00:00:00 → 00:00:03 สวัสดีครับตอนนี้เนี่ยผมเห็นในโซเชียลมี
00:00:03 → 00:00:06 การเตือนแล้วก็มีอุทาหรณ์ออกมาให้หลายคน
00:00:06 → 00:00:08 ระวังเรื่องของน้ำอัดลมเพราะว่ามีน้องคน
00:00:08 → 00:00:11 นึงนะครับเขาดื่มน้ำอัดลมเยอะมากเลยนะ
00:00:11 → 00:00:13 ครับแล้วสุดท้ายเนี่ยเลือดมันเป็นกรด
00:00:13 → 00:00:17 จำเป็นจะต้องได้รับการรักษาใน ICU นะครับ
00:00:17 → 00:00:19 น้ำอัดลมเนี่ยมันอันตรายขนาดนั้นจริงหรือ
00:00:19 → 00:00:22 เปล่าแล้วมันทำให้เลือดเป็นกรดได้หรือไม่
00:00:22 → 00:00:25 มันทำให้น้องเ้ามีอาการแบบนั้นหรือไม่วัน
00:00:25 → 00:00:26 นี้ผมจะหยิบยกเรื่องนี้มาวิเคราะห์ให้ทุก
00:00:26 → 00:00:29 คนเข้าใจกันนะครับพบกับผมนะครับนายแพทย์
00:00:29 → 00:00:31 ธนูธนียวันเป็นอาจารย์แพทย์อยู่ที่ประเทศ
00:00:31 → 00:00:33 สหรัฐอเมริกาเชี่ยวชาญโรคปอดการปลูกถ่าย
00:00:33 → 00:00:37 ปอดและวิกฤตบำบัดนะครับโดยเรื่องเนี่ยนะ
00:00:37 → 00:00:39 ครับก็ต้องบอกว่ามีผู้ชาย Facebook ท่าน
00:00:39 → 00:00:41 นึงนะครับเามีหลานสาวชื่อน้องกัสจังนะ
00:00:41 → 00:00:44 ครับน้องกัสจังเนี่ยเป็นคนที่ชอบดื่มน้ำ
00:00:44 → 00:00:47 อารมณ์มากเรียกได้ว่าดื่มแทนน้ำเปล่าปกติ
00:00:47 → 00:00:50 เลยนะครับแล้วก็ชอบของหวานไม่ออกกำลังกาย
00:00:50 → 00:00:54 เลยนะครับในเดือนพฤษภาคม 256 ที่ผ่านมา
00:00:54 → 00:00:57 เนี่ยน้องเ้ามีน้ำหนักลดครับลดไป 5 กก.มี
00:00:57 → 00:01:00 ปัสสาวะบ่อยมากเลยนะครับแล้วช่วงนั้น
00:01:00 → 00:01:03 เนี่ยทางครอบครัวก็คิดว่าเอ๊ะน้องเาตรอม
00:01:03 → 00:01:05 ใจหรือเปล่าน้ำหนักมันถึงลดนะฮะก็ไม่ได้
00:01:05 → 00:01:08 คิดอะไรมากจนกระทั่งมาถึงวันที่ 27
00:01:08 → 00:01:11 พฤษภาคมที่ผ่านมาประมาณสัก 3:00 น.เนี่ย
00:01:11 → 00:01:14 น้องเ้าก็ตื่นมาเข้าห้องน้ำถ่ายนะครับ
00:01:14 → 00:01:17 ถ่ายประมาณสัก 20 นาทีนะครับทางครอบครัว
00:01:17 → 00:01:19 ก็คิดว่าเอ๊ะท้องผูกหรืออะไรหรือเปล่าก็
00:01:19 → 00:01:21 ไม่ได้สนใจนะครับ 4:00 น.ตื่นมาอีกรอบนึง
00:01:21 → 00:01:24 ถ่ายเหมือนกันนะครับก็ไม่ได้คิดอะไรอีก
00:01:24 → 00:01:27 18:00 น.แล้วพอจะไปโรงเรียนน้องเขามี
00:01:27 → 00:01:29 อาการเวียนหัวนะครับก็คิดว่าเอ้ยป่วยหรือ
00:01:29 → 00:01:32 เปล่าเลยให้หยุดนะครับหยุดก็นอนพักนอนพัก
00:01:32 → 00:01:35 ตื่นมาเนี่ยมันก็มีอาการเหมือนเดิมแต่ว่า
00:01:35 → 00:01:37 คราวนี้มีอาการเหนื่อยเพิ่มมากขึ้นนะครับ
00:01:37 → 00:01:40 หายใจเร็วนะครับมีการสั่งอาหารมาที่บ้าน
00:01:40 → 00:01:43 น้องเเดินลงไปเอาอาหารขึ้นมาก็หอมเหมือน
00:01:43 → 00:01:45 กับเหมือนไปวิ่งมาเลยเหนื่อยมากๆนะครับ
00:01:45 → 00:01:47 ทานอาหารเข้าไปได้นิดเดียวก็ทานไม่ลงนะมี
00:01:47 → 00:01:50 อาการคลื่นไส้มีอาการถ่ายบ่อยเหมือนเดิม
00:01:50 → 00:01:52 นะครับจนสุดท้ายเนี่ยไม่ไหวก็เลยจำเป็นจะ
00:01:52 → 00:01:55 ต้องนำส่งโรงพยาบาลพอพอไปถึงโรงพยาบาล
00:01:55 → 00:01:58 เนี่ยหมอตรวจพบว่าน้องเหายใจเร็วมากนะ
00:01:58 → 00:02:01 ครับหายใจเร็วถึง 30 ครั้งต่อนาทีนะครับ
00:02:01 → 00:02:03 คนปกติเนี่ยไม่ควรจะเกิน 20 ครั้งต่อนาที
00:02:04 → 00:02:07 ถ้าแบบผมหรือว่าคุณที่ดูคลิปนี้อยู่เนี่ย
00:02:07 → 00:02:09 ส่วนใหญ่ก็อยู่ที่ประมาณ 8-10 ครั้งต่อ
00:02:09 → 00:02:11 นาทีเท่านั้นเองไม่ได้มากกว่านั้นแต่ของ
00:02:11 → 00:02:14 น้องเ้าเนี่ย 30 ครั้งนะครับแล้วก็ไปเจอ
00:02:14 → 00:02:16 ว่าน้ำตาลสูงก็คือสรุปแล้วว่าเป็นเบาหวาน
00:02:16 → 00:02:20 ชนิดที่รุนแรงนั่นเองแล้วก็มีเลือดเป็น
00:02:20 → 00:02:23 กรดร่วมด้วยนะครับน้องเ้าก็เข้ารับการ
00:02:23 → 00:02:26 รักษาใน ICU อยู่มียาต่างๆให้นะครับแล้ว
00:02:26 → 00:02:28 น้องเหนือจากนั้นเนี่ยก็ยังไปตรวจเจอว่า
00:02:28 → 00:02:30 น้องเ้ามีฝีที่ขาจำเป็นจะต้องไปผ่าตัดมัน
00:02:30 → 00:02:32 อีกนะครับหลังจากที่พักฟื้นในโรงพยาบาลมา
00:02:32 → 00:02:35 ได้ประมาณ 2 วันสุดท้ายเนี่ยน้องเค้าก็ดี
00:02:35 → 00:02:37 ขึ้นแล้วก็ได้กลับบ้านนะครับทำให้เรื่อง
00:02:37 → 00:02:38 นี้เนี่ยมันเป็นเรื่องที่โด่งดังคนก็ออก
00:02:38 → 00:02:40 มาเตือนว่าการดื่มน้ำอารมณ์บ่อยๆแบบนี้
00:02:40 → 00:02:43 เนี่ยมันทำให้เป็นเบาหวานแล้วก็อันตราย
00:02:43 → 00:02:46 ต่อร่างกายได้ซึ่งผมต้องขอบอกอย่างนี้ไว้
