00:00:00 → 00:00:02 สวัสดีครับเรื่องราวของไข้ในเด็กเนี่ยก็
00:00:02 → 00:00:04 กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งหนึ่งแล้วนะ
00:00:04 → 00:00:08 ครับไม่ว่าจะเป็นไข้เนี่ยมันแค่ไหนถึงจะ
00:00:08 → 00:00:10 เรียกว่าไข้นะครับแล้วมันต้องให้ยาลดไข้
00:00:10 → 00:00:13 มยจำเป็นจะต้องเช็ดตัวหรือเปล่าเช็ดตัว
00:00:13 → 00:00:15 เนี่ยมันเช็ดยังไงมันมีประโยชน์มนะครับ
00:00:15 → 00:00:18 เพราะมีบางคนไปเคยได้ยินมาว่าฝรั่งเนี่ย
00:00:18 → 00:00:20 เวลาที่เขา้ามีไข้เค้าก็บอกว่าไม่ต้อง
00:00:20 → 00:00:22 รักษาปล่อยไข้ไว้อย่างงั้นแหละเดี๋ยวโรค
00:00:22 → 00:00:25 มันจะหายเร็วขึ้นถ้ายิ่งไปลดไข้สิมันถึง
00:00:25 → 00:00:28 จะแย่ลงเรื่องราวมันเป็นอย่างไรกันแน่
00:00:28 → 00:00:30 เดี๋ยววันนี้ผมจะเล่าให้ฟังในรายละเอียด
00:00:30 → 00:00:33 นะครับพบกับผมนะครับนายแพทย์ธนีธนียวันณ
00:00:33 → 00:00:34 เป็นอาจารย์แพทย์อยู่ที่ประเทศสหรัฐ
00:00:34 → 00:00:37 อเมริกาเชี่ยวชาญโรคปอดการปลูกถ่ายปอดและ
00:00:37 → 00:00:40 วิกฤตบำบัดนะครับก่อนอื่นผมเริ่มต้นด้วย
00:00:40 → 00:00:43 การสรุปง่ายๆอย่างนี้ก่อนแล้วเดี๋ยวจะ
00:00:43 → 00:00:46 เข้าถึงเหตุผลต่อมาว่าทำไมจึงทำเช่นนั้น
00:00:46 → 00:00:50 นะครับในเด็กเนี่ยไข้หมายถึงอุณหภูมิที่
00:00:50 → 00:00:53 สูงกว่าปกติไม่ได้มีตัวเลขชัดเจนนะครับ
00:00:53 → 00:00:55 นั่นหมายความว่าถ้าคุณพ่อคุณแม่ไปจับตัว
00:00:55 → 00:00:57 น้องเค้ารู้สึกเอ๊ะตัวร้อนนะนั่นแหละครับ
00:00:57 → 00:00:59 อุณหภูมิมันสูงกว่าปกติถือว่าน้องเเป็น
00:00:59 → 00:01:03 ไข้ได้และนะครับแต่ในทางปฏิบัติเราจะเอา
00:01:03 → 00:01:07 อุณหภูมิที่ 38 องศซียขึ้นไปถือว่าเป็น
00:01:07 → 00:01:10 ไข้โดยการวัดอุณหภูมินั้นในเด็กจะวัดทาง
00:01:10 → 00:01:14 ทวารน่ะถือว่าเกิน 38 เนี่ยเป็นไข้นะครับ
00:01:14 → 00:01:17 แต่เด็กถ้าวัดทางรักแร้หรือบริเวณหน้าผาก
00:01:17 → 00:01:20 เนี่ยเราจะเอา 37.5 นะครับเพราะอุณหภูมิ
00:01:20 → 00:01:23 บริเวณนี้จะต่ำกว่าอุณหภูมิตรงทวันหนัก
00:01:23 → 00:01:29 0.5 5 เซซียนะครับอ่าส่วนว่าจะต้องลด
00:01:29 → 00:01:33 ไข้หรือไม่อยู่ที่อาการของน้องเค้านะครับ
00:01:33 → 00:01:39 ถ้ามีอาการทรมานนะครับทรมานจากไข้เราจะลด
00:01:39 → 00:01:42 ไข้นะครับหรืออีกกรณีนึงที่จะต้องลดไข้ก็
00:01:42 → 00:01:46 คือกรณีที่อาการหนักจนต้องเข้าโรงพยาบาล
00:01:46 → 00:01:48 นะครับไม่ว่าจะมีโรคประจำตัวโรคหัวใจโรค
00:01:48 → 00:01:52 ปอดโรคสมองนะครับหรือชักอยู่พวกเนี้ยจะ
00:01:52 → 00:01:54 ต้องลดไข้เสมอ
00:01:54 → 00:01:57 นะครับการลดไข้นั้นสามารถทำได้ 2 วิธีที่
00:01:57 → 00:02:02 จะพูดในวันนี้ก็คือยาและการเช็ดตัวยาแนะ
00:02:02 → 00:02:05 นำให้ใช้พาราเซตอลก่อนนะครับเสมอเลยใน
00:02:05 → 00:02:09 เด็กไบูโฟenเนี่ยเป็นอีกตัวนึงสามารถใช้
00:02:09 → 00:02:12 ลดไข้ได้แต่จะไม่ค่อยแนะนำเพราะไอูโพฟen
00:02:12 → 00:02:15 เนี่ยนะครับข้อแรกมันกัดกระเพาะบางคนอาจ
00:02:15 → 00:02:17 จะคลื่นไส้อาเจียนโดยเฉพาะถ้าเกิดในช่วง
00:02:17 → 00:02:21 ที่มันป่วยอยู่มันก็จะกินอาหารไม่ได้ดื่ม
00:02:21 → 00:02:23 น้ำไม่ค่อยได้ด้วยนะครับยิ่งกัดกระเพาะ
00:02:23 → 00:02:25 ยิ่งยิ่งคลื่นใช่ไอเจียนใหญ่เลยนะครับข้อ
00:02:25 → 00:02:29 ที่ 2 คือถ้ามีการขาดน้ำในร่างกายเยอะ
