00:00:00 → 00:00:03 คนไข้ในประเทศไทยมี 20 ล้านคน
00:00:03 → 00:00:05 >> แล้วในทั่วโลกก็คือแบบพันล้านคน
00:00:05 → 00:00:07 >> เป็นพันล้านคนที่เพิเป็นคนนี้
00:00:07 → 00:00:10 >> อย่าโทษตัวเองอย่าคิดว่าเราไม่มีทางแก้ไข
00:00:10 → 00:00:13 เกนมันเป็นโรคที่มันรักษาได้ยามันพัฒนาไป
00:00:13 → 00:00:14 ไกลมากๆ
00:00:14 → 00:00:17 >> CGRP หรือที่เรียกว่าแซิ Gen related
00:00:17 → 00:00:19 peptide นะครับ
00:00:19 → 00:00:21 >> เปลี่ยนโลกของคนไข้ไมเกรนตั้งแต่นั้นเป็น
00:00:21 → 00:00:22 ต้นมา
00:00:22 → 00:00:24 >> อ่ะทุกคนปวดหัวคงไม่มีใครไปหาหมอแต่แรก
00:00:24 → 00:00:27 เลยล่ะสิ่งแรกที่ทุกคนไปก็คือร้านยาเอา
00:00:27 → 00:00:30 เป็นว่าคนไข้ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าไมเกรนต้อง
00:00:30 → 00:00:32 ใช้ยาป้องกันไมเกรนนะ
00:00:32 → 00:00:35 >> เจ้าสีัน study ครับแปลว่ายาแนว
00:00:35 → 00:00:37 >> ปัญหาของการวินิจฉัยไมเกรนมันอยู่ตรงไหน
00:00:37 → 00:00:37 บ้างคะ
00:00:37 → 00:00:39 >> คนไข้ไมเกรนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็น
00:00:39 → 00:00:42 ไมเกรนจริงๆน่าจะไม่ถึง 50%
00:00:42 → 00:00:48 >> อือ
00:00:48 → 00:00:58 [เพลง]
00:00:58 → 00:01:01 สวัสดีค่ะหมอนุ่มนะคะยินดีต้อนรับสู่ราย
00:01:01 → 00:01:05 การเนkเปิดโรคสุขภาพสมองนะคะรายการสาระดี
00:01:05 → 00:01:07 ๆที่จะทำให้เรารู้จักสมองของเรามากยิ่ง
00:01:07 → 00:01:09 ขึ้นนะคะและหัวข้อวันนี้นะคะสำคัญมากๆเลย
00:01:09 → 00:01:12 ก็คือเกี่ยวกับไมเกรนนั่นเองนะคะปัจจุบัน
00:01:12 → 00:01:14 นะคะเรารู้แล้วว่าไมเกรนเนี่ยการรักษา
00:01:14 → 00:01:17 หรือว่าโรคไมเกรนเนี่ยมันพัฒนาไปไกลมากๆ
00:01:17 → 00:01:20 นะคะแต่ทำไมนะคะคนไข้ส่วนใหญ่ไมเกรนโดย
00:01:20 → 00:01:22 เฉพาะในประเทศไทยยังถึงกับต้องทนกับ
00:01:22 → 00:01:25 ไมเกรนอยู่นะคะวันนี้เราจะมาคุยหัวข้อนี้
00:01:25 → 00:01:28 กันแบบดิฟๆเลยค่ะแล้ววันนี้นะคะหมอก็มี
00:01:28 → 00:01:31 แขกรับเชิญพิเศษนะคะสำคัญมากๆนะคะก็คือ
00:01:31 → 00:01:34 อาจารย์บอลวรรณกรรัตนนั่นเองค่ะสวัสดีค่ะ
00:01:34 → 00:01:36 >> สวัสดีค่ะสวัสดีครับสวัสดีพี่นุ่มนะคะ
00:01:36 → 00:01:38 สวัสดีทุกคนนะครับก็หมอบอลนะครับ
00:01:38 → 00:01:42 >> ค่ะก็เดี๋ยวจะขออนุญาตนะคะแนะนำอาจารย์
00:01:42 → 00:01:43 บอลหรือว่าน้องบอลก่อนนะคะหมอขอเรียกน้อง
00:01:44 → 00:01:47 บอลเนาะจะได้คุยกันสบายๆนะคะซึ่งเราเนี่ย
00:01:47 → 00:01:50 ก็มีโอกาสเจอกันในงานประชุมต่างๆทั้งเอ่อ
00:01:50 → 00:01:52 ในประเทศทั้งต่างประเทศนะคะแล้วอาจารย์ก็
00:01:52 → 00:01:55 มีโอกาสไปพรีเซนงานวิจัยที่ทำเองเนี่ยใน
00:01:55 → 00:01:58 ระดับนานาชาติด้วยนะคะซึ่งหัวข้อที่
00:01:58 → 00:02:00 อาจารย์ทำเนี่ยเนี่ยเป็นหัวข้อที่น่าสนใจ
00:02:00 → 00:02:02 มากๆก็คือเกี่ยวกับปัญหาของการรักษา
00:02:02 → 00:02:05 ไมเกรนว่าทำไมเนี่ยคนไข้ไมเกรนเนี่ยทั้งๆ
00:02:05 → 00:02:08 ที่การรักษาไมเกรนมันไปไกลขนาดนี้แต่ทำไม
00:02:08 → 00:02:10 เหมือนการรักษามันยังอยู่กับที่หรือว่า
00:02:10 → 00:02:13 ปัญหามันอยู่ที่จุดไหนนะคะวันนี้เราจะมา
00:02:13 → 00:02:16 คุยเรื่องนี้แบบดิฟๆกันเลยนะคะเนาะก็
00:02:16 → 00:02:19 >> ใช่ก็เอ่อน้องบอดคะก็คือเดี๋ยวนี้เรารู้
00:02:19 → 00:02:21 แล้วเนาะว่าปัจจุบันการรักษาไมเกรนมันคือ
00:02:21 → 00:02:25 แบบไปไกลมากๆนะคะเรารู้แล้วว่าไมเกรนนั้น
00:02:25 → 00:02:28 ไม่ใช่โรคที่แบบแค่คนไข้แบบแค่ Juster
00:02:28 → 00:02:30 Head อ่ะไม่ใช่แค่ปวดหัวไม่ใช่แค่ความ
00:02:30 → 00:02:34 เครียดไม่ใช่แค่คนไข้แบบคิดไปเองเรารู้
00:02:34 → 00:02:37 เรื่องของกลไกแล้วก็เรื่องของยาใหม่ๆเยอะ
00:02:37 → 00:02:38 มากเลยใช่มั้ยคะ
00:02:38 → 00:02:41 >> ถูกต้องครับเอ่อพี่นุ่มแล้วก็จริงๆไมเกรน
00:02:41 → 00:02:43 อ่ะมันไปไกลมากอย่างที่พี่นุ่มพูดเลยมัน
00:02:44 → 00:02:46 ไม่ใช่โรคแค่เรื่องของการปวดหัวอย่าง
00:02:46 → 00:02:48 เดียวนะเพราะว่าจริงๆเรารู้ว่าไมเกรน
00:02:49 → 00:02:52 เนี่ยมันประกอบไปด้วยอาการเยอะมากๆที่มัน
00:02:52 → 00:02:54 นำมาสู่การประกอบการกลายเป็นไมเกรน
00:02:54 → 00:02:56 >> ไม่มีแค่เรื่องของการปวดแต่ยังมีเรื่อง
00:02:56 → 00:02:59 ของการแพ้แสงแสงแพ้เสียงมีเรื่องของ
00:02:59 → 00:03:01 เคลื่อนไส้อาเจียนแล้วนอกจากนั้นมันยัง
00:03:01 → 00:03:04 ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมากดังนั้น
00:03:04 → 00:03:07 นี่คือสิ่งที่เรารู้แล้วว่าโอไมเกรนน่ะ
00:03:07 → 00:03:08 ไม่ใช่แค่เรื่องของปวด
00:03:08 → 00:03:08 >> อื
00:03:08 → 00:03:09 >> นั่นเอง
00:03:09 → 00:03:13 >> ซึ่งเราก็แบบเหมือนมันมีกลไกที่มันแบบ
00:03:13 → 00:03:16 อธิบายได้เนาะชัดเจนแล้วว่าคือพี่ใช้คำ
00:03:17 → 00:03:19 ว่าเดี๋ยวนี้มันเป็นยุคใหม่ของแบบไมเกรน
00:03:19 → 00:03:20 เลยอ่ะเหมือนแบบความรู้เมื่อ 10 ปีที่
00:03:20 → 00:03:22 แล้วกับความรู้ 10 ปีเนี้ยมันคือแบบคนละ
00:03:22 → 00:03:25 เรื่องกันเลยเนาะเรารู้ว่ามันมีสารสื่อ
00:03:25 → 00:03:26 ประสาทต่างๆ
00:03:26 → 00:03:29 >> ที่เกี่ยวข้องกับไมเกรนนะคะแล้วก็รวมถึง
00:03:29 → 00:03:31 ยาใหม่ๆด้วยใช่มั้คะที่มันมา
00:03:31 → 00:03:33 >> ใช่ใช่เลยครับพี่นุ่ม
00:03:33 → 00:03:35 >> คือเมื่อก่อนน่ะเชื่อมว่าถ้าเราย้อน
00:03:35 → 00:03:38 ประวัติศาสตร์เคุยกันเล่นๆใช่มั้ครับย้อน
00:03:38 → 00:03:39 ประวัติศาสตร์เนี่ยจริงๆอ่ะไมเกรนเมื่อ
00:03:39 → 00:03:42 ก่อนเ่ะเชื่อว่าเฮ้ยมันเป็นโรคของแบบเส้น
00:03:42 → 00:03:45 เลือดพี่นุ่มใช่มแล้วเราเพราะว่าคนไข้
00:03:45 → 00:03:47 ไมเกรนเนี่ยปรากฏตอนแรกเนี่ยบอกว่าเฮ้ย
00:03:47 → 00:03:50 มันแบบเส้นเลือดมันตุ๊บๆเวลาเราปวดหัวใช่
00:03:50 → 00:03:51 มั้ครับคนที่แบบเป็นไมเกรนก็จะรู้ว่าปวด
00:03:51 → 00:03:52 หัวตุ๊บๆ
00:03:52 → 00:03:55 >> ปรากฏว่าที่ผ่านมาก็เลยบอกเฮ้ยมันคือเกิด
00:03:55 → 00:03:56 จากเส้นเลือด
00:03:56 → 00:03:56 >> อ้า
00:03:56 → 00:03:58 >> ซึ่งแบบว่าการรักษาในอดีตพี่นุ่มทำอะไร
00:03:58 → 00:04:00 รู้ป่ะเจาะเอาเลือดออกมา
00:04:00 → 00:04:02 >> อ่าใช่ในสมัยอดีต
00:04:02 → 00:04:05 >> ซึ่งปรากฏมันรักษาไม่ได้ถูกต้องมันรักษา
00:04:05 → 00:04:08 ไม่ได้นะครับจนกระทั่งเนี่ยในปัจจุบัน
00:04:08 → 00:04:10 เชื่อหรือไม่ว่าจริงๆเราค้นพบอย่างที่พี่
00:04:10 → 00:04:14 นุ่มพูดเลยเราค้นพบศาลตัวนึงชื่อ CGRP
00:04:14 → 00:04:14 >> อื
00:04:14 → 00:04:16 >> จริงๆถ้าเล่าประวัติศาสตร์ CGRP อีกนิด
00:04:16 → 00:04:19 นึงก็คือว่าจริงๆอ่ะค้นพบตั้งแต่ 1989
00:04:19 → 00:04:22 เลยนะพี่นุ่งก่อนผมเกิดอีกแล้วค้นพบโดย
00:04:22 → 00:04:25 เอ่อเอิsonนะครับแล้วก็ P J GodY ซึ่ง
00:04:25 → 00:04:28 เป็นอาจารย์ผมเองตอนอ
00:04:28 → 00:04:32 ก็เก็ไปทำกันเฮ้ยเราลองมาดูซิมันมีเจอสาร
00:04:32 → 00:04:34 ตัวนึงอยู่ดีๆมันทำให้เส้นเลือดมันขยาย
00:04:34 → 00:04:34 ได้
00:04:34 → 00:04:35 >> อ
00:04:35 → 00:04:37 >> แล้วปรากฏว่าเขาก็เลยลองโอโอเคแสดงว่าสาร
00:04:37 → 00:04:41 ตัวเนี้ยแล้วมันเจอเยอะมากในบริเวณของ
00:04:41 → 00:04:42 สมองนั่นเองพี่นุ่ม
00:04:42 → 00:04:45 >> พอหลังจากที่เขาบอกถ้างั้นเราลองเอาสาร
00:04:45 → 00:04:48 ตัวนี้นะมาฉีดในคนไข้ดูซิเราเรียกว่าสิ่ง
00:04:48 → 00:04:50 นี้นะครับมันเป็นงานวิจัยนะเอ่อผ่านเอติ
00:04:50 → 00:04:54 นะครับไม่ได้ผิดกฎอะไรนะก็ฉีดลงมาในคนไข้
00:04:54 → 00:04:56 ปรากฏเฮ้ยคนไข้ปวดหัวจริง
00:04:56 → 00:04:56 >> อือื
00:04:56 → 00:04:58 >> แล้วพอเสร็จแล้วเขาก็เลยบอกว่างั้นเราลอง
00:04:58 → 00:05:01 เอาสารตัวนี้ออกไปจากคนไข้ซิจะเกิดอะไร
00:05:01 → 00:05:04 ขึ้นเฮ้ยคนไข้หายปวดหัวเราก็เลยมั่นใจ
00:05:04 → 00:05:08 แล้วว่าสิ่งเแหละก็คือเจ้าสาร CGRP หรือ
00:05:08 → 00:05:10 ที่เรียกว่าแalconyin gen related
00:05:10 → 00:05:13 peptide นะครับสารตัวเนี้ยเป็นตัวที่ทำ
00:05:13 → 00:05:15 ให้เส้นเลือดแมงขยายแล้วนำไปสู่อาการปวด
00:05:15 → 00:05:17 หัวนั่นเองอ
00:05:17 → 00:05:17 >> ค่ะ
00:05:17 → 00:05:20 >> หลังจากที่เราค้นพบมาเลยครับพี่นุ่มจนถึง
00:05:20 → 00:05:24 ตอนนี้ก็คือผ่านไปประมาณปี 2018
00:05:24 → 00:05:24 >> อื
00:05:24 → 00:05:26 >> เราเลยได้ยาตัว
00:05:26 → 00:05:28 ขึ้นมาแล้วนั่นคือการ
00:05:28 → 00:05:32 >> ผมใช้คำว่า revolutioniz เปลี่ยนโลกของคน
00:05:32 → 00:05:34 ไข้ไมเกรนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึง
00:05:34 → 00:05:35 ปัจจุบัน
00:05:35 → 00:05:37 >> อืถูกต้องเลยก็แบบพี่ก็รู้สึกว่าแบบเวลา
00:05:37 → 00:05:39 พี่บอกคนไข้พี่ก็จะบอกเหมือนกันเลยนะว่า
00:05:39 → 00:05:42 มันคือยุคใหม่แล้วนะคะมันคือยุคของ CGP
00:05:42 → 00:05:44 เมื่อก่อนน่ะมันคือยุคของการแบบใช้ยาแก้
00:05:44 → 00:05:47 ปวดคนไข้ไม่เข้าใจว่ามันมียารักษานะแต่
00:05:47 → 00:05:50 ปัจจุบันน่ะมันมียาที่มันเหมือนไปรักษา
00:05:50 → 00:05:52 ที่ตัวโรคจริงๆที่เป็นเหมือนไมเกรน
00:05:52 → 00:05:54 specific จริงๆอ่ะค่ะแล้วก็สามารถ
00:05:54 → 00:05:58 เปลี่ยนแปลงของการดำเนินโรคได้ทีเนี้ย
00:05:58 → 00:06:01 โอเคเราเรารู้แล้วว่าในในเมื่อมันมาสู่
00:06:01 → 00:06:04 ยุค CGRP เนาะซึ่งจริงๆนะคะเราคุยกันนะ
00:06:04 → 00:06:07 วันนี้นะยังเป็นยุค CGRP เดี๋ยวอีก 5 ปี
00:06:07 → 00:06:10 อีก 10 ปีอ่าเปลี่ยนยุคนะคะเราก็ต้องติด
00:06:10 → 00:06:13 ตามกันต่อไปแต่ณวันนี้ก็ยาที่มีมาทั้งหมด
00:06:13 → 00:06:16 ก็ยังจะออกฤทธิ์ที่ตรงนี้เป็นหลักนะคะที
00:06:16 → 00:06:20 นี้เนี่ยคำถามต่อมาคือในเมื่อยาเนี่ยเขา
00:06:20 → 00:06:23 อุตส่าห์ค้นพบมาตั้ง 30 ปีคิดค้นมา 30 ปี
00:06:23 → 00:06:25 แล้วก็ใช้มาจนเกือบ 10 ปีแล้วเนี่ยแต่
00:06:25 → 00:06:28 ทำไมอ่ะในทุกวันเนี้ยคนไข้ไมเกรนส่วนใหญ่
00:06:28 → 00:06:31 ที่เราเจอกันกลับยังมาด้วยไมเกรนเรื้อรัง
00:06:31 → 00:06:34 มาด้วยไมเกรนที่ติดยาแก้ปวดนะคะซึ่งคนไข้
00:06:34 → 00:06:37 ไม่ได้อยากติดยานะแต่เขาอ่ะสมองของเขาอ่ะ
00:06:37 → 00:06:40 มันต้องการยาแก้ปวดทำให้เขาปวดหัวมากขึ้น
00:06:40 → 00:06:44 นะคะปัญหามันอยู่ตรงไหนนะคะมันเกิดจาก
00:06:44 → 00:06:46 อะไรนะคะซึ่งอันเนี้ยนับถืออาจารย์บอลมาก
00:06:46 → 00:06:48 ๆนับถือน้องบอลมากๆนะคะมีโอกาสได้เก็บงาน
00:06:48 → 00:06:51 วิจัยตรงนี้ในระดับอาเชียนเลยว่าคนปัญหา
00:06:51 → 00:06:53 ของการรักษาคนไข้ไมเกรนในปัจจุบันเนี่ย
00:06:53 → 00:06:55 มันมีอะไรบ้างปัญหาปหาอยู่ที่อะไรบ้าง
00:06:55 → 00:06:58 อยากให้น้องบอลเล่างานวิจัยที่น้องบอลได้
00:06:58 → 00:07:00 ทำอันนี้เรามีโอกาสได้ไปพรีเชนที่ต่าง
00:07:00 → 00:07:03 ประเทศอย่างนี้ด้วยค่ะเล่าให้ทุกคนได้ฟัง
00:07:03 → 00:07:05 ได้มั้คะว่าปัญหาอยู่ตรงไหน
00:07:05 → 00:07:08 >> ครับขอบคุณพี่นุ่มนะครับคือจริงๆตัว study
00:07:08 → 00:07:11 นี้จริงๆตอนนี้ก็คือเรายัง ongoing data
00:07:11 → 00:07:13 อยู่นะครับยังเรายังเก็บข้อมูลกันอยู่แต่
00:07:13 → 00:07:16 ว่าตอนนี้ก็เก็บมาได้พอสมควรแล้วแล้วก็ผม
00:07:16 → 00:07:20 ว่าเราก็พอเอาไปเปิดเผยได้บ้างนะครับ
00:07:20 → 00:07:23 >> ตัว study เชื่อว่าเจ้า Study ครับ SE
00:07:23 → 00:07:26 เนี่ยจริงจริงมันเป็นชื่อเก๋ๆแหละผมตั้ง
00:07:26 → 00:07:28 เองนะคือจริงๆมันมาจาก South Asia Local
00:07:28 → 00:07:31 Bridge นะครับ on migraine treatment
00:07:31 → 00:07:34 >> นะครับคำว่าanceเนี่ยจริงๆแปลว่ายาแนวนะ
00:07:34 → 00:07:38 คือคำว่ายาแนวอ่าเราอ่ะจะพยายามหาเ้า
00:07:38 → 00:07:41 เรียกว่าการอุดช่องโหว่ของคนไข้ไมเกรนว่า
00:07:41 → 00:07:45 เราจะมีวิธีอะไรบ้างแล้วมันเกิดปัญหาอะไร
00:07:45 → 00:07:48 ในการรักษาที่เราทำให้คนไข้คนนึงกลายเป็น
00:07:48 → 00:07:51 แบบจากปวดหัวน้อยๆแล้วก็แบบเอ่อกลายเป็น
00:07:51 → 00:07:53 ว่าเขาปวดหัวเยอะๆ
00:07:53 → 00:07:55 >> ใช่มั้ครับเราจะป้องกันตรงนี้ยังไงอะไร
00:07:55 → 00:07:59 คือปัญหาที่ทำให้คนให้เข้าไม่ถึงการรักษา
00:07:59 → 00:08:02 มันก็เลยเป็นที่มาของ Study นี้ครับ
00:08:02 → 00:08:04 >> โดยที่ Study นี้จริงๆเป็นความโชคดีมาก
00:08:04 → 00:08:08 เราได้รับความร่วมมือจากเอ่อเพื่อนๆเอ่อ
00:08:08 → 00:08:11 รอบๆเซลฟิเอเชียเนี่ยทั้งหมด 6 ประเทศ
00:08:11 → 00:08:13 >> นะครับแล้วก็เป็นProfเฟessเซอร์ทั้งนั้น
00:08:13 → 00:08:16 เลยนะที่อยู่ในระแวกนี้พี่นุ่มแล้วก็แล้ว
00:08:16 → 00:08:17 ก็เขาก็มาช่วยกันเพราะเขาเห็นว่ามันเป็น
00:08:17 → 00:08:20 ความสำคัญจริงๆปัจจุบันเราเก็บdata้า
00:08:20 → 00:08:23 เนี่ยเราเล็งไว้ว่าประมาณเอ่อdata้าตรง
00:08:23 → 00:08:25 นี้เราอยากจะเก็บจากคุณหมอก่อนคือเราอยาก
00:08:25 → 00:08:29 ทราบว่าในแนวคิดของคุณหมอในการรักษาณ
00:08:29 → 00:08:33 ปัจจุบันมันเกิดช่องว่างอะไรบ้างนั่นเอง
00:08:33 → 00:08:35 แล้วก็แล้วซึ่งปัจจุบันก็คือตอนนี้เรา
00:08:35 → 00:08:38 เก็บมาได้แล้วประมาณ 133 ท่านนะครับเป้า
00:08:38 → 00:08:42 หมายเราจริงๆอยากได้เป็นพันนะเพราะว่าเรา
00:08:42 → 00:08:45 หมอจริงๆที่เป็นหมอสมองทั่วเซาฟิสเอเชีย
00:08:45 → 00:08:48 จริงๆผมว่าเราน่าจะมีเกือบ 5,000 ท่านดัง
00:08:48 → 00:08:50 นั้นอันนั้นก็คือที่เราเล็งไว้แต่ก็ไม่
00:08:50 → 00:08:54 รู้จะได้ถึงขนาดไหนนะพี่นุ่มแต่ว่าสิ่ง
00:08:54 → 00:08:57 ที่เราเก็บเนี่ยเราเก็บทั้งหมด 4 หัวข้อ
00:08:57 → 00:09:00 คือ 1 การวินิจฉัย 2 ก็คือยาแก้ปวด
00:09:00 → 00:09:01 >> อ
00:09:01 → 00:09:03 >> 3 ก็คือเราเก็บเรื่องของยาป้องกันแล้วก็
00:09:03 → 00:09:05 4 เนี่ยคือเราไปเก็บเรื่องของเา้าเรียก
00:09:05 → 00:09:08 ว่าคุณภาพชีวิตนะครับกับอีกอย่างนึงคือ
00:09:08 → 00:09:10 เราเรียกว่าสติม
00:09:10 → 00:09:13 >> ซึ่งเดี๋เราค่อยมาคุยกันอีกทีนึงเนาพี่นุ
00:09:13 → 00:09:16 อีกทีอืงั้นอันแรกก่อนเลยก็คือเรื่องของ
00:09:16 → 00:09:19 การวินิจฉัยเนาะเอ่ออันเนี้ยที่จริงๆนะคะ
00:09:19 → 00:09:22 เป็นข้อมูลที่ยังแบบเ่ออย่างที่บอกยังคือ
00:09:22 → 00:09:24 ยังไม่ได้พับ publish นะคะยังยังเก็บอยู่
00:09:24 → 00:09:26 แต่ว่าที่อยากมาคุยให้ฟังคือรู้สึกว่ามัน
00:09:26 → 00:09:30 เป็นข้อมูลที่น่าสนใจมากๆแล้วแบบถ้าทุกคน
00:09:30 → 00:09:32 น่ะได้ตระหนักได้เห็นความสำคัญได้รู้ถึง
00:09:32 → 00:09:35 ปัญหาตรงเนี้ยเราไม่ต้องรอแบบ final ออก
00:09:35 → 00:09:37 มาแต่ว่าเราร่วมมือกันนะตั้งแต่วันนี้เลย
00:09:37 → 00:09:39 มันจะได้แก้ปัญหาของการรักษาไมเกรนใน
00:09:39 → 00:09:42 ปัจจุบันได้เลยเนาะอันแรกเลยปัญหาของการ
00:09:42 → 00:09:44 วินิจฉัยไมเกรนมันอยู่ตรงไหนบ้างคะ
00:09:44 → 00:09:47 >> อย่างแรกเลยนะพี่นุ่มสิ่งที่เราถามเลยนะ
00:09:47 → 00:09:47 ว่า
00:09:47 → 00:09:48 >> อ
00:09:48 → 00:09:51 >> เราอยากรู้ว่าคุณคิดว่าในประเทศไทยมี
00:09:51 → 00:09:53 คลินิกโรคปวดสิศีรษะไม่ว่าจะเป็นโรง
00:09:53 → 00:09:56 พยาบาลใหญ่หรือว่าโรงพยาบาลเอกชนหรือแม้
00:09:56 → 00:09:59 แต่คลินิกเองเนี่ยพอหรือไม่
00:09:59 → 00:09:59 >> อื
00:09:59 → 00:10:03 >> เชื่อหรือมั้คนตอบว่า 80% คิดว่าไม่พอ
00:10:03 → 00:10:04 >> อ่ะถูกต้อง
00:10:04 → 00:10:09 >> โอนี่คืออันแรกเลยก็คือเออเราจำนวนหมอที่
00:10:09 → 00:10:12 เข้าใจไมเกรนเนี่ยอันเนี้ก็น้อยมากๆซึ่ง