00:02:46 → 00:02:50 ก่อนนะครับว่าน้ำอัดลมเนี่ยถ้าเราดื่ม
00:02:50 → 00:02:52 เยอะๆมันไม่ดีต่อร่างกายแน่ๆอันนี้ถูก
00:02:52 → 00:02:56 ต้องนะครับแต่การที่น้ำอัดลมดื่มเข้าไป
00:02:56 → 00:02:58 เนี่ยเยอะแบบเนี้ยมันไม่ได้ทำให้น้องเ้า
00:02:58 → 00:03:02 เป็นโรคนี้ครับอ่าต้องเข้าใจตรงนี้ก่อนนะ
00:03:02 → 00:03:04 ครับสิ่งที่น้องเ้าเป็นเนี่ยคือน้องเ้า
00:03:04 → 00:03:07 เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 นะครับเบาหวานชนิด
00:03:07 → 00:03:09 ที่ 1 เนี่ยมันหมายความว่าอะไรมันหมาย
00:03:09 → 00:03:12 ความว่าตับอ่อนของน้องเา้าเนี่ยไม่สามารถ
00:03:12 → 00:03:14 สร้างฮอร์โมนอินซูลินได้ซึ่งฮอร์โมน
00:03:14 → 00:03:17 อินซูลินมีหน้าที่ในการทำให้น้ำตาลใน
00:03:17 → 00:03:20 เลือดเนี่ยมันลดลงสู่ระดับปกติหลังจากที่
00:03:20 → 00:03:23 เราทานอาหารที่มีน้ำตาลเข้าไปนะครับแล้ว
00:03:23 → 00:03:26 นอกเหนือจากนั้นมันยังลดการสลายของไขมัน
00:03:26 → 00:03:29 ตามร่างกายด้วยนะฮะไม่เพียงแค่นั้นครับ
00:03:29 → 00:03:31 ฮอร์โมนอินซูลินเนี่ยเป็นฮอร์โมนที่เอา
00:03:31 → 00:03:33 ไว้ใช้เสริมสร้างร่างกายทั้งในด้านของ
00:03:33 → 00:03:35 กระดูกและก็กล้ามเนื้อมีความเกี่ยวข้อง
00:03:35 → 00:03:38 กันหมดนะครับดังนั้นถ้าเกิดว่าเราขาด
00:03:38 → 00:03:41 ฮอร์โมนอินซูลินนะครับมันก็จะทำให้ร่าง
00:03:41 → 00:03:44 กายของเราเนี่ยมีน้ำตาลที่สูงมากนะครับ
00:03:44 → 00:03:47 เวลาที่เรามีน้ำตาลสูงมากๆเยอะอะไรอย่าง
00:03:47 → 00:03:49 เงี้ยนะครับแน่นอนครับสิ่งที่เกิดขึ้นก็
00:03:49 → 00:03:52 คือเราเนี่ยจะปัสสาวะบ่อยเพราะว่าน้ำตาล
00:03:52 → 00:03:55 ในเลือดเนี่ยมันเป็นตัวดูดน้ำจากภายนอก
00:03:55 → 00:03:57 เข้ามาไว้ในเส้นเลือดเยอะๆนะครับพอเรามี
00:03:57 → 00:04:00 น้ำในบริเวณเ่อหลอดเลือดเยอะเนี่ยมันก็จะ
00:04:00 → 00:04:04 ทำให้ไตของเราต้องขับออกไปหมดนะครับก็จะ
00:04:04 → 00:04:07 มีอาการปัสสาวะบ่อยมากแล้วก็หิวน้ำบ่อย
00:04:07 → 00:04:09 มากนะครับในที่นี้ก็คือยิ่งทำให้น้องเขา
00:04:09 → 00:04:12 ดื่มน้ำอัดลมและน้ำอัดลมก็มีน้ำตาลสูงถูก
00:04:12 → 00:04:14 มั้ยครับดังนั้นมันก็เลยกลายเป็นวงจรที่
00:04:14 → 00:04:17 น้องเขาหิวน้ำมากเพราะว่าปัสสาวะออกบ่อยๆ
00:04:17 → 00:04:20 แล้วก็ดื่มน้ำอัดลมทำให้มีน้ำตาลสูงแต่
00:04:20 → 00:04:22 น้องเขาไม่สามารถสร้างอินูซิได้นะครับ
00:04:22 → 00:04:25 น้องเ้าก็เลยมีภาวะที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น
00:04:25 → 00:04:29 มานะครับและเนื่องจากว่าฮอร์โมนอินซูลิน
00:04:29 → 00:04:32 เนี่ยมันป้องกันการสลายของไขมันทีนี้
00:04:32 → 00:04:34 เนี่ยถ้าน้องเ้าไม่สามารถที่จะสร้าง
00:04:34 → 00:04:37 ฮอร์โมนอินซูลินได้สิ่งที่ตามมาก็คือเกิด
00:04:37 → 00:04:41 การสลายของไขมันนะครับเวลาไขมันเนี่ยมัน
00:04:41 → 00:04:44 โดนสลายมันจะทำให้เกิดภาวะเลือดเป็นกรด
00:04:44 → 00:04:49 เราเรียกว่าคีโตอซidosนะครับอ่าคีโตอซิos
00:04:49 → 00:04:51 ซึ่งบางคนอาจจะคุ้นๆเอ๊ะคำว่าคีโตเนี่ย
00:04:51 → 00:04:54 เนี่ยบางคนจะคุ้นว่าเอ๊ะเรารับประทาน
00:04:54 → 00:04:58 อาหารคีโตใช่มั้ยครับใช่ครับการที่เรารับ
00:04:58 → 00:05:00 ประทานแบบคีโตเนี่ยก็คือการที่เราลด
00:05:00 → 00:05:03 คาร์โบไฮเดรตลงไปมากๆเนี่ยครับร่างกายมัน
00:05:03 → 00:05:05 จะไปใช้พลังงานจากไขมันแล้วถ้าเราใช้พลัง
00:05:05 → 00:05:08 งานจากไขมันล้วนๆก็จะเกิดภาวะเลือดเป็น
00:05:08 → 00:05:11 กรดแล้วก็มีการสร้างคีโตนบอดี้ออกมานะ
00:05:11 → 00:05:14 ครับอย่างไรก็ตามในคนปกติเนี่ยมันก็ไม่
00:05:14 → 00:05:16 ได้อันตรายขนาดนั้นเพราะว่ากรดที่ถูก
00:05:16 → 00:05:19 สร้างออกมานั้นร่างกายสามารถจัดการได้นะ
00:05:19 → 00:05:21 ครับร่างกายจัดการกับกรดได้โดย 2 วิธี
00:05:21 → 00:05:25 หลักๆนะครับวิธีแรกก็คือการหายใจเอากรด
00:05:25 → 00:05:27 ออกไปนะครับโดยเอาออกไปในรูปของ
00:05:27 → 00:05:30 คาร์บอนไดออกไซด์รูปแบบที่ 2 ก็คือการที่
00:05:30 → 00:05:33 ไตมันขับกรดออกไปแต่ว่าการขับกรดทางไต
00:05:33 → 00:05:35 เนี่ยจะต้องใช้เวลาให้ไตมันปรับตัวอย่าง
00:05:35 → 00:05:38 น้อยก็ 2-3 วันดังนั้นมันจะช้ากว่านะครับ
00:05:38 → 00:05:41 ถ้าเลือดเป็นกรดระยะยาวๆเนี่ยก็จะไปมี
