00:00:06 → 00:00:08 ความเชื่อผิด ๆ ที่มีมายาวนาน บอกว่า
00:00:08 → 00:00:09 เราใช้สมองแค่ 10%
00:00:09 → 00:00:13 อีก 90% อยู่เฉย ๆ แค่มีไว้สำรอง
00:00:13 → 00:00:16 นักโฆษณาโม้ว่าช่วยปลดปล่อยศักยภาพที่ซ่อนอยู่ได้
00:00:16 → 00:00:19 ด้วยวิธี "ทางประสาทวิทยาศาสตร์"
00:00:19 → 00:00:22 แต่สิ่งที่ถูกปลดปล่อยออกมาจริง ๆ ก็แค่เงินในกระเป๋าคุณ
00:00:22 → 00:00:23 คนทั่วไป สองในสามคน
00:00:23 → 00:00:25 และครูวิทยาศาสตร์เกือบครึ่ง
00:00:25 → 00:00:27 หลงเชื่อเรื่องโกหก 10% นี้
00:00:27 → 00:00:30 ในทศวรรษ 1890 วิลเลียมส์ เจมส์ (William James)
00:00:30 → 00:00:32 บิดาแห่งจิตวิทยาอเมริกัน
00:00:32 → 00:00:33 กล่าวไว้ว่า "พวกเราส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้
00:00:33 → 00:00:35 ศักยภาพทางจิตอย่างเต็มที่"
00:00:35 → 00:00:37 เจมส์ตั้งใจพูดเพื่อกระตุ้นท้าทาย
00:00:37 → 00:00:39 ไม่ใช่กล่าวหาว่า สมองถูกใช้น้อย
00:00:39 → 00:00:41 แต่คนเข้าใจผิดตามนั้นเสียแล้ว
00:00:41 → 00:00:43 และนักวิทยาศาสตร์ก็ใช้เวลาอีกนาน
00:00:43 → 00:00:45 กว่าจะเข้าใจหน้าที่
00:00:45 → 00:00:47 ของสมองกลีบหน้าที่มีขนาดยักษ์
00:00:47 → 00:00:50 หรือบริเวณกว้างของสมองกลีบข้าง
00:00:50 → 00:00:53 ความเสียหายไม่ทำให้การสั่งการ หรือการรับความรู้สึกบกพร่อง
00:00:53 → 00:00:56 ผู้เชี่ยวชาญจึงสรุปว่า สมองเหล่านี้ไม่มีหน้าที่อะไร
00:00:56 → 00:00:58 เป็นสิบ ๆ ปี ที่สมองส่วนนี้
00:00:58 → 00:01:00 ถูกเรียกว่า บริเวณเงียบ
00:01:00 → 00:01:01 หน้าที่ของมันนั้นยากจะอธิบาย
00:01:01 → 00:01:03 ภายหลังเราจึงทราบว่ามันเกี่ยวกับ
00:01:03 → 00:01:04 ความสามารถในการตัดสินใจ และผนวกข้อมูล
00:01:04 → 00:01:07 ถ้าหากปราศจาคมันแล้ว เราจะไม่เป็นมนุษย์
00:01:07 → 00:01:09 สมองส่วนนี้สำคัญต่อการใช้เหตุผลเชิงนามธรรม
00:01:09 → 00:01:09 การวางแผน
00:01:09 → 00:01:10 การชั่งน้ำหนักตัดสินใจ
00:01:10 → 00:01:13 และการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์
00:01:13 → 00:01:15 ความคิดที่ว่าสมอง 9 ใน 10 ส่วน
00:01:15 → 00:01:17 อยู่เฉย ๆ ในกระโหลก
00:01:17 → 00:01:20 ฟังดูงี่เง่า เมื่อเราคำนวณดู ว่าสมองใช้พลังงานมากแค่ไหน
00:01:20 → 00:01:23 สมองของสัตว์ฟันแทะและสุนัข
00:01:23 → 00:01:25 ใช้ 5% จากพลังงานร่างกายทั้งหมด
00:01:25 → 00:01:27 สมองลิงใช้ 10%
00:01:27 → 00:01:29 สมองของมนุษย์ผู้ใหญ่
00:01:29 → 00:01:31 ซึ่งคิดเป็นแค่ 2% ของมวลร่างกาย
00:01:31 → 00:01:35 ใช้ 20% ของกลูโคสที่เผาผลาญในแต่ละวัน
00:01:35 → 00:01:38 สำหรับเด็ก ตัวเลขนี้สูงถึง 50%
00:01:38 → 00:01:40 และ 60% สำหรับทารก
