00:00:00 → 00:00:03 เท่าที่ฟังดูอย่าเงี้ยหมายความว่าถ้าเรา
00:00:03 → 00:00:06 ซื้อผลิตภัณฑ์อาหารที่เป็น process Food
00:00:06 → 00:00:09 ก็ตามแต่เรากินในปริมาณที่เขาแนะนำข้าง
00:00:09 → 00:00:13 หลังฉลากให้เหมาะสมก็น่าจะเซฟกับร่างกาย
00:00:13 → 00:00:16 เราอยู่อันนี้จริงไหมจริงแต่จริงๆแล้วอ่ะ
00:00:16 → 00:00:18 process Food มันมีอีกคำนึงที่ Beyond
00:00:18 → 00:00:20 process Food คือคำว่า Ultra process
00:00:20 → 00:00:23 Food มันเป็นการแปรรูปที่ยิ่งเหนือกว่า
00:00:23 → 00:00:25 process Food ธรรมดาคือเขาจะเริ่มจาก
00:00:25 → 00:00:29 การเขียนว่าใน 1 หน่วยบริโภคอ่ะกินได้กี่
00:00:29 → 00:00:32 ชิ้น 1 ถุงกินได้กี่ครั้งทำตามเขหรรือ
00:00:32 → 00:00:34 เปล่าโหอันนี้อันนี้คือข้ารู้สึกว่าอัน
00:00:34 → 00:00:37 นี้เป็นสิ่งที่หลายคนน่ะโดนหลอกเป็นกับ
00:00:37 → 00:00:39 ดักมากเลยพี่ยุข้าวก็เป็นซึ่งถ้าเกิดว่า
00:00:39 → 00:00:41 เรากินทั้งห่อเงี้ยแล้วมันบอกว่า 1 ใน 4
00:00:41 → 00:00:44 ได้แควเท่านั้นน่ะมันต้องคูณ 4 เข้าไปจ้า
00:00:44 → 00:00:46 หมดห่อนั้นน่ะเราก็จะได้แควเกินอย่าพูด
00:00:46 → 00:00:50 ว่าได้แควเกินเรียกว่าได้แควตามที่เขาคูณ
00:00:50 → 00:00:52 เข้าไปอ่า This is the Standard
00:00:52 → 00:00:56 podcast ey Opening for your
00:00:56 → 00:01:01 ears Top toc สุขภาพที่ใช้วิทยาศาสตร์
00:01:01 → 00:01:04 ไขปัญหาตั้งแต่หัวจด
00:01:04 → 00:01:07 เท้าเวลาเราพูดถึง process Food เนี่ยนะ
00:01:07 → 00:01:09 ครับหลายคนมักจะคิดว่ามันเป็นของที่
00:01:09 → 00:01:13 อันตรายต่อสุขภาพเลี่ยงได้ควรเลี่ยงผมเอง
00:01:13 → 00:01:15 เนี่ยก็เป็นหนึ่งคนที่เคยเชื่อแบบนั้นมา
00:01:15 → 00:01:18 ตลอดในรายการ Top to เนี่ยเราเลยถึงมัก
00:01:18 → 00:01:21 จะพูดว่าให้เลี่ยง process Food เถอะมัน
00:01:21 → 00:01:22 จะดีต่อร่างกายของคุณนะครับแต่จริงๆแล้ว
00:01:23 → 00:01:26 เนี่ยผมเพิ่งจะตระหนักว่าการที่เราพูดแบบ
00:01:26 → 00:01:28 นั้นน่ะเป็นเพราะว่าเรารู้จัก process
00:01:28 → 00:01:32 Food ยังไม่ดีพอแล้วเมื่อผมมีโอกาสได้ไป
00:01:32 → 00:01:34 ทำความรู้จัก process Food ซะใหม่เรียน
00:01:34 → 00:01:37 รู้มันเพิ่มขึ้นก็เพิ่งเจอว่าจริงๆแล้ว
00:01:37 → 00:01:39 การที่เรา label process Food ว่าเป็น
00:01:39 → 00:01:41 ของแย่นะครับมันไม่ถูกต้องเสมอไปจริงๆ
00:01:41 → 00:01:43 แล้ว process Food หลายๆอย่างเนี่ยมันมี
00:01:43 → 00:01:46 ประโยชน์กับร่างกายของเราด้วยนะครับแล้ว
00:01:46 → 00:01:48 เราก็ไม่ควรจะต้องมานั่งกังวลขนาดนั้นเลย
00:01:48 → 00:01:50 ว่าโหเราต้องเลี่ยง process Food นะ
00:01:50 → 00:01:52 เพราะมันเป็นไปไม่ได้เลยครับอาหารที่เรา
00:01:52 → 00:01:55 กินทุกวันนี้นะครับครึ่งนึผมรับรองว่ามัน
00:01:55 → 00:01:57 เกี่ยวข้องกับ process Food แน่ๆวันนี้
00:01:57 → 00:02:00 นะครับผมเลยอยากจะพาทุกคนมา
00:02:00 → 00:02:02 เปิดโลกมาทำความรู้จักกับ process Food
00:02:02 → 00:02:06 ซะใหม่นะครับแล้วก็ผมอยู่กับผู้หญิงคนนึง
00:02:06 → 00:02:08 นะครับที่เป็นนักวิจัยทางด้านอาหารเป็น
00:02:08 → 00:02:11 Food scientist ที่เป็นคนเปิดโลกทำให้
00:02:11 → 00:02:13 ผมรู้จักกับ process Food ดีขึ้นและ
00:02:13 → 00:02:16 สามารถที่จะเลือกซื้อ process Food ที่
00:02:16 → 00:02:19 เหมาะกับร่างกายผมได้มากขึ้นครับดรยุวเรศ
00:02:19 → 00:02:22 สวัสดีครับพี่ยุสวัสดีค่ะข้าวโอวันนี้
00:02:22 → 00:02:25 ข้าวอยากจะขอให้พี่ยุช่วยปูพื้นเกี่ยวกับ
00:02:25 → 00:02:27 process Food ให้กับทุกคนเลยนะครับแล้ว
00:02:27 → 00:02:30 ก็ช่วยแนะนำสอเลยว่าเวลาเราไป
00:02:30 → 00:02:32 ซูเปอร์มาร์เก็ตเนี่ยเราควรจะเลือก
00:02:32 → 00:02:34 ผลิตภัณฑ์เหล่าเนี้ยยังไงให้ดีที่สุดกับ
00:02:34 → 00:02:37 ร่างกายของเราคำถามแรกเลยครับก็คือว่า
00:02:37 → 00:02:41 อาหารอะไรอ่ะที่มันจัดเป็น process Food
00:02:41 → 00:02:43 เราพูดถึงคำว่าแบบ process Food เนาะแปล
00:02:43 → 00:02:46 ภาษาไทยก็คือพูดว่าเป็นอาหารแปรรูปถูก
00:02:46 → 00:02:48 มั้ยคะจริงๆแล้วอ่ะถ้าเราพูดคำว่ากระบวน
00:02:48 → 00:02:50 การแปรรูปอาหารอ่ะมันก็คือกระบวนการอะไร
00:02:50 → 00:02:53 ก็ได้ที่เปลี่ยนวัตถุดิบที่อยู่ในสภาพที่
00:02:53 → 00:02:55 มันเป็นธรรมชาติอ่ะให้อยู่ในสตที่เปลี่ยน
00:02:55 → 00:02:57 ไปคืออยู่ในสถานะที่เปลี่ยนไปอย่างเช่น
00:02:57 → 00:03:00 การใช้ความร้อนเปลี่ยนจากเนื้อเนื้อดิบ
00:03:00 → 00:03:02 ให้กลายเป็นเนื้อสุกหรือว่าเปลี่ยนจากแตง
00:03:02 → 00:03:05 กวาสดให้กลายเป็นแตงกวาดองอย่างเงี้ยก็
00:03:05 → 00:03:08 เป็นการแปรรูปอาหารและหรือว่าเปลี่ยนจาก
00:03:08 → 00:03:11 น้ำองุ่นกลายเป็นไวนก็คือการหมักเนาะก็
00:03:11 → 00:03:12 เป็นกระบวนการแปรรูปอาหารอีกอย่างหนึ
00:03:12 → 00:03:14 เหมือนกันแต่ทีนี้เนี่ยปัจจุบันเนี่ยค่ะ
00:03:14 → 00:03:16 พอเราพูดคำว่า process Food หรืออาหาร
00:03:16 → 00:03:19 แปรรูปเนี่ยมันมักจะไม่ได้พูดถึงกระบวน
00:03:19 → 00:03:22 การแปรรูปอย่างง่ายตามบ้านหรือการคุกิละ
00:03:22 → 00:03:25 เราจะพูดถึงกระบวนการที่เราผลิตอาหาร
00:03:25 → 00:03:28 ปริมาณมากหน่อยเพื่อที่จะอาจจะทำขายเป็น
00:03:28 → 00:03:31 หลักเพราะฉะนั้นถ้าเกิดว่าทุกวันนี้คำพูด
00:03:32 → 00:03:34 คำว่า process Food คืออะไรเราก็มักจะ
00:03:34 → 00:03:37 หมายถึงอาหารที่ผ่านกระบวนการอะไรบาง
00:03:37 → 00:03:41 อย่างเพื่อที่ให้มีรูปลักษณ์หน้าตาที่
00:03:41 → 00:03:43 เปลี่ยนไปเนาะอาจจะพร้อมรับประทานหรืออาจ
00:03:43 → 00:03:46 จะเก็บได้นานขึ้นที่มาของการทำแปรรูป
