00:00:00 → 00:00:00 [เพลง]
00:00:00 → 00:00:02 มางาน Alpha skill Summit แล้วจะเจอ
00:00:02 → 00:00:05 อะไรบ้างเวทีเมน Stage งานจัดขึ้น 3 วัน
00:00:05 → 00:00:08 7-9 มีนาคมวันแรกคุณชมพู่อารยาจะมากับ
00:00:08 → 00:00:11 น้องเกลจะมาพูดเรื่อง executive ฟังก์ชัน
00:00:11 → 00:00:14 การสร้างวินัยให้กับลูกซึ่งสำคัญมากต้อง
00:00:14 → 00:00:16 คนนี้เลยครับอาจารย์ปลาวิมลมาเป็นนัก
00:00:16 → 00:00:20 จิตวิทยาการกีฬาเป็นคนฝึกสอนน้องเทนนิส
00:00:20 → 00:00:23 ให้ได้เหรียญทองโอลิมปิกถึง 2 ครั้งวัน
00:00:23 → 00:00:26 ถัดมาครับ 8 มีนาคมซอฟสกิลที่สำคัญใน
00:00:26 → 00:00:29 ศตวรรษที่ 21 ให้กับลูกครับสื่อสารอย่าง
00:00:29 → 00:00:32 ไรให้เข้าถึงใจลูกของเราหมอโอ๋เลี้ยงลูก
00:00:32 → 00:00:35 นอกบ้านครับเรื่องของการเงินเราจะปลูกฝัง
00:00:35 → 00:00:37 ตั้งแต่เด็กอย่างไรก็จะเป็นพี่หนุ่มนะ
00:00:37 → 00:00:40 ครับิ Coach วันที่ 9 มีนาคมครับจะเป็น
00:00:40 → 00:00:42 วันแห่งการเสริมสร้างทักษะใหม่ๆไม่ว่าจะ
00:00:42 → 00:00:44 เป็นเรื่องของ critical Thinking แน่นอน
00:00:44 → 00:00:47 เป็นใครไปไม่ได้นอกจากเฮียวสิทธิเคินนั่น
00:00:47 → 00:00:49 เองเราจะมี sess เรื่องของพ่อนะครับฟัง
00:00:49 → 00:00:51 เสียงผู้ใหญ่มาเยอะเราลองฟังเสียงเด็กดู
00:00:51 → 00:00:53 บ้างมครับ Alpha Voice ที่ซุปจะเปิด
00:00:53 → 00:00:56 โอกาสให้เด็กๆนั้นมาเล่าให้ฟังมาเรียนรู้
00:00:56 → 00:00:59 สนุกไปด้วยกันและทำให้เราสามารถเติบโตได้
00:00:59 → 00:01:01 ในโลกที่มันอยู่ยากมากขึ้นอย่างมีความสุข
00:01:01 → 00:01:04 ครับแล้วมาเจอกันนะครับ 7-9 มีนาคมนี้ที่
00:01:04 → 00:01:07 ไอคอนสยาม True ไอคอน Hall ซื้อบัตรได้
00:01:07 → 00:01:09 แล้ววันนี้ที่ SI Event ครับความดัน
00:01:09 → 00:01:11 เลือดสูงเนี่ยนะครับมันเป็นภัยเงียบที่
00:01:11 → 00:01:14 ฆ่าเราเลยนะครับเพราะว่ามันเป็นต้นเหตุ
00:01:14 → 00:01:17 สำคัญของโรคร้ายต่างๆที่ตามมาที่เกี่ยว
00:01:17 → 00:01:19 ข้องกับระบบไลเวนโลหิตไม่ว่าจะเป็นโรคหัว
00:01:19 → 00:01:22 ใจขาดเลือดรวมไปถึงสกก็คือโรคสมองขาด
00:01:22 → 00:01:24 เลือดนะครับก็คือเซลล์สมองหรือว่าเซล์หัว
00:01:24 → 00:01:27 ใจเนี่ยมันได้รับเลือดหคือรับออกซิไม่
00:01:27 → 00:01:30 เพียงพอแล้วมันก็ตายไปจริงๆสกเนี่ยนะครับ
00:01:30 → 00:01:32 เป็นโรค ncd หรือว่า non communicable
00:01:32 → 00:01:36 disease โรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่คนไทย
00:01:36 → 00:01:38 เป็นอันดับ 1 เลยนะครับเพราะฉะนั้นถ้า
00:01:38 → 00:01:41 เกิดเราไม่รู้ตัวมาก่อนว่าเรามีความดัน
00:01:41 → 00:01:44 สูงเนี่ยแฝงอยู่แล้วก็ประมาทแล้วก็ไม่ได้
00:01:44 → 00:01:47 ดูแลตัวเองเนี่ยเราก็อาจจะเป็นสกได้ในที่
00:01:47 → 00:01:50 สุดนะครับทีนี้ถามว่ามันมีสาเหตุอะไรอ่ะ
00:01:50 → 00:01:53 ที่ทำให้คนจำนวนเพิ่มมากขึ้นที่เป็นความ
00:01:53 → 00:01:56 ดันสูงครับหนึ่งในต้นเหตุสำคัญคือเกลือ
00:01:56 → 00:01:58 หลายคนน่าจะรู้อยู่แล้วเนาะการกินเกลือ
00:01:59 → 00:02:01 ที่มากเกินไปเนี่ยมันทำให้ความดันเลือด
00:02:01 → 00:02:03 สูงเพราะฉะนั้นเนี่ยมันก็เลยมีหน่วยงาน
00:02:03 → 00:02:05 ด้านสุขภาพเนี่ยออกมาเตือนออกมาทำ
00:02:05 → 00:02:08 ไกด์ไลน์เยอะแยะเลยนะครับว่าเราควรจะกิน
00:02:08 → 00:02:11 เกลือโดยเฉพาะโซเดียมให้น้อยลงเพื่อที่จะ
00:02:11 → 00:02:14 ลดความดันเลือดนะครับแต่ต่อให้พูดกันเยอะ
00:02:14 → 00:02:16 แยะหรือว่ามีความพยายามที่จะลดการกิน
00:02:16 → 00:02:18 เกลือนะครับมันก็ไม่ประสบความสำเร็จเพราะ
00:02:18 → 00:02:21 ว่ายังมีคนจำนวนมากเลยอ่ะที่มีความดัน
00:02:21 → 00:02:24 เลือดสูงถามว่าเพราะอะไรเพราะว่าไสลครับ
00:02:24 → 00:02:26 อย่างคนไทยนี่นะเป็นอุปสรรคมากเลยอาหาร
00:02:26 → 00:02:29 ไทยเนี่ยเป็นอาหารที่รสแซ่บเพราะงั้นจะมี
00:02:29 → 00:02:31 เกลือเป็นองค์ประกอบอยู่เยอะมากนะครับ
00:02:31 → 00:02:34 แล้วเกลือเองเนี่ยมันก็ยังซ่อนอยู่ในพวก
00:02:34 → 00:02:37 เครื่องปรุงรสต่างๆซีอิ๊วน้ำมันหอยอย่าง
00:02:37 → 00:02:38 เงี้ยที่เราต้องใช้ในการปรุงอาหารอยู่
00:02:38 → 00:02:40 แล้วนะครับรวมถึงซอสที่ใช้เหยาะใช้จิ้ม
00:02:40 → 00:02:43 ด้วยนะครับเพราะฉะนั้นแคมเปญที่บอกให้คน
00:02:43 → 00:02:45 กินเค็มน้อยลงลดโซเดียมเพื่อที่จะป้องกัน
00:02:45 → 00:02:47 ไม่ให้เป็นความดันสูงเนี่ยมันไม่ค่อย
00:02:47 → 00:02:49 เวิร์คแล้วมันทำได้ค่อนข้างยากในชีวิต
00:02:49 → 00:02:52 ประจำวันนักวิทยาศาสตร์เนี่ยเขาคก็เลย
00:02:52 → 00:02:55 พยายามจะหาวิธีแฮกร่างกายด้วยวิธีอื่นๆนะ
00:02:55 → 00:02:57 ครับที่ไม่เกี่ยวข้องกับโซเดียมแล้วเาก็
00:02:57 → 00:03:00 เจอว่าการกินโพแทสเซียมที่เพิ่มสูงขึ้นนะ
00:03:00 → 00:03:03 ครับมันสามารถที่จะช่วยให้ร่างกายเนี่ย
00:03:03 → 00:03:06 กำจัดโซเดียมได้ดีและช่วยลดความดันเลือด
00:03:06 → 00:03:10 ให้ต่ำลงได้มีประสิทธิภาพมากกว่าการลดการ
00:03:10 → 00:03:12 กินโซเดียมซะอีกนะครับเพราะฉะนั้นเดี๋ยว
00:03:12 → 00:03:15 วันนี้ท to จะมาคุยประเด็นนี้ครับว่าการ