00:10:12 → 00:10:15 ในสถิติเนี้ยเป็นทุกประเทศ
00:10:15 → 00:10:18 >> ในละแวกนี้คือกลายเป็นว่าเราอ่ะแทบจะไม่
00:10:18 → 00:10:20 มีหมอที่ด้านนี้โดยตรง
00:10:20 → 00:10:20 >> อื
00:10:20 → 00:10:24 >> คือแม้แต่หมอneurรologิเองเนี่ยก็ก็ไม่พอ
00:10:24 → 00:10:27 คุณหมอระบบประสาทเองนะครับที่ที่ทำงาน
00:10:27 → 00:10:31 อยู่เนี่ยปรากฏว่าพอเราไปถามว่าเฮ้ยแล้ว
00:10:31 → 00:10:35 แล้ววันนึงเนี่ยจริงๆคุณดูปวดหัวเนี่ยกี่
00:10:35 → 00:10:38 คนไข้กี่คนเนี่ยเอาเป็นเดือนเลยนะเบอกว่า
00:10:38 → 00:10:41 เต้องดูปวดหัวเนี่ยนะหลายร้อยคนเลยนะพี่
00:10:41 → 00:10:45 นุ่มแล้วแบบแต่อันนั้นคือแค่ปวดหัวแล้ว
00:10:45 → 00:10:48 ลองคิดดูว่าถ้าเป็นหมอระบบประสาทนะครับ
00:10:48 → 00:10:52 คือผมมั่นใจเลยว่าแบบเอ่อผู้ฟังฟังที่ฟัง
00:10:52 → 00:10:54 อยู่ตรงนี้เนี่ยหมอประวัติศาสตร์ที่เราไป
00:10:54 → 00:10:56 เจอเไม่ได้ดูแค่ปวดหัวอย่างเดียวเดูหลอด
00:10:57 → 00:10:59 เลือดสมองตีบชักโอ้โห
00:10:59 → 00:11:01 >> ซึ่งมันกลายเป็นว่ามันไม่พอ
00:11:01 → 00:11:02 >> อื
00:11:02 → 00:11:05 >> แล้วปัญหาที่ตามมาคือแล้วเราถามว่าคุณมี
00:11:05 → 00:11:09 เวลาให้คนไข้ไมเกรนน่ะ 1 เคสอ่ะพี่นุ่ม
00:11:10 → 00:11:13 ใช่มให้เวลาเท่าไหร่เชื่อหรือไม่ว่าแบบ
00:11:13 → 00:11:16 ร้อยละ 80 อ่ะบอกว่ามีเวลาให้แค่ประมาณ
00:11:16 → 00:11:17 ไม่เกิน 10 นาที
00:11:17 → 00:11:18 >> อื
00:11:18 → 00:11:21 >> ซึ่งเรารู้ว่าหัวข้อที่เวลาเราคุยกันน่ะ
00:11:21 → 00:11:23 ครับพี่นุ่มเวลาเราคุยกับคนไข้ไมเกรนเรา
00:11:23 → 00:11:27 ต้องคุยถึงโรคเราคุยผลกระทบเราคุยยาเรา
00:11:27 → 00:11:30 คุยอะไรอย่างี้นะครับซึ่งอันเนี้นะผมเข้า
00:11:30 → 00:11:33 ใจคุณหมอทุกท่านเลยอ่ะว่ามันเกิดปัญหา
00:11:33 → 00:11:36 อย่างเงี้ยว่าแบบเราต้องดูคนไข้เยอะมากๆ
00:11:36 → 00:11:40 จริงๆแล้วเราไม่สามารถที่จะดีลกับคนไข้
00:11:40 → 00:11:43 ไมเกรนได้แบบองค์รวมขนาดนั้นอ
00:11:43 → 00:11:46 >> แล้วสิ่งเนี้ยมันนำมาสู่อะไรมันนำมาสู่
00:11:46 → 00:11:49 ว่าแล้วคุณคิดว่าแบบการวินิจฉัยในประเทศ
00:11:50 → 00:11:53 ไทยฮะมันเอ่อถูกต้องหมายถึงว่าคนไข้
00:11:54 → 00:11:55 ไมเกรนได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไมเกรน
00:11:55 → 00:11:56 จริงๆเนี่ย
00:11:56 → 00:11:57 >> อื
00:11:57 → 00:11:59 >> ซักกี่เปอร์เซ็นต์คุณหมอให้ความเห็นตรง
00:11:59 → 00:12:02 กันเลยนะครับว่าน่าจะไม่ถึง 50%
00:12:02 → 00:12:03 >> อื
00:12:03 → 00:12:06 >> แล้วเกิน 70% เนี่ยคนไข้เนี่ยต้องวนเวียน
00:12:07 → 00:12:09 กับการถูกวินิจฉัยผิดอย่างเงี้ยวนไป
00:12:09 → 00:12:12 ประมาณแบบเกินปีนะฮะพี่นุ่มเกือบร้อยละ
00:12:13 → 00:12:14 70% นะ
00:12:14 → 00:12:18 >> โหแสดงว่าใช่กลายเป็นว่าเราไม่ได้รับการ
00:12:18 → 00:12:20 รักษาที่ถูกต้องไม่ได้รับเอ่อเอ่อการ
00:12:20 → 00:12:22 วินิจฉัยที่ถูกต้องมันนำไปสู่การเปลี่ยน
00:12:22 → 00:12:24 แปลงไมเกรนเรารู้ว่าไมเกรนมันมีการ
00:12:25 → 00:12:27 เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาใช่มั้ยครับจากไมเกรน
00:12:27 → 00:12:30 น้อยๆเป็นไมเกรนยแย่ๆอย่างเงี้ยก็คือจาก
00:12:30 → 00:12:33 ตรงนี้เนี่ยแหละซึ่งตรงเนี้ยผมก็เลยคิด
00:12:33 → 00:12:35 ว่าหูมันเป็นเรื่องของ unmed needs หรือ
00:12:35 → 00:12:37 ว่าที่เรียกว่ามันเป็น gap ทั้งนั้นเลย
00:12:37 → 00:12:41 อ่ะพี่นุ่มใช่มั้ครับว่าว่าส่งผลต่อคนไข้
00:12:41 → 00:12:42 เนี่ย
00:12:42 → 00:12:45 >> อืซึ่งอันเนี้ยก็เป็นแบบข้อมูลที่แบบน่า
00:12:45 → 00:12:47 สนใจมากว่ามันไม่ใช่แค่ประเทศไทยนะมันคือ
00:12:47 → 00:12:49 ในเซาเอเชียเลยนะคะแต่
00:12:50 → 00:12:54 คือจริงๆจริงก็คือเห็นบุคลากรทางการแพทย์
00:12:54 → 00:12:58 มากว่าอย่างสมัยก่อนที่เรายังต้องเป็น
00:12:58 → 00:13:01 แพทย์ทั่วไปหรืออะไรอ่ะวันในวันนึงเรา
00:13:01 → 00:13:02 ตรวจคนไข้กันเยอะมากจริงๆ
00:13:02 → 00:13:03 >> ใช่
00:13:03 → 00:13:05 >> แล้วก็กลุ่มคนไข้ปวดศีรษะถือว่าเป็นกลุ่ม
00:13:05 → 00:13:10 คนไข้ที่เอ่อเรามีเวลาให้น้อยจริงๆนะคะ
00:13:10 → 00:13:13 เพราะว่ามันในปริมาณเคสที่เราต้องดูแลไหน
00:13:13 → 00:13:16 จะคนไข้ ICU ไหนจะคนไข้หนักไหนจะคนไข้
00:13:16 → 00:13:19 อะไรเนี่ยมันทำให้แบบเอ่อเรามีเวลากับคนๆ
00:13:19 → 00:13:21 นึงเนี่ยต้องแบบซักประวัติตรวจร่างกาย
00:13:21 → 00:13:24 วินิจฉัยให้เสร็จและนำไปสู่การที่แบบว่า
00:13:24 → 00:13:27 การรักษาเนี่ยการให้คำแนะนำมันไม่เพียงพอ
00:13:27 → 00:13:29 จริงๆนะคะซึ่งตรงนี้เนี่ยก็คิดว่ามันก็คง
00:13:29 → 00:13:32 ต้องเป็นปัญหาเชิงระบบที่เราก็คงจะต้อง
00:13:32 → 00:13:36 ค่อยๆพัฒนากันต่อไปนะคะในส่วนตัวคิดว่า
00:13:36 → 00:13:38 คือในเมื่อเรารู้ตรงนี้ละแต่สิ่งหนึ่งที่
00:13:38 → 00:13:41 เราอาจจะพอทำได้เลยเนาะคืออยากให้คนไข้
00:13:41 → 00:13:44 ที่ปวดหัวทุกคนน่ะค่ะพอมีแนวทางหรือว่า
00:13:44 → 00:13:47 รู้การจัดการตัวเองได้ระดับนึงหมายความ
00:13:47 → 00:13:50 ว่ายังไงหมายความว่าเราปวดหัวขึ้นมาเนี่ย
00:13:50 → 00:13:53 นะคะมันจะมีตั้งแต่เคสที่เป็นน้อยๆ
00:13:53 → 00:13:53 >> ใช่
00:13:53 → 00:13:56 >> กับเคสที่เป็นเรื้อรังนะคะเราคงไม่สามารถ
00:13:56 → 00:14:00 ให้เวลาเยอะๆกับเคสที่เป็นเ่อน้อยๆได้
00:14:00 → 00:14:03 ทั้งหมดนะคะแต่เคสที่จะเป็นเรื้อรังอ่ะ
00:14:03 → 00:14:07 อันเนี้ยคนไข้ต้องการspeปชalิistหรือเอ่อ
00:14:07 → 00:14:10 หมอเฉพาะทางจริงๆเพราะว่าคือไมเกรนเนี่ย
00:14:10 → 00:14:12 เมื่อก่อนน่ะพี่ก็เข้าใจนะสมัยตอนเป็น
00:14:12 → 00:14:15 แพทย์ใช้ทุนน่ะก็โอ้โหไมเกรนนี่คือง่าย
00:14:15 → 00:14:17 เลยสบายเหมือนจ่ายยาแก้ปวดกลับบ้านเอา
00:14:17 → 00:14:20 จริงเมาเป็นเหมาะสมองถึงเรื่อยรู้หมอสมอง
00:14:20 → 00:14:23 ตอนแรกๆก็ยังไม่ได้รู้ซึ้งขนาดนี้นะคะแต่
00:14:23 → 00:14:25 พอเหมือนเราได้มารักษาคนไข้ไมเกรนเยอะมาก
00:14:25 → 00:14:29 ๆถึงรู้ว่าไมเกรนมันเป็นโรคสมองที่มันแบบ
00:14:29 → 00:14:32 compleกซับซ้อนมากจริงๆและเมื่อมีการ
00:14:32 → 00:14:34 เปลี่ยนแปลงของในเชิงที่มันเป็นการ
00:14:34 → 00:14:36 เปลี่ยนแปลงของสมองไปแล้วจริงๆอ่ะระบบ
00:14:37 → 00:14:40 ความปวดการเจ็บปวดการตอบสนองต่อยาแก้ปวด
00:14:40 → 00:14:43 อะไรคือมันแบบเปลี่ยนไปหมดเลยรวมถึงภาวะ
00:14:43 → 00:14:46 ต่างๆที่เป็นพวกวิตกกังวลซึมเศร้าอะไรที่
00:14:46 → 00:14:48 มันแบบเจอเจอร่วมกันเยอะมากๆนะคะเพราะ
00:14:49 → 00:14:51 ฉะนั้นเนี่ยก็เดี๋ยวเดี๋ยววันเนี้ยจะมี
00:14:52 → 00:14:54 ทริกแนะนำนิดนึงให้คนไข้ที่รู้สึกว่าตัว
00:14:54 → 00:14:57 เองปวดหัวอ่ะปวดแค่ไหนที่ยังพอแบบ
00:14:57 → 00:14:58 >> อ
00:14:58 → 00:15:01 >> ไปดูแลตัวเองได้ซื้อยากินเองได้ปวดเลเวล
00:15:01 → 00:15:04 ไหนที่เลเวลเนี้ยอย่าซื้อยาแล้วนะต้องแบบ
00:15:04 → 00:15:07 เจอแพทย์เฉพาะทางจริงๆทำยังไงก็ได้อย่า
00:15:07 → 00:15:09 ให้เราเป็นไมเกรนเรื้อรังเพราะว่าถ้าเป็น
00:15:09 → 00:15:12 ไมเกนเรื้อรังเข้ามาแล้วมันรักษายากจริงๆ
00:15:12 → 00:15:14 นะคะเพราะฉะนั้นเราจะได้รู้ตัวเองนิดนึง
00:15:14 → 00:15:17 ว่าเราอ่ะอยู่เลเวลไหนเราควรจะไปหาใคร
00:15:17 → 00:15:19 เนาะงั้นก็เดี๋ยวจะมาสู่อันที่ 2 ก็คือ
00:15:19 → 00:15:22 เรื่องของเอ่อมันเป็นหัวข้อที่ 2 คือ
00:15:22 → 00:15:24 เรื่องของการใช้ยาแก้ปวดเฉียบพันธุใช่มั้
00:15:24 → 00:15:26 คะน้องบอลอ่ะการใช้ยาแก้ปวดเฉียบพันธุ์
00:15:26 → 00:15:29 เนี่ยเอ่อคือคนไข้ปวดหัวทุกคนเชื่อว่าอ่ะ
00:15:29 → 00:15:31 ทุกคนปวดหัวคงไม่มีใครแบบไปหาหมอแต่แรก
00:15:31 → 00:15:35 เลยแหละสิ่งแรกที่ทุกคนไปก็คือร้านยาหรือ
00:15:35 → 00:15:37 ซื้อยากินเองหรือถามเพื่อนนะคะเพราะ
00:15:37 → 00:15:41 ฉะนั้นเนี่ยทุกคนก็จะได้ยาแก้ปวดมานะคะ
00:15:41 → 00:15:45 อยากให้ทุกคนเนี่ยรู้จักคำว่า Medication
00:15:45 → 00:15:48 Overuse นะคะก็คือใช้ยามากเกินไปใช้ถึง
00:15:48 → 00:15:50 ไหนจุดไหนที่เรารู้สึกว่าแบบเนี้ยมันไม่
00:15:50 → 00:15:53 ได้แล้วนะกับอีกอันนึงที่เป็นน้องบอลได้
00:15:53 → 00:15:55 เก็บเปเปอร์หหรือตีพิมพ์งานวิจัยขึ้นมา
00:15:55 → 00:15:58 เลยอันนี้สำคัญมากๆอีกขานึงก็คือกลัวเกิน
00:15:58 → 00:16:01 ไปค่ะก็คือแบบว่าจะมีขาที่คนไข้แบบรู้สึก
00:16:01 → 00:16:03 ว่าไม่อยากกินยาแก้ปวดเดี๋ยวไตพังกลัว
00:16:04 → 00:16:06 เป็นโรคกระเพาะกลายเป็นว่าพอปวดหัวขึ้นมา
00:16:06 → 00:16:07 ทนเอา
00:16:07 → 00:16:07 >> อ
00:16:07 → 00:16:10 >> กลายเป็น underuse เกินไปนะคะวันนี้เราจะ
00:16:10 → 00:16:13 มาคุยเรื่องนี้กันก็คือทั้ง overuse เกิน
00:16:13 → 00:16:15 ไปใช้มากเกินไปแล้วก็ underuse เกินไป
00:16:15 → 00:16:18 เกิดผลเสียกับสมองของเรายังไงบ้างเดี๋ขอ
00:16:18 → 00:16:19 ให้น้องบอลเล่าให้ฟังเลยค่ะ
00:16:19 → 00:16:23 >> ได้เลยครับก็จริงๆหัวข้อ 2 หัวข้อนี้เป็น
00:16:23 → 00:16:26 หัวข้อใหญ่มากๆเลยนะครับพี่นุ่มจริงๆ
00:16:26 → 00:16:31 >> แล้วก็คืออย่างที่พี่นุ่มว่าเลยอ่ะยาแก้
00:16:31 → 00:16:33 ปวดฉุกเฉินเนี่ยหรือว่าที่เราจริงๆก็คือ
00:16:33 → 00:16:37 ยาแก้ปวดอ่ะเนาะมัน
00:16:37 → 00:16:40 ใช้มากก็คือมันจะเกิดสิ่งที่เรียกว่า
00:16:40 → 00:16:43 medication of use headache จริงๆก็
00:16:43 → 00:16:46 ไม่อยากใช้คำว่าติดยาเนาะเพราะว่ามันมัน
00:16:46 → 00:16:50 เหมือนเป็นการสร้างสติให้ผู้ป่วยแต่ว่าก็
00:16:50 → 00:16:52 แต่ว่าถ้าสมมติให้ให้เข้าใจง่ายอ่ะครับผม
00:16:52 → 00:16:55 ว่ามันก็อาจจะต้องใช้คำนี้มันประพฤติตัว
00:16:55 → 00:16:58 ก็คล้ายๆกับการติดยาจริงๆเพราะว่า
00:16:58 → 00:17:01 >> เวลาคนเราเนี่ยคือใช้ยาแก้ปวดมากจนเกินไป
00:17:02 → 00:17:02 เนี่ย
00:17:02 → 00:17:04 >> สิ่งที่ตามมาคือ
00:17:04 → 00:17:06 >> มันไปยุ่งกับระบบสมอง
00:17:06 → 00:17:07 >> อื
00:17:07 → 00:17:09 >> แล้วพอมันยุ่งกับระบบสมองมันทำให้สมอง
00:17:09 → 00:17:12 เนี่ยมันเหมือนกับทนความเจ็บปวดได้น้อยลง
00:17:12 → 00:17:14 คือยาแก้ปวดเนี่ยจริงๆมันเป็นข้อดีนะครับ
00:17:14 → 00:17:17 >> อือหน้าที่ยาแก้ปวดคือมันต้องทำให้อาการ
00:17:17 → 00:17:19 ปวดเหายใน 2 ช่โมง
00:17:19 → 00:17:19 >> อือ
00:17:19 → 00:17:23 >> แต่พอทุกครั้งทุกครั้งที่เรากินเข้าไป
00:17:23 → 00:17:26 เนี่ยมันไปยุ่งกับเขาเรียกว่าตัวรับใน
00:17:26 → 00:17:29 สมองอ่ะพี่นุ่มแล้วมันทำให้สมองมันไวขึ้น
00:17:29 → 00:17:32 ดังนั้นพอถามว่าไวขึ้นมันคืออะไรมันก็คือ
00:17:32 → 00:17:35 ครั้งหน้ามันโอกาสที่จะปวดอ่ะมันง่ายขึ้น
00:17:35 → 00:17:37 >> นั่นเองดังนั้นพอมันเป็นอย่างี้ปุ๊บเนี่ย
00:17:37 → 00:17:41 มันก็เลยกลายเป็นว่าพอเรากินยาปุ๊บอ่ะหาย
00:17:41 → 00:17:44 หายเสร็จปุ๊บมันไวไวเสร็จก็กลับมาปวดใหม่
00:17:44 → 00:17:45 >> อือ
00:17:45 → 00:17:47 ให
00:17:47 → 00:17:49 เร่ง
00:17:49 → 00:17:52 เราก็เรียกว่าแล้วมันนำไปสู่การใช้ยาแก้
00:17:53 → 00:17:55 ปวดที่มากจนเกินไปเรียกว่า Medication
00:17:55 → 00:17:56 Overuse headache
00:17:56 → 00:17:58 >> ทีนี้โดยนิยามของ Medication Overuse
00:17:58 → 00:18:00 headache เนี่ยเนื่องจากว่ามันมีงาน
00:18:00 → 00:18:02 วิจัยเยอะมากนะครับ
00:18:02 → 00:18:06 >> มันจะต้องเกิดจากการที่ติดยาแก้ปวดเท่า
00:18:06 → 00:18:08 นั้นผมวงเล็บมั้ครับว่าจะเป็นกลุ่มยาแก้
00:18:08 → 00:18:12 ปวดเราจะแยกมายาแก้ปวดเนี่ยประมาณสัก 3-4
00:18:12 → 00:18:15 กลุ่มอย่างแรกก่อนก็คือพาราเซตามอลพวกนี้
00:18:15 → 00:18:18 นะคือ 1 ในตัวที่ติด
00:18:18 → 00:18:18 >> อ
00:18:18 → 00:18:20 >> ได้เลยนะครับ
00:18:20 → 00:18:23 >> เอ่ออันที่ 2 ก็คือเป็นพวกตระกูลยาแก้เศษ
00:18:23 → 00:18:27 เอเสตใช่มั้ครับเอ่าทั้งหลาย 3 อันเนี้ก็
00:18:27 → 00:18:30 จะเป็นกลุ่มที่เป็นเรียกว่าไกรน specific
00:18:30 → 00:18:33 หรือว่าที่เรียกว่ายาแก้ปวดใช่ที่รักษา
00:18:33 → 00:18:35 ไมเกรนอันนี้เราเรียกว่ากลุ่มทริปแทนนะ
00:18:35 → 00:18:35 ครับ
00:18:36 → 00:18:38 >> แล้วอันที่ 4 ก็คือต้องระวังมากๆเลยก็คือ
00:18:38 → 00:18:41 ตระกูลเอ่อopีอ
00:18:41 → 00:18:44 >> นะครับซึ่งเราคงจะต้องมาคุยหรือopอยกัน
00:18:44 → 00:18:46 หนักๆจริงๆแหละพี่นุ่มเพราะว่าอันนี้ก็
00:18:46 → 00:18:48 เป็นหนึ่งในปัญหาอย่างมาก
00:18:48 → 00:18:50 >> ทีนี้พอเราทานพวกนี้เยอะคำถามเยอะเนี่ย
00:18:50 → 00:18:51 คือเท่าไหร่
00:18:51 → 00:18:51 >> อือ
00:18:52 → 00:18:54 >> คำตอบก็คือว่าจริงๆแล้วเนี่ยถ้าเป็นกลุ่ม
00:18:54 → 00:18:57 พาราหรือว่าเอเศสอ่ะครับพวกนี้จริงๆคือ 15
00:18:57 → 00:19:01 เม็ดต่อเดือนเป็นระยะเวลา 3 เดือนอือฮึ
00:19:01 → 00:19:04 >> ในขณะที่ถ้าสมมุติว่าเป็นเอ่อตระกูลmrน
00:19:04 → 00:19:06 specific specific หรือว่าเป็นพวก opil
00:19:06 → 00:19:10 เนี่ยทริปแทนหรือว่า op เนี่ยคือ 10 เม็ด
00:19:10 → 00:19:13 ต่อเดือนเป็นระยะเวลามากกว่า 3 เดือนก็
00:19:13 → 00:19:17 เท่ากับว่าคุณน่ะก็คือมีแนวโน้มที่จะใช้
00:19:17 → 00:19:19 ยาเกินและนำไปสู่อาการปวดหัว
00:19:19 → 00:19:20 >> อค่ะ
00:19:20 → 00:19:23 >> ทีนี้เชื่อหรือไม่ว่าจริงๆอ่ะไอ้ยาแก้ปวด
00:19:23 → 00:19:25 ที่บอกว่า MOH นะพี่นุ่ม
00:19:25 → 00:19:28 >> คือมันกินแล้วอ่ะมันไม่ได้ดีนะเพราะว่า
00:19:28 → 00:19:30 มันกินแล้วกลายเป็นว่าเราปวดหัวทุกวัน
00:19:30 → 00:19:31 >> อื
00:19:31 → 00:19:33 >> ซึ่งอันนี้แหละคือปัญหาแล้วผมใช้คำว่า
00:19:33 → 00:19:37 เป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศเลยแล้วใน
00:19:37 → 00:19:39 seance study เราก็ได้ถามสิ่งนี้เหมือน
00:19:39 → 00:19:42 กันสิ่งที่เราพบอ่ะคือกลายเป็นว่าคนไข้
00:19:42 → 00:19:46 เนี่ยใช้ยาแบบopีออยเนี่ยเยอะมาก
00:19:46 → 00:19:47 >> อ่า
00:19:47 → 00:19:51 >> อันนี้ก็เป็นปัญหาแล้วก็คนไข้เองก็ไม่รู้
00:19:51 → 00:19:55 ว่าลิมิตจริงๆอ่ะมันคือเท่าไหร่เพราะว่า
00:19:55 → 00:19:57 อย่างที่บอกว่าเราไม่มีเวลาเราไม่มีเวลา
00:19:57 → 00:20:00 จริงๆแล้วบางทีกลายเป็นว่าเราไม่ได้บอกอ
00:20:00 → 00:20:03 >> อย่างเออเราต้องบอกเดือนนึงนะคุณห้ามกิน
00:20:03 → 00:20:05 เกิน 10 เม็ดนะอะไรเงี้ยผมอ่ะจะมักจะถอย
00:20:05 → 00:20:08 ตลอดอย่างเช่นเอ็นเศษนะพี่นุ่ง 15 เม็ดผม
00:20:08 → 00:20:11 ก็ไม่ให้กิน 15 นะให้กิน 10 เท่านั้นอะไร
00:20:11 → 00:20:13 อย่างเงี้ยใช่พี่ก็จะพูดกับคนไข้ตลอดเลย
00:20:13 → 00:20:15 เหมือนกันว่า definition นิยามอ่ะมันคือ
00:20:15 → 00:20:17 เป็นไปแล้วใช่
00:20:17 → 00:20:19 >> แต่เราไม่อยากให้คุณน่ะเป็นไปแล้วแล้ว
00:20:19 → 00:20:21 ค่อยมาเจอเราเพราะฉะนั้นน่ะพี่ให้คนไข้
00:20:21 → 00:20:25 ไม่ต้องจำหรอกว่ากินอันไหนพี่แบบรวมๆคือ
00:20:25 → 00:20:25
00:20:25 → 00:20:26 >> 10
00:20:26 → 00:20:28 >> 10 เนี่ยก็คือทุกตัวไปเลยเพราะว่าต่อให้
00:20:28 → 00:20:30 เป็นพาราเซตามอลก็ไม่เอาเกิน 10 เพราะเรา
00:20:30 → 00:20:33 ไม่อยากให้มันเละสายเกินไปและ 10 เนี่ย
00:20:33 → 00:20:34 จริงๆต้องถอยด้วยนะ
00:20:34 → 00:20:37 >> เพราะถ้าคุณกิน 10 คือคุณเป็น medication
00:20:37 → 00:20:40 overuse แล้วพี่จะบอกคนไข้เสมอว่าถ้าคนๆ
00:20:40 → 00:20:43 เราอ่ะเวลากินยาแก้ปวดเดือนนึงอ่ะเกิน 6
