00:00:00 → 00:00:03 [เสียงดนตรี]
00:00:03 → 00:00:06 You're listening to Mahidol Channel Podcast.
00:00:06 → 00:00:08 Listen for a better life.
00:00:08 → 00:00:11 ฟังเพื่อชีวิตที่ดีกว่า
00:00:11 → 00:00:14 และนี่คือรายการพอดแคสต์ของช่อง Mahidol Channel
00:00:14 → 00:00:16 โดย มหาวิทยาลัยมหิดล
00:00:16 → 00:00:22 [เสียงดนตรี]
00:00:22 → 00:00:25 เพราะเป้าหมายของเราทุกคน คือการมีชีวิตที่ดี
00:00:25 → 00:00:28 มาพัฒนาตัวเราให้มีชีวิตที่ดีขึ้น
00:00:28 → 00:00:33 กับรายการ Well-Being สุขภาพดี ชีวิตดี สร้างได้
00:00:33 → 00:00:36 กับผม อาจารย์เต้ ระพี บุญเปลื้อง
00:00:36 → 00:00:39 จากคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
00:00:39 → 00:00:41 [เสียงดนตรี]
00:00:41 → 00:00:45 สวัสดีครับ อยู่กับรายการ Well-Being สุขภาพดี ชีวิตดี สร้างได้
00:00:45 → 00:00:49 กับผม อ.เต้ ระพี บุญเปลื้อง คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
00:00:50 → 00:00:53 ไม่รู้ว่าคุณผู้ชมคุณผู้ฟัง รู้สึกเหมือนผมหรือเปล่านะครับ
00:00:54 → 00:00:56 พออายุมากขึ้นแล้วนี่
00:00:56 → 00:01:01 ความจำมันก็เริ่มจะแย่ลง เมื่อวันก่อนหาว่านาฬิกาอยู่ที่ไหน
00:01:01 → 00:01:04 หาอยู่นาน แล้วก็พบว่า อ๋อ มันอยู่ที่ข้อมือนี่แหละ
00:01:04 → 00:01:08 หรือคำบางคำที่เราอยากจะพูด แต่มันติดอยู่ที่ปากนี่แหละ
00:01:08 → 00:01:13 3 วันก็แล้ว ยังนึกไม่ออกว่าคำที่จะพูดมันคืออะไร
00:01:13 → 00:01:19 อาการอย่างนี้มันคืออาการแสดงถึง ความเสื่อมของสมองหรือเปล่า
00:01:19 → 00:01:22 หรือว่ามันเป็นแค่การหลงลืมเท่านั้น
00:01:22 → 00:01:25 วันนี้ครับ เราจะได้คุยกับคุณหมอเอ๋ครับ
00:01:25 → 00:01:28 ผศ.พญ.ดรุณีวัลย์ วโรดมวิจิตร
00:01:28 → 00:01:29 ภาควิชาอายุรศาสตร์
00:01:29 → 00:01:33 คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
00:01:33 → 00:01:35 - คุณหมอเอ๋ครับ สวัสดีครับ - สวัสดีค่ะ
00:01:35 → 00:01:37 คุณหมอเอ๋ครับ อาการที่ผมพูดเมื่อสักครู่นี้
00:01:37 → 00:01:39 มันคือสมองเสื่อมหรือเปล่า
00:01:39 → 00:01:42 จริง ๆ แล้วเรารู้จักคำว่าสมองเสื่อมก่อนเนอะ
00:01:42 → 00:01:46 คำว่า "สมองเสื่อม" ก็คือ ฟังก์ชันหรือการทำงานของสมองมันลดลง
00:01:46 → 00:01:50 เพราะฉะนั้น คนทั่วไป จะชอบเอาความจำที่เราลืมอะไรอย่างนี้
00:01:50 → 00:01:51 แล้วก็จะมาบอกว่านี่คือสมองเสื่อม
00:01:52 → 00:01:57 จริง ๆ แล้วความจำเป็นแค่ส่วนหนึ่ง ของการทำงานของสมอง
00:01:57 → 00:02:02 สมองมีหน้าที่อื่นอีกเยอะเลย ที่จะทำให้ทำงานได้เยอะแยะ
00:02:02 → 00:02:05 เพราะฉะนั้น คงจะไม่ได้บอกว่า
00:02:05 → 00:02:08 มันจะเป็นสมองเสื่อมกับการที่เราจำของไม่ได้
00:02:08 → 00:02:10 แต่มันคงต้องมีหลาย ๆ อย่างร่วมกันนะคะ
00:02:10 → 00:02:12 ข้อสังเกตคืออย่างนี้ค่ะ
00:02:12 → 00:02:16 ถ้าสมมุติว่าของที่เราลืม เป็นของที่มันไม่สำคัญ
00:02:16 → 00:02:19 เป็นของที่เราอาจจะไม่ได้ ให้ความสำคัญในขณะนั้น
00:02:19 → 00:02:22 เราไม่ได้โฟกัส ณ ตรงนั้นอย่างนี้ค่ะ
00:02:22 → 00:02:25 มันก็จะทำให้เราลืมง่าย ๆ ได้ ยกตัวอย่างเช่น
00:02:25 → 00:02:27 อาจารย์อาจจะยุ่งกับอะไรสักอย่างหนึ่ง
00:02:27 → 00:02:29 แล้วอาจารย์ก็ถอดแว่นวางเอาไว้
00:02:29 → 00:02:31 หรือว่าอาจารย์จะเอาแว่น ขึ้นมาอยู่ข้างบนศีรษะ
00:02:32 → 00:02:35 แล้วอาจารย์ก็ทำปุ๊บ พออาจารย์หยุดโฟกัสกับตรงนั้น
00:02:35 → 00:02:36 แล้วอาจารย์ก็เริ่มมาหาแว่น
00:02:36 → 00:02:38 อาจารย์ก็จำไม่ได้ว่าแว่นอาจารย์อยู่ตรงไหน
00:02:38 → 00:02:39 นึกออกเลย
00:02:39 → 00:02:42 แต่เพราะว่าอาจารย์ไม่ได้โฟกัสกับแว่น เป็นสำคัญ
00:02:42 → 00:02:45 เพราะฉะนั้น มันหลุดโฟกัสไป อาจารย์ก็จะลืมได้อย่างนี้ค่ะ
00:02:45 → 00:02:51 - ทีนี้อันนี้เขาจะเรียกว่า ขี้ลืมมากกว่า - อ๋อ ขี้ลืม
00:02:51 → 00:02:54 ทีนี้จะมีอาจารย์ผู้ใหญ่ท่านนึงจะชอบบอกว่า
00:02:54 → 00:02:56 ถ้าเมื่อไหร่ก็ตามที่เวลาคนไข้ลืมพวกนี้นะ
00:02:56 → 00:03:00 แล้วมาถามเธอว่าฉันจะสมองเสื่อมหรือยัง ฉันจะความจำเสื่อมหรือยัง
00:03:00 → 00:03:04 เกือบจะร้อยทั้งร้อย ยังปกติอยู่
00:03:04 → 00:03:08 เพราะว่าส่วนใหญ่คนที่จะบอกว่าสมองเสื่อมนะคะ
00:03:08 → 00:03:10 ส่วนใหญ่คนไข้มักจะไม่ใช่คนที่มาบอกหมอ
00:03:10 → 00:03:11 อ๋อ
00:03:11 → 00:03:13 - แต่จะเป็นคนดูแล ญาติที่ใกล้ชิด - คนข้าง ๆ
00:03:13 → 00:03:16 ใช่ จะสังเกตว่าอันนั้นอันนี้อะไรอย่างนี้ค่ะ
00:03:16 → 00:03:19 อันนึงที่เจอบ่อย ๆ คือ เรื่องของพฤติกรรมค่ะอาจารย์
00:03:19 → 00:03:22 หลายคนพฤติกรรมเปลี่ยนไปนะคะ
00:03:22 → 00:03:24 เขาเรียกว่าเป็นระบบเรื่องของพฤติกรรมถดถอย
00:03:24 → 00:03:27 อารมณ์อาจจะไม่ค่อยนิ่ง
00:03:27 → 00:03:29 การนอนหรืออะไรอย่างนี้จะผิดปกติไปนะคะ
00:03:29 → 00:03:32 อันนี้ก็จะเป็นอันนึงที่เจอบ่อยนะคะ
00:03:32 → 00:03:35 ส่วนใหญ่มันจะค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป
00:03:35 → 00:03:40 จนบางทีเราสังเกตไม่ได้ เรามาอีกทีนึง เอ๊ะ เรารู้สึกว่ามันผิดปกติไปลักษณะนี้นะคะ
