00:00:08 → 00:00:12 อะไรทำให้คนเรากลายเป็นไซโคภาวะที่ผู้
00:00:12 → 00:00:16 ป่วยอาจเป็นภัยต่อสังคมผู้มีภาวะไซโคพาส
00:00:16 → 00:00:20 จำเป็นต้องก่อความรุนแรงหรือไม่หมอดีมีคำ
00:00:20 → 00:00:23 ตอบรู้จักคนประเภทผีดูดเลือดร้ายกว่า
00:00:24 → 00:00:26 toxic People อยู่ใกล้มีแต่เหนื่อยหมด
00:00:26 → 00:00:29 พลังติดตามเรื่องราวทั้งหมดได้ในรายการ
00:00:29 → 00:00:33 TNN Health วัน
00:00:33 → 00:00:37 นี้สวัสดีค่ะขอต้อนรับเข้าสู่รายการ TNN
00:00:37 → 00:00:39 Health เข้าถึงทุกสาระสุขภาพเสริมภูมิ
00:00:39 → 00:00:42 คุ้มกันรู้ทันโรคไปกับ TE and Heal ค่ะ
00:00:42 → 00:00:45 และดิฉันหมอดาวแพทย์หญิงฉัดาวจังวังกร
00:00:46 → 00:00:49 แพทย์เฉพาะทางสาขาเวชศาตร์ครอบครัวพร้อม
00:00:49 → 00:00:52 ที่จะรับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการพาคุณ
00:00:52 → 00:00:58 ผู้ชมมาเข้าถึงสาระสุขภาพดีๆกัน
00:00:58 → 00:01:02 ค่ะสัปดาห์นี้นะคะคุณผู้ชมเราจะมาพูดคุย
00:01:02 → 00:01:06 ถึงเรื่องของไซโคพาสซึ่งเป็นภาวะกลุ่มโรค
00:01:06 → 00:01:08 ค่ะที่เป็นเรื่องของความผิดปกติของ
00:01:08 → 00:01:12 บุคคลิกภาพทำให้มีบุคลิกภาพแบบสุดโต่งได้
00:01:12 → 00:01:15 ซึ่งทางนี้ถ้าเราเคยเห็นนะคะไม่ว่าจะเป็น
00:01:15 → 00:01:17 ข่าวเป็นภาพยนตร์เป็นหนังสยองขวัญที่จะ
00:01:17 → 00:01:20 เป็นเรื่องของฆาตกรโฟังดูแล้วน่ากลัวจัง
00:01:20 → 00:01:23 แต่ภาวะนี้แท้จริงเป็นอย่างไรไปฟังกันค่ะ
00:01:24 → 00:01:27 กรมสุขภาพจิตกระทรวงสาธารณสุขระบุว่า
00:01:27 → 00:01:30 ไซโคพาสเป็นหนึ่งในกลุ่มของโรคบุคลิกภาพ
00:01:30 → 00:01:33 ผิดปกติแบบต่อต้านสังคมสุดโต่งหรือ Anti
00:01:33 → 00:01:35 Social personality disorder โดยมี
00:01:35 → 00:01:38 ลักษณะขาดความเห็นใจผู้อื่นขาดความสำนึก
00:01:38 → 00:01:42 ผิดความรู้สึกด้านชาไม่เกรงกลัวขาดความ
00:01:42 → 00:01:46 ยับยังชั่งใจเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางดร
00:01:46 → 00:01:49 aron tnis ผู้เขียน The med Complex
00:01:49 → 00:01:53 กล่าวว่าบุคคลที่มีบุคลิกไซโคมักจะมองว่า
00:01:53 → 00:01:56 ผู้อื่นเป็นวัตถุที่เขาสามารถใช้เพื่อ
00:01:56 → 00:01:59 ประโยชน์ของตัวเองได้พวกเขาอาจแสร้งทำ
00:01:59 → 00:02:02 เป็นสนใจคุณแต่ในความเป็นจริงพวกเขาอาจ
00:02:02 → 00:02:05 ไม่สนใจพวกเขาเป็นนักแสดงที่มีทักษะซึ่ง
00:02:05 → 00:02:07 มีภารกิจเพียงอย่างเดียวคือจัดการกับผู้
00:02:07 → 00:02:11 คนเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวตามรายงานของ
00:02:11 → 00:02:14 Very Well mind ผู้ที่มีภาวะไซโคไม่
00:02:14 → 00:02:17 จำเป็นต้องมีพฤติกรรมทางจิตอย่างผู้ป่วย
00:02:17 → 00:02:20 จิตเวทแต่อาจเป็นบุคคลทั่วๆไปที่มีลักษณะ
00:02:20 → 00:02:24 ทางจิตบางอย่างซ่อนลึกในจิตใจไซโคผาเกิด
00:02:24 → 00:02:28 ได้จากหลายสาเหตุได้แก่ด้านทางกายมีความ
00:02:28 → 00:02:31 ผิดปกติของสมองโดยเฉพาะสมองส่วนหน้าส่วน
00:02:31 → 00:02:35 อมิกดาลาความผิดปกติของสารเคมีในสมองหรือ
00:02:35 → 00:02:38 อุบัติเหตุทางสมองและพันธุกรรมด้านจิตใจ
00:02:38 → 00:02:42 และสังคมเกิดจากภาวะไซโคพาสด้านจิตใจและ
00:02:42 → 00:02:45 สังคมอาจเกิดขึ้นในวัยเด็กและแย่ลงเมื่อ
00:02:45 → 00:02:50 เวลาผ่านไปเช่นขาดความรักขาดความสนใจไร้
