัว
00:01:22 → 00:01:27 ซึ่งข้อสังเกตุนี้เป็นเพียงแค่ตัวอย่างหนึ่ง ที่ส่งผลต่อความทรงจำของเรา
00:01:27 → 00:01:28 ในอีกการศึกษาหนึ่ง
00:01:28 → 00:01:32 ที่ซึ่งผู้ศึกษานั้นได้แสดงให้เห็น โดยแสดงภาพถ่ายแบบสุ่ม
00:01:32 → 00:01:34 ให้กลุ่มศึกษา
00:01:34 → 00:01:39 โดยในรูปเหล่านั้นมีรูปถ่ายมหาวิทยาลัย ที่พวกเขาไม่เคยไปเลยซักครั้ง
00:01:39 → 00:01:42 สามสัปดาห์ต่อมา
00:01:42 → 00:01:47 ผู้เข้าร่วมส่วนใหญ่ในกลุ่มศึกษา บอกว่าพวกเขาอาจจะหรือค่อนข้างมั่นใจ
00:01:47 → 00:01:50 เคยมีโอกาสได้ไปที่มหาวิทยาลัยนั้น ในอดีต
00:01:50 → 00:01:55 ผู้เข้าร่วมนั้นเกิดข้อมูลที่ผิดเพี้ยน จากเพียงภาพถ่ายที่พวกเขาเคยเห็น
00:01:55 → 00:02:01 ไปสู่ความทรงจำที่ พวกเขาเชื่อว่ามันเคยเกิดขึ้นจริง ๆ
00:02:01 → 00:02:05 ในการทดลองหนึ่ง ผู้ทดลอง ได้ถูกแสดงภาพของแว่นขยาย
00:02:05 → 00:02:09 และถูกบอกให้จินตนาการ ถึงภาพของอมยิ้ม
00:02:09 → 00:02:13 พวกเขามักจะคิดว่าเขาเคยเห็น ทั้งแว่นขยายและอมยิ้มจริง ๆ
00:02:13 → 00:02:17 พวกเขาต้องพยายามที่จะเชื่อมโยง วัตถุนั้นเพื่อให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้อง
00:02:17 → 00:02:21 ไม่ว่าพวกเขาจะเคยเห็นมันจริง ๆ หรือแค่เพียงจินตนาการถึงมันก็ตาม
00:02:21 → 00:02:25 มีอีกการศึกษาหนึ่งที่นักจิตวิทยาถาม คำถามกับผู้เข้าร่วมกว่า 2,000 คน
00:02:25 → 00:02:29 เกี่ยวกับความเห็นถึงการ ทำให้กัญชาถูกกฎหมาย
00:02:29 → 00:02:32 ซึ่งงานนี้แสดงให้เห็นถึงอีก ปัจจัยหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อความทรงจำ
00:02:32 → 00:02:38 ผู้เข้าร่วมตอบคำถามที่มีทั้ง ปี 1973 และปี 1982
00:02:38 → 00:02:43 กลุ่มของพวกที่กล่าวว่าพวกเขา สนับสนุนกัญชาให้ถูกกฎหมายในปี 1973 นั้น
00:02:43 → 00:02:46 แต่มีรายงานบอกว่าที่จริงพวกเขา นั้นได้คัดค้านกฎหมายนี้ในปี 1982
00:02:46 → 00:02:53 พวกเขามีแนวโน้มที่จะระลึกได้ว่าพวกเขา ต่อต้านการทำให้ถูกกฎหมายจริง ๆ ในปี 1973
00:02:53 → 00:02:57 ซึ่งนับเป็นการนำเอาทัศนคติเดิม ๆ ต่อเรื่องหนึ่งมาเปรียบกับทัศนคติใหม่
00:02:57 → 00:03:00 โดยความคิดเห็น, ความรู้สึก, และประสบการณ์ของเราในปัจจุบัน
00:03:00 → 00:03:04 สามารถที่จะทำให้เกิดความขัดแย้ง ในด้านความรู้สึกต่อความทรงจำในอดีต
00:03:04 → 00:03:06 ในอีกงานวิจัยหนึ่ง
00:03:06 → 00:03:10 ผู้วิจัยได้ทำการแบ่งผู้เข้าร่วมออก เป็นสองกลุ่มและให้ข้อมูลพื้นฐาน
