การกินเค็มมากเกินไปส่งผลต่อกระดูกอย่างไร

ลดเค็มร่างกายเปลี่ยนแปลงอย่างไร? | คลิป MU [Mahidol Channel]

จากช่อง : Mahidol Channel มหิดล แชนแนล


ดูคำบรรยาย / View Transcript

00:00:0100:00:03 จากสถิติในคนไทยพบว่า

00:00:0300:00:07 มีผู้ป่วยที่เจ็บป่วยจาก การกินเค็มมากถึง 22 ล้านคน

00:00:0700:00:10 ส่งผลให้เกิดการเสียชีวิต มากถึง 20,000 คนต่อปี

00:00:1000:00:15 โดยบุคคลเหล่านี้กินเค็มเกินมาตรฐาน 2-3 เท่า จากที่ร่างกายต้องการต่อวันค่ะ

00:00:1600:00:21 [เสียงดนตรี]

00:00:2100:00:24 หากเราลดเค็ม สิ่งแรกที่จะเกิดประโยชน์ กับร่างกายของเราก็คือ

00:00:2400:00:26 จะช่วยให้เราแก่ช้าลง

00:00:2600:00:28 เนื่องจากความเค็ม ทำให้เทโลเมียร์หดสั้นลง

00:00:2800:00:32 ซึ่งเทโลเมียร์เป็นส่วนที่ป้องกัน การหดสั้นลงของโครโมโซม

00:00:3300:00:36 ซึ่งก็จะทำให้เร่งกระบวนการแก่ชรา ของร่างกายได้

00:00:3600:00:38 ทำให้ภายนอกผิวหนังอาจจะเหี่ยวย่น

00:00:3800:00:41 หรือภายในทำให้เกิดการอักเสบภายในร่างกาย

00:00:4100:00:43 นอกจากนี้ การกินเค็มที่มากเกินไป

00:00:4300:00:45 ยังทำลายสุขภาพผิวของเรา

00:00:4500:00:47 ทำให้ผิวหนังของเราเกิดการอักเสบ

00:00:4800:00:49 คันและเป็นผื่นได้ค่ะ

00:00:5100:00:53 ประโยชน์อย่างที่สองของการลดเค็มก็คือ

00:00:5300:00:56 สามารถลดความเสี่ยง ต่อการเกิดโรคกระดูกพรุนได้

00:00:5600:00:59 เพราะในภาวะที่เราได้รับความเค็ม เข้าสู่ร่างกาย

00:00:5900:01:03 ร่างกายพยายามจะกำจัดโซเดียมออกจากร่างกาย โดยการปัสสาวะให้มากขึ้น

00:01:0300:01:06 ซึ่งการสูญเสียแคลเซียม ออกมากับปัสสาวะในปริมาณมาก

00:01:0600:01:10 ก็จะส่งผลให้กระดูกเราบางลง และเปราะแตกง่าย

00:01:1000:01:12 ประโยชน์ข้อต่อไปของการลดเค็มก็คือ

00:01:1200:01:15 ช่วยป้องกันความเสี่ยงของการเกิดโรคไตวายได้

00:01:1500:01:16 จากการศึกษาพบว่า

00:01:1700:01:20 การรับประทานโซเดียมมากกว่า 2 เท่า ที่แนะนำต่อวัน

00:01:2000:01:22 หรือ 4,600 มิลลิกรัม

00:01:2200:01:24 พบว่าไตขับของเสียได้แย่ลง

00:01:2400:01:27 และมีการรั่วของโปรตีนมาในปัสสาวะมากขึ้น

00:01:2700:01:32 แต่ในทางกลับกัน เมื่อรับประทานโซเดียม ตามคำแนะนำที่ต้องการต่อวัน

00:01:3300:01:35 หรือประมาณ 2,000-2,300 มิลลิกรัม

00:01:3500:01:38 จะทำให้ประสิทธิภาพการกรองของไตดีขึ้น

00:01:3800:01:41 และป้องกันความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตวายได้

00:01:4100:01:43 ประโยชน์ข้อต่อไปของการลดเค็ม

00:01:4300:01:46 ก็คือลดความเสี่ยงของ การเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