00:02:50 → 00:02:53 คำแนะนำจากผู้ปกครองถูกกระทำทารุณในวัย
00:02:53 → 00:02:56 เด็กถูกเลี้ยงดูแบบละเลยเพิกเฉยการเลี้ยง
00:02:56 → 00:02:59 ดูที่ไม่พึงประสงค์อาชญากรรมในครอบครัว
00:02:59 → 00:03:03 ความแตกแยกในครอบครัวรวมถึงสภาพสังคมรอบ
00:03:03 → 00:03:04 ตัวที่โหด
00:03:04 → 00:03:09 ร้ายแล้วอาการของไซโคเป็นอย่างไรมีลักษณะ
00:03:09 → 00:03:13 จิตใจที่แข็งกระด้างมีพฤติกรรมตอบสนองต่อ
00:03:13 → 00:03:15 ความต้องการของตัวเองโดยไม่สนใจผู้อื่นใน
00:03:15 → 00:03:19 สังคมมีความผิดปกติทางอารมณ์และความคิด
00:03:19 → 00:03:22 โดยเฉพาะเมื่อต้องเข้าสังคมมักกระทำความ
00:03:22 → 00:03:25 รุนแรงซ้ำๆและก่อให้เกิดอาชญากรรมอาจจะมี
00:03:26 → 00:03:29 โรคโกหกตัวเองหรือในวงการจิตวิทยาเรียก
00:03:29 → 00:03:32 ว่า pathological lying โดยจุดประสงค์
00:03:32 → 00:03:35 ของการโกหกเพื่อให้ตัวเองดูดีเรียกร้อง
00:03:35 → 00:03:38 ความสนใจและหลุดพ้นจากปัญหาขาดความสำนึก
00:03:38 → 00:03:41 ผิดไม่สนใจว่าพฤติกรรมส่วนตัวจะส่งผลต่อ
00:03:41 → 00:03:45 คนอื่นอย่างไรอาจลืมบางสิ่งทำร้ายคนอื่น
00:03:45 → 00:03:48 แต่ยังไม่มีความรู้สึกผิดใดๆที่ทำให้ผู้
00:03:48 → 00:03:50 คนเจ็บปวดพร้อมทั้งหาเหตุผลเข้าข้างตัว
00:03:50 → 00:03:54 เองและตำหนิผู้อื่นขาดความเห็นอกเห็นใจ
00:03:54 → 00:03:58 บุคคลที่มีภาวะไซโคพยายามทำความเข้าใจว่า
00:03:58 → 00:04:01 คนอื่นอาจรู้สึกกลัวเศร้าหรือวิตกกังวล
00:04:01 → 00:04:04 อย่างไรแต่ตัวเองไม่แยแสกับคนที่กำลัง
00:04:04 → 00:04:07 ทุกข์ทรมานเลยแม้แต่น้อยถึงแม้ว่าบุคคล
00:04:07 → 00:04:09 นั้นจะเป็นเพื่อนสนิทหรือสมาชิกใน
00:04:09 → 00:04:13 ครอบครัวก็ตามนิสัยของไซโคพาธมีแนวโน้ม
00:04:13 → 00:04:17 ก่ออาชญากรรมร้ายแรงนักนิติจิตวิทยาและ
00:04:17 → 00:04:20 ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจึงใช้ลักษณะอาการ
00:04:20 → 00:04:23 ของไซโคพาธเพื่อประกอบการสืบสวนเมื่อเกิด
00:04:23 → 00:04:27 คดีอาชญากรรมทั้งนี้ผู้มีภาวะไซโคพาสบาง
00:04:27 → 00:04:30 คนอาจมีเสน่ห์ดึงดูดภายนอก
00:04:30 → 00:04:33 เช่นพูดคุยเก่งและมีอารมณ์ขันและบางคนอาจ
00:04:33 → 00:04:36 ไม่ได้มีพฤติกรรมรุนแรงซึ่งผลการศึกษาพบ
00:04:36 → 00:04:39 ว่าไซโคบางกลุ่มประสบความสำเร็จในชีวิต
00:04:39 → 00:04:42 และมีแนวโน้มที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
00:04:42 → 00:04:45 ให้เป็นผู้นำเมื่อคุณผู้ชมฟังมาถึงตรงนี้
00:04:45 → 00:04:48 นะคะอาจจะมีข้อสงสัยว่าแล้วทำไมคนที่มี
00:04:48 → 00:04:51 ความเป็นไซโคถึงมีแนวโน้มที่จะเกาะ
00:04:51 → 00:04:55 อาชญกรรมที่ร้ายแรงคำตอบก็คือผู้ที่มี
00:04:55 → 00:04:59 ภาวะไซโคมีแนวโน้มที่จะเป็นฆาตกรได้เพราะ
00:04:59 → 00:05:01 จะไม่มีความเห็นใจผู้อื่นและไม่เกรงกลัว
00:05:02 → 00:05:05 ต่อการทำผิดนั่นเองสนับสนุนโดยแอปหมอดี
00:05:05 → 00:05:08 หมอประจำบ้านในมือ
00:05:08 → 00:05:12 คุณในช่วงนี้นะคะเราจะไปพูดคุยทำความเข้า
00:05:12 → 00:05:15 ใจเกี่ยวกับเรื่องของไซโคจากอาจารย์หมอ
00:05:15 → 00:05:18 จากแอปพลิเคชันหมอดีกันไปฟังพร้อมๆกันค่ะ
00:05:18 → 00:05:19 อาจารย์คะสวัสดี
00:05:19 → 00:05:28 [เพลง]
00:05:28 → 00:05:31 ค่ะ
00:05:31 → 00:05:34 ขอเริ่มที่คำถามแรกเลยนะคะอาจารย์อุบัติ
00:05:34 → 00:05:37 กาของโรคไซโคพาสทั่วโลกนั้นเป็นอย่างไร
