00:00:06 → 00:00:08 เมื่อได้ยินคำว่ารังสีหรือการแผ่รังสี
00:00:08 → 00:00:13 ก็มักอดนึกถึงการระเบิดมหึมา และการกลายพันธุ์ที่น่าสยองขวัญไม่ได้
00:00:13 → 00:00:14 แต่นั่นเป็นเพียงด้านเดียว
00:00:14 → 00:00:16 รังสียังพบได้ในสายรุ้ง
00:00:16 → 00:00:19 และเอ็กซ์เรย์ที่หมอใช้ตรวจเรา
00:00:19 → 00:00:21 แล้วจริง ๆ แล้วรังสีคืออะไร
00:00:21 → 00:00:25 และเราควรกังวลเรื่องผลของมันมากแค่ไหน
00:00:25 → 00:00:28 คำตอบต้องเริ่มจากเข้าใจก่อนว่า คำว่า รังสี
00:00:28 → 00:00:31 ใช้เรียกปรากฏการณ์ทางวิทยาศาสตร์ สองอย่างที่แตกต่างกัน
00:00:31 → 00:00:33 คือ การแผ่รังสีแม่เหล็กไฟฟ้า
00:00:33 → 00:00:36 และการแผ่รังสีนิวเคลียร์
00:00:36 → 00:00:39 รังสีแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นพลังงานบริสุทธิ์
00:00:39 → 00:00:43 ที่ประกอบด้วยคลื่นไฟฟ้าและแม่เหล็ก ที่มีปฏิสัมพันธ์กัน
00:00:43 → 00:00:46 สั่นไหวเป็นความถี่
00:00:46 → 00:00:47 เมื่อคลื่นเหล่านี้มีความถี่สูงขึ้น
00:00:47 → 00:00:50 ก็จะยิ่งมีพลังงานมากขึ้นตาม
00:00:50 → 00:00:53 รังสีกลุ่มที่มีความถี่ต่ำ ได้แก่ คลื่นวิทยุ
00:00:53 → 00:00:53 รังสีอินฟราเรด
00:00:53 → 00:00:56 และแสงที่เรามองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
00:00:56 → 00:00:58 ส่วนรังสีความถี่สูง ได้แก่ รังสีอัลตราไวโอเลต
00:00:58 → 00:00:59 รังสีเอกซ์
00:00:59 → 00:01:00 และรังสีแกมมา
00:01:00 → 00:01:06 โลกยุคปัจจุบันพึ่งพาการรับส่ง สัญญาณรังสีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
00:01:06 → 00:01:10 เราอาจต้องดาวน์โหลดอีเมล เข้ามาในโทรศัพท์ด้วยคลื่นวิทยุ
00:01:10 → 00:01:12 เพื่อเปิดภาพถ่ายเอ็กซ์เรย์
00:01:12 → 00:01:16 ซึ่งเราเห็นได้ เพราะจอภาพส่องแสงที่เรามองเห็นได้
00:01:16 → 00:01:18 แต่รังสีนิวเคลียร์นั้น
00:01:18 → 00:01:21 เกิดจากนิวเคลียสของอะตอม
00:01:21 → 00:01:25 ที่โปรตอนผลักกัน เนื่องจากมีประจุบวกเหมือนกัน
00:01:25 → 00:01:28 ปรากฏการณ์ที่เรียกว่าแรงนิวเคลียร์ชนิดเข้ม
00:01:28 → 00:01:31 พยายามเอาชนะแรงผลักนี้
00:01:31 → 00:01:33 และตรึงให้นิวเคลียสอยู่ด้วยกัน
00:01:33 → 00:01:37 แต่ทว่า การรวมตัวของ โปรตอนและนิวตรอนบางแบบ
00:01:37 → 00:01:38 ที่เรียกกันว่า ไอโซโทป
00:01:38 → 00:01:40 มีความไม่เสถียร
00:01:40 → 00:01:43 หรือมีกัมมันตรังสี
00:01:43 → 00:01:46 ไอโซโทปจะปล่อยสสาร หรือ พลังงาน ออกมาอย่างสุ่ม