00:02:29 → 00:02:32 แล้วได้ไพโปรเฟenอาจจะทำให้มีปัญหากับไต
00:02:32 → 00:02:35 ได้ไตมันจะวนได้ข้อที่ 3 เราไม่รู้นะครับ
00:02:35 → 00:02:38 ว่าเด็กที่เขา้ามีไข้เนี่ยมันเป็นไข้
00:02:38 → 00:02:40 เลือดออกหรือเปล่าถ้าบังเอิญเป็นไข้เลือด
00:02:41 → 00:02:43 ออกแล้วไปได้ไบูโปรเฟenเนี่ยมันอาจจะทำ
00:02:43 → 00:02:46 ให้เกล็ดเลือดของน้องเ้ามีปัญหาแล้วก็
00:02:46 → 00:02:49 เลือดออกได้ง่ายขึ้นดังนั้นแล้วถ้าเราไม่
00:02:49 → 00:02:53 มั่นใจว่านี่ไม่ใช่ค่าเลือดออกน้องน้องเ
00:02:53 → 00:02:56 ไม่แน่ใจว่ากินน้ำได้ไม่ได้กินดีไม่ดีเรา
00:02:56 → 00:02:59 จะไม่ให้ไบูโรฟenเราจะให้พาราเซตามอลแทน
00:02:59 → 00:03:02 นะครับคำถามที่เจออย่างนึงก็คือ 2 ตัว
00:03:02 → 00:03:05 เนี้ยให้พร้อมกันได้ไหมโดยทั่วไปไม่แนะนำ
00:03:05 → 00:03:08 ให้พร้อมกันครับถึงแม้ว่าเราจะเข้าใจที่
00:03:08 → 00:03:10 ชัดๆว่าน้องเ้าไม่ได้เป็นค่าเลือดออก
00:03:10 → 00:03:13 ชัวร์กินอาหารได้ดีดื่มน้ำได้เราจะให้
00:03:13 → 00:03:16 ทั้ง 2 ตัวคู่กันมั้ยคือ 2 ตัวเนี้ยมันมี
00:03:16 → 00:03:18 ปัญหาต่อตับถ้าเกิดคุณกินเยอะเกินไปเราก็
00:03:18 → 00:03:22 ไม่ค่อยให้คู่กันแต่เราจะให้สลับกันได้
00:03:22 → 00:03:24 โดยเฉพาะกรณีที่สมมุติเราเริ่มจาก
00:03:24 → 00:03:27 พาราเซตามอลก่อนแล้วผ่านไป 4 ชมงเนี่ย
00:03:27 → 00:03:30 น้องเขายังไม่ดีขึ้นแหละนะครับแต่อาจจะ
00:03:30 → 00:03:33 ผ่านแค่ 3 ช่โมงอ่ะเราบอกว่าพาราซตามอล
00:03:33 → 00:03:35 กินได้ทุก 4-6 ช่มงสมมุติว่า 3 ชั่วโมง
00:03:35 → 00:03:37 น้องเยังไม่ได้ขึ้นนะครับเราเหลืออีกตั้ง
00:03:37 → 00:03:40 ชั่วโมงนึงแหละกว่าน้องเขาจะได้เวลากิน
00:03:40 → 00:03:42 พาราเซตามอลแต่ตอนนี้เค้าทรมานน่ะเราให้
00:03:42 → 00:03:45 กินไอูโปรเฟนได้นะครับอ่าอย่างนี้ได้นะ
00:03:45 → 00:03:49 ครับต่อมาเช็ดตัว
00:03:49 → 00:03:54 เช็ดตัวจะทำให้อุณหภูมิเนี่ยมันลดลงได้
00:03:54 → 00:03:59 แต่มันไม่ดีเท่ากับยาครับแล้วเราก็จะเช็ด
00:03:59 → 00:04:03 ถ้าน้องเ้ามีความทรมานเท่านั้นแต่การเช็ด
00:04:03 → 00:04:06 นั้นจะต้องไม่ทำให้น้องเ้าทรมานเพิ่มมาก
00:04:06 → 00:04:09 ขึ้นครับตรงนี้สำคัญนะครับดังนั้นแปลว่า
00:04:09 → 00:04:14 อะไรแปลว่าถ้าเกิดว่าเราไปเจอว่าเช็ด
00:04:14 → 00:04:17 โอ้โหจนน้องเค้าเนี่ยร้องไห้ใหญ่เลยนะ
00:04:17 → 00:04:20 ครับมีขนลุกนะครับแล้วก็เจ็บแสบตัวแดง
00:04:20 → 00:04:23 อย่างี้ไม่ต้องทำครับนะมันไม่ได้มี
00:04:23 → 00:04:26 ประโยชน์แล้วการที่บอกว่าเช็ดจนตัวน้อง
00:04:26 → 00:04:30 เขาแดงถูๆจนผิวแดงเนี่ยมันจะทำให้ไข้ลง
00:04:30 → 00:04:33 เร็วขึ้นอันนี้ก็ไม่จริงนะครับเค้ามีความ
00:04:33 → 00:04:36 เชื่อว่าถ้าเช็ดจนกระทั่งหลอดเลือดเนี่ย
00:04:36 → 00:04:39 มันขยายตัวผิวแดงหลอดเลือดที่มันขยายตัว
00:04:39 → 00:04:41 เนี่ยจะนำอุณหภูมิออกไปข้างนอกได้เร็ว
00:04:41 → 00:04:43 ขึ้นอันเนี้ก็ไม่จริงนะครับดังนั้นไม่มี
00:04:43 → 00:04:46 ความจำเป็นจะต้องไปถูแรงขนาดนั้นนะครับ
00:04:46 → 00:04:49 น้องเค้าไม่ใช่ต้นไม้ที่คุณไปถูขอหวยขอ
00:04:49 → 00:04:51 เลขนะครับน้องเค้าเป็นคนนะครับดังนั้น
00:04:51 → 00:04:54 เช็ดเบาๆก็เพียงพอแล้วนะครับอีกอย่างนึง
00:04:54 → 00:04:57 ถามว่าต้องเช็ดสวนทางเส้นขนมยไม่มีความ