00:05:37 → 00:05:42 บ้างคะค่ะอุบัติกาของการเกิดไซโค่านนะคะ
00:05:43 → 00:05:47 ก็จะอยู่ที่ประมาณ 1% นะคะโดยอุบัติกานี้
00:05:47 → 00:05:52 คือเอ่อทำเอ่อวิจัยผลจากการวิจัยโดยการ
00:05:52 → 00:05:57 ใช้แบบทดสอบไซโคพาสซึ่งจะประเมินจากด้าน
00:05:57 → 00:06:00 พฤติกรรมต่างๆนะคะแล้วก็ต้องเก็บเป็นเอ่อ
00:06:00 → 00:06:04 กลุ่มตัวอย่างแล้วก็นำมารวบรวมเป็นอุบัติ
00:06:04 → 00:06:08 กาขึ้นมานะคะค่ะอาจารย์คะใครเป็นกลุ่ม
00:06:08 → 00:06:11 เสี่ยงที่จะทำให้เป็นไซโคในกลุ่มเสี่ยง
00:06:11 → 00:06:15 ของการเกิดไซโคนะคะก็จะมีตั้งแต่ปัจจัย
00:06:15 → 00:06:20 ทางด้านสมองซึ่งในกลุ่มที่มีภาวะของสมอง
00:06:20 → 00:06:24 ผิดปกติใน prefrontal cortex ซึ่งเป็น
00:06:24 → 00:06:28 สมองส่วนหน้าที่ช่วยควบคุมเหตุผลความยับ
00:06:28 → 00:06:32 ยั้งช่างจต่างๆศีลธรรมการกระทำที่ถูกต้อง
00:06:33 → 00:06:37 ตามกฎระเบียบอันนี้ในกลุ่มคนที่มีภาวะผิด
00:06:37 → 00:06:41 ปกติของสมองด้าน prefrontal cex ก็จะ
00:06:41 → 00:06:44 เป็นกลุ่มเสียงกลุ่มนึงนะคะแล้วก็ในกลุ่ม
00:06:44 → 00:06:49 คนที่มีสมองส่วนมิาที่ผิดปกติซึ่งสมองใน
00:06:49 → 00:06:53 ส่วนอิาเนี่ยค่ะเขาจะเป็นสมองในส่วนที่
00:06:53 → 00:06:57 ควบคุมในด้านอารมณ์ความกลัวซึ่งในความ
00:06:57 → 00:07:02 กลัวที่ผิดปกติติจากสมองส่วนเนี้ยทำให้คน
00:07:02 → 00:07:06 ไข้ในกลุ่มไซโคพาสเนี่ยเขาจะขาดความกลัว
00:07:06 → 00:07:09 แล้วก็ความรู้สึกในการทำสิ่งที่มันมีความ
00:07:09 → 00:07:13 เสี่ยงหรือว่าขัดกับกฎเกณฑ์ต่างๆได้ง่าย
00:07:13 → 00:07:17 นะคะอันนี้ก็เป็นปัจจัยทางด้านกายภาพแล้ว
00:07:17 → 00:07:21 ก็ทางด้านชีวภาพนะคะส่วนด้านปัจจัยทาง
00:07:21 → 00:07:26 ด้านสิ่งแวดล้อมแล้วก็ทางด้านจิตใจนะคะ
00:07:26 → 00:07:29 ปัจจัยทางด้านสังคมก็จะเป็นเรียกว่าตัว
00:07:29 → 00:07:32 ไซโคโซเชียลที่จะเกิดความเสี่ยงในการเกิด
00:07:33 → 00:07:38 ไซโคนะคะส่วนมากก็จะพบได้ในกลุ่มคนที่เคย
00:07:38 → 00:07:42 มีประวัติการเลี้ยงดูในวัยเด็กที่มีผล
00:07:42 → 00:07:47 กระทบทางด้านร่างกายและจิตใจหรือว่าอยู่
00:07:47 → 00:07:51 ในกลุ่มครอบครัวที่มีการใช้ความรุนแรงสูง
00:07:52 → 00:07:55 หรือว่าเกิดมาในเอ่อครอบครัวที่ขาดการดู
00:07:55 → 00:08:00 แลเอาใจใส่ก็จะทำให้ถูกเอ่อเอมีความรู้
00:08:00 → 00:08:03 สึกถูกละเลยแล้วก็การเชื่อมความรู้สึกใน
00:08:03 → 00:08:07 ทางอารมณ์ต่างๆที่เป็นปกติในการใช้ในการ
00:08:07 → 00:08:13 สื่อสารกับคนทั่วไปก็จะผิดรูปแบบไปนะคะ
00:08:13 → 00:08:17 แล้วก็ในกลุ่มเอ่อปัจจัยครอบครัวที่
00:08:17 → 00:08:20 เกี่ยวเนื่องกับครอบครัวที่มีประวัติทาง
00:08:20 → 00:08:24 ด้านอาชญากรรมนะคะในกลุ่มเสี่ยงของการใช้
00:08:24 → 00:08:27 สารเสพติดเนื่องจากสารเสพติดเนี่ยไปทำให้
00:08:27 → 00:08:30 เกิดสารเคมีในสมองที่ผิดปกติผิดเพี้ยนไป
00:08:30 → 00:08:34 จากสมดุลเดิมของสมองซึ่งเขาจะมีหน้าที่ใน
00:08:34 → 00:08:38 การส่งสารสื่อประสาทเพื่อสื่อสารกัน
00:08:38 → 00:08:41 ระหว่างเซลล์ประสาทแต่ละเซลล์เพื่อทำการ
00:08:41 → 00:08:46 สื่อสารในสมองเพื่อออกมาเป็นความคิด
00:08:46 → 00:08:49 อารมณ์แล้วก็พฤติกรรมต่างๆเมื่อมีการใช้
00:08:49 → 00:08:53 สารเสพติดอันนี้ก็เป็นปัจจัยนึงที่ทำให้
00:08:53 → 00:08:57 มีอาการแสดงที่เกิดเป็นลักษณะไซโคพาสได้
