00:00:07 → 00:00:09 ประสาทสัมผัสนี้ เป็นประสาทสัมผัสแรกที่เราใช้เมื่อเกิดมา
00:00:09 → 00:00:12 ยีน 1 ยีนในทุกๆ 50 ยีนในร่างกายเรา สัมพันธ์กับประสาทสัมผัสนี้
00:00:12 → 00:00:14 แสดงว่าต้องสำคัญสิใช่ไหม
00:00:14 → 00:00:17 เอาล่ะ ลองหายใจเข้าลึกๆ ทางจมูก
00:00:17 → 00:00:18 ประสาทสัมผัสที่ว่าคือประสาทสัมผัสรับกลิ่น
00:00:18 → 00:00:20 ซึ่งเป็นประสาทสัมผัสที่ทรงพลังอย่างยิ่ง
00:00:20 → 00:00:24 ผู้ใหญ่แยกแยะกลิ่นได้ราว 10,000 กลิ่น
00:00:24 → 00:00:25 จมูกจำแนกกลิ่นได้ด้วยกลไกดังนี้
00:00:25 → 00:00:29 การรับกลิ่นเริ่มต้นเมื่อเราสูดโมเลกุล ในอากาศเข้าไปผ่านรูจมูก
00:00:29 → 00:00:30 พื้นที่ในโพรงจมูกร้อยละ 95
00:00:30 → 00:00:33 มีหน้าที่กรองอากาศ ก่อนเข้าสู่ปอด
00:00:34 → 00:00:35 แต่ผนังด้านในสุดของจมูก
00:00:35 → 00:00:37 มีส่วนที่เรียกว่าเยื่อบุรับกลิ่น
00:00:37 → 00:00:40 เป็นหย่อมผิวเล็กๆ ที่ทำให้เราได้กลิ่นทุกสิ่ง
00:00:40 → 00:00:43 เยื่อบุรับกลิ่นมีชั้นเซลล์รับกลิ่น
00:00:43 → 00:00:45 ซึ่งเป็นเซลล์ประสาทพิเศษที่รับกลิ่นได้
00:00:45 → 00:00:47 เหมือนเป็นตุ่มรับรสของจมูก
00:00:47 → 00:00:49 เมื่อโมเลกุลกลิ่นกระทบส่วนหลังของจมูก
00:00:49 → 00:00:53 โมเลกุลพวกนี้ก็จะติดในชั้นน้ำมูก ที่เคลือบเยื่อบุรับกลิ่น
00:00:53 → 00:00:56 เมื่อโมเลกุลละลายตัว ก็จะจับเข้ากับเซลล์รับกลิ่น
00:00:56 → 00:00:58 ซึ่งส่งสัญญาณผ่าน ทางเดินเส้นประสาทนำกลิ่น
00:00:58 → 00:00:59 ไปยังสมอง
00:00:59 → 00:01:01 นอกเรื่องสักนิด เราบอกได้ว่า
00:01:01 → 00:01:03 ประสาทรับกลิ่นของสัตว์ชนิดหนึ่งๆ ดีแค่ไหนได้
00:01:03 → 00:01:05 จากขนาดเยื่อบุรับกลิ่น
00:01:05 → 00:01:07 เยื่อบุรับกลิ่นของสุนัข
00:01:07 → 00:01:09 ใหญ่กว่าของมนุษย์ 20 เท่า
00:01:09 → 00:01:13 แต่ทั้งนี้ ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้ เกี่ยวกับหย่อมเซลล์เหล่านี้อีกมาก
00:01:13 → 00:01:15 เช่น เยื่อบุรับกลิ่นของเรามีสารสีอยู่
00:01:15 → 00:01:17 และนักวิทยาศาสตร์ไม่ทราบว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น
00:01:17 → 00:01:20 ว่าแต่เราจำแนกกลิ่นได้อย่างไร
00:01:20 → 00:01:22 สมองของเรามี
00:01:22 → 00:01:24 เซลล์ประสาทรับกลิ่น 40 ล้านเซลล์
