00:00:00 → 00:00:03 ขอต้อนรับสู่หมอพัทรพcast Talk ความรู้
00:00:03 → 00:00:06 สุขภาพลึกและฟรีมีที่นี่
00:00:06 → 00:00:09 >> สวัสดีครับกลับมาเจาะลึกข้อมูลน่าสนใจกัน
00:00:09 → 00:00:11 อีกครั้งนะครับวันนี้เรามีหัวข้อที่แบบ
00:00:11 → 00:00:15 ว่าน่าสนใจมากๆเลยคือเรื่องอาหารเช้า
00:00:15 → 00:00:16 >> ค่ะ
00:00:16 → 00:00:17 >> สวัสดีครับ
00:00:17 → 00:00:19 >> ที่หลายคนก็ให้ความสำคัญกันอยู่แล้วนะคะ
00:00:19 → 00:00:22 แต่ข้อมูลที่เราไปเจอมาเนี่ยเอ่อเสนอแนว
00:00:23 → 00:00:25 คิดที่อาจจะท้าผ่ายความเชื่อเดิมๆนิด
00:00:25 → 00:00:25 หน่อย
00:00:25 → 00:00:30 >> อืมลองนึกภาพตามนะครับทานอาหารเช้าเข้าไป
00:00:30 → 00:00:32 แต่ระดับน้ำตาลในเลือดกลับนิ่งสนิทเลยไม่
00:00:32 → 00:00:34 พุ่งขึ้นเลยนะครับ
00:00:34 → 00:00:35 >> โหไม่พุ่งเลยหรอคะ
00:00:35 → 00:00:37 >> ใช่ครับซึ่งปรากฏการณ์แบบนี้เนี่ยตามข้อ
00:00:38 → 00:00:40 มูลที่ได้มานะครับมันไม่ใช่แค่ดีกับคน
00:00:40 → 00:00:44 ทั่วไปนะแต่สำคัญมากๆสำหรับคนที่มีภาวะ
00:00:44 → 00:00:46 ดื้ออินซูลินหรือว่าเป็นเบาหวานอยู่แล้ว
00:00:46 → 00:00:47 ด้วยครับ
00:00:47 → 00:00:49 >> ค่ะก็น่าสนใจมากเลยค่ะ
00:00:49 → 00:00:51 >> คำถามที่ตามมาเลยก็คือแล้วอาหารเช้าแบบ
00:00:51 → 00:00:54 ไหนล่ะที่ทำให้ร่างกายเรายังอยู่ในโหมด
00:00:54 → 00:00:57 เผาผลาญไขมันหรือที่เรียกว่าคีโตซิสต่อไป
00:00:57 → 00:00:59 ได้แม้จะกินเข้าไปแล้ว
00:00:59 → 00:01:02 >> นั่นสิคะปกติกินแล้วน่าจะหลุดโหมดนี้ไป
00:01:02 → 00:01:02 เลย
00:01:02 → 00:01:04 >> ใช่ครับวันนี้เราจะมาคุยกันเรื่องนี้แหละ
00:01:04 → 00:01:07 ครับว่าการเลือกอาหารโดยเฉพาะมันเนี่ยมัน
00:01:07 → 00:01:10 ส่งผลต่อทางเดินพลังงานกับความนิ่งของน้ำ
00:01:10 → 00:01:12 ตาลในเลือดยังไงเอาล่ะครับเรามาเริ่มกัน
00:01:13 → 00:01:13 เลยดีกว่า
00:01:13 → 00:01:14 >> ได้เลยค่ะ
00:01:14 → 00:01:17 >> ประเด็นแรกเลยนะครับที่ข้อมูลนี้เน้นมากๆ
00:01:17 → 00:01:20 คือเป้าหมายของอาหารเช้าแนวนี้คือทำให้
00:01:20 → 00:01:24 น้ำตาลในเลือดคงที่มากๆหรือที่เขาเรียก
00:01:24 → 00:01:25 ว่าน้ำตาลนิ่ง
00:01:25 → 00:01:26 >> น้ำตาลนิ่ง
00:01:27 → 00:01:30 >> ครับซึ่งสภาวะเนี้ยมันจะช่วยให้ร่างกาย