00:05:41 → 00:05:44 ปัญหากับกระดูกได้เพราะว่าร่างกายมีระบบ
00:05:44 → 00:05:47 บัฟเฟอร์ที่จะต้องทำให้ค่าความเป็นกดด่าน
00:05:47 → 00:05:49 ในเลือดเนี่ยมันเป็นกลางที่สุดก็คือ PS
00:05:49 → 00:05:53 7.4 4 ดังนั้นกระดูกไตแล้วก็การหายใจ
00:05:53 → 00:05:56 เนี่ยมันจะพยายามปรับให้พีของเลือดเป็น
00:05:56 → 00:05:58 กลางที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยไม่สนใจ
00:05:58 → 00:06:00 ว่าร่างกายจะสร้างกรดหรืออะไรออกมาจากไหน
00:06:00 → 00:06:02 นะครับมันจะต้องไปลดไอ้ปริมาณพวกนี้เพื่อ
00:06:02 → 00:06:05 ให้สมดุลร่างกายมันเกิดขึ้นนะครับนี่คือ
00:06:05 → 00:06:08 สิ่งที่น้องเเป็นแล้วน้องคนนี้เนี่ย
00:06:08 → 00:06:10 เนื่องจากไม่สามารถสร้างอินซูลินได้เราจะ
00:06:10 → 00:06:12 เรียกว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 นะครับและ
00:06:12 → 00:06:16 เมื่อบวกกับภาวะที่มีคีโตนเยอะๆจากการที่
00:06:16 → 00:06:18 สลายไขมันเนี่ยเราก็จะเรียกภาวะนี้ว่า
00:06:19 → 00:06:21 diabetic คีโตอซidโดosิก็คือเป็นภาวะที่
00:06:21 → 00:06:24 เลือดเป็นกรดรุนแรงจากเบาหวานชนิดที่ 1
00:06:24 → 00:06:27 นะครับตอนเคงมีคนสงสัยแล้วแหละว่าเบาหวาน
00:06:27 → 00:06:29 ชนิดที่ 1 เนี่ยนะครับมันเกิดได้ยังไงมัน
00:06:30 → 00:06:32 เกี่ยวอะไรกับน้ำอัดลมมยผมต้องบอกอย่าง
00:06:32 → 00:06:35 งี้ครับน้องกัสจังเนี่ยต่อให้เขาดื่มน้ำ
00:06:35 → 00:06:39 ปกติออกกำลังกายสม่ำเสมอใช้ชีวิตอย่างดี
00:06:39 → 00:06:42 เลยกินอาหารถูกต้องเค้าก็ยังจะเป็นเบา
00:06:42 → 00:06:46 หวานชนิดที่ 1 อยู่ดีครับเค้าก็ยังจะเป็น
00:06:46 → 00:06:48 ถึงแม้ว่าถ้ากรณีนี้เค้าไม่ดื่มน้ำอัดลม
00:06:48 → 00:06:51 เลยนะดื่มแต่น้ำเปล่าธรรมดาแทนน้ำอัดลม
00:06:51 → 00:06:54 เค้าก็ยังจะคงเป็นเบาหวานชนิดหนึ่งได้
00:06:54 → 00:06:58 อยู่ดีเหตุผลมันเพราะอย่างนี้ครับคือเบา
00:06:58 → 00:07:00 หวานชนิดที่ 1 เนี่ยเป็นโรคภูมิต่อต้าน
00:07:00 → 00:07:03 ตัวเองครับโรคออโตimmิมคือร่างกายเรา
00:07:03 → 00:07:08 เนี่ยสร้างแอนติบอดี้หรือสารที่มันผิด
00:07:08 → 00:07:11 ปกติแล้วไปทำลายเซลล์ที่สร้างอินซูลินนะ
00:07:11 → 00:07:14 ครับเซลล์นี้ก็คือเบต้าเซลล์ที่อยู่ในตับ
00:07:14 → 00:07:18 อ่อนนะครับการสร้างแอนติบอดี้ที่ผิดปกติ
00:07:18 → 00:07:20 เนี่ยเนี่ยมันไม่เกี่ยวอะไรกับการดื่มน้ำ
00:07:20 → 00:07:23 อัดลมครับคุณจะดื่มน้ำอะไรมันก็สร้างอยู่
00:07:23 → 00:07:26 ดีแต่ถามว่าทำไมอยู่ถึงเกิดการสร้าง
00:07:26 → 00:07:29 แอนตีบอดี้พวกนี้ผิดปกติขึ้นมานะครับก็
00:07:29 → 00:07:32 ต้องบอกว่าปัจจุบันเนี่ยมันมีทฤษฎีที่
00:07:32 → 00:07:34 เกี่ยวข้องกับทางด้านของพันธุกรรมบวกกับ
00:07:34 → 00:07:36 สิ่งแวดล้อมนะครับทางพันธุกรรมเนี่ยเรา
00:07:36 → 00:07:39 เจอว่าคนที่มีความอ่าหลากหลายทาง
00:07:39 → 00:07:41 พันธุกรรมบางอย่างเช่นกลุ่มที่เราเรียก
00:07:41 → 00:07:46 ว่า HLADR3 กับ HLADR4 เนี่ยตัวเนี้ยมัน
00:07:46 → 00:07:49 เป็นสิ่งที่ทำให้คนนึงมีความเสี่ยงต่อการ
00:07:49 → 00:07:51 เกิดโรคเบาหวานชนิดที่ 1 เพิ่มมากขึ้น
00:07:51 → 00:07:53 น้องเอาจจะเป็นกรณีนี้ก็ได้หรืออาจจะเป็น
00:07:53 → 00:07:56 กรณีอื่นก็ได้นะครับแต่นี่แค่ยกตัวอย่าง
00:07:56 → 00:07:58 ให้ฟังนะครับ H เนี่ยเอ่อหลายคนอาจจะเคย
00:07:59 → 00:08:01 ได้ยินผมพูดไว้นะครับก็คือมันย่อมาจากคำ
00:08:01 → 00:08:04 ว่า Human Luco Antigen นะครับซึ่งมัน
00:08:05 → 00:08:07 จะมีทั้งหมด 2 ชุดนะครับชุดนึงเนี่ยมาจาก
00:08:07 → 00:08:09 คุณพ่อชุดนึงมาจากคุณแม่แล้วก็ประกอบร่าง
00:08:09 → 00:08:12 เป็นเรานะครับถ้าเกิดคุณมี HAD 3 2 ตัว
00:08:12 → 00:08:14 HAD 4 2 ตัวคือตัวนึงจากพ่อตัวนึงจาก
00:08:14 → 00:08:16 แม่คุณก็จะมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบา
00:08:16 → 00:08:19 หวานชนิดที่ 1 ที่สูงมากขึ้นนะครับแต่โดย
00:08:19 → 00:08:21 ส่วนใหญ่นะครับคือแค่การมีความเสี่ยงทาง
00:08:22 → 00:08:23 พันธุกรรมเนี่ยไม่ได้ทำให้คุณเป็นเบาหวาน
00:08:23 → 00:08:25 ชนิดที่ 1 ได้มันจะต้องมีตัวกระตุ้นอีก
00:08:25 → 00:08:28 ตัวนึงนะครับตัวกระตุ้นอีกตัวนึงที่เจอ
00:08:28 → 00:08:32 กันบ่อยๆก็เช่นการติดเชื้อไวรัสอ่าเช่น
