00:00:00 → 00:00:01 งั้นงั้นยกเข้าเรื่องเลยค่ะอาจารย์คะเรา
00:00:01 → 00:00:04 กับยดองค่ะมันต่างกันยังไงคะอาจารย์แล้ว
00:00:04 → 00:00:06 มันมีคำว่าสมุนไพรใครๆก็ต้องคิดว่ามันดี
00:00:06 → 00:00:08 อ่ะ
00:00:08 → 00:00:11 อ่าครับอย่างงี้อธิบายอย่างงี้ก่อนนะอัน
00:00:11 → 00:00:15 ที่ 1 คือเห่ากับยาดองเนี่ยคำว่ายาดอง
00:00:15 → 00:00:19 เนี่ยความหมายก็คือเอาแอลกอฮอล์เี่นะครับ
00:00:19 → 00:00:23 ไปผสมกับอะไรบางอย่างเช่นบางคนเค้าก็ดอง
00:00:23 → 00:00:27 กับสิ่งมีชีวิตต่างๆบางคนดองงูดองตุ๊กแก
00:00:27 → 00:00:29 ดองอะไรต่างๆเงี้ยนะครับคือหรือว่าเอาส
00:00:29 → 00:00:32 สมุนไพรเอาอะไรก็ได้เอาไปดองคำว่าดองนี่
00:00:32 → 00:00:35 คืออย่างงนี้ครับก็คือเอาแอลกอฮอล์เนี่ย
00:00:35 → 00:00:38 ไปสกัดให้สารที่อยู่ข้างในเนี่ยละลาย
00:00:38 → 00:00:41 แอลกอฮอล์ออกมาอนะครับพอละลายออกมาปั๊บ
00:00:41 → 00:00:45 มันก็จะมีกลิ่นมีรสชาติมีอะไรต่างๆที่ผสม
00:00:45 → 00:00:48 กับสิ่งที่เราดองไว้เนี่ยนะครับแล้วออกมา
00:00:48 → 00:00:51 มันก็จะได้จริงๆก็คือเป็นสุราาหรือ
00:00:52 → 00:00:56 แอลกอฮอล์เนี่ยที่นำมากินโดยมีกลิ่นของ
00:00:56 → 00:00:59 สิ่งที่เราดองไว้อันนี้เรียกยาดองอืนะ
00:00:59 → 00:01:02 ครับซึ่งส่วนเหล้าเนี่ยก็คือแอลกอฮอล์
00:01:02 → 00:01:05 บริสุทธิ์นะครับที่อาจจะเจือจางในหลาย
00:01:05 → 00:01:07 ระดับแต่ว่าก็อาจจะไม่ถึงกับบริสุทธิ์แบบ
00:01:07 → 00:01:10 แอลกอฮอล์ 100% อย่างสมมุติเรากินไวน
00:01:10 → 00:01:13 เนี่ยจริงๆมันก็คือเอาองุ่นมาหมักนะครับ
00:01:13 → 00:01:16 มันก็จะมีกลิ่นองุ่นอยู่นะครับแต่ไม่ใช่
00:01:17 → 00:01:19 การดองถ้าดองเนี่ยก็คือหมายความว่ามันอาจ
00:01:19 → 00:01:22 จะเอาาเอาอะไรบางอย่างใส่เข้าไปหลังที่ทำ
00:01:22 → 00:01:25 เป็นแอลกอฮอล์แล้วนะครับอันนี้ก็เป็นความ
00:01:25 → 00:01:29 แตกต่างครับอ๋อบริสุทธิ์ไม่บริสุทธิ์และ
00:01:29 → 00:01:31 มีแออแต่ว่าถ้าเกิดเราอ่ะถามคนอื่นคนอื่น
00:01:32 → 00:01:35 เก็จะบอกว่าเนี่ยตั้งแต่อันนี้ขออนุญาตนะ
00:01:35 → 00:01:37 คะถ้ามีตั้งแต่มีกรมสรรพสารมิตรขึ้นมา
00:01:37 → 00:01:39 เนี่ยมันทำให้ภูมิปัญญาพื้นบ้านหายไปแต่
00:01:39 → 00:01:42 ทีเนี้ค่ะอาจารย์ในสำหรับคนที่ทำงานด้าน
00:01:42 → 00:01:45 สุขภาพอ่ะค่ะอาจารย์บริสุทธิ์กับมีการผสม
00:01:45 → 00:01:48 แลสกัดมันฤทธิ์มันเหมือนกันมยคะหรือมัน
00:01:48 → 00:01:50 ต่างกันยังไงหรือมันเป็นยังไงคือคือจริงๆ
00:01:50 → 00:01:53 แล้วนี่นะครับเราต้องแยกตรงนี้ก่อนครับ
00:01:53 → 00:01:57 ตัวคำว่าแอลกอฮอล์เนี่ยนะครับจริงๆแล้ว
00:01:57 → 00:02:01 เนี่ยเราเป็นสิ่งที่เรียกว่าเอายนอกค่ะนะ
00:02:01 → 00:02:04 ครับเนอนะครับแต่ว่ามันมีสารที่มันกลิ่น
00:02:04 → 00:02:07 คล้ายๆกันและเหมือนๆกันเนี่ยอีกตัวนึ่ง
00:02:07 → 00:02:11 เ้าเรียกเมทานอลอืค่ะเมทานอลเนี่ยกับ
00:02:11 → 00:02:14 เอทานอลนี่ไม่เหมือนกันนะครับครับจริงๆ
00:02:14 → 00:02:16 แล้วมันเป็นกลุ่มแอลกอฮอลเหมือนกันแต่
00:02:16 → 00:02:21 เป็นแอลกอฮอล์ที่มีพิษครับมีพิษตัวนี้
00:02:21 → 00:02:27 เนี่ยมันมันเอ่อห้ามนำมาดื่มนะครับแต่ว่า
00:02:27 → 00:02:31 อาจจะใช้เป็นตัวทำละลายบางทีมันก็ก็ก็มี
00:02:31 → 00:02:35 การสกัดตัวนี้ขึ้นมาแล้วเอาไปละลายแต่ว่า
00:02:35 → 00:02:39 ไปใช้กับสิ่งที่ไม่ได้เอามารับประทานนะ
00:02:39 → 00:02:42 ครับดังนั้นเนี่ยบางคนเนี่ยปรากฏว่าถ้า
00:02:43 → 00:02:46 เกิดเอาไอ้ตัวเมทานอลเนี่ยมารับประทาน
00:02:46 → 00:02:50 เนี่ยอันนี้จะเกิดปัญหาเป็นพิษอย่างกรณี
00:02:50 → 00:02:53 ที่เกิดเหตุเนี่นะครับที่เสียชีวิตไป 6
