00:00:00 → 00:00:03 ขอต้อนรับสู่หมอพัทรพcast Talk ความรู้
00:00:03 → 00:00:06 สุขภาพลึกและฟรีมีที่นี่
00:00:06 → 00:00:09 >> สวัสดีครับในการเจาะลึกข้อมูลครั้งนี้เรา
00:00:09 → 00:00:12 จะมาว่ากันด้วยทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ
00:00:12 → 00:00:14 เลยนะครับคือมันอาจจะเปลี่ยนความเชื่อที่
00:00:14 → 00:00:16 เราเคยมีเกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริงของโรค
00:00:17 → 00:00:20 หัวใจไปเลยก็ได้ครับลองคิดตามกันดูนะครับ
00:00:20 → 00:00:22 จะเป็นยังไงถ้าเกิดว่าความเชื่อเดิมๆที่
00:00:23 → 00:00:25 เราเคยได้ยินได้ฟังกันมาตลอดเกี่ยวกับ
00:00:25 → 00:00:27 คอเลสเตอรอลเนี่ยมันอาจจะไม่ใช่เรื่อง
00:00:27 → 00:00:30 จริงทั้งหมดโอเคครับเรามาเริ่มกันที่ส่วน
00:00:30 → 00:00:34 แรกกันเลยตามข้อมูลที่ได้มาเนี่ยเค้าอ้าง
00:00:34 → 00:00:37 ว่าจริงๆแล้วมันมีส่วนผสมลับอยู่ตัวนึง
00:00:37 → 00:00:39 ครับที่เป็นต้นตอของคราบพลักในหลอดเลือด
00:00:39 → 00:00:43 ของเราใช่แล้วครับแก่นของเรื่องมันอยู่
00:00:43 → 00:00:46 ตรงนี้เลยคือเขาบอกว่ามันมีส่วนผสมอย่าง
00:00:46 → 00:00:50 นึงที่เรากินกันเข้าไปทุกวันโดยที่ไม่รู้
00:00:50 → 00:00:53 ตัวเลยนะครับและไอ้เจ้าสิ่งนี้แหละคือตัว
00:00:53 → 00:00:57 การสำคัญที่หลายคนอาจจะมองข้ามไปและผล
00:00:57 → 00:01:00 กระทบของมันรุนแรงขนาดไหนลองนึกภาพตามนะ
00:01:00 → 00:01:03 ครับแหล่งข้อมูลเขาบอกว่าไอ้เจ้าคราบพลัก
00:01:03 → 00:01:06 ที่มันไปสะสมในหลอดเลือดเนี่ยมันสามารถ
00:01:06 → 00:01:08 ดึงพลังงานในชีวิตประจำวันของเราออกไปได้
00:01:08 → 00:01:13 มากถึง 50-80% เลยทีเดียวเยอะมากนะครับ
00:01:13 → 00:01:15 เอาล่ะครับในส่วนต่อไปเราจะมาดูกันว่า
00:01:15 → 00:01:18 ทฤษฎีนี้มันท้าทายความเชื่อเดิมๆของเรา
00:01:18 → 00:01:21 ยังไงบ้างโดยแหล่งข้อมูลนี้เขาชี้เป้าไป
00:01:21 → 00:01:24 ที่ความเชื่อหลักๆ 2 ข้อเลยครับเกี่ยวกับ
00:01:24 → 00:01:28 โรคหัวใจความเชื่อที่ว่านั้นจะมีอะไรบ้าง
00:01:28 → 00:01:31 เราไปดูกันเลยครับมาดูความเชื่อแรกที่เขา
00:01:31 → 00:01:35 ท้าทายกันเลยครับคือเรื่องที่ว่า LDL สูง
00:01:35 → 00:01:38 ทำให้หัวใจ Y แต่ข้อมูลที่เขายกมาเนี่ย
00:01:38 → 00:01:41 มันน่าสนใจมากนะครับเค้าอ้างอิงงานวิจัย
00:01:41 → 00:01:46 ของ UCLA ที่พบว่าฟังดีๆนะครับ 75% ของ
00:01:46 → 00:01:49 ผู้ป่วยที่หัวใจ Y เนี่ยกลับมีระดับ LDL
00:01:49 → 00:01:52 อยู่ในเกณฑ์ที่ถือว่ายอมรับได้ซะอย่าง