00:03:46 → 00:03:49 อาหารเนี่ยจริงๆแล้วเนี่ยเดิมเลยรกเริ่ม
00:03:49 → 00:03:51 เลยเนี่ยมันก็เป็นเพราะว่าเราอยากจะเก็บ
00:03:51 → 00:03:54 อาหารให้ได้นานขึ้นพอเก็บอาหารให้ได้นาน
00:03:54 → 00:03:56 ขึ้นเราก็สามารถขนส่งอาหารไปได้ไกลขึ้น
00:03:56 → 00:03:58 อย่างหน้าหนาวอย่างเงี้ยค่ะถ้าต่างประเทศ
00:03:58 → 00:04:01 เนาะเวลาหน้าหนาวเนี่ยเปปลูกผักปลูกพืช
00:04:01 → 00:04:03 หรือเลี้ยงสัตว์เนี่ยไม่ค่อยได้เพราะ
00:04:03 → 00:04:06 ฉะนั้นสิ่งที่เขาทำได้ก็คือเขาก็แปรรูป
00:04:06 → 00:04:09 โดยการหมักโดยการดองหรือว่าเปลี่ยนไปเป็น
00:04:09 → 00:04:11 แยมหรือไปเป็นขนมอย่างอื่นอย่างเงี้ยค่ะ
00:04:11 → 00:04:13 เพื่อที่จะเก็บเอาไว้รับประทานในช่วงที่
00:04:14 → 00:04:16 เป็นหน้าหนาวที่เขาทันไม่ได้เนาะอันนี้ก็
00:04:16 → 00:04:19 เป็นกระบวนการแปรรูปอย่างหนึ่งหรือว่าถ้า
00:04:19 → 00:04:21 เกิดว่าอย่างในปัจจุบันเนี่ยเมื่อก่อนถ้า
00:04:21 → 00:04:23 เราอยากจะไปจะกินอาหารทะเลเราก็ต้องไปตาม
00:04:23 → 00:04:26 ชายทะเลเนาะอแต่ว่าด้วยกระบวนการแปรรูป
00:04:26 → 00:04:28 ที่เป็นการแช่แข็งแช่เยอะแข็งอย่างเงี้ย
00:04:28 → 00:04:31 ค่ะหรือว่าเปลี่ยนไปเป็นอาหารกระป๋องเรา
00:04:31 → 00:04:33 ก็สามารถจะขนส่งอาหารพวกนั้นเนี่ยไปถึง
00:04:33 → 00:04:38 แหล่งที่เขาไม่ไม่สามารถจะเข้ามาที่ทะเล
00:04:38 → 00:04:40 ได้ซึ่งถามว่ามันมีข้อดีไหมมันก็มีข้อดี
00:04:40 → 00:04:43 ในแง่ที่ว่าพวกสารอาหารบางอย่างแร่ธาตุ
00:04:43 → 00:04:45 บางอย่างอย่างพวกไอโอดีนเนี่ยมันก็จำเป็น
00:04:45 → 00:04:48 จะต้องไปกับกลุ่มของอาหารทะเลเนาะฟังดู
00:04:48 → 00:04:51 การที่โลกนี้มี process Food เกิดขึ้นมา
00:04:51 → 00:04:54 ได้เนี่ยจริงๆมัน intention ตอนแรกเนี่ย
00:04:54 → 00:04:56 มันดูดีเนาะอาหารอ่ะแน่นอนไม่มี Food
00:04:56 → 00:04:58 West คนที่ไม่เคยจะเข้าถึงอาหารบางอย่าง
00:04:58 → 00:05:01 ก็เข้าถึงได้หรือทำให้เรามีอาหารกินเพียง
00:05:01 → 00:05:04 พอตลอดทั้งปีถ้าเกิดว่าฤดูกาลเปลี่ยนแปลง
00:05:04 → 00:05:07 ใช่ไหมมครับแล้วทำไมมันเกิดอะไรขึ้นทำไม
00:05:07 → 00:05:10 press Food มันถึงโดนเลเบลว่ามันเป็น
00:05:10 → 00:05:14 ของที่ไม่ค่อยดีต่อสุขภาพหรือว่ามันจะมี
00:05:14 → 00:05:16 งานศึกษางานวิจัยออกมาเยอะที่แบบพยายาม
00:05:16 → 00:05:18 ที่จะลิงว่า process Food เนี่ยทำให้
00:05:18 → 00:05:21 เกิดโรคต่างๆที่มันไม่ค่อยดีเช่นโรคอ้วน
00:05:21 → 00:05:25 โรคหัวใจโรคมะเร็งอืคนเปลี่ยน perception
00:05:25 → 00:05:27 เนาะอเพราะว่าเมื่อก่อนอย่างที่บอกคือการ
00:05:27 → 00:05:30 แปรรูปอาหารมันเป็นการแปรรูปในลักษณะทำ
00:05:30 → 00:05:32 กินเองที่บ้านหรือว่าทำกินเองในท้องถิ่น
00:05:32 → 00:05:35 หรือในชุมชนแต่ว่าพอปฏิวัติอุตสาหกรรมทุก
00:05:35 → 00:05:38 อย่างก็คือเพื่อการขายเนาะเพราะฉะนั้น
00:05:38 → 00:05:40 เนี่ยการผลิตมันก็จะต้องใหญ่ขึ้นน่ะค่ะที
00:05:40 → 00:05:43 นี้พอเราผลิตใหญ่ขึ้นเราผลิตของออกมาเรา
00:05:43 → 00:05:46 ก็อยากขายได้เนาะถ้าเราอยากขายได้เราทำ
00:05:46 → 00:05:48 process Food ออกมาเราทำผลิตภัณฑ์ออกมา
00:05:48 → 00:05:51 อย่างนึงไม่อร่อยข้าวซื้อมไม่ซื้ออาจจะ
00:05:51 → 00:05:54 ซื้อรอบเดียวแล้วไม่ซื้ออีกถูกมมคะใช่
00:05:54 → 00:05:57 หรือว่าเปิดออกมาแล้วแบบหน้าตาไม่สวยสี
00:05:57 → 00:05:59 เปลี่ยนกลิ่นเปลี่ยนรถเปลี่ยนถามว่าลูก
00:05:59 → 00:06:02 ค้าจะกลับมาซื้อมั้ยก็ยากเนาะอืเพราะ
00:06:02 → 00:06:06 ฉะนั้นสิ่งที่ตามมาก็คือว่าในตัว process
00:06:06 → 00:06:08 Food อ่ะค่ะหรืออาหารพวกนี้เนาะมันผ่าน
00:06:08 → 00:06:11 กระบวนการให้ความร้อนเพื่อให้เก็บได้นาน
00:06:11 → 00:06:13 หรือว่าผ่านกระบวนการแช่แข็งเพื่อให้เก็บ
00:06:13 → 00:06:15 ได้นานสิ่งที่ตามมาก็คือว่ามันเกิดการ
00:06:15 → 00:06:18 เปลี่ยนแปลงของชีวเคมีในอาหารพวกเนี้ยมัน
00:06:18 → 00:06:21 ก็ทำให้ตัวอาหารเนี่ยเปลี่ยนแปลงไปอย่าง
00:06:21 → 00:06:24 เช่นอาหารกระป๋องมันโดนความร้อนสูงมากเลย
00:06:24 → 00:06:27 เพื่อให้เชื้อทุกอย่างตายหมดไม่มี
00:06:27 → 00:06:29 จุลินทรีย์อะไรที่แบบสามารถจะขึ้นได้เรา
00:06:29 → 00:06:32 เก็บไว้ได้นานเลย 2 ปีแต่ว่าพอเปิดออกมา
00:06:32 → 00:06:34 ปุ๊บสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือความร้อนที่มัน
00:06:34 → 00:06:37 รุนแรงอ่ะมันทำให้สมมุติว่าเป็นปลาแล้ว
00:06:37 → 00:06:40 กันเนาะปลากระป๋องเงี้ยเนื้อมันก็จะยุ่ย
00:06:40 → 00:06:43 ไปหมดเนาะสีมันก็อาจจะเปลี่ยนอาจจะแบบสี
00:06:43 → 00:06:45 น้ำตาลหรืออะไรอย่างเงี้ยสิ่งที่ตามมาก็
00:06:45 → 00:06:47 คือนักวิทยาศาสตร์ทางอาหารอ่ะค่ะเขาก็เลย
00:06:47 → 00:06:50 มีการค้นพบหรือว่าพัฒนาสูตรของวัตถุเจือ
00:06:50 → 00:06:54 ปนอาหารที่ใส่เขาไปทีนี้การที่ใส่วัตถุ
00:06:54 → 00:06:56 เจอปนอาหารน่ะเมื่อก่อนแรกสุดเลยเนี่ยมัน
00:06:56 → 00:07:00 จะเป็นพวกสารเคมีหมดเลยแต่ว่าเป็นสารเคมี
00:07:00 → 00:07:03 ที่ชื่อแปลกๆแบบโซเดียมเบนโซเอทโซเดียม
00:07:04 → 00:07:06 โพรพิโอเนตอะไรอย่างเงี้ยถามว่ามันช่วย
00:07:06 → 00:07:10 ไหมมันดีไหมคือในแง่ของว่าอ่ะโซเดียมโนต
00:07:10 → 00:07:13 โซเดียมเซอดเราทำขนมปังออกมาเนาะเราไม่
00:07:14 → 00:07:16 อยากให้ลาขึ้นเพราะว่าลูกค้าซื้อไป 1 วัน
00:07:16 → 00:07:20 2 วันต้องทิ้งละกินไม่ได้ลาขึ้นก็ใส่สาร
00:07:20 → 00:07:23 วัตถุกันเสียพวกเยลงไปหรือว่าอยากให้สี
00:07:23 → 00:07:26 มันสวยก็อาจจะต้องใส่สีผสมอาหารลงไปชื่อ
00:07:26 → 00:07:29 แปลกๆอะไรพวกนั้นน่ะทั้งหมดทั้งมวลน่ะลูก