00:08:57 → 00:09:00 อาจารย์คะอะไรที่เป็นเป็นความแตกต่าง
00:09:00 → 00:09:03 ระหว่างเรื่องของการเป็นไซโคพาธกับการขาด
00:09:03 → 00:09:07 ความสำนึกผิดคะจริงๆแล้วเขาเป็นลักษณะของ
00:09:07 → 00:09:11 พฤติกรรมที่ขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
00:09:11 → 00:09:15 แล้วก็มีพฤติกรรมที่เหมือนกับขาดศีลธรรม
00:09:15 → 00:09:20 แล้วก็ไม่อยู่ในกรอบของกฎเกณฑ์ทางสังคม
00:09:20 → 00:09:24 เป็นลักษณะที่ชอบความเสี่ยงใช่มั้ยคะการ
00:09:24 → 00:09:29 ขาดความรู้สึกสำนึกผิดในปกติกับในกคนเป็น
00:09:29 → 00:09:33 ไซโคพาธก็จึงต้องใช้ลักษณะร่วมด้วยอื่นๆ
00:09:33 → 00:09:37 ในการมาประเมินเนื่องจากว่าความรู้สึกผิด
00:09:37 → 00:09:40 เนี่ยก็จะมีหลายระดับแต่ความรู้สึกผิดใน
00:09:40 → 00:09:43 ระดับที่เอ่อเป็นความผิดปกติทางจิตที่
00:09:43 → 00:09:47 อยู่ในกลุ่มบุคคลิกภาพผิดปกตินั้นจะทำให้
00:09:47 → 00:09:52 มีผลกระทบกับความสัมพันธ์ต่อผู้อื่นแล้ว
00:09:52 → 00:09:55 ก็มีผลกระทบต่อเรื่องทำให้ผู้เช่นทำให้
00:09:55 → 00:09:59 ผู้อื่นสูญเสียผลประโยชน์หรือถึงกั้นเอ่อ
00:09:59 → 00:10:03 รุนแรงจนทำให้มีการทำร้ายผู้อื่นได้
00:10:04 → 00:10:06 อาจารย์คะแล้วจำเป็นมคะว่าคนที่มีความ
00:10:06 → 00:10:10 เป็นไซโคพาธจะกลายเป็นอาชยากรในที่สุด
00:10:10 → 00:10:14 จำเป็นมที่คนที่เป็นไซโคพาธจะต้องเป็น
00:10:14 → 00:10:18 ฆาตกรต่อเนื่องหรือว่าเป็นฆาตกรใช่มยคะ
00:10:18 → 00:10:22 ซึ่งตรงเนี้ยคือความเกี่ยวเนื่องที่
00:10:22 → 00:10:26 สัมพันธ์กันแล้วคือไม่จำเป็นแต่ว่าไซโค
00:10:26 → 00:10:29 นั้นมักจะพบในกลุ่มอาการของกลุ่ม
00:10:29 → 00:10:34 บุคลิกภาพผิดปกติที่หมอบอกไปดังกล่าวข้าง
00:10:34 → 00:10:38 ต้นก็คือเป็นกลุ่มต่อต้านสังคมซึ่งคนใน
00:10:38 → 00:10:42 กลุ่มนี้มักจะเป็นกลุ่มที่เสี่ยงต่อการทำ
00:10:42 → 00:10:44 การผิดกฎหมายหรือเป็น
00:10:44 → 00:10:49 อาชญากรหรือว่าเป็นคนที่สามารถทำให้เกิด
00:10:49 → 00:10:52 เอ่อผลเสียต่อผู้อื่นได้โดยที่ไม่รู้สึก
00:10:52 → 00:10:57 ผิดซึ่งจริงๆแล้วก็จะพบว่าในกลุ่มคนที่
00:10:57 → 00:11:00 เป็นเอ่อแอนไท Social personality
00:11:00 → 00:11:03 disorder เป็นนักโทษอยู่ในสหรัฐอเมริกา
00:11:03 → 00:11:07 นั้นจะมีประมาณ 20% เท่านั้นนะคะค่ะ
00:11:07 → 00:11:10 อาจารย์ขาแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรคะว่าคน
00:11:10 → 00:11:12 ที่อยู่ใกล้ชิดเราเนี่ยมีความเสี่ยงที่จะ
00:11:12 → 00:11:16 เป็นไซโคพาธจะเริ่มตั้งแต่การดูลักษณะ
00:11:16 → 00:11:20 พฤติกรรมซึ่งก็จะสังเกตค่อนข้างได้ยากถ้า
00:11:20 → 00:11:24 เราไม่ได้มีความรู้ในด้านนี้แล้วก็ใน
00:11:24 → 00:11:27 กลุ่มคนที่เป็นไซโคแพทนั้นจริงๆแล้วบาง
00:11:27 → 00:11:33 ครั้งก็มีลักษณะที่เป็นคนที่เอ่อวางแผน
00:11:33 → 00:11:37 ได้ดีแล้วก็เป็นคนที่บางครั้งชามมิ่งมี
00:11:37 → 00:11:42 เสน่ห์ในการที่จะสามารถเอ่อชักชวนหรือว่า
00:11:42 → 00:11:48 พูดจาทำให้คนใกล้ชิดลงเชื่อได้เอ่อถ้าการ
00:11:48 → 00:11:52 ที่เราจะดูว่าคนใกล้ตัวเรามีลักษณะของ
00:11:52 → 00:11:58 ไซโคผาดมยอาจจะดูจากลักษณะของอาการทาง
00:11:58 → 00:12:03 พฤติกรรมที่บอกไปเช่นการทำอะไรที่อาจจะ
00:12:03 → 00:12:06 ไม่เห็นอกเห็นใจในความรู้สึกของผู้อื่น