00:03:40 → 00:03:45 แล้วก็สมองเสื่อม ก็มักจะเจอในคนที่อายุมาก
00:03:45 → 00:03:45 อืม
00:03:45 → 00:03:47 อันนี้หมายถึงว่าทั่ว ๆ ไปเนอะ
00:03:47 → 00:03:48 ก็จะเจอในคนที่อายุมาก
00:03:48 → 00:03:52 โดยเฉลี่ยก็ 65 ปีขึ้นไป ก็จะเริ่มเจอเยอะขึ้นนะคะ
00:03:52 → 00:03:54 ทีนี้ คงต้องมาตรวจค่ะ
00:03:54 → 00:03:57 เพราะว่ามันจะเป็นฟังก์ชัน หรือเป็นการทำงานโดยรวมของสมอง
00:03:57 → 00:04:00 แล้วคงไม่ได้พูดถึง เรื่องของความจำแค่อย่างเดียว
00:04:00 → 00:04:03 ทีนี้อาการสมองเสื่อมครับ คุณหมอเอ๋ครับ
00:04:04 → 00:04:07 มันเกิดขึ้นกับคนที่อายุสูงเท่านั้นหรือเปล่า
00:04:07 → 00:04:09 หรือว่าคนที่อายุน้อยก็มีอาการสมองเสื่อมได้
00:04:10 → 00:04:13 การทำงานของสมองเหมือนที่บอกค่ะ ว่าในอายุน้อยได้ไหม เจอได้ค่ะ
00:04:13 → 00:04:18 แต่ส่วนใหญ่ ต้องใช้คำนี้นะคะ ส่วนใหญ่มักจะมีเหตุอื่น ๆ เหตุปัจจัยอื่น
00:04:18 → 00:04:20 เวลาที่เราหา เราบอกว่า เอ๊ะ มันเกิดขึ้นของมันเอง
00:04:20 → 00:04:22 หรือมันมีปัจจัยอื่น แล้วทำให้มันเป็น
00:04:22 → 00:04:25 ยกตัวอย่างนะคะ เรามีเส้นเลือดไปเลี้ยงใช่ไหมคะ
00:04:25 → 00:04:29 แล้วคน ๆ นี้ เขามีเส้นเลือดอุดตัน สัก 2 รอบ
00:04:29 → 00:04:30 เป็น Stroke ซัก 2 รอบ
00:04:30 → 00:04:34 แน่นอนค่ะ การทำงานของสมอง ไม่เหมือนเดิมแน่นอนใช่ไหมคะ
00:04:34 → 00:04:36 อันที่สองค่ะ คนที่อาจจะเป็นเรื่องของสารเสพติด
00:04:36 → 00:04:39 หรือสารพิษบางอย่างใช่ไหมคะ
00:04:39 → 00:04:45 กินเข้าไปแล้วแบบว่า ความคิด ความจำ หรือว่าพฤติกรรมจะเปลี่ยนไปนะคะ
00:04:45 → 00:04:47 อีกกลุ่มหนึ่งก็จะเป็นยาลดความอ้วนบางตัว
00:04:47 → 00:04:50 ซึ่งถ้าเยอะเกินไป เพราะว่าตัวนั้น มันจะเป็นอนุพันธ์ของยาบ้า
00:04:51 → 00:04:54 ถ้าได้เป็นระยะเวลายาวนาน ไม่เหมาะสมนะคะ
00:04:54 → 00:04:59 ก็อาจจะทำให้การทำงานของสมองในภาพรวม ลดลงได้ ลักษณะนี้นะคะ
00:04:59 → 00:05:01 แล้วก็อื่น ๆ อย่างเช่น
00:05:01 → 00:05:04 มีโรคอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้มีผลกับสมองเนอะ
00:05:05 → 00:05:07 สมมุติเป็นเบาหวานอย่างนี้ใช่ไหมคะ
00:05:07 → 00:05:09 เป็นมาตั้งแต่เด็ก แล้วก็เส้นเลือดมันตีบ
00:05:09 → 00:05:12 มันก็อาจจะมีผลได้เหมือนกัน ลักษณะนี้ค่ะ
00:05:12 → 00:05:15 ความเครียดมันทำให้เราสมองเสื่อมได้ไหม
00:05:15 → 00:05:19 ความเครียด มันเหมือนกับว่าเป็นการที่เราใช้งาน
00:05:19 → 00:05:21 ความเครียดในที่นี้มันก็จะเชิงบอกว่า
00:05:21 → 00:05:22 อาจารย์เครียดมาก
00:05:22 → 00:05:25 เวลาที่อาจารย์ทำงาน ในภาวะที่มันมีความตึงเครียดนี่
00:05:25 → 00:05:28 คงต้องบอกว่า ประสิทธิภาพของการทำงานอาจจะไม่ได้ดีมากนัก
00:05:28 → 00:05:31 อาจารย์มีความเครียดน้อย ๆ นี่ มันกระตุ้นอาจารย์นะ
00:05:31 → 00:05:33 อาจารย์จะตื่นตัวตลอดเวลา อาจารย์นึกภาพออกไหม
00:05:33 → 00:05:36 อาจารย์กำลังจะสอนแล้ว อาจารย์ยังทำสไลด์ไม่เสร็จนี่
00:05:36 → 00:05:38 - เครียดมากแล้ว - เครียดแล้ว เครียดแล้วตอนนี้ใช่ไหมคะ
00:05:38 → 00:05:40 แต่เป็นความเครียดที่อาจารย์จะนอนไม่หลับ
00:05:40 → 00:05:43 แล้วอาจารย์ก็แบบ... ตอนนั้นนี่จะต้องทำให้เสร็จใช่ไหมคะ
00:05:43 → 00:05:46 แต่ถ้าสมมุติว่า มันเครียดมาก ๆ นี่
00:05:46 → 00:05:49 ตอนนั้นอาจารย์จะแบบ… รู้สึกมันเศร้ามาก มันหดหู่มาก
00:05:49 → 00:05:51 อาจารย์จะทำอะไรไม่ได้อะไรอย่างนี้ค่ะ
00:05:51 → 00:05:54 เพราะฉะนั้น จริง ๆ แล้ว ความเครียดนิด ๆ มันก็จะเป็นตัวกระตุ้น
00:05:54 → 00:05:57 แต่มากเกินไปก็จะไม่โอเคนะคะ
00:05:57 → 00:06:00 ทีนี้ถ้าอาจารย์อยู่ในความเครียดบ่อย ๆ นะคะ
00:06:00 → 00:06:03 มันก็เหมือนกับว่าอาจารย์มีเครื่องจักร สมองอาจารย์เป็นเครื่องจักร
00:06:03 → 00:06:06 แล้วอาจารย์ใช้งานมันแบบโอเวอร์โหลด ทำโอทีทุกวัน
00:06:06 → 00:06:07 พังง่ายแน่นอน
00:06:07 → 00:06:08 นึกออกไหมคะ
00:06:08 → 00:06:10 ถ้าอาจารย์ไม่ใช้เลย
00:06:10 → 00:06:12 มันก็จะฝืด มันก็จะมีปัญหาอยู่ดี
00:06:12 → 00:06:14 เพราะฉะนั้น จริง ๆ มันก็ควรจะต้องใช้เนอะ
00:06:14 → 00:06:16 แต่ว่าต้องมีช่วงเวลาให้เขาพักบ้าง
00:06:16 → 00:06:20 เพราะฉะนั้น อาจารย์มีความเครียดได้ แต่อาจารย์ไม่ควรจะเครียดตลอดเวลา
00:06:20 → 00:06:22 เพราะว่าเวลาที่อาจารย์มีความเครียดเยอะ ๆ
00:06:22 → 00:06:24 สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคืออนุมูลอิสระ
00:06:24 → 00:06:24 อืม
00:06:24 → 00:06:26 การอักเสบ เห็นไหมคะ
00:06:26 → 00:06:28 อันนี้ก็จะทำให้อาจารย์แย่ลงได้ค่ะ
00:06:28 → 00:06:30 อ๋อ มันเชื่อมโยงกันไปหมดเลยนะครับ
00:06:30 → 00:06:31 ถ้าสุขภาพของหลอดเลือดดี
00:06:31 → 00:06:34 ถ้าเผื่อเรื่องของอนุมูลอิสระมันน้อยลง
00:06:34 → 00:06:36 เรื่องของการอักเสบมันควบคุมได้
00:06:36 → 00:06:39 มันก็จะทำให้การหล่อลื่นของสมองมันดีขึ้น
00:06:39 → 00:06:42 เหมือนสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมอย่างนี้ค่ะ
00:06:42 → 00:06:44 เพราะว่าสมองเรามันไม่มีสร้างใหม่แล้ว
00:06:44 → 00:06:47 อาจารย์ก็ต้องทำให้มันอยู่ในสภาวะที่มัน...