00:07:29 → 00:07:32 ค้าเมื่อก่อนน่ะถ้าอ่านดูหรือว่าแว่า
00:07:32 → 00:07:34 ปัจจุบันเนาะเราอ่านดูอ่ะชื่ออะไรที่เรา
00:07:34 → 00:07:37 ไม่รู้จักอ่ะเราก็มักจะกลัวสิ่งที่เราฟ
00:07:37 → 00:07:41 scientist เนาะไม่เคยบอกกับทางผู้บริโภค
00:07:41 → 00:07:44 ก็คือว่าเวลาที่เราพัฒนาสูตรพวกนี้ขึ้นมา
00:07:44 → 00:07:47 ค่ะเราจะต้องไปดูก่อนว่าสารเคมีสารวัตถุ
00:07:47 → 00:07:50 เจือปนอาหารทุกอย่างที่เราใส่อ่ะมันผ่าน
00:07:50 → 00:07:54 อยหรือเปล่าอยอนุญาตให้ใช้ได้หรือเปล่า
00:07:54 → 00:07:56 แล้วอนุญาตให้ใส่ได้เท่าไหร่แล้วทางอยก็
00:07:57 → 00:07:59 จะแบบเข้มงวดกับอุตสาหกรรมอาหารมากเลยถ้า
00:07:59 → 00:08:03 ใส่เท่านี้กินเท่านี้แล้วเป็นอันตรายอยจะ
00:08:03 → 00:08:06 บอกว่าให้ลดลงไปอีกกี่เท่ากี่เท่าก็ตามเ
00:08:06 → 00:08:09 คิดเผื่อว่าถ้าเราได้รับสาร a จากอาหาร
00:08:09 → 00:08:12 ผลิตภัณฑ์ที่ 1 แล้วก็ไปกินผลิตภัณฑ์ที่ 2
00:08:12 → 00:08:14 3 4 อีกเหมือนกันเนาะซึ่งมีสารตัวเดียว
00:08:14 → 00:08:17 กันเนี่ยยสะสมอยู่ในร่างกายแล้วอ่ะกินไป
00:08:17 → 00:08:19 ใน 1 วันเนี่ยก็ยังไม่เป็นอันตรายหรอกคือ
00:08:19 → 00:08:21 อยเขาคิดเผื่อตอนเนี้ยช่วงเนี้ยตัว
00:08:21 → 00:08:23 process Food อ่ะค่ะเขาเริ่มโดนโจมตี
00:08:23 → 00:08:27 ว่าก็เพราะว่าอุตสาหกรรมอาหารอ่ะทำอาหาร
00:08:27 → 00:08:29 ออกมาอยากได้กำไรเยอะไงเพราะฉะนั้นก็เลย
00:08:29 → 00:08:32 พัฒนาสูตรให้มันอร่อยพออร่อยปุ๊บคนก็เลย
00:08:32 → 00:08:35 กินไม่หยุดอืพอคนกินไม่หยุดปุ๊บก็เลยเป็น
00:08:35 → 00:08:38 โรคอ้วนถามว่ามีงานวิจัยที่เขาพูดถึงอัน
00:08:38 → 00:08:41 นี้มยก็มีแต่มันเป็นงานวิจัยแบบที่เป็น
00:08:41 → 00:08:44 ความสัมพันธ์เนาะมันไม่ได้เป็นเหตุและผล
00:08:44 → 00:08:48 โดยเชิงตรงแต่มันก็มีความสัมพันธ์ว่าถ้า
00:08:48 → 00:08:51 กิน process Food แล้วก็จะมีแนวโน้มว่า
00:08:51 → 00:08:54 จะกินต่อไปเรื่อยๆอกินอันที่ 1 ต่อก็กิน
00:08:54 → 00:08:56 อันที่ 2 ต่ออะไรอย่างเงี้ยเท่าที่ฟังดู
00:08:56 → 00:09:00 อย่าเงี้ยหมายความว่าถ้าเราซื้อผลิตภัณฑ์
00:09:00 → 00:09:02 อาหารที่เป็น process Food ก็ตามแต่เรา
00:09:02 → 00:09:06 กินในปริมาณที่เขาแนะนำข้างหลังฉลากให้
00:09:06 → 00:09:09 เหมาะสมก็น่าจะเซฟกับร่างกายเราอยู่อัน
00:09:09 → 00:09:13 นี้จริงไหมจริงแต่ถ้าเกิดว่ากิน process
00:09:13 → 00:09:15 Food ด้วยความที่อมันอาจจะอร่อยโดยเฉพาะ
00:09:15 → 00:09:17 ขนมอย่างเงี้ยเป็น process Food ซะเยอะ
00:09:17 → 00:09:19 เนาะแล้วกินเยอะขึ้นเยอะขึ้นเยอะขึ้นมัน
00:09:19 → 00:09:22 เลยถึงส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา
00:09:22 → 00:09:25 ประโยคนี้พี่ก็ยอมรับนะว่ามันเป็นอย่าง
00:09:25 → 00:09:28 งั้นอือตอนนี้เราพูดถึง process Food
00:09:28 → 00:09:30 เนาะแต่จริงๆแล้วอ่ะ process Food มันมี
00:09:30 → 00:09:32 อีกคำนึงที่ Beyond process Food คือคำ
00:09:32 → 00:09:35 ว่า Ultra process Food Ultra มันแปล
00:09:35 → 00:09:37 ว่าเหนือกว่าเนาะมันเป็นการแปรรูปที่ยิ่ง
00:09:37 → 00:09:40 เหนือกว่า process Food ธรรมดาโดยมากมัน
00:09:40 → 00:09:43 ก็จะเป็นตัวผลิตภัณฑ์ที่เเอาตัววัตถุดิบ
00:09:43 → 00:09:45 อ่ะมาเปลี่ยนให้อยู่ในฟอร์มที่เราจะจำไม่
00:09:46 → 00:09:48 ได้เลยว่าหน้าตาฟอร์มเดิมๆของมันที่อยู่
00:09:48 → 00:09:50 ในธรรมชาติน่ะเป็นยังไงและอีกแบบนึงก็คือ
00:09:50 → 00:09:52 เป็นการใส่ ingredient อย่างอื่นเพิ่ม
00:09:52 → 00:09:56 เข้าไปด้วยเหมือนกันสิ่งที่เขาคิดเกังวล
00:09:56 → 00:09:58 กันก็คือว่าเวลาที่เราแปรรูปในขั้นกว่าไป
00:09:58 → 00:10:00 เนี่ยโอกาสที่มันจะเสียคุณค่าทางสารอาหาร
00:10:00 → 00:10:02 เนี่ยมันก็จะเสียคุณค่าทางสารอาหารมาก
00:10:02 → 00:10:05 ขึ้นก็เลยมีโอกาสได้รับคุณค่าดีๆของโดย
00:10:05 → 00:10:08 เฉพาะกลุ่มผักผลไม้เนาะของผักผลไม้เนี่ย
00:10:08 → 00:10:11 ลดลงอือแล้วอีกอย่างนึงก็คือมีการเติม
00:10:11 → 00:10:15 วัตถุดิบที่ไม่ดีลงไปอีกวัตถุดิบที่เขา
00:10:15 → 00:10:17 คิดว่าไม่ดีก็อย่างเช่นกลุ่มของพวกน้ำตาล
00:10:17 → 00:10:19 หรือพวกวัตถุกันเสียหรือพวกเ่อวัตถุเจือ
00:10:19 → 00:10:22 ปนอาหารต่างๆใส่เข้าไปเพราะฉะนั้นเนี่ยก็
00:10:22 → 00:10:26 เลยทำให้เกิด perception เกิดความคิดว่า
00:10:26 → 00:10:28 อาหารแปรรูปโดยเฉพาะในกลุ่ม Ultra
00:10:28 → 00:10:30 process Food เนี่ยเน่าจะไม่ดีกับ
00:10:30 → 00:10:34 สุขภาพพี่ยูลองยกตัวอย่างให้เราพอเห็นภาพ
00:10:34 → 00:10:37 ได้ชัดขึ้นได้มว่าไอ้ที่บอกว่ามันเปลี่ยน
00:10:37 → 00:10:40 ไปเนี่ยต้องเปลี่ยนระดับไหนมันถึงจะแบบ
00:10:40 → 00:10:42 เป็นจัดเป็น process อันไหนเป็น Ultra
00:10:42 → 00:10:45 process ถ้าอย่างมะเขือเทพถ้าเป็นมะเขือ
00:10:45 → 00:10:48 เทศสดก็คือเป็นวัตถุดิบเนาะเป็นวัตถุดิบ
00:10:48 → 00:10:51 ธรรมชาติถ้าเอามะเขือเทศไปแปรรูปอาจจะ
00:10:51 → 00:10:54 ปั่นในครัวเรือนเป็นน้ำมะเขือเทศปั่นเฉยๆ
00:10:54 → 00:10:56 เขาเรียกว่าเป็น minimally process ก็
00:10:56 → 00:10:59 คือผ่านแค่กระบวนการแปรรูปอย่างง่ายน้อย
00:10:59 → 00:11:01 ที่สุดแล้วเราก็กินน้ำมะเขือเทศนั้นอือ
00:11:01 → 00:11:04 แต่ถ้าเกิดเมื่อใดก็ตามที่เราเอาตัว
00:11:04 → 00:11:09 มะเขือเทศไปทำเป็นน้ำมะเขือเทศเข้มข้น
00:11:09 → 00:11:11 แล้วเอาน้ำมะเขือเทศเข้มข้นอันนั้นมาเติม
00:11:12 → 00:11:15 น้ำตาลมาเติมน้ำผ่านกระบวนการ UHT หรือพอ
00:11:15 → 00:11:18 riz แล้วได้เป็นน้ำมะเขือเทศในกล่องอัน
00:11:18 → 00:11:20 นั้นจะเรียกว่าเป็น Ultra process Food