00:12:06 → 00:12:11 ที่ดูมากเกินกว่าปกตินะคะแล้วก็มีเรื่อง
00:12:11 → 00:12:16 ของการเอ่อขาดความยับยั้งชั่งใจมีประวัติ
00:12:16 → 00:12:19 การใช้สารเสพติดหรือมีประวัติการทำล้าย
00:12:19 → 00:12:24 ร่างกายคนใกล้ชิดหรือมีประวัติมีการกอด
00:12:25 → 00:12:29 คดีซ้ำๆหรือว่าเคยมีประวัติทงทางด้านจิต
00:12:29 → 00:12:33 ใจเช่นมีความกระทบกระเทือนทางด้านจิตใจ
00:12:33 → 00:12:36 จากการเลี้ยงดูในวัยเด็กทำให้ไม่สามารถ
00:12:36 → 00:12:39 สร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับใครได้ต่อ
00:12:39 → 00:12:43 เนื่องยาวนานอันนี้ก็จะเป็นเอ่อ
00:12:43 → 00:12:46 คีย์เวิร์ดของการที่เป็นโรคบุคลิกภาพผิด
00:12:46 → 00:12:50 ปกติซึ่งกลุ่ม Anti Social personality
00:12:50 → 00:12:53 disorder หรือกลุ่มต่อต้านสังคมก็มักจะ
00:12:53 → 00:12:56 มีปัญหาทางด้านความสัมพันธ์กับผู้อื่นนะ
00:12:56 → 00:13:00 คะแล้วคนที่เป็นไซโคจะรู้ตัวมยคะอาจารย์
00:13:00 → 00:13:04 เนื่องจากคนที่เป็นไซโคบางครั้งก็จะมี
00:13:04 → 00:13:07 ความสามารถในการเอ่อรับรู้ทางด้านอารมณ์
00:13:07 → 00:13:10 ที่น้อยแล้วก็บางครั้งก็จะมีลักษณะที่
00:13:10 → 00:13:15 เอ่อเป็นเ Center มีความแบบเห็นมองว่าตัว
00:13:15 → 00:13:18 เองเป็นความคิดของตัวเองถูกต้องแล้วก็ไม่
00:13:18 → 00:13:24 ได้เคารพกฎกติกาทางด้านสังคมต่างๆใช่มยคะ
00:13:24 → 00:13:29 ก็อาจจะเป็นการยากที่จะทำให้เอ่อคนที่
00:13:29 → 00:13:34 เป็นไซโคจะยอมรับว่าตัวเองเป็นโรคหนนะคะ
00:13:34 → 00:13:37 แล้วจริงมยคะอาจารย์ที่ไซโคไม่มียาที่
00:13:37 → 00:13:41 รักษาแต่จะต้องรักษาด้วยการปรับพฤติกรรม
00:13:41 → 00:13:45 จริงหรือไม่ที่คนที่เป็นไซโคพาธไม่มียาใน
00:13:45 → 00:13:49 การรักษาทำต้องทำการรักษาได้ด้วยการปรับ
00:13:49 → 00:13:53 พฤติกรรมเท่านั้นใช่มยคะจริงๆแล้วคนที่
00:13:53 → 00:13:57 เป็นไซโคก็คือคนที่เป็นมีภาวะของกลุ่มโรค
00:13:57 → 00:13:58 บุคลิกภาพ
00:13:58 → 00:14:02 ผิดปกติชนิดหนึ่งซึ่งการรักษาก็อาจจะไม่
00:14:03 → 00:14:06 ได้มียารักษาโดยตรงในเรื่องของการปรับ
00:14:06 → 00:14:11 เปลี่ยนบุคคลิกภาพนะคะก็จะเป็นลักษณะของ
00:14:11 → 00:14:15 การรักษาโรคร่วมที่อาจพบร่วมด้วยเช่นหาก
00:14:15 → 00:14:18 มีลักษณะของการขาดความยับยั้งชั่งใจที่
00:14:18 → 00:14:22 สูงแล้วก็รุนแรงมีพฤติกรรมก้าวราวมากแล้ว
00:14:23 → 00:14:26 ก็อาจจะเป็นการใช้ยาที่ควบคุมทางด้านเอ่อ
00:14:26 → 00:14:31 ความก้าวร้าวอารมณ์ความความรุนแรงต่างๆ
00:14:31 → 00:14:34 หรือว่าโรคร่วมที่เกิดจากการที่คนที่เป็น
00:14:34 → 00:14:38 ไซโคพาสนั้นมีการใช้สารเสพติดแล้วมีภาวะ
00:14:38 → 00:14:42 ที่ติดสารเสพติดเราก็จะรักษาในเรื่องของ
00:14:42 → 00:14:47 การรักษายาที่ผู้ป่วยเสพติดนั้นนะคะส่วน
00:14:47 → 00:14:51 การรักษาที่เป็นการรักษาที่บอกว่าเ่อไม่
00:14:52 → 00:14:56 สามารถรักษาได้ด้วยยาอันนี้ก็คือก็ถูกใน
00:14:56 → 00:14:59 ส่วนของการที่เป็นลักษณะของพฤติกรรมอัน
00:14:59 → 00:15:03 นี้ก็อาจจะต้องใช้เป็นการบำบัดโดยการใช้
00:15:03 → 00:15:07 การทำการปรับพฤติกรรมการสร้างแรงจูงใจให้
00:15:07 → 00:15:11 ผู้ป่วยทำในสิ่งอื่นๆที่ทำให้ผู้ป่วยแบบ
00:15:11 → 00:15:16 รู้สึกดีภูมิใจในตัวเองมากขึ้นจากการที่
00:15:16 → 00:15:21 เคยเคยอยู่ในลักษณะของรูปแบบการใช้ชีวิต