00:06:47 → 00:06:50 อยู่ในสภาวะที่มันจะสามารถอยู่ของมันได้นาน ๆ
00:06:50 → 00:06:52 คุณหมอเอ๋พูดคำว่า ไม่มีการสร้างใหม่แล้ว
00:06:52 → 00:06:53 มันแปลว่าอะไรครับ
00:06:54 → 00:06:57 ก็คือเราจะไม่มีการเพิ่มจำนวนของ เซลล์ประสาทกันแล้วใช่ไหม
00:06:57 → 00:06:59 มันไม่ได้เพิ่มแล้วค่ะ แต่ว่ามันก็คือเหมือนกับว่า
00:06:59 → 00:07:01 มันจะมีขอบเขตในการปรับตัว
00:07:01 → 00:07:04 ต้องบอกอย่างนี้ก่อนนะ เพราะเดี๋ยวคนจะบอกว่า อุ๊ย ตายแล้ว มันพัง
00:07:04 → 00:07:06 ไม่หรอกค่ะ มันมีการปรับตัว
00:07:06 → 00:07:08 สังเกตว่าคนไข้ที่เป็น Stroke เองก็ตามนี่
00:07:08 → 00:07:12 พอถึงเวลาหนึ่ง ร่างกายก็จะมีการปรับตัวที่จะทำได้นะคะ
00:07:12 → 00:07:14 แต่ว่ามันเป็นการปรับตัวของเซลล์สมอง
00:07:15 → 00:07:18 ก็คือเซลล์สมองที่เคยทำหน้าที่แบบนี้
00:07:18 → 00:07:20 อยู่ ๆ เพื่อนเซลล์สมองมาตายไป
00:07:20 → 00:07:21 ก็เลยไปทำหน้าที่แทน
00:07:21 → 00:07:24 เขาอาจจะมีการปรับตัวให้ทำงานได้ดีขึ้น อะไรอย่างนี้
00:07:24 → 00:07:27 หรือว่าตัวที่มันอาจจะ ตอนแรกมันขาดเลือดไป
00:07:27 → 00:07:29 พอมันมีเลือดมา บางส่วนมันก็จะดีขึ้น
00:07:29 → 00:07:31 ส่วนที่ตายมันก็จะยังมีอยู่อะไรอย่างนี้ค่ะ
00:07:31 → 00:07:33 แต่เหมือนกับเราก็คงมี reserve ค่ะ
00:07:33 → 00:07:37 ไม่ได้หมายความว่า มันขาดไปปุ๊บ แล้วมันทำงานไม่ได้เลย 100% อะไรอย่างนี้
00:07:37 → 00:07:40 คุณหมอเอ๋ เป็นคุณหมอที่เชี่ยวชาญเรื่องของโภชนาการ
00:07:40 → 00:07:41 เรื่องของอาหารเลยแหละ
00:07:42 → 00:07:44 ทีนี้ผมก็เลยจะเอาสองเรื่องนี้มาโยงกัน
00:07:44 → 00:07:47 ว่ามันจะมีอาหารประเภทไหนไหม
00:07:47 → 00:07:52 ที่จะช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง ซึ่งมันเป็นไปตามวัยครับ
00:07:52 → 00:07:52 โอเค
00:07:52 → 00:07:54 เอาง่าย ๆ ก่อน
00:07:54 → 00:07:57 จริง ๆ สมองเรานี่ อันที่หนึ่งก็คือตัวสมองเองนะคะ
00:07:57 → 00:07:59 แล้วก็ความเสื่อมที่จะเกิดขึ้น เกิดจากอะไร
00:07:59 → 00:08:02 สมมุติว่าเส้นเลือดไปเลี้ยงสมองลดลง
00:08:02 → 00:08:06 อาจารย์ก็จะมีปัญหา เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่มีผลต่อเส้นเลือด
00:08:06 → 00:08:08 พวกคอเลสเตอรอล เบาหวาน ไขมัน
00:08:08 → 00:08:11 อาจารย์นึกภาพออกใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นพวกนั้นก็ต้องไปจัดการให้ดี
00:08:12 → 00:08:13 อันที่สอง
00:08:13 → 00:08:16 กระบวนการที่อาจจะทำให้สมองเสื่อม เช่น
00:08:16 → 00:08:17 อนุมูลอิสระ
00:08:17 → 00:08:20 เพราะฉะนั้นพวกนี้พวกอาหาร
00:08:20 → 00:08:22 หรือว่าอะไรก็ตาม ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระก็มาแล้ว
00:08:23 → 00:08:24 การอักเสบที่เกิดขึ้น
00:08:24 → 00:08:27 เพราะฉะนั้น อะไรก็ตามที่จะไปลดการอักเสบ ก็จะได้แล้ว
00:08:27 → 00:08:33 อาหารประเภทไหนที่จะช่วยในการที่ทำให้ สุขภาพของหลอดเลือดของเรามันดี
00:08:33 → 00:08:35 อาหารประเภทไหนที่จะช่วยลดอนุมูลอิสระ
00:08:35 → 00:08:38 อาหารประเภทไหนที่จะลดการอักเสบ
00:08:38 → 00:08:41 อันที่หนึ่ง ในเรื่องของเรื่อง พวกของสารต้านอนุมูลอิสระ
00:08:41 → 00:08:45 เราจะได้ยินบ่อยมากเลย อย่างเช่น พวกสมุนไพรทั้งหลายที่เราจะได้ยินกัน
00:08:45 → 00:08:48 พวกนี้จะมีสารต้านอนุมูลอิสระเป็นตัวหลัก
00:08:48 → 00:08:52 อ๋อ ต้องบอกว่าเวลาที่เราจะไปเลือก แล้วหลาย ๆ คนจะพูดนี่ คำถามคือ
00:08:52 → 00:08:56 สิ่งที่เกิดขึ้น คุณสมบัติของสารนั้น ทำในหลอดทดลอง ทำในหนู
00:08:56 → 00:08:57 หรือว่าทำในคน
00:08:57 → 00:09:01 ส่วนของอาหาร ก็จะเป็นพวกผักผลไม้เป็นหลัก
00:09:01 → 00:09:04 ที่จะทำให้มีพวกสารต้านอนุมูลอิสระ เยอะขึ้นใช่ไหมคะ
00:09:04 → 00:09:07 - ช็อกโกแลตก็ได้ - ช็อกโกแลตก็ได้นะครับ
00:09:07 → 00:09:08 ใช่ ช็อกโกแลตนะคะ
00:09:08 → 00:09:10 อาจารย์คะ อาจารย์กินดาร์กช็อกโกแลตนะคะ
00:09:10 → 00:09:11 อ้าว หรือครับ
00:09:11 → 00:09:14 อาจารย์กินเป็นมิลค์ช็อกโกแลต หรือเป็นช็อกโกแลตหวานเรื่อย ๆ
00:09:14 → 00:09:15 อาจารย์ก็อาจจะอ้วนขึ้นได้
00:09:15 → 00:09:17 - นั่นคือน้ำตาลทั้งนั้น - เพราะฉะนั้นดาร์กช็อกโกแลตน่าจะดีกว่า ใช่
00:09:17 → 00:09:19 ก็จะเป็นพวกผักผลไม้
00:09:19 → 00:09:22 พวกนี้ก็จะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ค่อนข้างเยอะนิดนึงนะคะ
00:09:22 → 00:09:26 เพราะฉะนั้น ถ้าสังเกตก็คือ เวลาคนที่กินผักผลไม้เยอะขึ้นใช่ไหมคะ
00:09:26 → 00:09:29 โรคหัวใจก็น้อยลง โรคหลอดเลือดสมองก็น้อยลง อะไรอย่างนี้
00:09:29 → 00:09:31 มันก็จะไปด้วยกัน
00:09:31 → 00:09:33 เวลาที่พูดถึงสารต้านอนุมูลอิสระ
00:09:33 → 00:09:36 หลาย ๆ คนคงจะนึกสงสัยในใจแล้ว
00:09:36 → 00:09:39 ว่าอนุมูลอิสระมันไม่ดีอย่างไร มันไปทำอะไรกับเซลล์เราเหรอ
00:09:39 → 00:09:40 โอเคค่ะ
00:09:40 → 00:09:42 พอเมื่อมีอนุมูลอิสระขึ้นมาปุ๊บนี่
00:09:42 → 00:09:45 เขาก็จะต้องพยายามไปหาคู่
00:09:45 → 00:09:48 ถ้ามันไม่มีคู่ปุ๊บ มันก็จะไปทำร้ายชาวบ้านถูกไหมอาจารย์
00:09:48 → 00:09:50 เพราะฉะนั้น อาจารย์อย่าปล่อยให้มันโดดเดี่ยว
00:09:50 → 00:09:52 อาจารย์ต้องมีอะไรไปจัดการมัน
00:09:52 → 00:09:53 ชีวิตของเราก็เช่นกัน
00:09:53 → 00:09:54 [เสียงหัวเราะ]
00:09:54 → 00:09:57 แล้วก็ทีนี้ก็คือสารต้านอนุมูลอิสระ