00:01:46 → 00:01:48 เรียกว่า การแผ่รังสีนิวเคลียร์
00:01:48 → 00:01:50 เพื่อให้ตนเองเสถียรขึ้น
00:01:50 → 00:01:54 รังสีนิวเคลียร์มาจากแหล่งธรรมชาติ เช่น เรดอน
00:01:54 → 00:01:56 ซึ่งเป็นก๊าซที่ซึมขึ้นจากพื้นดิน
00:01:56 → 00:02:00 เรายังถลุงแร่กัมมันตรังสี ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ
00:02:00 → 00:02:02 เพื่อใช้เป็นพลังงานให้โรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์
00:02:02 → 00:02:08 แม้แต่กล้วยก็ยังมีไอโซโทปโพแทสเซียม ที่มีกัมมันตรังสีในปริมาณเล็กน้อย
00:02:08 → 00:02:10 เพราะฉะนั้น ถ้าเราอยู่ในโลกที่มีแต่รังสี
00:02:10 → 00:02:13 จะหลีกเลี่ยงอันตรายจากมันได้อย่างไร
00:02:13 → 00:02:17 ก่อนอื่น ใช่ว่ารังสีทุกชนิดจะเป็นอันตราย
00:02:17 → 00:02:23 รังสีจะอันตรายก็เมื่อกระทบอะตอมแล้วทำให้ อิเล็กตรอนหลุดออกมา
00:02:23 → 00:02:26 กระบวนการนี้ทำให้ดีเอ็นเอเสียหายได้
00:02:26 → 00:02:28 กระบวนการนี้เรียกกันว่า รังสีก่อประจุ
00:02:28 → 00:02:33 เพราะอะตอมที่เสียหรือได้อิเล็กตรอน เรียกว่าอะตอมมีประจุหรือไอออน
00:02:33 → 00:02:36 รังสีนิวเคลียร์ทั้งหมดเป็นรังสีก่อประจุ
00:02:36 → 00:02:40 ในขณะที่รังสีพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า พลังงานสูงสุดเท่านั้นที่เป็นรังสีก่อประจุ
00:02:40 → 00:02:41 ได้แก่ รังสีแกมมา
00:02:41 → 00:02:43 รังสีเอกซ์
00:02:43 → 00:02:46 และรังสีอัลตราไวโอเล็ตที่มีพลังงานสูง
00:02:46 → 00:02:48 จึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ระหว่างใช้รังสีเอกซ์
00:02:48 → 00:02:53 หมอจึงป้องกันร่างกาย ส่วนที่ไม่ได้ต้องตรวจ
00:02:53 → 00:02:55 และทำไมคนที่ไปชายหาด จึงต้องทาครีมกันแดด
00:02:55 → 00:03:01 ส่วนโทรศัพท์มือถือและไมโครเวฟ ทำงานด้วยพลังงานต่ำ
00:03:01 → 00:03:04 ฉะนั้น จึงใช้ได้โดยไม่ต้องเสี่ยงต่อรังสีก่อประจุ
00:03:04 → 00:03:08 ความเสี่ยงต่อสุขภาพที่รุนแรงที่สุด เกิดขึ้นเมื่อได้รับรังสีก่อประจุ
00:03:08 → 00:03:11 ปริมาณมากในเวลาอันสั้น
00:03:11 → 00:03:14 หรือที่เรียกว่า การรับรังสีเฉียบพลัน
00:03:14 → 00:03:19 การรับรังสีเฉียบพลันทำให้ร่างกาย ซ่อมแซมส่วนที่ถูกทำลายไม่ทัน
00:03:19 → 00:03:20 อาจกระตุ้นให้เกิดมะเร็ง
00:03:20 → 00:03:22 เซลล์ทำงานผิดปกติ
00:03:22 → 00:03:24 หรือแม้แต่กระทั่งเสียชีวิต
00:03:24 → 00:03:27 โชคดี ที่การรับรังสีเฉียบพลันเกิดขึ้นได้ยาก