00:15:21 → 00:15:25 ในแบบเดิมๆแล้วก็จะเป็นการทำจิตบำบัดใน
00:15:25 → 00:15:28 ลักษณะที่ทำให้ผู้ป่วยได้สามารถเข้าใจจ
00:15:28 → 00:15:31 ถึงอารมณ์ความรู้สึกอาจารย์คะอยากให้
00:15:31 → 00:15:34 อาจารย์ฝากถึงคุณผู้ชมทางบ้านค่ะว่าเราจะ
00:15:34 → 00:15:37 ทำตัวอย่างไรนะคะหรือว่าจะมีวิธีป้องกัน
00:15:37 → 00:15:40 ตัวเองอย่างไรให้ห่างไกลจากคนที่มีภาวะ
00:15:40 → 00:15:43 ไซโคพาธปัญหาทางด้านพฤติกรรมหรือทางด้าน
00:15:43 → 00:15:47 จิตใจนั้นก็เกิดจากการหล่อหลอมในวัยเด็ก
00:15:47 → 00:15:51 ซึ่งครอบครัวก็เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้าง
00:15:51 → 00:15:55 คนๆหนึ่งขึ้นมาเอ่อความอบอุ่นในครอบครัว
00:15:55 → 00:16:00 หรือการสื่อสารที่เป็นเชิงบวกความการแสดง
00:16:00 → 00:16:04 ออกถึงอารมณ์ที่เห็นอกเห็นใจหรือการคอย
00:16:04 → 00:16:09 รับฟังความทุกข์จากคนในครอบครัวต่างๆก็จะ
00:16:09 → 00:16:14 ทำให้เอ่อการเกิดโรคไซโคนหรือปัญหาต่างๆ
00:16:14 → 00:16:18 ที่เกิดขึ้นในจิตใจที่ในคนในครอบครัวเป็น
00:16:18 → 00:16:23 นั้นน่ะค่ะก็คือจะสามารถพบได้เร็วขึ้น
00:16:23 → 00:16:27 แล้วก็ทำให้เราสามารถจัดการได้ดีขึ้นแล้ว
00:16:27 → 00:16:32 ก็โอกาสของการที่จะเกิดปัจจัยที่ทำให้
00:16:32 → 00:16:36 เป็นไซโคพาสจนถึงกลายเป็นบุคลิกภาพผิด
00:16:36 → 00:16:41 ปกติถึงขั้นเป็นเ่ออาชญากรหรือว่าเป็น
00:16:41 → 00:16:45 ฆาตกรที่ไม่สามารถแบบแยกถูกผิดทางสังคมกฎ
00:16:46 → 00:16:50 เกณฑ์ทางสังคมจนทำให้เกิดปัญหาที่ตามมา
00:16:50 → 00:16:54 แบบต่อเนื่องก็จะลดลงค่ะค่ะขอบพระคุณ
00:16:54 → 00:16:57 อาจารย์หมอนะคะจากแอปพลิเคชันหมอดีที่มา
00:16:57 → 00:17:00 ให้ความรู้ความเข้าใจใจในเรื่องไซโคกัน
00:17:00 → 00:17:05 สนับสนุนโดยแอปหมอดีหมอประจำบ้านในมือ
00:17:05 → 00:17:09 คุณในช่วงนี้นะคะเราจะพาคุณผู้ชมไปรู้จัก
00:17:09 → 00:17:12 กับคนกลุ่มนึงค่ะคนกลุ่มนี้นะคะอาจจะมี
00:17:12 → 00:17:14 ความร้ายกว่าคนกลุ่มไซโคพาธที่หมอดาวบอก
00:17:14 → 00:17:17 ไปแล้วเพราะคนกลุ่มนี้ค่ะเขาจะคอยดูดพลัง
00:17:18 → 00:17:20 งานของเรานะคะทำให้เราเนี่ยหมดไฟหมดพลัง
00:17:20 → 00:17:23 งานเป็น toxic People ตัวจริงเลยค่ะหรือ
00:17:23 → 00:17:26 อาจจะเรียกว่าเป็น Energy แมรเป็นอย่างไร
00:17:26 → 00:17:28 ไปรู้จักกันดีกว่าเพื่อที่จะหลีกเลี่ยง
00:17:28 → 00:17:29 พวกเขา
00:17:29 → 00:17:33 ค่ะหลายปีที่ผ่านมาเราเรียนรู้การสร้าง
00:17:33 → 00:17:35 เกราะป้องกันตัวเองจากความสัมพันธ์ที่
00:17:35 → 00:17:38 เป็นพิษหรือ toxic relationship การรู้
00:17:38 → 00:17:41 จักรับมือกับคนลักษณะนี้สร้างสุขภาวะทาง
00:17:41 → 00:17:44 อารมณ์ที่ดีในการใช้ชีวิตล่าสุดมีการพูด
00:17:44 → 00:17:47 ถึงคนอีกหนึประเภทที่นักจิตวิทยากล่าวว่า
00:17:47 → 00:17:50 ต้องรับมือให้ดีเพราะเขาจะเข้ามาดูดพลัง
00:17:50 → 00:17:53 งานทำให้เหนื่อยล้าทั้งกายและใจเปรียบ
00:17:53 → 00:17:57 เหมือนผีดุดเลือดเรียกว่า Energy Vampire
00:17:57 → 00:18:00 หรือผีดุดเลือดดุดูดพลังคนที่มีลักษณะของ
00:18:00 → 00:18:03 ผีดูดเลือดดูดพลังมักจะทิ้งความรู้สึก
00:18:03 → 00:18:06 ด้านลบไว้ให้กับผู้อื่นหลังจากที่ได้อยู่
00:18:06 → 00:18:10 ด้วยทำให้รู้สึกเหนื่อยเศร้าหมดพลังหรือ
00:18:10 → 00:18:14 หมดอารมณ์ไม่อยากทำอะไรคนที่มีพลังงานลบ