00:09:57 → 00:10:01 มันจะไปจับ แล้วทำให้ตัวนี้ มันไม่ไปทำร้ายเซลล์ของเรานะคะ
00:10:01 → 00:10:04 มีอยู่ช่วงหนึ่งที่เขาจะบอกว่า เวลาจะกินผักผลไม้นี่
00:10:04 → 00:10:05 ให้อาจารย์เลือก 5 สี วันนึง
00:10:05 → 00:10:07 เพราะว่าในผักแต่ละชนิด
00:10:07 → 00:10:09 มันจะมีสารไม่เหมือนกัน
00:10:09 → 00:10:11 เช่น สีเขียวก็จะมีชนิดหนึ่ง
00:10:11 → 00:10:13 สีแดงก็จะมีชนิดหนึ่ง
00:10:13 → 00:10:14 สีขาวก็จะมีชนิดหนึ่ง
00:10:14 → 00:10:16 แล้วก็สีดำก็จะมีชนิดหนึ่งอะไรอย่างนี้
00:10:16 → 00:10:21 เพราะฉะนั้นนี่ทุก ๆ อย่าง พออาจารย์กินปุ๊บ อาจารย์ก็จะได้สารอนุมูลอิสระในหลาย ๆ จุด
00:10:21 → 00:10:23 เราก็เลยบอกว่าให้พยายามกินหลาย ๆ อัน
00:10:23 → 00:10:25 แอปเปิลจะเป็นอีกตัวนึงที่อาจารย์จะได้ยิน
00:10:25 → 00:10:26 ถ้าเป็นผักสีเขียวเข้ม ๆ
00:10:26 → 00:10:29 ที่เป็นท็อปฮิตหน่อยก็จะเป็นพวกผักโขมแล้ว
00:10:29 → 00:10:33 อย่างนี้ก็แสดงว่าคนที่ชอบกินผักผลไม้
00:10:33 → 00:10:37 ก็จะได้ประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระ ที่อยู่ในอาหารเหล่านี้
00:10:37 → 00:10:40 แล้วคนที่อาจจะไม่ค่อยได้ชอบผักสักเท่าไหร่
00:10:40 → 00:10:43 ก็จะได้สารต้านอนุมูลอิสระจากทางไหนบ้างครับ
00:10:43 → 00:10:45 ก็ถ้าเกิดย้อนกลับไปนี่ เราก็จะเคยได้ยินว่า
00:10:45 → 00:10:50 โอเค กินน้ำมันใช่ไหมคะ กินน้ำมัน หรือว่ากินพวกของเนื้อสัตว์จะอาจจะไม่ดี
00:10:50 → 00:10:51 จะมีเรื่องของคอเลสเตอรอล
00:10:51 → 00:10:55 กลับไปที่เดิมเลย เส้นเลือดมันก็จะมีปัญหาถูกไหมคะ
00:10:55 → 00:10:57 ถ้าสมมุติว่าอาจารย์กินเนื้อสัตว์เยอะ ๆ
00:10:57 → 00:10:59 อาจารย์ก็อาจจะมีปัญหาได้เหมือนกันใช่ไหมคะ
00:10:59 → 00:11:04 เพราะฉะนั้น จริง ๆ แล้ว พอมันกลับมาสู่ อาหารที่เป็น Healthy หรืออะไรอย่างนี้
00:11:04 → 00:11:05 มันก็จะกลับมาที่จุดเดิมเลย
00:11:05 → 00:11:09 เพราะว่าทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกับเส้นเลือด เกี่ยวข้องกันหมดเลยใช่ไหมคะ
00:11:09 → 00:11:10 ในส่วนของไข่เองนี่
00:11:10 → 00:11:14 ในไข่แดง มันก็จะมีสารตัวนึงที่ชื่อว่า โคลีน
00:11:14 → 00:11:18 แล้วโคลีนมันก็จะเป็นส่วนหนึ่ง ที่จะไปเป็นสารสื่อประสาท
00:11:18 → 00:11:22 มันก็ไม่ใช่เฉพาะในไข่แดงเนอะ มันก็จะมีในตับ ในอะไรอย่างนี้
00:11:22 → 00:11:24 ก็มีอยู่เยอะเหมือนกันนะคะ
00:11:24 → 00:11:26 เพราะฉะนั้น เราก็แค่กินอาหารให้มันครบถ้วน
00:11:26 → 00:11:29 แล้วผู้ใหญ่เอง บางทีเขาไม่ยอม กินเนื้อแล้วค่ะ เขาก็กินน้อย
00:11:29 → 00:11:32 แล้วไข่แดงก็ไม่กิน เพราะกลัวคอเลสเตอรอลโน่นนี่นั่น
00:11:32 → 00:11:35 ก็เลยอาจจะบอกว่า กลุ่มนี้กินก็อาจจะได้ประโยชน์
00:11:35 → 00:11:37 แต่ว่าต้องดูในรูปแบบของอาหารทั้งหมด
00:11:37 → 00:11:39 โดยที่แพทเทิร์นคือ หนึ่ง ไขมันต้องต่ำ
00:11:40 → 00:11:42 อาหารที่เป็นไขมันอิ่มตัวต้องต่ำด้วย
00:11:42 → 00:11:45 แล้วไม่เคยมีใครพูดว่า กินคอเลสเตอรอลได้อันลิมิต
00:11:45 → 00:11:48 เพียงแต่ว่าเมื่อก่อนที่ขีดไว้ ที่ 300 ไม่ใช่แล้ว
00:11:48 → 00:11:50 แต่ให้เอาอาหารที่มีคอเลสเตอรอล
00:11:50 → 00:11:54 ผสมลงไปในอาหาร ที่เรามองว่าเป็น Healthy Food อันนี้โอเค
00:11:54 → 00:11:55 เพราะฉะนั้น คงไม่ผิด
00:11:55 → 00:11:58 อันที่สาม เวลาที่อาจารย์กินไข่เข้าไป
00:11:58 → 00:12:00 หรือว่าคอเลสเตอรอลในอาหาร
00:12:00 → 00:12:03 แต่ละคนตอบสนองไม่เหมือนกัน เป็นกรรมพันธุ์
00:12:03 → 00:12:05 แล้วทีนี้ อันนึงที่เจอร่วมกันก็คือ
00:12:05 → 00:12:07 HDL หรือไขมันที่ดีมันสูงไง
00:12:07 → 00:12:10 จริง ๆ ก็ไม่ได้มีใครผิด ไม่ได้มีใครถูก
00:12:10 → 00:12:14 แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่า การเอาอาหารชนิดเดียวมาเป็นตัวตัดสิน
00:12:14 → 00:12:16 ว่าอันนี้ดีหรือไม่ดี
00:12:16 → 00:12:19 แต่คงต้องดูแพทเทิร์น หรือว่าการกินทั้งวันของเขาค่ะ
00:12:19 → 00:12:22 พ่อแม่มักจะสอนลูกเสมอครับคุณหมอเอ๋ว่า
00:12:22 → 00:12:26 อาหารเช้า มันเป็นอาหารมื้อที่สำคัญ
00:12:26 → 00:12:29 สำหรับคนที่เป็นผู้ใหญ่ สำหรับคนที่สูงอายุแล้ว
00:12:30 → 00:12:32 อาหารเช้ามันยังสําคัญอยู่ไหม
00:12:32 → 00:12:35 แล้วมันจะทำให้สมองปลอดโปร่งไปได้ทั้งวัน จริงหรือเปล่าครับ
00:12:35 → 00:12:38 อย่างนี้ค่ะอาจารย์ ต้องบอกว่า เวลาที่อาจารย์อดนอนปั๊บนี่
00:12:38 → 00:12:40 เหมือนที่บอก ร่างกายอาจารย์ใช้พลังงาน
00:12:40 → 00:12:43 ไม่แคร์เลยว่า พลังงานอาจารย์มาจากอะไรถูกไหมคะ
00:12:43 → 00:12:46 เพราะฉะนั้น เมื่ออาจารย์ไม่กินอาหารปั๊บ อาจารย์ไม่มีน้ำตาลเข้าไปเนอะ
00:12:46 → 00:12:46 อืม
00:12:46 → 00:12:49 สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ร่างกายจะมีการสลายไขมัน
00:12:49 → 00:12:53 หรือว่าสลายสิ่งที่เป็นพลังงานสะสม
00:12:53 → 00:12:56 เพื่อจะให้มีน้ำตาลออกมา สร้างเป็นพลังงานนะคะ
00:12:56 → 00:13:00 ซึ่งทั่วไป พลังงานสะสมอันแรก ที่เขามาใช้ มันจะอยู่ที่ตับ
00:13:01 → 00:13:02 มันจะอยู่ได้ประมาณสัก 7-8 ชั่วโมง
00:13:02 → 00:13:05 ซึ่งมันเพียงพอนะคะสำหรับการนอนหลับคืนนึง
00:13:05 → 00:13:07 แต่ถ้าเกิดอาจารย์ยังไม่กินต่อจากนั้นอีกนี่
00:13:07 → 00:13:09 ร่างกายอาจารย์จะเริ่มเอาไขมันมาใช้แล้ว
00:13:09 → 00:13:10 อา...