00:01:40 → 00:01:42 มากกว่าที่คาดไว้มาก
00:01:42 → 00:01:44 เมื่อเทียบตามขนาดสมอง
00:01:44 → 00:01:46 ซึ่งมีสัดส่วนตามขนาดร่างกาย
00:01:46 → 00:01:48 สมองมนุษย์หนัก 1.5 กิโลกรัม
00:01:48 → 00:01:50 สมองช้าง 5 กิโลกรัม
00:01:50 → 00:01:52 และสมองวาฬ 9 กิโลกรัม
00:01:52 → 00:01:54 แต่ถ้าเทียบต่อน้ำหน้ก
00:01:54 → 00:01:56 สมองมนุษย์มีเซลล์ประสาท
00:01:56 → 00:01:58 อัดแน่นกว่าสายพันธุ์อื่น
00:01:58 → 00:02:01 เซลล์ประสาทที่อัดกันแน่นนี่แหละ ที่ทำให้เราฉลาด
00:02:01 → 00:02:03 ต้องมีสมดุลระหว่างขนาดร่างกาย
00:02:03 → 00:02:05 กับจำนวนเซลล์ประสาท ที่พวกไพรเมท
00:02:05 → 00:02:07 ซึ่งรวมพวกเราด้วย จะสามารถดูแลไหว
00:02:07 → 00:02:10 ลิงไร้หาง 25 กิโลกรัม ต้องกิน 8 ชั่วโมงต่อวัน
00:02:10 → 00:02:14 เพื่อบำรุงเลี้ยงสมอง ที่มีเซลล์ประสาท 53,000 ล้านเซลล์
00:02:14 → 00:02:16 การคิดค้นวิธีปรุงอาหารให้สุก
00:02:16 → 00:02:17 เมื่อหนึ่งล้านห้าแสนปีก่อน
00:02:17 → 00:02:19 ทำให้เรามีข้อได้เปรียบมหาศาล
00:02:19 → 00:02:22 อาหารปรุงสุกจะอ่อนนุ่ม และถูกย่อยมาบ้างแล้ว
00:02:22 → 00:02:23 นอกร่างกาย
00:02:23 → 00:02:26 ลำไส้ของเราจึงดูดซึมพลังงานได้ง่ายขึ้น
00:02:26 → 00:02:27 อาหารปรุงสุกทำให้เรามีเวลา
00:02:27 → 00:02:29 และให้พลังงานมากกว่า
00:02:29 → 00:02:31 การกินอาหารดิบ ๆ
00:02:31 → 00:02:33 เราจึงสามารถบำรุงเลี้ยงสมองที่
00:02:33 → 00:02:35 อัดแน่นด้วยเซลล์ประสาท 86,000 เซลล์
00:02:35 → 00:02:38 ซึ่งมากกว่าสมองลิงไร้หางอยู่ 40%
00:02:38 → 00:02:39 สมองทำงานดังนี้
00:02:39 → 00:02:41 ครึ่งหนึ่งของแคลอรีที่สมองเผาผลาญ
00:02:41 → 00:02:43 เอาไปรักษาสภาพโครงสร้าง
00:02:43 → 00:02:46 โดยการสูบไอออนโซเดียม และโพแทสเซียม
00:02:46 → 00:02:50 ผ่านเยื่อเพื่อรักษาประจุไฟฟ้า
00:02:50 → 00:02:53 เพื่อการนี้ สมองต้องสวาปามพลังงาน
00:02:53 → 00:03:00 มันเขมือบ ATP 3.4 x 10^21 โมเลกุลต่อนาที
00:03:00 → 00:03:03 ATP เป็นเหมือนถ่านหิน ให้กับเตาไฟของร่างกาย
00:03:03 → 00:03:05 ต้องใช้ต้นทุนสูง สำหรับรักษาศักยะพัก
00:03:05 → 00:03:08 ในเซลล์ประสาททั้ง 86,000 ล้านเซลล์
00:03:08 → 00:03:09 ทำให้เหลือพลังงานนิดเดียว
00:03:09 → 00:03:13 สำหรับส่งสัญญาณไปตามแอกซอน (axon) และข้ามไซแนปส์ (synapse)
00:03:13 → 00:03:16 การคายประจุนี้แหละ เป็นการทำงานที่แท้จริง
00:03:16 → 00:03:19 ต่อให้มีเซลล์ประสาทแค่ไม่กี่เปอร์เซนต์
00:03:19 → 00:03:22 ส่งสัญญาณ ในบริเวณหนึ่ง ณ เวลาหนึ่ง
00:03:22 → 00:03:24 พลังงานที่ต้องใช้สร้างกระแสประสาท
00:03:24 → 00:03:26 ทั่วทั้งสมอง
00:03:26 → 00:03:27 ก็มากเกินกว่าจะคงสัญญาณไว้ได้