00:03:15 → 00:03:18 กินโพแทสเซียมที่เพิ่มสูงมากขึ้นเนี่ยมัน
00:03:18 → 00:03:21 ช่วยให้เราสามารถจะควบคุมความดันเลือดให้
00:03:21 → 00:03:23 มันต่ำลงแล้วก็ป้องกันการเกิดโรคร้าย
00:03:23 → 00:03:26 อย่างเช่นสกได้ยังไงแล้วเราควรจะกิน
00:03:26 → 00:03:28 โพแทสเซียมยังไงครับ This is the
00:03:28 → 00:03:31 Standard podcast Eye Opening for
00:03:31 → 00:03:32 your
00:03:32 → 00:03:36 ears Top to Toe podcast สุขภาพที่
00:03:36 → 00:03:40 ใช้วิทยาศาสตร์ไขปัญหาตั้งแต่หัวจด
00:03:40 → 00:03:43 เท้าก่อนอื่นอยากจะแชร์ตัวเลขให้ทุกคนรู้
00:03:43 → 00:03:45 ก่อนนะครับว่าตอนนี้ Who เนะครับเขา recom
00:03:45 → 00:03:49 เลยนะว่าเราทุกคนเนี่ยไม่ควรจะกินโซเดียม
00:03:49 → 00:03:52 เกินวันละ 2,000 มิลกรัมก็คือประมาณ 2
00:03:52 → 00:03:56 กรัมนะครับถ้าเทียบเป็นปริมาณของเกลือแกง
00:03:56 → 00:03:58 ที่เราปรุงในอาหารนะครับไม่ควรจะเกินวัน
00:03:58 → 00:04:02 ละ 5 กรัมจริงๆแล้วถ้าคิดง่ายๆในแบบไทยๆ
00:04:02 → 00:04:05 เนาะจริงๆอ่ะเราไม่ควรจะได้รับเกลือเกิน
00:04:05 → 00:04:08 วันละ 3 ใน 4 ช้อนชาแต่คนไทยเองเนี่ยกิน
00:04:08 → 00:04:10 เกลือประมาณวันละ 2 ช้อนชาก็คือมากกว่า
00:04:10 → 00:04:12 ที่ร่างกายต้องการประมาณ 3 เท่าครับไม่
00:04:12 → 00:04:15 แปลกใจเลยว่าทำไมคนไทยเนี่ยถึงเป็นโรคที่
00:04:15 → 00:04:18 เกี่ยวข้องกับความดันเลือดโรคสตกโรคหัวใจ
00:04:18 → 00:04:20 โรคเบาหวานเพิ่มมากยิ่งขึ้นนะครับในขณะ
00:04:20 → 00:04:22 เดียวกันนะครับ Who เองเนี่ยเขาก็มี
00:04:22 → 00:04:26 ไกด์ไลน์เพิ่มขึ้นมาครับว่านอกจากจะต้อง
00:04:26 → 00:04:28 กินโซเดียมไม่เกินเท่านั้นเท่านี้แล้วควร
00:04:28 → 00:04:31 จะกินโพแทสเซียมให้ให้ได้มากกว่าวันละ
00:04:31 → 00:04:36 3,500 มกรจริงๆเนี่ยกินได้ตั้งแต่ 3,500
00:04:36 → 00:04:39 ไปจนถึง 5,000 มกก็คือตั้งแต่ 3.5 กรัมไป
00:04:39 → 00:04:42 จนถึง 5 กรัมเลยนะครับเพราะว่าการกิน
00:04:42 → 00:04:45 โพแทสเซียมที่มากเพียงพอจะช่วยลดระดับของ
00:04:45 → 00:04:48 ความดันเลือดได้ครับทีนี้แล้วมันลดได้ยัง
00:04:48 → 00:04:51 ไงการที่จะเข้าใจกลไกว่าโพแทสเซียมไปช่วย
00:04:51 → 00:04:53 ลดความดันเลือดได้ยังไงเนี่ยก็อยากจะ
00:04:53 → 00:04:56 อธิบายถึงระบบเลือดนิดนึงครับเพราะว่าถ้า
00:04:57 → 00:04:59 เกิดว่าทุกคนเข้าใจว่าระบบเลือดมันทำงาน
00:04:59 → 00:05:02 ยังไงแล้วความดันเลือดของเราเนี่ยมันสูง
00:05:02 → 00:05:04 หรือมันต่ำได้ยังไงเนี่ยเราสามารถจะดูแล
00:05:04 → 00:05:06 ตัวเองได้ดีมากยิ่งขึ้นนะครับเวลาที่จะ
00:05:06 → 00:05:09 จริงตนาการถึงระบบไหลเวียนเลือดเนี่ยครับ
00:05:09 → 00:05:13 มันก็คล้ายๆกับระบบประปาในบ้านเราอ่ะเน
00:05:13 → 00:05:15 เวลาที่เราจะส่งน้ำจากแทงค์น้ำไปที่ห้อง
00:05:15 → 00:05:17 น้ำเราเพื่ออาบน้ำอะไเงี้ครับมันมีองค์
00:05:17 → 00:05:19 ประกอบคล้ายกันเลยคือมีองค์ประกอบ 3
00:05:19 → 00:05:22 อย่างครับอย่างแรกคือต้องมีปั๊มน้ำปั๊ม
00:05:22 → 00:05:25 น้ำเทียบได้กับหัวใจของเราที่ต้องทำหน้า
00:05:25 → 00:05:28 ที่ในการปั๊มเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆทั่ว
00:05:28 → 00:05:30 ร่างกายนะครับอย่างที่ 2 ที่ต้องมีนะครับ
00:05:30 → 00:05:34 ก็คือท่อน้ำหรือว่าท่อประปาก็เทียบได้กับ
00:05:34 → 00:05:37 เส้นเลือดที่อยู่ในร่างกายของเรานะครับ
00:05:37 → 00:05:39 อย่างที่ 3 ที่ต้องมีนะครับก็คือน้ำที่
00:05:39 → 00:05:42 ถูกปั๊มจากตัวปั๊มน้ำส่งไปยังห้องน้ำ
00:05:42 → 00:05:44 เพื่อให้เราได้ใช้นะครับก็เทียบเท่ากับ
00:05:44 → 00:05:46 น้ำเลือดในร่างกายของเราซึ่งน้ำเลือด
00:05:47 → 00:05:49 เนี่ยหน้าที่ของมันหลักๆเนี่ยคือการนำพา
00:05:49 → 00:05:52 สารอาหารแล้วก็นำพาออกซิเจนเพื่อไปยัง
00:05:52 → 00:05:55 อวัยวะไปยังเซลล์ของเราเพื่อให้เซลล์กับ
00:05:55 → 00:05:58 อวของเราเนี่ยได้พลังงานแล้วก็ทำงานได้
00:05:58 → 00:06:00 ปกตินะครับมีองค์ประกอบกอบเหมือนกันเลย 3
00:06:00 → 00:06:02 อย่างนะครับทีนี้มาที่ความดันเลือดแล้ว
00:06:02 → 00:06:04 ความดันเลือดคืออะไรหลายๆคนน่าจะคุ้นเวลา
00:06:04 → 00:06:07 ไปโรงพยาบาลเราต้องวัดความดันเนาะตอนที่
00:06:07 → 00:06:09 เราวัดเนี่ยมีอะไรมาพันที่รอบแขนเราแล้ว
00:06:09 → 00:06:12 ก็จะได้ค่าออกมาเป็นตัวเลข 2 ค่าตัวเลข
00:06:12 → 00:06:14 ความดันที่มันปกติเนี่ยตามทฤษฎีตามตำรา
00:06:15 → 00:06:17 เลยเนาะมันคือ
00:06:17 → 00:06:20 120/80 นะครับเดี๋ยวค่อยมาว่ากันว่า
00:06:20 → 00:06:22 120/80 เนี่ยแต่ละตัวเลขมันคืออะไรนะ
00:06:23 → 00:06:25 ครับเวลาที่หัวใจต้องการจะปั๊มเลือดแล้ว
00:06:25 → 00:06:27 ก็ส่งเลือดไปยังส่วนต่างๆของร่างกายนะ
00:06:27 → 00:06:29 ครับหัวใจมาทำงาน 2 จังหวะจังหวะแรกคือ
00:06:29 → 00:06:32 จังหวะที่หัวใจมันบีบบีบเค้นเพื่อจะดัน
00:06:32 → 00:06:35 เลือดให้ไหลไปตามท่อจังหวะนั้นนะครับเป็น
00:06:35 → 00:06:39 จังหวะที่ความดันมันจะสูงที่สุดมันคือตัว
00:06:39 → 00:06:42 เลขตัวแรกเรียกว่าค่าความดันตัวบนนะครับ