00:04:57 → 00:05:00 จำเป็นครับสมัยก่อนมีคนเชื่อว่าเช็ดสวน
00:05:00 → 00:05:02 ทางเส้นขนจะทำให้รูกลุ่มขนมันเปิดแล้วก็
00:05:02 → 00:05:04 ระบายความร้อนได้ดีขึ้นซึ่งก็ไม่จำเป็น
00:05:04 → 00:05:06 เหมือนกันแล้วมันไม่จริงนะครับโดยสรุป
00:05:06 → 00:05:09 แล้วถ้าจะเช็ดตัวนะครับเช็ดได้ถ้าน้องเมี
00:05:09 → 00:05:13 ความทรมานแต่การเช็ดตัวนั้นจะต้องไม่ทำ
00:05:13 → 00:05:16 ให้ท้องน้องเทรมานเพิ่มมากขึ้นไม่ใช่แบบ
00:05:16 → 00:05:20 เช็ดไปก็ร้องไห้ไปขนลุกขนชันไปหรือปลุก
00:05:20 → 00:05:22 น้องเค้าจากการนอนหลับมาเพื่อเช็ดตัว
00:05:22 → 00:05:24 อย่างเดียวเพราะตัวร้อนอันนั้นไม่จำเป็น
00:05:24 → 00:05:26 ต้องทำนะครับมันไม่ได้มีประโยชน์อะไร
00:05:26 → 00:05:29 เหนือไปกว่าการให้ยาลดไข้เลยถ้าเกิดว่า
00:05:29 → 00:05:32 เราจะลดไข้จริงๆนะครับอันนี้เคลียร์แล้ว
00:05:32 → 00:05:37 นะต่อไปจะขอเข้าสู่เหตุผลต่างๆนะครับว่า
00:05:37 → 00:05:39 ทำไมไอ้เรื่องนี้เราต้องทำแล้วไข้มันคือ
00:05:39 → 00:05:43 อะไรกันแน่นะครับไข้เกิดจากการที่มีสาร
00:05:43 → 00:05:46 อักเสบในร่างกายสารอักเสบมันก็ต้องมาจาก
00:05:46 → 00:05:50 ต้นตออะไรสักอย่างเช่นมีโรคติดเชื้อเชื้อ
00:05:50 → 00:05:52 ซึ่งเจอบ่อยในเด็กนะครับไม่ว่าจะเป็นไข้
00:05:52 → 00:05:56 หวัดนะครับไข้หวัดใหญ่ไวรัส RSV ไข้เลือด
00:05:56 → 00:05:58 ออกหรืออะไรสักอย่างนึงนะครับหรืออาจจะ
00:05:58 → 00:06:01 เป็นภูมิต่อต้านตัวเองนะหรือเกิดจากการ
00:06:01 → 00:06:03 บาดเจ็บอะไรสักอย่างแล้วมันมีการอักเสบ
00:06:03 → 00:06:06 เยอะๆเนี่ยมันจะสั่งให้มีสารอักเสบเพิ่ม
00:06:06 → 00:06:09 มากขึ้นสารอักเสบตัวนี้จะสามารถไปทำให้
00:06:09 → 00:06:13 ตัวเทอร์โมสatในสมองของเราเนี่ยเปลี่ยน
00:06:13 → 00:06:15 แล้วบอกว่าเฮ้ยทำให้อุณหภูมิร่างกายมัน
00:06:15 → 00:06:18 สูงขึ้นมาหน่อยอ่านั่นก็คือกลไกการเกิด
00:06:18 → 00:06:22 ไข้นะครับดังนั้นต้องมีสารอักเสบแล้วถึง
00:06:22 → 00:06:26 มีไข้นะครับตรงนี้มันจะสัมพันธ์กันแบบนี้
00:06:26 → 00:06:31 นะทีนี้แล้วเนี่ยถ้ามีไข้ในกรณีมีการ
00:06:31 → 00:06:34 อักเสบมันดียังไงเวลาที่ร่างกายเรา
00:06:34 → 00:06:37 อุณหภูมิสูงขึ้นเนี่ยนะครับมันจะทำให้
00:06:37 → 00:06:40 ภูมิต้านทานของเราทำงานได้มีประสิทธิภาพ
00:06:40 → 00:06:43 มากขึ้นนะครับมันก็เลยทำให้กำจัดเชื้อได้
00:06:43 → 00:06:47 ดีขึ้นและนี่ก็คือเหตุผลหนึ่งที่ทำไมบาง
00:06:47 → 00:06:52 คนบอกว่ามีไข้อย่าไปลดไข้ปล่อยให้มันทำ
00:06:52 → 00:06:54 งานแบบนั้นน่ะปล่อยให้มันมีไข้นี่แหละมัน
00:06:54 → 00:06:56 จะได้จัดการกับสิ่งแปลกปลอมในร่างกายได้
00:06:56 → 00:06:59 เร็วขึ้นซึ่ง
00:06:59 → 00:07:02 ถูกส่วนหนึ่งแต่
00:07:02 → 00:07:05 มันไม่ได้ถูกในกรณีที่คนเขาทรมานสมมุติคน
00:07:05 → 00:07:09 ทรมานจากการมีไข้การไปลดไข้ไม่ได้ทำให้
00:07:09 → 00:07:12 เขาหายช้าลงนะครับมันไม่ได้ทำให้โรคที่
00:07:12 → 00:07:15 เขาเป็นอยู่อ่ะเป็นหนักขึ้นนะดังนั้นถ้า
00:07:15 → 00:07:17 ทรมานใช้ไปเถอะครับไม่ว่าจะเป็นเด็กหรือ
00:07:17 → 00:07:19 ผู้ใหญ่ก็ใช้ได้ทั้ง
00:07:19 → 00:07:23 นะครับอีกกรณีนึงก็คือไข้เนี่ยมันมีปัญหา
00:07:23 → 00:07:25 อะไรมยถ้าเราปล่อยมันไว้อ่ะมันเกิดอะไร
00:07:25 → 00:07:31 ขึ้นอ่ามี 2 ประเด็นที่ต้องพูดประเด็นแรก
00:07:31 → 00:07:35 ไข้มันมีปัญหามยประเด็นที่ 2 คือปล่อยให้