00:08:32 → 00:08:34 ไวรัสทางเดินหายใจนะครับไวรัสคอกซaki
00:08:34 → 00:08:37 ไวรัสเอ่อต่างๆนะครับเค้าเชื่อว่ามันเป็น
00:08:37 → 00:08:40 ตัวกระตุ้นทำให้ร่างกายสามารถสร้าง
00:08:40 → 00:08:43 แอนติบอดี้ที่ผิดปกติออกมาทำลายเซลล์ตับ
00:08:43 → 00:08:45 อ่อนได้ทำให้อินซูลินน่ะมันไม่ถูกสร้างนะ
00:08:45 → 00:08:48 ครับแอนตีบอดี้ต่อเซลล์ตับอ่อนเนี่ยมัน
00:08:48 → 00:08:51 ไม่ได้มีชนิดเดียวนะครับมันมีหลากหลาย
00:08:51 → 00:08:54 ชนิดเลยนะครับยกตัวอย่างเช่น GAT 65 GAD
00:08:54 → 00:08:57 65 เนี่ยนะครับแล้วก็ตัวอื่นๆอีกเยอะแยะ
00:08:57 → 00:08:59 นะครับซึ่ง GAT 65 ผมก็เคยพูดไปแล้วใน
00:08:59 → 00:09:01 กรณีของโรค Stiff Person Syndrome นะ
00:09:01 → 00:09:04 ถ้าใครจำคลิปนั้นได้เนี่ยก็ย้อนไปดูถ้า
00:09:04 → 00:09:06 ใครจำไม่ได้ก็ลองย้อนไปดูนะครับผมเคยเล่า
00:09:06 → 00:09:08 ไว้แล้วว่ามันมันคืออะไรแล้วมันเกี่ยว
00:09:08 → 00:09:11 อะไรกับเบาหวานชนิดที่ 1 ด้วยนะครับนะที
00:09:11 → 00:09:13 นี้เรารู้แล้วนะครับว่าเบาหวานชนิดที่ 1
00:09:13 → 00:09:16 นั้นเกิดเพราะว่าภูมิต่อต้านตัวเองไม่ได้
00:09:16 → 00:09:21 เกิดเพราะน้ำอัดลมแต่เวลาที่คุณมีอาการ
00:09:21 → 00:09:24 แบบเนี้ยเริ่มเกิดการแสดงอาการของเบาหวาน
00:09:24 → 00:09:29 แล้วนะครับมันจะทำให้มีปัญหาเยอะเลยนะ
00:09:29 → 00:09:31 ครับโดยปกติเนี่ยเบต้าเซลล์ของเราเวลามัน
00:09:31 → 00:09:34 โดนทำลายไปสักประมาณสัก 80-90% ของทั้ง
00:09:34 → 00:09:36 หมดเนี่ยจะเริ่มแสดงอาการของเบาหวานนะ
00:09:36 → 00:09:38 ครับตอนมันทำลายแรกๆเนี่ยคุณไม่มีอาการ
00:09:38 → 00:09:43 อะไรเลยแต่พอทำลายเยอะๆจนถึง 8-90% ของ
00:09:43 → 00:09:45 เซลล์ทั้งหมดเนี่ยมันจะทำให้อินซูลินที่
00:09:45 → 00:09:49 สร้างมาไม่พอครับพอไม่มีพอเนี่ยสิ่งที่
00:09:49 → 00:09:51 เกิดตามมาก็คือน้ำตาลเนี่ยเลือดมันจะค่อย
00:09:51 → 00:09:54 ๆสูงแล้วก็จะเริ่มมีอาการหิวน้ำบ่อย
00:09:54 → 00:09:58 ปัสสาวะบ่อยตามมานะครับถ้าในช่วงนี้ยิ่ง
00:09:58 → 00:10:01 ดื่มน้ำอัดหรือได้รับน้ำตาลเข้าไปในเลือด
00:10:01 → 00:10:03 เยอะๆนะครับก็จะทำให้อาการพวกเนี้ยแสดง
00:10:03 → 00:10:07 ได้เร็วและมากขึ้นนะตรงนี้ต้องฟังดีๆนะ
00:10:07 → 00:10:11 ครับน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลทำให้เบาหวานชนิด
00:10:11 → 00:10:15 ที่ 1 แสดงอาการได้เร็วและมากขึ้นแต่มัน
00:10:15 → 00:10:18 ไม่ได้เป็นสาเหตุเหตุของเบาหวานชนิดที่ 1
00:10:18 → 00:10:20 ต้องแยกให้ออกนะครับน้ำอารมณ์ไม่ใช่
00:10:20 → 00:10:22 สาเหตุของเบาหวานชนิดที่ 1 แต่มันทำให้
00:10:22 → 00:10:26 คุณมีปัญหาเบาหวานชนิดที่ 1 ที่แสดงการาร
00:10:26 → 00:10:30 ได้เร็วมากขึ้นได้นะครับตอนนี้ผมอยากจะ
00:10:30 → 00:10:32 ให้ทุกคนทำความเข้าใจกับเบาหวานอีกชนิด
00:10:32 → 00:10:35 นึงก็คือเบาหวานชนิดที่ 2 ที่เราเจอเยอะ
00:10:35 → 00:10:37 กว่าแล้วน้ำอัดลมเนี่ยมีผลต่อเบาหวานชนิด
00:10:37 → 00:10:41 ที่ 2 มากกว่าชนิดที่ 1 นะครับเบาหวาน
00:10:41 → 00:10:44 ชนิดที่ 1 เนี่ยส่วนใหญ่แล้วเป็นในคนอายุ
00:10:44 → 00:10:47 น้อยนะครับเป็นจากภูมิต่อต้านเซลล์ตับ
00:10:47 → 00:10:51 อ่อนนะฮะเป็นหลักเลยนะฮะแล้วก็มักจะมักจะ
00:10:51 → 00:10:54 ไม่มีประวัติเบาหวานชนิดเนี้ยในครอบครัว
00:10:54 → 00:10:57 มักจะนะอ่าถึงแม้ว่ามันจะมีปัจจัยทางด้าน
00:10:57 → 00:11:01 พันธุกรรมก็คือ HL DR3 DR4 เนี่ยมี
00:11:01 → 00:11:03 ปัจจัยทางนี้จริงๆแต่ว่าในครอบครัวมักจะ
00:11:03 → 00:11:05 ไม่มีประวัติเบาหวานชนิดที่ 1 นะครับมัก
00:11:06 → 00:11:07 จะนี่ไม่แปลว่ามันเป็นไปไม่ได้นะครับ
00:11:07 → 00:11:09 เพราะมันก็มีบางเคสเป็นกรณีพิเศษเหมือน
00:11:09 → 00:11:13 กันนะครับแต่เบาหวานชนิดที่ 1 เนี่ยคน
00:11:13 → 00:11:15 ส่วนใหญ่มักจะผอมถ้าเป็นเบาหวานชนิดที่ 2
00:11:15 → 00:11:18 เนี่ยปัญหามันตรงกันข้ามครับเบาหวานชนิด
00:11:18 → 00:11:21 ที่ 1 เกิดจากการสร้างอินซูลินไม่เพียงพอ
00:11:21 → 00:11:23 เพราะว่ามีการทำลายของเซลล์ที่ผลิต
00:11:23 → 00:11:26 อินซูลินแต่เบาหวานชนิดที่ 2 เนี่ยมัน
00:11:26 → 00:11:29 เกิดเพราะว่าคุณมีความดื้อต่ออินซูลินคุณ
00:11:29 → 00:11:31 สร้างอินซูลินเข้ามาเท่าไหร่ก็ตามนะครับ
00:11:31 → 00:11:32 แต่ว่าเนื้อเยื่อมันไม่ตอบสนองต่อ