00:02:53 → 00:02:56 รายเนี่ยเกิดจากมันมีสัดส่วนของเมทานอล
00:02:56 → 00:03:01 เนี่ยผสมอยู่ครับอืค่ะซึ่งจริงๆแล้วห้าม
00:03:01 → 00:03:04 มีนะครับถ้าเป็นเาอเนี่ยกินได้นะครับ
00:03:04 → 00:03:09 เพียงแต่อาจจะถูกสารพิษของเาอซึ่งไม่ได้
00:03:09 → 00:03:13 รุนแรงมากก็คือทำให้เมาแล้วก็ทำให้ตับอาจ
00:03:13 → 00:03:16 จะมีการอักเสบผ้ากินเยอะเกินไปก็คือเหล้า
00:03:16 → 00:03:18 ธรรมดาที่เรากินกันอยู่เนี่ยแหละครับจริง
00:03:18 → 00:03:20 ๆมันก็เป็นสิ่งไม่ดีเหมือนกันนะเป็นพิษ
00:03:20 → 00:03:24 เหมือนกันแต่มันเบากว่าในขณะที่ถ้าเาอ
00:03:24 → 00:03:28 เนี่ยขั้นต้นเนี่ยนะครับอาการมันเนี่ย
00:03:28 → 00:03:31 ต้องบอกเลยว่าถ้าเกิดว่าดื่มเนี่ยนะครับ
00:03:31 → 00:03:35 มากกว่า 60 ซีซเนี่ยนะ 60 ซีซมันนิดเดียว
00:03:35 → 00:03:39 นะครับก็คือ 60 ซีซเนี่ยมันเท่ากับ 2
00:03:39 → 00:03:42 เป๊กเองนะครับอืตรงเทำให้ตายได้เลยนะครับ
00:03:43 → 00:03:45 อืค่ะแล้วมันก็ดูดซึมเร็วประมาณ 1
00:03:45 → 00:03:48 ชั่วโมงเนี่ยก็ดูดซึมะอนะครับดังนั้นไอ้
00:03:48 → 00:03:52 ตัวตัวเมทานอลเนี่ยเป็นตัวที่น่ากลัวครับ
00:03:52 → 00:03:55 อือในแง่ที่ว่ามันจะทำให้เกิดการเสีย
00:03:55 → 00:03:58 ชีวิตได้ในขนาดที่ต่ำครับจะมีอาการพวก
00:03:58 → 00:04:02 อย่างขึนไส้เนปวดท้องก็ได้หรือถ้าเกิดมัน
00:04:02 → 00:04:04 มีตาผ้าหมัวเนี่ยแล้วมันทำลายประสาทตา
00:04:04 → 00:04:08 ด้วยครับก็อาจจะทำให้ถึงกับตาบอดบางคนอาจ
00:04:08 → 00:04:11 จะชักหรือว่าอาจจะเสียชีวิตได้เลยครับอื
00:04:11 → 00:04:13 แต่ว่าคือในตัวพวกเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
00:04:13 → 00:04:16 พวกเนี้ยคือพอมันผ่านกระบวนการหมักอะไร
00:04:16 → 00:04:20 เนี่ยมันก็เกิดเอ่อเมทานอลอยู่ในตัวมัน
00:04:20 → 00:04:21 เองอยู่แล้วใช่มั้ยครับแต่ว่าอยู่ใน
00:04:21 → 00:04:24 ปริมาณที่มันค่อนข้างที่จะบางๆน้อยๆมากๆ
00:04:24 → 00:04:28 เลยใช่มั้ยฮะคุณหมอฮะคือคือจริงๆเนี่ยถ้า
00:04:28 → 00:04:31 เกิดว่าเป็นการที่ที่สกัดแบบที่ไม่ถูก
00:04:31 → 00:04:35 วิธีนะครับมันก็อาจจะมีเมทานอลผสมหรือว่า
00:04:35 → 00:04:38 อาจจะมีการปนเปื้อนนะครับแต่โดยส่วนใหญ่
00:04:38 → 00:04:42 แล้วเนี่ยถ้าเกิดว่าเป็นลักษณะของที่เป็น
00:04:42 → 00:04:46 เหล้าที่ที่ชาวบ้านทำมานะครับจริงๆก็จะ
00:04:46 → 00:04:49 ไม่มีเมทานอลผสมหรอกครับอืออือหมายความ
00:04:49 → 00:04:52 ว่าอย่างอย่างสมมุติว่าจุฬาที่ต้มเองอะไร
00:04:52 → 00:04:56 เองเนี่ยนะครับใช้ข้าวหกข้าวอะไรต่างๆ
00:04:56 → 00:05:00 เนี่ยอันเนี้ยก็จะไม่มีเมทานอลผสมอืครับ
00:05:00 → 00:05:02 เพียงแต่ว่ามันอาจจะมีกรณีบางกรณีที่มัน
00:05:02 → 00:05:06 มีการปนเปื้อนหรือบางคนอาจจะทรงใจเอามา
00:05:06 → 00:05:09 ใช้หรือเอามาผสมใส่อือันนี้เป็นอีกกรณี
00:05:09 → 00:05:14 หนึงนะครับซึ่งซึ่งก็ถ้าเกิดเป็นเอ่อคนทำ
00:05:14 → 00:05:18 เองที่แบบว่าไม่ได้รู้เรื่องเนี่ยอาจจะมี
00:05:18 → 00:05:21 การปนเปื้อนเข้ามาได้ะกันอันเนี้ยก็จึง
00:05:21 → 00:05:24 จึงเป็นส่วนที่เรียกว่าจุฬาที่อาจจะเป็น
00:05:24 → 00:05:27 สุราเถื่อนหรือไม่ได้มีการตรวจสอบไม่ได้
00:05:27 → 00:05:30 มีการส่งตรวจเนี่ยมีโอกาสอาจจะปนเปื้อน
00:05:30 → 00:05:34 ได้มากกว่าครับค่ะออาจารย์คะแล้วดีกรีของ
00:05:34 → 00:05:35 เล่าอ่ะคะเห่าบริสุทธิ์อย่างเงี้ยเวลา
00:05:35 → 00:05:38 เปรียบเทียบกันสมมุติเวลาสมมุติสสสไปลงไป
00:05:38 → 00:05:40 ทำงานหน้าปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับเรื่อง
00:05:40 → 00:05:43 ของการรณรงค์เรื่องของเหล้าหรือแอลกอฮอล์