00:01:24 → 00:01:27 ดังนั้น กลิ่น เอ อาจกระตุ้น
00:01:27 → 00:01:29 เซลล์ประสาทที่ 3, 427, และ 988
00:01:29 → 00:01:32 ส่วนกลิ่น บี อาจกระตุ้น
00:01:32 → 00:01:36 เซลล์ประสาทที่ 8, 76, และ 2,496,678
00:01:36 → 00:01:37 การจับกลุ่มต่างๆ กันนี้
00:01:38 → 00:01:40 ช่วยให้เรารับกลิ่นได้มากมายมหาศาล
00:01:40 → 00:01:43 นอกจากนั้น เซลล์ประสาทรับกลิ่น ยังใหม่และพร้อมทำงานเสมออีกด้วย
00:01:43 → 00:01:46 เพราะเป็นเซลล์ประสาทชนิดเดียวในร่างกาย ที่ผลัดทดแทนสม่ำเสมอ
00:01:46 → 00:01:47 ทุก 4-8 สัปดาห์
00:01:47 → 00:01:50 เมื่อเซลล์เหล่านี้ถูกกระตุ้น สัญญาณจะเดินทางผ่านท่อลำเลียง
00:01:50 → 00:01:51 ที่เรียกว่าทางเดินเส้นประสาทนำกลิ่น
00:01:51 → 00:01:54 ไปยังจุดต่างๆ ในสมอง และแวะที่อมิกดาลา
00:01:54 → 00:01:56 ทาลามัส และ เปลือกสมองใหม่
00:01:56 → 00:01:59 กระบวนการประมวลผลนี้ต่างจาก ภาพที่เรามองเห็นและเสียง
00:01:59 → 00:02:01 สัญญาณภาพหรือเสียง จะเดินทางไปยังศูนย์ถ่ายทอดสัญญาณก่อน
00:02:01 → 00:02:03 ซึ่งอยู่ระหว่างสมองทั้ง 2 ซีก
00:02:03 → 00:02:05 จากนั้นจึงเดินทาง ไปยังสมองส่วนอื่นๆ
00:02:05 → 00:02:08 แต่กับกลิ่นแล้ว เนื่องจากประสาทสัมผัสนี้พัฒนา ก่อนประสาทสัมผัสอื่นๆ ส่วนใหญ่
00:02:08 → 00:02:11 สัญญาณจึงเดินทาง ไปยังสมองส่วนต่างๆ โดยตรง
00:02:11 → 00:02:13 และกระตุ้นการตอบสนองแบบสู้หรือหนี
00:02:13 → 00:02:16 ช่วยระลึกความทรงจำ หรือทำให้เราน้ำลายสอ
00:02:16 → 00:02:19 แต่แม้เราต่างมีองค์ประกอบทางกายภาพเหมือนกัน
00:02:19 → 00:02:21 คือมีรูจมูก 2 ข้าง และเซลล์ประสาทรับกลิ่นนับล้าน
00:02:21 → 00:02:23 แต่ไม่ใช่ทุกคนจะได้กลิ่นแบบเดียวกัน
00:02:23 → 00:02:25 หนึ่งในตัวอย่างที่โด่งดังมาก
00:02:25 → 00:02:27 คือความสามารถในการได้กลิ่น สิ่งที่เรียกกันว่า “ปัสสาวะหน่อไม้ฝรั่ง”
00:02:27 → 00:02:29 สำหรับคนราว 1 ใน 4
00:02:29 → 00:02:31 เมื่อปัสสาวะหลังรับประทานหน่อไม้ฝรั่งแล้ว
00:02:31 → 00:02:33 จะได้กลิ่นเฉพาะตัว
00:02:33 → 00:02:35 แต่คนอีกร้อยละ 75 ที่เหลือกลับไม่ได้กลิ่นนี้ห
00:02:35 → 00:02:38 นี่ไม่ใช่ตัวอย่างเดียว ที่จมูกแต่ละคนรับกลิ่นต่างกัน
00:02:38 → 00:02:41 สำหรับบางคน สารแอนโดรสตีโนน มีกลิ่นเหมือนวานิลลา
00:02:41 → 00:02:44 แต่สำหรับคนอื่น สารนี้มีกลิ่นเหมือนปัสสาวะชุ่มเหงื่อ