00:20:43 → 00:20:46 เม 8 เมอ่ะมันไม่ใช่เรื่องปกติมันไม่ใช่
00:20:46 → 00:20:49 การที่เราจะแบบซื้อยาไปร้านยาไปร้านประจำ
00:20:49 → 00:20:52 แล้วซื้อยามากินเราควรได้รับการวินิจฉัย
00:20:52 → 00:20:54 ที่ถูกต้องนะคะเพราะอันนึงที่เจอบ่อยเลย
00:20:54 → 00:20:55 นะคะ
00:20:55 → 00:20:58 >> 1 ก็คือไม่ใช่ไมเกรนคือคนไทยยังมีความ
00:20:58 → 00:21:01 เข้าใจว่าปวดหัวข้างเดียวไมเกรนปรากฏว่า
00:21:01 → 00:21:05 ก็ไปซื้อกลุ่มไมเกรนเนาะพวกเออกทริปนซึ่ง
00:21:05 → 00:21:07 ซึ่งปริมาณการใช้มันใช้ได้น้อยมากมันก็จะ
00:21:07 → 00:21:09 ติดง่ายกว่ามากทั้งๆที่จริงๆเขาอาจจะเป็น
00:21:09 → 00:21:10 แค่กล้ามเนื้อ
00:21:10 → 00:21:11 >> ใช่
00:21:11 → 00:21:13 ทะบ
00:21:13 → 00:21:15 ยาไม่ถูกกับโรค
00:21:15 → 00:21:18 >> หรืออีกอันนึงที่ก็คือเป็นไมเกรน
00:21:18 → 00:21:20 >> แต่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นไมเกรนอ่ะก็กินแต่
00:21:21 → 00:21:23 พาราเซตามอลไปมันก็ไม่หาย
00:21:23 → 00:21:27 >> แล้วก็ทำให้ใช้พาราเซตามอลเกินไปหรืออัน
00:21:27 → 00:21:29 อีกอันนึงที่น้องบอกก็คือว่ากลายเป็นว่า
00:21:29 → 00:21:32 ไปใช้กลุ่มโอิอยopีออยก็คือถ้าคนไข้ส่วน
00:21:32 → 00:21:34 ใหญ่ที่รู้จักก็คือพวกกลุ่มtramาดอ
00:21:34 → 00:21:38 tramorอค่ะพวกเนี้ยค่ะในทางตลาดก็จะเป็น
00:21:38 → 00:21:39 พวกแคปซูล
00:21:39 → 00:21:40 >> เม็ดเขียวเหลืองเหลื
00:21:40 → 00:21:44 อันนะคะอยากให้น้องบอลย้ำอีกนิดนึงว่าถ้า
00:21:44 → 00:21:46 คนไข้เป็นไมเกรนถ้าเรามั่นใจนะคะเราเป็น
00:21:46 → 00:21:50 ไมเกรนนะคะวันเนี้ยฟังเยอะๆฟังอะไรกลับ
00:21:50 → 00:21:52 บ้านไปไม่ได้ไม่รู้แต่ขอให้รู้ว่าเป็น
00:21:52 → 00:21:56 ไมเกรนอย่ากินโอิอยนะคะเพราะว่าการรักษา
00:21:56 → 00:21:58 การติดยอยมันยากมาก
00:21:58 → 00:22:01 >> ยากมากเสริมของพี่นุ่มนิดนึงคือผมว่า
00:22:01 → 00:22:03 อันเนี้ยสำคัญมากเลยครับคนไทยอ่ะเข้าใจ
00:22:03 → 00:22:07 ผิดนะว่าปวดหัวครึ่งซีกแล้วเป็นไมเกรนน่ะ
00:22:07 → 00:22:11 คำตอบคือไม่ใช่นะครับไม่ใช่เสมอไปนะ
00:22:11 → 00:22:13 ไมเกรนเนี่ยมันเป็นโรคของสมองโดยตรงดัง
00:22:13 → 00:22:15 นั้นน่ะปกติเวลาเขาเป็นเนี่ยเขาจะแบบมี
00:22:15 → 00:22:18 การสลับค่ามีอะไรอย่างเงี้ยแล้วเอย่างที่
00:22:18 → 00:22:20 บอกว่าไมเกรนต้องมีโรคร่วมเสมอมีอาการ
00:22:20 → 00:22:24 ร่วมต้องคลื่นไส้ต้องอาเจียนต้องแพ้แสง
00:22:24 → 00:22:28 แพ้เสียงกลิ่นไวแบบซึ่งหลายครั้งอ่ะคนไทย
00:22:28 → 00:22:31 เนี่ยครึ่งซีกปุ๊บแต่เป็นข้างเดียวตลอด
00:22:31 → 00:22:33 แล้วคืออย่างที่พี่นุ่มว่าเลย
00:22:33 → 00:22:36 >> เชื่อหรือไม่ว่าจริงๆ miss diดาisหรือว่า
00:22:36 → 00:22:38 ที่เราวินิจฉัยผิดมากที่สุดจริงๆอ่ะคือคน
00:22:38 → 00:22:41 ไข้อ่ะเป็นแค่แค่เอ่ออฟิศ syndrome
00:22:41 → 00:22:41 >> อ
00:22:42 → 00:22:45 >> แล้วกลายเป็นว่าได้ยามหาศาลพี่นุ่มเออมัน
00:22:45 → 00:22:48 ก็เป็นปัญหาอีกอันนึงจริงๆแล้วก็ดังนั้น
00:22:48 → 00:22:51 เนี่ยอย่างแรกเลยนะคือคือถ้าเราไม่มั่นใจ
00:22:51 → 00:22:54 อยากให้ไปเจอคุณหมอสักนิดนึงนะครับแล้วก็
00:22:54 → 00:22:56 แบบไปเจอว่าเออจริงๆเราเป็นอย่างี้หรือ
00:22:56 → 00:22:58 เปล่าอย่างี้เป็นต้นนะฮะ
00:22:58 → 00:22:59 >> อค่ะ
00:22:59 → 00:23:02 >> แล้วที่อีกอันนึงที่พี่นุ่มให้เน้นย้ำอ่ะ
00:23:02 → 00:23:04 ถูกต้องเลยครับคือคือ OP เนาะ
00:23:04 → 00:23:08 >> กลุ่ม OP ก็คืออย่างเช่นเม็ดแคปซูลเม็ด
00:23:08 → 00:23:10 เขียวเหลืองหรือว่าแบบหรือว่าบางทีเวลา
00:23:10 → 00:23:13 เราไปโรงพยาบาลแล้วได้พวกมอร์ฟีนเพทิดน
00:23:13 → 00:23:15 หรืออะไรอย่างเงี้นะครับอ
00:23:15 → 00:23:21 >> อยากจะย้ำอย่างี้ว่าไม่มีอยู่ในการรักษา
00:23:21 → 00:23:26 ใดๆของประเทศไหนในโลกเลยทุกประเทศเขียน
00:23:26 → 00:23:29 ว่าห้ามรวมถึงประเทศไทยเนี่ยนะครับห้าม
00:23:29 → 00:23:34 ใช้ OP ในการรักษาดังนั้นเนี่ยแต่มันก็ใน
00:23:34 → 00:23:37 ประเทศในบ้านเราเนื่องจากว่ามันก็หาพอหา
00:23:37 → 00:23:40 ได้ผมก็เลยแต่ขอเน้นย้ำและอยากจะย้ำใน
00:23:40 → 00:23:43 ฐานะที่เราเป็นหมอสมองกันทั้งคู่เนาะเรา
00:23:43 → 00:23:46 ก็ไม่อยากให้ผู้ป่วยใช้ค่ะ
00:23:46 → 00:23:51 >> เพราะมันรักษายากมากนะครับเวลาเราใช้ opil
00:23:51 → 00:23:55 เนี่ยมันไปยุ่งกับพารทวยที่คล้ายๆผมพูด
00:23:55 → 00:23:58 ตรงๆว่าคล้ายๆพาร์ทเวย์ของยาเสพิติดยาเสพ
00:23:58 → 00:23:59 ติด
00:23:59 → 00:24:00 >> มากๆเลย
00:24:00 → 00:24:02 >> แล้วมันไปผ่านสิ่งที่เราเรียกว่า reward
00:24:03 → 00:24:05 เหมือนเราได้รางวัลตลอดเวลากินยาแล้วเรา
00:24:05 → 00:24:07 ได้รางวัลแต่สุดท้ายรางวัลของเราคือการ
00:24:07 → 00:24:08 ปวด
00:24:09 → 00:24:09 ใช่
00:24:09 → 00:24:12 >> ซึ่งการรักษาโออยถือว่าการติดโออยถือว่า
00:24:12 → 00:24:13 แบบรักษายากที่สุดเมื่อเทียบกับการติดพวก
00:24:13 → 00:24:18 เออกหรือว่าชิปแทนด้วยซ้ำนะคะแต่ว่าก็คือ
00:24:18 → 00:24:21 เข้าใจที่มาที่ไปของในประเทศไทยอยู่เนาะ
00:24:21 → 00:24:23 คือในประเทศเราเนี่ยเมื่อสัก 10 กว่าปี
00:24:23 → 00:24:26 ก่อนการรักษาไมเกรนมันค่อนข้างจำกัดหมอ
00:24:26 → 00:24:28 ที่รู้จักไมเกรนหรือว่าเข้าใจแบบกลไกการ
00:24:28 → 00:24:31 เกิดโรคจริงๆหรือว่ายาที่มันจะเป็นไมมา
00:24:31 → 00:24:33 รักษาไมเกรนโดยจำเพาะจริงๆมันก็จำกัด
00:24:33 → 00:24:36 เพราะฉะนั้นเนี่ยคนไข้ที่เป็นไมเกรนมา
00:24:36 → 00:24:39 เกิน 10-20 ปีเขาจะไม่พ้น 3 กลุ่มนี้ค่ะ
00:24:39 → 00:24:42 พารซามอลเออามีนทิปแทนยังยากเลยส่วนใหญ่
00:24:42 → 00:24:44 ยุคนั้นเป็นยุคเออตามีนค่ะ
00:24:44 → 00:24:46 >> ยุคประมาณ 30 ปีก่อนนี่โอเป็นยุคเฟื่องฟู
00:24:46 → 00:24:50 ของเออกตามีนนะคะแล้วก็พอคนไข้กิน 2 ตัว
00:24:50 → 00:24:53 นี้ไม่หายมันก็เลยนำไปสู่ทราด
00:24:53 → 00:24:56 >> เพราะฉะนั้นเนี่ยมันก็เลยมีที่มาว่าทำไมณ
00:24:56 → 00:24:59 ณเวลาเนี้ยเราถึงเจอคนไข้กลุ่มที่ใช้
00:24:59 → 00:25:02 กลุ่มพวกนี้มาเยอะนะคะซึ่งก็ไม่อยากให้คน
00:25:02 → 00:25:05 ไข้นะคะที่ตอนเนี้ยฟังอยู่แล้วมีอาการแบบ
00:25:05 → 00:25:08 เราเข้าข่ายรู้สึกว่าเอ้ยเราน่าจะใช่ละ
00:25:08 → 00:25:11 อย่ารู้สึกโทษตัวเองหรือว่ารู้สึกแบบรู้
00:25:11 → 00:25:15 สึกผิดนะคะมันมีที่มาที่ไปของมันในการ
00:25:15 → 00:25:17 เรื่องของที่คนไข้ปวดหัวคนไข้จำเป็นต้อง
00:25:17 → 00:25:20 ใช้ยาและต้องใช้ยาแบบนี้เพราะอะไรที่ผ่าน
00:25:20 → 00:25:23 มามันเกิดขึ้นไปละแต่สิ่งที่อยากให้ทุกคน
00:25:23 → 00:25:26 รู้ก็คือว่าถึงแม้ว่าทุกคนนะคะถ้าใครที่
00:25:26 → 00:25:31 ติดไปแล้ว 1 รักษาได้นะคะปรึกษาแพทย์
00:25:31 → 00:25:33 เฉพาะทางนะคะโดยเฉพาะที่เป็นเรื่องเกี่ยว
00:25:33 → 00:25:36 กับอ่าแพทย์เฉพาะทางด้านปวดเฉะจริงจริงนะ
00:25:36 → 00:25:39 คะ 1 วินิจฉัยให้ถูกต้องแล้วก็ดูว่าเรา
00:25:39 → 00:25:41 อ่ะจำเป็นต้องใช้opอยจริงหรือเปล่าเราติด
00:25:41 → 00:25:44 จริงหรือเปล่ามันแก้ไขได้มันรักษาได้จริง
00:25:44 → 00:25:47 ๆนะคะอันที่ 2 คือคนที่ยังไม่ติดกำลังมี
00:25:47 → 00:25:50 ความเสี่ยงว่าเราจะกำลังใช้เยอะฟังณวัน
00:25:50 → 00:25:52 เนี้ยขอให้รู้นิดนึงถ้าเราไม่มั่นใจว่า
00:25:52 → 00:25:54 เราเป็นไมเกรนหรือเปล่าเราไปหาผู้เชี่ยว
00:25:54 → 00:25:57 ชาญก่อนขอคอนเฟิร์มนิดนึงถ้าเราใช่ไมเกรน
00:25:57 → 00:26:00 เราหยุดใช้โออยเลยค่ะเพราะมันไม่ได้ไป
00:26:00 → 00:26:02 ยุ่งเกี่ยวกับขบวนการใดๆในสมองเกี่ยวกับ
00:26:02 → 00:26:05 ไมเกรนเลยนะคะแต่โอเคถ้าเราเป็นปวดหัว
00:26:05 → 00:26:08 ชนิดอื่นที่เราไม่ใช่ไมเกรนเราอาจจะมี
00:26:08 → 00:26:10 ความจำเป็นต้องใช้อันนั้นก็อยู่ใน
00:26:10 → 00:26:13 ดุลยพินิจของแพทย์อีกทีนึงนะคะก็จะฝากไว้
00:26:13 → 00:26:14 ประมาณนี้เนาะ
00:26:14 → 00:26:16 >> เห็นด้วยกับกับพี่นุ่มมากนะครับคือจริงๆ
00:26:16 → 00:26:19 การเกิดกระบวนการพวกนี้มันอยากจะบอกผู้
00:26:20 → 00:26:22 ป่วยว่าแบบอย่าโทษตัวเองจริงๆมันไม่ใช่
00:26:22 → 00:26:24 ความผิดเราหรอกเพราะว่า
00:26:24 → 00:26:27 >> ผมเข้าใจผู้ป่วยที่เป็นไมเกรนเนาะมัน
00:26:27 → 00:26:29 ทรมานจริงๆแล้วมันแบบ
00:26:29 → 00:26:32 >> มันทำอะไรไม่ได้แล้วแบบมัน
00:26:32 → 00:26:36 >> บางคนส่งลูกไปเรียนไม่ได้บางคนไปทำงานไม่
00:26:36 → 00:26:39 ได้บางคนสูญเสียรายได้อ่ะพี่นุ่ม
00:26:39 → 00:26:43 >> โอแล้วมันคือมันเป็นปัญหาจริงๆแล้วก็คือ
00:26:43 → 00:26:45 หลายคนน่ะอันเนี้คือเราคุยแบบหมายถึงว่า
00:26:45 → 00:26:48 ในทั่วโลกนะจริงๆมันเป็นทั่วโลกเลยนะทุก
00:26:48 → 00:26:51 คนน่ะคิดว่าไมเกรนอ่ะมันคือหลายคนไม่
00:26:51 → 00:26:53 เชื่อว่าไมเกรนเป็นโรคอ่ะ
00:26:53 → 00:26:57 >> ใช่มั้พี่นุ่มแล้วแบบโอแล้วคือเพราะว่า
00:26:57 → 00:26:58 เขาไม่เห็นไง
00:26:58 → 00:26:58 >> ค่ะ
00:26:58 → 00:27:01 >> เาไม่เห็นว่าไมเกรนน่ะมันส่งผลกระทบมาก
00:27:01 → 00:27:04 ขนาดไหนกับผู้ป่วยคนนึงอ่ะใช่ป่ะแล้วก็ใน
00:27:05 → 00:27:07 แต่ในขณะเดียวกันจริงๆแต่ไมเกรนน่ะมัน
00:27:07 → 00:27:09 เป็นเรื่องจริงปัจจุบันเราพิสูจน์ได้แล้ว
00:27:09 → 00:27:12 ว่าแบบมันมีสารจริงๆมีการเปลี่ยนแปลงการ
00:27:12 → 00:27:15 ทางสมองจริงๆซึ่งแบบ
00:27:15 → 00:27:18 >> เออแล้วผมก็เลยคิดว่าสิ่งเแหละเรามันควร
00:27:18 → 00:27:21 จะต้องเปลี่ยนวิธีคิดเปลี่ยนอะไรให้กับ
00:27:21 → 00:27:23 ผู้ป่วยเนาะแล้วก็แล้วก็อย่างที่บอกนะ
00:27:23 → 00:27:27 ครับจริงๆไมเกรน่ะดีขึ้นได้จริงๆนะอยากจะ
00:27:27 → 00:27:30 ให้ทุกคนแบบเราไม่ต้องกลัวที่เราเป็น
00:27:30 → 00:27:32 ไมเกรนแล้วเราออกมารักษามันถูก
00:27:32 → 00:27:35 >> ถูกค่ะเพราะคนไข้ส่วนใหญ่อ่ะกลายเป็นว่า
00:27:35 → 00:27:37 เดี๋ยวเราจะพูดเรื่องสติกมากันเนาะก็คือ
00:27:37 → 00:27:39 กลายเป็นว่าคนไข้อ่ะบางคนไม่กล้าบอกว่า
00:27:39 → 00:27:41 เป็นไมเกรนนะเพราะว่าคือเราได้ยินกันบ่อย
00:27:41 → 00:27:44 เลยแหละเอาจริงๆเวลาเราปวดหัวสมมุติว่า
00:27:44 → 00:27:46 เราเจอคนรอบข้างเอ้าทำไมวันนี้เป็นไรอ่ะ
00:27:46 → 00:27:50 ปวดหัวไมเกรนคือไมเกรนมันถูกใช้เป็นคำที่
00:27:50 → 00:27:52 เหมือนแปลว่าแค่ปวดหัวค่ะทั้งๆที่จริงๆ
00:27:52 → 00:27:55 ไมเกรนมันคือเป็นโรคอ่ะแบบโรคที่แบบ
00:27:55 → 00:27:57 >> โรคที่แบบซับซ้อนมากด้วยแล้วก็เกิดความ
00:27:57 → 00:28:00 ภาวะแทรกช้อนความเรื้อรังตามมาอย่างมาก
00:28:00 → 00:28:02 มายถ้าเราไม่จัดการตั้งแต่ต้นให้ดี
00:28:02 → 00:28:05 >> ซึ่งส่วนใหญ่อ่ะต้องบอกว่าเชื่อว่าหลายๆ
00:28:05 → 00:28:08 ท่านหรือว่าแม้แต่ในพวกแพทย์หรือว่าหมอ
00:28:08 → 00:28:11 ด้วยกันเองอ่ะส่วนใหญ่จะเห็นต้นทางของ
00:28:11 → 00:28:13 ไมเกรนคือเห็นคนเป็นไมเกรนแหละแต่เป็น
00:28:14 → 00:28:16 ไมเกรนที่เป็นไมเกรนนานๆทีเป็นทีเป็น
00:28:16 → 00:28:20 ไมเกรนตอนร้อนเป็นอันนานๆทีเป็นทีหรือแบบ
00:28:20 → 00:28:22 ไม่ได้เป็นไมเกรนเรื้อรังแต่พวกเราอ่ะพวก
00:28:22 → 00:28:25 เราเจอไมเกรนที่เป็นปลายทางอ่ะทางทางสุด
00:28:26 → 00:28:28 ท้ายสุดแล้วจริงๆที่เรารู้ว่าแบบสุดท้าย
00:28:28 → 00:28:33 >> เฮ้ยมันแบบรักษายากมากคนไข้ท็อกสิคมากคน
00:28:33 → 00:28:33 ไข้
00:28:33 → 00:28:36 มีภาวะแบบวิโตกังวลซูมเช่าทำอะไรไม่ได้
00:28:36 → 00:28:39 แล้วมันไม่มีใครเข้าใจเขาจริงๆแบบคนจะมอง
00:28:39 → 00:28:41 ว่าแบบก็แค่ปวดหัวจะอะไรขนาดนั้นล่าสุด
00:28:42 → 00:28:45 เลยค่ะเควสเมื่อวานคนไข้เป็นไมเกรนหลัง
00:28:45 → 00:28:48 คลอดที่เป็นหนัก
00:28:48 → 00:28:49 >> เรียงลูกไม่ได้
00:28:49 → 00:28:52 >> แล้วคนไข้ต้องอยู่กับความรู้สึกที่ตัวเอง
00:28:52 → 00:28:55 ก็ทรมานกับอาการปวดหัวรู้สึกผิดที่เลี้ยง
00:28:55 → 00:28:58 ลูกไม่ได้และคนรอบข้าง
00:28:58 → 00:29:00 >> ก็รู้สึกว่าทำไมคุณไม่เลี้ยงลูก
00:29:00 → 00:29:01 >> โอ้โห
00:29:01 → 00:29:03 >> คือแบบอะไรอย่างเงี้ยค่ะมันเป็นอะไรที่
00:29:03 → 00:29:07 แบบคือคนไข้ไมเกรนแบบต้องเจอสิ่งอะไรแบบ
00:29:07 → 00:29:09 เนี้ยเยอะมากๆนะคะเพราะงั้นจริงๆการป้อง
00:29:09 → 00:29:12 กันที่ดีที่สุดคือป้องกันไม่ไปให้ถึงจุด
00:29:12 → 00:29:14 นั้นเนาะเราครีไมเกรนยังไงให้เราเป็น
00:29:14 → 00:29:17 ไมเกรนที่เราเป็นน้อยๆอ่ะเราจะมีคุณภาพ
00:29:17 → 00:29:18 ชีวิตที่ดีมากๆ
00:29:18 → 00:29:20 >> ค่ะแล้วแบบเรื่องยาแก้ปวดเนาะอันนี้ขอ
00:29:20 → 00:29:22 เสริมนิดนึงอันนี้เป็นประสบการณ์คนไข้
00:29:22 → 00:29:25 เล่าให้ฟังคือหมอเชื่อว่าทุกคนน่ะที่กิน
00:29:25 → 00:29:28 ยาแก้ปวดไม่ได้มีไม่ได้มีใครอยากจะกิน
00:29:28 → 00:29:31 เยอะหรอกนะคะแต่ว่าเอ่อทุกคนพยายามระมัด
00:29:31 → 00:29:33 ระวังละก็มีคนนึงอ่ะอยากกินเออกอตามีนมา
00:29:33 → 00:29:36 30 เม็ดต่อเดือนก็คือกินทุกวันนั่นเอง
00:29:36 → 00:29:39 >> เอ่อก็ถามว่าเอ๊ะแล้วเารู้มั้ยว่าว่า
00:29:39 → 00:29:41 เนี่ยมันห้ามกินเกินเบอกเขาอ่านฉลากแล้ว
00:29:41 → 00:29:44 นะอ่านข้างกล่องแล้วแต่ในข้างกล่องอ่ะ
00:29:44 → 00:29:47 เขียนว่ายาตัวเนี้ยห้ามกินเกิน 10 เม็ด
00:29:47 → 00:29:50 ต่อสัปดาห์อันนั้นคือโดสของความ
00:29:50 → 00:29:53 โอวอร์ดoseที่มันจะทำให้พวกหลอดเลือดส่วน
00:29:53 → 00:29:56 ปลายมีปัญหาแล้วคนไข้ก็น่ารักมากก็คือบอก
00:29:56 → 00:29:58 ก็เขาบอก 10 เมตรต่อสัปดาห์ค่ะก็เลยกิน
00:29:58 → 00:30:01 สัปดาห์ละ 10 เม็ดก็คือยังคิดว่าแบบมัน
00:30:01 → 00:30:02 ไม่เกิน
00:30:02 → 00:30:05 >> ใช่ซึ่งแบบหมอฟังแล้วหมอก็แบบคือแบบเข้า
00:30:05 → 00:30:07 ใจคนไข้เลยเขาไม่ผิดนะพยายามหาข้อมูแล้ว
00:30:07 → 00:30:11 ด้วยแล้วก็แต่มันแต่ข้อมูลมันไม่ครบแล้ว
00:30:11 → 00:30:15 ก็เรื่องของ MOH อ่ะมันเป็นอะไรที่ยัง
00:30:15 → 00:30:18 ความรู้ค่อนข้างจำกัดอยู่ในวงแคบๆคนไข้
00:30:18 → 00:30:21 ส่วนใหญ่ไม่รู้ว่ากินยาแก้ปวดเยอะแล้วทำ
00:30:21 → 00:30:25 ให้เกิดปัญหาของปวดหัวจากยาแก้ปวดมากขึ้น
00:30:25 → 00:30:29 นะคะหรือแม้แต่ว่าในบุคลากรหรืออะไรเอง
00:30:29 → 00:30:32 บางทีเราก็ไม่เราก็ไม่ได้เ้าเรียกว่าไม่
00:30:32 → 00:30:37 ได้แบบอ่าแบบคิดนึกถึงแล้วกันนึกถึงหรือ
00:30:37 → 00:30:39 อะไรตรงเอย่างเช่นแบบบางครั้งยาเอเศส
00:30:39 → 00:30:42 อย่างเงี้ยค่ะสั่งเวลาเราสั่งคนไข้บางที
00:30:42 → 00:30:45 เราอาจจะเผลอให้คนไข้กินเนาะไอูโพเฟน 3
00:30:45 → 00:30:48 เวลาอ่าเราคนไข้ก็กินตามนั้นน่ะเช้ากลาง
00:30:48 → 00:30:51 วันเย็นแต่ลืมไปว่าจริงๆมันคือยาแก้ปวด
00:30:52 → 00:30:54 ถ้าหยุดปวดก็หยุดกินได้นะอะไรอย่างเงี้ย
00:30:54 → 00:30:57 ค่ะนะเพราะฉะนั้นวันเนี้ยอยากให้ทุกคนที่
00:30:57 → 00:31:00 ฟังหรือว่ามีการใช้ยาแก้ปวดเป็นประจำนะคะ
00:31:00 → 00:31:03 ไม่ว่าเราแบบจะกินยาแก้ปวดตัวไหนอยู่ขอ
00:31:03 → 00:31:06 ให้ระมัดระวังนิดนึงเนาะว่าเราไม่ควรใช้
00:31:06 → 00:31:09 เกิน 10 เมตต่อเดือนนะคะต้องต่ำกว่านั้น
00:31:09 → 00:31:12 ด้วยอ่ะตีมาว่า 9 เมต่อเดือนแล้วะกันไม่
00:31:12 → 00:31:13 ว่าจะเป็นตัวใดก็ตามเพราะเราไม่ต้องไป
00:31:14 → 00:31:16 นั่งแยกเองนะคะถ้าเรากินคำว่าชนิดของยา
00:31:16 → 00:31:19 แก้ปวดเมื่อไหร่ปุ๊บอย่าให้เกินเมื่อไหร
00:31:19 → 00:31:22 ที่เกินแสดงว่าเราเป็นโรคที่มันควรจะต้อง
00:31:22 → 00:31:24 จัดการอะไรสักอย่างแล้วแหละเราไม่ได้ควร
00:31:24 → 00:31:27 อยู่ได้ด้วยยาแก้ปวดทั่วไปนะคะเพื่อเป็น
