00:00:00 → 00:00:03 [เสียงดนตรี]
00:00:03 → 00:00:06 You're listening to Mahidol Channel Podcast.
00:00:06 → 00:00:08 Listen for a better life.
00:00:09 → 00:00:11 ฟังเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
00:00:11 → 00:00:14 และนี่คือรายการพอดแคสต์ของช่อง Mahidol Channel
00:00:14 → 00:00:16 โดย มหาวิทยาลัยมหิดล
00:00:16 → 00:00:20 [เสียงดนตรี]
00:00:20 → 00:00:23 เครียด เศร้า มีความทุกข์ หาทางออกไม่ได้ ไม่รู้จะคุยกับใคร
00:00:23 → 00:00:26 อยากให้ทุกคนมาฟังมหิดลแชนแนลพอดแคสต์
00:00:26 → 00:00:29 ที่จะมาช่วยคุณในการจัดการ ปัญหาสุขภาพทางใจ
00:00:29 → 00:00:33 ในรายการ Re-Mind รู้ทันปัญหาสุขภาพจิต สำรวจอารมณ์ความคิด
00:00:34 → 00:00:36 เข้าใจพฤติกรรมของตนเองและคนใกล้ตัว
00:00:36 → 00:00:39 กับผม หมอหลิว นายแพทย์สมบูรณ์ หทัยอยู่สุข
00:00:40 → 00:00:45 จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
00:00:45 → 00:00:48 วันนี้เป็นอีกหนึ่งตอน ที่อยากจะมาชวนคุณพ่อคุณแม่นะครับ
00:00:48 → 00:00:50 ได้มาร่วมรับฟังกัน
00:00:51 → 00:00:56 ปัจจุบันเราพูดถึงความหลากหลายว่า เป็นเรื่องที่ปกติ
00:00:56 → 00:00:59 เราอยู่ที่ไหนก็มีความหลากหลาย ของสิ่งต่าง ๆ นานา
00:00:59 → 00:01:03 ถ้าเรามองว่าความหลากหลาย มันเป็นเรื่องที่สวยงาม
00:01:03 → 00:01:07 แล้วก็ส่งผลให้เกิดสิ่งดี ๆ กับโลกนี้
00:01:07 → 00:01:11 แล้วทำไมตัวคุณพ่อคุณแม่ ถึงจะไปตีกรอบให้ตัวเอง
00:01:11 → 00:01:15 ทำไมเราจะไปตีกรอบให้กับคนรอบข้าง
00:01:15 → 00:01:21 หรือว่าเราจะไปตีกรอบ ให้กับสิ่งมีชีวิตที่เราเรียกว่า "ลูก"
00:01:21 → 00:01:28 เด็กเล็ก ๆ ซึ่งเรารักและเราก็ผูกพัน ตั้งแต่เรายังไม่เห็นหน้าเขา
00:01:28 → 00:01:32 ตั้งแต่เรายังไม่รู้ว่า เขาเป็นผู้หญิงหรือเป็นผู้ชาย
00:01:32 → 00:01:36 ตั้งแต่ที่เราไม่รู้ว่า เขาจะเติบโตมาเป็นคนอย่างไร
00:01:36 → 00:01:38 ไม่รู้จักนิสัยใจคอ
00:01:38 → 00:01:42 แต่พอเขาเติบโตมาเรื่อย ๆ เดินทางมาถึงจุดหนึ่ง
00:01:42 → 00:01:43 เราก็เริ่มรู้สึกว่า
00:01:43 → 00:01:48 เอ๊ะ ลูกเราไม่ใช่เพศ ที่ตรงกับเพศกำเนิดของเขา
00:01:49 → 00:01:50 เขามีอวัยวะเพศชาย
00:01:50 → 00:01:53 แต่ทำไมเขามีแสดงออกทางความเป็นผู้หญิง
00:01:53 → 00:01:55 เขามีอวัยวะเพศหญิง
00:01:55 → 00:01:58 แต่เขาดูเหมือนชอบผู้หญิงด้วยกัน
00:01:59 → 00:02:02 ถ้าเรื่องเพศไม่ใช่เรื่องกำหนดความสุข
00:02:02 → 00:02:03 หรือความสำเร็จในชีวิต
00:02:03 → 00:02:07 ดังนั้น จำเป็นหรือเปล่า ที่เราจะต้องไปตีกรอบให้สิ่งเหล่านั้น
00:02:07 → 00:02:10 วันนี้หมอเลยจะมาชวนคุณพ่อคุณแม่พูดคุยว่า
00:02:10 → 00:02:14 เราจะเลี้ยงลูกอย่างไรถ้าลูกเป็น LGBTQ
00:02:15 → 00:02:19 แล้วเราจะจัดการอย่างไรเวลาที่ลูกถูกล้อเลียน
00:02:19 → 00:02:25 หรือถูกสังคมกระทำไม่ดีกับ ความเป็น LGBTQ ของเขานะครับ
00:02:25 → 00:02:27 ชวนคุยแบบนี้ก่อนนะครับว่า
00:02:27 → 00:02:30 เราจะมารู้จักนิยามของ LGBTQ กันก่อน
00:02:30 → 00:02:32 ตามตัวย่อเลยนะครับ
00:02:32 → 00:02:36 ตัวแรกตัว L ย่อมาจากคำว่า Lesbian นะครับ
00:02:36 → 00:02:39 หรือผู้หญิงที่ชอบผู้หญิงด้วยกัน
00:02:39 → 00:02:42 ตัว G ย่อมาจากคำว่า Gay นะครับ
00:02:42 → 00:02:45 ผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกัน
00:02:45 → 00:02:49 แต่บางครั้งก็ไปกล่าวรวมถึง คนที่ชอบเพศเดียวกัน
00:02:49 → 00:02:54 ตัว B คือ Bisexual หมายความว่า คนที่ชอบทั้งผู้ชายทั้งผู้หญิง
00:02:54 → 00:02:59 T คือ Transgender หรือแปลว่าเป็นคนข้ามเพศ
00:02:59 → 00:03:04 หมายความว่า ผู้หญิงที่มีจิตใจเป็นผู้ชาย หรือผู้ชายที่มีจิตใจเป็นผู้หญิง
00:03:04 → 00:03:08 หรือเขาจะเรียกกันสั้น ๆ ว่า Trans นะครับ
00:03:08 → 00:03:12 ส่วนสุดท้ายคือคำว่า Q อาจจะย่อมาจาก Queer หรือ Questioning
00:03:12 → 00:03:17 หมายความว่าคนที่เขายังไม่รู้ เขาไม่นิยามตัวเองว่าเขาเป็นเพศไหน
00:03:17 → 00:03:20 เขาไม่ใช่ผู้ชาย เขาไม่ใช่ผู้หญิง เขาไม่ใช่เลสเบี้ยน เขาไม่ใช่เกย์
00:03:20 → 00:03:24 แต่เขาเป็น Q คือ เขาไม่มีเพศ บางทีเขาก็บอกเขาไม่มีเพศ
00:03:24 → 00:03:26 หรือเขาก็ไม่นิยามว่าตัวเองเป็นเพศอะไร
00:03:26 → 00:03:30 ซึ่งบางทีบางที่จะไปพูดถึงว่าเป็น LGBTQ+ + ก็คือบวก
00:03:30 → 00:03:34 บวกมีอื่น ๆ อีก เช่น บางคนบอกว่า ตัวเองเป็น Unsexual