00:11:32 → 00:11:35 อินซูลินมันก็เลยทำให้เกิดภาวะนี้ขึ้นมา
00:11:35 → 00:11:38 ซึ่งเบาหวานชนิดที่ 2 เนี่ยมักจะเจอในคน
00:11:38 → 00:11:41 ที่อายุเยอะกว่านะครับมีภาวะอ้วนแล้วก็ใน
00:11:41 → 00:11:43 ครอบครัวเนี่ยมีเบาหวานกันเยอะนะครับ
00:11:43 → 00:11:45 อันเนี้ยจะเจอได้บ่อยกว่าแล้วก็สัมพันธ์
00:11:45 → 00:11:48 กับการที่รับประทานอาหารที่มีน้ำตาลสูง
00:11:48 → 00:11:51 อยู่บ่อยๆเช่นน้ำอัดลมอย่างนี้เป็นต้นนะ
00:11:51 → 00:11:53 ครับนั่นคือเบาหวานชนิดที่ 2 การดื่มน้ำ
00:11:53 → 00:11:56 อัดลมเยอะๆอาจจะทำให้เกิดเบาหวานชนิดที่ 2
00:11:56 → 00:11:59 ง่ายขึ้นด้วยโดยเฉพาะคนที่ในครอบครัวมี
00:11:59 → 00:12:01 เบาหวานกันหลายคนนะครับตรงนี้เป็นข้อแตก
00:12:01 → 00:12:04 ต่างฟังให้ชัดเจนนะครับเพราะว่าไม่งั้น
00:12:04 → 00:12:06 เดี๋เราจะสับสนแล้วไปเชื่อว่าเฮ้ยการกิน
00:12:06 → 00:12:08 น้ำอัดลมเนี่ยทำให้เกิดเลือดเป็นกรดมันคน
00:12:08 → 00:12:11 ละอย่างกันในกรณีเลือดเป็นกรดเพราะว่าคุณ
00:12:11 → 00:12:13 เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 เลือดจึงเป็นกรดไม่
00:12:13 → 00:12:15 ใช่น้ำอารมณ์ไม่ใช่กรดในน้ำอารมณ์ทำให้
00:12:15 → 00:12:18 เลือดคุณเป็นกรดครับตรงนี้แตกต่างกันชัด
00:12:18 → 00:12:22 เจนแล้วนะอีกประการนึงซึ่งผมอยากจะพูดก็
00:12:22 → 00:12:25 คือเรื่องของเลือดเป็นกรดนะครับเพราะว่า
00:12:25 → 00:12:29 มันอาจจะไปขัดกับแพทย์บางท่านได้เพราะ
00:12:29 → 00:12:32 แพทย์บางท่านเนี่ยหรือว่าคนที่เอ่ออาจจะ
00:12:32 → 00:12:35 ไม่เข้าใจในศาสตร์ชะลอวัยจริงๆก็จะบอกว่า
00:12:35 → 00:12:38 การที่เราดื่มน้ำอัดลมหรือว่าทานอาหารที่
00:12:38 → 00:12:39 เป็นเนื้อสัตว์เนี่ยจะทำให้เลือดเป็นกรด
00:12:39 → 00:12:42 ซึ่งมันไม่เป็นความจริงครับมันไม่เป็น
00:12:42 → 00:12:44 ความจริงต่อให้ของพวกนั้นมันเป็นกรดก็ตาม
00:12:44 → 00:12:46 นะครับมันก็ไม่เป็นความจริงเพราะอะไรรู้
00:12:46 → 00:12:49 มั้ฮะเพราะว่าร่างกายเราเนี่ยมีระบบรักษา
00:12:49 → 00:12:52 สมดุลครับตั้งแต่เรื่องของการหายใจเรื่อง
00:12:52 → 00:12:55 ของไตเรื่องของกระดูกมันจะจัดการให้พีใน
00:12:55 → 00:12:57 เลือดของเราเนี่ยเป็นกลางก็คือ 7.4 สี
00:12:57 → 00:13:00 ตลอดเวลาไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็แล้วแต่แล้ว
00:13:00 → 00:13:03 การไปกินโซดาิ้นหรือการไปกินน้ำด่างต่างๆ
00:13:04 → 00:13:06 เข้าไปมันก็ไม่ได้ทำให้เลือดของคุณเนี่ย
00:13:06 → 00:13:09 กลายไปเป็นด่างหรือหายเป็นกรดนะครับมัน
00:13:09 → 00:13:12 ไม่ได้ช่วยมันช่วยกรณีเดียวก็คือคุณต้อง
00:13:12 → 00:13:15 มีปัญหาเรื่องโรคไตเรื้อรังอย่างน้อยก็
00:13:15 → 00:13:19 ระยะที่ 3 ที่ระยะ 3 ท้ายๆไปแล้วที่เลือด
00:13:19 → 00:13:20 มันอาจจะเป็นกรดเพราะว่าไตคุณทำหน้าที่
00:13:20 → 00:13:24 ขับกรดได้ไม่ดีกรณีแบบนั้นเนี่ยที่อาหาร
00:13:24 → 00:13:27 ต่างๆที่มีกรดมันจะส่งผลทำให้คุณมีปัญหา
00:13:27 → 00:13:30 ได้นะครับไม่งั้นคุณลองคิดง่ายๆก็ได้
00:13:30 → 00:13:33 อย่างี้เลยนะครับอย่างงี้สมมุติคุณรู้
00:13:33 → 00:13:36 มั้ยว่าพีในกระเพาะของคุณเนี่ยมันต่ำนะ
00:13:36 → 00:13:39 อาจจะ 1 หรือ 2 อย่างงี้ก็ได้ซึ่งถือว่า
00:13:39 → 00:13:42 เป็นกรดมากถูกมั้ยครับงั้นแปลว่าอะไรล่ะ
00:13:42 → 00:13:43 แปลว่าถ้าเกิดคุณไม่กินอะไรเข้าไปใช่มั้ย
00:13:44 → 00:13:46 มันมีกรดในกระเพาะคุณดูดซึมกรดนั้นเข้าไป
00:13:46 → 00:13:49 ในร่างกายมั้ยสามารถดูดซึมได้จริงมั้ย
00:13:49 → 00:13:51 ครับพีในเลือดของคุณน่ะก็ยังคงเป็น 7.4 4
00:13:51 → 00:13:54 อยู่ดีงั้นแปลว่าต่อให้คุณกินกรดที่มี
00:13:54 → 00:13:57 ความเข้มข้นสูงมีพีต่ำเข้าไปในร่างกายมัน
00:13:57 → 00:13:59 ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงพีของคุณได้นั่น
00:13:59 → 00:14:02 แหละครับถูกมยอันนี้คือง่ายๆเลยไม่ต้อง
00:14:02 → 00:14:04 เกี่ยวกับอาหารก็ได้มันเกี่ยวกับสิ่งที่
00:14:04 → 00:14:07 คุณมีอยู่แล้วในร่างกายของคุณนะครับอ่า
00:14:07 → 00:14:09 เราก็ต้องเข้าใจตรงนี้บ้างนะว่าเรามีของ
00:14:09 → 00:14:11 เราอยู่แล้วนะครับแต่บางคนก็อาจจะบอกว่า
00:14:11 → 00:14:13 เอ้อน้ำดีมันเป็นด่างนี่กรดเจอด่างมันก็
00:14:13 → 00:14:16 เลยกลายเป็นกองกลางหรือเปล่านะครับก็อาจ