00:31:27 → 00:31:30 การระมัดระวังของการแบบการใช้ยามากยิ่ง
00:31:30 → 00:31:33 ยิ่งขึ้นกันนะคะเนาะแม้แต่พาราเซตอลเองก็
00:31:33 → 00:31:36 ตามนะคะซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านที่ทุกคน
00:31:36 → 00:31:39 ซื้อได้เนาะแม้แต่พาราเองก็อย่ากินเยอะจน
00:31:39 → 00:31:40 เกินไปละกันนะคะ
00:31:40 → 00:31:44 >> บอลว่าเราน่าจะต้องไปจัดไอ้นี่เนาะแคมเปญ
00:31:44 → 00:31:45 มาพี่น
00:31:45 → 00:31:47 >> คือไม่ไม่ใช่แค่เฉพาะกับผู้ป่วยนะผมว่า
00:31:47 → 00:31:50 เราต้องจัดแคมเปญกับคุณหมอด้วยแหละเพราะ
00:31:50 → 00:31:52 ว่าความรู้จริงๆ MOH มันมันค่อนข้างใหม่
00:31:52 → 00:31:54 อ่ะครับแล้วก็
00:31:54 → 00:31:56 >> แล้วอย่างที่พี่นุ่มว่าเลยมันผมว่ามัน
00:31:56 → 00:31:59 จำกัดอยู่กับวงแคบๆกับหมอระบบประสาทหมอ
00:31:59 → 00:32:00 ระบบประสาทเนี่ยรู้หมด
00:32:00 → 00:32:01 >> ค่ะ
00:32:01 → 00:32:04 >> แต่พอแบบไปเอ่อหมอแผนกอื่นบางทีผมว่า
00:32:04 → 00:32:07 อันเนี้มันไม่ได้แบบอยู่ในสิ่งที่เขาต้อง
00:32:07 → 00:32:10 รู้อ่ะบางทีก็เลยคงจะส่งผลเหมือนกันอะไร
00:32:10 → 00:32:11 อย่างเงี้ย
00:32:11 → 00:32:12 >> ใช่ซึ่งอันนี้เราก็เข้าใจเพราะว่าแบบใน
00:32:12 → 00:32:15 ฟิลอื่นเราก็อาจจะไม่ได้มีความรู้ดีหรือ
00:32:15 → 00:32:18 ลึกอะไรขนาดนั้นในเพื่อนแพทย์ด้วยกันที่
00:32:18 → 00:32:20 เป็นในฟิลที่ไม่ได้เจอคนไข้ MOS ก็อาจจะ
00:32:20 → 00:32:23 ไม่ไม่ทราบเหมือนกันนะคะว่าแบบเออกินใช้
00:32:23 → 00:32:25 ยาเยอะแล้วมันทำให้ปวดหัวมากขึ้นได้อัน
00:32:25 → 00:32:26 นี้ก็เป็น
00:32:26 → 00:32:31 >> กรรมการชมรมปวดศีรษะกำลังพยายามทำเนช่วย
00:32:31 → 00:32:33 กันช่วยๆกันเพราะฉะนั้นเนี่ยในฐานะวัน
00:32:33 → 00:32:36 เนี้ยก็คืออ่ะในฐานะผู้ป่วยที่เราจะต้อง
00:32:36 → 00:32:38 รับประทานยาเองเรารู้ไว้ก่อนแล้วแหละเรา
00:32:38 → 00:32:40 อย่างน้อยเราก็มีอาวุธติดตัวเราไว้เอง
00:32:40 → 00:32:42 ก่อนแล้วด้วยนะคะว่าเราจะได้ไม่ใช้ยาเกิน
00:32:42 → 00:32:44 นะคะเนาะ
00:32:44 → 00:32:48 >> ก็นี่อีกขานึงก็กลายเป็นว่าเอ่ออันเมื่อ
00:32:48 → 00:32:50 กี้ขาเยอะไปคือขาคนไข้ไม่กลัวยากลัวปวด
00:32:50 → 00:32:53 อย่างเดียวกินๆอีกขานึงที่เจอมาบ่อยคือ
00:32:53 → 00:32:56 กลายเป็นว่าแบบยาแก้ปวดต่างๆนะคะคนไข้จะ
00:32:56 → 00:32:58 รู้อ่ะพาราเดี๋ยวตับพาง
00:32:58 → 00:33:02 เอเสเดี๋ไตวายเป็นโรคกระเพาะเออกอดเดี๋ยว
00:33:02 → 00:33:05 หลอดเลือดคนไข้กลายเป็นว่าปวดไมเกรน
00:33:05 → 00:33:07 >> ไม่กินเลย
00:33:07 → 00:33:10 >> เป็นสายทนจ้าสายอึดทนจ้ะ
00:33:10 → 00:33:12 >> ถ้าไม่กินเกิดผลเสียอะไรบ้างคะ
00:33:12 → 00:33:16 >> อเกิดผลเสียแน่นอนครับอันนี้เนี่ยจริงๆก็
00:33:16 → 00:33:20 เป็นคอนเซปตที่ก็เป็นจริงๆก็มาจากชมรมโรค
00:33:20 → 00:33:23 ปวดศีรษะแห่งประเทศไทยนี่แหละไม่น่าเชื่อ
00:33:23 → 00:33:25 นะเราคิดไอ้หัวข้ออะไรอย่างเงี้ยแล้วดัง
00:33:25 → 00:33:27 ระดับโลกได้นะพี่นุ่ม
00:33:27 → 00:33:31 >> ขออวยโยตก็ขออวยขออวยให้จริงๆเอ่อชิงแบบ
00:33:31 → 00:33:34 คิดโดยชมรมเราเนี่ยแหละครับชมรมอ
00:33:34 → 00:33:36 >> เอ่อเราก็ปรากฏว่าคือเราคิดสิ่งที่เรียก
00:33:36 → 00:33:39 ว่า Medication underuse headache ซึ่ง
00:33:39 → 00:33:42 เชื่อมั้พี่นุ่มว่าพอออกไปอ่ะ
00:33:42 → 00:33:44 >> papเปอร์เนี้ยได้รางวัลแบบว่า editor
00:33:44 → 00:33:46 Choice เลยนะของแบบ Journal ที่ใหญ่ที่
00:33:46 → 00:33:49 สุดของ Headach อ่ะของ International
00:33:49 → 00:33:50 Headache
00:33:50 → 00:33:51 >> แล้วเสร็จแล้วก็เลยกลายเป็นว่าตอนเต่าง
00:33:51 → 00:33:54 ประเทศก็ Advocate หรือว่าพยายามออก
00:33:54 → 00:33:57 แคมเปญสิ่งนี้นี่แหละว่าเฮ้ยยูอ่ะต้องกิน
00:33:57 → 00:34:00 ยานะไม่ใช่ว่าแบบไม่กิน
00:34:00 → 00:34:03 >> ดังนั้นเนี่ยถูกต้องแล้วที่เรากลัวว่ามัน
00:34:03 → 00:34:06 จะเกิดว่ามันจะเกิด medication overuse
00:34:06 → 00:34:09 แต่ในขณะเดียวกันถ้าคุณไม่กินเลยอ่ะ
00:34:09 → 00:34:09 >> อื
00:34:09 → 00:34:13 >> มันก็นำไปสู่การเกิดโคริไมเกรนได้เช่นกัน
00:34:13 → 00:34:16 หรือว่าเกิดปวดศีรษะเรื้อรังได้
00:34:16 → 00:34:19 >> มีงานวิจัยเลยนะครับที่ที่เขาเอามาเทียบ
00:34:19 → 00:34:22 เลยนะพี่นุ่มเขาประเมินว่ายาแก้ปวดนั้น
00:34:22 → 00:34:24 น่ะได้ผลดีหรือไม่ได้ผลดีคือเขาเริ่มจาก
00:34:24 → 00:34:25 อย่างนี้ก่อนเนาะ
00:34:25 → 00:34:30 >> ปรากฏว่ายาแก้ปวดที่แบบกินไปแล้วแบบไม่
00:34:30 → 00:34:33 ช่วยหรือว่าแบบไม่ได้ผลดีหรือว่าอะไร
00:34:33 → 00:34:35 เงี้ยเทียบกับยาแก้ปวดที่กินแล้วหายใน 2
00:34:35 → 00:34:39 ช่โมงเนี่ยยาแก้ปวดที่กินแล้วดีแล้วหายใน
00:34:39 → 00:34:42 2 ช่โมงเนี่ยนะพอกินไปแล้วปุ๊บเนี่ยมี
00:34:42 → 00:34:44 โอกาสที่จะเกิดกลายเป็นไมเกรนเรื้อรังได้
00:34:45 → 00:34:48 น้อยกว่ายาที่แบบไม่ดีหรือว่าไม่กินยา
00:34:48 → 00:34:49 >> อื
00:34:49 → 00:34:50 >> เออมันเป็นขนาดนั้นเฮ้ยแล้วเสร็จแล้วผมก็
00:34:50 → 00:34:53 เลยเฮ้ยสงสัยเอ้ยมันดีมันมันน่าสนใจมาก
00:34:53 → 00:34:56 ใช่มั้เราก็ไปดูว่าเฮ้ยแล้วมันมีอะไรที่
00:34:56 → 00:34:59 อธิบายได้หรือเปล่าเชื่อหรือมั้ว่าจริงๆ
00:34:59 → 00:35:01 แล้วในสมองเราเนี่ยเวลามันส่งสัญญาณเข้า
00:35:01 → 00:35:02 กระแสประสาทอ่ะ
00:35:03 → 00:35:03 >> ค่ะ
00:35:03 → 00:35:06 >> พี่นุ่มเอ่ออันนี้เดี๋ยวเราจะลงลึกนิดนึง
00:35:06 → 00:35:09 แต่ว่าให้ค่อยๆฟังนิดนึงนะฮมันมันเริ่ม
00:35:09 → 00:35:12 อย่างี้ว่ามันจะออกอยู่นอกสมองก่อนคือผม
00:35:12 → 00:35:13 ใช้คำว่าสัญญาณแล้วกันนะสัญญาณมันจะเกิด
00:35:13 → 00:35:16 นอกสมองทีนี้เวลาเราแปรผลปวดอ่ะครับมัน
00:35:16 → 00:35:18 ต้องเข้าไปในสมองพี่นุ่ม
00:35:18 → 00:35:20 >> ดังนั้นเนี่ยมันก็จะมีส่วนที่อยู่นอกสมอง
00:35:20 → 00:35:22 แล้วก็ส่วนที่มันเข้าไปในสมอง
00:35:22 → 00:35:27 >> ปรากฏว่าถ้าเรากินยาอ่าแล้วมันตัดวงจรไม่
00:35:27 → 00:35:29 ให้เข้าไปสมองเนี่ยสุดท้ายมันจะไม่ส่ง
00:35:29 → 00:35:32 กระแสประสาทน่ะขึ้นไปตีความที่ข้างบน
00:35:32 → 00:35:33 >> อื
00:35:33 → 00:35:36 >> ดังนั้นทำให้การที่เราเข้าหมายถึงว่าการ
00:35:36 → 00:35:38 ที่เราเกิดปวดครั้งถัดไปหรือว่าการเกิด
00:35:38 → 00:35:41 ไอ้ความไวของสมองที่เราพูดในตอนต้นน่ะมัน
00:35:41 → 00:35:43 เกิดน้อยลงพี่นุ่ม
00:35:43 → 00:35:46 >> นั่นแหละคือเหตุผลแล้วมันก็เลยกลายเป็น
00:35:46 → 00:35:51 ว่าเราอ่ะสุดท้ายปวดหัวก็ต้องกินยาทีนี้
00:35:51 → 00:35:54 เราจะใช้คำอย่างี้ครับเราเหมือนเราเผาป่า
00:35:54 → 00:35:55 พี่นุ่่งอื
00:35:55 → 00:35:58 >> ถ้าเราเผาป่าใช่มั้ยมันไหม้อยู่ 2-3 ต้น
00:35:58 → 00:36:00 ใช่มั้ยแล้วดับไฟ
00:36:00 → 00:36:01 >> มันก็หายใช่ป่ะ
00:36:02 → 00:36:04 >> แต่ถ้าเราลองเราไหม้ไปทั้งป่า
00:36:04 → 00:36:08 >> โอ้โหดับยังไงไม่มีตาไม่อยู่ต่อให้เรา
00:36:08 → 00:36:11 เห็นมั้ยแฮลิคอปเตอร์ทุกอย่างก็ไม่ถูก
00:36:12 → 00:36:14 มั้ยมันก็เลยเป็นอย่างี้แหละครับดังนั้น
00:36:14 → 00:36:17 ก็ต้องกินแต่อย่างที่บอกดังนั้นเหลายคนก็
00:36:17 → 00:36:20 จะบอกแล้วจะเอายังไงวะ
00:36:20 → 00:36:22 จะเอายังไงวะใช่มั้ย
00:36:22 → 00:36:22 >> ใช่
00:36:22 → 00:36:25 >> ความจริงคืออย่างงี้ครับเอ่อเอ่อเราใน
00:36:25 → 00:36:28 ฐานะที่เป็นหมอเราก็จะบอกว่าถ้าปวดหัว
00:36:28 → 00:36:29 >> ค่ะ
00:36:29 → 00:36:32 >> เนาะถ้าสมมุติปวดหัวก็ต้องกิน
00:36:32 → 00:36:33 >> อือ
00:36:33 → 00:36:36 >> กินให้เร็วที่สุดเราแนะนำว่าให้กินภายใน 1
00:36:36 → 00:36:36 ช่มง
00:36:36 → 00:36:37 >> อือ
00:36:37 → 00:36:42 >> แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องมาดูว่า maximum
00:36:42 → 00:36:44 ที่เราห้ามกิน
00:36:44 → 00:36:45 >> คือเท่าไหร่
00:36:45 → 00:36:48 >> นั่นแหละคือเป็น strategy ที่สำคัญ
00:36:48 → 00:36:50 >> ใช่อืเพราะว่าอันเนี้ยส่วนใหญ่ก็จะแบบ
00:36:50 → 00:36:53 เอ่อเล่าให้คนไข้ฟังคล้ายๆกันว่าถ้าเผ่า
00:36:53 → 00:36:55 ถ้าป่ามันถูกเผาไปเยอะแล้วอ่ะคือคนไข้
00:36:55 → 00:36:58 ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการทนสมมุติ 1 ชั่วโมง
00:36:58 → 00:37:01 ทน 2 ชั่วโมงทนสุดท้ายมันจะไปแพ้
00:37:01 → 00:37:03 >> เพราะไม่เกณฑเวลาปวดมันปวดแรงค่ะมันจะไป
00:37:03 → 00:37:06 แพ้ที่ประมาณ 4 ช่โมง 6 ช่โมงถามว่าตอน
00:37:06 → 00:37:08 นั้นก็ต้องกินเหมือนกันน่ะแต่มันเหมือน
00:37:08 → 00:37:09 เรา
00:37:09 → 00:37:13 >> เราเราดับเราดับเราดับไฟด้วยแบบสายยางอ่ะ
00:37:13 → 00:37:15 แทนที่จะแบบเริ่มดับตั้งแต่ตอนน้อยๆสิ่ง
00:37:15 → 00:37:18 ที่เกิดขึ้นคือกินถึงเราไปยอมแพ้ตอนนั้น
00:37:18 → 00:37:22 กินไป 1 ไม่หายปวด 2 สมองเกิดการอักเสบ
00:37:22 → 00:37:26 เยอะ
00:37:26 → 00:37:28 ก็ปวดไว
00:37:28 → 00:37:30 คนไข้จะมีความรู้สึกว่า
00:37:31 → 00:37:33 >> หัวมันเหมือนเจ็บอ่ะค่ะ
00:37:33 → 00:37:34 >> มันจะมีหลายคนที่บอกว่าถ้ารู้สึกว่ากินยา
00:37:35 → 00:37:37 เร็วอ่ะคือกินแล้วเคลียร์โล่งเลยแต่ถ้า
00:37:37 → 00:37:39 เราไปกินยาช้าต่อให้ปวดหัวมันหายแต่มันจะ
00:37:39 → 00:37:43 เหมือนหัวมันช้ำๆระบมๆมหัวคิดอะไรไม่ออก
00:37:43 → 00:37:46 ไปอีกแบบวัน 2 วันซึ่งมันคือการอักเสบที่
00:37:46 → 00:37:50 มันเกิดขึ้นเยอะค่อนข้างมากเนาะคำถามก็
00:37:50 → 00:37:53 อ่ะหมอจะให้หนูเอาไงคะสรุปหนูปวดหัวหนูจะ
00:37:53 → 00:37:54 ต้องกินหรือไม่กิน
00:37:54 → 00:37:58 >> ก็บอกกับทุกคนเลยนะคะว่าถ้าเราเป็นไมเกรน
00:37:58 → 00:38:00 เอาเป็นว่ากรณีเราเป็นไมเกรนก่อนนะคะขบวน
00:38:00 → 00:38:03 การ process การอาศัยแบบนี้หมอขอใช้คำว่า
00:38:03 → 00:38:05 เป็นไมเกรนเนาะถ้าเราปวดจากอย่างอื่นเช่น
00:38:05 → 00:38:07 ปวดจากเครียดเนี่ยมันจะคิดอีกแบบ
00:38:07 → 00:38:10 >> ถ้าเป็นไมเกรนนะคะเมื่อมันมีแทackขึ้นมา
00:38:10 → 00:38:12 แล้วเมื่อมีอาการกำเริมาแล้วสิ่งที่คนไข้
00:38:12 → 00:38:15 ต้องทำคือต้องกินยาไม่ใช่หน้าที่คนไข้ที่
00:38:15 → 00:38:16 จะต้องทน่
00:38:16 → 00:38:19 >> แต่คนไข้ต้องรู้ maximum
00:38:19 → 00:38:19 >> อื
00:38:19 → 00:38:21 >> เนี่ยค่ะรู้ว่าห้ามกินเกิน
00:38:21 → 00:38:23 9 เม 10 เม
00:38:23 → 00:38:23 >> ใช่
00:38:23 → 00:38:27 >> และหน้าที่ของที่ห้ามกินเกิน 9 เม 10 เม
00:38:27 → 00:38:30 ใช่หน้าที่คนไข้แล้วค่ะมันคือหน้าที่หมอ
00:38:30 → 00:38:34 ค่ะว่าทำยังไงหมอจะต้องป้องกันคนไข้ให้
00:38:34 → 00:38:37 กินไม่เกินนะคะเพราะฉะนั้นมันคือการร่วม
00:38:37 → 00:38:40 มือกันระหว่างแพทย์และคนไข้คนไข้ถึงไปถึง
00:38:40 → 00:38:43 หน้างานจริงๆแล้วปวดหัวขึ้นมาแล้วหน้าที่
00:38:43 → 00:38:46 เดียวของเราคือเราทำยังไงให้สงบเร็วที่
00:38:46 → 00:38:49 สุดนะคะแต่ถ้าเรามีแอทackกำเริบบ่อยขนาด
00:38:49 → 00:38:53 นั้นนั่นหมายความว่าเราต้องได้รับยาป้อง
00:38:53 → 00:38:55 กันไมเกรนยารักษาไมเกนซึ่งอันนั้นคือหน้า
00:38:55 → 00:38:58 ที่แพทย์ที่จะต้องปรับยายังไงก็ได้ให้คน
00:38:58 → 00:39:02 ไข้สุดท้ายใช้ยาไม่เกินนะคะคนไข้ก็จะได้
00:39:02 → 00:39:05 แบบเวลามีแอทackขึ้นมาแล้วใช้ยาได้อย่าง
00:39:05 → 00:39:08 เหมาะสมถูกต้องเนาะอือันนี้ก็จะเป็นแบบ
00:39:08 → 00:39:11 ว่าความร่วมมือกันของแพทย์แล้วก็คนไข้คน
00:39:11 → 00:39:14 ไข้จะได้ไม่ต้องมานั่งคิดว่าจะกินดีไม่
00:39:14 → 00:39:17 กินดีบางคนบอกนั่งจ้องไป 2 ชั่วโมงค่ะ
00:39:17 → 00:39:19 อะไรอย่างเงี้ยซึ่งซึ่งเปเปอร์เนี่ยต้อง
00:39:19 → 00:39:22 บอกว่าเป็นความภูมิใจของแบบชมรมปศิชา
00:39:22 → 00:39:25 ประเทศคนไทยเรามากๆเลยเรื่อง Medication
00:39:25 → 00:39:27 เคยจะพูดเล่าให้คนไข้ฟังหลายรอบแล้วแต่
00:39:27 → 00:39:31 วันนี้ขอเชิญตัวจริงที่เขาเขียนวิจัยมา
00:39:31 → 00:39:33 พูดเองเลยนะคะเพราะฉะนั้นคนไข้นะคะอย่ารอ
00:39:33 → 00:39:36 นะถ้าเป็นไมเกรนส่วนใหญ่จริงๆถ้าจะรอได้
00:39:36 → 00:39:39 จริงๆก็ไม่ควรเกินสัก 1 ช่โมงเนาะต้องไม่
00:39:39 → 00:39:41 ควรเกินสัก 1 ชั่วโมงนะบางคนบางที 15
00:39:41 → 00:39:44 นาทีแรกครึ่งชั่วโมงแรกอาจจะไม่มั่นใจอ่ะ
00:39:44 → 00:39:47 ถ้าจะรอจริงๆก็คือไม่ควรเกิน 1 ชมงเพราะ
00:39:47 → 00:39:50 ว่า process ที่จะส่งสัญญาณไปสู่สมองมัน
00:39:50 → 00:39:53 เกิดขึ้นภายใน 2 ช 1- 2 ช่
00:39:53 → 00:39:55 >> คือเพราะว่ามันมันเข้ามาน่ะพี่นุ่มมัน
00:39:55 → 00:39:57 เข้ามาจากข้างนอกแล้วก่อนที่มันจะเข้าไป
00:39:57 → 00:39:58 สู่สมองนะครับ
00:39:58 → 00:40:00 >> มันคือ 1 ชั่วโมงพอดีเป๊ะ
00:40:00 → 00:40:03 >> คือพอมันเข้าสมองอ่ะยาอะไรมันก็หยุดไม่
00:40:03 → 00:40:06 ได้นะคะแล้วเวลาเรากินยาเราอย่าลืมนะกิน
00:40:06 → 00:40:08 ยาไปมันไม่ได้ออกฤทธิ์ทันที
00:40:08 → 00:40:10 >> เราต้องเผื่อให้เขาออกฤทธิ์ด้วยเพราะ
00:40:10 → 00:40:12 ฉะนั้นเนี่ยเวลาเรารอจริงๆเราเลยรอรอไม่
00:40:12 → 00:40:15 ได้นานมากนะคะทีนี้เนี่ยก็มีคนไข้มาถาม
00:40:15 → 00:40:17 เหมือนกันว่าเอ้ยทีนี้หนูปวดหัวหนูก็เลย
00:40:17 → 00:40:20 แบบปวดปุ๊บกินปั๊บเลยค่ะก็เลยบอก
00:40:20 → 00:40:22 แต่บางรอบอ่ะคนไข้ไม่ได้ปวดไมเกรนไงคือ
00:40:22 → 00:40:25 เป็นแบบบางทีอ่ะคนไข้เป็นปวดแบบปวดกล้าม
00:40:25 → 00:40:29 เนื้ออะไรอย่างเงี้ยค่ะก็เลยก็อันนี้มัน
00:40:29 → 00:40:31 ก็จะเป็นเขาเรียกว่าศิลปะนิดนึงเหมือนกัน
00:40:31 → 00:40:34 คนไข้ไมเกรนจริงๆส่วนใหญ่เวลาไมเกรนจะมา
00:40:34 → 00:40:37 หมอเชื่อว่าคนไข้ทุกคนรู้ค่ะมันจะมีทราย
00:40:37 → 00:40:41 อ่ะเริ่มแพ้แสงไวแสงมันระบมมันอะไรอย่าง
00:40:41 → 00:40:43 เงี้ยมันจะไม่ใช่แค่ปวดตึงๆอ่ะค่ะเนาะ
00:40:43 → 00:40:46 เพราะฉะนั้นเราก็อาจจะต้องมีศิลปะในการ
00:40:46 → 00:40:48 ใช้ยาตรงนี้นิดนึงไม่งั้นมันก็จะเสี่ยงไป
00:40:49 → 00:40:50 ได้ง่ายอีกเหมือนกัน
00:40:50 → 00:40:52 >> ก็จริงๆอาการที่พี่นุ่มพูดมาเนี่ยมันคือ
00:40:52 → 00:40:56 อาการพonitory symptom เนาะจริงๆมันคือ
00:40:56 → 00:40:57 อาการนำ
00:40:57 → 00:41:00 >> นะครับของก่อนที่จะเป็นไมเกรนก่อนที่จะ
00:41:00 → 00:41:00 ปวด
00:41:00 → 00:41:03 >> ซึ่งจริงๆเราแนะนำว่าอยากให้ผู้ป่วยลอง
00:41:03 → 00:41:07 สังเกตตัวเองดูว่าแบบเฮ้ยเรามีอาการเหล่า
00:41:07 → 00:41:09 นี้หรือเปล่าจริงๆอันเนี้คือเป็นการเป็น
00:41:09 → 00:41:12 ตัวpredดิctorเมากกว่า 60% เลยนะพี่นุ่ม
00:41:12 → 00:41:13 ว่า
00:41:13 → 00:41:14 >> เดี๋ยวปวดหัวมาแน่
00:41:14 → 00:41:17 >> จริงๆอาการพวกนี้เนี่ยมันเป็นอาการที่มัน
00:41:17 → 00:41:18 ไม่ได้
00:41:18 → 00:41:21 หมายถึงว่าแบบมันดูแล้วมันงงๆนะแต่ว่ามัน
00:41:21 → 00:41:24 เป็นอาการจริงๆอย่างเช่นบางคนปวดฉี่
00:41:24 → 00:41:25 >> อใช่
00:41:25 → 00:41:30 >> ปวดฉี่ก่อนจะเป็นไมเกรนอ่าบางคนหิวบางคน
00:41:30 → 00:41:31 หิวน้ำ
00:41:31 → 00:41:36 >> เออบางคนแบบง่วงบางคนพี่นุ่มหาวตลอดเวลา
00:41:36 → 00:41:38 แบบไม่ได้ง่วงเลยนะแต่หาวเออพวกนี้คือ
00:41:38 → 00:41:40 อาการนำนะครับอันนั้นน่ะเป็นการบอกว่า
00:41:40 → 00:41:43 ไมเกรนยูจะมาอันเนี้ย predict ได้เลยแล้ว
00:41:44 → 00:41:47 สำคัญมากว่าถ้าสมมุติว่ามียาน่ะเตรียมพก
00:41:47 → 00:41:48 ยาไว้เลยใช่