00:11:20 → 00:11:22 แค่ทำให้มันเข้มข้นขึ้นก็กลายเป็น Ultra
00:11:22 → 00:11:25 process แล้วค่ะเพราะว่ากระบวนการมัน
00:11:25 → 00:11:28 คั่นกว่าคือถ้ามันจะอร่อยมันก็ต้องเติม
00:11:28 → 00:11:31 น้ำตาลอือเติมโซเดียมอะไรอย่างเงี้ยเติม
00:11:31 → 00:11:34 เกลือเข้าไปเพราะฉะนั้นมันจะมีอรนอื่นที่
00:11:34 → 00:11:36 ไม่ใช่ตัวมันการเกนแบบเยเขาก็จะเรียกว่า
00:11:36 → 00:11:39 มันเป็น Ultra process Food แต่ถ้าถาม
00:11:39 → 00:11:42 พี่ว่ามันไม่ดีจริงหรือเปล่าอ่ะค่ะถ้า
00:11:42 → 00:11:44 เกิดบอกว่ามันไม่ดีเนี่ยสิ่งที่เขาเอามา
00:11:44 → 00:11:46 relate กันหรือเขาเอามาสัมพันธ์กันว่า
00:11:46 → 00:11:48 มันไม่ดีเป็นเพราะว่าอย่างแรกสุดเลยเขา
00:11:48 → 00:11:51 อย่างที่พี่บอกเมื่อกี้เนาะว่ากระบวนการ
00:11:51 → 00:11:53 แปรรูปที่เป็นขั้นกว่าอาจจะทำให้นิตรเสีย
00:11:53 → 00:11:56 ไปมากขึ้น 2 ก็คือวัตถุดิบหรือว่าพวก
00:11:56 → 00:11:58 วัตถุจะปนอาหารวัตถุกันเสียอะไรอย่าง
00:11:58 → 00:12:00 เงี้ยค่ะมันอาจจะจะส่งผลกับสุขภาพเนาะเรา
00:12:00 → 00:12:03 จะคิดแบบนี้ได้มยว่าอะไรที่เป็น Ultra
00:12:03 → 00:12:07 process เนี่ยน่าจะ Healthy น้อยกว่า
00:12:07 → 00:12:09 process เฉยๆจริงๆเราพูดแบบนั้นไม่ได้
00:12:09 → 00:12:13 หรอกไม่ถูกเพราะว่ากระบวนการแปรรูปอ่ะมัน
00:12:13 → 00:12:16 ไม่ได้ทำให้ของทุกอย่างเสียไปเนาะสิ่งที่
00:12:16 → 00:12:18 เราจะต้องมาดูก็คือต้องเป็นเทริว่ากระบวน
00:12:18 → 00:12:22 การแปลรูปอะไรกระบวนการแปลรูปบางอย่าง
00:12:22 → 00:12:24 สามารถจะทำให้เรา access ก็คือสามารถจะทำ
00:12:25 → 00:12:27 ให้เราได้รับสารอาหารสูงขึ้นก็ได้อย่าง
00:12:27 → 00:12:31 เช่นถ้าเรากินแครอทข้าวกินแครอทสดแข็งใช่
00:12:31 → 00:12:34 ไหมมคะกินแครอทเอาอะไรเอาใยอาหารเอาเบต้า
00:12:34 → 00:12:37 แคโรทีนเนาะซึ่งเป็นสารตั้งต้นไปสร้าง
00:12:37 → 00:12:40 เป็นวิตามินเอในร่างกายเราอย่างเงี้ยคำ
00:12:40 → 00:12:43 ถามคือถ้าเรากินแครอทสดร่างกายเราจะ
00:12:43 → 00:12:46 สามารถย่อยเนื้อแครอทแข็งๆอันนั้นน่ะให้
00:12:46 → 00:12:49 ออกมาได้เบตาแคโรทีนกับยอาหารตามที่เรา
00:12:49 → 00:12:51 ต้องการหรือเปล่าอาจจะไม่ 100% อาจจะไม่
00:12:51 → 00:12:54 100% แต่เมื่อเราผ่านกระบวนการแปรรูปอ่ะ
00:12:54 → 00:12:59 อย่างเช่นทำเป็นแครอทกระป๋องหรือว่าเอาไป
00:12:59 → 00:13:02 เป็นแครอทอบกรอบอย่างเงี้ยค่ะตัวเมทริก
00:13:02 → 00:13:04 ของอาหารน่ะมันอ่อนลงละมันก็เลยทำให้ร่าง
00:13:04 → 00:13:06 กายเราเนี่ยสามารถจะย่อยเขาแล้วก็ปลด
00:13:06 → 00:13:09 ปล่อยพวกสารอาหารสำคัญบางอย่างออกมาได้ดี
00:13:09 → 00:13:12 ขึ้นเพราะฉะนั้นจริงๆแล้วถ้าเวลาเราพูด
00:13:12 → 00:13:14 ว่าอาหารแปรรูปมันไม่ดีหรือมันแย่หรือ
00:13:14 → 00:13:18 เปล่าเนี่ยก็จะต้องมาดูว่ากระบวนการในแต่
00:13:18 → 00:13:21 ละสเต็ปน่ะมันทำให้สารอาหารเพิ่มขึ้นหรือ
00:13:21 → 00:13:26 ลดลงอย่างไรบ้างโหแล้วคนทั่วไปที่ไม่ได้
00:13:26 → 00:13:28 มีความรู้เรื่องกระบวนการแปรรูปอาหาร
00:13:28 → 00:13:30 อย่างเงี้ยเงี้ยแล้วจะรู้ได้ไงอ่ะว่าไอ้
00:13:30 → 00:13:32 process Food อันนี้หรือว่าผลิตภัณฑ์
00:13:32 → 00:13:34 เนี้ยเราควรจะกินได้กินไม่ได้อ่ะพี่ยุถ้า
00:13:35 → 00:13:37 อย่างแรกเลยอ่ะค่ะพี่คิดว่าสิ่งที่ไม่
00:13:37 → 00:13:40 จำเป็นก่อนเนาะคือผู้บริโภคไม่จำเป็นจะ
00:13:40 → 00:13:42 ต้องไปแยกหรอกว่าอะไรคือ process Food
00:13:42 → 00:13:44 อะไรคือ Ultra process Food ไม่ได้คิด
00:13:44 → 00:13:48 ว่าส่งผลกระทบกับสุขภาพของเรามากนักแต่
00:13:48 → 00:13:50 สิ่งที่เราควรจะรู้ก็คือ
00:13:50 → 00:13:53 คอของร่างกายเราอ่ะเป็นยังไงแล้วตัวอาหาร
00:13:53 → 00:13:55 ที่เรากำลังจะเลือกซื้ออันนั้นน่ะมันคือ
00:13:56 → 00:14:00 อะไรมันมีส่วนประกอบอะไรบ้างมันถูกจริต
00:14:00 → 00:14:03 กับคอนดิร่างกายของเราและจุดประสงค์ที่
00:14:03 → 00:14:04 เราต้องการซื้อมันกินหรือเปล่าอือฮึการ
00:14:05 → 00:14:07 รู้คอนดิร่างกายของตัวเองที่พี่พูดถึง
00:14:07 → 00:14:10 หมายถึงว่าเราจะต้องรู้ก่อนว่าเรามีสภาวะ
00:14:10 → 00:14:12 ของโรคอะไรหรือเปล่าที่จำเป็นจะต้องจำกัด
00:14:12 → 00:14:15 สารอาหารบางชนิดเนาะอย่างเช่นคนที่เสี่ยง
00:14:15 → 00:14:18 กับการเป็นโรคหัวใจหรือว่าคนที่กำลังอยู่
00:14:18 → 00:14:21 ในระหว่างฟอกไตก็อาจจะต้องระวังเรื่องของ
00:14:21 → 00:14:24 โซเดียมเรื่องของฟอสฟอรัสเป็นพิเศษหรือ
00:14:24 → 00:14:29 ว่าคนที่มีสภาวะความเสี่ยงของการที่จะ
00:14:29 → 00:14:34 เป็นโรคเบาหวานหรือเป็นโรคของหลอดเลือด
00:14:34 → 00:14:35 หัวใจอะไรอย่างเงี้ยค่ะก็อาจจะต้องระวัง
00:14:36 → 00:14:38 ในเรื่องของตัวปริมาณน้ำตาลแล้วก็ปริมาณ
00:14:38 → 00:14:41 ไขมันทีนี้เราจะรู้ได้ยังไงเนาะว่าอันนี้
00:14:41 → 00:14:43 เรารู้จักตัวเองแล้วเนาะสิ่งต่อไปก็คือ
00:14:43 → 00:14:45 ที่เราจะต้องรู้จักตัวผลิตภัณฑ์ง่ายที่
00:14:45 → 00:14:49 สุดก็คือที่ผู้ผลิตเขาสื่อสารกับเราบน
00:14:49 → 00:14:52 ฉลากบนฉลากจะมีบอกทุกอย่างหมดเราก็แค่
00:14:52 → 00:14:55 ต้องเข้าใจแล้วอ่านฉลากให้เป็นโหอันเนี้ย
00:14:55 → 00:14:57 งานยากเลยพี่ยุอ่านฉลากนี่ไม่ใช่เรื่อง
00:14:57 → 00:15:02 ง่ายๆนะเพราะว่าคือในฐานะผู้บริโภคอ่ะก็
00:15:02 → 00:15:05 รู้แค่ว่าอ่ะเราดูแคลอรี่เราดูโปรตีนไข
00:15:05 → 00:15:07 มันอะไรเงี้ยแต่มันมีคำแปลกๆเยอะมากเลย
00:15:07 → 00:15:10 อ่ะอย่างงี้พี่ยุพอจะสอนพวกเราได้มยว่า
00:15:10 → 00:15:12 ถ้าเราเดินไปในซุปเปอร์มาร์เก็ตอยากจะ
00:15:12 → 00:15:14 ซื้ออะไรก็ตามที่เป็น process หรือ Ultra