00:06:42 → 00:06:45 ก็คือตัว 120 หน่วยจะเป็นมิลลิเมตรปลอดนะ
00:06:45 → 00:06:48 ครับหลังจากที่หัวใจบีบเค้นสุดแล้วนะครับ
00:06:48 → 00:06:51 สเต็ปต่อมาหัวใจจะคลายตัวผ่อนคลายกลับ
00:06:51 → 00:06:53 เข้าสู่สภาวะปกติไอ้จังหวะนั้นเนี่ยเป็น
00:06:53 → 00:06:56 จังหวะที่ความดันเลือดเนี่ยก็จะลดลงนะ
00:06:56 → 00:06:58 ครับซึ่งค่าตัวเลขนั้นเนี่ยเป็นค่าความ
00:06:59 → 00:07:01 ดันตัวล่างก็คือค่า 80 ไอ้ตัวเลขที่เป็น
00:07:01 → 00:07:05 ทฤษฎีความดันเลือดที่เป็นปกตินะครับทีนี้
00:07:05 → 00:07:08 ถามว่าแล้วมันมีอะไรที่จะเป็นแฟกเตอร์ที่
00:07:09 → 00:07:11 ทำให้ความดันเนี่ยมันสูงขึ้นหรือว่าต่ำลง
00:07:11 → 00:07:14 ได้นะครับวิธีการที่จะทำความเข้าใจหรือ
00:07:14 → 00:07:16 ว่าอธิบายเนี่ยมันต้องใช้หลักของ fluid
00:07:16 → 00:07:20 mechanics ก็คือการไหลของของไหลในท่อนะ
00:07:20 → 00:07:23 ครับง่ายๆเนี่ยมันก็คือกฎฟิสิกส์นั่นแหละ
00:07:23 → 00:07:25 ครับมันก็จะเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบ 3
00:07:25 → 00:07:28 อย่างของระบบเลือดก็คือตัวปั๊มตัวท่อแล้ว
00:07:28 → 00:07:32 ก็ตัวน้ำเลือดนะครับเดี๋ยวเราจะไปทีละตัว
00:07:32 → 00:07:34 นะครับเริ่มจากตัวน้ำเลือดก่อนแล้วกันนะ
00:07:34 → 00:07:36 ครับในน้ำเลือดเนี่ยครับมันจะมีอยู่ 2
00:07:36 → 00:07:39 ปัจจัยที่มันจะส่งผลกระทบต่อความดันเลือด
00:07:39 → 00:07:42 ได้นะครับ 2 อย่างนะก็คือ 1 คือความหนืด
00:07:42 → 00:07:45 ของเลือดแล้วก็ 2 เนี่ยคือปริมาณของเลือด
00:07:45 → 00:07:47 ครับมาเริ่มที่ความหนืดก่อนครับเรา
00:07:47 → 00:07:49 จินตนาการง่ายๆเนาะสมมุติว่าเราจะต้องแบบ
00:07:49 → 00:07:52 เป่าของเหลวอ่ะให้มันผ่านเข้าไปในหลอดอ่ะ
00:07:52 → 00:07:54 ถ้าเกิดว่าของเหลวนั้นเนี่ยมันค่อนข้าง
00:07:54 → 00:07:56 เหลวคือมันไม่หนืดนะครับแรงที่เราต้องออก
00:07:56 → 00:07:58 แรงเป่าเนี่ยมันก็น้อยถูกมั้ยทุกคนแต่ถ้า
00:07:58 → 00:08:00 เกิดว่าของเหลวนั้นเป็นของเหลวที่มีความ
00:08:00 → 00:08:02 หนืดมากยิ่งขึ้นน่ะอย่างเช่นแบบน้ำผึ้ง
00:08:02 → 00:08:04 อย่างเงี้ยเวลาเราเป่าเราก็ต้องออกแรง
00:08:04 → 00:08:06 เยอะมากยิ่งขึ้นครับแค่นั้นเลยครับถ้า
00:08:06 → 00:08:08 เกิดว่าของเหลวมันหนืดหัวใจต้องออกแรงมาก
00:08:08 → 00:08:10 ยิ่งขึ้นแรงดันเลือดมันก็จะสูงขึ้นตาม
00:08:10 → 00:08:13 ความหนืดของของเหลวนะครับทีนี้ถามว่าแล้ว
00:08:13 → 00:08:16 เลือดเราเนี่ยมันมันหนืดขึ้นมันข้นขึ้น
00:08:16 → 00:08:19 ได้ยังไงมันขึ้นกับปริมาณของเม็ดเลือดแดง
00:08:19 → 00:08:22 ที่อยู่ในเลือดคนบางคนเนี่ยมีโรคบางอย่าง
00:08:22 → 00:08:24 เป็นโรคทางพันธุกรรมหรือว่าเจ็บป่วยบาง
00:08:24 → 00:08:26 อย่างทำให้ร่างกายเนี่ยสร้างเม็ดเลือดแดง
00:08:26 → 00:08:29 มามากผิดปกติก็จะทำให้เลือดเนี่ยมีความ
00:08:29 → 00:08:31 ข้นมากยิ่งขึ้นซึ่งถ้าใครอยู่ในภาวะนั้น
00:08:31 → 00:08:34 เนี่ยครับความดันเลือดก็จะสูงขึ้นได้ครับ
00:08:34 → 00:08:36 ทีนี้มาที่ปริมาณของเลือดครับอันเนี้ย
00:08:36 → 00:08:39 เกี่ยวข้องกับการกินเกลือนะครับถ้าเกิด
00:08:39 → 00:08:42 ว่าเรากินเกลือโดยเฉพาะโซเดียมนะต้องย้ำ
00:08:43 → 00:08:44 เนโซเดียมกับเกลือเนี่ยมันไม่เหมือนกันนะ
00:08:45 → 00:08:47 ครับพูดว่าโซเดียมดีกว่าการกินโซเดียมที่
00:08:47 → 00:08:51 มากเกินไปเนี่ยนะครับแล้วมีโซเดียมอยู่ใน
00:08:51 → 00:08:52 เลือดเราเยอะนะครับโซเดียมเนี่ยมันเป็น
00:08:53 → 00:08:56 โมเลกุลที่ดูดน้ำครับยิ่งเรากินโซเดียม
00:08:56 → 00:08:58 เยอะน้ำทั้งหมดที่มีในร่างกายครับมันจะ
00:08:58 → 00:09:02 ถูกดูดให้เข้าไปอยู่ในหลอดเลือดครับทีนี้
00:09:02 → 00:09:04 ปริมาณน้ำที่อยู่ในหลอดเลือดมันก็จะเยอะ
00:09:04 → 00:09:07 ขึ้นทันทีครับพอมันมีปริมาตรของน้ำในหลอด
00:09:07 → 00:09:10 เลือดเยอะขึ้นนะครับแล้วพอหัวใจเนี่ยมัน
00:09:10 → 00:09:13 ออกแรงดันปริมาณน้ำที่มันเยอะขึ้นเหล่า
00:09:13 → 00:09:15 นั้นนะครับน้ำที่เยอะขึ้นมันก็จะวิ่งไป
00:09:15 → 00:09:19 กระแทกกับผนังหลอดเลือดได้แรงมากยิ่งขึ้น
00:09:19 → 00:09:22 เพราะฉะนั้นความดันเลือดของเราจึงสูงขึ้น
00:09:22 → 00:09:26 การกินโซเดียมเยอะดูดน้ำทำให้ปริมาณน้ำ
00:09:26 → 00:09:30 เยอะปริมาณน้ำเยอะก็ทำให้ความความดันสูง
00:09:30 → 00:09:33 ขึ้นนี่คือลิของมันนะครับทีนี้ถ้าเกิดว่า
00:09:33 → 00:09:35 การที่เรากินน้ำมากจนเกินไปแล้วทำให้มี
00:09:35 → 00:09:37 น้ำในระบบก็คือมีน้ำในหลอดเลือดอเพิ่มมาก
00:09:37 → 00:09:40 สูงขึ้นเนี่ยมันก็ส่งผลเดียวกันครับคือทำ
00:09:40 → 00:09:43 ให้ความดันเลือดเนี่ยมันสูงขึ้นเช่นกันนะ
00:09:43 → 00:09:45 ครับหลายคนเอาจจะเข้าใจผิดว่าการที่เรา
00:09:45 → 00:09:47 กินเกลือหรือว่าโซเดียมมากเกินไปเนี่ยมัน
00:09:47 → 00:09:50 ทำให้เลือดมันข้นมันหนืดก็เลยทำให้ความ
00:09:50 → 00:09:52 ดันเลือดสูงแต่ไม่ใช่นะการกินโซเดียมที่
00:09:52 → 00:09:55 มากเกินไปไปดึงน้ำเข้ามาในระบบทำให้มีน้ำ
00:09:55 → 00:09:58 เยอะขึ้นแล้วก็ไปดันผนังหลอดเลือดมากยิ่ง