00:03:34 → 00:03:35 คือไม่มีเพศ
00:03:35 → 00:03:37 ฉันไม่บอกเลยว่าฉันเป็นเพศอะไร
00:03:37 → 00:03:38 คือต่างกับ Q นะครับ
00:03:38 → 00:03:41 Q คือยังสงสัย ยังค้นหาอยู่ว่าฉันเป็นเพศอะไร
00:03:41 → 00:03:44 แต่พวก Unsexual คือฉันไม่มีเพศอะไรเลย
00:03:44 → 00:03:45 เรื่องเพศไม่เกี่ยวข้องกับฉัน
00:03:45 → 00:03:47 จะมีคำต่าง ๆ นานาอีกมากมาย
00:03:48 → 00:03:51 คุณพ่อคุณแม่ที่ฟังอยู่ สามารถไปค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้
00:03:51 → 00:03:53 ในสื่อออนไลน์ต่าง ๆ นะครับว่า
00:03:53 → 00:03:56 เรื่องเพศ เด็ก ๆ หรือวัยรุ่นนี่ เขาคุยกันอย่างไร
00:03:56 → 00:04:01 ซึ่งต่าง ๆ นานาที่หมอพูดมา LGBTQ ทั้งหมดทั้งมวลนี่นะครับ
00:04:01 → 00:04:04 หมายถึงความชื่นชอบทางเพศ
00:04:04 → 00:04:07 ซึ่งวันนี้เราจะมาพูดถึง ความชื่นชอบทางเพศเป็นหลักนะครับ
00:04:07 → 00:04:12 แต่จะมีคำอีกคำนึงที่พูดกัน คือเรื่องของอัตลักษณ์ทางเพศ
00:04:12 → 00:04:14 หรือว่า Sexual orientation
00:04:14 → 00:04:17 หมายความว่า ตัวเขาเองเป็นลักษณะไหนอะไรยังไง
00:04:17 → 00:04:19 ซึ่งมันจะเป็นคำซึ่งจำเพาะออกไปอีกนะครับ
00:04:20 → 00:04:21 หรือเป็นเรื่องของเพศกำเนิด
00:04:21 → 00:04:24 หรือว่าเพศตามพันธุกรรมอะไรอย่างนี้นะครับ
00:04:24 → 00:04:26 เพศตามลักษณะทางชีวภาพ
00:04:26 → 00:04:29 Biological sex หรือว่า Sexual orientation ต่าง ๆ นานา
00:04:29 → 00:04:33 คำพวกนี้มันเป็นคำที่เราจะพูดถึง เวลาที่เราพูดถึงเรื่องทางเพศ
00:04:33 → 00:04:37 แต่วันนี้เราจะมาพูดถึงหลัก ๆ เป็นเรื่องของ LGBTQ กันนะครับ
00:04:37 → 00:04:40 เวลาที่เราพูดถึง LGBTQ นี่นะครับ
00:04:41 → 00:04:45 ก็จะมีคนถามว่า ทำไมคนถึงเป็น LGBTQ
00:04:45 → 00:04:47 เวลาที่เกิดคำถามแบบนี้ เพราะอะไร
00:04:48 → 00:04:52 แสดงว่าเรากำลังมองว่า LGBTQ คือความผิดปกติ
00:04:53 → 00:04:54 ชวนคิดแบบนี้ต่อครับ
00:04:55 → 00:05:01 หรือจริง ๆ แล้ว มนุษย์เราไปให้นิยาม ความปกติที่แคบเกินไป
00:05:01 → 00:05:03 ว่ามีแค่ชายกับมีแค่หญิง
00:05:04 → 00:05:09 จริง ๆ แล้วเพศต่าง ๆ LGBTQ หรืออื่น ๆ บวก ๆ กันไปนี่
00:05:10 → 00:05:13 คือความปกติที่มนุษย์เรา ยังไม่รู้จักเท่านั้นเอง
00:05:13 → 00:05:16 เริ่มต้นและชวนกันถามด้วยคำถามนี้ก่อน
00:05:16 → 00:05:17 เพราะอะไรครับ
00:05:17 → 00:05:20 เพราะว่ามันจะทำให้ ผู้ฟังที่อยู่กับเราในวันนี้คิดไปด้วยกันว่า
00:05:21 → 00:05:23 เอ๊ะ เรากำลังมองเรื่องปกติให้ไม่ปกติ
00:05:23 → 00:05:26 หรือเรากำลังรู้สึกอะไร กับเรื่องอะไรบางอย่างอยู่
00:05:26 → 00:05:28 กลับมาดูที่สาเหตุกันนิดนึง
00:05:28 → 00:05:33 ถ้าเรามองว่า LGBTQ เป็นสิ่งที่ อาจจะไม่เหมือนกับปกติที่เรารู้จัก
00:05:33 → 00:05:35 แต่หมอไม่ได้บอกว่าเป็นสิ่งไม่ปกตินะ
00:05:35 → 00:05:38 ก็จะมีคนบอกว่า สาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง
00:05:38 → 00:05:41 ต้องบอกว่าจริง ๆ แล้ว มันมีทั้ง เรื่องของพันธุกรรมที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
00:05:41 → 00:05:45 พบเจอว่า ในครอบครัวที่มี LGBTQ ในครอบครัว
00:05:46 → 00:05:49 สามารถมีประชากรที่เป็น LGBTQ
00:05:49 → 00:05:51 มากกว่ากลุ่มประชากรทั่วไป
00:05:51 → 00:05:54 ที่ครอบครัวที่มีแค่ชายกับหญิง ตรงตามเพศกําเนิด
00:05:54 → 00:05:57 อันนี้คือเรื่องของพันธุกรรม ซึ่งเกี่ยวข้องกัน
00:05:57 → 00:06:01 แต่ยังไม่ได้บอกได้นะครับว่า อยู่บนยีนไหน สารพันธุกรรมอะไรยังไง
00:06:01 → 00:06:05 อีกส่วนหนึ่งนอกจากตัวเรื่องของพันธุกรรมแล้ว ก็คือเรื่องของสิ่งแวดล้อม
00:06:05 → 00:06:06 สิ่งแวดล้อมที่ว่านี่
00:06:06 → 00:06:08 ก็คือปัจจัยภายนอกของเด็กคนนั้น
00:06:08 → 00:06:11 หรือรวมไปทั้งเรื่องของการเลี้ยงดู
00:06:11 → 00:06:13 ซึ่งตรงนี้ซับซ้อนมาก ๆ เลยนะครับ
00:06:13 → 00:06:17 ทั้งตัวการเลี้ยงดูและสิ่งแวดล้อม ที่เด็กคนนั้นเติบโตขึ้นมา
00:06:17 → 00:06:18 เพราะอะไรครับ
00:06:18 → 00:06:21 บางบ้าน บางครอบครัว หรือบางงานวิจัยก็จะบอกว่า
00:06:21 → 00:06:25 มันเกี่ยวกันไหมว่า เด็กที่พ่อหรือแม่เลี้ยงเขาคนเดียว
00:06:25 → 00:06:29 แล้วมันส่งผลว่า เด็กอยากเป็นเหมือน คนที่ไม่อยู่กับเขาแล้ว
00:06:29 → 00:06:31 หรือเด็กอยากเป็นเหมือนกับคนที่อยู่กับเขา