00:41:48 → 00:41:50 >> เริ่มปวดทานยาได้เลยค่ะ
00:41:50 → 00:41:53 >> อันเนี้ยเอ่อพอเวลาลองถามกับคนไข้จริงๆนะ
00:41:53 → 00:41:56 คะเวลาคุยกันคนไข้ครั้งแรกอ่ะทุกคนจะไม่
00:41:56 → 00:41:58 พอเวลาถาม
00:41:58 → 00:42:00 ไม่รู้นะคะแต่พอเราแบบให้ทริกว่าลองไป
00:42:01 → 00:42:03 สังเกตดูดีๆจริงๆว่าก่อนไมเกรนมาอาการ
00:42:03 → 00:42:06 อะไรที่แบบคิดจะทำให้เรารู้ปรากฏว่าคนไข้
00:42:06 → 00:42:10 ส่วนใหญ่รู้ค่ะ 80% น่ะบอกได้เลยเจอบ่อยๆ
00:42:10 → 00:42:14 ก็จะ 1 ตึงตึงไทอย
00:42:14 → 00:42:17 >> ปวดตัวหิวหาวอย่างเงี้ยค่ะอันนี้เป็นอะไร
00:42:17 → 00:42:20 ที่กับคนไข้เจอบ่อยๆใช่หรือถ้าคนไหนมี
00:42:20 → 00:42:21 ออร่า
00:42:21 → 00:42:24 >> เห็นแสงอันนี้ชัดมันไปถึงจงเฟสที่มันเป็น
00:42:24 → 00:42:25 ออร่าละ
00:42:25 → 00:42:28 >> ถ้าเรากินยาได้เร็วนะตรงจุดตรงประมาณตรง
00:42:28 → 00:42:30 เนี้ยก็จะได้ผลค่อนข้างดีนะคะหรือจริงๆ
00:42:31 → 00:42:33 ปัจจุบันเนาะมันมียาที่มันเป็นยาเหมือนยา
00:42:33 → 00:42:36 ทั้งป้องกันแล้วก็ยาแก้ปวดที่เราก็อาจจะ
00:42:36 → 00:42:40 เอามาใช้ตรงเนี้ยได้ดียิ่งขึ้นด้วยนะคะจะ
00:42:40 → 00:42:42 เห็นว่าแบบปัจจุบันคือการรักษาไมเกรนมัน
00:42:42 → 00:42:43 แบบ
00:42:43 → 00:42:45 >> มันเปลี่ยนไปเยอะมากอ่ะคือแบบถ้าคุณไม่
00:42:45 → 00:42:48 มั่นใจว่าแบบเฮ้ยเราเราเป็นยังไงอะไรยัง
00:42:48 → 00:42:51 ไงปรึกษาแพทย์เถอะมันมีมันมีแบบเเรียกว่า
00:42:51 → 00:42:54 อาวุธหรือกลวิธีต่างๆมากมายที่เราจะทำให้
00:42:54 → 00:42:56 เราอ่ะอยู่กับไมเกรนได้อย่างมีความสุข
00:42:56 → 00:42:58 กลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติไม่ต้องมากลัว
00:42:58 → 00:43:00 ว่าเราจะปวดหัวไม่ต้องกลัวติดยาไม่ต้อง
00:43:00 → 00:43:04 กลัวแบบอ่าการหยุดงานหรืออะไรแบบนี้ด้วย
00:43:04 → 00:43:07 เนาะค่ะทีนี้นะคะก็จะไปสู่อันที่ 3 อัน
00:43:07 → 00:43:10 นี้ก็คือเรื่องของยาแก้ปวดก็คือ
00:43:10 → 00:43:12 >> ใช้มากไปก็ไม่ดีใช้น้อยไปก็ไม่ดีนะคะงั้น
00:43:12 → 00:43:16 เราก็จะต้องแบบดูทริกของตัวเองทีนี้การ
00:43:16 → 00:43:18 กันไม่ให้ใช้มากไปก็คือมาสู่เรื่องที่ 3
00:43:18 → 00:43:21 นั่นเองก็คือเรื่องของการป้องกัน
00:43:21 → 00:43:24 >> อ่าสำคัญมากๆนะคะเพราะว่าจริงๆนะคะพอเวลา
00:43:24 → 00:43:27 พูดว่าป้องกันไมเกรนป้องกันไมเกรนเอาเป็น
00:43:27 → 00:43:30 ว่าคนไข้ส่วนใหญ่ไม่รู้
00:43:30 → 00:43:33 >> ว่าไมเกรนต้องรักษาต้องใช้ยาป้องกัน
00:43:33 → 00:43:37 ไมเกรนนะคะข้อมูลจากซีแลนซ์บอกว่าไงบ้าง
00:43:37 → 00:43:37 คะน้องบอล
00:43:37 → 00:43:41 >> เอ่อถ้าสมมุติจากซีแลนซ์เนี่ยอันนี้จริงๆ
00:43:41 → 00:43:43 อ่ะจะบอกว่าไม่ใช่ปัญหาในประเทศไทยอย่าง
00:43:43 → 00:43:46 เดียวนะพี่นุ่มเป็นปัญหาทั่วโลกเพราะว่า
00:43:46 → 00:43:50 จริงๆแล้วเนี่ยเอ่อการใช้ยาป้องกันน่ะ
00:43:50 → 00:43:53 ทั่วโลกจริงๆอ่ะไม่เกิน 20-30% เท่านั้น
00:43:53 → 00:43:53 จริงเหรอ
00:43:53 → 00:43:54 >> มันน้อยมาก
00:43:54 → 00:43:57 >> มันน้อยมากแล้วก็หลายคนน่ะไม่เข้าใจเลย
00:43:57 → 00:44:00 >> ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องได้ยาป้องกันด้วย
00:44:00 → 00:44:01 อะไรอย่างเงี้ยนะครับ
00:44:01 → 00:44:05 >> เมื่อวานก็เพิ่งเจอคนไข้ก็แบบรักษามาแบบ
00:44:05 → 00:44:07 หลายประเทศมากนะเเป็น
00:44:07 → 00:44:10 >> เอ่อชาวบังกเทศนะแล้วก็แบบอยู่อังกฤษอยู่
00:44:10 → 00:44:11 สิงคโปร์อยู่อะไรเงี้ย
00:44:11 → 00:44:12 >> อ
00:44:12 → 00:44:15 >> ไม่เคยได้ยาป้องกันเลยมาตลอดเวลา 50 ปี
00:44:15 → 00:44:16 พี่น้องโอ
00:44:16 → 00:44:19 >> ทั้งๆที่แบบคือเป็นประเทศเจริญเลย
00:44:19 → 00:44:21 >> เออเป็นประเทศเจริญมันเป็นเรื่องปกติมาก
00:44:21 → 00:44:24 เพราะว่าพอถามอย่างเช่นบอกไปอังกฤษเนี่ย
00:44:24 → 00:44:27 ก็คือแบบเจอเจอไม่เคยได้เจอสเปชalิหรอก
00:44:27 → 00:44:30 จริงๆบอกเลยนะประเทศไทยนี่โชคดีมากนะครับ
00:44:30 → 00:44:34 เราเข้าถึงคุณหมอได้ง่ายมากนะเอ่ออย่าง
00:44:34 → 00:44:37 อังกฤษเนี่ยเขาอยู่กับเอ่อ GP นะครับแบบ
00:44:37 → 00:44:41 คุณหมอทั่วไปเนี่ยมาตลอดเลย 10 20 ปี
00:44:41 → 00:44:43 อะไรอย่างเงี้ยก็ไม่เคยไม่เคยได้เจออะไร
00:44:43 → 00:44:45 อย่างเงี้ยนะครับก็ไม่เคยได้ใช้เลยพี่
00:44:45 → 00:44:48 นุ่มตลอดเวลาละ 50 ปีก็เออ
00:44:48 → 00:44:51 >> พี่ก็มีคนไข้ที่เป็นคนไทยอ่ะที่อยู่ต่าง
00:44:51 → 00:44:54 ประเทศอ่ะแบบออสเตรเลียเดนมาร์แบบบินมา
00:44:54 → 00:44:56 เยอะมากแล้วก็บอกว่าไม่เคยได้เจอหมอสมอง
00:44:56 → 00:45:00 เลยไม่รู้จักคำว่ายาป้องกันไมเกนเลยทั้งๆ
00:45:00 → 00:45:02 ที่เป็นประเทศที่แบบเฮ้ยเราคิดว่าแบบเป็น
00:45:03 → 00:45:06 ประเทศที่ควรจะใช้ยาเยอะเนาะอืแล้วในไทย
00:45:06 → 00:45:07 เองก็ข้อมูลใกล้เคียง
00:45:07 → 00:45:09 >> ข้อมูลประมาณก็ใกล้เคียงกันมากเลยครับ
00:45:09 → 00:45:12 จริงๆเราก็ใช้prวentชักันน่ะไม่เกิน
00:45:12 → 00:45:14 30-40% นะครับ
00:45:14 → 00:45:18 >> อใช่แล้วก็โดยส่วนใหญ่เนี่ยสิ่งที่ที่คือ
00:45:18 → 00:45:21 เนื่องจากว่ายาป้องกันเนี่ยพอ 1 คือเรา
00:45:21 → 00:45:25 ไม่ได้เข้าใจว่าหน้าที่มันคืออะไรนะครับ
00:45:25 → 00:45:27 เรามาดูยาป้องกันเลยดีกว่าเนาะพี่นุ่ม
00:45:27 → 00:45:29 เนาะจริงๆอ่ะยาป้องกันเนี่ยผมเมื่อกี้เรา
00:45:29 → 00:45:31 พูดถึงยาฉุกเฉินไปแล้วเนาะยาฉุกเฉินคือ
00:45:31 → 00:45:34 หน้าที่มันคือทำไงก็ได้ให้หายปวด
00:45:34 → 00:45:35 >> ใช่มั้ภายใน 2 ชั่วโมง
00:45:35 → 00:45:37 >> ไฟไหม้แล้วอ่ะทำไงก็ได้ไหม้ทำไงก็ได้ให้
00:45:37 → 00:45:37 ดับไฟ
00:45:37 → 00:45:42 >> นยาป้องกันคือทำยังไงให้ไฟไม่เกิดถูกต้อง
00:45:42 → 00:45:44 ดังนั้นน่ะหน้าที่มันก็เลยจะมีอยู่ 3
00:45:44 → 00:45:47 อย่างครับคือลดจำนวนวันของการปวดหัวลง
00:45:47 → 00:45:48 >> อ่า
00:45:48 → 00:45:51 >> ลดความรุนแรงของแต่ละครั้งลงนะครับแล้วก็
00:45:51 → 00:45:54 ลดระยะเวลาของการเป็นแต่ละครั้งลงเห็นมั้
00:45:54 → 00:45:57 ฮะว่าทั้งหมดไม่ได้ไม่มีบอกไหนเลยว่าแก้
00:45:57 → 00:46:00 ปวดเลยสักตัวใช่แล้วคนก็เลยจะแบบ
00:46:00 → 00:46:01 >> เออแล้วกินทำไม
00:46:01 → 00:46:02 >> อ่าถูก
00:46:02 → 00:46:03 >> ใช่มั้กินทำไม
00:46:03 → 00:46:06 >> หลายคนบอกว่าตอนแบบสมมุติว่าปวดหัวน่ะก็
00:46:06 → 00:46:08 กินยาแค่ 10 เม็ดอ้าแล้วทำไมต้องมากินยา
00:46:08 → 00:46:10 ทุกวันด้วยอ่ะคะทุกวันอะไรอย่างเงี้ยใช่
00:46:10 → 00:46:13 ซึ่งทุกคนก็เลยแบบไม่ไม่ได้เข้าใจแต่
00:46:13 → 00:46:14 อย่างที่
00:46:14 → 00:46:16 เราอยากจะเน้นย้ำครับว่าหน้าที่มันคือ
00:46:16 → 00:46:19 จริงๆคือป้องกันไม่ให้เราเป็นมากขึ้นนั่น
00:46:19 → 00:46:21 เองเราไม่ได้อยากให้แบบ
00:46:21 → 00:46:23 >> เพราะว่าพอคนที่เป็น 8 วันนะครับเดี๋ยว
00:46:23 → 00:46:26 เชื่อเถอะไม่เกินปีนึงมันจะเริ่มเพิ่ม
00:46:26 → 00:46:30 ขึ้นใช่ม 10 วัน 12 วัน 15 วันและนั่น
00:46:30 → 00:46:32 แหละคือยาป้องกันน่ะคือต้องเป็นอย่างงั้น
00:46:32 → 00:46:33 >> อื
00:46:33 → 00:46:37 >> ทีนี้ถามว่าแล้วเมื่อไหร่ใครควรได้ยาป้อง
00:46:37 → 00:46:38 กันบ้างพี่นุ่ม
00:46:38 → 00:46:41 >> จริงๆก็คือว่าถ้าในตาม study เลยนะครับ
00:46:41 → 00:46:46 เอ่อเราเนี่ยเค้าเไปพบว่าจุดตัดที่บอกว่า
00:46:46 → 00:46:50 ควรได้เพราะมีโอกาสที่จะเกิดกลายเป็น
00:46:50 → 00:46:51 ไมเกรนเรื้อรังได้
00:46:51 → 00:46:52 >> คือที่ 4 วันต่อเดือน
00:46:52 → 00:46:55 >> อซึ่งน้อยมากนะคะทุกคน
00:46:55 → 00:46:57 >> คือแบบ 4 วันเนี่ยก็คือเหมือนอาเฉลี่ยไป
00:46:57 → 00:46:59 อาทิตย์ละวันเอาจริงๆคนที่ปวดหัวอาทิตย์
00:46:59 → 00:47:02 ละวันน่ะไม่มีใครคิดหรอกว่าเราต้องเจอหมอ
00:47:02 → 00:47:05 สมองละเนาะอือันเนี้ยเป็นแบบพิษเป็นแบบ
00:47:05 → 00:47:09 พิฟอเลยอ่ะว่าแบบเออมันแบบซึ่งทำให้หลาย
00:47:09 → 00:47:11 คนน่ะกว่าจะมาเจอกันก็คือปวดไป 10 กว่า
00:47:11 → 00:47:11 วันแล้ว
00:47:11 → 00:47:13 >> ถูกต้องครับถูก
00:47:13 → 00:47:16 แล้วอย่างเงี้ในปัจจุบันในอย่าของยุโรปก็
00:47:16 → 00:47:19 ดีนะครับเพยายามดึง
00:47:19 → 00:47:22 >> ตัวเลขนี้ลงด้วยนะพี่นุ่มเเอา 2 วันเขาก็
00:47:22 → 00:47:23 เริ่มแล้วนะ
00:47:23 → 00:47:25 >> เออเพราะว่าเขารู้ว่าพอมันถึง 4 วันบางที
00:47:25 → 00:47:27 มันเอาไม่อยู่
00:47:27 → 00:47:28 >> ใช่
00:47:28 → 00:47:30 >> คือแบบลองเทียบให้คนไข้เห็นง่ายๆก็ได้นะ
00:47:30 → 00:47:33 คะแบบว่าทำไมถึงต้อง 4 วันคือส่วนใหญ่พี่
00:47:33 → 00:47:35 อ่ะจะเทียบให้คนไข้เห็นว่าคือไมเกรนมี
00:47:35 → 00:47:39 ระยะนะเหมือนโรคโรคอื่นนะคะโรคไตระยะ 1 2
00:47:39 → 00:47:42 3 4 ไมเกรนเราก็มีค่ะเรามีระยะที่เป็นเ
00:47:42 → 00:47:45 เรียกก่อนว่าเป็นชั่วคราวกับเป็นเรื้อรัง
00:47:45 → 00:47:48 >> อ่าเรื้อรังคือระยะ 4 แล้วล่ะอ่ะถ้าเป็น
00:47:48 → 00:47:50 มะเร็งก็คือระยะสุดท้ายคือเป็นแบบปวดหัว
00:47:50 → 00:47:53 เกินประมาณวันเว้นวันเกิน 15 วันต่อเดือน
00:47:53 → 00:47:55 ทีนี้ไอ้ระยะชั่วคราวอ่ะ 1 2 3 เราก็มี
00:47:55 → 00:47:59 นะคะก็คือปวดไม่เกิน 4 อ่ะปวดไม่เกิน 8
00:47:59 → 00:48:01 อ่ะปวดไม่เกิน 12 ประมาณนี้แล้วกันคร่าวๆ
00:48:01 → 00:48:04 >> เอาจริงๆว่าทำไมถึงต้อง 4 วันน่ะพี่บอกคน
00:48:04 → 00:48:07 ไข้คร่าวๆถามคนไข้เลยถามเลยค่ะทุกครั้ง
00:48:07 → 00:48:09 ที่ปวดอ่ะกินยากี่เม็ด
00:48:09 → 00:48:09 >> อื
00:48:09 → 00:48:12 >> คนไข้ส่วนใหญ่อ่ะเวลาเป็นไมเกรนมันปวดแรง
00:48:12 → 00:48:14 ไม่มีใครกินยาเม็ดเดียวแล้วเอาอยู่อยู่
00:48:14 → 00:48:17 แล้วเพราะฉะนั้นเนี่ยเวลาแackมา 1 ครั้ง
00:48:17 → 00:48:20 มันจะต้องเป็นยาแก้ปวดประมาณ 2 เม็ด
00:48:20 → 00:48:23 >> 2 เม็ด 4 ครั้ง 8 เม็ด
00:48:23 → 00:48:23 >> 8 เม
00:48:23 → 00:48:27 >> เข้ากำลังจะเข้า medication overuse
00:48:27 → 00:48:29 head eg แล้วค่ะเพราะฉะนั้นคือมันถึง
00:48:29 → 00:48:31 เป็นจำนวนที่แบบถึงแม้ความถี่เราจะรู้ว่า
00:48:31 → 00:48:34 ไม่เยอะแต่เรามีความเสี่ยงมากๆที่เราจะ
00:48:34 → 00:48:37 ใช้ยาแก้ปวดเยอะแล้วสุดท้ายย้อนกลับมาให้
00:48:37 → 00:48:40 ไมเกรนเราเป็นไมเกรนที่เป็นรุนแรงขึ้น
00:48:40 → 00:48:43 เรื่อยๆนะคะงั้นใครที่ปวดเกิน 4 ครั้งต่อ
00:48:43 → 00:48:46 เดือนต้องเฝ้าระวังแล้วแหละว่าเราจะต้อง
00:48:46 → 00:48:51 ได้ยาป้องกันเนาะอันเนี้ยก็เอ่อคือคนไข้
00:48:51 → 00:48:53 เองอ่ะก็ไม่ค่อยรู้แต่ข้อมูลในซีแลนอีก
00:48:53 → 00:48:54 อันนึงอ่ะ
00:48:54 → 00:48:57 >> ก็ตกหน้าตกใจเหมือนกันก็คือว่าแม้แต่
00:48:57 → 00:49:00 แพทย์เองก็ไม่ค่อยจ่ายยาป้องกันใช่มั้คะ
00:49:00 → 00:49:01 น้องบอลอื
00:49:01 → 00:49:03 >> ใช่อันนี้ก็เป็นอีกปัญหานึงเพราะว่า
00:49:03 → 00:49:06 เนื่องจากว่ายาเอ่อป้องกันน่ะครับพี่นุ่ม
00:49:06 → 00:49:07 มันกินทุกวัน
00:49:07 → 00:49:08 >> อเนาะ
00:49:08 → 00:49:12 >> แล้วก็เสร็จแล้วเนี่ยหมอหมอก็แบบโอ้โหเรา
00:49:12 → 00:49:15 ต้องให้ยาทุกวันแล้วคำถามคือกินไปนานแค่
00:49:16 → 00:49:19 ไหนใช่มซึ่งจริงๆอย่างที่เราแนะนำว่าต้อง
00:49:19 → 00:49:21 กินอย่างน้อย 6 เดือนถึงปีนึงอ่ะ
00:49:21 → 00:49:23 >> ซึ่งอันนี้มันก็กลายเป็นปัญหาอีกว่าแบบ
00:49:23 → 00:49:27 หมอหลายคนก็เราต้องให้ยาอันนี้จริงๆหรอ
00:49:27 → 00:49:30 แบบเป็นระยะเวลา 6 เดือนถึง 1 ปีมันก็เลย
00:49:30 → 00:49:32 กลายเป็นปัญหาว่าคุณหมอหลายท่านน่ะครับก็
00:49:32 → 00:49:35 เลยก็เลยไม่ค่อยไม่ค่อยจ่ายยา
00:49:35 → 00:49:38 >> ใช่ก็จริงๆเองแบบตอนที่ยังแบบเราไม่ได้
00:49:38 → 00:49:41 รู้สึกว่าเราแบบเจอคนไข้ไมเกนเป็นรังเยอะ
00:49:41 → 00:49:43 มากๆอ่ะเป็นตัวเราเราก็คิดนะว่าแบบเ้ยปวด
00:49:43 → 00:49:46 หัว 4 วันเราต้องกินยาทุกวันเลยหรอแล้ว
00:49:46 → 00:49:48 ยุคเมื่อก่อนอ่ะค่ะยุคก่อนยุค CGRP อ่ะ
00:49:49 → 00:49:49 ค่ะ
00:49:49 → 00:49:52 >> ยาป้องกันไมเกรนน่ะมันคือยากัญชัก
00:49:52 → 00:49:52 >> ใช่
00:49:52 → 00:49:57 >> มันคือยาความดันมันคือยาคายเครียดมันคือ
00:49:57 → 00:50:00 ยาซึมเศร้ามันคือยาขยายเรื่องคือเอาเป็น
00:50:00 → 00:50:02 ว่าแต่ละตัว
00:50:02 → 00:50:05 >> คนฟังแล้วใครจะอยากกินเนาะเป็นไมเกนแต่
00:50:05 → 00:50:08 กินยากันชักอะไรอย่างเงี้ยค่ะก็ทำให้
00:50:08 → 00:50:11 ปัญหาในการเริ่มยาอาจจะยากทั้งในในมุมของ
00:50:11 → 00:50:14 แพทย์เองก็รู้สึกว่าเออมันอาจจะแบบอุ๊ย
00:50:14 → 00:50:16 จ่ายโอเวอร์เกินไปหรือเปล่าหรือในมุมของ
00:50:16 → 00:50:19 คนไข้เองก็เหมือนกันรู้สึกว่าเฮ้ยปวดหัว
00:50:19 → 00:50:22 ต้องกินขนาดนี้เลยหรอแล้วก็อีกอันนึงก็
00:50:22 → 00:50:25 คือเป็นเรื่องของผลข้างเคียงด้วยล่ะว่ายา
00:50:25 → 00:50:28 ส่วนใหญ่อ่ะมันมีผลข้างเคียงเรื่องซึม
00:50:28 → 00:50:31 ง่วงทำงานไม่ได้น้ำหนักขึ้นอะไรก็แล้วแต่
00:50:31 → 00:50:35 เลยทำให้เอ่อคนไข้ไมเกนหลายๆคนเนี่ยถึง
00:50:35 → 00:50:37 แม้อาจจะเคยเหยียบเข้าไปในสู่การป้องกัน
00:50:37 → 00:50:41 การรักษาแต่มักจะไม่ได้ต่อเนื่องเดือนนึง
00:50:41 → 00:50:43 หยุด 2 เดือนหยุดแล้วก็สุดท้ายกลับไปใช้
00:50:43 → 00:50:45 ยาแก้ปวดแล้วก็มาเจอกันอีกทีตอนที่เป็น
00:50:45 → 00:50:48 มากขึ้นไปแล้วอะไรอย่างเงี้ยนะคะเนาะอื
00:50:48 → 00:50:51 แบบที่พี่นุ่มว่าเลยผมว่าคือยาป้องกันน่ะ
00:50:51 → 00:50:53 มันดีหมายถึงว่าถ้าเราเมื่อไหร่ก็ตามเรา
00:50:53 → 00:50:55 จำนวนวันของการปวดหัวเราเยอะผมว่ายังไง
00:50:56 → 00:50:58 เราก็ควรได้อยู่แล้วยาป้องกันอ
00:50:58 → 00:51:01 >> แต่ว่าอย่างที่พี่นุ่มว่ามันมี 2 กลุ่ม
00:51:01 → 00:51:04 อ่ะใช่มมียาป้องกันกลุ่มเก่ากับยาป้องกัน
00:51:04 → 00:51:05 กลุ่มใหม่ค่ะ
00:51:05 → 00:51:08 >> ปัญหายาป้องกันกลุ่มเก่าคือเพราะว่าเรา
00:51:08 → 00:51:12 ไม่เคยในก่อนหน้า CGRP เนาะเราไม่เคยมียา
00:51:12 → 00:51:15 ที่เอาไว้รักษาไมเกรนโดยตรงเนาะที่ผ่านมา
00:51:15 → 00:51:18 คือเราไปยืมยาคนอื่นคนอื่นมาใช้
00:51:18 → 00:51:20 >> พี่นุรู้เปล่าว่าอย่างเช่นแบบยาตัวแรกๆ
00:51:20 → 00:51:22 ที่เราใช้อย่างเช่นยาความดันน่ะ
00:51:22 → 00:51:25 >> เออรู้มั้ว่าเราว่าเราค้นพบได้ยังไงพี่
00:51:25 → 00:51:25 นุ่ม
00:51:25 → 00:51:26 >> เออตำนานมันเป็นยังไงนะคะ
00:51:26 → 00:51:28 >> เออตำนานน่ะมันก็คืออย่างงี้ยาทุกตัวเลย
00:51:28 → 00:51:31 นะตำมาจากตำนานหมดก็คือว่าคนไข้เป็นความ
00:51:31 → 00:51:33 ดัน
00:51:33 → 00:51:35 >> แล้วปวดหัวเพราะพานี่ใช้มาตั้งแต่ประมาณ
00:51:35 → 00:51:38 199 กว่าป่ะคะ 1990 อะไรประมาณเนี้ยไกล
00:51:39 → 00:51:40 มาก
00:51:40 → 00:51:42 >> ไกลมากแล้วก็แบบก็คือเ้าเป็นความดันพี่
00:51:42 → 00:51:46 นุ่มแล้วก็เสร็จแล้วก็ก็กินปรากฏว่าอ่ะก็
00:51:46 → 00:51:49 ก็รักษาไม่ได้รักษาไมเกรนไม่ได้องั้นก็
00:51:49 → 00:51:51 แต่เขามีความดันอ่ะกินยาความดันเฮ้ย
00:51:51 → 00:51:54 ไมเกรนดีขึ้นเว้ย
00:51:54 → 00:51:57 >> เหมือนกันคนไข้แบบแล้วก็ยาจิตเวททั้งหลาย
00:51:57 → 00:51:59 ใช่มั้ครับยาแก้ซึมเศร้าวิตกกังวลก็เพราะ
00:51:59 → 00:52:03 คนไข้เป็นซึมเศร้าวิตกกังวลกินไปอ้าวหาย
00:52:03 → 00:52:05 เออแล้วก็แบบก็เหมือนกันยากันชักก็คนไข้
00:52:05 → 00:52:06 เป็นลมชัก
00:52:06 → 00:52:09 >> ก็หายอันนั้นแหละก็เลยอในอดีตที่ผ่านมา