00:09:59 → 00:10:00 ขึ้นอันนี้อยากให้จำตรงนี้ไว้ด้วยดีเพราะ
00:10:00 → 00:10:02 ว่าเดี๋ยวเวลาที่ผมอธิบายเรื่อง
00:10:02 → 00:10:04 โปแทสเซียมเนี่ยมันจะต้องใช้องค์ความรง
00:10:04 → 00:10:06 นี้มาทำความเข้าใจนะครับอ่ะนั่นคือเรื่อง
00:10:06 → 00:10:10 ของน้ำเลือดนะครับต่อมามาที่ตัวหลอดเลือด
00:10:10 → 00:10:14 บ้างว่ามันส่งผลต่อความดันเลือดได้ยังไง
00:10:14 → 00:10:15 นะครับหลักการของหลอดเลือดเนี่ยมันไม่ยาก
00:10:15 → 00:10:17 เลยครับหลอดเลือดของเราเนี่ยครับมัน
00:10:17 → 00:10:21 สามารถที่จะหดแล้วก็ขยายได้โดยมันต้องมี
00:10:21 → 00:10:25 อะไรบางอย่างที่ไปควบคุมมันให้มันหดหรือ
00:10:25 → 00:10:27 ว่ามันขยายนะครับอย่างแรกที่จะควบคุมหลอด
00:10:27 → 00:10:30 เลือดได้คือฮอร์โมนครับเวลาที่เราอยู่ใน
00:10:30 → 00:10:33 ภาวะเครียดอยู่ในภาวะตื่นเต้นอย่างเงี้ย
00:10:33 → 00:10:35 อยู่ใน Fight of Flight Mode มันก็จะ
00:10:35 → 00:10:37 มีฮอร์โมนหรือว่าสารสืบประสาทบางอย่าง
00:10:37 → 00:10:40 เช่นคอร์ติซอลรีนีหลั่งออกมาเพื่อทำให้
00:10:40 → 00:10:43 ร่างกายนะครับมันตื่นตัวนะครับไอ้เจ้า
00:10:43 → 00:10:46 ฮอร์โมนหรือว่าสารสึบประสาทเหล่านั้นเ
00:10:46 → 00:10:48 ครับสิ่งที่มันทำเนี่ยมันจะทำให้หลอด
00:10:48 → 00:10:51 เลือดของเราเนี่ยมันหดลงครับพอหลอดเลือด
00:10:51 → 00:10:54 หดลงเนี่ยครับความดันเลือดก็จะสูงขึ้นคิด
00:10:54 → 00:10:56 ง่ายๆเวลาที่เราเปิดสายยางอ่ะแล้วเราเอา
00:10:56 → 00:10:58 นิ้วไปอุดรูมันน่ะให้รูมันเล็กลงอ่ะน้ำ
00:10:58 → 00:11:01 มันก็จะแรงขึ้นหลักการเดียวกันเลยครับถ้า
00:11:01 → 00:11:04 ฮอร์โมนบางอย่างมันหลั่งโดยเฉพาะเวลาที่
00:11:04 → 00:11:06 เราเครียดหรือเราตื่นเต้นเรากำลังแบบกด
00:11:06 → 00:11:09 ดันอะไรบางอย่างนะครับหลอดเลือดมันจะเล็ก
00:11:09 → 00:11:11 ลงความดันเลือดก็จะสูงขึ้นเพราะฉะนั้น
00:11:11 → 00:11:14 เวลาที่ใครไปโรงพยาบาลแล้วเป็นคนกลัวโรง
00:11:14 → 00:11:16 พยาบาลหรือว่ากลัวหมอแล้วรู้สึกตื่นเต้น
00:11:16 → 00:11:18 ข้างในเนี่ยครับคุณไปวัดความดันเลือดแน่
00:11:18 → 00:11:20 นอนว่าความดันเลือดคุณจะสูงผิดปกติได้นะ
00:11:20 → 00:11:23 ครับหรือว่าคุณกำลังพิ่งเดินขึ้นบันได
00:11:23 → 00:11:25 เหนื่อยๆเลยแล้วโดนวัดความดันเลือดอความ
00:11:25 → 00:11:28 ดันก็จะสูงขึ้นเกินกว่าปกติเพราะฉะนั้น
00:11:28 → 00:11:31 เวลาที่ไปวัดความดันเลือดที่โรงพยาบาลนะ
00:11:31 → 00:11:34 เคถึงให้เรานั่งพักก่อนสักแป๊บนึงถึงจะ
00:11:34 → 00:11:36 วัดความดันเลือดเพื่อไม่ให้ไอ้ความ
00:11:36 → 00:11:38 เหนื่อยล้าความตื่นเต้นอะไรเงี้ยครับมัน
00:11:38 → 00:11:41 ไปกระทบกับผลของความดันเลือดที่วัดนะครับ
00:11:41 → 00:11:44 อย่างที่ 2 ที่มันกระทบได้ที่ทำให้ไอ้จ
00:11:44 → 00:11:46 หลอดเลือดมันหดหรือมันขยายนะครับก็เป็น
00:11:46 → 00:11:48 สารบางอย่างอย่างเช่นแอลกอฮอล์แล้วก็
00:11:48 → 00:11:51 คาเฟอีนครับ 2 ตัวเนี้ยให้เอฟเฟคคล้ายๆ
00:11:51 → 00:11:52 กันก็คือถ้าเรากินแอลกอฮอล์หรือว่า
00:11:52 → 00:11:55 คาเฟอีนเนี่ยนะครับทั้ง 2 อย่างเนี่ยมัน
00:11:55 → 00:11:58 จะทำให้หลอดเลือดเนี่ยนะครับมันขยายตัว
00:11:58 → 00:12:01 ไม่ค่อยดีคือมันไปบล็อกสารบางอย่างที่มัน
00:12:01 → 00:12:03 จำเป็นที่ต้องใช้ในการขยายตัวของหลอด
00:12:03 → 00:12:06 เลือดทำให้ไอ้เจ้ากล้ามเนื้อบริเวณหลอด
00:12:06 → 00:12:08 เลือดเครับมันคลายตัวไม่ดีพอมันคลายตัว
00:12:08 → 00:12:11 ไม่ดีเนี่ยมันก็ไม่ค่อยขยายอ่ะมันก็เลยหด
00:12:11 → 00:12:13 ตัวมากเป็นพิเศษความดันเลือดเนี่ยมันก็
00:12:13 → 00:12:16 เลยจะสูงขึ้นนั่นเองนะครับเวลาที่เรากิน
00:12:16 → 00:12:19 แอลกอฮอล์หรือว่ากินคาเฟอีนมากเกินไปก็จะ
00:12:19 → 00:12:21 เห็นว่าใครที่ไม่ค่อยได้กินกาแฟแล้วนานๆ
00:12:21 → 00:12:24 มากินทีเนี่ยใจมันถึงสั่นเพราะว่าหลอด
00:12:24 → 00:12:27 เลือดเนี่ยมันหดตัวลงเลือดมันก็จะวิ่ง
00:12:27 → 00:12:29 ด้วยความดันที่สูงมากยิ่งขึ้นข้นั่นเองนะ
00:12:29 → 00:12:32 ครับอย่างที่ 3 ที่ยังเกี่ยวข้องกับหลอด
00:12:32 → 00:12:34 เลือดแล้วทำให้ความดันมันสูงคือมันต้องมี
00:12:34 → 00:12:37 อะไรสักอย่างนึงอ่ะมาบล็อกไม่ให้เลือดเ
00:12:37 → 00:12:40 มันไหลได้ดีมากยิ่งขึ้นซึ่งอันเนี้ยเป็น
00:12:40 → 00:12:43 สิ่งที่คนน่าจะคุ้นเคยก็คือมีไขมันมาอุด
00:12:43 → 00:12:45 ตันในเส้นเลือดนั่นแหละก็คือเวลาที่ผมพู
00:12:45 → 00:12:48 ว่าพวกพลาก็คือพลาไขมันนะครับที่มันมาอุด
00:12:48 → 00:12:51 นะครับซึ่งถามว่ามันเกิดจากอะไรมันก็เกิด
00:12:51 → 00:12:53 มาตั้งแต่การที่เรากินน้ำตาลมากเกินไปกิน
00:12:53 → 00:12:57 น้ำตาลเยอะหรือว่ากินไขมันที่เยอะเกินไป
00:12:57 → 00:12:59 โดยเฉพาะไขมันที่อิ่มตัวนะครับไขมันตัว
00:12:59 → 00:13:01 ที่ไม่ดีทั้งหลายเนี่ยพอกินน้ำตาลมากเกิน
00:13:01 → 00:13:04 ไปหรือไขมันมากเกินไปเนี่ยนะครับมันก็ส่ง
00:13:04 → 00:13:07 ผลทำให้เกิดภาวะ insulin resistance ก็
00:13:07 → 00:13:09 คือดื้ออินซูลินดื้ออินซูลินเนี่ยมันก็
00:13:09 → 00:13:12 ส่งผลให้ความดันเลือดเนี่ยสูงขึ้นยิ่ง