00:06:32 → 00:06:33 ในขณะเดียวกันก็คือว่า
00:06:33 → 00:06:38 ในบ้านที่บางทีพ่อกับแม่อาจจะเป็น LGBTQ
00:06:38 → 00:06:39 หรือเดี๋ยวนี้ก็มีนะ
00:06:39 → 00:06:41 ใช่ไหม ที่แบบว่าบางบ้านที่เขาเป็น LGBTQ
00:06:41 → 00:06:44 แล้วเขาก็ไปเอาเด็กมาเลี้ยง อะไรอย่างนี้นะครับ
00:06:44 → 00:06:47 จะส่งผลต่อการเป็น LGBTQ หรือเปล่านี่อันนี้
00:06:47 → 00:06:53 จะบอกแค่ว่าถ้าเกิดพวกเราทุก ๆ ท่านไปลองอ่าน งานวิจัยหรือข้อมูลที่ศึกษา ณ ปัจจุบัน
00:06:53 → 00:06:55 สิ่งที่บอกครับ บอกได้แค่ว่า
00:06:55 → 00:06:57 มันพบเจอความสัมพันธ์บางอย่าง
00:06:57 → 00:07:01 แต่ยังไม่มีงานวิจัยไหน ที่สามารถบอกได้เลยนะครับว่า
00:07:01 → 00:07:04 ตกลงแล้วอะไรมันเป็นสาเหตุกันแน่
00:07:04 → 00:07:06 บอกได้แค่ว่าสัมพันธ์กัน
00:07:06 → 00:07:07 มีความเกี่ยวข้องกัน
00:07:07 → 00:07:10 ดังนั้นจะบอกแค่ว่า มันมีความสัมพันธ์
00:07:10 → 00:07:12 ทั้งในส่วนของพันธุกรรม ปัจจัยทางชีวภาพ
00:07:12 → 00:07:15 ที่สัมพันธ์กับเรื่องของ สิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดู
00:07:15 → 00:07:17 แต่ทราบไหมครับว่า
00:07:17 → 00:07:19 อย่างไรก็ตามแล้ว
00:07:19 → 00:07:23 ในเด็กและวัยรุ่น ที่โตมาเป็นผู้ใหญ่ที่เป็น LGBTQ
00:07:23 → 00:07:28 หลาย ๆ คน หลาย ๆ ราย เขารู้ตัวมาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กแล้วนะครับ
00:07:29 → 00:07:33 เขารู้ว่าเขาชอบเล่นกับ เพศที่ไม่ใช่เพศกำเนิดของเขา
00:07:33 → 00:07:34 เช่น เขาเป็นเด็กผู้ชาย
00:07:34 → 00:07:38 เขาเล่าตลอดเลยว่า เขาชอบเล่นแบบเด็กผู้หญิงมาโดยตลอด
00:07:38 → 00:07:39 เขาชอบเล่นตุ๊กตามาโดยตลอด
00:07:39 → 00:07:41 เขาไม่ชอบเตะต่อย
00:07:41 → 00:07:44 ในขณะเดียวกันพอได้คุยกับ คนที่เป็นเพศกำเนิดเป็นผู้หญิง
00:07:44 → 00:07:47 แต่เขาชื่นชอบในความเป็นผู้ชายของตัวเขาเอง
00:07:47 → 00:07:50 เขาก็รู้สึกว่า เขาชอบความแมน ๆ ตั้งแต่เด็ก ๆ
00:07:50 → 00:07:55 เขาเองเขารู้สึกว่าเขาเห็นผู้หญิง แล้วเขาเกิดอารมณ์ทางเพศ
00:07:55 → 00:07:57 แต่เขาเห็นผู้ชายแล้วเขาเฉย ๆ อะไรแบบนี้
00:07:58 → 00:08:03 คือหลาย ๆ คนรู้ตัวมาอยู่แล้ว ตั้งแต่เริ่มฟอร์มอัตลักษณ์ทางเพศ
00:08:03 → 00:08:06 เริ่มรู้สึกว่าฉันชอบอะไร ฉันมีรสนิยมทางเพศกับใคร
00:08:06 → 00:08:09 แต่ช่วงเวลานั้นสำคัญมาก ๆ คือ
00:08:09 → 00:08:12 เวลาที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยรุ่นนี่ล่ะครับ
00:08:12 → 00:08:15 วัยรุ่นตอนต้นนี่ค้นหาตัวเองมากเลย
00:08:15 → 00:08:17 เขาเองเขาไม่อยากแปลก
00:08:17 → 00:08:19 เขาเองเขาไม่อยากไม่เหมือนเพื่อน
00:08:19 → 00:08:20 เพราะว่าอะไร
00:08:20 → 00:08:25 เพราะว่าการที่แปลก การที่ไม่เหมือนคนอื่น การที่ไม่เหมือนปกติที่สังคมบอกว่าปกติ
00:08:25 → 00:08:28 เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่า มันหวั่นใจ
00:08:28 → 00:08:30 มันกระตุ้นความกลัว
00:08:30 → 00:08:33 มันกระตุ้นความรู้สึกว่า ฉันไม่อยากผิดเพี้ยนจากคนอื่น
00:08:34 → 00:08:37 ซึ่งเป็นช่วงวัยที่อัตลักษณ์ทางเพศ ก็กำลังแสดงออก
00:08:37 → 00:08:39 ความชอบทางเพศก็แสดงออกเช่นเดียวกัน
00:08:39 → 00:08:41 สำคัญมาก ๆ ณ จุดนั้น
00:08:41 → 00:08:44 ซึ่งเดี๋ยวช่วงท้ายเราจะมาชวนคุยกันว่า แล้วพ่อแม่จะคุยกับเขาอย่างไร
00:08:44 → 00:08:45 แต่กลับมาตรงนี้ก่อนว่า
00:08:45 → 00:08:47 พอเวลาที่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นกับเขา
00:08:48 → 00:08:49 แล้วเขารู้สึกแบบนี้
00:08:49 → 00:08:55 มันกระตุ้นความรู้สึกในใจของเด็กหรือวัยรุ่น คน ๆ นั้นเป็นอย่างมากเลยนะครับว่า
00:08:55 → 00:08:59 แล้วเขาจะดำเนินชีวิตอย่างไร เขาจะทำอย่างไรกับมันต่อไป
00:08:59 → 00:09:04 แต่ในบางราย เขาเองเขาอาจจะรู้อยู่แล้ว ตั้งแต่เด็กว่าเขาเป็นอะไรยังไง
00:09:04 → 00:09:07 แต่เขาต้องบอกว่าเขาไม่รู้
00:09:07 → 00:09:11 หรือใจในส่วนของจิตสำนึก ในส่วนของจิตที่มันรู้ตัว
00:09:12 → 00:09:14 บางทีมันต้องพยายามจะข่มตัวเองเอาไว้
00:09:14 → 00:09:15 ข่มไว้เพื่ออะไร
00:09:15 → 00:09:19 เพื่อให้พ่อแม่หรือคนที่รัก เขาโอเคกับตัวเขา
00:09:19 → 00:09:20 หรือว่ายอมรับในตัวเขา
00:09:20 → 00:09:22 ดังนั้นจะชวนคุยกันต่อว่า
00:09:22 → 00:09:27 แล้วถ้าพ่อแม่เองที่ฟังอยู่
00:09:27 → 00:09:30 บางท่านอาจจะสงสัยว่า