00:05:43 → 00:05:45 เนี่ยค่ะดีกรีทั้ง 2 อย่างเี่มันเท่ากัน
00:05:45 → 00:05:51 มั้ยคะสุราาดองเหมือนกันมยคะการกินการเมา
00:05:51 → 00:05:53 พฤติกรรมมันเท่ากันมั้ยคะอันตรายเท่ากัน
00:05:53 → 00:05:57 มั้ยคะครับครับจริงๆไม่เท่ากันนะครับหมาย
00:05:57 → 00:06:00 ความว่าคือคืออธิบายง่าอย่างงี้สมมุติว่า
00:06:00 → 00:06:06 จุฬาเนี่ยนะครับมันมีตั้งแต่คำว่าเอ่อ 10
00:06:06 → 00:06:08 ดีกรีคือเปอร์เซ็นต์น่ะนะครับหมายความว่า
00:06:08 → 00:06:13 ถ้าเกิดว่าเป็นแบบเอ่อต่ำๆอย่างอย่าสมมติ
00:06:13 → 00:06:15 สมมุติว่าเหล้าขาวเลยเนี่ยมันจะประมาณ
00:06:15 → 00:06:19 30-40 ดีกรีอือย่างงี้เนี่ยมันก็จะเข้ม
00:06:19 → 00:06:22 ข้นครับคือ 30% พวกเนี้ยกินมันต้องกินนิด
00:06:22 → 00:06:24 เดียวนะครับืหรืออย่างเหล้าสีนี่ก็เหมือน
00:06:24 → 00:06:28 กันนะครับที่มันเป็นเหล้าแบบที่นั่นเนี่ย
00:06:28 → 00:06:32 เค้าถึงเอ่อต้องเอามาผสมโซดาไงอให้มัน
00:06:32 → 00:06:35 เจือจางลงหน่อยนึงเพราะมันจะเข้มข้นเกิน
00:06:35 → 00:06:38 ไปกินปุ๊บมันจะร้อนท้องแสบร้อนอะไรอย่าง
00:06:38 → 00:06:40 เงี้ยนะครับแต่ที่เบียร์เนี่ยอาจจะอยู่
00:06:40 → 00:06:43 ที่ประมาณ 5 -10% เองนะครับอย่างวาย
00:06:43 → 00:06:45 อย่างเงี้ 5% อย่างเงี้ยนะครับดังนั้นมัน
00:06:45 → 00:06:48 มันจะเจียจานหน่อยสังเกตว่ากินเบียร์
00:06:48 → 00:06:50 เนี่ยบางทีต้องกินเยอะหน่อยมันมันถึงจะ
00:06:50 → 00:06:53 เมานะครับมันก็เป็นการเจียจานแต่โดยสรุป
00:06:53 → 00:06:56 ทั้งหลายทั้งปวงเนี่นะครับเอ่อมันขึ้น
00:06:56 → 00:07:00 อยู่กับปริมาณแอลกอฮอล์บริสุดที่เราได้
00:07:00 → 00:07:03 รับไปอือย่างสมมุติว่า 1 ดื่มมาตรฐาน
00:07:03 → 00:07:05 เนี่ยเเอา 10 กรัมของแอลกอฮอล์บริสุทธิ์
00:07:05 → 00:07:08 อืหมายความว่าถ้าเกิดว่าคุณกินเบียร์ 1
00:07:08 → 00:07:11 กระป๋องเนี่ยซึ่งปริมาณ 1 กระป๋องมันก็
00:07:11 → 00:07:15 300-400 ซีซีเนี่ยนะครับอก็คือแต่ในขณะ
00:07:15 → 00:07:18 ที่ถ้าคุณกินเหล้าขาวเนี่อาจจะแค่ 1 เป็ก
00:07:18 → 00:07:22 เองอืนะครับดังนั้นมันมันก็คือเป็นแล้ว
00:07:22 → 00:07:24 แต่ว่าเจือจางหรือเปล่าผมนึกภาพอย่างงี้
00:07:24 → 00:07:26 ครับเหมือนเกลือเนี่ยเกลือ 1 ช้อนเนี่ย
00:07:26 → 00:07:30 ถ้าผสมน้ำน้อยเกลือก็เข้มขนข้นจะเค็มปี๋
00:07:30 → 00:07:34 เลยผสมน้ำเยอะมันก็เจือจาจืดืหรือไม่รู้
00:07:34 → 00:07:36 สึกเลยนะแต่มีเกลืออยู่อนะครับดังนั้น
00:07:36 → 00:07:39 จริงๆส่วนสำคัญก็คือแอลกอฮอล์ที่เข้าไปใน
00:07:39 → 00:07:42 ร่างกายนั่นแหละจะมีผลต่อร่างกายของเราใน
00:07:42 → 00:07:46 ปริมาณแอลกอฮอล์เอ่อเป็นกรรมที่เป็น
00:07:46 → 00:07:50 บริสุทธิ์อย่างงั้นนะครับอือืเป็นอย่าง
00:07:50 → 00:07:51 งี้เป็นอย่างงี้มันเป็นอย่างงี้นะเออคน
00:07:51 → 00:07:54 ไม่กินไงก็เลยไม่รู้แต่ถ้าดมอาจจะรู้ว่า
00:07:54 → 00:07:56 อ๋อผสมแล้วเพื่อเจือจากอันนี้คือไม่รู้
00:07:56 → 00:07:59 จริงๆคนหบพี่ผิดเห็นดิบๆออแรงพี่ก็เลยอ
00:07:59 → 00:08:02 อ๋ออมันจะไม่เหมือนกันเพราะว่าแต่ละชนิด
00:08:02 → 00:08:04 มันก็จะมีความเข้มข้นต่างกันขึ้นอยู่กับ
00:08:04 → 00:08:07 กระบวนการหมักอืประมาณนี้ประมาณนี้นะครับ
00:08:07 → 00:08:11 คุณหมอครับแล้วคือถ้าถ้าในทางการแพร่แผน
00:08:11 → 00:08:14 ไทยเนี่ยคำว่ายาดองเนี่ยคือเขาก็ยังมอง
00:08:14 → 00:08:19 ว่ามันเป็นยาที่จะช่วยในการบำรุงดูแล
00:08:19 → 00:08:22 สุขภาพอยู่ตรงนี้เนี่ยคือถ้าถ้าในทางการ
00:08:22 → 00:08:24 แพทย์ในส่วนที่คุณหมอดูแลอยู่มองเรื่อง
00:08:24 → 00:08:28 นี้ยังไงฮะคุณหมอฮะครับอธิบายอย่างงี้
00:08:28 → 00:08:31 ครับคำว่ายาเนี่ยคือต้องต้องบอกก่อนว่า