00:14:16 → 00:14:18 จะเป็นอย่างนั้นก็ได้นะครับแต่ว่ามันก็
00:14:18 → 00:14:21 ไม่สามารถเอามาบอกได้ว่าการกินอะไรเข้าไป
00:14:21 → 00:14:23 สามารถเปลี่ยนแปลงพีของร่างกายเราได้แล้ว
00:14:23 → 00:14:26 ผมกล้าท้าเลยนะครับคุณลองกินกรดพวกนี้
00:14:26 → 00:14:28 เข้าไปเยอะๆสิกินน้ำมันรนเข้าไปเยอะๆคุณ
00:14:28 → 00:14:30 ไปเจาะเลือดดูคุณก็จะไม่เจอว่าเลือดคุณ
00:14:30 → 00:14:33 เป็นกรดครับยกเว้นว่าคุณจะมีปัญหาอ่า
00:14:33 → 00:14:34 อย่างเช่นเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 อย่างที่
00:14:34 → 00:14:37 ว่าไปหรือคุณอาจจะมีโรคไตเรื้อรังที่แบบ
00:14:37 → 00:14:39 เป็นระยะท้ายๆแล้วอันนี้อาจจะมีปัญหาได้
00:14:39 → 00:14:41 นะครับ
00:14:41 → 00:14:45 สิ่งนึงซึ่งผมรู้สึกว่าควรจะเป็นอุทาหรณ์
00:14:45 → 00:14:48 จากกรณีของน้องกัสจังเนี่ยไม่ใช่เรื่อง
00:14:48 → 00:14:51 ของอ่าน้ำอัดลมนะเรื่องน้ำอัดลมเนี่ยเป็น
00:14:51 → 00:14:54 ความเข้าใจที่อาจจะคลาดเคลื่อนไปนิดนึง
00:14:54 → 00:14:56 ว่ามันทำให้เลือดเป็นกรดได้มันทำให้เลือด
00:14:56 → 00:14:58 เป็นกรดไม่ได้น้องก็เป็นเบาหวานชนิดที่ 1
00:14:58 → 00:15:00 นะครับแต่น้ำอารมณ์ก็ไม่ได้ไม่ได้สิ่งที่
00:15:00 → 00:15:02 ดีที่คุณควรจะกินเข้าไปเยอะๆอันนี้อันนี้
00:15:02 → 00:15:04 เห็นด้วยนะครับแต่สิ่งที่ควรจะเตือนอีก
00:15:04 → 00:15:08 อย่างนึงก็คืออาการของน้องเค้าครับตอนแรก
00:15:08 → 00:15:10 เนี่ยมีสัญญาณเตือนตั้งแต่เดือนพฤษภาคม
00:15:10 → 00:15:14 แล้วนะครับเด็กที่อยู่น้ำหนักลดเนี่ยคุณ
00:15:14 → 00:15:17 อย่าคิดว่าเค้าตรอมใจก่อนนะต้องไปหา
00:15:17 → 00:15:20 สาเหตุนะครับโดยเฉพาะเด็กที่พัฒนาการปกติ
00:15:20 → 00:15:22 อยู่ๆน้ำหนักมันหายไปไหนหั้วภาพนะครับ
00:15:22 → 00:15:24 แล้วมีปัสสาวะบ่อยอันนี้คืออาการแสดงที่
00:15:24 → 00:15:27 ชัดเจนมากๆของโรคเบาหวานแล้วนะครับควรจะ
00:15:27 → 00:15:30 ต้องไปตรวจตั้งแต่ตอนนั้นนะฮะสัญญาณ
00:15:30 → 00:15:34 อันตรายอันที่ 2 ก็คือในช่วงที่น้องเา้า
00:15:34 → 00:15:37 เนี่ยตื่นมาตอนเช้ามาถ่ายนะครับไปโรง
00:15:37 → 00:15:39 เรียนก็เอออย่าไปเลยวันนี้ป่วยให้กลับมา
00:15:39 → 00:15:42 พักแต่ตอนนั้นน่ะน้องเหายใจเร็วแล้วเวลา
00:15:43 → 00:15:46 เด็กป่วยเนี่ยถ้าหายใจเร็วนะครับไม่ว่าจะ
00:15:46 → 00:15:48 เหตุผลอะไรมันอันตรายเสมอคุณต้องพาไปหา
00:15:48 → 00:15:51 หมอเดี๋ยวนั้นเลยครับไม่ใช่ว่าเหนื่อย
00:15:51 → 00:15:55 แล้วเอ้ยนอนพักที่บ้านได้นะครับเด็กมันมี
00:15:55 → 00:15:57 อันตรายได้ง่ายๆเลยนะครับถ้ามีอาการหายใจ
00:15:57 → 00:16:00 เหนื่อยเร็วนะครับพวกเนี้ยเวลาที่เลือด
00:16:00 → 00:16:02 มันเป็นกรดร่างกายจะต้องพยายามขับกรดออก
00:16:02 → 00:16:04 ในรูปคาร์บอนไดออกไซด์มันจึงมีการหายใจ
00:16:04 → 00:16:09 เร็วที่เป็นแบบนี้ครับ
00:16:09 → 00:16:12 อย่างี้ตลอดเวลาเพื่อเป็นการขับกรดออกนะ
00:16:12 → 00:16:14 ครับถ้ามีอาการหายใจแบบเนี้ยคุณไปโรง
00:16:14 → 00:16:17 พยาบาลเลยครับและที่สำคัญสิ่งที่อยากจะ
00:16:17 → 00:16:20 เน้นก็คือบางคนอาจจะคิดว่านี่คืออาการโรค
00:16:20 → 00:16:23 แพนิคไม่ใช่ฮะเวลาที่มีอาการคล้ายโรค
00:16:23 → 00:16:28 แพนิคหายใจแบบนั้นบางคนจะมีมือเท้าเย็นชา
00:16:28 → 00:16:29 เวียนหัวมากๆแล้วก็คิดว่าให้เป็นแพนิค
00:16:29 → 00:16:32 หรือเปล่าแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกนะครับเรา
00:16:32 → 00:16:34 ต้องแยกภาวะเบาหวานชนิดที่ 1 ออกไปให้ชัด
00:16:34 → 00:16:38 เจนด้วยนะครับเพราะว่าคุณอาจจะเห็นเอ๊ะคน
00:16:38 → 00:16:40 ไข้เป็นผู้หญิงอายุน้อยสงสัยเป็นแพนิค
00:16:40 → 00:16:44 มั้งคงไปเครียดอะไรสักอย่างมาอย่าลืมเจาะ
00:16:44 → 00:16:46 น้ำตาลดูด้วยครับถ้าน้ำตาลสูงคนนี้เป็น
00:16:46 → 00:16:48 เบาหวานชนิดที่ 1 เพราะว่ามีคนเคยพลาดมา
00:16:48 → 00:16:51 แล้วนะฮะมีหมอเคยพลาดมาแล้วด้วยคิดว่า
00:16:51 → 00:16:54 เป็นแพนิคให้การรักษาแบบปกติให้ฉีดยาอ่า
00:16:54 → 00:16:57 กลุ่มที่ใครกังวลไปก็ไม่หายนะครับบางคน
00:16:57 → 00:16:58 กลับบ้านแล้วก็กลับมาแย่อีกทีเดียวคราว
00:16:58 → 00:17:00 นี้ลง ICU เลยอันนี้อันตรายได้นะครับดัง
00:17:00 → 00:17:04 นั้นสัญญาณเตือนอันตรายการหายใจแบบเนี้ย