00:09:30 → 00:09:33 ลูกเราจะเป็น LGBTQ ไหม
00:09:33 → 00:09:38 หรือว่าต้องคุยกับลูกอย่างไร เวลาที่จะคุยเรื่องนี้
00:09:38 → 00:09:40 ผมคิดว่าอย่างแรกเลยคือ
00:09:40 → 00:09:45 พ่อแม่ต้องทำตัวให้เป็นคนที่น่าไว้วางใจ
00:09:45 → 00:09:49 อันนี้นะครับ ไม่ใช่เฉพาะเรื่อง LGBTQ นะ
00:09:50 → 00:09:52 เรื่องพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ ใด ๆ ก็ตาม
00:09:52 → 00:09:55 ที่ลูกเขาไม่แน่ใจว่า พ่อแม่จะยอมรับในตัวเขาไหม
00:09:55 → 00:09:56 เช่นอะไรบ้าง
00:09:56 → 00:09:58 เขาเคยไปลองใช้สารเสพติด
00:09:59 → 00:10:03 เขาไปโดดเรียน เขาเคยไปซิ่งมอเตอร์ไซค์กลางคืน
00:10:03 → 00:10:06 เขาเคยมีพฤติกรรม ที่เขาคิดว่าพ่อแม่ไม่ชอบแน่ ๆ
00:10:07 → 00:10:09 สิ่งเหล่านี้เหมือนกันเลยครับ เวลาที่เขาเข้ามาคุย
00:10:09 → 00:10:15 ถ้าเขาไม่แน่ใจว่าพ่อไว้ใจได้มากแค่ไหน แม่วางใจได้มากแค่ไหน
00:10:16 → 00:10:17 ลูกจะไม่กล้าคุย
00:10:18 → 00:10:20 ถ้าวันนี้ คุณพ่อคุณแม่ที่ฟังอยู่ตรงนี้
00:10:21 → 00:10:22 อยากชวนให้กลับไปสำรวจตัวเองครับว่า
00:10:23 → 00:10:28 เราทำตัวให้เป็นคนที่น่าไว้วางใจ กับลูกได้มากแค่ไหน
00:10:29 → 00:10:33 ถ้าเรารู้สึกว่า เออ...ฉันก็เป็นพ่อแม่ที่โอเคนะ
00:10:33 → 00:10:36 ฉันก็เป็นคนที่คุยกับลูกได้ทุกเรื่องนะ
00:10:36 → 00:10:39 ฉันก็เป็นคนที่ไม่ตำหนิ
00:10:39 → 00:10:42 ไม่ชักสีหน้าเวลาลูกพูดอะไรที่ไม่ถูกใจนะ
00:10:43 → 00:10:47 หมอคิดว่า แสดงว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นคนที่พร้อม ที่จะคุยเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้กับลูก
00:10:47 → 00:10:51 ไม่ว่าจะเป็น LGBTQ หรือเรื่องพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ ของวัยรุ่น
00:10:52 → 00:10:58 แต่ทีนี้มันจะมีว่าเวลาที่ บางทีเราไม่พร้อมที่จะคุย
00:10:58 → 00:11:01 แต่ลูกเดินมาบอก
00:11:01 → 00:11:04 หรือว่าภาษาเราจะบอกว่า ลูก come out ออกมาบอกว่า
00:11:04 → 00:11:06 ฉันเป็นใคร ฉันเป็นอะไร
00:11:07 → 00:11:10 อย่างแรกเลยนะ เวลาที่พ่อแม่ที่ไม่พร้อม
00:11:10 → 00:11:11 แล้วต้องฟังลูกมาบอก
00:11:11 → 00:11:13 ซึ่งวันที่เดินมาบอก
00:11:14 → 00:11:18 โอ้โฮ บางทีมันเป็นวันที่ยากมาก ๆ สำหรับพ่อแม่เลยนะครับ
00:11:18 → 00:11:19 แนะนำแบบนี้ครับว่า
00:11:19 → 00:11:21 ถ้าลูกเขากล้าเดินมาบอก
00:11:21 → 00:11:23 แสดงว่าคุณพ่อคุณแม่เป็นคนที่น่าไว้วางใจไง
00:11:24 → 00:11:27 แสดงว่าเป็นคนที่เขารู้สึกว่า เขาพูดอะไรก็ได้ไง
00:11:27 → 00:11:29 เป็นคนที่เขาคุยแล้ว เขารู้สึกเขาปลอดภัย
00:11:30 → 00:11:33 แต่ถ้าตกใจ
00:11:33 → 00:11:35 ก็มีสิทธิ์บอกลูกเหมือนกันนะครับ สำหรับคุณพ่อคุณแม่ว่า
00:11:36 → 00:11:39 เออ แป๊บนึง พ่อยังไม่พร้อม
00:11:39 → 00:11:41 เดี๋ยวมาคุยนะ ขอเวลาแป๊บนึง
00:11:42 → 00:11:44 แล้วคุณพ่อคุณแม่ก็ไปสงบอารมณ์ตัวเอง
00:11:44 → 00:11:47 หมอเชื่อว่าถ้ากลับมาแล้วมาคุยกับเขาต่อ เขาจะยอมคุยต่อ
00:11:47 → 00:11:49 เพราะเด็ก ๆ ที่ come out หรือเขากล้าเข้ามาคุยนี่
00:11:49 → 00:11:53 แสดงว่าเขาตัดสินใจแล้วที่เขาจะ ปลดล็อกตรงนี้ของตัวเอง
00:11:54 → 00:11:55 พอกลับมาคุย
00:11:55 → 00:11:58 แล้วฟังเลยว่าเขาอยากจะบอก เขาอยากจะสื่อสารอะไร
00:11:58 → 00:12:00 ตั้งใจเข้าไปฟังเลยนะ
00:12:00 → 00:12:02 ไม่ใช่ตั้งใจเพื่อที่จะเข้าไปเปลี่ยนเขา
00:12:02 → 00:12:05 หรือไม่ได้ตั้งใจเพื่อที่จะเข้าไปตำหนิเขา
00:12:05 → 00:12:08 ถ้าเกิดคิดว่าเข้าไปเพื่อจะไปตำหนิ หรือจะเข้าไปเปลี่ยนเขา
00:12:09 → 00:12:10 แสดงว่าคุณพ่อคุณแม่ยังไม่พร้อมที่จะฟัง
00:12:11 → 00:12:13 เพราะถ้าคุณแม่เข้าไปด้วยท่าทีที่จะตำหนิ
00:12:13 → 00:12:15 หรือจะไปเปลี่ยนเขานี่
00:12:15 → 00:12:17 หมอเชื่อว่าลูกจะไม่คุยต่อ
00:12:18 → 00:12:21 แล้วอาจจะไม่มี come out ครั้งที่ 2
00:12:21 → 00:12:25 อาจจะไม่มีโอกาสที่สองของพ่อแม่ ที่จะฟังเรื่องนี้จากลูกอีกต่อไปนะ
00:12:25 → 00:12:29 แล้วกลับกลายเป็นว่าเขาจะยิ่งห่างจาก คุณพ่อคุณแม่ไปเรื่อย ๆ นะครับ
00:12:29 → 00:12:32 จุดนี้สำคัญและต้องระวังเป็นอย่างยิ่งนะ
00:12:32 → 00:12:34 ถ้าพร้อมค่อยกลับไปคุยกับลูก
00:12:35 → 00:12:36 และเมื่อพร้อมแล้ว ลองถามเขาว่า
00:12:36 → 00:12:38 เขาอยากจะบอกอะไรกับเรา
00:12:38 → 00:12:40 ซึ่งหมอเชื่อว่าในหลาย ๆ บ้านนี่