00:08:31 → 00:08:35 สมมุติว่าเรามีสมุนไพรชนิดนึงนะครับการ
00:08:35 → 00:08:37 สกัดสารบางอย่างจากสมุนไพรนั้นน่ะมีได้
00:08:38 → 00:08:41 หลายวิธีครับอนะครับอย่างสมมุติว่าบางที
00:08:41 → 00:08:44 เนี่ยเราใช้น้ำเข้าไปแล้วเอาคั้นมันออกมา
00:08:44 → 00:08:48 เลยอย่างเงี้ยอันเนี้ยก็คือมันก็จะเป็น
00:08:48 → 00:08:52 น้ำนะครับหรือบดเป็นผงก็ได้หรือบางส่วน
00:08:52 → 00:08:55 เนี่ยถ้าเกิดต้องการให้เก็บไว้นานเนี่ย
00:08:55 → 00:08:58 แล้วก็บางทีต้องการแอลกอฮอล์ไปทำละลายสาร
00:08:58 → 00:09:01 ที่อยู่ในสมุนไพรอันเนี้ยก็เลยใช้เป็นยา
00:09:01 → 00:09:05 ดองคำถามคือว่ายาดองเนี่ยดีมั้ยได้
00:09:05 → 00:09:08 ประโยชน์มั้ยคือมันก็คือจริงๆขึ้นอยู่กับ
00:09:08 → 00:09:10 สมุนไพรว่าเราดองแล้วเนี่ยสมุนไพรนั้น
00:09:10 → 00:09:13 เกิดประโยชน์หรือเปล่ามันไม่ใช่เกิดจาก
00:09:13 → 00:09:16 ไอ้ตัวแอลกอฮอล์เป็นทำให้เกิดประโยชน์อ้อ
00:09:16 → 00:09:19 นะครับเช่นไปหมักอะไรเอ่อเหมือนเอาไปดอง
00:09:19 → 00:09:21 อะไรถ้าดองสมุนไพรแล้วสมุนไพรจริงๆเนี่ย
00:09:21 → 00:09:24 ถ้าเทียบแล้วนี่นะครับก็เอาสมุนไพรมากิน
00:09:24 → 00:09:27 ตรงๆเลยก็ได้อ่าไม่ต้องครับเพแต่ว่าบางคน
00:09:27 → 00:09:29 ก็รู้สึกว่าถ้าดองไว้เนี่ยมันไม่เสียไงฮะ
00:09:29 → 00:09:32 อืมันไม่เสียก็เลยเก็บไว้กินได้นานอะไร
00:09:32 → 00:09:34 ต่างๆเหล่านี้นะครับก็เลยใช้วิธีดอนแต่
00:09:34 → 00:09:36 ว่าพวกนี้มันไม่ได้ถูกพิสูจน์เลยนะครับ
00:09:36 → 00:09:39 เพราะว่ามันก็ยังเป็นอยู่อยู่ในกลุ่มความ
00:09:39 → 00:09:42 เชื่ออยู่ว่าสมุนไพรตัวนี้ใช้ได้ก็เลยเอา
00:09:42 → 00:09:45 มาดองเพราะสมมุติว่าเราบอกว่าอ่ะสมมุตินะ
00:09:45 → 00:09:48 ครับขมิ้นชันเราบอกว่าแก้โรคกระเพาะนะ
00:09:48 → 00:09:50 ครับตนี้เราเอามาดองเอาขมิ้นชันมาดองอัน
00:09:50 → 00:09:54 นี้ผมสมมุติเฉยๆนะครับแต่ก็ไม่มีใครทำสาร
00:09:54 → 00:09:56 ในขมิ้นชันมันก็อาจจะละลายมาอยู่ใน
00:09:56 → 00:09:59 แอลกอฮอลนั่นแหละอคำถามคือว่าเราต้องกินแ
00:09:59 → 00:10:03 ออลไปเยอะขนาดไหนถึงจะได้สารขมิ้นชันที่
00:10:03 → 00:10:06 เพียงพอมันก็จะเมาก่อนหรือไม่ก็อาจจะทำ
00:10:06 → 00:10:10 ให้เรื่องของแอลกอฮอล์กินมากเกินไปก็ได้
00:10:10 → 00:10:13 อืดังนั้นถ้าอยากกินสมุนไพรจริงๆเนี่ย
00:10:13 → 00:10:16 เดี๋ยวนี้มันมีวิธีสกัดอนะครับทำเป็นผง
00:10:16 → 00:10:19 หรือวิธีสกัดสารตั้งต้นออกมาเลยโดยที่ไม่
00:10:19 → 00:10:22 ต้องดองยาในขณะที่คนสมัยก่อนอาจจะรู้สึก
00:10:22 → 00:10:25 สกัดไม่เป็นไงฮะอพอสกัดไม่เป็นก็เลยเอลอง
00:10:26 → 00:10:29 เอาไปดองะกันแล้วก็เลยเป็นเป็นเหมือนกับ
00:10:29 → 00:10:31 กับเอ่อผมผมจะเรียกว่าเป็นกึ่งคาอ้าง
00:10:32 → 00:10:34 แล้วะกันนะคือคือจริงๆในอดีตอ่ะเค้าไม่มี
00:10:34 → 00:10:37 ยาเค้าก็อาจจะกินยาดอมก็อาจจะหายบางส่วน
00:10:37 → 00:10:40 นะก็ื่นเป็นเอ้าว่าเอ้ยกินยาดองแล้วมันจะ
00:10:40 → 00:10:45 ได้มีคึกคัใ้สารทั้งเอ่อเรื่องของสมุนไพร
00:10:45 → 00:10:47 ด้วยแล้วก็กินเหล้าไปด้วยอะไรอย่างเงี้ย
00:10:47 → 00:10:50 นะอย่าที่ปัจจุบันจริงๆอ่ะไม่จำเป็นฮะมัน
00:10:50 → 00:10:53 มียาเยอะมากที่อยากจะได้สมุนไพรไหนเราก็
00:10:53 → 00:10:56 ไปสกัดมันโดยตรงเลยไปกินตัวนั้นตัวนี้เลย
00:10:56 → 00:10:59 นะครับมันก็มีวิธีหรือจะต้มมันโดยตรงเลย
00:10:59 → 00:11:01 ก็ได้นะครับไม่จำเป็นต้องละลายใน
00:11:02 → 00:11:05 แอลกอฮอล์อย่างเดียวมันละลายในน้ำก็ยัง
00:11:05 → 00:11:07 ได้เหมือนกันขึ้นอยู่กับสารที่อยู่ใน
00:11:07 → 00:11:11 สมุนไพรนั้นครับอืค่ะอาจารย์อย่างเงี้ย