00:17:04 → 00:17:08 ไม่ปกติต้องรีบพาไปหาหมอแล้วถ้าเด็กเนี่ย
00:17:08 → 00:17:12 เค้าทานอาหารไม่ได้คุณต้องพาไปหาหมอแล้ว
00:17:12 → 00:17:14 เหมือนกันในกรณีนี้คือมีทั้งเหนื่อยทั้ง
00:17:14 → 00:17:17 ทานอาหารไม่ได้แต่ว่าเรารอไม่ควรรอครับ
00:17:17 → 00:17:20 อันนี้คุณจะรีบที่ไปเลยตั้งแต่แรกนะครับ
00:17:20 → 00:17:22 แล้วทีนี้เนี่ยอะไรที่กระตุ้นให้เกิด
00:17:23 → 00:17:25 อาการทั้งหมดของน้องขึ้นมานะครับผมคิดว่า
00:17:25 → 00:17:27 น้องเ้ามีอาการมาตั้งนานแล้วแหละนะฮะมามา
00:17:27 → 00:17:30 แสดงอาการชัดๆก็ช่วงเดือนพฤษภาคมซึ่งตอน
00:17:30 → 00:17:33 นั้นเนี่ยมีอาการปัสสาวะบ่อยแปลว่าตับ
00:17:33 → 00:17:35 อ่อนของน้องเ้าเนี่ยน่าจะเสียไปเยอะมากะ
00:17:35 → 00:17:38 คือไอ้ตัวเซลล์อินซูลินตัวที่สร้าง
00:17:38 → 00:17:40 อินซูลินเนี่ยคือเบต้าเซลล์เนี่ยมันตายไป
00:17:40 → 00:17:43 เยอะอย่างน้อยก็ 8-90% แล้วน้องก็ถึงแสดง
00:17:43 → 00:17:46 อาการออกมาชัดๆช่วงพฤษภาคมแต่เอาจริงๆ
00:17:46 → 00:17:47 น้องเน่าจะมีปัญหาตั้งแต่ก่อนหน้านั้นน่ะ
00:17:47 → 00:17:49 อาจจะเป็นเป็นหลายเดือนหลายปีแล้วก็ได้นะ
00:17:50 → 00:17:53 ครับแล้วก็สุดท้ายมันแสดงอาการตอนนี้นะฮะ
00:17:53 → 00:17:55 นอกเหนือจากนี้อาจจะมีอะไรไปกระตุ้นเช่น
00:17:55 → 00:17:58 น้องเอาจจะมีท้องเสียนั่นแหละอาจจะเป็น
00:17:58 → 00:18:00 การท้องเสียแบบติดเชื้อนะครับเป็นตัว
00:18:00 → 00:18:02 กระตุ้นทำให้น้องเ้ามีอาการขึ้นมาก็ได้
00:18:02 → 00:18:06 เพราะว่าในภาวะที่ร่างกายเนี่ยมีอาการ
00:18:06 → 00:18:08 เจ็บป่วยพวกเบาหวานชนิดต่างๆอาจจะแสดง
00:18:08 → 00:18:11 อาการได้หนักขึ้นนะครับอ่าในกรณีอาจจะ
00:18:11 → 00:18:14 เป็นท้องเสียหรืออาจจะเป็นเรื่องของฝีก็
00:18:14 → 00:18:15 ได้เพราะว่าน้องเค้าเนี่ยหลังจากที่นอน
00:18:16 → 00:18:18 พักฟื้นที่โรงพยาบาลไปก็ตรวจเจอฝีที่ต้อง
00:18:18 → 00:18:21 ผ่านะครับไอ้ฝีหรือการติดเชื้อเข้าไปตรง
00:18:21 → 00:18:24 ผิวหนังเนี่ยมันสามารถทำให้เกิดปัญหาแล้ว
00:18:24 → 00:18:27 ก็เบาหวานชนิดเนี้ยมันกำเริบได้ครับอ่า
00:18:27 → 00:18:30 ถ้าอาการชัดขนาดนี้แล้วเราบอกได้เลยว่า
00:18:30 → 00:18:32 เนี่ยเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 แน่ๆโดยไม่
00:18:32 → 00:18:34 ต้องตรวจอะไรเลยนะครับแต่สำหรับคนที่
00:18:34 → 00:18:37 ต้องการตรวจยืนยันว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 1
00:18:37 → 00:18:40 จริงหรือไม่นะครับจริงหรือไม่มีวิธีครับ
00:18:40 → 00:18:42 คืออันนี้สำหรับแพทย์แล้วหรือสำหรับคนที่
00:18:42 → 00:18:44 ต้องการจะเข้าใจตรงนี้จริงๆนะครับ
00:18:44 → 00:18:46 อินซูลินเนี่ยเวลาที่เขา้าสร้างมันมันจะ
00:18:46 → 00:18:50 มีตัวนึงชื่อว่าCปtไทนะครับตัวนี้เนี่ย
00:18:50 → 00:18:52 มันจะเป็นตัวที่สร้างก่อนที่จะกลายมาเป็น
00:18:52 → 00:18:56 อินซูลินเต็มเต็มตัวถ้าเกิดคุณไม่มีCปปได
00:18:56 → 00:18:59 มันแปลว่าคุณไม่สามารถสร้างอินซูลินได้นะ
00:18:59 → 00:19:01 ครับนี่ง่ายๆเลยนะครับถ้าเราเจาะตัวนี้
00:19:01 → 00:19:03 ออกมาแล้วอู้หูมันไม่มีเลยในร่างกายหรือ
00:19:03 → 00:19:05 มันต่ำมากเนี่ยแปลว่าคุณสร้างอินซูลินไม่
00:19:05 → 00:19:08 ได้นี่ก็คือเบาหวานชนิดที่ 1 แต่ถ้าเป็น
00:19:08 → 00:19:11 เบาหวานชนิดที่ 2 คุณสร้างอินซูลินได้ซี
00:19:11 → 00:19:14 แพปปไทดก็จะปกตินะฮะแต่อินซูลินของคุณมัน
00:19:14 → 00:19:19 ดันดื้อนะครับทำทำไม่ได้ครับก็จะดื้อนะทำ
00:19:19 → 00:19:22 หน้าที่ไม่ได้เบาหวานชนิดที่ 2 จริงๆเรา
00:19:22 → 00:19:24 ตรวจดูลักษณะทุกอย่างเราก็รู้อยู่แล้วแต่
00:19:24 → 00:19:27 ว่าถ้าเกิดว่าเราต้องการตรวจยืนยันดูว่า
00:19:27 → 00:19:29 มีดื้ออินซูลินหรือเปล่านะครับมันจะมีการ
00:19:29 → 00:19:31 ตรวจอันนึงชื่อว่า HMA IR นะฮะอันนี้ก็
00:19:31 → 00:19:33 สามารถทำได้อันผมจะไม่ขอลงรายละเอียดแล้ว
00:19:33 → 00:19:35 กันแต่ถ้าเกิดใครสนใจก็ลองไปหาอ่านนะครับ
00:19:35 → 00:19:39 ดู HA IR ว่ามันคืออะไรนะครับ
00:19:39 → 00:19:41 อีกอย่างนึงก็คือเบาหวานเทิที่ 2 เนี่ย
00:19:41 → 00:19:44 ถ้าเป็นนานๆนะฮะการที่มีน้ำตาลสูงอยู่นาน
00:19:44 → 00:19:46 ๆเนี่ยมันจะเป็นพิษต่อตัวตับอ่อนแล้วสุด
00:19:47 → 00:19:49 ท้ายเนี่ยไม่ใช่มีแค่ดื้ออินซูลินนะครับ