00:13:10 → 00:13:14 พออาจารย์เริ่มสลายไขมันมากขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นมันก็จะมี
00:13:14 → 00:13:17 คล้าย ๆ กับเวลาที่อาจารย์เผาผลาญน้ำมัน เผาผลาญไม่สมบูรณ์น่ะ
00:13:17 → 00:13:18 อืม
00:13:18 → 00:13:22 มันก็จะมีสารตัวนึงที่เกิดขึ้น จากการสลายไขมันที่เราเรียกว่า คีโตน
00:13:22 → 00:13:24 ทีนี้พอมันมีคีโตนปั๊บนี่
00:13:24 → 00:13:25 สิ่งที่เกิดขึ้น
00:13:25 → 00:13:30 มันจะทำให้เรารู้สึกเหมือนเบื่ออาหาร รู้สึกเหมือนคลื่นไส้ หรืออะไรแบบนี้
00:13:30 → 00:13:33 ที่คนที่เขาจะอดอาหารอยู่นาน ๆ
00:13:33 → 00:13:35 อันที่สองก็คือว่า
00:13:35 → 00:13:38 พอเวลาน้ำตาลมันเริ่มตก หรือว่าไม่มีน้ำตาลเข้าไป
00:13:38 → 00:13:42 ความกระฉับกระเฉงหรืออะไรอย่างนี้ มันจะไม่ค่อยดีมากนัก
00:13:42 → 00:13:45 เพราะฉะนั้นพออาจารย์กินน้ำตาลเข้าไป แล้วอาจารย์รู้สึกสดชื่น
00:13:45 → 00:13:47 อาจารย์รู้สึกโอเคถูกหรือเปล่า
00:13:47 → 00:13:50 เพราะฉะนั้น เวลาที่เหมือนเราอดมาทั้งคืน
00:13:50 → 00:13:53 แล้วพอตอนเช้าปุ๊บนี่ แล้วอาจารย์ยังไม่กินอีกนี่
00:13:53 → 00:13:57 มันก็จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดอาจารย์ ก็ยังไม่ขึ้นสักทีอย่างนี้ค่ะ
00:13:57 → 00:14:02 มันก็เลยทำให้รู้สึกแบบว่า มันอึน ๆ ไปทั้งวันอะไรประมาณนั้นนะคะ
00:14:02 → 00:14:05 แล้วอันนี้ก็คือชื่อของอาหารเช้า ที่อาจารย์เรียกว่า Breakfast ใช่ไหมคะ
00:14:05 → 00:14:07 ก็คือเป็นการเบรคหรือเป็นการหยุด
00:14:07 → 00:14:10 Fast ที่แปลว่าอดอาหาร
00:14:10 → 00:14:12 ก็อาจารย์อดมาทั้งคืนแล้วไง อาจารย์ก็มาเบรคตรงนี้
00:14:12 → 00:14:14 ก็เลยเรียกว่าเป็น Breakfast
00:14:14 → 00:14:16 ทีนี้ถามว่ามันจำเป็นไหม
00:14:16 → 00:14:19 ก็ต้องบอกว่าในแง่ของสุขภาพที่ดีใช่ไหม
00:14:19 → 00:14:22 พอเวลาที่อาจารย์ไม่ต้องการ จะเอาพลังงานสำรองมาใช้จนหมด
00:14:22 → 00:14:23 อาจารย์ก็ต้องกินเข้าไป
00:14:23 → 00:14:25 พอกินเสร็จปุ๊บ มันก็จะไปเก็บสะสมไว้
00:14:25 → 00:14:26 อืม
00:14:26 → 00:14:29 เพื่อจะให้อาจารย์ มีใช้ตลอดทั้งวันอย่างนี้ค่ะ
00:14:29 → 00:14:32 แล้วถามว่ามีคนทำ บอกว่าอาจารย์กิน 2 มื้อหรือกิน 3 มื้อ
00:14:32 → 00:14:33 ถ้าอาจารย์กิน 2 มื้อ
00:14:33 → 00:14:35 อาจารย์จะมีความหิวมากกว่าคนที่กิน 3 มื้อ
00:14:35 → 00:14:37 ลักษณะนี้นะคะ
00:14:37 → 00:14:39 เพราะฉะนั้นเหมือนกับโดยทั่วไป
00:14:39 → 00:14:43 เป็นลักษณะของการยอมรับในสังคมดีกว่าเนอะ
00:14:43 → 00:14:46 ก็จะบอกอาจารย์ก็ต้องกิน 3 มื้อ หรืออาจจะมากกว่า
00:14:46 → 00:14:53 แต่ถามว่าถ้ามันเป็นอันอื่นอีกล่ะ อย่างเช่น พระ ใช่ไหมคะ ถือศีล 8 อย่างนี้
00:14:53 → 00:14:54 ท่านก็ฉันแค่ 2 มื้อเอง
00:14:54 → 00:14:57 ท่านก็อยู่ได้ ผอม สุขภาพดี อายุยืน
00:14:57 → 00:15:01 หน้าตาก็ดูอายุน้อยกว่าวัยอะไรประมาณนี้
00:15:01 → 00:15:05 เพราะฉะนั้น มันคงไม่ได้บอกว่า มันเป็นความผิดที่กี่มื้อ
00:15:05 → 00:15:08 อันนี้แล้วแต่คนเนอะ ว่าเราโอเคแค่ไหน
00:15:08 → 00:15:11 มันอยู่ที่ปริมาณอาหารที่เรากิน ชนิดอาหารที่เราเลือก
00:15:11 → 00:15:16 ส่วนมื้อเช้ามันก็คือจะทำให้ร่างกาย ตอนนี้เราใช้พลังงานสำรองไปแล้ว
00:15:17 → 00:15:19 พอเราเริ่มกินมื้อเช้าปั๊บ มันเหมือนกับ start เริ่มใหม่
00:15:20 → 00:15:24 อันที่สอง พอเราเริ่มกินปั๊บ มันก็จะทำให้การเผาผลาญเราเพิ่มขึ้น
00:15:24 → 00:15:26 ถ้าเราไม่กิน การเผาผลาญมันจะดรอปลง
00:15:27 → 00:15:28 มันจะไม่ยอมใช้พลังงาน
00:15:28 → 00:15:32 เพราะมันจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรลงมาให้กิน ลักษณะนี้ค่ะ
00:15:32 → 00:15:34 เพราะฉะนั้น คนก็เลยจะบอกว่า โอเค มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญ
00:15:34 → 00:15:37 เพราะว่ามันจะเหมือนกระตุ้นให้ ในแต่ละวันของอาจารย์
00:15:37 → 00:15:38 มันตื่นตัวเพิ่มขึ้น
00:15:38 → 00:15:39 กับอันที่สองก็คือ
00:15:40 → 00:15:42 ฮอร์โมนทั้งหลายที่มันถูกสร้างขึ้นในตอนเช้า
00:15:43 → 00:15:45 ไม่ว่าจะเป็นคอติซอลหรืออะไรก็ตาม
00:15:45 → 00:15:49 พวกนี้มันก็จะช่วยทำให้อาจารย์ตื่นตัวขึ้น ลักษณะนี้เป็นต้น
00:15:49 → 00:15:52 มีอยู่ช่วงหนึ่งครับ เขาก็จะมีการโฆษณาว่า
00:15:52 → 00:15:55 แปะก๊วยนี่มันช่วย นี่ผมก็ไปกินมานะ
00:15:55 → 00:15:56 อาจารย์กินโอวหนี่แปะก๊วยหรือเปล่า
00:15:56 → 00:15:59 ไม่ใช่ครับ เป็นแปะก๊วยแล้วมาเป็นเม็ดเลยครับคุณหมอ
00:15:59 → 00:16:01 - อ๋อ สีเหลืองใช่ไหมคะ อร่อยมาก - มาเป็นเม็ดเลย
00:16:01 → 00:16:04 ไม่ใช่เป็นเม็ดคือ มันเป็นเม็ดวิตามินนี่แหละ
00:16:04 → 00:16:07 อ๋อ เป็นแคปซูล โอเค
00:16:07 → 00:16:08 - แคปซูลไปเลย - โอเคค่ะ
00:16:08 → 00:16:10 ผมกินเข้าไปแล้วทำไมรู้สึกว่า...