00:11:11 → 00:11:14 อาจารย์อาจารย์เคยเป็นผอโรงบานานนะคะอย่า
00:11:14 → 00:11:17 นี้หยกถามนิดนึงค่ะอาจารย์แต่ทำปกติวิถี
00:11:17 → 00:11:20 ชีวิตของคนที่เขากินพวกเหล้าดองอะไรดอง
00:11:20 → 00:11:22 อะไรเงี้คืออันนี้หยกไม่มีความรู้จริงๆ
00:11:22 → 00:11:24 ต้องขอความรู้จากอาจารย์หรือว่าคุณผู้ฟัง
00:11:24 → 00:11:26 บางคนอาจจะรู้อยู่แล้วพฤติกรรมก็ก็แชร์
00:11:26 → 00:11:29 เล่ากันมาได้นะคะคือหยกอยากรู้ว่าการที่
00:11:29 → 00:11:31 เขาเริ่มไปกินแล้วมีใครติดเหล้าจากการกิน
00:11:31 → 00:11:35 ยาดองมั้ยคะอาจารย์เยอะมั้ยคะโออันนี้มี
00:11:36 → 00:11:39 มีแน่นอนครับคือคือส่วนใหญ่จริงๆเนี่ยผม
00:11:39 → 00:11:42 ผมเรียนตามตรงนะอือกลุ่มคนกินยาดองจริงๆ
00:11:42 → 00:11:45 ไม่ได้กินคำว่ายาหรือกินคำว่าการดองหรอก
00:11:46 → 00:11:48 จริงๆต้องการกินเหล้านั่นแหละอแต่แต่รู้
00:11:48 → 00:11:52 สึกดีขึ้นว่าเออเอาเอาดีงูมาดองแล้วเอ้ย
00:11:52 → 00:11:56 มันมันได้ประโยชน์อะไรอย่างเงี้แหละนะ
00:11:56 → 00:11:59 เพราะว่าเอ่อมันมันส่วนใหญ่ก็ซดกันแบบว่า
00:11:59 → 00:12:02 มีความสุขอนะครับแล้วบางทีมันเหมือนกับทำ
00:12:02 → 00:12:05 ให้ได้กลิ่นอือของตัวยาดองเนี่ยแหละเพราะ
00:12:05 → 00:12:07 มันกลิ่นมันหอมบางคนก็ชอบกลิ่นนู้นกลิ่น
00:12:07 → 00:12:09 นี้มันเหมือนใส่กลิ่นเข้าไปอ่ะครับเพียง
00:12:10 → 00:12:13 แต่ว่าเอาตัวนั้นตัวนี้ไปดองตอนี้ไอ้ไอ
00:12:13 → 00:12:16 ไอ้พวกเหล้าเหล้าที่เรียกว่าเหล้าต้มเอง
00:12:16 → 00:12:18 เนี่ยหรือยาดองหรืออะไรก็แล้วแต่เนี่ย
00:12:18 → 00:12:21 ความน่ากลัวมีอีกอย่างนึงนะครับสมัยที่ผม
00:12:21 → 00:12:24 ทำงานเนี่ยในพื้นที่นี่นะครับอยู่จังหวัด
00:12:24 → 00:12:27 น้านเนี่ยมันจะมีทุกคนจะบอกเหมือนกันหมด
00:12:27 → 00:12:31 นะว่าถ้าเกิดเหล้าที่เป็นจุฬขาวที่กลั่น
00:12:31 → 00:12:35 เองเนี่ยถ้าจะให้มัน่าปากหน่อยๆอร่อยนะ
00:12:35 → 00:12:39 ต้องเอาไม้เเข้าก้านธูปเนี่ยนะครับไปจิ้ม
00:12:39 → 00:12:44 ในสารพาราคอตที่เป็นยาแยากซึ่งอันตรายมาก
00:12:44 → 00:12:48 1 ธูป 1 จิ้มนะครับพอจิ้มปั๊บแล้วใส่ลง
00:12:48 → 00:12:51 ไปในเหล้าขาวเนี่ยรสชาติมันจะซาดซ่านกว่า
00:12:51 → 00:12:55 ออหแต่ความเป็นจริงคือไอ้ตัวของตายๆไอ้
00:12:55 → 00:12:58 พาราคอตเนี่ยหรือยาฆ่าหญ้าเนี่ยมันทำลาย
00:12:58 → 00:13:01 ปับแล้วตัวเหล้าก็ไปทำลายตับมันจะกลาย
00:13:01 → 00:13:05 เป็นทำลาย 2 เด้งคือช่วยกันทำลายอันนี้
00:13:05 → 00:13:07 อันตรายมากครับบางคนเนี่ยเวลาป่วยมาเนี่ย
00:13:07 → 00:13:10 เราต้องถามก่อนไปกินอะไรมาบ้างอแล้วบางคน
00:13:10 → 00:13:14 ก็ต้องซเอ้ยเอายาดองหรือว่าเหล้าขาวหรือ
00:13:14 → 00:13:16 อะไรอย่างเงี้ยเราต้องไปเอาเหล้าขาวนั้น
00:13:16 → 00:13:20 น่ะมาแล้วก็มาตรวจดูปรากฏเจอจากค่ายาก
00:13:20 → 00:13:22 อย่างเงี้ยมันน่ากลัวเหมือนกันแล้วบางที
00:13:22 → 00:13:25 เหล้าขาวตัวนั้นน่ะก็เป็นตัวเอาไปทำยาดอง
00:13:25 → 00:13:27 ฮี้คือคือยาดองก็คือไม่มีอะไรครับบางทีก็
00:13:27 → 00:13:30 คือเอาเหล้าขาวที่ตป้มกั่นเองนี่แหละแล้ว
00:13:30 → 00:13:34 ก็เอามาดองกับอะไรต่างๆนะครับอันนี้ก็
00:13:34 → 00:13:37 เป็นยาดองแล้วบางทีมันมีการปนเปื้อนของ
00:13:37 → 00:13:40 สารที่เรียกว่าเาอเข้าไปอือันเนี้ยกิน
00:13:40 → 00:13:43 แล้วก็อาจจะเกิดปาบอดหรือเกิดอะไรต่างๆ
00:13:43 → 00:13:46 ที่เป็นเคสกรณีศึกษาอย่างที่ว่าได้เพราะ
00:13:46 → 00:13:49 มันจะไม่มีการตรวจสอบเลยว่าตกลงมันมีการ
00:13:49 → 00:13:53 คนเคลื่อนสารพวกเาอนะครับค่ะแม่หนูจะได้
00:13:54 → 00:13:56 ฟังทางที่นิติเวชอ่ะค่ะเขาได้ให้ข้อมูล
00:13:56 → 00:14:00 แล้วว่าอ่ะพอฌาสูตรแล้วปุ๊บอ่าฤทธิ์จาก