00:01:52 → 00:01:56 นั้นเอ๊มันยังไงกันแน่ความเชื่อที่ 2 ที่
00:01:56 → 00:01:59 ถูกท้าทายก็คือเรื่องของยาสตตินครับแหล่ง
00:01:59 → 00:02:02 ข้อมูลนี้เขาอ้างเลยนะว่ายาชนิดนี้ไม่
00:02:02 → 00:02:05 เพียงแต่จะป้องกันภาวะหัวใจวายไม่ได้แต่
00:02:05 → 00:02:08 อาจจะยิ่งทำให้ค่าพลักเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำไป
00:02:09 → 00:02:11 และเพื่อตอกย้ำประเด็นนี้นะครับเขายังลิส
00:02:11 → 00:02:14 ผลข้างเคียงที่รุนแรงของยาสตินมาให้ดู
00:02:14 → 00:02:17 ด้วยมีตั้งแต่เบาหวานชนิดที่ 2 เส้น
00:02:17 → 00:02:20 ประสาทเสียหายปวดเมื่อยกล้ามเนื้อไปจนถึง
00:02:20 → 00:02:22 โรคตับหรือแม้กระทั่งมะเร็งอีกหลายชนิด
00:02:22 → 00:02:25 เลยครับซึ่งก็เป็นข้อกล่าวอ้างที่น่า
00:02:25 → 00:02:28 กังวลทีเดียวมาถึงตรงนี้หลายคนคงสงสัย
00:02:28 → 00:02:31 แล้วว่าถ้าไม่ใช่ LDL แล้วมันคืออะไรล่ะ
00:02:31 → 00:02:34 เอาล่ะครับเรากำลังจะเข้าไปสู่หัวใจของ
00:02:34 → 00:02:38 ทฤษฎีนี้กันแล้วนั่นก็คือคอเลสเตอรอลอีก
00:02:38 → 00:02:40 รูปแบบหนึ่งที่เขาบอกว่าอันตรายกว่าที่
00:02:40 → 00:02:44 เราเคยรู้จักเยอะเลยและนี่แหละครับคือตัว
00:02:44 → 00:02:47 การที่แท้จริงตามทฤษฎีนี้มันคือสิ่งที่
00:02:47 → 00:02:50 เรียกว่าคอเลสเตอรอล o ออกoอกซidizครับ
00:02:50 → 00:02:52 แหล่งข้อมูลเปรียบเทียบง่ายๆว่ามันก็
00:02:52 → 00:02:56 เหมือนกับ LDL ที่ขึ้นสนิมนะครับซึ่งไอ้
00:02:56 → 00:02:58 เจ้าตัวที่ขึ้นสนิมนี่แหละที่เป็นส่วน
00:02:58 → 00:03:01 ประกอบหลักของคราบพลักไม่ใช่ LDL ปกติ
00:03:01 → 00:03:04 อย่างที่เราเคยเข้าใจกันทีนี้เพื่อให้
00:03:04 → 00:03:07 เห็นภาพชัดขึ้นไปอีกเขามีตัวอย่างเปรียบ
00:03:07 → 00:03:10 เทียบมาให้ดูครับระหว่างคน 2 คนคือจอห์น
00:03:10 → 00:03:13 กับพีทดูเผินๆนะครับพีทเนี่ยมีค่า LDL
00:03:13 → 00:03:16 รวมสูงกว่าจอห์นใช่ไหมั้ครับแต่ประเด็น
00:03:16 → 00:03:18 มันไม่ได้อยู่ตรงนั้นประเด็นคือ
00:03:18 → 00:03:21 คอเลสเตอรอลของจอห์นเนี่ยมันขึ้นสนิมไป
00:03:21 → 00:03:25 แล้วถึง 80% ในขณะที่ของพีทมีแค่ 5% เอง
00:03:25 → 00:03:27 เห็นความต่างมั้ครับเค้าก็เลยเปรียบ
00:03:27 → 00:03:30 เหมือนรถยนต์ไงครับว่าถ้าร่างกายคือรถ
00:03:30 → 00:03:33 แล้วรถของใครล่ะที่จะพังเร็วกว่ากันแน่
00:03:33 → 00:03:36 นอนครับตามทฤษฎีนี้ก็ต้องเป็นรถของจอห์
00:03:36 → 00:03:39 อยู่แล้วเพราะปริมาณสนิมหรือการออกซิเดชั
00:03:39 → 00:03:42 ต่างหากที่เป็นปัจจัยสำคัญไม่ใช่แค่ระดับ