00:16:10 → 00:16:12 เฮ้ย มันปวดหัว
00:16:12 → 00:16:15 มันเกิดอะไรขึ้น หรือว่ามันมีฤทธิ์อะไรกับแปะก๊วยหรือเปล่า
00:16:15 → 00:16:17 อาจารย์จ่ายตังค์ไปเยอะอาจารย์ก็เลยปวดหัว
00:16:17 → 00:16:18 [เสียงหัวเราะ]
00:16:18 → 00:16:21 จริง ๆ แล้ว ก็จะมีคนพูดถึงเรื่องของแปะก๊วย
00:16:21 → 00:16:23 ว่ามันมีสารสกัดแปะก๊วยนะคะ
00:16:23 → 00:16:25 เราไม่ต้องไปรู้จักชื่อมันก็ได้
00:16:25 → 00:16:26 แต่ต้องบอกนิดนึงก่อนว่า
00:16:26 → 00:16:29 สารสกัดนี่ มันเป็นสารสกัดของใบแปะก๊วยนะคะ
00:16:29 → 00:16:30 ไม่ใช่เม็ด
00:16:30 → 00:16:31 อ้าว ไม่ใช่เม็ดหรือครับ
00:16:31 → 00:16:32 ไม่ใช่เมล็ด
00:16:32 → 00:16:35 สีเหลือง ๆ ที่อาจารย์กินโอวหนี่แปะก๊วย อันนั้นไม่ใช่เลย
00:16:35 → 00:16:37 หรือว่ากินเป็นบัวลอยน้ำขิงใส่เข้าไป
00:16:37 → 00:16:38 อันนี้ไม่ใช่นะคะ
00:16:38 → 00:16:41 ตัวที่เขาสกัดมา สกัดจากใบค่ะอาจารย์
00:16:41 → 00:16:44 ทีนี้มันก็มีงานวิจัยที่ทำ เขาจะมียาเป็นเม็ดที่อาจารย์ว่า
00:16:45 → 00:16:48 เป็นเม็ดหลอด อันนึงเป็นเม็ดแป้ง อันนึงเป็นแปะก๊วย
00:16:48 → 00:16:49 แล้วให้กิน
00:16:49 → 00:16:52 เริ่มจากคนที่อาจจะไม่มีปัญหาอะไรก่อนเลย
00:16:52 → 00:16:52 อืม
00:16:52 → 00:16:54 แล้วก็ให้กินไป 5 ปี
00:16:54 → 00:16:55 แล้วดูว่า
00:16:55 → 00:16:59 ติดตามไปว่าคนกลุ่มนี้ ทั้งสองอย่างนี้
00:16:59 → 00:17:02 มันมีสมองเสื่อม มีภาวะสมองเสื่อม ลดลงหรือเปล่าหรืออะไรอย่างนี้
00:17:03 → 00:17:04 สิ่งที่เกิดขึ้นคือไม่แตกต่างกัน
00:17:04 → 00:17:08 ไม่ว่าอาจารย์จะกินเม็ดแป้ง หรืออาจารย์จะกินแปะก๊วยที่สกัด
00:17:08 → 00:17:09 อันที่สองก็มีคนทำอีก
00:17:09 → 00:17:12 ปรากฏว่ามันจะเริ่มเห็นชัดเจน แต่ตอนประมาณสักอายุ 70
00:17:12 → 00:17:16 อาจารย์กินไปประมาณสัก 5-10 ปีก่อนหน้านั้น ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย
00:17:16 → 00:17:18 มันจะเริ่มเห็นแยกตอนหลัง
00:17:18 → 00:17:20 เพราะฉะนั้นตรงนี้ก็เลยบอกว่า
00:17:20 → 00:17:23 ถามว่าแนะนำไหม ตอบว่าไม่ได้ประโยชน์
00:17:23 → 00:17:26 ไม่ได้ประโยชน์ สำหรับในส่วนของสารสกัดใบแปะก๊วย
00:17:26 → 00:17:29 เราพูดถึงอาหารที่มันดี ต่อความทรงจำของเราแล้ว
00:17:29 → 00:17:31 ต่อการทำงานของสมองของเราแล้ว
00:17:31 → 00:17:31 ค่ะ
00:17:31 → 00:17:34 มันมีอาหารที่มันไม่ค่อยดีไหมครับ
00:17:34 → 00:17:36 สำหรับความทรงจำของเรา
00:17:36 → 00:17:39 รวมทั้งพฤติกรรมต่าง ๆ ที่มันอาจจะทำลายสมองเรา
00:17:39 → 00:17:41 มันคงไม่ใช่แค่สมองไงคะอาจารย์
00:17:41 → 00:17:44 เมื่อกี๊เราคุยกันแล้วว่า อะไรที่มันดี แล้วเราก็บอกว่ามันเกิดจากอะไร
00:17:44 → 00:17:46 เส้นเลือด ถ้าเส้นเลือดไม่ดี
00:17:46 → 00:17:46 อืม
00:17:46 → 00:17:48 อาจารย์ทำอะไรก็ได้ ที่มันมีเรื่องของคอเลสเตอรอลสูง
00:17:48 → 00:17:51 ความดันสูง เบาหวาน แล้วเส้นเลือดอาจารย์พัง
00:17:51 → 00:17:53 สมองอาจารย์ก็จะได้รับเลือดน้อยลง
00:17:53 → 00:17:53 อืม
00:17:53 → 00:17:55 ในแง่ของการทำงานโดยรวมก็จะแย่ลง
00:17:55 → 00:17:57 หรืออาจารย์มีโอกาสจะเกิด Stroke อย่างนี้
00:17:57 → 00:18:00 เกิดสักรอบสองรอบ สมองอาจารย์ก็พังเหมือนกัน
00:18:00 → 00:18:03 เพราะฉะนั้น อาหารอะไรที่มีผลกับเส้นเลือด ก็ไม่โอเคทั้งนั้น
00:18:03 → 00:18:08 เพราะฉะนั้น อาหารที่มีไขมันสูง และเป็นไขมันทรานส์หรือไขมันอิ่มตัว
00:18:08 → 00:18:10 ง่าย ๆ คือไขมันที่วางไว้แล้วเป็นไขเป็นก้อน
00:18:10 → 00:18:12 อันนี้ต้องเลี่ยงแล้วถูกไหมคะ
00:18:12 → 00:18:14 อันที่สอง น้ำตาลที่สูงมาก ๆ
00:18:14 → 00:18:15 [เสียงหัวเราะ]
00:18:15 → 00:18:17 ทีนี้น้ำตาลจะมาตรงนี้แล้ว
00:18:17 → 00:18:18 น้ำหวาน น้ำตาลของอาจารย์นี่
00:18:18 → 00:18:21 มันสูงมากนี่ มันก็อาจจะมีผลกับในคนไข้เบาหวาน
00:18:21 → 00:18:23 หรือน้ำตาลในเลือดที่สูงมาก ๆ นี่
00:18:23 → 00:18:27 มันก็จะทำให้เกิดสารตัวหนึ่ง เขาเรียก AGE
00:18:27 → 00:18:29 สารตัวนั้นไปทำให้เส้นเลือดอาจารย์เสื่อมได้
00:18:29 → 00:18:30 เอ้า
00:18:30 → 00:18:33 เพราะฉะนั้นนี่ ก็จะต้องลดลงใช่ไหมคะ
00:18:33 → 00:18:36 ที่เหลือก็จะเป็นเรื่องของความดัน เพราะฉะนั้นก็ลดโซเดียม
00:18:36 → 00:18:38 เพราะอาจารย์กินโซเดียม ความดันมันก็จะสูงขึ้น มันก็จะแย่
00:18:38 → 00:18:42 แอลกอฮอล์หรือยาเสพติดก็จะเป็นตัวที่ทำลาย
00:18:42 → 00:18:44 เพราะฉะนั้นก็ไม่ควรทำ
00:18:44 → 00:18:46 บุหรี่ ก็ไม่ควรแล้วเพราะเส้นเลือดมันพัง