00:14:00 → 00:14:04 อ่าเมทานอลเอทานอลที่ที่เป็นของผสมที่
00:14:04 → 00:14:06 เป็นของเหล้าเถื่อนอ่ะนะคะเนี่ยค่ะที่
00:14:06 → 00:14:08 เป็นเมทานอลเนี่ยค่ะมันก็จะทำให้มีเลือด
00:14:08 → 00:14:11 ออกในสมองแล้วก็ทำให้ตาบอดแต่แต่หนูก็เลย
00:14:11 → 00:14:13 สงสัยค่ะอาจารย์ถ้าอธิบายแบบให้คนเข้าใจ
00:14:13 → 00:14:16 คือก็เรากินที่ท้องทำไมเวลามันทำให้ตาเรา
00:14:16 → 00:14:20 บอดได้อ่ะค่ะอาจารย์มันทำให้ตาเราฝ้ามัว
00:14:20 → 00:14:25 เออคือคืออย่างงี้ถ้าเมทานอลนี่นะครับก็
00:14:25 → 00:14:27 คืออันที่ 1 คือพอกินอะไรก็ตามเข้าไปใน
00:14:27 → 00:14:30 ท้องเนะครับลงไปที่ลำไส้เนี่ยมันจะเกิด
00:14:30 → 00:14:33 การดูดซึมตั้งแต่ที่กระเพาะและลำไส้ครับ
00:14:33 → 00:14:36 อืแล้วพอดูดซึมเนี่ยมันจะเข้าไปรวมตัวกัน
00:14:36 → 00:14:40 ที่เส้นเลือดอืแล้วมันจะส่งไปที่ตับอือ
00:14:40 → 00:14:43 ตับจะทำลายสารเคมีที่เป็นคือมันจะแยกเลย
00:14:43 → 00:14:45 นะครับตับจะแยกว่าเหมือนที่เคยเล่าให้ฟัง
00:14:45 → 00:14:48 คราวที่แล้วเนี่ยถ้าเป็นอาหารมันจะเอาไป
00:14:48 → 00:14:50 ใช้งานเอาไปใช้เป็นพลังงานเอาไปใช้เป็น
00:14:50 → 00:14:53 ได้ประโยชน์แต่เป็นสารพิษตับจะพยายาม
00:14:53 → 00:14:58 ทำลายอืแต่ปัญหาก็คือว่าตัวเมทานอลเนี่ย
00:14:58 → 00:15:01 มันเป็นสารที่ถ้าเกิดรับเข้าไปเนี่ยมันจะ
00:15:01 → 00:15:03 เปลี่ยนแปลงเป็นสารที่เรียก
00:15:03 → 00:15:07 ว่าอซึ่งเป็นสารที่เหมือนน้ำยารองศพเี่นะ
00:15:07 → 00:15:11 ครับแล้วก็มันก็จะเกิดพิษโดยตรงเลยเพราะ
00:15:12 → 00:15:13 ว่าเวลาเข้าไปในกระแสเลือดแล้วเี่กับมัน
00:15:13 → 00:15:17 ทำลายไม่ทันนะครับอมันก็จะถูกบีบหัวใจบีบ
00:15:17 → 00:15:22 ตู้มอนะครับเข้าไป 10 ส่วนเมทานอล 2 ส่วน
00:15:22 → 00:15:24 ถูกทำลายที่ตักอีก 8 ส่วนวนเข้าไปในกระแส
00:15:25 → 00:15:27 เลือดมันเข้าไปที่สมองไปที่ตาไปที่นู่น
00:15:27 → 00:15:30 ที่นี่เนี่ยมันก็ทำลายแล้วมันจะวนกลับมา
00:15:30 → 00:15:32 นะครับเพราะว่าบีบหัวใจบีบ 1 ทีเนี่ย
00:15:32 → 00:15:36 เลือดวนไปหมดเลยออไปตับับก็ทำลายอีก 1
00:15:36 → 00:15:39 หน่วย 2 หน่วยอย่างเงี้ยแล้วมันก็วนไปวน
00:15:39 → 00:15:41 ไปวนมาอย่างเงี้ยกว่าตัดจะทำลายได้เนี่ย
00:15:41 → 00:15:46 บางทีมันเป็นวันเ่อประมาณ 4-5 ชมงนะครับ
00:15:46 → 00:15:49 ทีนี้กว่ามันจะทำลายได้เนี่ยขึ้นเกับ
00:15:49 → 00:15:52 ปริมาณอทีนี้มันก็ทำลายตาทำลายพื้นที่
00:15:52 → 00:15:55 อะไรต่างๆหมดะสารเคมีต่างๆที่เข้าไปเนี่ย
00:15:55 → 00:15:58 ก้มออกฤิแบบนี้นะครับคือมันจะเข้าไปใน
00:15:58 → 00:16:01 กระแสเลือดอแล้วไปถูกทำลายที่ตับถ้ากิน
00:16:01 → 00:16:04 เข้าไปนะครับแต่ถ้าทำลายไม่ไหวหรือทำลาย
00:16:05 → 00:16:08 ไม่ทันหรือมันมากเกินไปมันจะออกไปทำลาย
00:16:08 → 00:16:12 อวัยวะต่างๆของเราทั้งสมองทั้งอะไรต่างๆ
00:16:12 → 00:16:15 แต่ก็จะวนกลับมาเพื่อให้ตับทำลายอยู่ดีนะ
00:16:15 → 00:16:18 ครับผ่านกระแสเลือดนะครับอันเนี้ยเป็น
00:16:18 → 00:16:21 ส่วนที่น่ากลัวแล้วเราปกติหร่ะคะอาจารย์
00:16:21 → 00:16:23 กระบวนการมันไม่เหมือนกันหรอคะเรา
00:16:23 → 00:16:25 บริสุทธิ์อ๋อเหมือนกันเป๊ะเลยครับเหมือน
00:16:25 → 00:16:29 กันเป๊ะเลยก็คือจริงๆเนี่ยมันจะเข้าไปถูก
00:16:29 → 00:16:31 ทำลายที่ตับก่อนนะครับแล้วมันก็วนออกไป
00:16:31 → 00:16:34 แต่ตัวแอลกอฮอล์เองเนี่ยที่เป็นเอทานอล
00:16:34 → 00:16:38 เนี่ยความเป็นพิษของมันไม่เท่ากับเมทานอล
00:16:38 → 00:16:43 อ๋อคือคือเาอเนี่ยมันยังความิกับมันคือทำ
00:16:43 → 00:16:47 ให้เกิดเส้นประสาทหรือสติหรืออะไรต่างๆ