00:03:42 → 00:03:46 LDL รวมๆแล้วทางแก้ล่ะคืออะไรในส่วนนี้
00:03:46 → 00:03:49 เราจะไปตามรอยเรื่องราวที่มาที่ไปของสิ่ง
00:03:49 → 00:03:52 ที่แหล่งข้อมูลนี้เขาเรียกว่าเป็นวิธีการ
00:03:52 → 00:03:55 รักษาลับของเหล่าคนดังกันครับเรื่องราว
00:03:55 → 00:03:57 นี้ถูกเล่าผ่านประสบประสบการณ์ตรงของผู้
00:03:57 → 00:04:00 พูดที่ชื่อสกอต Cup คือเรื่องมันเริ่มจาก
00:04:00 → 00:04:03 ที่เขามีอาการหัวใจวายแล้วก็ได้กลับไปเจอ
00:04:03 → 00:04:05 เพื่อนเก่าที่ชื่อโอลิเซอร์ซึ่งเป็นคนนำ
00:04:05 → 00:04:08 ทางให้เขาไปรู้จักกับสถานบำบัดลับแห่ง
00:04:08 → 00:04:10 หนึ่งในยุโรปและที่นั่นเองครับที่เขาได้
00:04:10 → 00:04:13 ค้นพบทฤษฎีคอเลสเตอรอลออกoอกซidizและวิธี
00:04:13 → 00:04:17 แก้ปัญหานี้หัวใจสำคัญของวิธีที่ว่านี้ก็
00:04:17 → 00:04:20 คือการเลือกกินไขมันให้ถูกประเภทครับ
00:04:20 → 00:04:23 แหล่งข้อมูลนี้เขาแบ่งชัดเจนเลยว่าไขมัน
00:04:23 → 00:04:26 แบบไหนที่ควรเลี่ยงเพราะมันเกิดออกซิเดชั
00:04:26 → 00:04:29 ได้ง่ายอย่างพวกน้ำมันพืชต่างๆแล้วให้หัน
00:04:29 → 00:04:32 มาใช้ไขมันที่ทนทานต่อการออกซิเดชัอย่าง
00:04:32 → 00:04:35 เช่นเนยน้ำมันมะพร้าวหรือน้ำมันมะกอกแทน
00:04:35 → 00:04:38 และแล้วก็มาถึงส่วนที่เป็นกลยุทธ์ที่นำไป
00:04:38 → 00:04:41 ปฏิบัติได้จริงครับเป็นสิ่งที่แหล่งข้อ
00:04:41 → 00:04:43 มูลนี้เสนอเพื่อใช้จัดการกับคอเลสเตอรอล
00:04:43 → 00:04:46 ออกซิไดiz์โดยตรงและเพื่อทำความสะอาดหลอด
00:04:46 → 00:04:50 เลือดของเรากลยุทธ์ที่ว่านี้เป็นแผนระยะ
00:04:50 → 00:04:53 เวลา 4 สัปดาห์ครับเริ่มง่ายๆเลยคือข้อ
00:04:53 → 00:04:57 แรกกำจัดไขมันตัวร้ายออกไปก่อนจากนั้นข้อ
00:04:57 → 00:05:01 2 ก็แทนที่ด้วยไขมันดีข้อ 3 ก็ไปจัดการ
00:05:01 → 00:05:04 ปัจจัยอื่นๆที่ทำให้เกิดออกซิเดชัและข้อ
00:05:04 → 00:05:07 สุดท้ายก็คือทำตามแผนของเขาอย่างเคร่ง
00:05:07 → 00:05:10 ครัดครับและผลลัพธ์ที่ได้ล่ะนี่คือสิ่ง
00:05:10 → 00:05:13 ที่สกอตซึ่งเป็นผู้เล่าเรื่องนี้อ้างว่า
00:05:13 → 00:05:16 เกิดขึ้นกับตัวเองครับดูกราฟนี้สิครับ
00:05:16 → 00:05:19 ระดับ LDL ของเขาเนี่ยดิ่งลงมาจาก 200
00:05:19 → 00:05:22 กว่าๆเหลือไม่ถึง 100 ด้วยซ้ำและที่สำคัญ
00:05:22 → 00:05:25 คือเขาบอกว่าทั้งหมดนี้เกิดขึ้นโดยไม่
00:05:25 → 00:05:28 ต้องพึ่งยาเลยแม้แต่เม็ดเดียวไม่เพียงแค่
00:05:28 → 00:05:30 นั้นนะครับแหล่งข้อมูลยังให้คำมั่นถึงผล