00:03:27 → 00:03:30 ประสิทธิภาพการใช้พลังงานจึงเข้ามามีบทบาท
00:03:30 → 00:03:32 โดยให้เซลล์จำนวนน้อย
00:03:32 → 00:03:34 ส่งสัญญาณ ณ เวลาหนึ่ง ๆ
00:03:34 → 00:03:36 ซึ่งรู้จักกันว่า sparse coding
00:03:36 → 00:03:38 ใช้พลังงานให้น้อยที่สุด
00:03:38 → 00:03:40 แต่ส่งข้อมูลให้มากที่สุด
00:03:40 → 00:03:42 เนื่องจาก สัญญาณจำนวนไม่มาก
00:03:42 → 00:03:44 ก็มีเส้นทางที่เป็นไปได้นับพัน
00:03:44 → 00:03:46 ที่สัญญาณจะกระจายตัวไปได้
00:03:46 → 00:03:48 จุดอ่อนของ sparse coding
00:03:48 → 00:03:50 เมื่อมีเซลล์ประสาทจำนวนมหาศาล
00:03:50 → 00:03:51 คือต้นทุนที่ต้องใช้
00:03:51 → 00:03:54 แย่ไปกว่านั้น ถ้าเซลล์จำนวนมากไม่ส่งสัญญาณเลย
00:03:54 → 00:03:55 มันจะกลายเป็นของฟุ่มเฟือย
00:03:55 → 00:03:58 และวิวัฒนาการก็ควรจะโยนมันทิ้งนานแล้ว
00:03:58 → 00:04:00 ทางออกคือ การหา
00:04:00 → 00:04:02 สัดส่วนเซลล์ที่พอเหมาะ
00:04:02 → 00:04:04 ที่สมองสั่งให้ทำงาน ขณะหนึ่ง ๆ
00:04:04 → 00:04:06 เพื่อประสิทธิภาพสุงสุด
00:04:06 → 00:04:08 ควรมีเซลล์ 1% ถึง 16%
00:04:08 → 00:04:11 ทำงานในชั่วขณะหนึ่ง ๆ
00:04:11 → 00:04:12 นี่คือขีดจำกัดด้านพลังงาน
00:04:12 → 00:04:13 ซึ่งเราต้องยอมรับสภาพ
00:04:13 → 00:04:15 เพื่อให้เรารู้สึกตัวอยู่ได้
00:04:15 → 00:04:16 ความจำเป็นต้องรักษาพลังงาน
00:04:16 → 00:04:19 เป็นเหตุผลให้การทำงานส่วนใหญ่ของสมอง
00:04:19 → 00:04:21 ต้องอยู่ใต้จิตสำนึก
00:04:21 → 00:04:24 เป็นเหตุผลว่า ทำไมเราจึงทำหลาย ๆ อย่างพร้อมกันไม่ได้
00:04:24 → 00:04:26 เราไม่มีพลังงานพอ จะทำสองอย่างพร้อมกัน
00:04:26 → 00:04:28 ไม่ต้องพูดถึงสาม หรือห้าอย่าง
00:04:28 → 00:04:30 ถ้าเราขืนทำ เราจะทำแต่ละอย่างแย่ลง
00:04:30 → 00:04:33 กว่าที่เราใส่ใจเต็มที่
00:04:33 → 00:04:34 ยิ่งทำหลายอย่าง ผลยิ่งแย่
00:04:34 → 00:04:37 สมองเรานั้นทั้งฉลาด และทรงพลัง
00:04:37 → 00:04:39 ทรงพลังมากจนมันต้องการพลังงานมหาศาล
00:04:39 → 00:04:41 เพื่อคงความทรงพลังไว้
00:04:41 → 00:04:42 และฉลาดมาก
00:04:42 → 00:04:45 จนมีแผนประสิทธิภาพการใช้พลังงานของมันเอง
00:04:45 → 00:04:47 ดังนั้น อย่าปล่อยให้คำหลอกลวง
00:04:47 → 00:04:48 ทำให้คุณรู้สึกผิดว่า
00:04:48 → 00:04:49 สมองคุณขี้เกียจ
00:04:49 → 00:04:51 รู้สึกผิดไปก็เปลืองพลังงานเปล่า
00:04:51 → 00:04:52 จากทั้งหมดนี้
00:04:52 → 00:04:54 คุณไม่ตระหนักหรือว่ามันเป็นเรื่องงี่เง่า
00:04:54 → 00:04:55 ที่จะไปใช้พลังงานสมองอย่างสูญเปล่า
00:04:55 → 00:04:56 คุณมีเซลล์ประสาท
00:04:56 → 00:04:58 ที่กระหายพลังงาน เป็นพัน ๆ ล้านเซลล์ต้องดูแล
00:04:58 → 00:04:59 ดังนั้น จงรีบทำซะ!