00:01:30 → 00:01:32 ยังอยู่ในโหมดคีโตซิสต่อไปได้
00:01:32 → 00:01:36 >> อ๋อคือไม่สวิตช์ไปใช้น้ำตาลที่เพิ่งกิน
00:01:36 → 00:01:39 เข้าไปถูกต้องครับแล้วหัวใจสำคัญที่จะทำ
00:01:39 → 00:01:41 ให้น้ำตาลนิ่งได้แบบนี้ล่ะครับคืออะไร
00:01:41 → 00:01:42 >> ค่ะ
00:01:42 → 00:01:45 >> ข้อมูลที่เรามีชี้ไปที่อย่างเดียวเลยคือ
00:01:45 → 00:01:48 พลังงานส่วนใหญ่ของมื้อเช้าแบบนี้ต้องมา
00:01:48 → 00:01:49 จากไขมันดีครับ
00:01:49 → 00:01:52 >> ไขมันดีเน้นที่ไขมันดีเลยนะคะ
00:01:52 → 00:01:53 >> ใช่ครับ
00:01:53 → 00:01:56 >> ค่ะซึ่งสิ่งที่น่าสนใจมากๆในข้อมูลชุดนี้
00:01:56 → 00:01:59 นะคะคือเค้าอธิบายกลไกที่ร่างกายเอาพลัง
00:01:59 → 00:02:02 งานจากไขมันดีพวกนี้ไปใช้เนี่ยมันต่างออก
00:02:02 → 00:02:02 ไปค่ะ
00:02:02 → 00:02:03 >> ต่างยังไงครับ
00:02:03 → 00:02:05 >> โดยเฉพาะพวกกรวดไขมันไม่อิ่มตัวเชิง
00:02:05 → 00:02:08 เดี่ยวหรือิวฟ่าที่เราเจอในน้ำมันมะกอก
00:02:08 → 00:02:11 อะโวคาโดถั่วอะไรพวกนี้ค่ะ
00:02:11 → 00:02:12 >> ครับ
00:02:12 → 00:02:16 >> ค่ะข้อมูลบอกว่าถ้าเรากินไขมันแบบที่เขา
00:02:16 → 00:02:19 เรียกว่าถูกวิธีนะคะพลังงานจากมิวฟ่าส่วน
00:02:19 → 00:02:23 ใหญ่เลยประมาณ 60-70% เนี่ยมันไม่ได้เข้า
00:02:23 → 00:02:25 กระแสเลือดโดยตรงเหมือนปกติ
00:02:25 → 00:02:27 >> อ้าวเหรอครับแล้วมันไปไหนล่ะครับถ้าไม่
00:02:27 → 00:02:28 เข้าเลือด
00:02:28 → 00:02:31 เขาบอกว่ามันจะเดินทางผ่านระบบน้ำเหลือง
00:02:31 → 00:02:33 ค่ะ LMATC system
00:02:33 → 00:02:36 >> ระบบน้ำเหลืองที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันน่ะ
00:02:36 → 00:02:36 เหรอครับ
00:02:36 → 00:02:40 >> ใช่ค่ะระบบเดียวกันเลยแต่ในเคสนี้มันทำ
00:02:40 → 00:02:43 หน้าที่เหมือนเอ่อช่องทางด่วนส่งพลังงาน
00:02:43 → 00:02:44 >> ช่องทางด่วน
00:02:44 → 00:02:47 >> ค่ะแหล่งข้อมูลเขาใช้คำเปรียบเทียบแบบ
00:02:47 → 00:02:50 เห็นภาพเลยนะว่าเหมือนเอาพลังงานไปเสิร์ฟ
00:02:50 → 00:02:52 ถึงปากไมโทคเดรียโดยตรงเลย
00:02:52 → 00:02:55 >> โหเสิร์ฟถึงปากไมโทคเดรียเลยเหรอครับ
00:02:55 → 00:02:58 ไมโคนเดรียนี่คือโรงไฟฟ้าในเซลล์เราใช่
00:02:58 → 00:02:58 มั้ยครับ
00:02:58 → 00:03:01 >> ใช่แล้วค่ะโรงไฟฟ้าจิ๋วๆในเซลล์เรานั่น