00:18:14 → 00:18:16 เหล่านี้จะสามารถส่งต่อพลังงานหรือความ
00:18:17 → 00:18:20 รู้สึกนั้นๆมายังคนรอบข้างได้แม้ว่าคนที่
00:18:20 → 00:18:23 ได้รับผลกระทบจะยังสามารถทำงานได้อย่าง
00:18:23 → 00:18:26 เป็นปกติแต่เมื่อต้องพบปะกันอยู่เสมอนาน
00:18:26 → 00:18:29 วันเข้าจะเริ่มส่งผลต่อสุขภาพจิตและลามไป
00:18:29 → 00:18:32 ถึงการใช้ชีวิตเพราะในทุกครั้งที่พูดคุย
00:18:32 → 00:18:34 กับคนที่มีพลังงานเหล่านี้จะทำให้รู้สึก
00:18:34 → 00:18:38 เหนื่อยล้าสับสนและบางครั้งเกิดความสงสัย
00:18:38 → 00:18:41 ในความสามารถของตัวเองด้วยผีดูดเลือดดูด
00:18:41 → 00:18:44 พลังมักจะชอบมองโลกในแง่ร้ายชอบจับผิด
00:18:44 → 00:18:47 ตำหนิและบุลลี่คนอื่นส่วนใหญ่คนแบบนี้จะ
00:18:47 → 00:18:50 เข้าไปอยู่ในวงดราม่าเม้ามอยและเป็นจุดสน
00:18:50 → 00:18:52 ใจอยู่บ่อยครั้งหากต้องทำงานกับคนอื่นจะ
00:18:53 → 00:18:55 ชอบเจ้ากี้เจ้ากเข้าไปบ่งการให้คนอื่นทำ
00:18:55 → 00:18:58 ตามความคิดของตัวเองหรือออกไอเดียเสนอแต่
00:18:59 → 00:19:02 ไม่ใช่คนที่จะลงมือทำนักจิตวิทยากล่าวว่า
00:19:02 → 00:19:05 ผีดูดเลือดดูดพลังพบได้อยู่ทั่วไปในสังคม
00:19:05 → 00:19:08 โดยเฉพาะในการทำงานซึ่งอาจส่งผลให้เกิด
00:19:08 → 00:19:12 โรคทางสุขภาพจิตเช่นโรคซึมเศร้าแล้ววิธี
00:19:12 → 00:19:16 การรับมือกับคนที่ดูดพลังหรือเป็น Energy
00:19:16 → 00:19:19 แวมไพรต้องทำอย่างไรบ้างอย่างแรกคือกำหนด
00:19:19 → 00:19:22 ขอบเขตหรือมีเส้นแบ่งกั้นระหว่างเราเอง
00:19:22 → 00:19:26 กับคนเหล่านี้เช่นออกไปพบปะเป็นเวลาสั้นๆ
00:19:26 → 00:19:29 เลี่ยงทำกิจกรรมที่ทำให้สนิสนมกันมากเกิน
00:19:29 → 00:19:32 ไปเลี่ยงบทสนทนาเชิงลึกอีกวิธีหนึ่งคือ
00:19:32 → 00:19:35 ไม่ตอบสนองออกความคิดเห็นและมีอารมณ์ร่วม
00:19:35 → 00:19:38 กับพวกเขานิ่งสงบเป็นผู้รับฟังที่ดีเพื่อ
00:19:38 → 00:19:41 เป็นการรักษาระยะห่างนอกจากนี้การเป็นคน
00:19:41 → 00:19:44 ที่รู้จักปฏิเสธให้เป็นโดยให้เหตุผลอย่าง
00:19:44 → 00:19:47 ตรงไปตรงมาลดโอกาสที่คนเหล่านี้จะไม่เข้า
00:19:47 → 00:19:50 หาเราบ่อยเกินความจำเป็นได้เช่นเดียวกัน
00:19:50 → 00:19:54 นอกจากคนที่คอยดูดพลังเราแล้วคุณผู้ชมเคย
00:19:54 → 00:19:57 เป็นกันไหมคะว่าเราเนี่ยจะตั้งตารอคอยวัน
00:19:57 → 00:20:00 หยุดสุดสัปดาห์โดยเฉพาะวันศุกร์สิ่งเหล่า
00:20:00 → 00:20:03 นี้ค่ะเขาเรียกว่า weekend effect
00:20:03 → 00:20:06 weekend effect นะคะไม่ใช่แค่เรื่องขำๆ
00:20:06 → 00:20:08 ที่รอคอยวันหยุดเพื่อที่จะได้หยุดอย่างมี
00:20:08 → 00:20:11 ความสุขแต่ถ้าเรามีสิ่งเหล่านี้เมื่อทิ้ง
00:20:11 → 00:20:14 ไว้นานๆอาจจะส่งผลร้ายทำให้เราเบิน Out
00:20:14 → 00:20:18 หรือหมดพลังในการทำงานได้ weekend effect
00:20:18 → 00:20:21 เมื่อวันหยุดมีผลกับสุขภาพจิตกับคนทำงาน
00:20:21 → 00:20:24 คือลักษณะของคนที่รู้สึกว่าวันศุกร์มาถึง
00:20:24 → 00:20:27 เมื่อไหร่จิตใจคนทำงานจะว้าวุ่นเพราะ
00:20:27 → 00:20:29 กำลังจะได้หยุดพักหลังทำงานต่อเนื่อง 5
00:20:29 → 00:20:32 วันมีการศึกษาที่อธิบายความเชื่อมโยงของ
00:20:32 → 00:20:35 ความรู้สึกมนุษย์กับวงจรของวันหยุดเรียก
00:20:35 → 00:20:38 ว่า weekend เหรือผลกระทบจากวันหยุดสุด
00:20:38 → 00:20:41 สัปดาห์ซึ่งหากปล่อยไว้ให้มีผลกระทบกับ
00:20:41 → 00:20:44 การใช้ชีวิตมากเกินไปอาจส่งผลต่อสุขภาพ