00:12:41 → 00:12:43 คนเป็นพ่อเป็นแม่พอรู้อยู่แล้วแหละ
00:12:43 → 00:12:45 ว่าลูกตัวเองเป็นแบบไหน
00:12:45 → 00:12:48 ลูกตัวเองเป็นยังไง
00:12:48 → 00:12:50 แล้วลูกชอบหรือไม่ชอบอะไร
00:12:50 → 00:12:53 เมื่อไหร่ลูกพูด เราฟัง ฟัง ๆ
00:12:53 → 00:12:55 มันอาจจะมีบางอย่างที่เราฟังแล้วเราตกใจ
00:12:55 → 00:12:57 บางอย่างที่เราฟังแล้วเราไม่ชอบ
00:12:57 → 00:13:00 แต่ระมัดระวังสีหน้าของผู้ใหญ่ไว้นิดนึง
00:13:00 → 00:13:03 ว่าอย่าเพิ่งชักสีหน้า อย่าเพิ่งแสดงอาการอะไรที่มากมาย
00:13:03 → 00:13:04 จนกระทั่งลูกไม่กล้าที่จะพูดต่อ
00:13:05 → 00:13:08 พอฟังจนจบ แล้วเรารู้สึกว่าอันไหนที่เราไม่เห็นด้วย
00:13:09 → 00:13:11 เราสามารถแลกเปลี่ยนกับเขาได้นะครับว่า
00:13:11 → 00:13:15 มันมีจุดบางจุดที่แม่ฟังแล้วแม่ไม่สบายใจ
00:13:15 → 00:13:18 ถ้ามันเป็นแบบนั้นแบบนี้มันจะดีกว่าไหม
00:13:18 → 00:13:20 ลองแลกเปลี่ยนกับเขาครับ
00:13:20 → 00:13:23 อันนี้คือทักษะพื้นฐาน เวลาที่คุยกับวัยรุ่นเลยนะครับ
00:13:23 → 00:13:27 แล้วในขณะเดียวกัน เราอาจจะปิดท้ายโดยการที่บอกเขาว่า
00:13:28 → 00:13:31 แต่ถ้ามีอะไร อนาคตถ้าลูกต้องการความช่วยเหลืออะไร
00:13:31 → 00:13:33 ให้มาบอกได้เสมอนะ
00:13:33 → 00:13:37 แล้ววันนี้เราก็ขอบคุณเขาด้วย ที่เขามาพูดความจริงกับเรา
00:13:37 → 00:13:39 ที่เขาไว้วางใจเรา
00:13:39 → 00:13:42 โอ้โฮ คุณพ่อคุณแม่เชื่อหมอสิครับว่า ถ้าคุณพ่อคุณแม่ปิดท้ายด้วยแบบนี้
00:13:43 → 00:13:45 ไม่มีทางที่ลูกจะห่างหายไปจากเรา
00:13:45 → 00:13:48 ไม่มีทางที่เขาเผชิญปัญหา แล้วเขาจะไม่มาบอกกับเรานะครับ
00:13:48 → 00:13:50 วิธีการพูดคุยของเราสำคัญกับเขามาก
00:13:50 → 00:13:54 ทั้งภาษาที่ใช้และท่าทางที่เราออกไปนะครับ
00:13:54 → 00:13:59 ทีนี้อันนี้มันเกิดขึ้นในบ้านที่เราคิดว่า เราพอจะพูดคุยกันได้
00:14:00 → 00:14:05 แต่ก็มีบางบ้านเหมือนกันนะ ที่ลูกอยากบอกแต่ไม่กล้าบอก
00:14:05 → 00:14:06 เพราะอะไรเขาถึงไม่กล้าบอก
00:14:06 → 00:14:11 เพราะเขารู้สึกว่าบอกไป พ่อแม่สงสัยไม่ฟังแน่ ๆ เลย
00:14:12 → 00:14:13 ซึ่งกรณีแบบนี้
00:14:13 → 00:14:17 อาจจะเกิดขึ้นในบ้าน ที่ความเชื่อบางอย่างเข้มแข็งมาก ๆ
00:14:17 → 00:14:19 เช่น ลูกชายต้องเข้มแข็ง
00:14:19 → 00:14:23 หรือบางบ้านที่หน้าตาของพ่อแม่สำคัญมาก ๆ
00:14:23 → 00:14:26 เช่น เป็นนักธุรกิจใหญ่โต
00:14:26 → 00:14:29 เป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่อะไรก็ว่าไปครับ
00:14:30 → 00:14:34 เวลาที่เกิดเหตุการณ์แบบนั้นก็จะรู้สึกว่า
00:14:34 → 00:14:36 ไม่กล้าบอก ไม่กล้าคุย
00:14:36 → 00:14:37 อยากชวนคิดแบบนี้ครับ
00:14:37 → 00:14:39 เวลาที่มันเกิดเหตุการณ์แบบนี้
00:14:39 → 00:14:42 สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่รู้สึกว่า
00:14:42 → 00:14:43 รับไม่ได้หรือไม่โอเค
00:14:43 → 00:14:46 ลองกลับมาทบทวน และคุยกันในสามีภรรยาสักนิดนึงว่า
00:14:47 → 00:14:50 เรื่องนี้เรามองกันอย่างไร เรื่องนี้เราคิดกันอย่างไร
00:14:50 → 00:14:53 ตกลงเรากำลังโฟกัสที่อะไร
00:14:53 → 00:14:55 ที่ความสุขของลูก
00:14:55 → 00:14:58 หรือเรากำลังกลัวอะไรบางอย่างอยู่หรือเปล่า
00:15:00 → 00:15:03 เพราะถ้าคุณพ่อคุณแม่ ไม่สร้างพื้นที่ปลอดภัยให้ลูก
00:15:03 → 00:15:06 คุณพ่อคุณแม่ จะไม่ใช่คนที่น่าไว้วางใจสำหรับลูก
00:15:07 → 00:15:13 ลูกที่เป็น LGBTQ ที่เขาพร้อมจะพูดคุยกับ คุณพ่อคุณแม่ เขาจะไม่กล้ามาคุย
00:15:13 → 00:15:15 ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญนะ
00:15:15 → 00:15:18 แล้ววันหลัง เขาจะไม่มาคุยอะไรกับเราอีกเลยนะครับ
00:15:18 → 00:15:21 แล้วเมื่อลูกเป็น LGBTQ แล้วนี่
00:15:21 → 00:15:24 วิธีการเลี้ยงลูกดูแลต่างจากคนอื่นไหม
00:15:24 → 00:15:25 จริง ๆ ต้องบอกอย่างนี้ครับว่า
00:15:25 → 00:15:29 วิธีการดูแลของพ่อแม่กับลูกที่เป็น LGBTQ
00:15:29 → 00:15:32 ไม่ต่างจาก เด็กที่เป็นผู้ชาย เด็กที่เป็นผู้หญิง
00:15:32 → 00:15:35 ที่มีความชอบทางเพศ ตรงกับเพศกำเนิดของเขาเลยนะ
00:15:36 → 00:15:37 ทุกอย่างเหมือนกันเลย
00:15:37 → 00:15:43 แต่หมอจะเน้นย้ำในเรื่องของ จุดที่บางทีอาจจะเผลอลืมกันไป
00:15:43 → 00:15:46 เช่น เรื่องของการสื่อสาร ที่เป็นการเปรียบเทียบ