00:13:12 → 00:13:14 ความดันเลือดสูงขึ้นน่ะเลือดที่วิ่งมาชน
00:13:14 → 00:13:16 ผนังหอเลือดมันกระแทกกระแทกบ่อยๆขึ้น
00:13:16 → 00:13:18 เนี่ยครับผนังหลอดเลือดที่แม้ว่ามันจะ
00:13:18 → 00:13:21 เหนียวมันจะแข็งแรงเนี่ยเจอกระแทกนานๆ
00:13:21 → 00:13:23 เข้าเนี่ยมันก็ได้รับความเสียหายพอมัน
00:13:23 → 00:13:26 เสียหายหรือเป็นแผลเนี่ยนะครับมันก็ทำให้
00:13:26 → 00:13:28 เกิดการอักเสบก็ทำให้ทั้งเม็ดเลือดขาวเอย
00:13:28 → 00:13:32 ไปอุดตันแล้วก็ทำให้ถุงไขมันต่างๆเนี่ยไป
00:13:32 → 00:13:34 อุดไปเกาะได้ง่ายมากยิ่งขึ้นแล้วเกิดเป็น
00:13:35 → 00:13:38 พลาพอเป็นพลาเนี่ยครับมันก็จะไปบังทำให้
00:13:38 → 00:13:40 เลือดไหลได้ยากขึ้นความดันเลือดก็จะสูง
00:13:40 → 00:13:43 ขึ้นนั่นเองนะครับสุดท้ายครับมาที่ตัว
00:13:43 → 00:13:45 ปั๊มน้ำคือตัวหัวใจครับหัวใจของเราเนี่ย
00:13:45 → 00:13:48 ก็มีผลในการเพิ่มความดันเลือดได้นะถ้า
00:13:48 → 00:13:51 เกิดว่าหัวใจของเราแข็งแรงคือถ้าเกิดว่า
00:13:51 → 00:13:53 เราไปออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเนี่ยนะ
00:13:53 → 00:13:55 ครับแล้วกล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรงเวลาที่
00:13:55 → 00:13:57 มันจะปั๊มเลือดในปริมาณเท่ากันไปเลี้ยง
00:13:57 → 00:13:59 ทั่วร่างกายนะครับมันก็ออกแรงน้อยลงเพราะ
00:14:00 → 00:14:02 ฉะนั้นเนี่ยความดันเลือดเราก็จะไม่สูงมาก
00:14:02 → 00:14:04 เพราะฉะนั้นคนที่ไปออกกำลังกายอย่างสม่ำ
00:14:04 → 00:14:06 เสมอนะครับกล้ามเนื้อหัวใจจะแข็งแรงก็คือ
00:14:06 → 00:14:08 หัวใจเราแข็งแรงนั่นครับมันไม่ต้องทำงาน
00:14:08 → 00:14:12 หนักเลยมันปั๊มเลือดด้วยความถี่น้อยลง
00:14:12 → 00:14:14 แล้วก็ด้วยความแรงน้อยลงก็มากเพียงพอที่
00:14:14 → 00:14:17 จะส่งเลือดเนี่ยไปเลี้ยงทั่วร่างกายแล้ว
00:14:17 → 00:14:19 นะครับเพราะฉะนั้นถ้าเราอยากลดความดัน
00:14:19 → 00:14:22 เลือดนะครับวิธีง่ายๆคือการไปออกกำลังกาย
00:14:22 → 00:14:25 เพื่อให้หัวใจของเราแข็งแรงนะครับนั่นคือ
00:14:25 → 00:14:29 3 องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับความดัน
00:14:29 → 00:14:31 เลือดนะครับหวังว่าพอทุกคนเข้าใจเนี่ยก็
00:14:31 → 00:14:34 จะเริ่มรู้แล้วว่าทำยังไงในการลดความดัน
00:14:34 → 00:14:37 เลือดได้นะครับทวนอีกครั้งนึงน้ำเลือดถ้า
00:14:37 → 00:14:41 น้ำเลือดมันมีมากขึ้นมาจากการกินโซเดียม
00:14:41 → 00:14:44 ทำให้ความดันสูงวิธีการง่ายๆคือกิน
00:14:44 → 00:14:48 โซเดียมให้น้อยลงนะครับเส้นเลือดมีหลาย
00:14:48 → 00:14:51 อย่างเช่นฮอร์โมนฮอร์โมนไปทำให้หลอดเลือด
00:14:51 → 00:14:53 เล็กลงนะครับเพราะฉะนั้นเราควรจะต้อง
00:14:54 → 00:14:56 พยายามบริหารความเครียดบริหารอารมณ์ไม่
00:14:56 → 00:14:58 ให้เราอยู่ในภาวะที่มันเครียดนานเกินไป
00:14:58 → 00:15:00 เพื่อเพื่อที่ทำให้ความดันเลือดเนี่ยไม่
00:15:00 → 00:15:03 ได้สูงแล้วก็ลดลงมาอยู่ในภาวะปกตินะครับ
00:15:03 → 00:15:05 อย่างที่ 3 เรารู้ว่ามันมีไขมันปอุตัน
00:15:05 → 00:15:07 หรือมีพารเนี่ยก็ทำให้ความดันเลือดสูง
00:15:07 → 00:15:08 เพราะฉะนั้นต้องดูแลตัวเองในการปรับ
00:15:08 → 00:15:11 พฤติกรรมในการกินอาหารลดน้ำตาลลดไขมันนะ
00:15:11 → 00:15:15 ครับอย่างที่ 4 มารู้ว่าหัวใจที่แข็งแรง
00:15:15 → 00:15:18 ช่วยทำให้ความดันเลือดต่ำลงก็พาตัวเองไป
00:15:18 → 00:15:21 ออกกำลังกายทีนี้มาถึงตัวที่ 5 คือ
00:15:21 → 00:15:23 โพแทสเซียมเชื่อว่าเป็นเรื่องใหม่ของหลาย
00:15:23 → 00:15:25 ๆคนจริงๆรวมทั้งตัวผมเองด้วยนะครับผมก็
00:15:25 → 00:15:27 เพิ่งไปอ่านงานวิจัยแล้วก็เพิ่งรู้ว่า
00:15:27 → 00:15:31 เอ้อทำไมนะการกินโปแทสเซียมที่เพิ่มมาก
00:15:31 → 00:15:34 ยิ่งขึ้นเนี่ยมันถึงช่วยทำให้ blood
00:15:34 → 00:15:37 pressure หรือว่าความนเรืมันต่ำลงครับ
00:15:37 → 00:15:39 หลักการเนี่ยมันมีงี้ครับทุกคนมันมี 2
00:15:39 → 00:15:41 เหตุผลว่าโปแทสเซียมไปช่วยยังไงมันไป
00:15:41 → 00:15:43 เกี่ยวข้องกับน้ำเลือดแล้วก็ไปเกี่ยวข้อง
00:15:43 → 00:15:46 กับหลอดเลือดครับไปที่หลอดเลือดก่อน
00:15:46 → 00:15:48 ปริมาณโปแทสเซียมที่สูงขึ้นเครับมันทำให้
00:15:48 → 00:15:51 แคลเซียมอ่ะวิ่งเข้าไปที่เซลล์บริเวณผนัง
00:15:51 → 00:15:53 หลอดเลือดได้น้อยลงและก็ทำให้หลอดเลือด
00:15:53 → 00:15:56 เนี่ยมันรีกแล้วก็สามารถจะขยายได้ดีมาก
00:15:56 → 00:15:59 ยิ่งขึ้นแค่นั้นเลยครับการที่หลอดเลือดย่
00:15:59 → 00:16:01 ได้ดีมากยิ่งขึ้นเนี่ยมันก็เป็นการลดความ
00:16:01 → 00:16:04 ดันเลือดแล้ว 1 สเต็ปนะครับทีนี้มาที่นำ
00:16:04 → 00:16:06 เลือดบ้างครับนักวิทยาศาสตร์เนี่ยเคเจอ
00:16:06 → 00:16:09 ว่าการที่เรากินโปแตสเซียมที่สูงมากยิ่ง
00:16:09 → 00:16:12 ขึ้นเนี่ยครับมันทำให้ไตของเราครับสามารถ
00:16:12 → 00:16:16 ที่จะกำจัดโซเดียมได้ดีมากยิ่งขึ้นครับก็
00:16:16 → 00:16:19 คือจะเก็บโซเดียมเอาไว้ในระบบน้อยลงน้ำก็
00:16:19 → 00:16:22 จะถูกดึงเข้ามาน้อยลงพอมีน้ำในระบบน้อยลง
00:16:22 → 00:16:24 เนี่ยครับไม่เยอะจนเกินไปความดันเลือด