00:07:35 → 00:07:37 มีไข้เนี่ยมันจะชักหรือเปล่าโดยเฉพาะใน
00:07:37 → 00:07:41 เด็กนะครับขอเริ่มจากประเด็นการชักก่อน
00:07:41 → 00:07:45 การมีไข้ในเด็กเนี่ยไม่ได้ทำให้ชักนะตรงเ
00:07:45 → 00:07:48 อาจจะสับสนะทำไม
00:07:48 → 00:07:51 การที่มีไข้ในเด็กแล้วชักเนี่ยนะครับไม่
00:07:51 → 00:07:54 ใช่เพราะตัวไข้แต่มันเพราะสารอักเสบมันจะ
00:07:54 → 00:07:57 มีกรณีที่เด็กเนี่ยมีสารการอักเสบขึ้นมา
00:07:57 → 00:08:03 แล้วไม่มีไข้เด็กก็ชักได้อยู่ดีนะครับ
00:08:03 → 00:08:07 เพราะอย่างี้ครับสารการอักเสบทำให้มีไข้
00:08:07 → 00:08:11 และสารการอักเสบทำให้เกิดการชักนะครับต้น
00:08:11 → 00:08:15 ตออยู่ที่สารอักเสบถ้าเกิดว่าเราไปลดไข้
00:08:15 → 00:08:18 สารอักเสบอยู่ที่เดิม
00:08:18 → 00:08:21 น้องก็ยังชักได้เหมือนเดิมครับนะต้องเข้า
00:08:21 → 00:08:24 ใจตรงนี้ก่อนนะคำถามที่ตามมาก็คืออ้าว
00:08:24 → 00:08:26 แล้วทำไมเด็กที่เขา้ามีไข้แล้วชักเนี่ย
00:08:26 → 00:08:30 โรงพยาบาลถึงรีบเช็ดตัวรีบให้ยาจังเลยก็
00:08:30 → 00:08:32 ในเมื่อบอกว่ามันไม่ได้ไปยุ่งอะไรกับสาร
00:08:32 → 00:08:35 อักเสบแล้วเราทำไปทำไมนะครับอันเนี้ยก็
00:08:35 → 00:08:38 เข้าสู่คำถามที่ 2 ว่าไข้มันไม่ดียังไง
00:08:38 → 00:08:42 ไข้เนี่ยนะครับมันทำให้ร่างกายมีเมบอลิึม
00:08:42 → 00:08:45 สูงขึ้นในตอนนั้นมีการเผาผลาญพลังงานเยอะ
00:08:45 → 00:08:48 ขึ้นในตอนนั้นนะครับทุกอวัยวะเลยรวมทั้ง
00:08:48 → 00:08:52 สมองด้วยถ้าเด็กคนนึงมีไข้และชักนะครับ
00:08:53 → 00:08:55 เวลาชักเนี่ยเซลล์ประสาทของสมองมันจะส่ง
00:08:55 → 00:08:57 กระแสไฟฟ้ามั่วซั่วไปหมดแล้วมันจะมีโอกาส
00:08:57 → 00:09:00 ที่จะตายได้นะครับเซลล์ประสาทสมองจะตาย
00:09:00 → 00:09:04 ได้ถ้าอุณหภูมิมันสูงขึ้นมันจะยิ่งตาย
00:09:04 → 00:09:07 เร็วนะครับดังนั้นมันไม่ใช่แค่ชัดอย่าง
00:09:07 → 00:09:09 เดียวที่ทำให้เซลล์สมองมันตายแต่การมีไข้
00:09:09 → 00:09:12 เนี่ยยิ่งส่งเสริมให้เซลล์สมองตายมากขึ้น
00:09:12 → 00:09:15 ดังนั้นกรณีแบบนี้เนี่ยแหละที่เราจะต้อง
00:09:15 → 00:09:20 ลดไข้ลงมานะครับต้องรีบลดไข้ลงมาเพื่อให้
00:09:20 → 00:09:23 มันไม่มีปัญหาเซลล์สมองนะครับถึงแม้ว่า
00:09:23 → 00:09:25 เราจะไม่ได้ไปทำอะไรกับสารอักเสบก็ตามเรา
00:09:25 → 00:09:29 ก็ต้องลดไข้ลงมาก่อนเพื่อการนี้นะครับอีก
00:09:29 → 00:09:32 อย่างนึงก็คือการที่มีไข้เมื่อกี้บอกแล้ว
00:09:32 → 00:09:34 ว่าทำให้ระบบเมบลิึมในร่างกายมันเพิ่ม
00:09:34 → 00:09:37 ขึ้นดังนั้นทุกๆเซลล์ของร่างกายจะใช้
00:09:37 → 00:09:39 ออกซิเจนมากขึ้นแล้วก็ผลิต
00:09:39 → 00:09:42 คาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นซึ่งถ้าเกิดว่า
00:09:42 → 00:09:45 เป็นเด็กปกติมันก็ไม่มีปัญหาหรอกครับแต่
00:09:45 → 00:09:49 ถ้าเด็กผิดปกติล่ะเช่นมีโรคหัวใจต่าง
00:09:49 → 00:09:54 กำเนิดนะครับมีโรคปอดมีโรคสมองเรื้อรัง
00:09:54 → 00:09:57 อยู่แล้วเป็นไข้พวกนี้แหละครับที่จะแย่ลง
00:09:58 → 00:10:00 อย่างรวดเร็วดังนั้นแล้วเนี่ยคนพวกเนี้ย
00:10:01 → 00:10:03 เราจึงจำเป็นจะต้องลดไข้เพื่อไม่ให้หัวใจ
00:10:03 → 00:10:06 ทำงานหนักเกินไปจนหัวใจวายเพื่อไม่ให้ปอด
00:10:06 → 00:10:09 ทำงานหนักจนการหายใจมันล้มเหลวเพื่อไม่
00:10:09 → 00:10:11 ให้สมองเนี่ยมีอุณหภูมิสูงเกินไปจน