00:03:01 → 00:03:04 แหละค่ะแหล่งข้อมูลดูมีอารมณ์ขันนะคะมี
00:03:04 → 00:03:07 เปรียบเปรยเหมือนป้อนข้าวลูกเลยเอ้าอ้า
00:03:07 → 00:03:10 ปากนะลูกมัมอะไรแบบนั้น
00:03:10 → 00:03:11 >> แหมทำให้เห็นภาพเลยนะครับเหมือนส่ง
00:03:11 → 00:03:14 delิเวอรี่พิเศษตรงถึงโรงงานเลย
00:03:14 → 00:03:17 >> ประมาณนั้นเลยค่ะเพื่อให้เข้าใจง่ายพลัง
00:03:17 → 00:03:19 งานส่วนเนี้ยมันเข้าเซลล์ไปใช้ได้เร็วมาก
00:03:19 → 00:03:22 ๆมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องไปผ่านกระบวนการ
00:03:23 → 00:03:25 แปรรูปยุ่งยากที่ตับก่อน
00:03:25 → 00:03:27 >> ครับแล้วไขมันอื่นๆที่กินเข้าไปพร้อมกัน
00:03:27 → 00:03:31 หรอครับพวกไขมันอิ่มตัวหรือ PUFA โอเมก้า
00:03:31 → 00:03:31 ต่างๆ
00:03:31 → 00:03:36 >> อ๋อพวกนั้นรวมถึง UFA ส่วนที่เหลือนะคะก็
00:03:36 → 00:03:39 จะไปตามเส้นทางปกติมากกว่าคือไปที่ตับ
00:03:39 → 00:03:40 ก่อน
00:03:40 → 00:03:41 >> ไปที่ตับ
00:03:41 → 00:03:45 >> ค่ะที่ตับก็จะผูกจัดการแปรรูปบรรจุใหม่ใน
00:03:45 → 00:03:47 รูปของ VLDL
00:03:47 → 00:03:48 >> VLDL
00:03:48 → 00:03:52 >> ใช่ค่ะเป็นเหมือนรถขนส่งไขมันจากตอบไปให้
00:03:52 → 00:03:55 เซลล์ต่างๆผ่านทางกระแสเลือดตามปกติ
00:03:55 → 00:03:58 >> และผลของการที่ MUFA ส่วนใหญ่มันใช้ทาง
00:03:59 → 00:04:01 ลัดผ่านระบบน้ำเหลืองนี่มันดียังไงครับมี
00:04:01 → 00:04:02 ผลอะไรเป็นพิเศษมั้ย
00:04:02 → 00:04:06 >> ผลหลักๆเลยนะคะตามที่ข้อมูลนี้บอกคือตับ
00:04:06 → 00:04:09 ต้องไม่ทำงานหนักมากในการจัดการไขมันก้อน
00:04:09 → 00:04:12 ใหญ่ทันทีหลังกินข้าวเพราะส่วนใหญ่มันถูก
00:04:12 → 00:04:14 ส่งตรงไปให้เซลล์ใช้แล้ว
00:04:14 → 00:04:15 >> อ๋อลดภาระตับ
00:04:15 → 00:04:18 >> ใช่ค่ะแล้วเขายังเชื่อมโยงการกินไขมันที่
00:04:18 → 00:04:22 ถูกต้องแบบนี้กับการที่ไขมัน LDL ในเลือด
00:04:22 → 00:04:24 มีแนวโน้มจะเป็นอนุภาคที่ใหญ่ขึ้นด้วยนะ
00:04:24 → 00:04:24 คะ
00:04:24 → 00:04:28 >> LDL ตัวใหญ่ค่ะซึ่งข้อมูลระบุว่านี่คือ
00:04:28 → 00:04:31 การกินไขมันที่ถูกต้องเขามองว่า LDL ตัว
00:04:31 → 00:04:34 ใหญ่เนี่ยเป็นผลลัพธ์ที่ดีในบริบทนี้แม้
00:04:34 → 00:04:36 ว่ารายละเอียดว่าทำไมมันถึงดีกว่าอาจจะ