00:52:09 → 00:52:10 ค่ะ
00:52:10 → 00:52:13 >> แต่ถามว่ายาณจุดนั้นมันดีคือถ้าเมื่อไหร่
00:52:13 → 00:52:16 ก็ตามเรากินยาผมว่ามันก็ดี
00:52:16 → 00:52:19 >> มันดีอยู่แล้วล่ะแต่ปัญหาคืออย่างที่พี่
00:52:19 → 00:52:21 นุ่มว่าอีกอันที่ 2 คือ
00:52:21 → 00:52:23 >> คือพวกนี้พอมันไม่ได้ specific อ่ะครับ
00:52:23 → 00:52:27 มันเลยมาพร้อมกับผลข้างเคียงข้างเคียง
00:52:27 → 00:52:30 >> แล้วในงานวิจัยอันนึงเนี่ยที่เขาทำในต่าง
00:52:30 → 00:52:32 ประเทศเนี่ยที่เรารู้เลยคือ
00:52:32 → 00:52:35 >> ให้พี่นุ่มถ่าย 6 เดือนน่ะสมมุติว่าคนที่
00:52:35 → 00:52:38 ต้องกินยาใช่ให้ทายว่า 6 เรือเนี่ยมีคน
00:52:38 → 00:52:41 น่ะยังกินยาอยู่กี่เปอร์เซ็นต์
00:52:41 → 00:52:42 >> ไม่ถึง 20%
00:52:42 → 00:52:45 >> เยังยังเยอะยังได้อีกนิดนึงอีกนิดนึง
00:52:45 → 00:52:47 >> 30% 30%
00:52:47 → 00:52:49 >> ยังดียังดี
00:52:49 → 00:52:52 >> แต่พอปีนึงอ่ะเท่าตัวเลขที่พี่นุ่มพูดเลย
00:52:52 → 00:52:52 >> อื
00:52:52 → 00:52:55 >> เหลือ 20% คำถามคือ
00:52:55 → 00:52:58 >> คนที่ต้องได้ 100% น่ะกลายเป็นว่ายังกิน
00:52:58 → 00:53:01 อยู่แค่ 30% น่ะพี่นุ่ม
00:53:01 → 00:53:03 >> ใช่ป่ะคือแบบโอ้โหแบบเออมันก็เลยเป็น
00:53:03 → 00:53:03 ประโยช
00:53:03 → 00:53:07 >> หมายความว่า 70% ของคนไข้ตรงนั้นนะคะคน
00:53:07 → 00:53:10 ไข้ไมเกรน 70% ตรงนั้นมีความเสี่ยงจะกลาย
00:53:10 → 00:53:12 เป็นไมเกรนเรือรักถูกต้อง
00:53:12 → 00:53:14 >> อื
00:53:14 → 00:53:16 >> ซึ่งอันเนี้ยเป็นปัญหาหนักมากๆแล้วก็แต่
00:53:16 → 00:53:19 ว่าโอเคยุคนี้ยุคนี้เรามาสู่ยุคยุคใหม่
00:53:19 → 00:53:22 แล้วค่ะเรามียุคยาของ CGRP ซึ่งมันเป็น
00:53:22 → 00:53:25 MRE Specific มากยิ่งขึ้นก็ลดผลข้าง
00:53:25 → 00:53:29 เคียงไปประสิทธิภาพก็ดีขึ้นเนาะแต่ว่าก็
00:53:29 → 00:53:31 ยังติดเรื่องของราคายาเนี่ยแหละที่อาจจะ
00:53:31 → 00:53:35 ทำให้เข้าถึงยากนิดนึงนะคะแต่ว่าพี่ว่า
00:53:35 → 00:53:38 มันก็ดีกว่าไม่มีนะคืออย่างน้อยมันมี
00:53:38 → 00:53:43 โอกาสในการรักษามากยิ่งขึ้นโดยส่วนตัวถ้า
00:53:43 → 00:53:47 >> คนไข้คนไหนเอ่อยังยังเข้าถึงยาที่อาจจะ
00:53:47 → 00:53:49 ใช้ยากลุ่มใหม่ไม่ได้พี่ว่ายากลุ่มเก่า
00:53:49 → 00:53:50 อ่ะจริงๆประสิทธิภาพมันดีมากนะคะ
00:53:51 → 00:53:51 >> อือ
00:53:51 → 00:53:56 >> เราคุยให้คนไข้เข้าใจว่าจำเป็นต้องให้ยา
00:53:56 → 00:53:58 แล้วเราก็คุยเรื่องผลข้างเคียงไว้ล่วง
00:53:58 → 00:53:59 หน้า
00:53:59 → 00:54:02 >> ปรากฏว่าพี่ว่าถ้าเป็นในมือพี่อ่ะอ่าถ้า
00:54:02 → 00:54:05 คนไข้ต้องกินยาจริงๆมันติดตามไป 6 เดือน
00:54:05 → 00:54:06 เกิน 30%
00:54:06 → 00:54:09 ด้วยความที่คนไข้เข้าใจค่ะเพราะว่าก่อน
00:54:09 → 00:54:11 หน้านี้ที่คนไข้แบบอาจจะได้ยามาแล้วแบบพอ
00:54:11 → 00:54:13 เจอผลข้างเคียงปุ๊บเขาไม่รู้ว่าเขาต้อง
00:54:13 → 00:54:16 กินไงเขาก็หยุดยาไปเองก่อนแต่ถ้าแค่เขา
00:54:16 → 00:54:19 รู้อ่ะขอให้ได้เข้าใจเถอะว่าทำไมถึงต้อง
00:54:19 → 00:54:21 กินแล้วกินถึงเมื่อไหร่เราจะแพรสเมื่อ
00:54:21 → 00:54:24 ไหร่เมื่อไหร่เราจะอะไรได้คืออย่างน้อยมี
00:54:24 → 00:54:27 การวางแผนให้เขา้าอ่ะเขาก็จะยอมกินมาก
00:54:27 → 00:54:29 ขึ้นแล้วก็จะยอมรับผลข้างเคียงตรงนั้นได้
00:54:29 → 00:54:31 มากยิ่งขึ้นแล้วก็อีกอย่างคือยามีหลายตัว
00:54:31 → 00:54:34 ค่ะเราก็พยายามปรับให้เหมาะสมกับแต่ละคน
00:54:34 → 00:54:37 เนาะบางคนแบบมีวิตกกังวลซึมเศร้าอ่ะเรา
00:54:38 → 00:54:39 ใช้ยากลุ่มซึมเศร้าไปด้วยเขาก็ได้
00:54:39 → 00:54:41 ประโยชน์ 2 เรื่องไปด้วยอะไรแบบนี้นะคะ
00:54:42 → 00:54:44 แต่สำหรับใครที่กินแล้วแบบมีผลข้างเคียง
00:54:44 → 00:54:48 จริงๆแล้วเป็นไมเกรนที่เป็นเยอะจริงๆเข้า
00:54:48 → 00:54:50 ถึงยากลุ่มใหม่ๆของการรักษาได้ที่เป็น
00:54:50 → 00:54:53 กลุ่มพวก CGP จริงๆอันเนี้ยก็คือเป็น
00:54:53 → 00:54:55 เหมือนแบบสามารถมาเปลี่ยนแบบคุณภาพชีวิต
00:54:56 → 00:54:58 ไมเกรนได้เลยนะคะเนาะอ
00:54:58 → 00:55:01 >> ผมก็เลยคิดว่าจริงๆคือเพราะว่ายาเอ่อ
00:55:01 → 00:55:03 กลุ่มใหม่เนี่ยผมว่ามันก็เป็นยาที่มัน
00:55:03 → 00:55:06 สำคัญมากเนาะพี่นุ่มแล้วก็จริงๆเราก็อยาก
00:55:06 → 00:55:09 ให้ประชาชนน่ะทุกคนได้เข้าถึงยาซึ่งผมว่า
00:55:09 → 00:55:11 อันนี้ก็คงจะต้องเป็นคือผมว่ามันต้องเป็น
00:55:11 → 00:55:14 หน้าที่ของทางภาคประชาชนแล้วก็ภาคแพทย์
00:55:14 → 00:55:17 นี่แหละที่เราจะช่วยกัน
00:55:17 → 00:55:20 >> แคมเปญช่วยกันอะไรอย่างเงี้ย Voice ไปถึง
00:55:20 → 00:55:22 รัฐบาลหรือว่าอะไรก็ตามเนี่ยแล้วก็ผมว่า
00:55:23 → 00:55:25 เราก็ต้องมี study เยอะว่าแบบมันส่งผล
00:55:25 → 00:55:28 กระทบต่อคุณภาพชีวิตยังไงหรืออะไรเงี้ย
00:55:28 → 00:55:31 ซึ่งผมว่ามันจะได้ช่วยผู้ป่วยด้วยเนาะ
00:55:31 → 00:55:32 แล้วก็พวกเราช่วยกันอยู่นะคะ
00:55:32 → 00:55:35 >> ใช่นะครับเราก็อยากให้ภาคประชาชนมาช่วย
00:55:35 → 00:55:38 กันด้วยเช่นกันนะแบบ voice ขึ้นมาว่าเบด
00:55:39 → 00:55:41 ของเรามันเป็นอะไร
00:55:41 → 00:55:45 >> ใช่มแบบทุกไอ้ความทุกข์ที่เราได้มันเป็น
00:55:45 → 00:55:45 ยังไง
00:55:45 → 00:55:48 >> แล้วคนไข้เกนเป็นคนไข้วัยทำงานนะคะจริงๆ
00:55:48 → 00:55:52 แล้วมันเอฟเฟคเรื่องของแบบการงานอาชีพ
00:55:52 → 00:55:53 ครอบครัว
00:55:53 → 00:55:55 >> การหาเรียนครอบครัวอะไรค่อนข้างเยอะมาก
00:55:55 → 00:55:58 หลายคนต้องหยุดทำงานไปเนาะกลายเป็นแบบ
00:55:58 → 00:55:59 ทั้งครอบครัวทำงานได้คนเดียวอะไรอย่าง
00:55:59 → 00:56:00 เงี้ยก็มี
00:56:01 → 00:56:03 >> อย่างในยุโรปเองเนี่ยคืออย่างต่างประเทศ
00:56:04 → 00:56:06 เค้าก็จะมี study เยอะที่เกี่ยวกับว่าแบบ
00:56:06 → 00:56:09 ไมเกรนในวัยทำงานส่งผลต่อเศรษฐกิจเ้า
00:56:09 → 00:56:11 อย่างไรเนี่ยนะอย่างในอย่างในยุโรปอ่ะพบ
00:56:11 → 00:56:15 ว่าแบบเค้าเสียเงินแบบปีละเป็นพันๆล้าน
00:56:15 → 00:56:17 ยูโรนะพี่นุก Oh my
00:56:17 → 00:56:19 >> กับไมเกรนน่ะดังนั้นเขาก็เลยบอกว่าเฮ้ย
00:56:19 → 00:56:22 อย่างี้ไม่ได้แล้วเค้าก็เลยต้องมารักษา
00:56:22 → 00:56:24 ไมเกรนกันอย่างจริงจังอย่างเงี้ยเราก็
00:56:24 → 00:56:26 อยากให้อย่างเงี้ยเจอในประเทศไทยเนาะอื
00:56:26 → 00:56:29 >> เนาะอยากให้เกิดแล้วก็ฝากถึงคนไข้ไมเกรน
00:56:29 → 00:56:30 ที่ฟังก่อนแล้วกันเพราะว่าคนที่ได้ฟัง
00:56:30 → 00:56:32 คลิปนี้ก็น่าจะเป็นคนไข้ที่คิดว่าน่าจะ
00:56:32 → 00:56:35 เป็นไมเกรนนะคะถ้าเรารู้ว่าเราเริ่มปวด
00:56:35 → 00:56:38 หัวบ่อยปวดเกิน 4 ครั้งต่อเดือนนะคะเรา
00:56:38 → 00:56:41 เป็นกลุ่มที่เราควรจะต้องได้ยาป้องกันได้
00:56:41 → 00:56:44 แบบไหนก็ว่ากันอีกทีนึงว่าเราเนี่ยสามารถ
00:56:44 → 00:56:48 เอ่อรักษาใช้ยาแบบไหนได้นะคะก็พยายามเอ่อ
00:56:48 → 00:56:50 ผาแพทย์นะคะไปปรึกษาแพทย์อย่าซื้อยาแก้
00:56:50 → 00:56:53 ปวดกินเองแล้วเนาะอย่าอย่าอย่ารอให้มัน
00:56:53 → 00:56:55 เกิดเป็นไมเกรนเรื้อรังแล้วค่อยมารักษาพอ
00:56:55 → 00:56:58 รักษาเร็วอ่ะค่ะใช้ยาน้อยแล้วก็หยุดยาได้
00:56:58 → 00:57:01 เร็วกว่าจริงๆนะคะเพราะว่าโกในการรักษา
00:57:01 → 00:57:04 ไมเกรนน่ะเราจะดูกันว่าเราคุมไมเกรนได้
00:57:04 → 00:57:07 แล้วหรือยังนะคะซึ่งถ้าเป็นเมื่อก่อนน่ะ
00:57:07 → 00:57:10 ในอดีตเขาเอา 50% รีดักชัเช่นปวดหัว 20
00:57:10 → 00:57:11 วัน
00:57:11 → 00:57:15 >> คุมได้คือปวดหัวปัจจุบันเปเปอร์มาล่าสุด
00:57:15 → 00:57:18 ปี 2015 หรือจริงๆอ่ะเอาจริงๆในทาง
00:57:18 → 00:57:21 ปฏิบัติก็ก็ไม่ใช้ 50% มานานแล้วค่ะเพราะ
00:57:22 → 00:57:24 รู้สึกว่าเพราะรู้สึกว่าคนไข้ปวด 20 วัน
00:57:24 → 00:57:27 เหลือ 10 วัน 10 วันนั้นทำไมคะกินยา 10
00:57:27 → 00:57:30 วันยังเกิด Medication overuse ค่ะซึ่ง
00:57:30 → 00:57:33 ตรงเนี้ยมันก็มาคเฟิร์มด้วยล่าสุดนะคะบอก
00:57:33 → 00:57:35 ว่าการรักษาไมโกรเกรนจริงๆเราควรรักษาไป
00:57:35 → 00:57:39 จนถึงคนไข้แทบจะไม่ปวดหัวเลยคือไมเกรน
00:57:39 → 00:57:42 freดomเลยก็คือต้องไม่เกิน 4 ครั้งต่อ
00:57:42 → 00:57:45 เดือนหรือ 0 ได้เลยยิ่งดีนะคะเพราะฉะนั้น
00:57:45 → 00:57:49 เนี่ยลองนึกภาพนะคะถ้าเรารอตอนเป็นเราปวด
00:57:49 → 00:57:53 หัวเราจะต้องใช้ยาเยอะขนาดไหนในการทำให้
00:57:53 → 00:57:57 จาก 30 ไปเหลือ 15 ไปเหลือ 10 ไปเหลือ 4
00:57:57 → 00:58:00 เนาะมันก็จะต้องกินยาเยอะกินยายาวรักษา
00:58:00 → 00:58:03 นานแต่ถ้าเราเริ่มปวด 4 ครั้ง 6 ครั้ง 8
00:58:03 → 00:58:06 ครั้งเรารักษาเลย 50% ปุ๊บอ่ะเราเข้าสู่
00:58:06 → 00:58:09 ไมเกรนที่คุมได้เลยกลับไปใช้ชีวิตได้หยุด
00:58:09 → 00:58:13 ยาได้เร็วนะคะงั้นทุกคนที่เป็นก็คอยเอ่อ
00:58:13 → 00:58:16 จดบันทึกอาการตัวเองไอี่นี่คือสำคัญมากนะ
00:58:16 → 00:58:20 คะเราจริงๆอ่ะถ้าเราไม่จดอ่ะถามจริงๆแบบ
00:58:20 → 00:58:24 เวลาเรานั่งนึกอ่ะสมมุติน้องบอลเมื่อวาน
00:58:24 → 00:58:26 7 วันที่ผ่านมาใช้เงินไปเท่าไหร่คะ
00:58:26 → 00:58:32 >> ใช่โอไม่รู้แล้วครับไม่รู้ภรรยาเอาไปหมด
00:58:32 → 00:58:35 คือมันในชีวิตเราอ่ะวันๆนึงเราแบบมันมี
00:58:35 → 00:58:39 เรื่องราวมากมายแบบใช้เงินเท่าไหร่กิน
00:58:39 → 00:58:42 อะไรกินข้าวอะไรเรื่องราวมันเยอะอ่ะใครจะ
00:58:42 → 00:58:45 มานั่งจำกินพาราไปกี่เมตรกินยาไปกี่เมตร
00:58:45 → 00:58:48 สิ่งเดียวที่ทำได้คือจดค่ะวันไหนปวดหัว
00:58:48 → 00:58:51 แค่บันทึกไว้เดี๋ยวนี้มีเยอะแยะมากมายนะ
00:58:51 → 00:58:55 คะแอปพลิเคชับางคนสายแบบจดจดใส่ไดอารี่มี
00:58:55 → 00:58:58 ไดอารี่ส่วนตัวอยู่แล้วจดในมือถือง่ายๆก็
00:58:58 → 00:59:01 ได้นะคะหรือมีแอปพลิเคชัสำหรับไมเกรนโดย
00:59:01 → 00:59:04 เฉพาะที่แบบจะมาช่วยทำให้เราอ่ะเริ่มรู้
00:59:05 → 00:59:08 ว่าเราเป็นไมเกรนระดับไหนควรจะต้องได้ยา
00:59:08 → 00:59:11 ป้องกันเราหรือยังควรจะต้องไปหาหมอแล้ว
00:59:11 → 00:59:14 หรือยังนะคะเนาะบางคนแบบเอ้ยแบบเนี่ยหมอ
00:59:14 → 00:59:17 เจอล่าสุดอ่ะค่ะแบบตอนแรกเขาเป็น 2 ครั้ง
00:59:17 → 00:59:19 3 ครั้งอ่ะค่ะแล้วพอแบบ 2-3 เดือนล่าสุด
00:59:19 → 00:59:22 เขามาเจอว่าเขากินยาไป 4 เม็ด 5 เม็ดเขา
00:59:22 → 00:59:24 ก็รีบมาหาเลยอย่างเงี้ยค่ะซึ่งเขาบอกว่า
00:59:25 → 00:59:27 ถ้าเกิดเขาไม่จดอ่ะเขานึกไม่ออกหรอกมัน
00:59:27 → 00:59:31 เพลินๆน่ะค่ะบางคือบางทีเราบางทีเราแบบ
00:59:31 → 00:59:33 ปวดหัวเอ้เรากินยาแก้ปวดเพราะเรื่องอื่น
00:59:33 → 00:59:37 ด้วยไงนึกออกมคะแบบอ่ะไม่สบายก็ไปกินพารา
00:59:37 → 00:59:39 ก็กินไปเท่าไหร่อะไรอย่างเงี้ยมันมันไม่
00:59:39 → 00:59:42 ได้จดไว้นะเพราะฉะนั้นทุกคนก็เริ่มโจทย์
00:59:42 → 00:59:45 ในเกณฑ์ไดอารี่กันนะคะสำคัญมาก
00:59:45 → 00:59:47 >> เห็นด้วยเห็นด้วยมากในซีแลนซ์น่ะพี่นุ่ม
00:59:47 → 00:59:48 ใช่ป่ะ
00:59:48 → 00:59:48 >> เออๆ
00:59:48 → 00:59:53 >> คนน่ะใช้MRนDiี่จริงๆอ่ะไม่ไม่ถึง 50%
00:59:53 → 00:59:54 >> อ๋อ
00:59:54 → 00:59:58 >> ใช้ไม่ถึง 50% จริงๆแบบอยู่ประมาณแบบ 30%
00:59:58 → 01:00:01 เท่านั้นอซึ่งผมว่าอันนี้ก็ก็เป็นอันนึง
01:00:01 → 01:00:03 นะครับแนะนำเหมือนกันนะจริงๆไม่ต้องแบบทำ
01:00:03 → 01:00:06 ให้มันแบบยากๆเลยนะจดในมือถือนั่นแหละ
01:00:06 → 01:00:09 เนาะว่าแบบเราปวดกี่วันใช้ยาไปอะไรบ้าง
01:00:09 → 01:00:12 แค่นั้นน่ะก็นี่คือสิ่งที่หมออยากได้จริง
01:00:12 → 01:00:12 ๆ
01:00:12 → 01:00:15 >> ค่ะแล้วมันประหยัดเวลาในการตรวจรักษามาก
01:00:15 → 01:00:17 เลยนะคะระหว่างแบบเมื่อก่อนที่คนไข้ไม่จด
01:00:17 → 01:00:19 มาแต่สมมุติว่าถามว่าเดือนที่แล้วปวดหัว
01:00:19 → 01:00:22 กี่วันคะกว่าคนไข้จะนั่งแบบนั่งลิสนั่ง
01:00:22 → 01:00:26 ลึกอ่ะกับทุกวันนี้เปิดเลยค่ะแบบว่ามันก็
01:00:26 → 01:00:27 เราก็แบบ
01:00:27 → 01:00:31 >> ก็เอ่อใช้เวลาน้อยลงแม่นยำมากขึ้นเนาะโรค
01:00:31 → 01:00:33 อื่นน่ะเขามีเลือดให้เจาะไง
01:00:33 → 01:00:37 >> เป็นเบาหวานก็ดูเป็นสีน้ำตาล 100 150
01:00:37 → 01:00:40 แต่ไมเกรนมันไม่มีเลือดให้เจาะนะคะเราก็
01:00:40 → 01:00:42 ต้องวัดจากเนี่ยแหละเราปวดหัวกี่ครั้งเรา
01:00:42 → 01:00:44 ใช้ยาไปเท่าไหร่เบอร์เด้นเราเท่าไหร่เรา
01:00:44 → 01:00:47 หยุดงานมยเรารู้สึกยังไงความรู้สึกยังไง
01:00:47 → 01:00:50 นี่ก็สำคัญนะคะบางครั้งปวดหัวไม่เยอะแต่
01:00:50 → 01:00:53 มีเขียนว่าไม่ไปเที่ยวเพราะกลัวปวดหัว
01:00:53 → 01:00:55 อันเนี้ยมันสำคัญนะแบบว่ามันทำให้เรา
01:00:55 → 01:00:58 ลิมิตการใช้ชีวิตอะไรแบบ
01:00:58 → 01:01:02 อีกอันนึงที่รู้สึกได้จาก
01:01:02 → 01:01:04 >> คนไข้นะคะส่วนใหญ่แบบบางทีเรากินยาป้อง
01:01:04 → 01:01:09 กันไปจากเขาปวดหัวน่ะพอเขาจดอ่ะเขาเห็น
01:01:09 → 01:01:11 เองด้วยตาของตัวเองอ่ะมันเหมือนเราได้
01:01:11 → 01:01:14 เจาะเลือดด้วยตัวเราเองว่าเฮ้ยมันเหลือ
01:01:14 → 01:01:17 แค่ 2 วันแล้วนะ 3 วันแล้วนะมันก็มีกำลัง
01:01:17 → 01:01:20 ใจในการรักษามีกำลังใจในการที่จะดูแลตัว
01:01:20 → 01:01:24 เองกลับไปออกกำลังกายนอนให้พอหรือว่าเอ่อ
01:01:24 → 01:01:26 เหมือนแบบควบคุมปัจจัยกระตุ้นไมเกรนให้ดี
01:01:26 → 01:01:27 ยิ่งขึ้นด้วยนะคะ
01:01:28 → 01:01:30 >> จริงเออผมว่ามันเป็นมันเป็นเหมือนรางวัล
01:01:30 → 01:01:33 อันนึงนะสำหรับใครที่จดไดอารี่อ่ะเราลอง
01:01:33 → 01:01:36 แบบวันแรกนะที่เราแบบรักษากับวันที่แบบพอ
01:01:36 → 01:01:38 มันดีขึ้นนะครับเราจะเห็นเลยว่าวันแรกหู
01:01:38 → 01:01:41 เราจด 2 หน้าอีกครั้งนึงมาอุ้ยมันลดเหลือ
01:01:41 → 01:01:44 ครึ่งนึงแล้วอะไรอย่างเงี้ยโอหแบบมันรู้
01:01:44 → 01:01:45 สึกดีไปตาม
01:01:45 → 01:01:48 >> แล้วหลายคนแบบว่าตอนเริ่มเป็นก็คือแบบ
01:01:48 → 01:01:52 โอโหแบบเกยาแก้ปวดเยอะมากผ่านไปแบบ 6
01:01:52 → 01:01:55 เดือน 1 ปีแล้วเเหลือหน่อยเ้าแบบดีใจมาก
01:01:55 → 01:01:58 เก็บเป็นเหมือนคัมภีร์ไบเบิลคัมภีคัมภีร์
01:01:58 → 01:02:01 รางวัลเป็นกำลังใจให้ตัวเองว่าเราจะไม่
01:02:01 → 01:02:04 กลับไปจุดนั้นอีกแล้วนะอะไรแบบเนี้ยค่ะ
01:02:04 → 01:02:08 >> อยากอยากให้ทำกันนะครับเพกdayี่ใช่แล้วก็
01:02:08 → 01:02:11 คือคนไข้ไมเกรนเป็นคนไข้ที่น่าสงสารจริงๆ
01:02:11 → 01:02:13 เดี๋ยวเราจะมาคุยเรื่องนี้กันต่อก็คือ
01:02:13 → 01:02:17 เรื่องสติมเบอร์เดenที่บอกว่าในการจดอ่ะ
01:02:17 → 01:02:18 สิ่งนึงที่เหมาะให้คนไข้จดด้วยนะว่าคือ
01:02:19 → 01:02:19 แบบ
01:02:19 → 01:02:21 >> เค้ารู้สึกยังไง
01:02:21 → 01:02:21 >> อื
01:02:21 → 01:02:25 >> มันเอ่อมีคนไข้บางคนเขาใช้คำว่าปวดจน
01:02:25 → 01:02:28 เหมือนรู้สึกอยากเอาหัวออกอยากจะเอาหัว
01:02:28 → 01:02:32 โขกกำแพงไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้วหรือบาง
01:02:32 → 01:02:33 คนใช้คำว่าอ
01:02:33 → 01:02:36 >> เรู้สึกผิดที่เขาหยุดงานอ่ะเหมือนเพื่อน
01:02:36 → 01:02:39 ที่ทำงานเหมือนแบบโดนมองว่าแบบ
01:02:39 → 01:02:40 >> อ
01:02:40 → 01:02:42 >> อะไรนักหนาหยุดงานอีกละอะไรประมาณเนี้ย
01:02:42 → 01:02:45 ค่ะแบบไม่เข้าใจหรือมีบางคนก็คือเนี่ยไม่
01:02:45 → 01:02:48 ไปทริปต่างประเทศกับกลับที่บ้านเพราะกลัว
01:02:48 → 01:02:49 ไปเป็นภาระนะคะ
01:02:49 → 01:02:53 >> ผมเคยให้คนไข้ไมเกรนวาดรูปพี่พี่นุ่ม
01:02:53 → 01:02:55 >> ว่าตัวเองเพราะว่าความรู้สึกตัวเองอ่ะ