00:10:11 → 00:10:12 กระทั่งเราประสาทที่มันมีปัญหาอยู่แล้ว
00:10:13 → 00:10:16 มันเป็นมากขึ้นนะครับนี่คือเหตุเหตุผล
00:10:16 → 00:10:20 เบื้องหลังว่าเราทำไมต้องลดไข้ในบางคนนะ
00:10:20 → 00:10:21 ครับ
00:10:21 → 00:10:25 ต่อมาสิ่งที่สำคัญอีกอย่างนึงก็คือไข้
00:10:25 → 00:10:28 เนี่ยมันเกิดได้ยังไงเออเมื่อกี้เราบอก
00:10:28 → 00:10:31 ว่ามันมันเป็นจากสารอักเสบและสารอักเสบ
00:10:31 → 00:10:34 เนี่ยมันไปทำอะไรในสมองมันไปเซต
00:10:34 → 00:10:37 เทอร์โมสatอย่างเช่นปกติร่างกายเราควรจะ
00:10:37 → 00:10:40 อุณหภูมิอยู่ที่ 37 องเซซียมันก็ไปบอกว่า
00:10:41 → 00:10:42 ไม่ได้แล้วตอนนี้มีการอักเสบเราต้องเร่ง
00:10:42 → 00:10:46 อุณหภูมิให้เป็น 39 องเซซียอย่างเงี้ยนะ
00:10:46 → 00:10:48 ครับมันก็จะไปปรับสมองนะฮะอันเนี้ยเรียก
00:10:48 → 00:10:52 ว่าไข้นะครับ fever คือไข้นะครับแต่จะมี
00:10:52 → 00:10:56 อีกกรณีนึงก็คือตัวร้อนแต่มันไม่ใช่ไข้
00:10:56 → 00:10:59 แล้วเราเรียกตัวร้อนแบบนี้ว่าไฮเปอร์เมีย
00:10:59 → 00:11:02 นะครับมันต่างกันยังไงจริงๆเรื่องนี้ผม
00:11:02 → 00:11:04 เคยเล่าไปแล้วถ้าใครจำไม่ได้ลองไปหาคลิป
00:11:04 → 00:11:07 ดูเคยเล่าไปหมดแล้วนะครับไฮโปร์เมียเนี่ย
00:11:07 → 00:11:09 ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนเทอร์โมสatของ
00:11:09 → 00:11:13 สมองครับแต่มันเกิดจากการที่เราได้รับ
00:11:13 → 00:11:15 ความร้อนมากจนเกินไปเช่นเอาเด็กไปทิ้งไว้
00:11:15 → 00:11:18 ในรถอย่างเงี้ยหรือไปวางไว้กลางแจ้งนะ
00:11:18 → 00:11:21 ครับก็จะเกิดความร้อนที่เด็กเ้าไม่สามารถ
00:11:21 → 00:11:24 ขับออกไปจากร่างกายเราได้นะครับก็เลยตัว
00:11:24 → 00:11:26 ร้อนขึ้นแต่มันไม่ใช่ไข้เพราะมันไม่ได้ไป
00:11:26 → 00:11:30 รีเซตเทอร์โมสตatในสมองอีกกรณีนึงก็คือมี
00:11:30 → 00:11:32 อาการแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อชักเกร็ง
00:11:32 → 00:11:35 อย่างเงี้ยเกร็งมากๆนะครับอาจจะเกิดจาก
00:11:35 → 00:11:38 การได้ยาบางตัวก็ได้นะครับหรือจากโรคบาง
00:11:38 → 00:11:40 โรคเวลาแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อมันเกิด
00:11:40 → 00:11:43 ขึ้นมากๆเนี่ยมันจะสร้างความร้อนนะครับ
00:11:43 → 00:11:46 สร้างความร้อนที่ร่างกายขับออกไปได้ไม่
00:11:46 → 00:11:49 ทันมันจึงมีอุณหภูมิร่างกายที่สูงขึ้นโดย
00:11:49 → 00:11:51 ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสมองดังนั้นภาวะพวก
00:11:51 → 00:11:53 เนี้ยไม่ใช่ไข้
00:11:53 → 00:11:56 ถามว่าเรารู้ไปแล้วมันได้อะไรขึ้นมามันมี
00:11:56 → 00:11:58 ประโยชน์ตรงที่เราจะต้องรักษามันยังไง
00:11:58 → 00:12:02 ครับเพราะอะไรรู้มั้ฮะถ้าเกิดคุณเป็น
00:12:02 → 00:12:04 ไฮเปอร์เทอร์เมียคุณกินยาลดไข้จะไม่มี
00:12:04 → 00:12:07 ประโยชน์อะไรเลยสักนิดเดียวเพราะยาลดไข้
00:12:07 → 00:12:11 นั้นกลไกการทำงานของมันคือการลด
00:12:11 → 00:12:14 เทอร์โมสatที่สมองแล้วก็ลดการอักเสบบาง
00:12:14 → 00:12:17 อย่างนะครับมันไม่สามารถแก้ไขอุณหภูมิที่
00:12:17 → 00:12:19 เปลี่ยนแปลงเพราะว่ากล้ามเนื้อแข็งเกร็ง
00:12:19 → 00:12:21 หรือว่าได้ความร้อนจากภายนอกได้ครับใน
00:12:21 → 00:12:24 ภาวะเนี้ยการเช็ดตัวจะมีประโยชน์อย่าง
00:12:24 → 00:12:29 ยิ่งนะครับอย่างยิ่งด้วยคือเราจะเอาผ้า