00:19:49 → 00:19:51 แต่ตับอ่อนมันเสียไปเลยคราวนี้ก็ไม่สร้าง
00:19:51 → 00:19:53 ด้วยนะฮะมันแปลว่าอินซูลินที่สร้างออกมา
00:19:54 → 00:19:56 เนี่ยก็ปริมาณน้อยลงแลปริมาณน้อยลงมันก็
00:19:57 → 00:19:59 ดื้อซะด้วยนะครับนี่ก็คือจะเป็นภาวะอ่า
00:19:59 → 00:20:02 หลังๆของเบาหวานชนิดที่ 2 นะครับงั้นวัน
00:20:02 → 00:20:04 นี้ผมหวังว่าทุกคนจะเข้าใจใหม่เลยนะครับ
00:20:05 → 00:20:08 ว่าน้ำอารมณ์ไม่ได้ทำให้เลือดเป็นกรดครับ
00:20:08 → 00:20:11 แล้วน้องเ้าเนี่ยต่อให้เขาดื่มน้ำปกติใช้
00:20:11 → 00:20:13 ชีวิตอย่างดีเขาก็จะเป็นเบาหวานชนิดที่ 2
00:20:14 → 00:20:17 ได้อยู่เอ้เบาหวานชนิดที่ 1 ได้อยู่ดี
00:20:17 → 00:20:19 เพียงแต่ว่าอาการเนี่ยอาจจะไม่ได้เร็ว
00:20:19 → 00:20:22 ขนาดการที่เราดื่มเอาน้ำตาลเข้าไปเรื่อยๆ
00:20:22 → 00:20:24 นะครับตรงเนี้ยเป็นสิ่งที่จำเป็นจะต้อง
00:20:24 → 00:20:26 เข้าใจให้ถูกต้องนะครับสำหรับน้ำอารมณ์
00:20:27 → 00:20:30 ถ้าใครจะดื่มนะครับเราต้องเข้าใจอย่างี้
00:20:30 → 00:20:32 น้ำตาลมันเยอะแน่ๆอันนี้อันตรายชัวร์ดื่ม
00:20:32 → 00:20:36 เยอะก็ไม่ดีนะครับแล้วก็มันมีความเป็นกรด
00:20:36 → 00:20:39 แน่ๆนะฮะมันอาจจะกัดกระเพาะบางคนอาจจะมี
00:20:39 → 00:20:42 ลมเยอะอาจจะต้องจุกท้องท้องอืดกรดไหลย้อน
00:20:42 → 00:20:45 อันนี้เป็นได้นะครับอันนี้เป็นได้แน่นะ
00:20:45 → 00:20:47 ถ้าเราดื่มเข้าไปเยอะๆและที่สำคัญครับไม่
00:20:47 → 00:20:50 ว่าคุณจะดื่มแบบมีน้ำตาลหรือไม่มีน้ำตาล
00:20:50 → 00:20:53 มันสามารถที่จะไปเปลี่ยนแปลงจุลินทรีย์
00:20:53 → 00:20:55 ที่ดีที่อยู่ในลำไส้เรานะครับอ่า
00:20:55 → 00:20:57 จุลินทรีย์ที่ดีเนี่ยเราจะเรียกว่ากัด
00:20:57 → 00:20:59 ไมโครไบโอมนะครับซึ่งมันประกอบไปด้วย
00:20:59 → 00:21:02 จุลินทรีย์มหาศาลหลากหลายชนิดแล้วก็อยู่
00:21:02 → 00:21:05 กันอย่างดีอ่ะแต่ถ้าเกิดว่ามีตัวใดตัว
00:21:05 → 00:21:08 หนึ่งที่มันอยู่โดดเด่นขึ้นมาแล้วตัวอื่น
00:21:08 → 00:21:10 มันตายไปหมดเนี่ยภาวะนี้นั่นแหละจะทำให้
00:21:10 → 00:21:13 เกิดโรคต่างๆได้นะครับเราเรียกภาวะนี้ว่า
00:21:13 → 00:21:16 disbiosis นะครับosis
00:21:16 → 00:21:18 ซึ่งก็อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับโรคอื่นๆ
00:21:18 → 00:21:20 มากมายเช่นเบาหวานจะเป็นมากขึ้นโรคอ้วน
00:21:20 → 00:21:22 เป็นง่ายขึ้นนะครับโรคหัวใจหลอดเลือด
00:21:22 → 00:21:24 อักเสบอะไรก็ตามมาเยอะแยะไปหมดดังนั้นถ้า
00:21:24 → 00:21:27 เราจะดื่มน้ำพัดลมเนี่ยก็ดื่มแต่พอประมาณ
00:21:27 → 00:21:30 นะครับอย่าไปดื่มเป็นสรณะดื่มมันทุกวัน
00:21:30 → 00:21:32 ดื่มเยอะๆอันนี้ก็เป็นอันตรายกับร่างกาย
00:21:32 → 00:21:35 ได้อยู่ดีนะครับงั้นผมต้องการชี้ให้เห็น
00:21:35 → 00:21:38 ชัดเจนว่าน้ำอัดลมคุณดื่มพอประมาณได้ไม่
00:21:38 → 00:21:41 ได้อันตรายดื่มเยอะมีปัญหาแต่ต้องเข้าใจ
00:21:41 → 00:21:44 ซะใหม่ว่าน้ำอัดลมไม่ไม่ได้ทำให้เกิด
00:21:44 → 00:21:47 เรื่องในกรณีของน้องเค้ามันไม่ได้ทำให้
00:21:47 → 00:21:49 คุณเป็นเลือดเป็นกรดแบบนั้นที่เลือดเป็น
00:21:49 → 00:21:51 กรดเพราะว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ไม่ได้
00:21:51 → 00:21:54 แล้วเบาหวานชนิดที่ 1 มันเกิดจากโรคภูมิ
00:21:54 → 00:21:56 ต่อต้านตัวเองออโตimmิมไม่ได้เกิดจากการ
00:21:56 → 00:21:58 ดื่มน้ำอัดลมนะครับแต่ถ้าเป็นเบาหวานชนิด
00:21:58 → 00:22:02 ที่ 2 คุณอาจจะมีปัญหาเพราะว่าคุณดื่มน้ำ
00:22:02 → 00:22:04 อัดลมอาจจะกลายไปเป็นเบาหวานชนิดที่ 2
00:22:04 → 00:22:08 ได้โดยเฉพาะถ้าเกิดว่าในครอบครัวของคุณมี
00:22:08 → 00:22:10 คนเป็นเบาหวานเยอะๆแล้วตัวคุณเนี่ยมีน้ำ
00:22:10 → 00:22:13 หนักตัวเยอะอ้วนนะครับแล้วบางคนถ้ามีหยุด
00:22:13 → 00:22:16 หายใจในขณะหลับนอนไม่พอก็จะมีโอกาสในการ
00:22:16 → 00:22:18 เกิดเบาหวานชนิดที่ 2 ที่สูงขึ้นได้ด้วย
00:22:18 → 00:22:20 นะครับโอเควันนี้ผมก็เล่าให้ฟังเพียงเท่า
00:22:20 → 00:22:23 นี้นะครับหวังว่าจะไขข้อข้องใจของทุกคน
00:22:23 → 00:22:25 ให้ชัดเจนนะครับว่าเรื่องของน้ำอารมณ์ที่
00:22:25 → 00:22:27 แท้จริงมันเป็นยังไงบ้างนะครับถ้าใครมี
00:22:27 → 00:22:29 อะไรสงสัยก็สอบถามมาแล้วกันนะครับวันนี้
00:22:29 → 00:22:34 เท่านี้ขอบคุณมากครับสวัสดีครับ