00:15:46 → 00:15:51 บางทีพ่อแม่ที่ไม่ได้มองว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในครอบครัว
00:15:51 → 00:15:53 หรือไม่ชอบ ไม่โอเคกับ เรื่องที่เกิดขึ้นในครอบครัว
00:15:54 → 00:15:56 บางทีจะเผลอไปเปรียบเทียบลูกเรา
00:15:56 → 00:16:00 ซึ่งมีเพศสภาพหรือเพศกำเนิด ไม่ตรงกันอะไรแบบนี้
00:16:00 → 00:16:02 หรือความชอบทางเพศไม่ตรงกัน
00:16:02 → 00:16:07 แล้วดันเผลอไปเปรียบเทียบกับ คนที่เป็นผู้ชายธรรมดาหรือเป็นผู้หญิงธรรมดา
00:16:07 → 00:16:11 แล้วไปบอกว่า อย่างบ้านมันบ้านนี้ ลูกของญาติคนนั้นลูกคนนี้
00:16:11 → 00:16:14 เห็นไหมเขาเป็นผู้ชาย เขาเลยเก่งกว่าแก สมมุตินะ
00:16:14 → 00:16:17 หรือเขาเป็นผู้หญิง เขาเลยเชี่ยวชาญเรื่องนี้กว่าอะไรอย่างนี้
00:16:17 → 00:16:21 มันกลับกลายเป็นว่า ไปโยงเรื่องเพศกับความถนัด
00:16:22 → 00:16:25 ซึ่งไม่ใช่นะ คนละเรื่องกันนะ
00:16:26 → 00:16:27 การมีเพศอะไรก็เป็นเรื่องนึง
00:16:27 → 00:16:30 ความถนัด ความเก่ง ความเชี่ยวชาญ ก็คนละเรื่องนะ
00:16:30 → 00:16:32 แต่บางทีเผลอเปรียบเทียบ
00:16:32 → 00:16:34 เพราะบางทีมันกลับกลายเป็นว่า เราไม่ชอบสิ่งที่ลูกเราเป็น
00:16:34 → 00:16:36 แล้วเราก็เลยไปเผลอเปรียบเทียบ
00:16:36 → 00:16:40 แล้วเวลาที่เด็ก ๆ หรือวัยรุ่น ที่เขามีเพศสภาพแบบนี้
00:16:41 → 00:16:46 เขาจะรู้สึกว่า โอ้โฮ การเป็น LGBTQ มันแย่ขนาดนั้นเลยหรอ
00:16:46 → 00:16:50 มันถึงขั้นถ้าเทียบเท่ากับโจรผู้ร้าย ที่ไปฆ่าคนตายเลยหรือเปล่า
00:16:51 → 00:16:53 พ่อแม่เลยสื่อสารแบบนี้โดยตลอด
00:16:53 → 00:16:55 หรือบางทีในบางบ้านนะครับ
00:16:55 → 00:16:57 พ่อกับแม่บางทีอาจจะความเห็นไม่ตรงกัน
00:16:58 → 00:16:59 เช่น หมอยกตัวอย่างนะครับ
00:16:59 → 00:17:02 ลูกอาจจะเป็น Transgender หรือเป็นเกย์ อะไรอย่างนี้นะ
00:17:02 → 00:17:05 แล้วก็ พ่อก็รับไม่ได้เลย
00:17:05 → 00:17:08 เพราะว่าพ่อเองไม่ยอมเลย เพราะอันนี้เป็นลูกชายคนโต
00:17:09 → 00:17:11 แล้วก็อาจจะตำหนิบ่อย ๆ
00:17:11 → 00:17:13 แต่แม่ก็จะเห็นใจมากกว่า
00:17:14 → 00:17:17 ซึ่งบางทีกลับกลายเป็นว่า พ่อกับแม่ก็ไปทะเลาะกันเพราะเรื่องนี้
00:17:17 → 00:17:19 แล้วก็ไปทะเลาะกันต่อหน้าลูก
00:17:19 → 00:17:22 ซึ่งบางทีลูกก็จะรู้สึกว่า เขาไม่อยากเป็นตัวปัญหา
00:17:22 → 00:17:28 แล้วเขาก็อยากจะทำท่าเป็นเหมือนผู้ชายปกติ เวลาที่อยู่ต่อหน้าคุณพ่อ
00:17:28 → 00:17:30 แต่จริง ๆ แล้วมันขัด แล้วมันฝืนในใจเขามาก ๆ เลย
00:17:30 → 00:17:34 ก็จะสร้างความกดดัน สร้างอารมณ์ที่ไม่โอเค
00:17:34 → 00:17:37 แล้วจะทำให้การเลี้ยงลูกนั้น มันไม่ Productive
00:17:38 → 00:17:41 มันทำให้เด็กไม่สามารถเติบโต เป็นเด็กที่มีความสุขได้ครับ
00:17:41 → 00:17:45 ดังนั้น จริง ๆ แล้ว การสื่อสารมันมีผลตลอด การเลี้ยงดูเขามีผลตลอด
00:17:45 → 00:17:46 หมออยากกลับมาที่ว่า
00:17:46 → 00:17:50 ให้พ่อแม่ทราบนะครับว่า พ่อแม่เป็นคนสำคัญของลูกเสมอ
00:17:50 → 00:17:53 ไม่ว่าลูกจะเติบโตไปถึงเมื่อไหร่ก็ตาม
00:17:53 → 00:17:58 คุณพ่อคุณแม่เป็นฐานที่มั่นทางใจของลูกเสมอ เป็นคนสำคัญของลูกเสมอ
00:17:58 → 00:18:02 การกระทำของเรา คำพูดของเรา แม้เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ
00:18:03 → 00:18:05 ส่งผลต่อลูกเสมอ
00:18:05 → 00:18:08 เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าถ้าพูดไปแล้ว
00:18:08 → 00:18:10 ลูกอาจจะเสียใจ
00:18:10 → 00:18:14 เมื่อพูดไปแล้วมันจะไปกระทบ ความภูมิใจในตัวเองของลูก
00:18:15 → 00:18:16 อย่าทำเลยครับ
00:18:17 → 00:18:20 ลองกลับมาที่ว่า เราควรจะสื่อสารอย่างไรเชิงบวก
00:18:20 → 00:18:24 ในเมื่อถ้าลูกก็เป็น LGBTQ แล้วไงต่อ
00:18:24 → 00:18:25 เราไม่รักเขาหรือ
00:18:25 → 00:18:28 ที่บอกไปตอนต้นไง เรารักเขาไง แต่เรายังไม่เห็นหน้าเขาแล้ว
00:18:28 → 00:18:31 แล้วทำไมพอเขามีเพศที่ไม่ตรงกับใจที่เราชอบ
00:18:31 → 00:18:32 แล้วเราถึงไม่รักเขาล่ะ
00:18:33 → 00:18:34 ตกลงแล้วความผิดอยู่ที่ใครกันแน่
00:18:34 → 00:18:35 ชวนคิดแบบนี้นะครับ
00:18:35 → 00:18:41 [เสียงดนตรี]
00:18:41 → 00:18:45 ทีนี้นะครับในเด็กหรือวัยรุ่นที่เป็น LGBTQ
00:18:45 → 00:18:47 บางทีก็จะถูกล้อเลียน
00:18:47 → 00:18:51 เวลาที่ไปโรงเรียนหรือไปอยู่ในสังคม ของเด็กและวัยรุ่นด้วยกัน
00:18:51 → 00:18:52 ก็ถูกล้อเลียน
00:18:52 → 00:18:53 ดังนั้นวันนี้เราจะมาชวนกันฟังว่า