00:15:14 → 00:15:17 process เนี่ยควรจะอ่านฉลากยังไงมี
00:15:17 → 00:15:19 ไกด์ไลน์ให้พวกเราหน่อยได้มั้ยได้ค่ะ
00:15:19 → 00:15:21 อย่างแรกสุดเลยเนาะถ้าเกิดว่าเราเข้าไปใน
00:15:21 → 00:15:24 ร้านที่เข้าพูดเนี่ยน่าจะเป็นอารมณ์แบบ
00:15:24 → 00:15:25 convenient Store หรือว่า Super
00:15:25 → 00:15:28 มาร์เก็ตซึ่งโดยมากผลิตภัณฑ์ทุกอย่าง
00:15:28 → 00:15:31 เนี่ยเขาจะต้องผ่านอยอยู่แล้วอือไม่อย่าง
00:15:31 → 00:15:34 งั้นตอนแรกสิ่งที่พี่จะแนะนำก็คือถ้าเกิด
00:15:34 → 00:15:38 จะดูฉลากอ่ะค่ะอย่างแรกสุดมองหาอก่อนอ่ะ
00:15:38 → 00:15:40 เพื่อความมั่นใจว่าตัวอาหารตัวเนี้ยผ่าน
00:15:40 → 00:15:43 การรับรองการผลิตว่าสะอาดจริงๆครับค่ะ
00:15:44 → 00:15:46 แล้วหลังจากนั้นน่ะเราก็ไปดูซิว่าตัวฉลาก
00:15:46 → 00:15:49 โภชนาการของเขาเนี่ยเป็นยังไงคือเขาจะ
00:15:49 → 00:15:52 เริ่มจากการเขียนว่าใน 1 หน่วยบริโภคอ่ะ
00:15:52 → 00:15:56 กินนได้กี่ชิ้น 1 ถุงหรือ 1 แพคเกจที่เรา
00:15:56 → 00:15:59 ซื้อมาตรงนั้นน่ะกินได้กี่ครั้งทำตตามเข
00:15:59 → 00:16:01 หรือเปล่าโหอันนี้อันนี้คือข้าวรู้สึกว่า
00:16:01 → 00:16:04 อันเนี้ยเป็นสิ่งที่หลายคนน่ะโดนหลอกเป็น
00:16:04 → 00:16:06 กับดักมากเลยพี่ยุข้าวก็เป็นสมมุติว่า
00:16:06 → 00:16:09 ข้าวอยากกินขนมแล้วไปซื้อขนมห่อเป็นซอง
00:16:09 → 00:16:12 อ่ะคือก็พยายามพลิกดูเนาะว่ายี่ห้อไหนซอง
00:16:12 → 00:16:14 ไหนมันให้แคลอรี่ไม่เยอะพอเจอปุ๊บเฮ้ยอัน
00:16:14 → 00:16:17 นี้แคลอรี่ไม่เยอะแต่หลงลืมไปว่าแคลอรี่
00:16:17 → 00:16:20 ที่เขาบอกอ่ะมันคือต่อ 1 หน่วยบริโภคแล้ว
00:16:20 → 00:16:23 1 หน่วยบริโภคอ่ะมันไม่ใช่ทั้งห่อแต่บาง
00:16:23 → 00:16:26 ทีอาจจะครึ่งห่อ 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 4 ซึ่ง
00:16:26 → 00:16:28 ถ้าเกิดว่าเรากินทั้งห่อเงี้ยแล้วมันบอก
00:16:28 → 00:16:31 ว่า 1 ใน 4 ได้แควเท่านั้นน่ะมันต้องคูณ 4
00:16:31 → 00:16:34 เข้าไปจ้าหมดห่อนั้นน่ะเราก็จะได้แควเกิน
00:16:34 → 00:16:37 อย่าพูดว่าได้แควเกินเรียกว่าได้แควตาม
00:16:37 → 00:16:40 ที่เขาคูณเข้าไปอันนั้นคือปริมาณของ
00:16:40 → 00:16:43 แคลอรี่ที่แท้จริงที่เรากินทั้งห่ออืคำ
00:16:43 → 00:16:47 ถามคือกินได้มยก็ถ้าเกิดกินเสร็จแล้วมี
00:16:47 → 00:16:49 activity ไปออกกำลังกายไปอะไรอย่างงี้
00:16:49 → 00:16:51 เนาะก็ไม่ได้เป็นอะไรแต่ว่าในฉลาก
00:16:51 → 00:16:53 โภชนาการอ่ะค่ะมันไม่ได้มีแค่ serving
00:16:53 → 00:16:56 size เนาะแล้วก็มีปริมาณครั้งที่เราจะ
00:16:56 → 00:16:59 รับประทานได้ต่อ 1 แพคเกจนั้นอือสิ่งที่
00:16:59 → 00:17:02 เราต้องดูต่อมาก็คือปริมาณของพลังงานที่
00:17:02 → 00:17:05 เราจะได้รับปริมาณคาร์โบไฮเดรตปริมาณไข
00:17:05 → 00:17:08 มันทีนี้ตรงช่วงไขมันน่ะมันก็จะมี 2 ส่วน
00:17:08 → 00:17:11 ถ้าเกิดสังเกตมันก็จะมีไขมันกับไขมันอิ่ม
00:17:11 → 00:17:13 ตัวปริมาณไขมันอิ่มตัวมากหรือน้อยจริงๆ
00:17:13 → 00:17:16 ยิ่งน้อยยิ่งดีเนาะหรือถ้าไม่มีได้เลยก็
00:17:16 → 00:17:19 จะยิ่งดีแต่ทีนี้เนี่ยมันจะมีอาหารบาง
00:17:19 → 00:17:22 อย่างที่เรากินเพื่อเอาไขมันอิ่มตัวอย่าง
00:17:22 → 00:17:25 เช่นน้ำมันมะพร้าวถ้าเรากินน้ำมันมะพร้าว
00:17:25 → 00:17:27 แล้วเราไม่เอาไขมันอิ่มตัวเนี่ยก็ไม่ใช่
00:17:27 → 00:17:30 น้ำมันมะพร้าวอ๋ออทีนี้ต่อมาก็คือจะเป็น
00:17:30 → 00:17:34 คาร์โบไฮเดรตใยอาหารน้ำตาลโปรตีนใช่มั้ย
00:17:34 → 00:17:37 คะแล้วก็สิ่งที่คนมักจะไม่ได้ลงมาดูข้าง
00:17:38 → 00:17:40 ล่างก็คือเรื่องของวิตามินโซเดียม
00:17:40 → 00:17:43 โพแทสเซียม 2 ตัวนี้จริงๆแล้วเป็นตัวที่
00:17:43 → 00:17:46 พี่คิดว่าสำคัญเรากินน่ะเรากลัวอ้วนเนาะ
00:17:46 → 00:17:49 เราก็ไปดูแคลอรีเป็นหลักอือกินขนมหมดห่อ
00:17:49 → 00:17:52 เนี่ยเราจะได้พลังงานเท่าไหร่แต่ว่าเรา
00:17:52 → 00:17:56 ลืมไปว่าสิ่งที่เป็นส่วนสำคัญอีกอย่างนึง
00:17:56 → 00:17:58 ของสุขภาพเราก็คือปริมาณของแร่ธาตุดย
00:17:58 → 00:18:00 เฉพาะโซเดียมอาหารบางอย่างเนี่ยดูเหมือน
00:18:00 → 00:18:05 แคลอรีต่ำแต่โซเดียมสูงมากอือซึ่งดีหรือ
00:18:05 → 00:18:08 ไม่ดีซึ่งไม่ดีทีนี้เราจะบอกได้ว่าดีหรือ
00:18:08 → 00:18:10 ไม่ดีเนี่ยมันก็คงถ้าเราจะไปยืนเสิร์ช
00:18:10 → 00:18:12 Google ข้างหน้าร้านตลอดเวลามันก็คงเป็น
00:18:12 → 00:18:14 ไปไม่ได้เนาะสิ่งที่เราสามารถจะทำได้
00:18:14 → 00:18:16 เนี่ยเราดูตัวเลขข้างๆกันอย่างเช่น
00:18:16 → 00:18:20 โซเดียมเขาก็จะมีเขียนว่าปริมาณเท่าไหร่
00:18:20 → 00:18:23 แล้วตัวเลขถัดไปเขาจะบอกว่าเป็นปริมาณกี่
00:18:23 → 00:18:25 เท่าของที่เราควรจะได้รับต่อวันบางครั้ง
00:18:25 → 00:18:28 กินขนม 1 ซองได้โซเดียมเนี่ยพอแล้วสำหรับ
00:18:28 → 00:18:32 ที่ต้องกินทั้งวันแคลอรี่เนี่ยพึ่ง 50
00:18:32 → 00:18:35 แควหรือว่า 120 แควแต่โซเดียมเนี่ยเต็มละ
00:18:35 → 00:18:38 อืเพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะรู้ถัดไปก็คือ
00:18:38 → 00:18:41 ว่าอาหารในมื้อถัดไปที่เราจะกินเราก็ควร
00:18:41 → 00:18:45 จะเลือกอาหารที่ปรุงรสน้อยลงหน่อยเกลือ
00:18:45 → 00:18:48 ต่ำลงหน่อยหรือโซเดียมไม่ควรจะเกินละแล้ว
00:18:48 → 00:18:51 ก็ต่อไปที่เราจะไปดูก็คือพี่มักจะไปดูที่
00:18:51 → 00:18:55 ส่วนผสมดูว่าส่วนผสมเนี่ยมีอะไรบ้างครับ
00:18:55 → 00:19:00 ก็ไล่อรนไปเลยค่ะเราอาจจะเจออะไรแปลกๆเจอ
00:19:00 → 00:19:02 ไม่รู้มันคืออะไรเยอะแยะเลยมีอะไรที่ข้าว
00:19:02 → 00:19:04 รู้สึกว่ามันแปลกบ้างเอางี้ได้มั้ยคือ
00:19:04 → 00:19:06 จริงๆอ่ะข้าวเองด้วยความที่เป็นพ่อบ้าน