00:12:29 → 00:12:33 เช็ดตัวเนี่ยนะฮะชุบน้ำแล้วเช็ดทั้งตัว
00:12:33 → 00:12:37 แล้วก็โดยเฉพาะซอกคอรักแร้และขาหนีบเพราะ
00:12:37 → 00:12:39 บริเวณนี้มันมีเส้นเลือดใหญ่นะครับทำให้
00:12:39 → 00:12:41 เราสามารถระบายความร้อนได้เร็วขึ้นและบาง
00:12:42 → 00:12:44 ครั้งนะครับถ้ามันเป็นรุนแรงจริงๆมีความ
00:12:44 → 00:12:46 จำเป็นจะต้องให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดที่
00:12:46 → 00:12:48 เป็นน้ำเกลือเย็นด้วยนะครับเพื่อจะลด
00:12:48 → 00:12:51 อุณหภูมิอย่างรวดเร็วเนื่องจากว่าภาวะ
00:12:51 → 00:12:54 ไฮเปอร์เทเมียนั้นไม่สามารถใช้ยาลดไข้
00:12:54 → 00:12:57 แล้วมันได้ผลได้เลยนะครับนี่คือกรณีเดียว
00:12:57 → 00:13:01 ที่การเช็ดตัวจะดีกว่ายาลดไข้นะครับกรณี
00:13:01 → 00:13:04 เดียวเลยนะฮะแต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีนี้หรือ
00:13:04 → 00:13:08 กรณีไหนการเช็ดตัวไม่ใช่ถูๆๆๆเพื่อขูดหา
00:13:08 → 00:13:11 เลขจากเด็กนะครับไม่ต้องถูจนแดงไม่ต้องถู
00:13:11 → 00:13:14 ทวนเส้นขนคือถูธรรมดานาก็พอแล้วนะครับก็
00:13:14 → 00:13:17 พอแล้วแค่นั้นเลยนะงั้นตอนนี้เราจะได้รู้
00:13:17 → 00:13:20 ถึงความแตกต่างระหว่างไฮเปอร์เทอร์เนมและ
00:13:20 → 00:13:25 ไข้นะครับเราได้รู้มาแล้วว่าการให้ยาลด
00:13:25 → 00:13:28 ไข้ตั้งแต่แรกไม่ได้ป้องกันการเกิดการชัก
00:13:28 → 00:13:31 เพราะการชักนั้นมันเกิดจากการอักเสบใน
00:13:31 → 00:13:34 ร่างกายนะครับตรงนี้เราเข้าใจละขั้นต่อไป
00:13:34 → 00:13:39 ที่เราต้องรู้ก็คือแล้วเอ่อเด็กเนี่ยนะ
00:13:39 → 00:13:41 ครับมันมีไข้แบบไหนอ่ะถึงจะต้องไปโรง
00:13:41 → 00:13:45 พยาบาลเออเออตรงเนี้ยสำคัญละนะครับถ้า
00:13:45 → 00:13:47 เด็กต่ำกว่า 3 เดือนนะโดยเฉพาะเด็กเล็ก
00:13:47 → 00:13:49 แล้วเราไม่แน่ใจนะเอาไปโรงพยาบาลดีกว่า
00:13:49 → 00:13:51 เพราะว่าเด็กในต่ำกว่า 3 เดือนเนี่ยโอกาส
00:13:51 → 00:13:54 ที่จะมีโรคอันตรายเช่นมีการติดเชื้อ
00:13:54 → 00:13:57 แบคทีเรียในกระแสเลือดได้มันสูงแล้วเรา
00:13:57 → 00:13:59 พลาดไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียวนะครับโดย
00:13:59 → 00:14:01 เฉพาะยิ่งเด็กเล็กมีไข้ยิ่งควรจะต้องรีบ
00:14:01 → 00:14:05 พาไปหาหมอเพราะว่ามันไม่ปกตินะครับแต่ถ้า
00:14:05 → 00:14:07 เด็กเขาโตพอที่จะสื่อสารได้บ้างนะครับ
00:14:07 → 00:14:10 แล้วก็อ่ารับประทานอาหารหรือดื่มนมดื่ม
00:14:10 → 00:14:12 อะไรพวกนี้ได้บ้างเนี่ยให้เราดูอย่าง
00:14:12 → 00:14:15 อย่างแรกนะถ้าเด็กเขายังเล่นได้ดีอยู่ไม่
00:14:15 → 00:14:17 ต้องไปหาหมอเท่าไหร่หรอกครับแต่ถ้าเด็ก
00:14:17 → 00:14:21 เขาซึมลงนอนทั้งวันเลยเนี่ยต้องไปละนะ
00:14:21 → 00:14:24 ครับมีไข้ที่มันไม่ยอมลงอ่ะผ่านไปวัน 2
00:14:24 → 00:14:26 วันแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่ามันเป็นอะไรแล้ว
00:14:26 → 00:14:27 ไข้มันยังเป็นอย่างนั้นอยู่อันเนี้ยต้อง
00:14:27 → 00:14:31 ไปหาหมอต้องไปโรงพยาบาลนะครับต่อมาก็คือ
00:14:31 → 00:14:35 ถ้าเด็กเค้าเนี่ยเริ่มไม่ดื่มน้ำนะครับ
00:14:35 → 00:14:37 เด็กมิกทานอาหารเนี้ยไม่ได้เป็นอะไรขนาด
00:14:37 → 00:14:39 นั้นนะครับไม่เป็นอะไรขนาดนั้นเราต้อง
00:14:39 → 00:14:42 เน้นให้น้ำเพราะว่าในขณะที่มีไข้ให้เนี่ย
00:14:42 → 00:14:45 ร่างกายจะสูญเสียน้ำเยอะเลยทีเดียวนะครับ