00:04:36 → 00:04:38 ซับซ้อนหน่อยนะคะ
00:04:38 → 00:04:40 >> ครับเข้าใจครับแล้วถ้ามื้อนั้นมีโปรตีน
00:04:40 → 00:04:42 ด้วยเหรอครับมันไปทางไหน
00:04:42 → 00:04:45 >> โปรตีนเนี่ยจะต่างจาก MUFA ส่วนใหญ่นะคะ
00:04:45 → 00:04:47 คือโปรตีนจะไปที่ตับเป็นหลักเลย
00:04:47 → 00:04:49 >> อ๋อไปตับเหมือนไขมันส่วนน้อย
00:04:49 → 00:04:53 >> ค่ะเพื่อย่อยเป็นกรดอะมิโนเอาไปสร้างซ่อม
00:04:53 → 00:04:55 แซมร่างกายหรือบางทีก็เปลี่ยนเป็นกลูโคส
00:04:56 → 00:04:58 ได้ซึ่งกระบวนการพวกนี้ก็ยังต้องใช้
00:04:58 → 00:05:01 อินซูลินอยู่บ้างไม่เหมือน MUFA ทางรัฐ
00:05:01 → 00:05:02 ที่ไม่ค่อยต้องใช้เลย
00:05:02 → 00:05:05 >> ฟังดูซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆเลยนะครับแต่ก็
00:05:05 → 00:05:08 น่าทึ่งตรงที่พลังงานจากไขมันดีส่วนใหญ่
00:05:08 → 00:05:10 มันเข้าเซลล์ผ่านระบบน้ำเหลืองได้เลย
00:05:10 → 00:05:10 >> ค่ะ
00:05:10 → 00:05:13 >> แต่มันก็มีคำถามที่น่าคิดต่อนะครับซึ่งใน
00:05:13 → 00:05:16 ข้อมูลก็หยิบมาพูดเหมือนกันนะประมาณว่า
00:05:16 → 00:05:19 อ้าวแล้วถ้าอินซูลินแทบไม่ทำงานเลยพลัง
00:05:19 → 00:05:22 งานจะเข้าเซลล์ได้ยังไงปกติเราเข้าใจว่า
00:05:22 → 00:05:24 อินซูลินเหมือนกุญแจเปิดประตูให้พลังงาน
00:05:24 → 00:05:26 เข้าเซลล์นี้ครับคำถามดีมากเลยค่ะซึ่งข้อ
00:05:27 → 00:05:30 มูลก็ให้คำตอบไว้นะคะว่าพลังงานจาก MUFA
00:05:30 → 00:05:32 ที่ไปทางระบบน้ำเหลืองเนี่ยมันเข้าเซลล์
00:05:32 → 00:05:34 ด้วยวิธีการแพร่
00:05:34 → 00:05:35 >> diffusion
00:05:35 → 00:05:36 >> เข้าไปตรงๆ
00:05:36 → 00:05:37 >> ใช่ครับ
00:05:37 → 00:05:39 >> สิ่งที่น่าสนใจมากๆคือกลไกการแพร่นี่แหละ
00:05:39 → 00:05:42 ที่ทำให้อินซูลินมีบทบาทน้อยมากเทียบกับ
00:05:42 → 00:05:45 การนำกลูโคสเข้าเซลล์หรือแม้แต่กรดอะมิโน
00:05:45 → 00:05:48 >> แต่ว่าอินซูลินไม่ทำงานเลยใช่มั้ยครับ
00:05:48 → 00:05:51 >> ไม่ใช่ค่ะไม่ใช่เลยข้อมูลอธิบายชัดนะคะ
00:05:51 → 00:05:54 ว่าอินซูลินยังทำงานอยู่แต่เหมือนแบบว่า
00:05:54 → 00:05:56 ทำงานอยู่ในรอบเดินเบาค่ะ
00:05:56 → 00:05:58 >> รอบเดินเบาไอ Mode
00:05:58 → 00:06:01 >> ค่ะหน้าที่มันตอนนั้นคือช่วยจัดการสาร