00:19:06 → 00:19:09 ชอบไปซุปเปอร์มาร์เก็ตเนาะถ่ายรูปของที่
00:19:09 → 00:19:13 ตัวเองซื้อกินบ่อยๆมาให้พี่ยุช่วยดูว่า
00:19:13 → 00:19:17 ไอ้สิ่งที่ข้าวเลือกกินเนี่ยมันมีอะไรที่
00:19:17 → 00:19:20 น่าสนใจแล้วไม่ต้องระวังไตัวแรกเลยพี่ยุ
00:19:20 → 00:19:24 ที่ข้าวกินแทบจะทุกวันเลยอ่ะคือนมที่เค้า
00:19:24 → 00:19:27 เคลมว่ามีโปรตีนสูงอันนี้ลองเลือกมาให้
00:19:27 → 00:19:29 พี่ยุดูมี 2-3 ตัวเลยครับครับที่รสชาติ
00:19:29 → 00:19:32 เดียวกันถ้าทางจะเป็นคนชอบรสช็อกโกแลตใช่
00:19:32 → 00:19:35 มั้ยรู้มว่าจริงๆช็อกโกแลตก็เป็น Ultra
00:19:35 → 00:19:36 process Food ตัวช็อกโกแลตเองอ่ะหรอ
00:19:36 → 00:19:40 ช็อกโกแลตเองแต่ใดๆก็คือตัวนมโปรตีนสูง
00:19:40 → 00:19:43 อ่ะค่ะโดยมากมันก็คือจะเป็นนมที่ใส่
00:19:43 → 00:19:47 โปรตีนเพิ่มเข้าไปเนาะอือเพราะฉะนั้นตัว
00:19:47 → 00:19:49 โปรตีนที่ใส่เพิ่มเข้าไปเนี่ยก็แล้วแต่
00:19:49 → 00:19:51 ว่าจะเป็นโปรตีนนมโปรตีนที่สกัดจากนมเป็น
00:19:51 → 00:19:53 นมผงหรืออะไรอย่างงี้ก็ว่าไปหรือว่าจะ
00:19:53 → 00:19:56 เป็นโปรตีนพืชเช่นโปรตีนถั่วเหลืองครับ
00:19:56 → 00:19:59 หรือเป็นเวโปรตีนซึ่งพวกนั้นนะคะมันจะ
00:19:59 → 00:20:01 อยู่ในรูปของเป็นผงผงโปรตีนถ้าเกิดเข้าดู
00:20:01 → 00:20:03 ส่วนประกอบที่สำคัญเนาะก็จะมีคำว่านมผง
00:20:03 → 00:20:06 เต็มมันเนยหรือโปรตีนนมเข้มข้นอย่างเงี้ย
00:20:06 → 00:20:09 ค่ะครับหรือว่าเป็นเวโปรตีนเข้มข้นหรือ
00:20:09 → 00:20:12 ถ้าอย่างเป็นพวกกลุ่มของ Plant Base
00:20:12 → 00:20:16 เนี่ยก็จะบอกว่าเป็นโปรตีนถั่วเหลืองสกัด
00:20:16 → 00:20:18 อะไรอย่างเงี้ยซึ่งพวกเนี้ยมันก็จะอยู่ใน
00:20:18 → 00:20:20 รูปที่ไม่ใช่รูปเม็ดถั่วหรือว่าน้ำนมละ
00:20:20 → 00:20:23 พวกเนี้ยจริงๆอ่ะก็จัดว่าเป็น Ultra
00:20:23 → 00:20:25 process Food อันนี้เป็นตัวอย่างของ
00:20:25 → 00:20:26 ผลิตภัณฑ์ Ultra process Food ที่ไม่
00:20:26 → 00:20:30 ได้บอกว่าไม่ดีกับสุขภาพเอืแต่ถ้าอย่าง
00:20:30 → 00:20:33 งี้สมมุติว่าอ่ะนมโปรตีนสูงช็อกโกแลตตอน
00:20:33 → 00:20:35 เนี้ยมีเข้าไปยืนหน้าเชลอมีอยู่ 4-5
00:20:35 → 00:20:38 ยี่ห้อเลยแล้วข้าวจะกินตัวไหนดีเออข้าว
00:20:38 → 00:20:41 ควรจะเลือกตัวไหนควรจะดูจากอะไรอย่างแรก
00:20:41 → 00:20:43 สุดกินเพื่ออะไรถ้าเลือกได้ก็คืออยากได้
00:20:43 → 00:20:47 โปรตีนเยอะแล้วก็น้ำตาลกับไขมันน้อยครับ
00:20:47 → 00:20:50 ค่ะก็มันก็คงจะต้องแบบมาดูเนาะมันอาจจะ
00:20:50 → 00:20:52 เป็นไปไม่ได้ทั้งหมดใช่ไหมคะแต่ทีนี้
00:20:52 → 00:20:55 เนี่ยถ้าเกิดว่าสมมุติว่าสิ่งที่ข้าวคิด
00:20:55 → 00:20:56 คือข้าวอยากได้โปรตีนให้มากที่สุดก็
00:20:57 → 00:20:59 สามารถดูปริมาณโปรตีนคเเนาะบนฉลากมักจะ
00:20:59 → 00:21:01 เขียนอยู่แล้วแหละว่าถ้ากินขวดเทั้งขวด
00:21:01 → 00:21:03 น่ะจะได้โปรตีนเท่าไหร่สิ่งถัดไปอ่ะถ้าจะ
00:21:04 → 00:21:07 บอกว่าไขมันน้อยก็ไปดูที่ไขมันว่าปริมาณ
00:21:07 → 00:21:10 ไขมันที่เขาใส่เข้ามาเป็นเท่าไหร่ถ้าเกิด
00:21:10 → 00:21:13 ว่ายี่ห้อแรกเนี่ยมีไขมันอิ่มตัว 3 กรัม
00:21:13 → 00:21:17 ยี่ห้อถัดไปมีไขมันอิ่มตัว 1.5 กรัมอถ้า
00:21:17 → 00:21:19 เป็นพี่เนาะพี่ก็อาจจะเลือกไขมันอิ่มตัว
00:21:19 → 00:21:21 ที่น้อยกว่าแต่ทีนี้เนี่ยเราก็ไปดูที่ตัว
00:21:21 → 00:21:24 น้ำตาลด้วยถ้าข้าบอกว่าไม่อยากได้น้ำตาล
00:21:24 → 00:21:26 โนเล่นกล้ามอยากได้รีนๆนไม่มีน้ำตาลเลย
00:21:26 → 00:21:28 อย่างเงี้ยค่ะก็ดูว่าเมีน้ำตาลอยู่เท่า
00:21:28 → 00:21:30 ไหร่ถ้ายี่ห้อแรกที่ข้าวให้มาก็คือมีน้ำ
00:21:30 → 00:21:34 ตาล 6 กรัมอีกยี่ห้อนึงให้น้ำตาล 1 กรัม
00:21:34 → 00:21:37 ก็แน่นอนว่ายี่ห้อที่น้ำตาลต่ำกว่าไขมัน
00:21:37 → 00:21:39 ต่ำกว่าเมื่อกี้พี่ยูพูดถึงโซเดียมใช่มย
00:21:39 → 00:21:42 ใช่พอมานั่งดูจริงๆอ่ะก็เห็นว่าตัวเลข
00:21:42 → 00:21:45 โซเดียมอ่ะมันต่างกันเยอะพอสมควรในแต่ละ
00:21:45 → 00:21:48 ยี่ห้อเลยนะพืชกับสัตว์นี่โซเดียมต่างกัน
00:21:48 → 00:21:51 มากเลยอ่ะใช่ค่ะก็คือตัวที่ตัวที่ข้าวชี้
00:21:51 → 00:21:54 ให้ดูเนาะก็คือตัวแพนเบสที่ที่เมื่อกี้
00:21:54 → 00:21:57 เราเลือกกันเนาะมีโซเดียม 330 มลกเนาะ
00:21:57 → 00:22:00 ซึ่งก็ถ้าพูดถึงก็คือมันเยอะกว่าอีก
00:22:00 → 00:22:03 ยี่ห้อนึงทีนี้เป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของที่
00:22:03 → 00:22:07 ควรจะได้ก็ดูว่าประมาณ 17% เราก็จะรู้ว่า
00:22:07 → 00:22:09 ถ้าเกิดว่าข้าวเลือกที่จะได้รับโปรตีนจาก
00:22:09 → 00:22:12 ตัว Plant Bas drink ตัวนี้เนาะสิ่งที่
00:22:12 → 00:22:14 ต้องคอนเซิร์นก็คือเรื่องของโซเดียมเพราะ
00:22:14 → 00:22:17 ฉะนั้นวันเนี้ทั้งวันข้าวอาจจะต้องแบบคอย
00:22:17 → 00:22:19 ระวังเรื่องโซเดียมจากอาหารอย่างอื่นอื
00:22:19 → 00:22:21 เพราะว่าได้โซเดียมจากอันนี้เยอะแล้วที
00:22:21 → 00:22:24 นี้เนี่ยถ้าเกิดว่าข้าวดูดีๆเนี่ยน้ำตาล
00:22:24 → 00:22:28 มันน้อยทั้งคู่ใช่ไหมมคะแต่ว่าเค้าใส่สาร
00:22:28 → 00:22:30 ให้ความหวานแทนน้ำตาลเนาะอ่าใช่หลายตัว
00:22:30 → 00:22:34 เลยพวกเยเนี่ยก็เป็นอีกหนึ่งคอนดิที่เรา
00:22:34 → 00:22:37 จะต้องรู้จักว่าเขาใส่อะไรมาบ้างเพราะว่า
00:22:37 → 00:22:40 บางคนเนี่ยก็แพ้หรือมีอาการที่ไม่สามารถ
00:22:40 → 00:22:42 จะย่อยพวกน้ำตาลเทียมพวกนี้ได้เพราะ
00:22:42 → 00:22:45 ฉะนั้นเนี่ยเราก็ต้องดูว่าเขาใส่อะไรมา
00:22:45 → 00:22:48 เพื่อที่เราจะได้เลือกกินว่ายี่ห้อที่ 1
00:22:48 → 00:22:51 ใส่ ABC เรากินไม่ได้ละเราก็ปรับไปยี่ห้อ
00:22:51 → 00:22:55 ที่ 2 โอเคอันนั้นคือนมเนาะค่ะมีอีกพขนม