00:18:46 → 00:18:49 อย่างนี้ค่ะ ก็จะเป็นตัวที่บอกว่า
00:18:49 → 00:18:51 คงเป็นภาพรวมของสุขภาพมากกว่าที่จะบอกว่า
00:18:51 → 00:18:54 เป็นโฟกัสของอาหาร ที่มันจะแย่กับสมองอย่างเดียว
00:18:54 → 00:19:00 [เสียงดนตรี]
00:19:00 → 00:19:04 เรารู้แล้วว่าพฤติกรรม หรือว่าอาหารประเภทไหนที่จะทำลายสมองของเรา
00:19:04 → 00:19:10 ทีนี้มันมีเทคนิคอะไรไหมครับ ที่จะป้องกัน หรือทำให้การเสื่อมของสมองมันช้าลง
00:19:10 → 00:19:13 จริง ๆ แล้วต้องบอกว่า มันก็เหมือนกับทั่ว ๆ ไปเนอะ
00:19:13 → 00:19:15 ก็จะเป็นเหมือน 3 อ. ที่เรารู้จักกันใช่ไหมคะ
00:19:16 → 00:19:19 ก็จะเป็นเรื่องของอาหาร ออกกำลังกาย และเรื่องของอารมณ์เนอะ
00:19:19 → 00:19:22 ก็จะเริ่มจากเรื่องของออกกำลังกายก่อน จริง ๆ มันมีทั้งสองส่วนเลย
00:19:22 → 00:19:24 ออกกำลังกายในส่วนที่เป็นร่างกาย
00:19:24 → 00:19:26 แล้วก็ออกกำลังกายสมองด้วย
00:19:26 → 00:19:27 อ๋อ ต้องออกกำลังกายสมองด้วย
00:19:27 → 00:19:30 ทีนี้เวลาออกกำลังกายสมอง หรือบริหารสมองนี่
00:19:30 → 00:19:33 มันจะต้องฝึกการคิดวิเคราะห์
00:19:33 → 00:19:36 การคิดที่มันเป็นเหมือนกับ...เขาเรียกอะไรคะ
00:19:36 → 00:19:40 มันไม่ใช่แค่แบบว่า...บอกให้ทำตาม หรืออะไรอย่างนี้
00:19:40 → 00:19:42 แต่ว่ามันจะต้องมีการคิด อีกเลเวลนึงอะไรอย่างนี้
00:19:42 → 00:19:45 - ต้องมีการใช้ตรรกะอย่างนี้ใช่ไหมครับ - ใช่ ใช่ค่ะ
00:19:45 → 00:19:47 อาจารย์เล่นหมากฮอส
00:19:47 → 00:19:48 หรืออาจารย์จะเล่นหมากรุกอย่างนี้
00:19:48 → 00:19:51 อาจารย์ต้องคิดแล้วแหละ ว่าอาจารย์จะกันคนอื่นอย่างไร
00:19:51 → 00:19:52 เราจะเดินอย่างไรในตาต่อไป
00:19:52 → 00:19:54 ใช่ ๆ อย่างนี้ค่ะ
00:19:54 → 00:19:56 สมมุติถ้าบอกว่า ที่เราพูดกันเรื่องไพ่อย่างนี้ค่ะ
00:19:56 → 00:20:00 จะเป็นพวกไพ่นกกระจอกหรืออะไร ที่อาจารย์จะต้องมานั่งคิดเยอะ ๆ
00:20:00 → 00:20:03 หรือว่าอาจารย์จะเป็นเหมือนกับว่า อาจารย์จะมีงานอดิเรก
00:20:03 → 00:20:07 เป็น hobby เช่น จะต้องมีการฝึกคิด ฝึกวิเคราะห์ วาดรูป
00:20:07 → 00:20:12 หรืออะไรก็ได้ที่อาจารย์จะได้ใช้ ฟังก์ชันของสมองเยอะขึ้นใช่ไหมคะ
00:20:12 → 00:20:12 ครับ
00:20:12 → 00:20:15 ทีนี้ในแง่ของเรื่องของอารมณ์
00:20:15 → 00:20:18 นอกเหนือจากการพักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ
00:20:18 → 00:20:21 โดยทั่วไปก็ 6-8 ชั่วโมง แต่ว่าต้องเป็นหลับสนิทนะคะ
00:20:21 → 00:20:26 แล้วก็มันจะช่วยทำให้มีเวลาที่สมอง หรือว่าร่างกายเราได้พักจริง ๆ นะคะ
00:20:26 → 00:20:28 แล้วก็สุดท้ายก็คือ เรื่องของอาหารที่เราบอกกัน
00:20:29 → 00:20:33 หลัก ๆ ก็คือ เป็นอาหารหลัก 5 หมู่ ที่ครบถ้วนใช่ไหมคะ
00:20:33 → 00:20:37 เพราะฉะนั้น โดยทั่วไป อาหารที่เราจะพูดว่ามันจะช่วยนี่
00:20:37 → 00:20:39 มันก็จะดูในเรื่องของปัจจัยเสี่ยง
00:20:39 → 00:20:42 ยกตัวอย่างเช่น ทำให้เส้นเลือดเราดีขึ้นใช่ไหมคะ
00:20:42 → 00:20:44 อาจจะทำให้เรื่องของอนุมูลอิสระมันลดลง
00:20:44 → 00:20:47 หรือว่าจะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากขึ้น
00:20:47 → 00:20:49 อันถัดมาก็คืออาจจะช่วยลดเรื่องของการอักเสบ
00:20:50 → 00:20:52 อาจจะมีอีกตัวหนึ่งที่คนพูดถึงก็คือ น้ำมันปลา
00:20:52 → 00:20:56 เพราะว่าจริง ๆ แล้ว มันเป็นไขมัน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเซลล์
00:20:56 → 00:20:59 เซลล์ทุกเซลล์นี่มันมีไขมันอยู่
00:20:59 → 00:21:03 แล้วในสมองนี่มันก็จะมี... เขาเรียกว่า DHA
00:21:03 → 00:21:04 ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเซลล์ใช่ไหมคะ
00:21:04 → 00:21:07 เพราะฉะนั้น มันก็ควรจะต้องอยู่ในระดับที่เหมาะสม
00:21:07 → 00:21:09 ถ้าเรากินน้อยไป
00:21:09 → 00:21:14 อาจจะทำให้เซลล์พวกนี้ทนกับ ภาวะที่มีความเครียดหรืออะไรไม่ค่อยได้
00:21:14 → 00:21:18 เพราะฉะนั้น อันนี้ก็จะเป็นสมดุลของ เรื่องของอาหารที่เขาจะเลือกมา
00:21:18 → 00:21:21 ถ้าเรามองในรูปแบบของอาหารก็มักจะเป็นอันนี้
00:21:21 → 00:21:21 ครับ
00:21:21 → 00:21:23 คุณหมอเอ๋พูดถึงน้ำมันปลา
00:21:23 → 00:21:23 ค่ะ
00:21:23 → 00:21:27 มันอย่างเดียวกับน้ำมันตับปลาหรือเปล่าครับ
00:21:27 → 00:21:29 เพราะว่าตอนเด็ก ๆ นี่ ผมกินน้ำมันตับปลาเยอะมากเลย
00:21:29 → 00:21:31 อ๋อ โอเคค่ะ แสดงว่าตอนเด็ก ๆ อาจารย์ตัวเล็กค่ะ
00:21:31 → 00:21:34 เขาเลยให้กินน้ำมันตับปลา
00:21:34 → 00:21:36 เวลาที่เป็นน้ำมันปลากับน้ำมันตับปลานี่