00:03:10 → 00:03:16 เกี่ยวกับประวัติสงครามและให้ พวกเขาเหล่านั้นโหวตว่าฝ่ายไหนจะชนะ
00:03:16 → 00:03:19 ผู้วิจัยให้ข้อมูล แต่ละกลุ่มเหมือนกันทุกอย่าง
00:03:19 → 00:03:23 เว้นแต่ผู้วิจัยบอกว่าใคร จะชนะสงครามเพียงกับแค่หนึ่งกลุ่มเท่านั้น
00:03:23 → 00:03:27 โดยที่อีกกลุ่มไม่ได้รู้ ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร
00:03:27 → 00:03:30 ในทางทฤษฎี คำตอบของ ทั้งสองกลุ่มนั้นควรที่จะเหมือนกัน
00:03:30 → 00:03:32 เพราะความน่าจะเป็น ที่แต่ละฝ่ายจะชนะนั้น
00:03:32 → 00:03:35 ไม่ได้ส่งผลว่าใครจะชนะจริง ๆ
00:03:35 → 00:03:39 ถ้าบอกว่ามีโอกาสเพียง 20% ที่จะเกิด พายุฟ้าคะนองและพายุฟ้าคะนองเกิดขึ้นจริง ๆ
00:03:39 → 00:03:44 นั่นไม่ได้ทำให้โอกาสที่จะเกิด พายุฟ้าคะนองกลายเป็น 100% ขึ้นมา
00:03:44 → 00:03:48 ถึงอย่างนั้นกลุ่มที่รู้คำตอบ ว่าสงครามจะจบอย่างไร
00:03:48 → 00:03:53 ได้โหวตฝ่ายที่ชนะมากกว่าฝ่ายที่ท่าทาง เหมือนจะชนะมากกว่ากลุ่มที่ไม่รู้คำตอบ
00:03:53 → 00:03:58 ความผิดเพี้ยนของความทรงจำทั้งหมด สามารถที่จะส่งผลกระทบต่อโลกความเป็นจริง
00:03:58 → 00:04:03 ถ้าตำรวจสอบปากคำโดยใช้ คำถามชี้นำกับพยานหรือผู้ต้องสงสัย
00:04:03 → 00:04:10 คำตอบที่ได้อาจจะระบุไม่ถูกต้อง หรือได้รับคำสารภาพที่ไม่น่าเชื่อถือ
00:04:10 → 00:04:13 หรือแม้จะไม่ใช้คำถามชี้นำ
00:04:13 → 00:04:17 การกล่าวอ้างหรือให้ข้อมูลผิด ๆ ของตำรวจก็ สามารถที่นำไปสู่การให้การผิด ๆ ของพยานได้
00:04:17 → 00:04:18 ในศาล
00:04:18 → 00:04:21 หากผู้พิพากษากล่าวว่า หลักฐานนั้นไม่เป็นที่ยอมรับ
00:04:21 → 00:04:26 และให้คณะลูกขุนมองข้ามมันไป พวกเขาอาจจะไม่สามารถขัดอย่างนั้นได้
00:04:26 → 00:04:29 ในทางการแพทย์ หากคนไข้ นั้นมองหาความเห็นที่สองเพิ่มเติม
00:04:29 → 00:04:33 และผู้ให้ความเห็นที่สองนั้นพะวง ถึงคำวินิจฉัยของคนแรก
00:04:33 → 00:04:37 ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อข้อสรุปได้
00:04:37 → 00:04:41 ความทรงจำนั้นไม่ได้เป็นตัวแทน ที่หนักแน่นที่จะแสดงถึงความเป็นจริง
00:04:41 → 00:04:43 แต่เป็นตัวแทนของการรับรู้ส่วนบุคคล
00:04:43 → 00:04:46 และมันก็ไม่ได้ผิดอะไร
00:04:46 → 00:04:50 แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นเมื่อเราคิดว่า ความทรงจำนั้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง
00:04:50 → 00:04:53 แทนที่เราจะยอมรับว่ามันเป็นสัจธรรมพื้นฐาน
00:04:53 → 00:04:56 เกี่ยวกับธรรมชาติของความทรงจำ