00:06:01 → 00:06:05 อาหารที่เหลืออย่างกรดอะมิโนจากโปรตีน
00:06:05 → 00:06:08 หรือไขมันส่วนน้อยที่ไปตับแล้วออกมาเป็น
00:06:08 → 00:06:11 VLDL แต่ภาระงานโดยรวมของอินซูลินเนี่ย
00:06:11 → 00:06:14 ลดลงไปเยอะมากเทียบกับการกินข้าวแป้งเยอะ
00:06:14 → 00:06:17 ๆหรือแม้แต่โปรตีนสูงๆอย่างเดียว
00:06:17 → 00:06:21 >> อ๋ออ๋อพอเห็นภาพแล้วครับเหมือนมีทางด่วน
00:06:21 → 00:06:24 พิเศษให้ MUFA เข้าไปเลยไม่ต้องไปกลัว
00:06:24 → 00:06:26 อินซูลินมากนัก
00:06:26 → 00:06:27 >> ประมาณนั้นเลยค่ะ
00:06:27 → 00:06:30 >> ผลที่ตามมาก็คือที่ข้อมูลบอกว่าระดับน้ำ
00:06:30 → 00:06:34 ตาลในเลือดจะนิ่งมากๆได้ทั้งวันเลยถ้า
00:06:34 → 00:06:35 มื้อแรกเราเริ่มถูกวิธี
00:06:35 → 00:06:37 >> ใช่ค่ะนิ่งเลย
00:06:37 → 00:06:39 >> แล้วนอกจากเรื่องน้ำตาลนิ่งเนี่ยมีอีก
00:06:39 → 00:06:42 อย่างที่ข้อมูลเน้นมากคือความอิ่ม
00:06:42 → 00:06:43 >> อืเรื่องความอิ่ม
00:06:43 → 00:06:47 >> เขาบอกว่ากินแบบนี้แล้วจะไม่หิวแบบยาวๆ
00:06:47 → 00:06:47 เลย
00:06:47 → 00:06:49 >> ยาวนานเลยนะคะ
00:06:49 → 00:06:51 >> ครับน่าจะเพราะได้พลังงานจากไขมันสม่ำ
00:06:51 → 00:06:55 เสมอไม่โหยไม่น้ำตาลตกแถมยังบอกด้วยนะว่า
00:06:55 → 00:06:57 เห็นผลตั้งแต่ครั้งแรกที่กินเลยถ้าทำถูก
00:06:58 → 00:06:58 หลัก
00:06:58 → 00:07:00 >> ใช่ค่ะมันเหมือนเปลี่ยนจากการใช้พลังงาน
00:07:00 → 00:07:03 แบบวูบวาบจากคาร์โบไฮเดรตมาเป็นพลังงาน
00:07:03 → 00:07:06 จากไขมันที่ค่อยๆปล่อยออกมาซึ่งมันส่งผล
00:07:06 → 00:07:09 ต่อความรู้สึกร่างกายสมองด้วย
00:07:09 → 00:07:09 >> ครับ
00:07:09 → 00:07:12 >> ข้อมูลเปรียบเทียบชัดเจนเลยค่ะว่าถ้ากิน
00:07:12 → 00:07:16 ถูกวิธีนะผลคือยิ่งกินจะยิ่งมีพลังงานดีด
00:07:16 → 00:07:19 ๆๆๆสมองเล่นจะรู้สึกกระปรี้กระเป่ามี
00:07:19 → 00:07:21 สมาธิอิ่มนาน
00:07:21 → 00:07:23 >> ฟังดูดีมากเลยครับ
00:07:23 → 00:07:25 >> แต่ในทางกลับกันนะคะเค้าให้ข้อสังเกต
00:07:25 → 00:07:28 สำคัญมากเลยว่าอาการง่วงหลังกินคือสิ่ง
00:07:28 → 00:07:30 บอกเหตุว่าเกิดความผิดปกติ
00:07:30 → 00:07:31 >> ง่วงหลังกินข้าว
00:07:31 → 00:07:33 >> ใช่ค่ะเป็นสัญญาณเตือนเลยว่ามื้อนั้นเรา
00:07:33 → 00:07:35 อาจจะกินผิดวิธีไปแล้ว