00:16:47 → 00:16:50 สมองเกิดการเบลองงอะไรอย่างงี้นะครับดัง
00:16:50 → 00:16:53 นั้นการทำลายมันยังไม่รุนแรงมากอแต่ถ้า
00:16:53 → 00:16:56 เป็นเมอเนี่ยการทำลายมันเนี่ยมันทำลายรุน
00:16:56 → 00:17:00 แรงกว่าหลายเท่านะครับเรียกว่าถึงตายได้
00:17:00 → 00:17:04 เลยอืดังนั้นพิของมันเนี่ยมันมันขึ้นกับ
00:17:04 → 00:17:06 การเปลี่ยนคือคือต้องเข้าใจก่อนอย่างงี้
00:17:06 → 00:17:08 นะครับเวลาเข้าไปในร่างกายเนี่ยตัว
00:17:08 → 00:17:12 เอทานอลเนี่ยมันก็จะมีการเปลี่ยนเหมือน
00:17:12 → 00:17:16 กันนะครับเป็นเเรียกว่าเบอลของเาอค่ะนะ
00:17:16 → 00:17:19 ครับซึ่งตัวของมันตัวเนี้ยมันยังไม่รุน
00:17:19 → 00:17:22 แรงมากอืแต่ปรากฏว่าไอ้ส่วนของเาอเนี่ย
00:17:22 → 00:17:27 มันจะแปลงเป็นสารปมาอซึ่งมันเป็นน้ำยาดอง
00:17:27 → 00:17:31 ศพมันุแรงกว่าละกันอ๋อนะครับเป็นลักษณะ
00:17:31 → 00:17:34 นั้นอืเหมือนดองเราทั้งเป็นเรายังไม่ตาย
00:17:34 → 00:17:38 โดนดองก่อนอือเข้าทางปากคือถ้ามันเข้าไป
00:17:38 → 00:17:41 ในปริมาณร่างกายของเราที่มันแบบเยอะเกินเ
00:17:41 → 00:17:43 คือมันจะทำให้เราผมฟังข้อมูลมาคือมันทำ
00:17:43 → 00:17:45 ให้เลือดของเราเป็นกรดใช่มั้ยครับคุณหมอ
00:17:45 → 00:17:50 ครับอืใช่ๆมันจะมันจะทำให้เกิดภาวะภาวะ
00:17:50 → 00:17:53 เลือดเป็นกรดนะครับมีกรดทั้งกรดฟอร์มิกกด
00:17:53 → 00:17:56 แลคติกเพิ่มขึ้นนะครับแล้วปัญหาคือ
00:17:56 → 00:17:59 ออกซิเจนจะไม่พอในระดับเซลลล์อืแล้วตัว
00:17:59 → 00:18:03 นี้ล่ะครับจะเป็นตัวที่ทำลายระบบประสาท
00:18:03 → 00:18:07 ทำลายเซลล์ต่างๆของร่างกายนะครับแล้วสุด
00:18:07 → 00:18:10 ท้ายมันถูกส่งไปทำลายที่ไตมันก็ไปทำลายไต
00:18:10 → 00:18:14 อีกนะครับอือันเนี้ยมันเลยมันเลยซับซ้อน
00:18:14 → 00:18:17 พอสมควรนะครับที่มันมีความรุ้นแรงพอสมควร
00:18:17 → 00:18:20 ะกันโอก็เลยถึงว่ามันมีคนที่ต้องแบบเข้า
00:18:20 → 00:18:23 สู่กระบวนการฟอกไตฉุกเฉินเนี่ยเป็นหลาย
00:18:23 → 00:18:25 สิบคนเลยอ่ะครับคุณหมออ๋อมันเป็นเพราะ
00:18:25 → 00:18:27 เหตุผลมันไปทำลายตับก่อนเลยทำลายไตก่อน
00:18:28 → 00:18:31 เลยใช่มั้ยคุณหมอะตรงนี้ใช่ๆคือคือต้อง
00:18:31 → 00:18:34 เข้าใจก่อนครับธรรมชาติของร่างกายเนี่ย
00:18:34 → 00:18:37 ถ้าสารพิษจะทำลาย 2 ที่คือตับกับไตถามว่า
00:18:37 → 00:18:40 ทำไมฮะอเพราะว่าสารพิษทุกอย่างเนี่ยเข้า
00:18:40 → 00:18:45 ไปจะถูกทำให้ลดความเป็นพิษที่ตับอคือตับ
00:18:45 → 00:18:50 เนี่ยมีหน้าที่เป็นโรงงานกำจัดขยะหรือ
00:18:50 → 00:18:54 หรือบำบัดน้ำเสียคือเอาน้ำเสียหรือขยะพิษ
00:18:54 → 00:18:57 ทั้งหลายเนี่ยพยายามจะทำให้มันลดความเป็น
00:18:57 → 00:19:01 พิษลงแล้วค่อยส่งมันไปให้ไตเพื่อฉี่ออกมา
00:19:01 → 00:19:05 ถามว่าทำไมไตเกี่ยวเพราะว่าตับจะต้องทำ
00:19:05 → 00:19:08 งานร่วมกันคือส่งไปให้ไตแล้วไตต้องขับ
00:19:08 → 00:19:11 ทิ้งเป็นฉี่ออกมาคราวนี้เอ่อถ้าเกิดว่า
00:19:11 → 00:19:15 ตับเนี่ยมันขับเร็วนะครับมันส่งให้ตตมัน
00:19:15 → 00:19:20 ก็ไหลออกมาเป็นขี่ทันถ้าปริมาณน้อยนะครับ
00:19:20 → 00:19:22 แต่ว่าส่วนใหญ่เวลาเรากินเข้าไปมันปริมาณ
00:19:22 → 00:19:26 เยอะตับ 1 กำจัดไม่ทันตัวมันก็เป็นพิษอัน
00:19:26 → 00:19:29 ที่ 2 พอมันส่งไปให้ไตไตก็เลยเป็นเป็นพิษ
00:19:29 → 00:19:31 ไปด้วยอสุดท้ายทั้ง 2 ตัวเนี้ยจะรับความ
00:19:31 → 00:19:35 เป็นพิษเป็นอันดับต้นๆเพราะเป็นทั้งโรง
00:19:35 → 00:19:38 งานที่จะกำจัดของเสียและเป็นโรงงานขนส่ง
00:19:38 → 00:19:42 ของเสียระบายของเสียออกไปอยู่ข้างนอกนะ
00:19:42 → 00:19:45 ครับ 2 ส่วนนี้จะเป็นอะไรก่อนเลยครับอื
00:19:45 → 00:19:47 ค่ะอาจารย์ขาหนูเกรงใจอาจารย์เดี๋ยวเป็น