01:02:55 → 01:02:57 เวลาเป็นไมเกรนน่ะรู้สึกยังไงรู้มั้เค้า
01:02:57 → 01:03:00 วาดอะไรเวาดคน 2 คน
01:03:00 → 01:03:03 >> แล้วก็แล้วแบบมันเหมือนกับมันเป็นเสี่ยงๆ
01:03:03 → 01:03:06 อ่ะพี่นุ่มแล้วก็กลับอีกภาพนึงก็คือเป็น
01:03:06 → 01:03:09 คน 2 คนเหมือนกันแต่ว่าเหมือนกับเป็นคน
01:03:09 → 01:03:12 ที่มี 2 ร่างในตัวเองคือร่างที่หัวกำลัง
01:03:12 → 01:03:16 ไฟไหม้เออกับร่างที่แบบว่าเา้าอยู่ในภาวะ
01:03:16 → 01:03:20 ที่แบบดำมืดอ่ะเออพี่นุ่นแบบคือเออแต่ผม
01:03:20 → 01:03:23 ว่าอาร์ตเป็นอันนึงที่แบบอยากให้เออมัน
01:03:23 → 01:03:25 น่าทำเหมือนกันเนาะเดี๋ยวเราไปเสนอในชมรม
01:03:25 → 01:03:28 กันดีให้ให้เวาดรูปได้บรยาย
01:03:28 → 01:03:31 >> มาบรรยายออกมาเป็นรูปภาพว่าไมเกรนตัวเอง
01:03:31 → 01:03:34 รู้สึกยังไงคือแค่แบบเสี่ยงๆก็แบบโอสงสาร
01:03:34 → 01:03:37 แล้วอ่ะเอออันเนี่ยสิ่งเนี้ยคือเขาเรียก
01:03:37 → 01:03:40 แบบเป็นเหมือนไมเกรนสิมาใช่มั้คะที่ว่า
01:03:40 → 01:03:43 แบบคือคนไมเกรนจะรู้สึกว่าคนรอบข้าง
01:03:43 → 01:03:47 >> ไม่เข้าใจเซึ่งข้อมูลมันเยอะใช่มั้คะน้อง
01:03:47 → 01:03:47 บอล
01:03:47 → 01:03:50 >> อมันเยอะมากสติมอ่ะพี่นุ่ม
01:03:50 → 01:03:52 >> ภาษาไทยใช้คำว่าอะไรดีนะ
01:03:52 → 01:03:54 >> ใช้คำว่าอะไรดีตราบาปเหรอ
01:03:54 → 01:03:55 >> เออมันคล้ายๆเป็นตราบ
01:03:55 → 01:03:59 >> เป็นตราบาปนะเหมือนแบบเรารู้สึกว่าเราแบบ
01:03:59 → 01:04:02 >> เอ่ออย่างเงี้ยจะหนีจะจะหยุดงานก็รู้สึก
01:04:02 → 01:04:06 ผิดอ่าจะปวดหัวก็รู้สึกผิดกับคนรอบข้าง
01:04:06 → 01:04:06 แล้ว
01:04:06 → 01:04:09 >> ใช่มันเป็นเหมือนความรู้สึกผิดหรือว่า
01:04:09 → 01:04:13 เป็นตราบาปที่แบบใครบางคนใส่ให้กับอีกคน
01:04:13 → 01:04:15 หรือใส่ให้กับผู้ป่วยอะไรอย่างเงี้ยเนาะ
01:04:15 → 01:04:19 เออมันซึ่งอันนี้ก็เป็นอันนึงที่ขัดขวาง
01:04:19 → 01:04:22 การรักษาหมายถึงว่าขัดขวางผู้ป่วยน่ะไม่
01:04:22 → 01:04:23 ให้มาหาหมอ
01:04:23 → 01:04:25 >> อ่าไม่ให้มาเจอหมอนั่นแหละ
01:04:25 → 01:04:26 >> พี่นุ่ม
01:04:26 → 01:04:29 >> ซึ่งจริงๆอ่ะไอ้สติมเนี่ยมันเกิดขึ้นตลอด
01:04:30 → 01:04:32 เวลานะหมายถึงว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นแค่
01:04:32 → 01:04:35 เฉพาะกับผู้ป่วยกับหมอนะ
01:04:35 → 01:04:38 >> มันเกิดขึ้นกับผู้ป่วยกับครอบครัว
01:04:38 → 01:04:42 >> มันเกิดขึ้นกับผู้ป่วยกับเพื่อนร่วมงาน
01:04:42 → 01:04:44 >> มันเกิดขึ้นกับผู้ป่วยด้วยตัวเองอีก
01:04:44 → 01:04:47 >> เพราะว่าหลายครั้งเนี่ยมันกลายเป็นว่าพอ
01:04:47 → 01:04:50 พอเา้ามีภาวะสติมเนี่ยเค้าอย่างเงี้ย
01:04:50 → 01:04:53 อย่างแรกก่อนเอ่อถามว่าหมอทำอะไรให้กับ
01:04:53 → 01:04:55 ผู้ป่วยที่ทำให้ผู้ป่วยไม่อยากมาบ้างบาง
01:04:55 → 01:04:59 ทีคือพอไปหาหมอปวดหัวอีกแล้วเหรอค่ะอ่า
01:04:59 → 01:05:00 >> เมื่อไหร่จะหาย
01:05:00 → 01:05:00 >> อื
01:05:00 → 01:05:03 >> จะมาเอายาอีกใช่มั้ยอย่างเงี้ยคือพออย่าง
01:05:03 → 01:05:05 เงี้ยโอโหแบบคือเราถ้าเราเป็นคนไข้ใช่
01:05:05 → 01:05:08 มั้ยครับเราฟังเราก็เออเราก็ไม่ต้องมาก็
01:05:08 → 01:05:11 ได้เราก็เราก็ทนไปดิเราก็เราก็ไปหาซื้อยา
01:05:11 → 01:05:13 ก็ได้ไม่มีใครมาว่าเราถูกมั้ยครับ
01:05:13 → 01:05:17 >> ดังนั้นอันนี้ก็คืออันนึงที่มันขัดขวาม
01:05:17 → 01:05:20 >> เอ่ออันที่ 2 ก็คือกับเพื่อนร่วมงานอัน
01:05:20 → 01:05:22 นี้ชัดเจนมากบางทีคือเหมือนที่พี่นุ่มพูด
01:05:22 → 01:05:23 เกรดตอนแรกๆอ่ะ
01:05:23 → 01:05:24 >> ค่ะ
01:05:24 → 01:05:28 >> ลางานอีกแล้วหรอใช่มั้ยลางานอีกแล้วหรอ
01:05:28 → 01:05:30 เออทำไมก็มันก็แค่แบบอ
01:05:30 → 01:05:33 >> ฝรั่งจะใช้คำว่า It's just a headache
01:05:33 → 01:05:37 ก็แค่ปวดหัวทำไมต้องลาใช่มั้ยคือแต่ยิว
01:05:37 → 01:05:40 ไม่ได้sufferรในสิ่งที่ไอเป็นใช่มั้ฮะ
01:05:40 → 01:05:41 >> อ
01:05:41 → 01:05:43 >> หรือกับครอบครัวเองก็เหมือนกันเพราะว่า
01:05:43 → 01:05:46 บางทีก็ครอบครัวจะเป็นอันนึงที่เวลาเรา
01:05:46 → 01:05:48 อ่ะบางทีเราเราแคร์คนอื่นมาก
01:05:48 → 01:05:51 >> แต่กับคนในครอบครัวกันเองบางทีเราพูดแรงๆ
01:05:51 → 01:05:54 ได้เนาะเราจะเราจะลืมตรงจุดนี้ไปหลาย
01:05:54 → 01:05:58 ครั้งแล้วบางทีกับสามีกับภรรยาเองอย่างี้
01:05:58 → 01:06:01 ใช่มั้บางทีเราพูดแรงๆไปอย่างเงี้ย
01:06:01 → 01:06:04 >> มันเรู้สึกอยู่แล้วแล้วมันก็ยิ่งทำให้ให้
01:06:04 → 01:06:05 เขาเป็นอย่างงั้นอ
01:06:05 → 01:06:06 >> ออือ
01:06:06 → 01:06:09 >> สุดท้ายพอมันโดนรอบข้างเยอะคนไข้จะรู้สึก
01:06:09 → 01:06:12 แบบเ้าเรียกว่าเป็น internal stigma คือ
01:06:12 → 01:06:14 รู้สึกว่าเป็นตราบาปในจิตใจของตัวเองดัง
01:06:15 → 01:06:17 นั้นคือมันก็เาก็รู้สึกผิดกับตัวเองตลอด
01:06:17 → 01:06:20 เวลาว่าเออเราเป็นไมเกรนเพราะเราอ่อนแอ
01:06:20 → 01:06:21 >> อื
01:06:21 → 01:06:23 >> อย่างเงี้ยเราอ่อนแอแอเราไม่อยากจะไปทำ
01:06:23 → 01:06:26 อะไรเลยเราแบบเราขออยู่เฉยๆของเราดีกว่า
01:06:26 → 01:06:29 ไม่อยากออกไปเจอใครถ้าออกไปเจอใครแล้วเรา
01:06:29 → 01:06:31 ต้องปวดหัวแล้วไปอายเค้าอีกงั้นเราอยู่
01:06:31 → 01:06:32 บ้านแล้วกัน
01:06:32 → 01:06:32 >> อ
01:06:32 → 01:06:35 >> อะไรอย่างเงี้ยซึ่งอันนี้มันมันเป็นสิ่ง
01:06:35 → 01:06:39 ที่แบบมันเจอเยอะมากนะพี่นุ่มแต่
01:06:39 → 01:06:41 >> มันไม่ค่อยมีคนพูดถึง
01:06:41 → 01:06:41 >> อื
01:06:41 → 01:06:44 >> แล้วก็อันนี้แหละซีแลนก็เลยน่าจะเป็นสตี้
01:06:44 → 01:06:47 แรกที่ที่เราพยายามที่จะดึงสิ่งนี้ออกมา
01:06:47 → 01:06:50 แล้วก็เราก็เจอจริงๆนะพี่นุ่มแบบใน
01:06:50 → 01:06:54 ซีแลนซ์เองอ่ะมันก็เจอเจอว่าเออแบบบางที
01:06:54 → 01:06:57 ในระหว่างบุคลากรทางการแพทย์เองก็
01:06:57 → 01:07:00 >> ก็แน่นอนแหละว่าเกิดสติมากับผู้ป่วยแน่ๆ
01:07:00 → 01:07:01 บางที
01:07:01 → 01:07:05 >> บางคนไปมองว่าผู้ป่วยแบบอยากจะเป็นไมเกรน
01:07:05 → 01:07:08 เพราะอยากจะล้างงานอย่างเงี้ยอ
01:07:08 → 01:07:11 >> ซึ่งแบบเออมันก็เราสิ่งเนี้ยมันอาจจะต้อง
01:07:11 → 01:07:12 ได้รับการแก้ไข
01:07:12 → 01:07:13 >> อือ
01:07:13 → 01:07:16 >> ซึ่งจริงๆนะพี่นุ่มเชื่อมว่าอย่างที่
01:07:16 → 01:07:17 ยุโรปอ่ะครับอ
01:07:17 → 01:07:20 >> เค้าเนี่ยทำแบบเป็น intiation เลยนะของ
01:07:20 → 01:07:23 study เนี่ยเนี่ยที่เราเค้าเรียกว่า M5
01:07:23 → 01:07:26 Study นะฮะมันชื่อ EMH เนาะซึ่งไอ้
01:07:26 → 01:07:30 อันเนี้ยคือไปดูเรื่องของสติมในผู้ป่วย
01:07:30 → 01:07:35 เลยว่าแบบหมอหรือว่ากับผู้ป่วยกับญาติกับ
01:07:35 → 01:07:37 ครอบครัวกับที่ทำงานอะไรอย่างเงี้ยปรากฏ
01:07:37 → 01:07:39 คือมาเจอสติกมาเยอะมาก
01:07:39 → 01:07:39 >> อือ
01:07:39 → 01:07:44 >> แล้วเขาก็เลยกำลังจะดูว่าเราจะแทคโคสิ่ง
01:07:44 → 01:07:46 นี้ไงเราจะจัดการในตรงนี้อย่างไรแล้วก็
01:07:46 → 01:07:48 เราจะทำไงให้อ
01:07:48 → 01:07:52 >> ให้เปลี่ยนกระบวนการพูดพูดกระบวนการอะไร
01:07:52 → 01:07:54 กับผู้ป่วยอะไรอย่างเงี้ยได้อย่างเมื่อ
01:07:55 → 01:07:56 ก่อนพี่นุ่มใช่ป่ะ
01:07:56 → 01:07:58 >> มันมีคำอย่างเช่นคำว่าไมเกรน
01:07:58 → 01:07:59 >> อื
01:07:59 → 01:08:02 >> ห้ามใช้คำว่าไมเกรนเติม s ณปัจจุบันเพราะ
01:08:02 → 01:08:05 เป็นการสร้างสติมคือเราจะเรียกคนไข้ว่าคน
01:08:05 → 01:08:08 ไข้migraน patient ก็คือคนไข้ไกรนห้าม
01:08:08 → 01:08:11 เรียกinเพราะว่าแปลว่าเหมือนกับเหล่า
01:08:11 → 01:08:12 ไมเกรนอ่ะไม่เอา
01:08:12 → 01:08:16 >> เออเดี๋ยวนี้แบบมีคำด้วยนะผมเคยแบบทำ
01:08:16 → 01:08:18 เขียนเปเปอร์นะเขียนไมเกรนเติม s นะโดนตี
01:08:18 → 01:08:21 กลับบอกว่าให้แก้ทำตรงนี้ด้วยนะเออเพราะ
01:08:21 → 01:08:24 ว่าแบบมันมันมันไปสร้างเบดมันไปสร้างความ
01:08:24 → 01:08:26 รู้สึกไม่ดีอ่ะครับอย่างเหมือนกันน่ะ
01:08:26 → 01:08:29 Medication Overuse หลายคนก็ไม่อยากให้
01:08:29 → 01:08:33 ใช้และเขาก็พยายามกำลังจะไปเปลี่ยนคำนี้
01:08:33 → 01:08:36 อยู่เหมือนกันว่าเราจะไปใช้คำว่าอะไรดี
01:08:36 → 01:08:39 อะไรอย่างเงี้ยเนาะซึ่งล่าสุดก็คือบอล
01:08:39 → 01:08:41 เนี่ยได้เข้าไปอยู่ในกรรมการของ
01:08:41 → 01:08:44 International Headache เลยว่าซึ่งเรา
01:08:44 → 01:08:45 จะออกไกด์ไลน์เรื่อง Medication of Use
01:08:45 → 01:08:48 Headach ของโลกนะครับแล้วก็
01:08:48 → 01:08:50 >> ซึ่งเดี๋ยวคงจะดูว่าจะมีการเปลี่ยนคำนี้
01:08:50 → 01:08:53 หรือเปล่าซึ่งผมก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่
01:08:53 → 01:08:57 >> ใช่จริงๆพี่ก็พี่ว่าคือก็อยากให้เปลี่ยน
01:08:57 → 01:08:59 เพราะว่าพอเวลาเราบอกคนไข้ปุ๊บว่าเนี่ย
01:08:59 → 01:09:01 ที่ปวดหัวเยอะขึ้นมันเกิดจากการที่เราแบบ
01:09:01 → 01:09:04 มีการใช้ยาแก้ปวดคือขนาดไม่ได้พูดว่าผู้
01:09:04 → 01:09:07 ป่วยติดยานะแค่พูดว่า
01:09:07 → 01:09:11 >> เกิดจากยาคนไข้ยังรู้สึกผิดเลยค่ะว่าอ้าว
01:09:11 → 01:09:14 ที่เขาแย่ลงเป็นเพราะเค้าหรอทุกครั้งก็จะ
01:09:14 → 01:09:17 บอกเสมอว่าแต่คนไข้อ่ะไม่ใช่
01:09:17 → 01:09:20 >> ไม่ไม่ได้เป็นเกิดจากคนไข้นะมันเกิดเพราะ
01:09:20 → 01:09:23 ว่ามันปวดหัวบ่อยเราถึงต้องกินยาบ่อยเไม่
01:09:23 → 01:09:24 ได้อยากติดถูก
01:09:24 → 01:09:28 >> แต่มันเป็นเพราะว่าเป็นกลไกของสมองไมเกรน
01:09:28 → 01:09:30 เนาะใช่ซึ่ง
01:09:30 → 01:09:34 >> เออไหนๆพูดเรื่องนี้ละขอให้น้องบอลอธิบาย
01:09:34 → 01:09:37 เสริมเรื่องสมองไมเกรนได้มั้ยคะไมเกรน
01:09:37 → 01:09:41 ไกรน chronification ไกรนอยากให้ทุกคนนะ
01:09:41 → 01:09:45 คะรู้ว่าไมเกรนมันมีการเปลี่ยนแปลงของ
01:09:45 → 01:09:48 สมองยังไงบ้างนะไม่ใช่ไมเกรนแค่ไมเกรนนะ
01:09:48 → 01:09:50 คะมันมีเรื่องราวของมัน
01:09:50 → 01:09:53 >> โอจริงๆไมเกรนมีเรื่องราวเยอะมากนะพี่
01:09:53 → 01:09:55 นุ่มเฮ้ยผมว่าเรามาคุยกันเล่นๆดีกว่า
01:09:55 → 01:09:58 >> ผมพี่นุ่มต้องย้อนกลับไปปี 2 สมัยพี่นุ่ม
01:09:58 → 01:09:58 เรียนแล้ว
01:09:58 → 01:10:01 >> โอ้โหนพี่นุ่มคำถาม
01:10:01 → 01:10:05 >> อย่าถามปีที่ย้อน
01:10:05 → 01:10:08 >> เราจะมาคุยกันอย่างงี้ครับว่าคำถามไมเกรน
01:10:09 → 01:10:12 เนี่ยคืออะไรเนี่ยนะเราต้องย้อนกลับไปว่า
01:10:13 → 01:10:15 ทำไมเราถึงต้องปวด
01:10:15 → 01:10:16 >> อื
01:10:16 → 01:10:19 >> อืใช่มั้พี่นุ่มใช่มั้เหตุผลพี่นุ่มว่า
01:10:19 → 01:10:23 พี่นุ่มว่าทำไมคนเราถึงต้องปวด
01:10:23 → 01:10:25 >> เป็นกลไกของร่างกาย
01:10:25 → 01:10:25 >> อื
01:10:26 → 01:10:29 >> จริงๆความปวดมันเป็นกลไกปกป้องของร่างกาย
01:10:29 → 01:10:30 นะคะถ้า
01:10:30 → 01:10:34 >> ยิ่งยิสมองอ่ะมันเป็นอวัยวะที่สำคัญเนาะ
01:10:34 → 01:10:37 มันคือศูนย์ควบคุมทุกอย่างมันถึงมีจุดรับ
01:10:37 → 01:10:40 ความปวดเยอะมากไม่ว่าจะเส้นประสาทหลอด
01:10:40 → 01:10:43 เลือดลองนึกภาพว่าถ้าเราไม่ปวดเรามีก้อน
01:10:43 → 01:10:44 เนื้องอกเราไม่รู้
01:10:44 → 01:10:46 >> อ่ากลายเป็นว่า
01:10:46 → 01:10:49 >> เราก็รู้ตัวอีกทีก็คือไปแล้วอะไรอย่าง
01:10:49 → 01:10:52 เงี้ยค่ะพี่ว่ามันเป็นกลไกของร่างกาย
01:10:52 → 01:10:55 >> อถูกต้องเลยพี่นุ่มคือปวดเนี่ยมันเป็น
01:10:55 → 01:10:57 กลไกที่อยู่กันมาเป็นล้านๆปีแล้วใช่มั้ย
01:10:57 → 01:11:02 แม้แต่ว่าเอ่อในสัตว์ทั้งหลายเนี่ยมันมี
01:11:02 → 01:11:04 ปวดหมดทุกชนิดใช่มั้ครับดังนั้นมันเว่า
01:11:04 → 01:11:07 มันต้องเป็นอะไรที่มันสำคัญทีนี้เวลาเรา
01:11:07 → 01:11:10 คิดถึงปวดอย่างเช่นปวดแผลปวดเข่าปวดอะไร
01:11:10 → 01:11:12 อย่างี้เนาะมันก็เป็นการเค้าเรียกว่าเป็น
01:11:12 → 01:11:14 การตอบสนอง
01:11:14 → 01:11:17 >> ภาวะเอ่ออันตรายที่เกิดขึ้นภายนอกร่างกาย
01:11:17 → 01:11:17 อ่ะ
01:11:17 → 01:11:23 >> อ่าแต่ไมเกรนเมื่อเราจับกับภาวะป่วน
01:11:23 → 01:11:26 ไมเกรนก็เลยเป็นเอ่อกระบวนการนึงของร่าง
01:11:26 → 01:11:30 กายที่ตอบสนองภาวะอันตรายเหมือนกันแต่คำ
01:11:30 → 01:11:33 ถามคือมันตอบสนองอันตรายอะไรคำตอบคือมัน
01:11:33 → 01:11:36 ตอบสนองอันตรายจากภายใน
01:11:36 → 01:11:36 >> อื
01:11:36 → 01:11:39 >> ดังนั้นเนี่ยมันก็เลยเป็นที่มาครับว่า
01:11:39 → 01:11:42 จริงๆแล้วถ้าเราเริ่มต้นเนี่ยไมเกรนไม่
01:11:42 → 01:11:44 ใช่โรคนะ
01:11:44 → 01:11:44 >> ค่ะ
01:11:44 → 01:11:47 >> มันเป็นกระมันเป็นกลไกที่ป้องกันตัวเองผม
01:11:47 → 01:11:50 ยกตัวอย่างเช่นสมมุติว่าผมเอาผู้ป่วยทุก
01:11:50 → 01:11:53 คนนะครับเอ่อผู้ฟังทุกคนเนี่ยที่ไม่เป็น
01:11:53 → 01:11:56 ไมเกรนนะจับไม่ให้นอนเลยนะ 2 อาทิตย์
01:11:56 → 01:11:57 >> อ
01:11:57 → 01:11:57 >> อ่า
01:11:57 → 01:11:57 >> อือ
01:11:57 → 01:12:00 >> ทุกคนเป็นไมเกรนทุกคนเพราะว่ามันเป็นการ
01:12:00 → 01:12:03 บอกว่าเฮ้ยร่างกายเราไม่ไหวแล้วนะ
01:12:03 → 01:12:06 >> มันก็เลยก็เลยเกิดสิ่งที่เรียกว่าไมเกรน
01:12:06 → 01:12:08 ขึ้นมาดังนั้นเนี่ยไมเกรนเราเวลาเราเจอก็
01:12:08 → 01:12:11 คือนอนน้อยใช่มยพักผ่อนไม่เพียงพออดอาหาร
01:12:11 → 01:12:13 พวกนี้เกิดไมเกรนได้หมดก็เพราะว่าด้วย
01:12:13 → 01:12:15 กระบวนการนี้นี่แหละ
01:12:15 → 01:12:17 >> ดังนั้นไมเกรนจริงๆอ่ะในช่วงแรกเนี่ยมัน
01:12:17 → 01:12:21 ไม่ได้เป็นโรคมันเป็นกระบวนการตอบสนองพอ
01:12:21 → 01:12:25 มันผ่านไปเรื่อยๆนะครับเมื่อไหร่ก็ตามที่
01:12:25 → 01:12:28 มันเริ่มปวดโดยที่ไม่มีภาวะกระตุ้นเนี่ย
01:12:28 → 01:12:33 แหละนั่นแหละคือจุดที่เริ่มและว่ามันจะ
01:12:33 → 01:12:33 เป็นโรค
01:12:34 → 01:12:36 >> ดังนั้นเราก็เลยจะเห็นได้ว่าเออเริ่มมา
01:12:36 → 01:12:38 แล้วทุกเดือนใช่มั้ยครับเดือนละครั้ง
01:12:39 → 01:12:41 >> เดือนละ 2 ครั้งเดือนละ 3 ครั้งทีนี้
01:12:41 → 01:12:43 อันเนี้ยสำคัญมากเลยพี่นุ่มก็คือว่า
01:12:43 → 01:12:48 ไมเกรนน่ะไม่ได้ไม่เอ่อเอ่อต้องเริ่มจาก
01:12:48 → 01:12:51 น้อยๆก่อนเสมออย่างที่พี่นุ่มว่ามันต้อง
01:12:51 → 01:12:53 เริ่มจากสิ่งที่เรียกว่าเป็นไมเกรนชั่ว
01:12:53 → 01:12:55 ครั้งชั่วคราวหรือที่เรียกว่า episodic
01:12:55 → 01:12:57 mrain ดังนั้นเนี่ยเวลาเขาเกิดเขาก็จะ
01:12:57 → 01:13:00 เกิดแค่เนี้ยเดือนละครั้งเดือนละ 2 ครั้ง
01:13:00 → 01:13:02 เดือนละ 3 ครั้ง
01:13:02 → 01:13:06 >> แต่ทีนี้ปัญหามันอยู่ตรงนี้ละครับว่า
01:13:06 → 01:13:09 เมื่อกี้ก็คือว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่มันปวด
01:13:09 → 01:13:13 หัวเนี่ยเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเรื่อยๆ
01:13:13 → 01:13:14 เนี่ยนะ
01:13:14 → 01:13:17 >> คำถามคือถ้าเราปล่อยทิ้งไว้เนี่ยจะเกิด
01:13:17 → 01:13:22 อะไรขึ้นคำตอบก็คือว่ามันเป็นกระบวนการใน
01:13:22 → 01:13:25 ร่างกายที่มันเกิดขึ้นเลยนะฮะเราปัจจุบัน
01:13:25 → 01:13:28 เรามีคำอธิบายเยอะมากพี่นุ่มแล้วก็เรามี
01:13:28 → 01:13:32 งานวิจัยที่ชี้ชัดเลยว่าสมองอ่ะมัน
01:13:32 → 01:13:34 เปลี่ยนจริงๆคือมันไม่ได้เปลี่ยนแบบเราทำ
01:13:34 → 01:13:37 MRI เราไม่เห็นนะแต่เราเรียกว่ามัน
01:13:37 → 01:13:40 เปลี่ยนในระดับกลไกคือเราเอาสมองเนี่ยพอ
01:13:40 → 01:13:42 คนไข้ที่เริ่มเป็นไมเกรนเยอะขึ้นเรื่อยๆ