00:05:30 → 00:05:33 ลัพธ์ที่อาจจะเปลี่ยนชีวิตได้เลยไม่ว่าจะ
00:05:33 → 00:05:35 เป็นหลอดเลือดที่กลับมาสะอาดและอ่อนเยา
00:05:35 → 00:05:39 ขึ้นพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลไปจน
00:05:39 → 00:05:41 ถึงการใช้ชีวิตโดยที่ไม่ต้องกังวลเรื่อง
00:05:41 → 00:05:44 หัวใจวาอีกต่อไปเรื่องราวทั้งหมดที่เล่า
00:05:44 → 00:05:47 มานี่ก็นำเรามาสู่คำถามสุดท้ายที่น่าคิด
00:05:47 → 00:05:51 มากๆเลยนะครับว่าหรือจริงๆแล้วศัตรูตัว
00:05:51 → 00:05:53 จริงที่ซ่อนอยู่ในหลอดเลือดของเราอาจจะ
00:05:53 → 00:05:56 ไม่ใช่คอเลสเตอรอลแบบที่เราเคยเคยเข้าใจ
00:05:56 → 00:05:58 แต่เป็นเจ้าคอเลสเตรอลขึ้นสนิมตัวนี้กัน
00:05:58 → 00:06:03 แน่ก็เป็นอีกหนึ่งมุมมองที่น่าสนใจนะครับ
00:06:04 → 00:06:06 สวัสดีครับยินดีต้อนรับสู่การเจาะเลือก
00:06:06 → 00:06:09 ข้อมูลกันอีกครั้งนะครับวันนี้เรามีเอ่อ
00:06:09 → 00:06:13 แหล่งข้อมูลที่น่าสนใจมากๆเลยเป็นบันทึก
00:06:13 → 00:06:16 เสียงครับที่นำเสนอแนวทางที่อาจจะแบบว่า
00:06:16 → 00:06:18 ไม่ค่อยเหมือนใครเท่าไหร่ในการจัดการกับ
00:06:18 → 00:06:21 ปัญหาคราบพลักในหลอดเลือดแล้วก็เรื่อง
00:06:21 → 00:06:23 ระดับคอเลสเตอรอลด้วยครับคือเนื้อหาใน
00:06:23 → 00:06:25 บันทึกเสียงนี่เอ่อเอ่อเปิดเรื่องมาน่าสน
00:06:26 → 00:06:28 ใจมากนะครับเขาพูดถึงสิ่งที่เรียกว่าเป็น
00:06:28 → 00:06:31 ความลับเลยนะซึ่งแบบว่าเมื่อก่อนรู้กัน
00:06:31 → 00:06:34 เฉพาะในกลุ่มคนที่เอ่อมีฐานะหน่อยหรือคน
00:06:34 → 00:06:37 ดังๆเท่านั้นนะครับเาบอกว่าแค่ปรับอาหาร
00:06:38 → 00:06:40 นิดหน่อยตัดส่วนผสมอย่างหนึ่งออกไปเนี่ย
00:06:41 → 00:06:43 โอ้โหสุขภาพหลอดเลือดนี่ดีขึ้นเลย
00:06:43 → 00:06:46 คอเลสเตอรอลลดพลังงานมาเต็มและที่สำคัญ
00:06:46 → 00:06:49 คือเขาบอกว่าไอ้ส่วนผสมที่ว่าเนี่ยมันไม่
00:06:49 → 00:06:52 ใช่ที่เราคิดกันนะครับไม่ใช่สเต็กไม่ใช่
00:06:52 → 00:06:55 เนยไม่ใช่ไขมันที่เราเอ่อโดนเตือนกันบ่อย
00:06:55 → 00:06:56 ๆ
00:06:56 → 00:06:59 >> อืมประเด็นนี้น่าสนใจจริงๆค่ะเพราะว่า
00:06:59 → 00:07:03 เนื้อหาหลักๆเนี่ยดูเหมือนจะเอ่อพุ่งเป้า
00:07:03 → 00:07:06 ไปท้าทายความเข้าใจเดิมๆของเราเกี่ยวกับ
00:07:06 → 00:07:10 LDL หรือที่เราเรียกกันว่าไขมันเลวนะคะ
00:07:10 → 00:07:13 คือท้าทายแบบชัดเจนเลยแล้วก็ยังตั้งคำถาม
00:07:13 → 00:07:17 กับเอ่อประสิทธิภาพของยาในกลุ่มสตติติน
00:07:17 → 00:07:20 ด้วยซ้ำที่เราใช้ลดไขมันกันเยอะๆเนี่ยค่ะ