00:07:35 → 00:07:37 >> อ้าวแล้วการกินผิดวิธีที่ว่านี่มันเป็น
00:07:37 → 00:07:40 ยังไงครับขนาดกินแค่ไขมันกับโปรตีนนะยัง
00:07:40 → 00:07:41 ผิดได้อีกหรอ
00:07:41 → 00:07:44 >> ได้ค่ะข้อมูลบอกว่าแม้จะกินแค่ไขมันกับ
00:07:44 → 00:07:48 โปรตีนแต่ถ้าองค์ประกอบสัดส่วนมันผิดเช่น
00:07:48 → 00:07:51 ไขมันบางชนิดมากไปหรือโปรตีนสูงเกินไปมัน
00:07:51 → 00:07:53 ก็ส่งผลเสียได้เหมือนกัน
00:07:53 → 00:07:55 >> อย่างเช่นอะไรบ้างครับผลเสีย
00:07:55 → 00:07:57 >> อย่างแรกเลยคือมันอาจจะไปกระตุ้นอินซูลิน
00:07:57 → 00:07:58 ออกมามากเกินจำเป็น
00:07:58 → 00:08:00 >> อ้าวไปกวนอินซูลินจนได้
00:08:01 → 00:08:04 >> ค่ะข้อมูลใช้ภาษาเปรียบเปรยแบบติดตลกนิดๆ
00:08:04 → 00:08:07 นะคะว่าเหมือนทันลิ่งไปเรียกตัวพ่อ
00:08:07 → 00:08:10 อินซูลินให้ออกมาทำงานผิดเวลา
00:08:10 → 00:08:11 >> ตัวพ่อ
00:08:11 → 00:08:14 >> ค่ะแล้วพออินซูลินหรือตัวพ่อด้านพลังงาน
00:08:14 → 00:08:16 เนี่ยออกมาผิดเวลาหรือออกมาเยอะไป
00:08:16 → 00:08:17 >> ครับ
00:08:17 → 00:08:20 >> ผลทันทีเลยคือร่างกายจะเปลี่ยนโหมดจากที่
00:08:20 → 00:08:23 ควรจะใช้พลังงานกลายเป็นโหมดสะสมสมพลัง
00:08:23 → 00:08:25 งานทันที
00:08:25 → 00:08:27 >> แค่กินผิดนิดเดียวเปลี่ยนโหมดเลย
00:08:27 → 00:08:30 >> ใช่ค่ะแล้วที่ดูจะร้ายกว่านั้นคือเขาใช้
00:08:30 → 00:08:33 ภาษาค่อนข้างแรงนะคะอธิบายความปั่นป่วน
00:08:33 → 00:08:35 ของฮอร์โมนที่จะตามมา
00:08:35 → 00:08:35 >> ยังไงครับ
00:08:35 → 00:08:39 >> มีเปรียบเปรยว่าตัวพ่ออินซูลินจะไปกระชาก
00:08:39 → 00:08:42 หัวตัวแม่ฮอร์โมนอื่นๆออกมาแล้วก็ตบตีกัน
00:08:42 → 00:08:44 >> โหแรงจริงๆครับ
00:08:44 → 00:08:47 >> ถ้าแปลง่ายๆก็คืออินซูลินที่ถูกกระตุ้น
00:08:47 → 00:08:49 ผิดจังหวะเนี่ยจะไปรบกวนสมดุลฮอร์โมนตัว
00:08:50 → 00:08:53 อื่นๆที่คุมหิวคุมอิ่มคุมคุมการเผาผลาญ
00:08:53 → 00:08:56 อย่างกลกอนคอร์ติอะไรพวกนี้ค่ะ
00:08:56 → 00:08:59 >> ทำให้เกิดสิ่งที่เขาเรียกว่าความไม่สงบ
00:08:59 → 00:09:01 ของฮอร์โมนไปตลอดทั้งวันเลย
00:09:01 → 00:09:03 >> ฟังดูน่ากลัวเหมือนกันนะครับแค่เลือกไข
00:09:03 → 00:09:06 มันกับโปรตีนในมื้อเช้าผิดไปนิดเดียวส่ง
00:09:06 → 00:09:07 ผลเป็นลูกโซ่เลยอ่ะ