00:20:44 → 00:20:47 จิตในระยะยาวได้งานวิจัยที่ได้รับการตี
00:20:47 → 00:20:49 พิมพ์ใน journal of Social and
00:20:49 → 00:20:51 clinical psychology ได้ติดตามชีวิตของ
00:20:51 → 00:20:55 ผู้ใหญ่จำนวน 74 คนที่มีอายุระหว่าง 18
00:20:55 → 00:20:59 -62 ปีและแต่ละคนทำงานเป็นในเวลากว่า 30
00:20:59 → 00:21:02 ช่มต่อสัปดาห์เพื่อดูว่าอารมณ์ในแต่ละวัน
00:21:02 → 00:21:05 ของพวกเขาเป็นอย่างไรตลอด 3 สัปดาห์ผู้
00:21:05 → 00:21:08 เข้าร่วมการทดลองทุกคนจะถูกเรียกตัวทั้ง
00:21:08 → 00:21:11 เช้ากลางวันเย็นเพื่อตอบแบบสอบถามเกี่ยว
00:21:11 → 00:21:13 กับกิจกรรมที่พวกเขาได้ทำไปแล้วในวันนั้น
00:21:13 → 00:21:16 ประเมินความรู้สึกของตัวเองและระบุความ
00:21:16 → 00:21:19 ผิดปกติทางกายอื่นๆด้วยเช่นไม่มีเรี่ยว
00:21:19 → 00:21:22 แรงหรือปวดหัวเป็นต้นเมื่อจบช่วงการศึกษา
00:21:22 → 00:21:25 นักวิจัยได้นำข้อมูลทั้งหมดไปวิเคราะห์
00:21:25 → 00:21:28 และสรุปผลการทดลองผลการวิจัยพบว่าทุกคน
00:21:28 → 00:21:31 ไม่ว่าจะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิงโสดหรือไม่
00:21:31 → 00:21:34 โสดเป็นคนทำงานหลายชั่วโมงหรือไม่ก็ตามจะ
00:21:34 → 00:21:37 รู้สึกดีในวันหยุดสุดสัปดาห์มากกว่าวันทำ
00:21:37 → 00:21:41 งานเพราะวันหยุดทำให้พวกเขารู้สึกมีอิสระ
00:21:41 → 00:21:43 ในการทำเรื่องต่างๆและเป็นเวลาที่ได้อยู่
00:21:43 → 00:21:46 กับคนใกล้ชิดวันหยุดสุดสัปดาห์จึงทำให้
00:21:46 → 00:21:50 พวกเขารู้สึกดีได้มากกว่าวันปกติอย่างไร
00:21:50 → 00:21:54 ก็ตามหากปล่อยให้วินเฟคมีผลกับชีวิตการทำ
00:21:54 → 00:21:57 งานมากเกินไปก็จะกระทบต่อสุขภาพจิตได้
00:21:57 → 00:22:00 เนื่องจากความรู้สึกโหยหาวันหยุดลดทอนแรง
00:22:00 → 00:22:03 กระตุ้นและแรงจูงใจในการทำงานผู้เชี่ยว
00:22:03 → 00:22:06 ชาญด้านจิตวิทยาจึงแนะนำว่าการแสวงหาความ
00:22:06 → 00:22:09 รู้สึกเชิงบวกที่มีต่องานและมองว่าวัน
00:22:09 → 00:22:12 หยุดคือการให้รางวัลกับตัวเองจะช่วยให้
00:22:12 → 00:22:15 เราสามารถใช้ชีวิตทำงานได้อย่างเป็นอิสระ
00:22:15 → 00:22:17 และมีความสุขมาก
00:22:17 → 00:22:21 ขึ้นเป็นอย่างไรกันบ้างคะคุณผู้ชมกับสาระ
00:22:21 → 00:22:24 ความรู้ดีๆที่วันนี้ทาง TNN Health เรา
00:22:24 → 00:22:27 นำมาฝากคุณผู้ชมกันหวังใจเป็นอย่างยิ่งนะ
00:22:27 → 00:22:30 คะว่าคุณผู้ผู้ชมจะสามารถนำความรู้ที่ได้
00:22:30 → 00:22:33 ไปดูแลสุขภาพตัวเองและครอบครัวและอย่าลืม
00:22:33 → 00:22:36 นะคะติดตามรายการ TNN Health ได้เป็น
00:22:36 → 00:22:41 ประจำทุกวันเสาร์ค่ะเวลาดี 15 น- 15:30 น
00:22:41 → 00:22:44 ที่นี่ TNN ช่อง 16 และอย่าลืมนะคะกดไลค
00:22:44 → 00:22:47 กดแชร์กด Subscribe เป็นกำลังใจให้หมอดาว
00:22:47 → 00:22:50 และทีมงาน TNN He ในช่องทางต่างๆไม่ว่า
00:22:50 → 00:22:54 จะเป็น YouTube Facebook tiktok Line
00:22:54 → 00:22:56 official นะคะรวมไปถึง Instagram อีก
00:22:56 → 00:22:59 ด้วยเพื่อที่จะเข้าถึงทุกสาระสุขภาพเสริม
00:22:59 → 00:23:03 ภูมิคุ้มกันรู้ทันโลคไปกับเ Health กัน
00:23:03 → 00:23:06 และสำหรับวันนี้หมอดาวและทีมงานเแ Hell
00:23:06 → 00:23:11 ต้องขอตัวลาไปก่อนค่ะสวัสดี
00:23:11 → 00:23:22 [เพลง]
00:23:26 → 00:23:28 ค่ะ
00:23:28 → 00:23:56 [เพลง]
00:23:56 → 00:23:58 เ
00:23:58 → 00:24:01 L