00:16:24 → 00:16:26 เนี่ยมันก็จะลดลงนั่นเองครับนั่นคือคำ
00:16:26 → 00:16:29 อธิบายง่ายๆนะครับอยากจะขยายความนิดนิด
00:16:29 → 00:16:30 นึงเพราะนี่เป็นความรู้ใหม่สำหรับผมแล้ว
00:16:30 → 00:16:33 ผมรู้สึกว่ามันวาวมากเลยครับผมเพิ่งรู้นะ
00:16:33 → 00:16:37 ว่าไตของเราเนี่ยครับมันถูกออกแบบมาให้
00:16:37 → 00:16:40 กำจัดโปแตสเซียมและพยายามที่จะเก็บรักษา
00:16:40 → 00:16:44 โซเดียมเอาไว้ในร่างกายครับซึ่งมันเป็น
00:16:44 → 00:16:47 เหตุผลทางวิวัฒนาการครับคือมนุษย์เราสมัย
00:16:47 → 00:16:50 ก่อนในยุคก่อนในยุคโบราณเนี่ยนะครับอาหาร
00:16:50 → 00:16:53 การกินของเราอ่ะมันมีโพแทสเซียมที่สูงแต่
00:16:53 → 00:16:56 มันมีโซเดียมที่ต่ำเพราะฉะนั้นเนี่ยร่าง
00:16:56 → 00:16:59 กายของเราเนี่ยมันถูกพัฒนาให้พยายามที่จะ
00:16:59 → 00:17:01 กำจัดโปแตสเซียมที่มันเยอะที่เราได้จาก
00:17:01 → 00:17:03 อาหารเนี่ยออกไปไม่งั้นเดี๋ยวมันเยอะเกิน
00:17:03 → 00:17:05 ไปแล้วก็พยายามจะเก็บรักษาโซเดียมเอาไว้
00:17:06 → 00:17:08 ให้ได้มากที่สุดเพราะว่าเราได้โซเดียม
00:17:08 → 00:17:10 น้อยจากการกินอาหารครับกลับมาที่ยุค
00:17:10 → 00:17:12 ปัจจุบันครับทุกอย่างมันกลับกันเนาะอาหาร
00:17:12 → 00:17:14 การกินของเราเนี่ยเป็นอาหารที่มีโซเดียม
00:17:14 → 00:17:16 สูงนะครับแต่ว่าร่างกายของเราเนี่ยครับ
00:17:16 → 00:17:20 มันยังมีกลไกที่ถูกวิวัฒนาการมาอยู่ให้
00:17:20 → 00:17:22 กำจัดโพแทสเซียมแล้วก็รักษาโซเดียมเอาไว้
00:17:23 → 00:17:26 นะครับซึ่งมันมีกลไกนึงที่ไตนะครับเขา
00:17:26 → 00:17:29 เรียกมันว่าโพแทสเซียม Switch ครับนักา
00:17:29 → 00:17:31 เค้าเจอว่าถ้าเรากินโปแทสเซียมสูงเนี่ยนะ
00:17:31 → 00:17:32 ครับเซลล์ที่ตายที่เรียกว่าโปแทสเซียม
00:17:32 → 00:17:34 สวิชเนี่ยครับพอมันเซนส์ได้ว่าโปแทสเซียม
00:17:34 → 00:17:38 สูงสิ่งที่มันจะทำคือมันจะเก็บโซเดียมเอา
00:17:38 → 00:17:40 ไว้ในร่างกายน้อยลงคือมันจะกำจัดโซเดียม
00:17:40 → 00:17:43 ออกไปได้ดีมากยิ่งขึ้นนะครับซึ่งไตเอง
00:17:43 → 00:17:45 เนี่ยกำจัดโปแทสเซียมออกไปได้ดีมากอยู่
00:17:45 → 00:17:47 แล้วเพราะฉะนั้นถ้าเรากินโปแตสเซียมสูง
00:17:47 → 00:17:50 สิ่งที่เกิดขึ้นคือไตสามารถจะกำจัด
00:17:50 → 00:17:52 โซเดียมได้มากขึ้นแล้วก็ยังกำจัด
00:17:52 → 00:17:54 โปแทสเซียมได้ดีอยู่เหมือนเดิมเพราะ
00:17:54 → 00:17:58 ฉะนั้นในเลือดเราก็จะมีปริมาณของโซเดียม
00:17:58 → 00:18:02 ที่ลดลงน้ำที่จะถูกดึงเข้ามาในหลอดเลือด
00:18:02 → 00:18:05 ก็จะมีน้อยลงก็จะส่งผลให้ความดันเลือดของ
00:18:05 → 00:18:07 เราเนี่ยมันต่ำลงนั่นเองครับทีนี้หลายคน
00:18:08 → 00:18:11 อาจจะสงสัยว่าเฮ้ยจริงๆโซเดียมโปแตสเซียม
00:18:11 → 00:18:13 เราเรียนมาในเคมีมัธยมเนี่ยครับจริงๆมัน
00:18:13 → 00:18:17 คล้ายกันมากมันเป็นไอออนที่มีประจุ + 1
00:18:17 → 00:18:19 คล้ายๆกันแล้วอย่างงี้การที่เรามี
00:18:19 → 00:18:21 โปแตสเซียมอยู่ในเลือดเยอะๆเนี่ยมันไม่
00:18:21 → 00:18:24 ดึงน้ำเข้ามาในระบบหรอจริงๆแล้วทั้ง
00:18:24 → 00:18:26 โซเดียมและโปแทสเซียมนะครับมันเป็น
00:18:26 → 00:18:29 โมเลกุลที่ดูดน้ำทั้งคู่นะครับแต่สิ่งที่
00:18:29 → 00:18:32 มันต่างกันคือว่าโซเดียมเนี่ยนะครับมันจะ
00:18:32 → 00:18:35 ดูดน้ำให้ออกจากเซลล์ให้มาอยู่ในบริเวณ
00:18:36 → 00:18:38 นอกเซลล์ก็คือในเลือดเนี่ยมันคือนอกเซลล์
00:18:38 → 00:18:40 ถูกมั้ยครับเพราะฉะนั้นโซเดียมที่อยู่ใน
00:18:40 → 00:18:42 น้ำเลือดนะครับก็เลยจะล่อน้ำให้เข้ามา
00:18:42 → 00:18:44 สะสมอยู่ในเส้นเลือดครับแตกต่างกันก็คือ
00:18:44 → 00:18:47 โปรแตสเซียมเนี่ยดูดน้ำได้ก็จริงแต่มันทำ
00:18:47 → 00:18:50 ให้ดูดน้ำเข้าไปไว้ในเซลล์ครับเพราะงั้น
00:18:50 → 00:18:53 เซลล์เราเนี่ยก็จะบวมน้ำแล้วก็เต่งน้ำนะ
00:18:53 → 00:18:56 ครับเพราะฉะนั้นโปแตสเซียมที่มันอยู่ใน
00:18:56 → 00:18:59 น้ำเลือดเนี่ยครับมันไม่ได้ดึงน้ำให้เข้า
00:18:59 → 00:19:01 อยู่ในระบบความดันเลือดเนี่ยก็เลยไม่ได้
00:19:01 → 00:19:03 สูงขึ้นนั่นเองนั่นคือความแตกต่างกัน
00:19:03 → 00:19:05 ระหว่างโซเดียมแล้วก็โปแตสเซียมครับทีนี้
00:19:05 → 00:19:07 มาที่จุดสำคัญแล้วอ้ารู้แล้วว่า
00:19:07 → 00:19:10 โปแทสเซียมกินเข้าไปเนี่ยมันมี mechanism
00:19:10 → 00:19:12 แบบนี้ทำให้สามารถที่จะลดความดันเลือดได้
00:19:12 → 00:19:14 เราควรจะกินยังไงนะครับมี 3 วิธีที่ทำได้
00:19:15 → 00:19:18 ครับอย่างแรกคือการกินเกลือที่มีโซเดียม
00:19:18 → 00:19:20 ต่ำคือ low Sodium salt นะครับซึ่งส่วน
00:19:20 → 00:19:23 ใหญ่มักจะมีราคาแพงถ้าเกิดเข้าไปดูในฉลาก
00:19:23 → 00:19:25 แลดูสัดส่วนของของที่มันอยู่ในเกลือ
00:19:25 → 00:19:27 โซเดียมต่ำนะครับมันมีอะไรบ้างสิ่งที่เา
00:19:27 → 00:19:29 recom นะครับควรจะเลือกเกลือโซเดียมต่ำ
00:19:29 → 00:19:33 ที่มีสัดส่วนของโซเดียมคลอไรด์ 75% และ
00:19:33 → 00:19:38 โปแตสเซียมคลอไรด์ 25% เป็นเรชที่ณวันนี้
00:19:38 → 00:19:40 ทางข้อมูลทางงานวิจัยเนี่ยเจอว่าเป็นสัด