00:09:07 → 00:09:10 >> ใช่ค่ะมันแสดงให้เห็นว่าระบบร่างกายเรา
00:09:10 → 00:09:13 มันละเอียดอ่อนนะคะแล้วข้อมูลยังขยายไป
00:09:13 → 00:09:14 ถึงภาพใหญ่ด้วย
00:09:14 → 00:09:16 >> ครับภาพใหญ่ยังไงครับ
00:09:16 → 00:09:19 >> คือเขาชี้ว่าปัญหาเรื่องกระตุ้นอินซูลิน
00:09:19 → 00:09:22 เกินรบกวนฮอร์โมนพวกนี้จะยิ่งชัดเจน
00:09:22 → 00:09:25 รุนแรงขึ้นไปอีกในคนทั่วไปที่ไม่ได้กิน
00:09:25 → 00:09:28 แนวไขมันสูงโปรตีนกลางๆแบบนี้แต่กิน
00:09:29 → 00:09:30 คาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก
00:09:30 → 00:09:32 >> อ๋อคนส่วนใหญ่ที่กินข้าว
00:09:32 → 00:09:35 >> ใช่ค่ะโดยเฉพาะคาร์โบไฮเดรตแปรรูปสูงๆขนม
00:09:35 → 00:09:38 ปังขาวน้ำหวานซึ่งก๋วยเตี๋ยวคัดขาวอะไร
00:09:38 → 00:09:39 พวกนั้น
00:09:39 → 00:09:39 >> ครับ
00:09:40 → 00:09:43 >> ข้อมูลถึงกับใช้คำแรงๆว่ายิ่งคนทั่วไปกิน
00:09:43 → 00:09:46 าฟยิ่งแปรรูปด้วยถึงพังกันทั้งเมืองทั้ง
00:09:46 → 00:09:46 บ้าน
00:09:46 → 00:09:48 >> โอ้โหพังกันทั้งเมืองเลย
00:09:48 → 00:09:51 >> ค่ะเขาต้องการจะเน้นผลกระทบในวงกว้างนะ
00:09:51 → 00:09:55 ค่ะถ้าเรามองภาพรวมสุขภาพเมบอลิึมตอนนี้
00:09:55 → 00:09:57 การเลือกอาหารโดยเฉพาะมื้อแรกของวันนี้
00:09:57 → 00:09:58 สำคัญมากจริงๆ
00:09:59 → 00:09:59 >> ครับ
00:09:59 → 00:10:01 >> การกินค้าแปรรูปเยอะๆที่มันกลายเป็น
00:10:01 → 00:10:04 เรื่องปกติไปแล้วอาจจะเป็นสาเหตุหลักของ
00:10:04 → 00:10:08 ภาวะดื้ออินซูลินอ้วนเบาหวานปัญหาต่างๆ
00:10:08 → 00:10:10 ที่เราเจอกันเยอะขึ้นเรื่อยๆนั่นแหละค่ะ
00:10:10 → 00:10:13 >> เข้าใจเลยครับเอาล่ะครับฟังมาทั้งหมดนี้
00:10:13 → 00:10:16 แล้วเอ่อถ้าจะให้สรุปใจความสำคัญนะครับ
00:10:16 → 00:10:17 จากข้อมูลที่คุยกันมา
00:10:17 → 00:10:18 >> ค่ะ
00:10:18 → 00:10:20 >> ดูเหมือนว่าการเริ่มวันด้วยอาหารเช้าที่
00:10:20 → 00:10:24 เน้นไขมันดีโดยเฉพาะ MUFA เป็นหลักเนี่ย
00:10:24 → 00:10:26 อาจจะเป็นกุญแจสำคัญเลยที่จะช่วยให้น้ำ
00:10:26 → 00:10:28 ตาลในเลือดนิ่ง
00:10:28 → 00:10:29 >> ค่ะน้ำตาลนิ่ง
00:10:29 → 00:10:31 >> มีพลังงานยาวๆแล้วก็อาจจะช่วยให้ร่างกาย
00:10:31 → 00:10:34 อยู่ในโหมดเผาผลาญไขมันได้ต่อเนื่องโดย
00:10:34 → 00:10:37 ใช้ทางรัฐพิเศษคือระบบน้ำเหลืองซึ่งช่วย