00:18:54 → 00:18:59 เรามีวิธีการอย่างไรเวลาที่พ่อแม่จะช่วยลูก ที่ถูกล้อเลียนนะครับ
00:18:59 → 00:19:00 ลูกที่เป็น LGBTQ
00:19:00 → 00:19:02 อย่างแรกเลยนะครับ สำคัญที่สุดเลยนะครับ
00:19:02 → 00:19:07 พ่อแม่ผู้ปกครองเข้าใจและยอมรับในตัวลูกก่อน
00:19:08 → 00:19:11 ตรงนี้สำคัญนะ เน้นย้ำทุก ๆ จุดในพอดแคสต์นี้เลยว่า
00:19:12 → 00:19:15 พ่อแม่ผู้ปกครองเข้าใจและยอมรับ ในสิ่งที่ลูกเป็นก่อน
00:19:15 → 00:19:19 การเป็น LGBTQ ไม่ได้ผิดอะไร
00:19:19 → 00:19:22 จริง ๆ ถ้าเกิดบอกว่า ชายหญิงคือความปกติ
00:19:22 → 00:19:24 เขาก็อยากปกติเหมือนคนอื่นนี่แหละ
00:19:24 → 00:19:28 แต่ใน EP นี้เราไม่ได้บอกว่า มีแค่ชายกับหญิง
00:19:28 → 00:19:31 หมอยังเชื่อว่า จริง ๆ มันอาจจะมีอีกหลายเพศที่เราไม่รู้จัก
00:19:31 → 00:19:32 แต่ว่าจริง ๆ แล้ว ถ้าเขาเป็นอย่างนั้นต่อ
00:19:32 → 00:19:34 ก็คือเราเข้าใจ แล้วก็ยอมรับไง
00:19:34 → 00:19:36 ว่าเรารักในตัวเขาเหมือนเดิม
00:19:36 → 00:19:37 เขายังเป็นลูกของเราคนเดิม
00:19:37 → 00:19:40 ยังเป็นคนดีที่อยู่ในสังคมนี้ได้เหมือนเดิม
00:19:40 → 00:19:42 เราสามารถเลี้ยงดูเขาให้ปกติได้เหมือนเดิม
00:19:42 → 00:19:44 เข้าใจและยอมรับก่อนเป็นอย่างแรก
00:19:44 → 00:19:45 อย่างที่ 2 นะครับ
00:19:45 → 00:19:49 เราเพิ่มความเข้าใจให้กับลูก
00:19:49 → 00:19:52 ว่าพ่อแม่รักเขา
00:19:52 → 00:19:55 พ่อแม่ยอมรับในตัวเขา ไม่ว่าเขาจะเป็นอะไรก็ตาม
00:19:55 → 00:19:57 ไม่ว่าลูกเผชิญอะไรก็ตาม
00:19:57 → 00:19:59 พ่อแม่พร้อมจะเป็นฐานที่มั่นทางใจ
00:19:59 → 00:20:04 และพร้อมที่จะส่งเสริม ช่วยเหลือ ป้องกัน ผลักดันให้ลูกเสมอ
00:20:04 → 00:20:05 โอ้โฮ คุณพ่อคุณแม่ครับ
00:20:05 → 00:20:08 ถ้าลูกที่ได้ยินแบบนี้ เขาคงภูมิใจ
00:20:08 → 00:20:10 แล้วเขาคงดีใจที่ได้เกิดมาเป็นลูก ของคุณพ่อคุณแม่นะครับ
00:20:10 → 00:20:14 ไม่ว่าเขาเผชิญกับปัญหาอะไร เขาก็อยากที่จะกลับเข้ามาหาเรานะ
00:20:14 → 00:20:16 อย่างที่ 3 ของการจัดการปัญหาคือ
00:20:17 → 00:20:21 พ่อแม่สอนลูก ให้ไม่แสดงอารมณ์โกรธหรือหงุดหงิด
00:20:22 → 00:20:23 เวลาที่ถูกล้อ
00:20:23 → 00:20:26 ถ้าคนล้อ ล้อปุ๊บ ลูกโกรธ
00:20:27 → 00:20:27 คนล้อเป็นไงครับ
00:20:28 → 00:20:28 สนุกสิ
00:20:29 → 00:20:30 โอ้โฮ เสียใจ
00:20:30 → 00:20:31 คนล้อเป็นไง
00:20:31 → 00:20:32 ก็สนุกเหมือนกันนะ
00:20:33 → 00:20:38 เขาบอกว่าเวลาที่คนที่ถูกล้อ แสดงอารมณ์อะไรออกมาก็ตาม
00:20:38 → 00:20:43 มันจะกลายเป็นว่าไปเสริมแรง ของการกระทำพฤติกรรมนั้นซ้ำ
00:20:43 → 00:20:46 เสริมพฤติกรรมเชิงลบคือ การล้อนั้นซ้ำเรื่อย ๆ
00:20:46 → 00:20:48 ผู้กระทำก็จะกระทำซ้ำ
00:20:48 → 00:20:50 อันนี้เป็นรูปแบบหนึ่งของการ bully นะครับ
00:20:50 → 00:20:51 กระทำซ้ำ ๆ
00:20:51 → 00:20:56 ดังนั้นต้องตัดวงจรด้วยการที่ ลูกที่ถูกล้อทำท่าเฉย ๆ
00:20:56 → 00:21:00 แต่ไม่ต้องถึงขั้นทำท่าแบบเยาะเย้ย
00:21:00 → 00:21:02 ทำท่าถึงขั้นแบบ… ขออนุญาตนะ เช่นแบบ...
00:21:03 → 00:21:05 ดูไม่น่ารักหรือดูน่าหมั่นไส้
00:21:05 → 00:21:07 แบบนั้นก็จะถูกล้ออีกเหมือนกันนะ
00:21:07 → 00:21:11 เพราะว่ามันจะกลายเป็นว่า ได้รับความสนใจเชิงลบออกไปอีกนะครับ
00:21:11 → 00:21:18 ข้อถัดมาคือ พ่อแม่สอนลูกที่จะมีทักษะ ในการบอกความต้องการที่แท้จริง
00:21:18 → 00:21:20 หรือเราเรียกว่า Assertive skills
00:21:20 → 00:21:21 Assertive skills หมายความว่า
00:21:21 → 00:21:24 ลูกกล้าที่จะบอกว่าลูกไม่ชอบ
00:21:24 → 00:21:28 ว่าผมไม่ชอบ หนูไม่ชอบที่เพื่อนมาทำแบบนี้
00:21:28 → 00:21:30 โดยที่สื่อสารกับคนที่กระทำกับเขา
00:21:30 → 00:21:33 ซึ่งบางทีเวลาสอน พูดน่ะพูดง่าย
00:21:33 → 00:21:35 บางทีพ่อแม่อาจจะต้องซ้อมตั้งแต่อยู่ที่บ้าน
00:21:35 → 00:21:38 ว่าถ้าหนูโดนกระทำ หนูจะตอบโต้อย่างไร
00:21:38 → 00:21:41 Assertive อย่างไรนะ ไม่ใช่ตอบโต้ ตอบโต้มันดู Negative ไปหน่อย
00:21:41 → 00:21:44 ลูกจะ Assertive อย่างไรกับผู้กระทำ
00:21:44 → 00:21:46 จะมีวิธีการสื่อสารอย่างไร ทั้งวิธีการเพิกเฉย
00:21:46 → 00:21:49 และวิธีการบอกว่าเราไม่ชอบ ไม่อยากให้ทำอีกนะครับ
00:21:49 → 00:21:53 ในข้อที่ 4 คือ บางทีเพิกเฉยก็แล้ว Assertive ก็แล้ว
00:21:54 → 00:21:55 หยุดไม่อยู่
00:21:55 → 00:21:58 บางทีลูกอาจจะต้องไปบอกคุณครู