00:19:40 → 00:19:42 ส่วนที่ดีที่สุดกับร่างกายนะครับ 75
00:19:42 → 00:19:47 โซเดียม 25 โปแตสเซียมเป็นโ Sodium ซออาจ
00:19:47 → 00:19:49 จะแพงนิดนึงครับเป็นวิธีที่ 1 นะครับวิธี
00:19:49 → 00:19:53 ที่ 2 คือการกินอาหารซึ่งมักจะเป็นผัก
00:19:53 → 00:19:56 แล้วก็ผลไม้ที่มีโพแทสเซียมอยู่เยอะนะ
00:19:56 → 00:19:59 ครับถามว่ามีอะไรบ้างครับมาเริ่มที่ผลไม้
00:19:59 → 00:20:01 ก่อนเลยครับสิ่งที่คนมักจะคุ้นเคยคือ
00:20:01 → 00:20:03 กล้วยนะครับแต่นอกจากกล้วยเนี่ยมันยังมี
00:20:03 → 00:20:04 อีกหลายอย่างเลยเดี๋ยวผมขออนุญาตอ่านนะ
00:20:04 → 00:20:09 ครับมันก็จะมีแก้วมังกรแคนตาลูปแตงโมแตง
00:20:09 → 00:20:13 ไทยฝรั่งส้มมะละกอทุเรียนมะขามหวานลำไย
00:20:13 → 00:20:16 อะโวคาโดแล้วก็สตรอว์เบอร์รี่ครับมาที่
00:20:16 → 00:20:18 ผักที่มีโพแทสเซียมเยอะจริงๆผักเนี่ยที่
00:20:18 → 00:20:21 เป็นผักใบสีเขียวเลยนะครับหรือว่าผัก
00:20:21 → 00:20:23 ตระกูลกะหล่ำเนี่ยมีโพแทสเซียมเยอะอยู่
00:20:23 → 00:20:27 แล้วนะครับมีอะไรบ้างมีดอกกะหล่ำกะหล่ำปี
00:20:27 → 00:20:32 ม่วงกระช้ากระถินแครอทถั่วฝักยาวลูกหย่อ
00:20:32 → 00:20:37 ใบขี้เหล็กสะเดาสะตอมะรุมบรอกโคลี่มะเขือ
00:20:37 → 00:20:42 เทศหัวปลีมะเขือมะระจีนผักหวานหัวผักกาด
00:20:42 → 00:20:46 เห็ดฟางเห็ดหูหนูหอมแดงหน่อมไม้แห้วเผือก
00:20:46 → 00:20:51 มันฟักทองรากบัวอันนี้เป็นลิสต์ผักผลไม้
00:20:51 → 00:20:54 ไทยๆที่พอจะหามาให้ทุกคนได้นะครับเพราะ
00:20:54 → 00:20:56 ว่าหลายคนมักจะบอกว่าเวลาแนะนำเนี่ยช่วย
00:20:56 → 00:20:59 เลือกผักผลไม้ไทยๆให้หน่อยผมพยายามลองหา
00:20:59 → 00:21:01 มาแล้วนะครับเพราะงั้นลองไปเลือกดูนะลอง
00:21:01 → 00:21:04 ไปดูด้วยว่าจริงๆผักและผลไม้บางอย่างที่
00:21:04 → 00:21:06 พูดไปเนี่ยมันอาจจะมีสารบางอย่างที่อาจจะ
00:21:06 → 00:21:09 ไม่ตอบโจทย์กับสุขภาพบางคนนะครับผักบาง
00:21:09 → 00:21:11 อย่างที่พูดไปเนี่ยอาจจะมีกรดยูริกสูง
00:21:11 → 00:21:14 ซึ่งถ้าใครมีภาวะร่างกายบางอย่างที่ไม่
00:21:14 → 00:21:16 โอเคกับยูริกก็ควรจะเลี่ยงนะครับแล้วก็
00:21:16 → 00:21:18 เลือกกินอย่างอื่นเนาะทีนี้นอกจากผัก
00:21:19 → 00:21:22 ผลไม้ที่ผมพูดไปนี่นะครับมันจะมีไกด์ไลน์
00:21:22 → 00:21:24 ในการกินอาหารแบบนึงหลายคนอาจจะเคยได้ยิน
00:21:24 → 00:21:27 เขาเรียกคำว่า Dash Diet Dash Diet
00:21:27 → 00:21:30 เนี่ยชื่อเต็มๆของมันคือ dietary
00:21:30 → 00:21:33 Approach to Stop hypertension Diet
00:21:33 → 00:21:37 คือรูปแบบการกินอาหารที่สามารถที่จะช่วย
00:21:37 → 00:21:40 หยุดการมีความดันเลือดสูงนะครับถามว่าให้
00:21:40 → 00:21:43 กินอะไรถ้าไปไปเสิร์ชได้เลยครับให้สิ่ง
00:21:43 → 00:21:46 ที่เขาให้กินนะครับก็คือผักผลไม้อาหาร
00:21:47 → 00:21:50 อะไรก็ตามที่มีปริมาณไขมันที่ไม่ดีต่ำก็
00:21:50 → 00:21:52 คือมีไขมันที่ดีๆสูงอาหารอะไรก็ตามที่มี
00:21:52 → 00:21:55 น้ำตาลต่ำแล้วก็มีเกลือต่ำแล้วก็เนื้อ
00:21:55 → 00:21:57 สัตว์ที่กินนะครับก็ควรจะเป็นเนื้อสัตว์
00:21:57 → 00:22:00 สีขาวซส่วนใหญ่ก็คือพวกปลาแล้วก็อ่าอาจจะ
00:22:00 → 00:22:03 เป็นสัตว์ปีกก็คือไก่นะครับแล้วก็เน้นการ
00:22:03 → 00:22:07 กินพวก PL Base ไม่ว่าจะเป็นถั่วธัญพืช
00:22:07 → 00:22:10 ต่างๆนะครับไม่เกินนี้ครับทีนี้ถามว่า
00:22:10 → 00:22:12 ทำไมองค์กรด้านสุขภาพเนี่ยถึงพยายามจะพูด
00:22:12 → 00:22:15 ว่าให้กินแชกินแชนะครับเพราะว่าประมาณปี
00:22:15 → 00:22:18 2001 นะครับมันมี clinical study อัน
00:22:18 → 00:22:21 นึงครับเค้าจับคนมากินอาหารที่เรียกว่า
00:22:21 → 00:22:23 Dash เลยครับก็คือกินอาหารปกติกินอาหาร
00:22:23 → 00:22:26 ที่มีโซเดียมกลางๆกินอาหารที่มีโซเดียม
00:22:26 → 00:22:29 น้อยคือ Dash แล้วเก็เจอว่าคนที่กินอาหาร
00:22:29 → 00:22:31 ที่มีโซเดียมน้อยหรือว่า Dash เนี่ยนะ
00:22:31 → 00:22:33 ครับสามารถยลดความยาวเลือได้ 3-4 มลมตลอด
00:22:33 → 00:22:36 เลยครับจากนั้นมาเนี่ยครับก็ทำให้ Dash
00:22:36 → 00:22:39 Diet เนี่ยมันบูมครับแต่ปรากฏว่าถามว่า
00:22:39 → 00:22:41 มันดีจริงมั้ยมันดีจริงนะแต่ความยากคือ
00:22:41 → 00:22:43 มันไม่ง่ายเลยที่จะคุมอาหารที่มันแบบ
00:22:43 → 00:22:45 strict ขนาดนั้นเหมือนกับเวลาที่เขาทำ
00:22:45 → 00:22:48 การทดลองนะครับเพราะฉะนั้นน่ะนักวิจัยเก็
00:22:48 → 00:22:51 เลยไปพยายามจะไปหาไปวิเคราะห์ว่าเอ้ยแล้ว
00:22:51 → 00:22:53 ใน Dash di เนี่ยมันมีอะไรเขาก็เจอว่า
00:22:53 → 00:22:56 ไอ้จริงๆแล้วอ่ะไอ้สูตรอาหารที่เขาให้
00:22:56 → 00:22:58 กลุ่มทดลองกินน่ะในกลุ่มที่เป็น Dash
00:22:58 → 00:23:00 Diet น่ะมันมีโพแทสเซียมอยู่เกือบ 5
00:23:00 → 00:23:03 กรัมเลยครับ 4,700 มกรคือมีสูงมากๆมันก็
00:23:03 → 00:23:06 เลยเกิดเป็นไอเดียใหม่ว่าเฮ้ยอย่างงี้เรา
00:23:06 → 00:23:09 ก็แนะนำคนให้กินโปแทสเซียมเข้าไปเยอะๆแทน
00:23:09 → 00:23:12 ดีไหเพราะว่ามันก็น่าจะมีประโยชน์แล้วก็
00:23:12 → 00:23:14 สามารถจะทำได้ง่ายกว่าในชีวิตจริงเพราะ
00:23:14 → 00:23:17 ว่าบางทีการกินมนหรืออาหารเสริมเนี่ยมัน