00:22:55 → 00:22:58 ปังมีอะไรที่เราควรดูบ้างเกี่ยวกับขนมปัง
00:22:58 → 00:23:01 อะไรที่เราควรดูบ้างเกี่ยวกับขนมปังอย่าง
00:23:01 → 00:23:05 แรกสุดเลยที่พี่บอกจำได้มยอยมีมยมีอยแล้ว
00:23:05 → 00:23:09 วันหมดอายุวันไหนแล้วก็สิ่งถัดมาก็คือขนม
00:23:09 → 00:23:12 ปังที่กำลังจะซื้อเนี่ยเราอยากจะซื้อไป
00:23:12 → 00:23:16 เพื่ออะไรกินเอาอร่อยกินเอาอิ่มก็อร่อย
00:23:16 → 00:23:18 ด้วยมีประโยชน์ด้วยถ้าอย่างงั้นก็คือ
00:23:18 → 00:23:20 คาร์โบไฮเดรตยังไงเรากินขนมปังก็ต้องได้
00:23:20 → 00:23:23 คาร์โบไฮเดรตเนาะครับแต่สิ่งที่ถ้าคิดว่า
00:23:23 → 00:23:27 น่าจะมีประโยชน์จากขนมปังก็อาจจะเลือก
00:23:27 → 00:23:31 เป็นกลุ่มที่มีตัวใยอาหารเสริมเข้ามาลอง
00:23:31 → 00:23:34 ดูไขมันอิ่มตัวซิว่ามีไหมถ้ามีไขมันอิ่ม
00:23:34 → 00:23:37 ตัวเรารับได้ไหมปริมาณมากไหมถ้าไม่มากก็
00:23:37 → 00:23:40 โอเคเห็นในนี้มีไขมันทรานซ์อือยู่ในลิสต์
00:23:40 → 00:23:43 ด้วยค่ะไขมันทรานซ์คืออะไรไขมันทรานจริงๆ
00:23:43 → 00:23:47 แล้วอ่ะค่ะมันเป็นไขมันที่มีโครงสร้าง
00:23:47 → 00:23:50 เฉพาะแบบนึงคือเมื่อไขมันบางตัวโดนความ
00:23:51 → 00:23:53 ร้อนเนาะสูงๆเนี่ยมันจะเปลี่ยนโครงสร้าง
00:23:53 → 00:23:55 มันจะจัดโครงสร้างใหม่แล้วกลายเป็นทราน
00:23:55 → 00:23:58 ซึ่งเขาบอกว่าไขมันทรานเนี่ยมันจะสามารถ
00:23:58 → 00:24:01 จะไปทำอันตรายกับพวกหลอดเลือดหัวใจ
00:24:01 → 00:24:04 ปัจจุบันเนี้ยในประเทศไทยอ่ะทางออก็เลย
00:24:04 → 00:24:07 บอกว่าอาหารผลิตภัณฑ์ทุกตัวไม่ควรจะมีการ
00:24:07 → 00:24:10 ใช้ ingredient หรือส่วนผสมที่มีไขมัน
00:24:10 → 00:24:12 พรานแต่ว่าไขมันพรานก็ยังเจอได้ใน
00:24:12 → 00:24:14 ธรรมชาติเพราะฉะนั้นบางครั้งเราอาจจะเจอ
00:24:14 → 00:24:17 เล็กๆน้อยๆแต่ว่าอันนี้ก็คือว่าถือว่าต่ำ
00:24:17 → 00:24:20 มากน้อยกว่าูนเขาก็จะใส่มาเป็นศูนในขนม
00:24:20 → 00:24:24 ปังข้าวเจอคำแปลกๆะพีุ่วัตถุกันเสียวัตถุ
00:24:24 → 00:24:27 เจือปนอาหารแล้วมันจะเป็นตัวเลขอ่ะเป็น
00:24:27 → 00:24:30 รหัสแล้วก็ตัวเลขคือ ins แล้วก็ตามด้วย
00:24:30 → 00:24:32 ตัวเลขต่างๆมันคืออะไรแล้วเราจะรู้ได้ไง
00:24:32 → 00:24:35 ว่าอันไหนดีไม่ดีอ่ะคือจริงๆอ่ะค่ะเรื่อง
00:24:35 → 00:24:37 ของตัววัตถุการเสียกับวัตถุเจือปนอาหาร
00:24:37 → 00:24:39 น่ะก็คือเป็นกลุ่มเดียวกันเนาะก็คือวัตถุ
00:24:39 → 00:24:42 เจือปนอาหารเขาจะมีชื่อยากๆเรียกยากๆก็
00:24:42 → 00:24:45 เลยกำกับโดยการใช้เป็นสัญลักษณ์เป็น ins
00:24:45 → 00:24:47 แล้วก็ตามด้วยตัวเลขต่างๆซึ่งในแต่ละตัว
00:24:48 → 00:24:50 เนี่ยก็เราสามารถจะไปเสิร์ช Google หรือ
00:24:50 → 00:24:52 ว่าดูในประกาศของอยได้เลยว่าคืออะไรแล้ว
00:24:52 → 00:24:55 ทีนี้เนี่ยโดยมากอ่ะถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้
00:24:55 → 00:24:57 ใส่ตัวเลขมาว่าเาใส่เป็นเท่าไหร่ก็คือใส่
00:24:57 → 00:25:01 ถูกต้องตามกฎแหละอือืทีนี้ถ้าเกิดกังวล
00:25:01 → 00:25:04 ว่าตัวใดตัวหนึ่งที่จะก่อให้เกิดอาการแพ้
00:25:04 → 00:25:06 สำหรับเราโดยเฉพาะหรือเปล่าเราก็อาจจะไป
00:25:07 → 00:25:10 ลองเสิร์ชดูแหละว่าได้ไหมแต่ว่าการทำ
00:25:10 → 00:25:13 อาหารแปรรูปอ่ะค่ะที่ใส่วัตถุเจอปนอาหาร
00:25:13 → 00:25:15 พวกนี้เนาะทางออยอเขามีกฎหมายบังคับอยู่
00:25:15 → 00:25:17 แล้วว่าจะต้องใส่ไม่เกินเท่าไหร่ไม่ใช่
00:25:17 → 00:25:21 แค่เฉพาะแบบตัวนี้ใส่ได้เท่าไหร่นะอาหาร
00:25:21 → 00:25:24 ประเภทนี้กลุ่มนี้ที่มีปริมาณการกินแบบ
00:25:24 → 00:25:27 นี้ใส่สารแต่ละตัวได้เท่าไหร่ซึ่งจะไม่
00:25:27 → 00:25:31 เกินเลเวลที่ปลอดภัยในการรับประทาน 1 วัน
00:25:31 → 00:25:34 หมายความว่าถ้าเรากินตามคำแนะนำของฉลาก
00:25:34 → 00:25:37 คือไม่เกินโดสเ้าปลอดภัยกับเราแน่นอนถ้า
00:25:37 → 00:25:39 เราไม่แพ้ใช่ถ้าเราไม่แพ้ถ้าเราไม่แพ้
00:25:39 → 00:25:42 แล้วเราไม่กินเกินโดสเค้ามีอย่างนึงพี่ยุ
00:25:42 → 00:25:44 ที่ข้าคิดว่าคนอาจจะมองข้ามแล้วไม่รู้ว่า
00:25:44 → 00:25:46 มันเป็น process Food แล้วเรากินทุกวัน
00:25:46 → 00:25:49 เลยคือพวกซอสซอสทั้งหมดเลยอ่ะน้ำจิ้มน้ำ
00:25:49 → 00:25:52 สลัดเอยทั้งหมดอ่ะมันก็เป็น Ultra
00:25:52 → 00:25:54 process Food ใช่มยถ้าดูจากอรนเนาะแล้ว
00:25:54 → 00:25:57 ก็วิธีทำหลายๆตัวใช่ค่ะอันนี้มีหลายตัว
00:25:57 → 00:25:59 เลยเนี่ยที่ส่งให้พี่ยุลองไล่ดูหน่อยว่า
00:25:59 → 00:26:02 มีตัวอะไรที่เราเป็นส่วนประกอบที่น่าสนใจ
00:26:02 → 00:26:06 สิ่งนึงนะที่อยากจะพูดถึงก็คือว่าในพวก
00:26:06 → 00:26:08 เครื่องปรุงอาหารทั้งหลายอ่ะค่ะไม่ว่าจะ
00:26:08 → 00:26:12 เป็นซอสหรือว่าจะเป็นพวกน้ำจิ้มอะไรอย่าง
00:26:12 → 00:26:14 งี้เนาะถึงขนมอะไบางอย่างด้วยก็ตามนะโดย
00:26:14 → 00:26:17 มากอ่ะบางครั้งอ่ะเขาจะโฆษณาว่าไม่ได้มี
00:26:17 → 00:26:20 การใส่ผงชูรสเนาะไม่ใส่ msg อย่างเงี้ย
00:26:20 → 00:26:24 แต่ว่าเขาอาจจะใส่สารแต่งสีแต่งกลิ่นแต่ง
00:26:24 → 00:26:27 รสอย่างอื่นเข้าไปด้วยก็ได้ซึ่งสิ่งที่
00:26:27 → 00:26:29 เรานักพูดบริโภคเนาะต้องทำตัวให้สมาร์ทก็
00:26:29 → 00:26:32 คือว่าเราลองไปดูซิว่าเค้าอ่ะใส่อะไรบาง
00:26:32 → 00:26:34 ครั้งเนี่ยเขาบอกว่าเขาอาจจะต้องแต่งสี
00:26:34 → 00:26:37 ด้วยคาราเมลอ่ะคาราเมลไม่อันตรายไม่เป็น
00:26:37 → 00:26:39 ไรอาจจะต้องแต่งรถด้วยการเติมเกลือนนิด
00:26:39 → 00:26:41 หน่อยถ้าปริมาณไม่เยอะโซเดียมไม่เยอะไม่
00:26:41 → 00:26:46 เป็นไรหรือว่าเาไม่ใส่ผงชูรสจริงแต่เขา
00:26:46 → 00:26:49 ใส่ flav enhancer หรือว่าตัวให้รสชาติ
00:26:49 → 00:26:51 อย่างอื่นมันก็อาจจะมีโซเดียมแฝงมาก็ได้