01:13:42 → 01:13:45 เนี่ยเขาจะมีความไวต่อการตอบสนองของเยอะ
01:13:46 → 01:13:49 มากกว่าคนทั่วไปอย่างมากเลยพี่นุ่มเวลา
01:13:49 → 01:13:51 เราไปกระตุ้นแสงแล้วไปกระตุ้นเสียงใส่คน
01:13:51 → 01:13:54 ไข้นะโอเวลาไฟที่มันยิงมันยิงเยอะมากเลย
01:13:54 → 01:13:56 มาจากสมองในคนที่แบบเป็นไมเกรนน่ะที่มัน
01:13:56 → 01:13:58 เยอะขึ้นเรื่อยๆ
01:13:58 → 01:14:01 >> แล้วนอกจากนี้เนี่ยเราไปพบว่าสุดท้าย
01:14:01 → 01:14:04 เนี่ยมันมีการเปลี่ยนสมองจริงๆที่เรามอง
01:14:04 → 01:14:05 ไม่เห็นนะ
01:14:05 → 01:14:08 >> แต่ถ้าสมมุติเราเอาไปเข้ากระบวนการวัดน่ะ
01:14:09 → 01:14:10 วัดขนาดเนื้อสมองอ่ะ
01:14:10 → 01:14:12 >> พี่นุ่มใช่ป่ะในคนไข้ที่เป็นไมเกรนเรื้อ
01:14:12 → 01:14:13 รังอ่ะ
01:14:13 → 01:14:16 >> คือบางสมองบางส่วนเหี่ยวบางสมองบาง
01:14:16 → 01:14:18 ส่วนขยายขึ้นอ
01:14:18 → 01:14:21 >> เพราะว่าอะไรเพราะว่ามันเกิดจากการที่มัน
01:14:21 → 01:14:24 จมอยู่กับความปวดอ่ะมานานแล้วพี่นุ่มดัง
01:14:24 → 01:14:26 นั้นเนี่ยแหละคือกระบวนการของเปลี่ยนสมอง
01:14:26 → 01:14:29 ฮะดังนั้นเราจะเห็นได้เลยว่าเริ่มจากน้อย
01:14:29 → 01:14:32 ๆพอเป็นมากขึ้นเรื่อยๆสมองเปลี่ยนแปลงไป
01:14:32 → 01:14:35 เรื่อยๆแล้วนำไปสู่การที่เรากลายเป็น
01:14:35 → 01:14:36 ไมเกรนเรื้อรัง
01:14:36 → 01:14:37 >> อือ
01:14:37 → 01:14:39 >> ไมเกรนเรื้อรังเนี่ยนะนอกจากว่าจะเปลี่ยน
01:14:40 → 01:14:42 แปลงเนื้อสมองแล้วเราก็มองโอเปลี่ยนไปก็
01:14:42 → 01:14:45 ไม่เห็นเป็นอะไรเลยแต่มันมากับภาวะอื่นๆ
01:14:45 → 01:14:48 เยอะคือเราเรียกว่าอาการที่ไม่เกี่ยวกับ
01:14:48 → 01:14:51 ปวดหัวแล้วอ่ะเช่นบางคนน่ะจะรู้สึกว่าพอ
01:14:51 → 01:14:54 เราเป็นไมเกรนเยอะๆโหเราคลื่นไส้เยอะแล้ว
01:14:54 → 01:14:57 อ้วกเยอะเราแพ้แสงเยอะเราแพ้เสี่ยงเยอะ
01:14:57 → 01:14:59 บางคนเนี่ย
01:14:59 → 01:15:03 >> มีภาวะเอ่อโรคร่วมมาเจอเยอะขึ้นด้วยเช่น
01:15:03 → 01:15:05 บางคนรู้สึกว่าตัวเองเป็นซึมเศร้าบางคน
01:15:05 → 01:15:08 เป็นวิตกกังวลซึ่งทั้งหมดเนี่ยจริงๆมันมา
01:15:08 → 01:15:11 จากมันหลายครั้งมันมาจากไมเกรนนะครับมัน
01:15:11 → 01:15:14 มาจากการที่เราปวดเรื้อรังเนี่ยมันจะเจอ
01:15:14 → 01:15:16 พวกเนี้ยเยอะมากๆ
01:15:16 → 01:15:16 >> อื
01:15:16 → 01:15:20 >> แล้วถ้าเราปล่อยจากคนไข้เนี่ยเอ่อที่เป็น
01:15:20 → 01:15:22 ไมเกรนชั่วครั้งชั่วคราวเนี่ยนะให้ถ้าเรา
01:15:22 → 01:15:25 ปล่อยทิ้งไว้เลยไม่ทำอะไรเลยนะพี่นุ่มให้
01:15:25 → 01:15:27 เอ่อแล้วก็ดูซิว่าเขาจะเป็น chronic
01:15:27 → 01:15:30 mมเกรนได้หรือเปล่าเนี่ยปีนึงอ่ะเราเจอนะ
01:15:30 → 01:15:32 คนไข้ 3% นะที่เปลี่ยนอ
01:15:32 → 01:15:35 >> แต่ 3% โฟังมันกระติดเดียว
01:15:35 → 01:15:37 >> แต่คนไข้ไมเกรนมีกี่คน
01:15:37 → 01:15:37 >> อือ
01:15:37 → 01:15:40 >> คนไข้ไมเกรนในประเทศไทยมี 20 ล้านคนพี่
01:15:40 → 01:15:44 นุ่มดังนั้นแปลว่าก็ต้องเท่าไหร่อ่ะกี่
01:15:44 → 01:15:47 ล้านที่กลายเป็นโคริไมเกรนทุกปี
01:15:47 → 01:15:49 >> แล้วในทั่วโลกก็คือแบบพันล้านคน
01:15:49 → 01:15:53 >> เป็นพันล้านคนที่เทิเป็นโครนิคดังนั้นไม่
01:15:53 → 01:15:56 น้อยนะครับมันเยอะมากเยอะมากจริงๆแล้ว
01:15:56 → 01:15:59 นั่นแหละก็เลยเป็นที่มาว่าอย่างที่พี่
01:15:59 → 01:16:03 นุ่มพยายามพูดตลอดว่ารักษาน่ะพยายามรักษา
01:16:03 → 01:16:04 ตั้งแต่ต้น
01:16:04 → 01:16:06 >> รักษาให้เร็ว
01:16:06 → 01:16:08 >> ป้องกันให้กลายเป็นไม่ให้เป็น chronic
01:16:08 → 01:16:10 นั่นแหละคือ Ultimate Go แล้วรักษาได้
01:16:10 → 01:16:14 ง่ายกว่าเมื่อเรารอให้กลายเป็น Chronic อ
01:16:14 → 01:16:17 >> เหมือนเหมือนเรารักษาแผลอ่ะนึกภาพเป็นแผล
01:16:17 → 01:16:19 อ่ะค่ะมีแผลตื้นๆอ่ะ
01:16:19 → 01:16:19 >> ใช่
01:16:19 → 01:16:24 >> ทานิดเดียวก็หายแต่ถ้าเราเป็นแผลเรื้อรัง
01:16:24 → 01:16:27 เป็นแผลกดทับเป็นหลุมอ่ะโอหกว่าเนื้อจะ
01:16:27 → 01:16:30 ขึ้นมากว่าจะฮีลกว่าอะไรมันใช้เวลาแล้วพอ
01:16:30 → 01:16:34 มันกลับมามันไม่เหมือนเดิมเนาะคือไมเกรน
01:16:34 → 01:16:37 ก็เป็นโรคแบบนั้นเลยอ่ะค่ะถ้าเมื่อไหร่
01:16:37 → 01:16:40 วันที่มันกลายเป็นไมเกรนเรื้อรังไปละจัด
01:16:40 → 01:16:43 การยากจริงๆแล้วก็จะมาพร้อมกับโรคร่วม
01:16:43 → 01:16:47 ต่างๆความวิตกกังวลซึมเศร้าเองเนี่ยเอ่อ
01:16:47 → 01:16:50 จริงๆมันทั้งกลไกทางสมองใช่มั้คะน้องบอล
01:16:50 → 01:16:50 >> ใช่เป็นกลไกทางสมอง
01:16:51 → 01:16:54 >> แต่ถ้าไม่นับกลไกสมองอ่ะถามว่าคนที่ปวด
01:16:55 → 01:16:56 หัวเกือบทุกวันน่ะ
01:16:56 → 01:16:56 >> อื
01:16:56 → 01:16:59 >> ปวดเกินเดือน 2 เดือน 3 เดือนใครไม่ซึม
01:16:59 → 01:16:59 เศร้าบ้าง
01:16:59 → 01:17:02 >> ใครไม่ซึมเศร้าใครไม่ใครไม่กังวลบ้าง
01:17:02 → 01:17:04 >> คือใครไม่กังวลบ้างเราบางทีเราป่วยเราไม่
01:17:04 → 01:17:06 สบายอ่ะเป็นอาทิตย์ 2 อาทิตย์มันก็เริ่ม
01:17:06 → 01:17:09 แบบมันก็เริ่มไม่ไหวแล้วนะลิมิตการใช้
01:17:09 → 01:17:11 ชีวิตนู่นนี่นั่นแล้วคนที่เขาอยู่กับความ
01:17:11 → 01:17:14 ป่วยมาเป็นเดือนๆเป็นปีๆอ่ะค่ะทั้งกลไก
01:17:14 → 01:17:18 ของตัวสมองเองทั้งสารเคมีในสมองเองรวมไป
01:17:18 → 01:17:21 ถึงทั้งวิถีชีวิตเขาเองนี่แหละที่มันถูก
01:17:21 → 01:17:23 ลิมิตถูกจำกัดทำให้
01:17:23 → 01:17:26 >> กลายเป็นแบบเป็นโรคร่วมที่เจอร่วมกันบ่อย
01:17:26 → 01:17:29 มากๆหลายคนชอบมาถามว่า
01:17:29 → 01:17:32 >> ทำไมเขาโชคร้ายจังเขาถึงต้องเป็นหลายโรค
01:17:33 → 01:17:36 ทำไมเขาต้องเป็นไมเกรนทำไมเขาต้องปวดตัว
01:17:36 → 01:17:39 เรื้อรังทำไมเขาเป็นซึมเศร้าทำไมเค้านอน
01:17:39 → 01:17:42 ไม่หลับทำไมเค้าแบบคือเค้าเมีความฟิลแบบ
01:17:42 → 01:17:46 เวลาเขาไปหาหมอแต่ละคนนึกออกมั้คะเขาไปหา
01:17:46 → 01:17:48 เขาอาจจะไปเจอจิตแพทย์เขาได้รับวินิจฉัย
01:17:48 → 01:17:51 ว่าเป็นแพนิควิตกกังวลเมาหาหมอเขาได้รับ
01:17:51 → 01:17:53 วินิจฉัยเป็นไมเกรนอ่าบางคนมีปวดตัวเรื้อ
01:17:53 → 01:17:55 รังด้วยนะก็ไปได้รับการวินิจฉัยเป็นกลุ่ม
01:17:55 → 01:17:58 แบบไฟโบไมเจียหรืออะไรอย่างเงี้ยแล้วมีก็
01:17:58 → 01:18:00 คือแบบพอมาถึงกันเนี่ยเขาบอกว่าทำไมเขา
01:18:00 → 01:18:03 ต้องเป็นตั้ง 10 โรคอ่ะโรคเว้นโรคกรรมหรอ
01:18:03 → 01:18:04 >> บอกว่า
01:18:04 → 01:18:05 >> สงสารเนาะ
01:18:05 → 01:18:08 >> จริงๆเลยอ่ะอย่าไปคิดว่าเราเป็น 10 โลก
01:18:08 → 01:18:09 >> ครับ
01:18:09 → 01:18:09 >> ทุกอย่าง
01:18:09 → 01:18:10 >> อื
01:18:10 → 01:18:11 >> มันคือ
01:18:11 → 01:18:14 >> เรื่องเดียวกันมันคือกระบวนการเดียวกัน
01:18:14 → 01:18:17 มันคือกระบวนการความปวดอันเดียวกันเมื่อ
01:18:17 → 01:18:20 เราจัดการมันได้ทุกอย่างมันก็จะดีขึ้นใช่
01:18:20 → 01:18:20 มั้คะ
01:18:20 → 01:18:22 >> เห็นด้วยเห็นด้วยกับพี่นุ่มเลยครับ
01:18:22 → 01:18:22 >> อือ
01:18:22 → 01:18:25 >> ถ้าสมมุติว่าจริงๆเราตัดไฟได้ตั้งแต่ต้น
01:18:25 → 01:18:30 ลงเนาะมันก็คงจะดีใช่เนาะก็วันนี้นะคะก็
01:18:31 → 01:18:35 ได้ความรู้มากๆนะแบบคือรู้สึกดีใจมากๆเลย
01:18:35 → 01:18:38 ค่ะที่น้องบอลมีโอกาสได้มาพูดให้ฟังแล้ว
01:18:38 → 01:18:40 ก็ลงลึกฟในเรื่องของเชิง
01:18:41 → 01:18:44 งานวิจัยนะคะเรื่องเชิงกลไกสมองเพราะว่า
01:18:44 → 01:18:46 จริงๆที่อยากให้ทุกคนฟังเนี่ยไม่ได้อยาก
01:18:46 → 01:18:50 ให้มาเรียนหมอไม่ได้อยากให้รู้ลึกนะคะแต่
01:18:50 → 01:18:53 ที่เราต้องพูดกลไกเพราะเราอยากมีหลักฐาน
01:18:54 → 01:18:56 อะไรทางวิทยาศาสตร์ที่เราต้องการบอกคนไข้
01:18:56 → 01:19:00 ว่าไมเกรนมันไม่ใช่แค่ไมเกรนนะมันคือโรค
01:19:00 → 01:19:03 ทางสมองจริงๆแล้วหลักฐานทางวิทยาศาสตร์
01:19:03 → 01:19:06 งานวิจัยต่างๆเนี่ยมันเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ
01:19:06 → 01:19:09 มันอธิบายได้ชัดเจนมากขึ้นละเรารู้แล้ว
01:19:09 → 01:19:12 ว่าถ้าเรายิ่งจัดการมันได้เร็วอ่ะเราจะ
01:19:12 → 01:19:14 ควบคุมได้ง่ายแล้วเราก็จะป้องกันปัญหา
01:19:14 → 01:19:17 อื่นๆที่ตามมาอ่ะอีกมากมายเลยสำหรับคนไข้
01:19:17 → 01:19:21 ทั้งคุณภาพชีวิตการใช้ยาแก้ปวดเกินขนาด
01:19:21 → 01:19:24 การเอ่อปัญหาเรื่องโรควิตกกังวลซึมเช่า
01:19:24 → 01:19:27 อะไรคือแบบคือถ้าเราจัดการได้เร็วอ่ะทุก
01:19:27 → 01:19:30 อย่างมันก็คือจะดีขึ้นไปหมดเลยนะคะเนาะ
01:19:30 → 01:19:34 แล้วก็เอ่ออยากให้ทุกคนที่ฟังวันนี้นะคะ
01:19:34 → 01:19:37 ก็สรุปให้ฟังอีกครั้งนึงก็คือเราคุยกัน 4
01:19:37 → 01:19:40 หัวข้อหัวข้อแรกก็คือเรื่องของการ
01:19:40 → 01:19:43 วินิจฉัยนะอ่าอันแรกก่อนเลยการวินิจฉัย
01:19:43 → 01:19:46 ไมเกรนนะคะคือก่อนที่เราจะแบบกินยาไมเกรน
01:19:46 → 01:19:48 ซื้อยาไมเกรนเราต้องชัวร์ก่อนว่าเราเป็น
01:19:48 → 01:19:51 ไมเกรนเพราะฉะนั้นถ้าเราไม่มั่นใจว่าปวด
01:19:51 → 01:19:55 หัวของเราใช่ไมเกรนหรือเปล่าเราควรไปตรวจ
01:19:55 → 01:19:57 นะคะได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องก่อนก่อน
01:19:57 → 01:20:00 ที่จะซื้อยากินเองเนาะอันที่ 2 คือเรื่อง
01:20:00 → 01:20:03 ของการใช้ยาแก้ปวดค่ะถ้าเรามั่นใจว่าเป็น
01:20:03 → 01:20:07 ไมเกรนแล้วนะคะเวลาปวดหัวขึ้นมานะรีบดับ
01:20:07 → 01:20:12 ไฟเพราะฉะนั้นกินยาให้เร็วอ่ารอรอช้าเกิน
01:20:12 → 01:20:16 ไปก็ underuse นะคะก็กลายเป็นไมเกรนที่
01:20:16 → 01:20:17 เป็นหนักขึ้น
01:20:17 → 01:20:21 >> แต่กินมากเกินไปก็กลายเป็น overuse นะคะ
01:20:21 → 01:20:24 เพราะฉะนั้นเมื่อเรามีอาการปวดหัวเราต้อง
01:20:24 → 01:20:28 รีบกินยาแต่หน้าที่คนไข้คือจดบันทึกค่ะ
01:20:28 → 01:20:32 ถ้าเราเริ่มกินยาเกิน 4 ครั้งต่อเดือน
01:20:32 → 01:20:34 >> หรือยาแก้ปวดเริ่มจะใช้เกินประมาณ 10
01:20:34 → 01:20:37 เม็ดต่อเดือนเริ่มโดยเฉพาะหลายๆเดือนติด
01:20:37 → 01:20:40 กันเกิน 2-3 เดือนติดกันเรามีหน้าที่
01:20:40 → 01:20:43 ปรึกษาคุณหมอเฉพาะทางเพื่อเริ่มยาป้องกัน
01:20:43 → 01:20:46 ไมเกรนนะคะแล้วเรื่องสุดท้ายก็คือเรื่อง
01:20:46 → 01:20:48 ที่สำคัญมากๆคือเรื่องของสติม
01:20:48 → 01:20:52 >> อยากให้ทุกคนนะคะคนไข้ทั้งคนไข้ไมเกรนเอง
01:20:52 → 01:20:56 เนาะอย่าโทษตัวเองอย่าคิดว่าเราไม่มีทาง
01:20:56 → 01:20:59 แก้ไขปัจจุบันไมเกนมันเป็นโรคที่มันรักษา
01:20:59 → 01:21:03 ได้ยามันพัฒนาไปไกลมากๆใครที่เคยชมอยู่
01:21:03 → 01:21:05 กับมันมาเป็น 10 ปีเคยบอกว่าเคยหามาแล้ว
01:21:06 → 01:21:09 ไม่รู้กี่หมอเคยมันไม่ดีขึ้นขอให้ลองใหม่
01:21:09 → 01:21:12 >> ขอให้เปลี่ยนความคิดใหม่นะคะมันดีขึ้นได้
01:21:12 → 01:21:15 จริงๆนะคะรวมไปถึงคนรอบข้างของคนเป็น
01:21:15 → 01:21:19 ไมเกรนเองถ้าเขาเป็นไมเกรนจริงๆนะไมเกรน
01:21:19 → 01:21:23 เป็นโรคที่ทรมานมากนะคะเวลาปวดมันไม่ใช่
01:21:23 → 01:21:26 แค่ปวดกระจุ๊กกระจิ๊กนะคะมันปวดแบบปวด
01:21:26 → 01:21:29 ทรมานมากจริงๆเขาใช้คำว่าปวด moderate to
01:21:29 → 01:21:33 se คือปวดปานกลางถึงรุนแรงและคนไข้มักจะ
01:21:33 → 01:21:36 ต้องหยุดนอนพักมักจะมีคลื่นไส้อาเจียน
01:21:36 → 01:21:38 ร่วมด้วยแล้วมีอาการต่างๆตามมามากมาย
01:21:38 → 01:21:41 เพราะฉะนั้นเนี่ยถ้าคนรอบตัวเรานะคะเป็น
01:21:41 → 01:21:45 ไมเกรนอยากให้เห็นใจกันนิดนึงนะคะอย่าง
01:21:45 → 01:21:48 น้อยไม่ใช้คำพูดที่อาจจะทำให้เขารู้สึก
01:21:48 → 01:21:52 แย่ไปกว่าเดิมเช่นเป็นอีกและไมเกนอีกและ
01:21:52 → 01:21:55 อะไรอย่างเงี้ยค่ะเนาะอ่าเป็นกำลังใจให้
01:21:55 → 01:21:56 ยิ้ม
01:21:56 → 01:22:00 >> ยิ้มให้เป็นกำลังใจให้นะคะก็จะทำให้คนไข้
01:22:00 → 01:22:03 เนี่ยดีขึ้นได้ระดับนึงเลยนะคะแต่ถ้าเกิด
01:22:03 → 01:22:06 เราแบบเขาสะสมความสติมความที่เขารู้สึก
01:22:06 → 01:22:10 ว่ามันเป็นความผิดของเขาเนี่ยตัวไมเกรน
01:22:10 → 01:22:13 เองก็จะยิ่งแย่ลงนะคะรวมไปถึง
01:22:13 → 01:22:16 >> การใช้คำว่าไมเกรนนี่แหละจะทำให้คนทุกคน
01:22:16 → 01:22:19 น่ะเข้าใจแล้วไม่มีสติกมกับไมเกรนเราต้อง
01:22:19 → 01:22:22 ใช้คำว่าไมเกรนให้ถูกต้องฉะนั้นใครคือ
01:22:23 → 01:22:25 เหมือนทุกวันเนี้ยเราเราอาจจะใช้คำว่า
01:22:25 → 01:22:28 ไมเกรนเป็นคำแทนปวดหัวเนาะมันก็เลยทำให้
01:22:28 → 01:22:30 แบบหยุดงานอีกแล้วเป็นไมเกรนก็ไมเกรน
01:22:30 → 01:22:33 กำเริบอ่ะเพราะฉะนั้นน่ะอยากให้เหมือนแบบ
01:22:33 → 01:22:35 >> คำว่าไมเกรนมันเป็นโรคจริงๆอ่ะค่ะอย่าง
01:22:35 → 01:22:37 เช่นเราคงไม่มาพูดพูดแบบปวดท้องเป็น
01:22:37 → 01:22:40 มะเร็งนะคะเราปวดท้องเราก็คือปวดท้องเนาะ
01:22:40 → 01:22:42 ปวดหัวเราก็ปวดหัวเราอย่าไปแบบใช้คำ
01:22:42 → 01:22:46 ไมเกรนให้คนไข้ไมเกรนจริงๆเขารู้สึกว่า
01:22:46 → 01:22:50 มันคือการแบบที่เขาเหมือนเอามาเป็นข้อ
01:22:50 → 01:22:54 อ้างนะคะจะได้จะได้ทุกคนก็จะได้แบบเอ่อ
01:22:54 → 01:22:58 เหมือนอยู่ด้วยกันแบบแบบเข้าใจคนไข้มาก
01:22:58 → 01:23:00 ยิ่งขึ้นตัวคนไข้เองก็มีความหวังมากยิ่ง
01:23:00 → 01:23:03 ขึ้นที่จะรักษาแล้วก็ดูแลตัวเองให้ดีขึ้น
01:23:03 → 01:23:07 ด้วยก็จะดีกับทุกคนนะคะเนาะอาจารย์บอลฝาก
01:23:07 → 01:23:09 ถึงอะไรถูกๆคนมั้ยคะ
01:23:09 → 01:23:12 >> ก็ของผมไม่ได้ฝากเยอะจริงๆเพราะว่า
01:23:12 → 01:23:15 อาจารย์นุ่มพูดไปเกือบหมดแล้วเนาะแต่ว่า
01:23:15 → 01:23:18 แค่อยากจะบอกครับว่าจริงๆไมเกรนเนี่ยก็
01:23:18 → 01:23:22 คือผมว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาการรักษาดี
01:23:22 → 01:23:26 ขึ้นเยอะดังนั้นอย่าทนครับแล้วก็มาร่วม
01:23:26 → 01:23:29 รักษาแล้วก็หายไปด้วยกันดีกว่าเนาะ
01:23:29 → 01:23:33 >> ใช่แล้วก็พวกเราในฐานะกรรมการชมรมโรคปวด
01:23:33 → 01:23:35 ศีรษะเราก็จะพยายามร่วมมือกันในแบบหาทาง
01:23:35 → 01:23:40 พัฒนาการรักษาไมเกรนอุดช่องโหว่อุดยาแนว
01:23:40 → 01:23:43 นะคะว่าอะไรที่เราจะร่วมมือกันได้ทำให้คน
01:23:43 → 01:23:44 ไข้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้เราก็จะ
01:23:44 → 01:23:48 พยายามให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นนะคะ
01:23:48 → 01:23:51 เนาะตัวคนไข้เองก็ร่วมมือกันในการดูแลตัว
01:23:51 → 01:23:54 เองนะคะรวมไปถึงคนไข้ไมเกนเองก็อย่าลืมนะ
01:23:54 → 01:23:57 คะคือโรคอ่ะเป็นโรคแต่เราก็อย่าลืมเรื่อง
01:23:57 → 01:23:59 อื่นด้วยนะอย่าลืมเรื่องของการดูแลสุขภาพ
01:24:00 → 01:24:02 ตัวเองด้านอื่นๆทั้งการออกกำลังกายการนาน
01:24:02 → 01:24:04 พักผ่อนให้เพียงพอการหลีกเลี่ยงปัจจัย
01:24:04 → 01:24:07 กระตุ้นสิ่งเหล่านั้นก็สำคัญเพราะถ้าเรา
01:24:07 → 01:24:10 มัวแต่หวังว่าจะแบบใช้ยาหรือว่ามารักษา
01:24:10 → 01:24:13 อย่างเดียวมันก็จะไม่ดีขึ้นหรือว่าอาจจะ
01:24:13 → 01:24:16 ไม่ยั่งยืนนะคะสำหรับวันนี้ก็ขอบคุณ
01:24:16 → 01:24:19 อาจารย์บอลนะคะนายแพทย์วรรณากรรัตนมากๆนะ
01:24:19 → 01:24:22 คะเห็นไว้ว่าอาจารย์เป็นผู้เชี่ยวชาญแล้ว
01:24:22 → 01:24:24 ก็ทำงานวิจัยเยอะมากๆจริงๆไว้มีโอกาสหน้า
01:24:24 → 01:24:27 เราคงได้เชิญอาจารย์มาคุยเรื่องไมเกรนกัน
01:24:27 → 01:24:29 ใหม่หรือว่าคุยเรื่องอื่นๆนะคะสำหรับวัน
01:24:29 → 01:24:29 นี้
01:24:29 → 01:24:30 >> ขอบคุณพี่นุมากเลย
01:24:30 → 01:24:32 >> ค่ะขอบคุณค่ะสวัสดีค่ะ
01:24:32 → 01:24:33 >> สวัสดีค่ะ
01:24:33 → 01:24:37 >> สวัสดีนะครับ