00:23:17 → 00:23:19 ก็สามารถที่จะช่วยให้คนได้รับโปทเซียม
00:23:19 → 00:23:22 เพียงพอแล้วก็ได้เอฟเฟคเดียวกับการที่เรา
00:23:22 → 00:23:24 ลดโซเดียมเลยนะครับซึ่งจริงๆแล้วเนี่ยงาน
00:23:24 → 00:23:27 วิจัยทำเทียบกันนะครับการลดโซเดียมมัน
00:23:27 → 00:23:29 สามารถที่จะช่วยลดความดันเลือดได้ประมาณ
00:23:29 → 00:23:33 3-4 มมตลอดแต่การเพิ่มโปแตสเซียมเนี่ย
00:23:33 → 00:23:35 ครับมันสามารถจะช่วยลดความดันเลือดได้ถึง
00:23:35 → 00:23:39 5 - 6 มิลเมตรปลอดเลยนะครับคือจริงๆ
00:23:39 → 00:23:40 แล้วในเชิง effectiveness หรือ
00:23:40 → 00:23:43 ประสิทธิภาพเนี่ยก็ไม่ได้ต่างจากการคุม
00:23:43 → 00:23:45 ปริมาณการกินโซเดียมอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ
00:23:45 → 00:23:48 และอาจจะทำได้ง่ายกว่าในชีวิตจริงด้วยซ้ำ
00:23:48 → 00:23:50 เพราะฉะนั้นองค์กรทางสุขภาพครับในสมัยนี้
00:23:50 → 00:23:53 พยายามที่จะออกไกด์ไลน์แล้วก็เชิญชวนทุก
00:23:53 → 00:23:56 คนให้ใส่ใจกับการกินโพแทสเซียมให้มาก
00:23:56 → 00:23:59 เพียงพอเพิ่มขึ้นเพื่อที่จะควบคุมปริมาณ
00:23:59 → 00:24:02 ของความดันเลือดนั่นเองครับอ้อสิ่งนึงที่
00:24:02 → 00:24:04 ต้องระมัดระวังนิดนึงนะครับการกิน
00:24:04 → 00:24:07 โพแทสเซียมที่สูงนะครับอาจจะมีข้อควร
00:24:07 → 00:24:09 ระวังกับคนที่เป็นโรคไตโดยเฉพาะคนที่เป็น
00:24:09 → 00:24:13 โรคไตในระยะหลังๆแล้วคือมีความซีเวียร์
00:24:13 → 00:24:15 ของโรคหรือว่าความรุนแรงของโลกในระดับที่
00:24:16 → 00:24:17 สูงนะครับคือไตทำงานได้ไม่ค่อยดีแล้วครับ
00:24:17 → 00:24:20 ด้วยเหตุผลว่าคนที่เป็นโรคไตเนี่ยครับไต
00:24:20 → 00:24:24 เองไม่สามารถที่จะกำจัดโปแทสเซียมได้ดี
00:24:24 → 00:24:26 เหมือนกับคนปกติเพราะฉะนั้นคำแนะนำทั้ง
00:24:26 → 00:24:29 หมดที่ผมพูดมาวันนี้นะครับถ้าคุณเป็นโรค
00:24:29 → 00:24:32 ไตเนี่ยครับคุณอาจจะต้องปรึกษาคุณหมอก่อน
00:24:32 → 00:24:34 และคุณอาจจะไม่สามารถทำตามไกด์ไลน์นี้ได้
00:24:34 → 00:24:36 นะครับเพราะมันอาจจะทำให้โรคของคุณนะครับ
00:24:36 → 00:24:39 มันรุนแรงมากยิ่งขึ้นแล้วก็ทำให้ไตวาย
00:24:39 → 00:24:43 เร็วมากยิ่งขึ้นนะครับพูดถึงการกินยานิด
00:24:43 → 00:24:45 นึงครับปกติแล้วเวลาที่คนที่เป็นความดัน
00:24:45 → 00:24:48 สูงเนี่ยครับแล้วไปเจอคุณหมอเนี่ยคุณหมอ
00:24:48 → 00:24:51 ก็อาจจะตัดสินใจในการจ่ายยาบางอย่างนะ
00:24:51 → 00:24:53 ครับซึ่งไอ้เจ้ายาเหล่านั้นนะครับหลักการ
00:24:53 → 00:24:55 ของยาเนี่ยมันก็ไปจัดการกับไอ้น้ำเลือด
00:24:55 → 00:24:58 จัดการกับเส้นเลือดแล้วก็ไปจัดการกับหัว
00:24:58 → 00:25:01 ใจในการทำให้เส้นเลือดเี่มันขยายมากขึ้น
00:25:01 → 00:25:03 มันไปจัดการกับฮอร์โมนที่ทำให้ปริมาณน้ำ
00:25:03 → 00:25:05 เลือดอ่ะมคั่งอยู่ในเลือดน้อยลงก็จะทำให้
00:25:05 → 00:25:08 บลัด Pressure เนี่ยมันต่ำลงนะครับถ้าคุณ
00:25:08 → 00:25:10 หมอที่ดูแลคุณอยู่เนี่ยครับ prescribe
00:25:10 → 00:25:13 หรือว่าจ่ายยาให้คุณเพื่อที่จะลดความดัน
00:25:13 → 00:25:15 เลือดอ่ะผมอยากแนะนำให้คุณน่ะให้ความร่วม
00:25:15 → 00:25:17 มือกับคุณหมอครับเพราะว่าถ้าคุณหมอพิแล้ว
00:25:17 → 00:25:19 ว่าจำเป็นต้องจ่ายยาเพื่อคุมความดันเแสดง
00:25:19 → 00:25:23 ว่ามันจำเป็นจริงๆแล้วมันเป็นวิธีที่เร็ว
00:25:23 → 00:25:26 ที่สุดที่จะลดความดันลงมานะครับเชื่อฟัง
00:25:26 → 00:25:28 คุณหมอคือกินยาให้ครบควบคู่ไปไปกับการ
00:25:28 → 00:25:31 ปรับวิถีชีวิตไปด้วยนะครับเพราะว่าถ้าคุณ
00:25:31 → 00:25:33 กินยาแล้วก็คุณปรับวิถีชีวิตทั้งเรื่อง
00:25:33 → 00:25:35 การกินไม่ว่าจะเป็นการกินน้ำตาลให้น้อยลง
00:25:36 → 00:25:38 กินโซเดียมให้ลดลงเพิ่มการกินโปแทสเซียม
00:25:38 → 00:25:41 ในเคสที่ไม่เป็นโรคไตนะแล้วก็ออกกำลังกาย
00:25:41 → 00:25:43 ให้มากขึ้นดูแลอารมณ์ตัวเองไม่ให้เครียด
00:25:43 → 00:25:46 แล้วก็นอนให้เพียงพอควบคู่ไปนะครับคุณจะ
00:25:46 → 00:25:49 สามารถจะ manage ให้ความดันเลือดเนี่ยมัน
00:25:49 → 00:25:52 ลดลงกลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้วก็จะลดความ
00:25:52 → 00:25:55 เสี่ยงในการเป็นโรคต่างๆโดยเฉพาะสกครับ
00:25:56 → 00:25:58 เพราะฉะนั้นวันนี้ที่ผมพูดมาทั้งหมดผม
00:25:58 → 00:26:00 อยากจะมาเพิ่มอีก 1 ทริกในการลดความดัน
00:26:00 → 00:26:03 เลือดคือการใส่ใจกับการกินโพแทสเซียมให้
00:26:03 → 00:26:05 มากเพียงพอเพราะฉะนั้นลองไปสำรวจตัวเองนะ
00:26:05 → 00:26:08 ครับว่าทุกวันนี้เรามีภาวะความดันโลหิต
00:26:08 → 00:26:11 สูงซ่อนอยู่โดยไม่รู้ตัวหรือเปล่าถ้าเป็น
00:26:11 → 00:26:13 อย่างนั้นคุณต้องใส่ใจกับการปรับพฤติกรรม
00:26:13 → 00:26:15 ตัวเองและ 1 ในทริกที่ให้วันนี้ก็คือใส่
00:26:15 → 00:26:18 ใจกับการกินโพแทสเซียมให้มากเพียงพอวันละ
00:26:18 → 00:26:21 อย่างน้อย 3,500 มกรก็จะช่วยในการคุมให้
00:26:21 → 00:26:25 ความดันเรอของคุณเนี่ยต่ำลงแล้วก็สุขภาพ
00:26:25 → 00:26:28 ดี Top tole
00:26:29 → 00:26:31 The Standard podcast I Opening for
00:26:31 → 00:26:34 Yours