00:21:58 → 00:22:00 ผู้ใหญ่ที่อยู่ในโรงเรียน อยู่ในเหตุการณ์นั้น ๆ ว่า
00:22:00 → 00:22:04 ผมไม่โอเค หนูไม่โอเค โดนคนโน้นคนนี้กำลังกระทำ
00:22:04 → 00:22:05 และข้อสุดท้ายคือ
00:22:05 → 00:22:08 เน้นย้ำว่าถ้าลูกมีอะไร
00:22:08 → 00:22:10 ให้ลูกกลับมาบอกพ่อแม่นะ
00:22:10 → 00:22:12 พ่อแม่เป็นคนสำคัญที่สุด
00:22:12 → 00:22:15 พ่อแม่เป็นคนที่พร้อมที่จะเข้าใจ
00:22:15 → 00:22:17 พร้อมที่จะช่วยเหลือ
00:22:18 → 00:22:21 แต่อย่างไรก็ตามนะครับ เราต้องปกป้องลูกให้ถูก
00:22:21 → 00:22:23 เพราะบางทีก็จะมีคำแนะนำที่บอกว่า
00:22:23 → 00:22:26 พ่อแม่บางทีอาจจะต้องไปสื่อสาร ไปคอยลงไปช่วยแก้ปัญหา
00:22:26 → 00:22:28 แนะนำแบบนี้ครับว่า
00:22:28 → 00:22:30 เราต้องดูตามช่วงวัยของเด็กด้วย
00:22:30 → 00:22:32 เช่น ถ้าเขาเป็นวัยอนุบาลหรือเป็นวัยประถม
00:22:32 → 00:22:36 การที่พ่อแม่ลงไปที่โรงเรียน ไปช่วยเหลือเวลาที่ลูกถูกล้อนี่
00:22:36 → 00:22:37 ยังทำได้อยู่นะครับ
00:22:37 → 00:22:41 หรือว่าไปสื่อสารกับพ่อแม่ ของคู่กรณีที่มาล้อมาแซว
00:22:41 → 00:22:42 ยังทำได้อยู่
00:22:42 → 00:22:44 แต่ถ้าเริ่มเป็นวัยรุ่นแล้วนี่
00:22:44 → 00:22:47 ถ้าพ่อแม่ลงไปจัดการที่โรงเรียนนี่
00:22:47 → 00:22:49 โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดผลลบ
00:22:49 → 00:22:52 เพราะว่าวัยรุ่น มักจะไม่ชอบให้พ่อแม่เข้ามายุ่ง
00:22:52 → 00:22:54 ไม่ชอบให้ผู้ใหญ่เข้ามายุ่ง ไม่ชอบให้ครูเข้ามายุ่ง
00:22:54 → 00:22:55 ถ้าพ่อแม่ลงไป
00:22:55 → 00:22:58 หลาย ๆ รายพบเจอว่า เรื่องยิ่งใหญ่มากขึ้นครับ
00:22:58 → 00:23:01 เด็กคนนั้น วัยรุ่นคนนั้นยิ่งถูกล้อ
00:23:01 → 00:23:03 ยิ่งถูกรังแกมากยิ่งขึ้น
00:23:03 → 00:23:05 ดังนั้น รูปแบบจะต้องเปลี่ยนไป
00:23:05 → 00:23:07 เช่น ติดต่อทางอ้อม สื่อสารกับครู
00:23:07 → 00:23:09 แต่อย่างไรก็ตาม สื่อสารกับลูกเสมอว่า
00:23:09 → 00:23:12 เมื่อไหร่ที่ลูกถูกล้อ ถูกแหย่ ถูกแกล้ง ถูกรังแกด้วยเรื่องเพศสภาพ
00:23:13 → 00:23:15 ให้กลับมาบอก พ่อแม่พร้อมที่จะเป็นเพื่อนคู่คิด
00:23:15 → 00:23:19 พ่อแม่พร้อมที่จะช่วยป้องกัน พ่อแม่พร้อมที่จะให้คำแนะนำ
00:23:19 → 00:23:23 และสำคัญครับ เชื่อมั่นในศักยภาพของลูก ที่คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงดูเขามา
00:23:24 → 00:23:27 เขามีความมั่นใจในตัวเอง ว่าเขามีความกล้า
00:23:27 → 00:23:30 เขามีทักษะที่จะจัดการปัญหานั้น ๆ ได้
00:23:30 → 00:23:34 แต่ถ้าไม่ไหวนะ พ่อแม่ก็ต้องช่วยเหลือ ในแบบที่เหมาะสมกับวัยเขา
00:23:34 → 00:23:36 แต่ถ้าสุดท้ายแล้วไม่ไหวจริง ๆ
00:23:36 → 00:23:40 ลูกเริ่มดูเหมือน ถูกกระทำซ้ำ ๆ จนมีความเครียด
00:23:40 → 00:23:44 จนไม่แน่ใจว่า จะเกิดเหตุการณ์ในจิตใจเขารุนแรงไหม
00:23:44 → 00:23:46 อาจจะต้องพาไปหาคุณหมอใกล้บ้านนะครับ
00:23:46 → 00:23:48 เป็นยังไงกันบ้างครับวันนี้
00:23:48 → 00:23:52 หมอชวนทุกคนได้มาคุย ได้มารู้จักความหลากหลายในโลกใบนี้
00:23:52 → 00:23:53 ที่เราเรียกถึงเรื่องของเพศ
00:23:53 → 00:23:55 พูดถึงเรื่องของ LGBTQ
00:23:56 → 00:23:58 หลาย ๆ อย่างคุณพ่อคุณแม่อาจจะเคยฟังมาแล้ว
00:23:58 → 00:24:01 แต่หลาย ๆ อย่างหมอเชื่อว่า อาจจะเป็นการเปิดโลกใบใหม่ให้คุณพ่อคุณแม่
00:24:01 → 00:24:03 สิ่งสำคัญอย่าลืมนะครับ
00:24:03 → 00:24:05 เริ่มที่ความเข้าใจและการยอมรับ
00:24:05 → 00:24:07 เราอยากเห็นลูกมีความสุข
00:24:07 → 00:24:10 เราอยากเห็นลูกเป็นคนดีในสังคม
00:24:10 → 00:24:14 กลับมาเริ่มจุดเล็ก ๆ จุดที่อยู่ในตัวตนของเขา
00:24:14 → 00:24:16 ยอมรับในสิ่งที่เขาเป็น
00:24:16 → 00:24:19 ให้คุณค่ากับสิ่งที่เขาเป็น
00:24:19 → 00:24:23 แล้วเราจะมองข้ามเรื่องเพศไปได้ในอนาคตครับ
00:24:23 → 00:24:26 พบกับรายการ Re-Mind รู้ทันปัญหาสุขภาพจิต
00:24:27 → 00:24:31 สำรวจอารมณ์ความคิด เข้าใจพฤติกรรมของตนเองและคนใกล้ตัว
00:24:32 → 00:24:34 ทุกวันจันทร์ เวลา 18.00 น.
00:24:34 → 00:24:36 ที่ Mahidol Channel Podcast
00:24:36 → 00:24:38 ผ่านช่องทาง Facebook Mahidol Channel
00:24:39 → 00:24:40 YouTube Mahidol Channel
00:24:41 → 00:24:42 Apple Podcasts
00:24:42 → 00:24:43 Spotify
00:24:43 → 00:24:44 Anchor
00:24:44 → 00:24:45 Blockdit
00:24:47 → 00:24:52 ดำเนินรายการโดย หมอหลิว อาจารย์นายแพทย์สมบูรณ์ หทัยอยู่สุข