00:14:45 → 00:14:48 มากกว่าปกติอีกนะฮะดังนั้นเราจึงจำเป็นจะ
00:14:48 → 00:14:51 ต้องให้เด็กเขาดื่มน้ำเข้าไปทดแทนแต่เวลา
00:14:51 → 00:14:53 ที่ป่วยเนี่ยต้องบอกอย่างนี้ครับว่าเอ่อ
00:14:53 → 00:14:55 ของน้องเา้าเนี่ยนะครับเขาจะไม่ค่อยอยาก
00:14:55 → 00:14:58 อาหารทั้งๆที่คือเราอยากให้เขาทานอาหาร
00:14:58 → 00:15:00 เหมือนผู้ใหญ่นี่แหละครับเวลามีไข้เราก็
00:15:00 → 00:15:04 ไม่อยากทานอาหารนะครับแต่ไม่ทานน้ำไม่ได้
00:15:04 → 00:15:07 เราต้องให้ทานน้ำนะครับถ้าดังนั้นถ้าน้อง
00:15:07 → 00:15:09 เขาไม่ค่อยอยากทานอาหารแต่เขาดื่มน้ำได้
00:15:09 → 00:15:12 อันนี้ไม่เป็นไรแต่ถ้าดื่มน้ำไม่ได้ต้อง
00:15:12 → 00:15:16 ไปหาหมอนะครับถ้าเคยมีโรคประจำตัวต่างๆ
00:15:16 → 00:15:19 เช่นมีโรคหัวใจโรคปอดโรคสมองหรือโรคอะไร
00:15:19 → 00:15:22 ที่เป็นเรื้อรังพวกนี้ควรจะไปหาหมอหรือ
00:15:22 → 00:15:25 ถ้าน้องเเคยมีประวัติชักในขณะที่มีไข้ที่
00:15:26 → 00:15:28 เราเรียกว่า Febrile seizure นะครับพวก
00:15:28 → 00:15:31 เนี้ยควรจะต้องไปหาหมอนะครับถ้าเคยชักมา
00:15:31 → 00:15:35 ก่อนควรจะไปนะเหล่านี้คือสิ่งที่เราควร
00:15:35 → 00:15:39 จำเป็นจะต้องรู้นะครับดังนั้นโดยสรุปทบ
00:15:39 → 00:15:42 ทวนทั้งหมดเนี่ยนะครับต้องบอกอย่างี้ว่า
00:15:42 → 00:15:45 ไข้เนี่ยหมายความว่าอุณหภูมิสูงกว่าปกติ
00:15:45 → 00:15:48 ไม่มีตัวเลขชัดเจนแล้วก็มีตัวเลขตัวไหน
00:15:48 → 00:15:51 เลยที่บอกว่าเฮ้ยไข้สูง 39 40 เราต้องลด
00:15:51 → 00:15:54 ไข้แล้วนะไม่เราไม่ได้ดูที่ตรงนั้นครับ
00:15:54 → 00:15:57 เราดูที่ความทรมานของเด็กหรือไม่ก็ผู้
00:15:57 → 00:16:00 ใหญ่เป็นหลักนะครับถ้าผู้ใหญ่เป็นไข้หรือ
00:16:00 → 00:16:01 เด็กเป็นไข้แล้วรู้สึกโอ๊ยไม่สบายตัว
00:16:01 → 00:16:04 ทรมานลดไข้ได้เลยไม่ต้องสนใจว่าอุณหภูมิ
00:16:04 → 00:16:06 เท่าไหร่นะครับแล้วถึงแม้ว่าอุณหภูมิจะ
00:16:07 → 00:16:10 สูงเช่น 39 องศอุยมันสูงจังเลยแต่ดูสบาย
00:16:10 → 00:16:13 ดีก็ไม่ต้องทำอะไรนะครับหรือถ้านอนอยู่
00:16:13 → 00:16:15 แล้วอู้หูตัวร้อนจี๋เลยเ้านอนอยู่แล้วหาย
00:16:15 → 00:16:18 ใจปกติดีไม่หอบเหนื่อยอะไรนะฮะพวกเนี้ย
00:16:18 → 00:16:21 ไม่ต้องปลุกมากินยาไม่ต้องปลุกมาเช็ดตัว
00:16:21 → 00:16:24 ไม่มีความจำเป็นถ้าเา้านอนได้ปกติแต่ถ้าเ
00:16:24 → 00:16:27 หายใจเร็วด้วยมีไข้ด้วยไปโรงพยาบาลครับนะ
00:16:27 → 00:16:30 นี่ไม่ปกติแหละนะงั้นถ้ามีพวกเนี้ยเรา
00:16:30 → 00:16:32 ต้องเข้าใจเรื่องอุณหภูมิให้เรียบร้อยซะ
00:16:32 → 00:16:34 ก่อน
00:16:34 → 00:16:36 ส่วนใหญ่เราจะแยกได้ไม่ยากหรอกครับ
00:16:36 → 00:16:39 ระหว่างไฮเปอร์เทอร์เียและไข้ถ้าไข้เนี่ย
00:16:39 → 00:16:41 มันมักจะมีเหตุผลอย่างอื่นเช่นการติด
00:16:41 → 00:16:43 เชื้อมีหายใจผิดปกติไอน้ำมูกไหลนะครับ
00:16:43 → 00:16:46 ท้องเสียพวกเนี้ยมันเป็นไข้ซะส่วนใหญ่แต่
00:16:46 → 00:16:48 ไฮเปอร์เทอร์เียเนี่ยมักจะชัดเช่นเราเอา
00:16:48 → 00:16:50 เด็กไปทิ้งไว้ในรถนะครับหรือไปเจอเด็ก
00:16:50 → 00:16:54 กลางแจ้งแล้วน้องเ้ารู้สึกว่าโอสติมัน
00:16:54 → 00:16:57 เรือนรางละนะครับหายใจเร็วแล้วครับตัวแดง
00:16:57 → 00:16:59 ตัวร้อนอะไรอย่างเงี้ยไฮเปอร์เทรเมียและ
00:16:59 → 00:17:01 นะครับมันจะมีเหตุผลชัดเจนว่าต้องเจอ