00:21:36 → 00:21:38 - วิธีการทำต่างกันค่ะอาจารย์ - อ๋อ หรือครับ
00:21:38 → 00:21:42 เวลาที่เป็นน้ำมันตับปลา เขาจะเอาเครื่องใน รวมทั้งสมองปลามาทำ
00:21:42 → 00:21:45 มาสกัดดีกว่า ใช้คำนี้ดีกว่านะคะ
00:21:45 → 00:21:47 ในขณะที่ถ้าเป็นน้ำมันปลานี่
00:21:47 → 00:21:48 เขาจะใช้ส่วนของเนื้อ แล้วก็หนัง
00:21:49 → 00:21:51 แล้วก็มาสกัดเป็นน้ำมันออกมา
00:21:51 → 00:21:53 ทีนี้คุณสมบัติของสารที่อยู่ในนั้น
00:21:53 → 00:21:55 ถ้าเป็นน้ำมันตับปลา
00:21:55 → 00:21:57 ส่วนใหญ่จะเป็นวิตามินดี วิตามินเอ
00:21:57 → 00:21:59 จะมีน้ำมันปลาร่วมด้วยได้
00:21:59 → 00:22:01 แต่ถ้าสมมุติว่าเป็นส่วนของน้ำมันปลา
00:22:01 → 00:22:04 ก็จะเป็นส่วนของตัวน้ำมันที่ได้จากเนื้อปลา
00:22:04 → 00:22:06 ซึ่งอันนี้ก็เรียกว่าเป็นกรดไขมันเนอะ
00:22:06 → 00:22:10 หรือถ้าเป็นภาษาที่เป็นตัวย่อ ๆ ที่เราได้ยินกันบ่อย ๆ
00:22:10 → 00:22:12 เขาจะเขียนว่าเป็น DHA กับ DPA
00:22:12 → 00:22:13 ลักษณะนี้ค่ะ
00:22:14 → 00:22:18 สองตัวนี้จะมีคุณสมบัติในแง่ของ การลดเรื่องการอักเสบ
00:22:18 → 00:22:23 แล้วก็ DHA เอง ก็จะเป็นส่วนประกอบของ เยื่อหุ้มเซลล์ในสมองด้วย อย่างนี้ค่ะ
00:22:23 → 00:22:28 เพราะฉะนั้น ถ้าจะเลือกทาน ให้มันดีต่อระบบหลอดเลือดของเรา
00:22:28 → 00:22:29 ก็น่าจะเป็นน้ำมันปลา
00:22:29 → 00:22:30 อ๋อ ใช่ค่ะ
00:22:30 → 00:22:33 แล้วก็เน้นในพวกที่มันเป็นผักผลไม้ เพื่อเพิ่มพวกสารต้านอนุมูลอิสระ
00:22:34 → 00:22:36 ลดเรื่องของแอลกอฮอล์ หยุดสูบบุหรี่นะคะ
00:22:36 → 00:22:40 แล้วก็เลี่ยงพวกที่เป็นสารเสพติด หรือว่าสารพิษทั้งหลาย
00:22:40 → 00:22:42 ก็จะช่วยทำให้เส้นเลือดเราแข็งแรงขึ้นค่ะ
00:22:42 → 00:22:43 ฟังคุณหมอเอ๋แล้วนะครับ
00:22:43 → 00:22:47 วิธีในการที่จะบำรุงรักษาสมองของเรา
00:22:47 → 00:22:50 รวมทั้งชะลอการเสื่อมสมองของเรานี่
00:22:50 → 00:22:53 ก็เป็นหลักการ ที่ใช้ในการที่จะดูแลสุขภาพของเรานี่แหละ
00:22:53 → 00:22:54 ใช่ค่ะ
00:22:54 → 00:22:55 เรื่องของอาหาร
00:22:55 → 00:22:57 ถ้าเราสามารถที่จะควบคุมอาหารได้
00:22:57 → 00:23:02 ควบคุมค่าต่าง ๆ ที่เรามี ทั้ง blood pressure ทั้งแรงดันโลหิต
00:23:02 → 00:23:04 เรื่องของไขมันในหลอดเลือด
00:23:04 → 00:23:06 มันก็จะเป็นตัวช่วยเลยแหละ
00:23:06 → 00:23:08 ที่จะทำให้หลอดเลือดของเรา มันสะอาด
00:23:08 → 00:23:11 - แล้วก็ส่งเลือดไปเลี้ยงสมองได้ - ถูกต้องค่ะ
00:23:11 → 00:23:13 ถ้าเราลดอนุมูลอิสระลงได้
00:23:13 → 00:23:15 ถ้าเราลดการอักเสบลงได้
00:23:15 → 00:23:18 จากการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์
00:23:18 → 00:23:22 นั่นแหละจะเป็นคีย์สำคัญ ในการที่จะบำรุงสมองของเราเลย
00:23:22 → 00:23:27 วันนี้ต้องขอบคุณคุณหมอเอ๋นะครับ ผศ.พญ.ดรุณีวัลย์ วโรดมวิจิตร
00:23:27 → 00:23:28 ภาควิชาอายุรศาสตร์
00:23:28 → 00:23:31 คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
00:23:31 → 00:23:33 ที่มาพูดคุยกับเรา
00:23:33 → 00:23:37 คุณหมอเอ๋มีช่องทางที่จะได้พูดคุย กับคุณผู้ชมอยู่ด้วยใช่ไหมครับ
00:23:37 → 00:23:41 ค่ะ ก็จะมีเป็นพอดแคสต์นะคะ อยู่ใน Mahidol Channel Podcast นี่แหละค่ะ
00:23:41 → 00:23:45 เราจะพูดคุยกันในเรื่องของรูปแบบอาหาร ที่ปลอดภัยกับสุขภาพค่ะ
00:23:46 → 00:23:49 ชื่อว่ารายการ Food Choice กินดี สุขภาพดีเลือกได้
00:23:49 → 00:23:53 สำหรับคุณผู้ฟังที่ชอบฟังเรื่องของอาหาร
00:23:53 → 00:23:55 ผมว่า Food Choice นี่ เป็นทางเลือกที่ดีเลยแหละ
00:23:55 → 00:23:59 ผมคิดว่าผมจะคอยติดตาม ทุก ๆ วันจันทร์ เวลา 18:00 น.
00:23:59 → 00:24:05 เพื่อจะได้ Tips และ Trick ในการที่จะเลือก หรือไม่เลือกทานอาหารอะไรก็ตาม
00:24:05 → 00:24:05 ยินดีค่ะ
00:24:05 → 00:24:08 โอกาสหน้า หวังว่าจะได้พบกันบ่อย ๆ
00:24:08 → 00:24:09 ยินดีค่ะ
00:24:09 → 00:24:13 พบกับ Well-Being สุขภาพดี ชีวิตดีสร้างได้
00:24:13 → 00:24:16 ทุกวันจันทร์เวลา 18:00 น.
00:24:16 → 00:24:18 ที่ Mahidol Channel Podcast
00:24:18 → 00:24:20 ผ่านช่องทาง Facebook Mahidol Channel
00:24:20 → 00:24:22 YouTube Mahidol Channel
00:24:22 → 00:24:23 Apple Podcasts
00:24:23 → 00:24:24 Spotify
00:24:25 → 00:24:26 Anchor
00:24:26 → 00:24:26 Blockdit
00:24:27 → 00:24:30 ดำเนินรายการโดยอาจารย์เต้ ระพี บุญเปลื้อง
00:24:35 → 00:24:39 Well-Being สุขภาพดี ชีวิตดีสร้างได้
00:24:39 → 00:24:49 [เสียงดนตรี]