00:19:47 → 00:19:49 คำถามสุดท้ายหนูถามค่ะสิ่งที่อยู่ในโหลยา
00:19:49 → 00:19:52 ดองเนี่ยค่ะเราแยกออกมั้ยคะอันตรายไม่
00:19:52 → 00:19:54 อันตรายอย่างที่อาจารย์บอกเมทานอลเอทานอล
00:19:54 → 00:19:57 เงี้ยค่ะเรารู้ได้มั้ยคะด้วยตาเปล่าเรา
00:19:57 → 00:19:59 ไม่รู้เนาะหรือว่ายังครับว่ามันมีกลิ่น
00:19:59 → 00:20:02 สมุมีใครรู้ครับหมอก็ไม่รู้ครับคือดม
00:20:02 → 00:20:04 กลิ่นก็ไม่รู้ครับมันเป็นกลิ่นแอลกอฮอล์
00:20:04 → 00:20:08 เหมือนกันอืนะดังนั้นเนี่ยไม่มีใครรู้
00:20:08 → 00:20:10 หรอกครับต้องเอาไปตรวจในห้องแลบอย่าง
00:20:10 → 00:20:13 เดียวถึงจะรู้นั้นมันมีความยากตรงนี้แหละ
00:20:13 → 00:20:16 ครับหมายความว่าสมมุติผมต่อให้เป็นหมอคน
00:20:16 → 00:20:20 ไหนก็เหอะไปเจอยาดองวาง 1 เป๊กอือก็ถ้าซด
00:20:20 → 00:20:23 ก็ต้องวัดดวงกันนิดหน่อยเพราะมันมีมีสาร
00:20:23 → 00:20:25 อะไรที่มันปนเปื่อนหรือเปล่าแต่ว่าส่วน
00:20:25 → 00:20:28 ใหญ่มันก็ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนทำด้วย
00:20:28 → 00:20:31 อือก็ขึ้นอยู่กับว่ามันมันมีการปนเปื้อน
00:20:31 → 00:20:34 หรรือเปล่ามันก็คถึงวัดดวงแล้วกันฉะนั้น
00:20:34 → 00:20:37 จริงๆเนี่ยบางคนก็บอกสุราเือนเอ๊ะมันเป็น
00:20:37 → 00:20:40 อันตรายมั้ยคือมันจริงๆทุกอย่างนะครับจะ
00:20:40 → 00:20:43 ทำอาหารทำอะไรต่างๆมันต้องเค้าเรียกว่าดู
00:20:43 → 00:20:46 ส่วนประกอบดูการปนเปื้อนแล้วก็ดูกระบวน
00:20:46 → 00:20:49 การทำทั้งหมดเลยว่ามันถูกต้องมันดีหรือ
00:20:49 → 00:20:52 เปล่าเราจึงต้องมีอย่างกรมสรรพสามิตนี่
00:20:52 → 00:20:54 แหละที่ต้องไปตรวจสอบกระบวนการวิธีทำคุณ
00:20:54 → 00:20:58 ทำถูกต้องมั้ยอุปกรณ์ที่ใช้เป็นยังไงบ้าง
00:20:58 → 00:21:00 อะไรอย่างงี้นะครับอันนี้บางทีเราก็อาจจะ
00:21:00 → 00:21:03 ไปโกรธหรือไปไม่ชอบว่าเอ้ยทำไมตรวจกัน
00:21:03 → 00:21:07 เยอะจังทำไมต้องมีภาษีทำไมมันต้องควบคุม
00:21:07 → 00:21:10 ทำไมทำไมอะไรอย่างเงี้ยคือจริงๆก็คือเป็น
00:21:10 → 00:21:12 การคุ้มครองผู้บริโภคอีกในส่วนหนึ่งนะ
00:21:12 → 00:21:16 ครับให้าต่างๆที่เอารับเข้าร่างกายโดยการ
00:21:16 → 00:21:20 กินเนี่ยมันปลอดภัยกับคนที่กินมากขึ้นมัน
00:21:20 → 00:21:23 เป็นบทบาทหน้าที่ของรัฐบาลเป็นบทบาทหน้า
00:21:24 → 00:21:27 ที่ของหน่วยราชการที่จะต้องปกป้องปกป้อง
00:21:27 → 00:21:30 แลก็คุ้มครองคนที่เขาจะบริโภคสารต่างๆ
00:21:31 → 00:21:34 เข้าไปในระบบการค้าต่างๆนั่นเองครับค่ะ
00:21:34 → 00:21:36 เนี่ยค่ะตรงกับที่คุณผู้ฟังทางบ้านถามพอ
00:21:36 → 00:21:38 ดีอาจารย์ตอบตรงพอดีเลยถามว่า 1 เป๊ก
00:21:38 → 00:21:40 อันตรายมั้ยก็เลยแบบว่าตาบอดได้มยก็คือ
00:21:40 → 00:21:43 ถ้าเกิดผสมเราไม่รู้ว่าไปเจออะไรก็ก็ก็
00:21:43 → 00:21:46 วัดดวงอ่ะนะคะแล้วก็มีคุณผู้ฟังทางบ้าน
00:21:46 → 00:21:48 บอกว่าชื่นชมอาจารย์มากค่ะที่แบบให้ความ
00:21:48 → 00:21:51 รู้แล้วก็ตอบคุณหมอตอบได้ดีมากเลยวันนี้
00:21:51 → 00:21:53 ต้องแบบขอบพระคุณอาจารย์มากนะคะคือไม่ใช่
00:21:53 → 00:21:57 อะไรเกรงใจกลัวเรับรางวัลไม่ได้ใช่ๆคือ
00:21:57 → 00:21:59 เรื่องอย่างงั้นคือครับได้ค่ะวันนี้ต้อง
00:21:59 → 00:22:01 ขอบพระคุณอาจารย์มากนะคะ้วความยินดีนะ
00:22:01 → 00:22:03 เดี๋ยวคราวหน้าค่อยมาคุยกันอีกทีนะครับ
00:22:03 → 00:22:06 ครับคุณหขอบคุณมากๆคุณหมขอบคุณอารสวัสดี
00:22:06 → 00:22:10 ครับคสวัสดีค่ะขอบพระคุณค่ะค่ะที่จบไปนะ
00:22:10 → 00:22:13 คะเราได้รับเกียรตินะคะจากคุณหมอกุงเทพนะ
00:22:13 → 00:22:15 คะวงษ์วัชรไพบูลย์นะคะผู้จัดการสสสเนาะ
00:22:15 → 00:22:17 อาจารย์