00:17:01 → 00:17:04 อุณหภูมิสูงๆนี่แหละนะแล้ว 2 ภาวะนี้
00:17:04 → 00:17:07 รักษาไม่เหมือนกันถ้ามีไข้ทรมานเราให้ยา
00:17:07 → 00:17:11 หรือไม่ก็เช็ดตัวได้นะครับอ่าแล้วกรณี
00:17:11 → 00:17:13 ไฮเปอเทอร์เมียเนี่ยเช็ดตัวหรือให้น้ำ
00:17:13 → 00:17:15 เกลือเย็นเท่านั้นซึ่งหมอเขาจะเป็นคนตัด
00:17:15 → 00:17:18 สินใจเองว่าจะต้องทำอะไรนะครับในกรณีที่
00:17:18 → 00:17:20 รักษาเองที่บ้านเน้นพาราเซตามอลมากกว่า
00:17:20 → 00:17:24 ไบูโบรฟนถ้าจะใช้ไอูโบเฟenต้องชัวร์ว่า
00:17:24 → 00:17:26 น้องคนนั้นน่ะไม่ได้เป็นไข้เลือดออกแน่ๆ
00:17:26 → 00:17:29 แล้วสามารถที่จะดื่มน้ำได้เพียงพอนะครับ
00:17:29 → 00:17:31 มิเช่นนั้นเนี่ยเค้ามีโอกาสที่กิน
00:17:31 → 00:17:34 ไบโพเฟenเข้าไปแล้วมีอาการไตวายได้นะครับ
00:17:34 → 00:17:36 โดยเฉพาะที่ดื่มน้ำไม่เพียงพอแล้วบางคน
00:17:36 → 00:17:38 เนี่ยกินเข้าไปแล้วมันกัดกระเพาะมันก็
00:17:38 → 00:17:41 อ้วกได้นะครับดังนั้นก็ต้องระวังตรงนี้นะ
00:17:41 → 00:17:46 ฮะให้แน่นอนนะครับแล้วก็ที่สำคัญไม่แพ้
00:17:46 → 00:17:49 กันเลยนะครับก็คือเราต้องรู้ว่าอาการแค่
00:17:49 → 00:17:52 ไหนถึงจะควรไปหาหมอได้แล้วนะครับอย่างที่
00:17:52 → 00:17:55 เมื่อกี้บอกถ้ามีโรคประจำตัวนะครับถ้ามี
00:17:55 → 00:17:57 ไข้นานๆไม่ยอมหายซะทีนะครับถ้าอายุต่ำ
00:17:58 → 00:18:00 กว่า 3 เดือนเนี่ยต้องไปถ้าเคยมีประวัติ
00:18:00 → 00:18:03 ชักมาก่อนต้องไปนะครับหรือถ้าอาการมันไม่
00:18:03 → 00:18:06 สู้ดีอ่ะเช่นซึมลงไม่ดื่มน้ำไม่ทานอาหาร
00:18:07 → 00:18:09 หายใจเร็วมากขึ้นอ้วกตลอดถ่ายเหลวตลอด
00:18:09 → 00:18:12 แล้วก็กินอะไรไม่ได้เลยอย่างเงี้ครับพาไป
00:18:12 → 00:18:14 โรงพยาบาลทันทีแล้วคนเหล่านี้นี่แหละเวลา
00:18:14 → 00:18:19 ไปถึงโรงพยาบาลเราควรลดไข้ลดด้วยยาเราจะ
00:18:19 → 00:18:22 ไม่เช็ดตัวเพื่อลดไข้ยามันสามารถลดไข้ได้
00:18:22 → 00:18:26 ดีกว่าการเช็ดตัวนะครับแล้วการเช็ดตัวจะ
00:18:26 → 00:18:31 ต้องไม่ทรมานนะครับบางทีเอาแค่แปะแผ่นเจล
00:18:31 → 00:18:34 เย็นๆไว้ตรงหัวพอแล้วแค่นั้นก็พอแล้วนะ
00:18:34 → 00:18:37 ครับหรือรอบหรือใกล้ๆตาจะได้เย็นๆก็พอ
00:18:37 → 00:18:40 แล้วไม่มีมีความจำเป็นจะต้องเช็ดถูจน
00:18:40 → 00:18:43 กระทั่งตัวแดงหรืออะไรขนาดนั้นจนกระทั่ง
00:18:43 → 00:18:46 เด็กเค้าร้องไห้ขนลุกขนชันสั่นอย่างเงี้ย
00:18:46 → 00:18:48 ไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นทำถ้าทำแล้วเด็ก
00:18:48 → 00:18:52 ร้องไห้มีสั่นมีขนขนลุกขนเงี้ยเอิ่ม
00:18:52 → 00:18:55 ไม่ต้องทำแล้วครับแค่นั้นน่ะพอแล้วที่
00:18:55 → 00:18:57 เหลือให้เป็นหน้าที่ของยาลดไข้มันทำงาน
00:18:57 → 00:19:02 ได้ดีกว่าการใช้ผ้าไปถูของน้องเค้าซะอีก
00:19:02 → 00:19:06 นะครับโอเควันนี้ก็หวังว่าจะให้ข้อมูลครบ
00:19:06 → 00:19:08 ถ้วนแล้วก็กระจ่างต่างกับหลายๆคนนะครับมี
00:19:08 → 00:19:11 สรุปให้เรียบร้อยนะครับในเรื่องราวของไข้
00:19:11 → 00:19:13 แล้วก็ไฮเปอร์เทมนั้นผมเคยทำคลิปไปนาน
00:19:13 → 00:19:16 แล้วถ้าใครอยากจะรู้รายละเอียดลึกๆว่ามัน
00:19:16 → 00:19:18 เป็นยังไงสามารถย้อนกลับไปฟังคลิปนั้นได้
00:19:18 → 00:19:20 นะครับโอเควันนี้ก็เล่าให้ฟังเพียงเท่า
00:19:20 → 00:19:22 นี้นะครับใครมีอะไรสงสัยก็สอบถามมานะครับ
00:19:22 → 00:19:26 ขอบคุณมากครับสวัสดีครับ