00:10:37 → 00:10:39 ลดภาระอินซูลินไปได้เยอะเลย
00:10:39 → 00:10:41 >> ถูกต้องเลยค่ะหัวใจสำคัญที่ข้อมูลนี้
00:10:41 → 00:10:45 พยายามจะบอกคือความต่างของผลลัพธ์นี่แหละ
00:10:45 → 00:10:45 >> ครับ
00:10:45 → 00:10:49 >> กินถูกวิธีเน้น MUFA ผ่านทางน้ำเหลืองก็
00:10:49 → 00:10:52 จะได้พลังงานสม่ำเสมอน้ำตานิ่งอิ่มนาน
00:10:52 → 00:10:56 >> แต่ถ้ากินผิดวิธีแม้จะเป็นไขมันกับโปรตีน
00:10:56 → 00:10:59 แต่สัดส่วนชนิดไม่ใช่หรือหันไปกินคาฟเยอะ
00:10:59 → 00:11:01 ๆโดยเฉพาะแปรรูป
00:11:01 → 00:11:04 >> ผลคืออินซูลินพุ่งร่างกายเปลี่ยนไปสะสมไข
00:11:04 → 00:11:08 มันแล้วที่สำคัญคือฮอร์โมนปั่นป่วนซึ่ง
00:11:08 → 00:11:10 สัญญาณเตือนที่ชะทัดเลยคืออาการง่วงหลัง
00:11:10 → 00:11:11 กินข้าว
00:11:11 → 00:11:13 >> ง่วงคือสัญญาณเตือน
00:11:13 → 00:11:15 >> ใช่ค่ะตามที่ข้อมูลบอกไว้เลย
00:11:15 → 00:11:18 >> เป็นอะไรที่น่าสนใจชวนให้คิดตามจริงๆครับ
00:11:18 → 00:11:21 แล้วมีอีกประเด็นที่ผมสังเกตคือข้อมูลนี้
00:11:21 → 00:11:25 เน้นมากๆเลยคือความสำคัญของมื้อแรกของวัน
00:11:25 → 00:11:27 >> ใช่ค่ะมื้อแรกสำคัญมาก
00:11:27 → 00:11:30 >> เหมือนกับว่ามื้อเช้าเนี่ยมันเป็นตัว
00:11:30 → 00:11:34 กำหนดทิศทางกำหนดสภาวะการเผาผลาญไปทั้ง
00:11:34 → 00:11:35 วันเลย
00:11:35 → 00:11:35 >> ถูกต้องค่ะ
00:11:36 → 00:11:38 >> ซึ่งมันก็ทำให้เกิดคำถามปลายเปิดที่น่าสน
00:11:38 → 00:11:41 ใจชวนให้เราคิดต่อนะครับว่าเออถ้าเรา
00:11:41 → 00:11:44 สามารถเริ่มวันใหม่ทุกๆวันได้อย่างสม่ำ
00:11:44 → 00:11:47 เสมอด้วยวิธีที่ส่งเสริมให้ร่างกายใช้
00:11:47 → 00:11:50 พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพแทนที่จะสะสม
00:11:50 → 00:11:52 พลังงานตามหลักการที่ว่ามานี้
00:11:52 → 00:11:53 >> อืม
00:11:53 → 00:11:56 >> ผลกระทบต่อสุขภาพโดยรวมในระยะยาวมันจะ
00:11:56 → 00:11:57 เป็นยังไงบ้าง
00:11:57 → 00:11:59 >> นั่นสินะคะน่าคิดมาก
00:11:59 → 00:12:02 >> ครับอันนี้ก็คงเป็นคำถามที่เอ่อแต่ละคน
00:12:02 → 00:12:05 อาจจะต้องลองนำกลับไปพิจารณาแล้วก็อาจจะ
00:12:06 → 00:12:08 ลองปรับใช้กับอาหารเช้าของตัวเองดูนะครับ
00:12:08 → 00:12:12 ว่าผลจะเป็นยังไง
00:12:12 → 00:12:30 [เพลง]