00:03:27 → 00:03:31 แต่เราก็ยังได้รับรังสีก่อประจุ ระดับต่ำ ๆ อยู่ทุกวัน
00:03:31 → 00:03:35 ทั้งจากแหล่งตามธรรมชาติ และที่มนุษย์สร้าง
00:03:35 → 00:03:38 นักวิทยาศาสตร์วัดความเสี่ยงเหล่านี้ได้ ลำบากกว่ามาก
00:03:38 → 00:03:42 ร่ายกายของเรามักซ่อมแซม ส่วนที่เสียหายจากรังสีก่อประจุเล็กน้อย
00:03:42 → 00:03:43 และถ้าซ่อมแซมไม่ได้
00:03:43 → 00:03:48 ผลความเสียหายนั้นอาจไม่ปรากฏ จนผ่านไปเป็นทศวรรษหรือนานกว่านั้น
00:03:48 → 00:03:51 วิธีหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ ใช้เปรียบเทียบการรับรังสีก่อประจุ
00:03:51 → 00:03:53 คือหน่วยที่เรียกว่า ซีเวิร์ต
00:03:53 → 00:03:59 การรับรังสีปริมาณหนึ่งซีเวิร์ตเฉียบพลัน อาจทำให้คลื่นไส้ภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
00:03:59 → 00:04:02 และสี่ซีเวิร์ตอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต
00:04:02 → 00:04:06 อย่างไรก็ดี รังสีที่เราได้รับในชีวิตประจำวัน อยู่ในระดับต่ำกว่านั้นมาก
00:04:06 → 00:04:10 คนโดยทั่วไปได้รับรังสีรวม 6.2 มิลลิซีเวิร์ต
00:04:10 → 00:04:12 จากทุก ๆ แหล่ง ในหนึ่งปี
00:04:12 → 00:04:15 ราว ๆ หนึ่งในสามมาจากเรดอน
00:04:15 → 00:04:17 คุณได้รับรังสีเพียงห้าไมโครซีเวิร์ต
00:04:17 → 00:04:20 ในการเอ็กซเรย์ฟันแต่ละครั้ง จึงต้องเอ็กซเรย์กว่า 1200 ครั้ง
00:04:20 → 00:04:22 จึงจะเพิ่มปริมาณรังสีที่ได้รับต่อปีได้
00:04:22 → 00:04:24 และจำกล้วยนั่นได้ไหม
00:04:24 → 00:04:27 ถ้าคุณดูดซับรังสีจากกล้วยทั้งหมดได้
00:04:27 → 00:04:32 จะต้องกินถึงวันละ 170 ลูก จึงจะครบปริมาณที่ได้รับใน 1 ปี
00:04:32 → 00:04:34 เราอยู่ในโลกของการแผ่รังสี
00:04:34 → 00:04:38 แต่กระนั้น รังสีส่วนใหญ่เป็นรังสีไม่ก่อประจุ
00:04:38 → 00:04:40 ส่วนรังสีที่ก่อประจุ
00:04:40 → 00:04:42 โดยปกติแล้วเราได้รับน้อยมาก
00:04:42 → 00:04:45 และการตรวจระดับเรดอนในบ้าน
00:04:45 → 00:04:47 และการทาครีมกันแดด
00:04:47 → 00:04:50 ก็ช่วยลดความเสี่ยงด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นได้
00:04:50 → 00:04:53 มารี คูรี หนึ่งในผู้บุกเบิกด้านรังสี
00:04:53 → 00:04:55 สรุปความท้าทายเรื่องรังสีไว้ว่า
00:04:55 → 00:04:59 "สิ่งต่าง ๆ ในชีวิตไม่ได้มีไว้เพื่อกลัว แต่มีไว้เพื่อเข้าใจเท่านั้น”
00:04:59 → 00:05:04 ถึงเวลาแล้วที่เราจะเข้าใจให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้กลัวให้น้อยลง"