00:02:44 → 00:02:45 ซึ่งถือว่าโชคร้าย
00:02:45 → 00:02:48 เพราะแอนโดรสตีโนนพบได้ทั่วไป ในอาหารโอชะหลายอย่าง เช่น เนื้อหมู
00:02:48 → 00:02:50 เนื่องจากผู้ผลิตเนื้อหมูคำนึงถึงคนกลุ่มนี้
00:02:50 → 00:02:52 จึงมักตอนหมูตัวผู้
00:02:52 → 00:02:55 เพื่อให้หยุดผลิตแอนโดรสตีโนน
00:02:55 → 00:02:57 การไม่ได้กลิ่น เรียกว่า ภาวะเสียการรู้กลิ่น
00:02:57 → 00:02:59 มีแบบที่พบราว 100 แบบ
00:02:59 → 00:03:03 ผู้ที่เสียการรู้กลิ่นแอลลิซิน จะไม่ได้กลิ่นกระเทียม
00:03:03 → 00:03:05 ผู้ที่เสียการรู้กลิ่นยูจินอล จะไม่ได้กลิ่นกานพลู
00:03:05 → 00:03:08 ส่วนคนบางกลุ่มก็ไม่ได้กลิ่นอะไรเลย
00:03:08 → 00:03:09 สักอย่าง
00:03:09 → 00:03:12 ภาวะเสียการรู้กลิ่นโดยสมบูรณ์เช่นนี้ มีหลายสาเหตุ
00:03:12 → 00:03:14 บางคนเกิดมา โดยไม่มีประสาทรับกลิ่น
00:03:14 → 00:03:17 บางคนเสียประสาทรับกลิ่น หลังประสบอุบัติเหตุหรือระหว่างป่วย
00:03:17 → 00:03:20 หากเยื่อบุรับกลิ่นบวมหรือติดเชื้อ
00:03:20 → 00:03:21 ก็อาจขัดขวางการรับกลิ่นได้
00:03:21 → 00:03:24 ซึ่งคุณอาจเคยเผชิญเมื่อไม่สบาย
00:03:24 → 00:03:27 การไม่ได้กลิ่น อาจรบกวนประสาทสัมผัสอื่นๆ ด้วย
00:03:27 → 00:03:29 คนที่ไม่ได้กลิ่นอะไรเลยจำนวนมาก
00:03:29 → 00:03:32 รับรสไม่เหมือนกับพวกเราที่เหลือ
00:03:32 → 00:03:35 ทั้งนี้เพราะรสชาติอาหาร สัมพันธ์กับกลิ่นของอาหารอย่างใกล้ชิด
00:03:35 → 00:03:38 ขณะที่เราเคี้ยวอาหาร อากาศจะไหลขึ้นสู่โพรงจมูก
00:03:38 → 00:03:40 และนำกลิ่นอาหารไปด้วย
00:03:40 → 00:03:42 กลิ่นเหล่านี้จะกระทบเยื่อบุรับกลิ่น
00:03:42 → 00:03:45 และบอกข้อมูลหลายอย่างกับสมอง เกี่ยวกับอาหารที่เรารับประทาน
00:03:45 → 00:03:48 หากรับกลิ่นไม่ได้ คุณก็จะเสียความสามารถในการรับรส
00:03:48 → 00:03:50 สิ่งที่ซับซ้อนกว่ารสชาติพื้นฐาน 5 ชนิด
00:03:50 → 00:03:51 ที่ตุ่มรับรสรับรู้ได้ อันได้แก่
00:03:51 → 00:03:53 รสหวาน เค็ม
00:03:53 → 00:03:55 ขม เปรี้ยว และ รสกลมกล่อม
00:03:55 → 00:03:57 ดังนั้น คราวหน้าที่คุณได้กลิ่นควันไอเสีย
00:03:57 → 00:03:58 ไอเค็มทะเล หรือ ไก่ย่าง
00:03:58 → 00:04:00 คุณก็จะรู้แล้วว่าได้กลิ่นเหล่านี้ได้อย่างไร
00:04:00 → 00:04:03 และอาจจะรู้สึกดีใจที่ได้กลิ่นพวกนี้