00:01:4600:01:48 โรคหลอดเลือดสมอง และโรคความดันโลหิตสูง

00:01:4800:01:50 เพราะการที่เรากินเค็มมากเกินไป

00:01:5000:01:52 ร่างกายไม่สามารถกำจัดออกได้หมด

00:01:5200:01:55 ทำให้ระดับโซเดียมอยู่ในกระแสเลือดที่เยอะ

00:01:5500:01:58 ทำให้ดึงน้ำเข้ามาสู่ในหลอดเลือดที่มาก

00:01:5800:02:00 ส่งผลให้เกิดความดันโลหิตสูงได้

00:02:0000:02:03 นอกจากนี้ในส่วนของ การขับโซเดียมออกจากร่างกาย

00:02:0300:02:07 จะกระตุ้นการหลั่งฮอร์โมนที่มีส่วนทำให้ ความดันโลหิตเพิ่มสูงขึ้น

00:02:0700:02:11 ความดันโลหิตที่เพิ่มสูงขึ้นตรงนี้ ก็จะทำให้ทำลายหลอดเลือดของเรา

00:02:1100:02:13 ทำให้หลอดเลือดขาดความยืดหยุ่น

00:02:1300:02:15 หลอดเลือดแตก ซึ่งนำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือด

00:02:1600:02:18 หลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาตได้ค่ะ

00:02:1800:02:20 ประโยชน์อีกประการหนึ่งของการลดเค็ม

00:02:2000:02:23 สำหรับผู้ป่วยเบาหวาน จะทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลได้ดีมากขึ้น

00:02:2300:02:26 เพราะการลดเค็มจะช่วยควบคุมความดัน

00:02:2600:02:28 การที่ควบคุมความดันให้ลดลง

00:02:2800:02:30 ก็จะช่วยทำให้การทำงานของอินซูลิน

00:02:3000:02:33 ซึ่งทำหน้าที่เอาน้ำตาล จากในหลอดเลือดเข้าสู่เซลล์

00:02:3300:02:34 ทำงานได้ดีมากขึ้นค่ะ

00:02:3400:02:37 [เสียงดนตรี]

00:02:3700:02:42 เราสามารถลดความเค็มในชีวิตประจำวันของเราได้ โดยวิธีการแรกก็คือ

00:02:4200:02:43 การปรุงอาหารด้วยด้วเอง

00:02:4300:02:48 เพราะเราจะควบคุมปริมาณเครื่องปรุง และโซเดียมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมได้

00:02:4800:02:52 โดยเราควรรู้ค่าปริมาณโซเดียม ของเครื่องปรุงแต่ละอย่าง

00:02:5200:02:57 เช่น น้ำปลา ซอสปรุงรส 1 ช้อนชา มีประมาณโซเดียม 400 มิลลิกรัม

00:02:5700:03:02 ส่วนเกลือ 1/4 ช้อนชา จะมีปริมาณโซเดียม 500 มิลลิกรัม

00:03:0300:03:08 โดยหนึ่งวัน เราสามารถกินเค็ม หรือปริมาณโซเดียม 2,000 มิลลิกรัม

00:03:0800:03:12 ซึ่งในวัตถุดิบธรรมชาติ จะมีโซเดียมอยู่แล้ว 800 มิลลิกรัม

00:03:1200:03:16 ดังนั้น เราสามารถปรุงเพิ่มได้ จากเครื่องปรุงให้รสเค็ม 3 ช้อนชาต่อวัน

00:03:1600:03:22 นอกจากนี้ เราสามารถเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ที่ลดโซเดียมลงโดยไม่ใช้โพแทสเซียมทดแทน

00:03:2200:03:26 ซึ่งก็สามารถลดปริมาณโซเดียมลงได้ 50-70%

00:03:2600:03:29 หลีกเลี่ยงการกินน้ำซุป น้ำแกง หรือน้ำผัด

00:03:2900:03:33 เนื่องจากน้ำเหล่านี้จะถูกผสมด้วย เครื่องปรุงรสที่มีรสเค็ม

00:03:3300:03:36 โดย 1 ช้อนโต๊ะ จะมีปริมาณโซเดียม 400 มิลลิกรัม

00:03:3600:03:39 ข้อแนะนำข้อสุดท้ายในการลดเค็มก็คือ

00:03:3900:03:42 การรับประทานผักและผลไม้ ที่เป็นแหล่งโพแทสเซียมสูง

00:03:4200:03:47 ยกตัวอย่างเช่น ฟักทอง แคร์รอต มะเขือเทศ บรอกโคลี

00:03:4700:03:50 ฝรั่ง แก้วมังกร กล้วย และส้ม

00:03:5000:03:54 แร่ธาตุโพแทสเซียมพวกนี้ จะช่วยขับโซเดียมออกจากร่างกายได้

00:03:5400:04:00 เนื่องจากโซเดียมและโพแทสเซียมจะทำงานร่วมกัน ในการรักษาสมดุลน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย

00:04:0000:04:02 ซึ่งจะทำงานได้ดีต้องอยู่อย่างสมดุล

00:04:0200:04:05 ดังนั้นในกรณีที่เราได้รับโซเดียม ในปริมาณที่เยอะ

00:04:0500:04:09 การรับประทานโพแทสเซียมที่เพียงพอ ก็จะช่วยขับโซเดียมออกจากร่างกายได้

00:04:0900:04:14 [เสียงดนตรี]