00:26:51 → 00:26:53 เพราะฉะนั้นอันนี้เป็นอีกหนึ่งอย่างที่
00:26:53 → 00:26:56 จำเป็นจะต้องระวังอย่างมีตัวไหนมยที่เรา
00:26:56 → 00:26:58 ควรจะรู้จักไว้ว่านี่คือเกลือนะนะมันจะมี
00:26:58 → 00:27:01 พวกสารแต่งรถอ่ะค่ะบางกลุ่มที่เขาเรียก
00:27:01 → 00:27:04 ว่าเป็นกลุ่มของนิวคลีโอไทด์โดยมากมันจะ
00:27:04 → 00:27:07 อยู่ในรูปเกลือของนิวคลีโอไทด์ซึ่งพอได้
00:27:07 → 00:27:09 เข้าไปมันก็เป็นโซเดียมอยู่ดีมันคือชื่อ
00:27:09 → 00:27:12 ยาวๆนี้มพี่ไดโซเดียมใช่ไ prim
00:27:12 → 00:27:13 ไรโบนิวคลีโอไทด์
00:27:13 → 00:27:18 อออืแต่ว่าประเด็นของของพวกเนี้ยนะจริงๆ
00:27:18 → 00:27:21 อ่ะมันใส่นิดเดียวมันก็แต่งรสชาติให้โดด
00:27:21 → 00:27:23 ขึ้นมาโดดเด่นขึ้นมาได้แล้วแลอีกอย่างนึง
00:27:23 → 00:27:27 ก็คือจริงๆพวกซีอิ๊วซอสต่างๆน้ำจิ้มต่างๆ
00:27:27 → 00:27:30 อ่ะค่ะทางอยอมองว่าวันนึงที่เราบริโภคเรา
00:27:30 → 00:27:32 บริโภคนิดเดียวมันคือ 1 เหยาะ 2 เหยาะ 3
00:27:32 → 00:27:36 เหยาะเนาะแต่คนที่ชอบแบบรสชาติโดดเด่น
00:27:36 → 00:27:39 เป็นพิเศษเติมเยอะๆใส่เยอะๆอะไรเงี้ยก็
00:27:39 → 00:27:41 อาจจะต้องระวังเคพอจะได้แนวทางแล้วว่าถ้า
00:27:41 → 00:27:43 เกิดว่าต่อไปไปซื้อของเนี่ยควรจะไล่ดู
00:27:43 → 00:27:46 อะไรบ้างถ้าเจออะไรแปลกๆแล้วเราสนใจก็
00:27:46 → 00:27:48 เสิร์ชเลยนะครับแล้วดูว่าเราแพ้หรือเปล่า
00:27:48 → 00:27:50 เนาะมีอีกอย่างนึงที่จริงๆอ่ะเป็นข้อความ
00:27:50 → 00:27:52 หรือเป็น Message ที่ผู้ผลิตเขาอยากจะ
00:27:52 → 00:27:55 สื่อสารกับเราบนฉลากก็คือข้างหน้าอันนี้
00:27:55 → 00:27:57 เราพูดถึงข้างหลังพลิกผลิตภัณฑ์ไปดูข้าง
00:27:57 → 00:28:00 หลังเเนแต่ว่าข้างหน้าค่ะหรืออเวว่าบางที
00:28:00 → 00:28:03 ข้างหลังก็ตามแหละบางครั้งเนี่ยผู้ผลิต
00:28:03 → 00:28:05 บางคนเขาสื่อสารกับเราด้วกันบอกว่าอาหาร
00:28:05 → 00:28:09 ของเขาเนี่ยมีความสามารถในการป้องกันโรค
00:28:09 → 00:28:11 ABC หรือว่าช่วยรักษาโรค ABC อะไรอย่าง
00:28:11 → 00:28:15 เงี้ยยจะบอกว่าถ้าเป็นกลุ่มนั้นน่ะให้เอะ
00:28:15 → 00:28:17 ใจนิดนึงก่อนว่าน่าเชื่อถือหรือเปล่า
00:28:17 → 00:28:19 เพราะว่าถ้าตามกฎหมายของอยอยจริงๆแล้วอ่ะ
00:28:19 → 00:28:22 อาหารไม่ใช่ยาและอาหารไม่สามารถป้องกัน
00:28:22 → 00:28:25 โรคได้ถ้าผู้ผลิตคนไหนที่เขามี Message
00:28:25 → 00:28:30 แบบเนี้ยค่ะคุยกับผู้บริโภคอ่ะก็อืนิดนึง
00:28:30 → 00:28:32 โหวันนี้เรียกได้ว่าเปิดโลกเกี่ยวกับ
00:28:32 → 00:28:34 process Food มากเลยครับพี่ยุอย่างแรก
00:28:34 → 00:28:36 เลยที่อยากจะให้ทุกคนเข้าใจวันนี้นะครับ
00:28:36 → 00:28:39 คือ process Food เนี่ยมันไม่ได้แย่เสมอ
00:28:39 → 00:28:41 ไปนะแล้วเราไม่ควรจะเหมารวมว่าทุกอย่าง
00:28:41 → 00:28:43 ที่เป็น process Food หรือว่า Ultra
00:28:43 → 00:28:45 process Food เนี่ยเป็นสิ่งที่ไม่มี
00:28:45 → 00:28:47 ประโยชน์แล้วก็กินเข้าไปแล้วทำให้เกิดโรค
00:28:47 → 00:28:49 ต่างๆเราควรจะต้องเจาะดูเป็นผลิตภัณฑ์ไป
00:28:49 → 00:28:52 นะครับเพราะว่าหลายๆอย่างเนี่ยสูตรที่เขา
00:28:52 → 00:28:55 ออกแบบมาบางครั้งเนี่ยมันทำให้เราได้รับ
00:28:55 → 00:28:58 คุณค่าทางสารอาหารเพิ่มมากขึ้นด้วยซ้ำไป
00:28:58 → 00:29:00 มันเป็นหน้าที่ของเราในฐานะผู้บริโภคที่
00:29:00 → 00:29:03 เราควรจะ 1 เข้าใจตัวเองเข้าใจยังไงคือ
00:29:03 → 00:29:06 เราต้องรู้ว่าเราต้องการกินอาหารเพื่อ
00:29:06 → 00:29:08 อะไรเรามีข้อจำกัดคือมีความเสี่ยงที่จะ
00:29:08 → 00:29:11 เป็นโรคบางอย่างมากเกินไปหรือเปล่าหรือ
00:29:11 → 00:29:13 ว่าเรามีความเสี่ยงที่จะแพ้อาหารบางอย่าง
00:29:13 → 00:29:14 หรือเปล่าหลังจากที่เราเข้าใจตัวเองแล้ว
00:29:14 → 00:29:17 เนี่ยครับขั้นตอนต่อไปคือตอนที่เราไปซื้อ
00:29:17 → 00:29:19 process Food กินเนี่ยนะครับเราควรจะ
00:29:19 → 00:29:22 ต้องอ่านฉลากโภชนาการที่อยู่ด้านหลังว่า
00:29:22 → 00:29:26 ไอ้ผลิตภัณฑ์นั้นเนี่ยเา้าแนะนำให้เรากิน
00:29:26 → 00:29:28 บ่อยแค่ไหนหรือมากน้อยแค่ไหนไนคำมันจะ
00:29:28 → 00:29:30 เรียกว่าเฟ Wing sze หรือว่าจำนวน 1
00:29:30 → 00:29:33 หน่วยบริโภคนะครับแล้วก็ดูว่าในผลิตภัณฑ์
00:29:33 → 00:29:34 นั้นเนี่ยนะครับมันมีส่วนประกอบอะไรบ้าง
00:29:34 → 00:29:37 มันมีส่วนประกอบที่เราแพ้หรือเปล่า
00:29:37 → 00:29:40 อันตรายกับคอนดิร่างกายของเราหรือเปล่า
00:29:40 → 00:29:42 แล้วยิ่งถ้าเกิดว่าเป็นผลิตภัณฑ์ไหนที่
00:29:42 → 00:29:45 เรากินบ่อยๆเนี่ยครับมันก็จะเป็นการดีมาก
00:29:45 → 00:29:47 ที่เราจะไปทำความเข้าใจว่าเอ๊ะกว่าที่มัน
00:29:47 → 00:29:50 จะออกมาเป็นผลิตภัณฑ์นั้นเนี่ยมันผ่าน
00:29:50 → 00:29:53 กระบวนการหรือขั้นตอนอะไรมาบ้างเราจะได้
00:29:53 → 00:29:55 เลียกซื้อ process Food ที่มันตอบโจทย์
00:29:55 → 00:29:58 สุขภาพแล้วก็ดีกับตัวเราจริงจริงๆนะครับ
00:29:58 → 00:30:01 สุดท้ายครับพี่ยุในฐานะที่เป็น Food
00:30:01 → 00:30:05 scientist อยากจะฝากอะไรถึงคนดูในการ
00:30:05 → 00:30:07 เลือกซื้อ process หรือว่า Ultra process
00:30:07 → 00:30:09 Food ครับที่อยากจะฝากทุกคนนะคะก็คือ
00:30:09 → 00:30:12 อยากให้ทุกคนเนี่ยมาร่วมกันเป็นผู้บริโภค
00:30:12 → 00:30:14 ที่สมาร์ทเนาะแล้วก็อยู่บนหลักของ
00:30:14 → 00:30:17 moderation กับ Variety ก็คือกินอาหาร
00:30:17 → 00:30:19 ที่หลากหลายและมีปริมาณที่พอดีเพื่อที่จะ
00:30:19 → 00:30:22 นำมาซึ่งสุขภาพที่ดีของทุกคน
00:30:22 → 00:30:26 ค่ะ Top to Toe The Standard podcast
00:30:26 → 00:30:31 Eye Opening for your ears