00:07:20 → 00:07:23 พร้อมกันนั้นเขาก็นำเสนอแนวคิดใหม่ขึ้นมา
00:07:23 → 00:07:26 ที่เรียกว่าออกoอกidized cholesterol ค่ะ
00:07:26 → 00:07:30 หรือคอเลสเตอรอลที่มันเอ่อถูกออกซิidiz
00:07:30 → 00:07:34 >> โอ้โหออกซิคอเลสเตอรอลน่าสนใจมากครับงั้น
00:07:34 → 00:07:36 เอ่อภารกิจของเราวันนี้ก็คือมาลองดูกันนะ
00:07:36 → 00:07:39 ครับว่าไอ้ส่วนผสมลึกลับที่เขา้าว่าเนี่ย
00:07:39 → 00:07:42 มันคืออะไรกันแน่แล้วเขามีหลักการอะไรมา
00:07:42 → 00:07:46 รองรับหรือมีข้อมูลอะไรสนับสนุนมั้ยแล้ว
00:07:46 → 00:07:48 มันส่งผลต่อความเข้าใจเรื่องสุขภาพผลใจ
00:07:48 → 00:07:51 ของเรายังไงบ้างนะครับโดยทั้งหมดนี้เราก็
00:07:51 → 00:07:53 จะดูกันตามข้อมูลที่ได้มาจากบันทึกถึก
00:07:53 → 00:07:55 เสียงนี้เป็นหลักเลยนะครับเอาล่ะครับมา
00:07:55 → 00:07:58 เริ่มแกะรอยกันเลยดีกว่าตัวบันทึกเสียง
00:07:58 → 00:08:00 เนี่ยนะครับเขาเริ่มด้วยเรื่องส่วนตัวของ
00:08:00 → 00:08:03 ผู้บรรยายเลยชื่อสกอตเดisเขาเล่าว่าเคย
00:08:03 → 00:08:07 เอ่อเกือบตายจากหัวใจวายแล้วพอไปตรวจหมอ
00:08:07 → 00:08:10 ก็บอกว่าหลอดเลือดหัวใจตีบไปแล้ว 93%
00:08:10 → 00:08:14 โอ้โหเกือบหมดเลยนะครับหมอก็สั่งยาสตติยา
00:08:14 → 00:08:17 ลดความดันมาให้แต่ว่าเขาตัดสินใจเอ่อไม่
00:08:17 → 00:08:20 กินยาพวกนั้นครับซึ่งฟังดูแบบว่าเสี่ยง
00:08:20 → 00:08:21 เหมือนกันนะครับ
00:08:21 → 00:08:26 >> ใช่ค่ะถือว่าเป็นการตัดสินใจที่เอ่อท้า
00:08:26 → 00:08:30 ทายคำแนะนำทางการแพทย์มากๆเลยนะคะแต่ตาม
00:08:30 → 00:08:33 เรื่องที่เขาเล่าในบันทึกเสียงอ่ะค่ะเขา
00:08:33 → 00:08:36 บอกว่าหลังจากนั้นไม่กี่สัปดาห์เองพอไป
00:08:36 → 00:08:38 ตรวจอีกทีปรากฏว่าคราบพลักในหลอดเลือดมัน
00:08:39 → 00:08:42 ลดลงไปเยอะมากแบบแทบไม่เหลือเลยค่ะเขาก็
00:08:42 → 00:08:45 รู้สึกแข็งแรงขึ้นมีพลังมากขึ้นซึ่งทั้ง
00:08:45 → 00:08:48 หมดเนี้ยเขาบอกว่าเป็นเพราะไม่ได้ใช้ยา
00:08:48 → 00:08:50 แต่เป็นเพราะได้รู้ความลับจากเพื่อนเก่า
00:08:50 → 00:08:53 ชื่อโอลิเวอร์ที่เคยทำงานกับพวกพวกคนรวย
00:08:53 → 00:08:54 คนดังมาก่อนน่ะค่ะ
00:08:54 → 00:08:58 >> อ๋อครับแล้วไอ้ความลับที่ว่าเนี่ยมันก็นำ
00:08:58 → 00:09:02 ไปสู่การเอ่อหักล้างความเชื่อเดิมๆ 2
00:09:02 → 00:09:05 เรื่องหลักๆเลยเกี่ยวกับคอเลสเตอรอลกับ
00:09:05 → 00:09:08 โรคหัวใจตามที่บันทึกเสียงนี้บอกนะครับ
00:09:08 → 00:09:11 เรื่องแรกเลยคือความเชื่อที่ว่า LDL ไข
00:09:11 → 00:09:15 มันเลวเนี่ยเป็นสาเหตุตรงๆของคาบผลักเลย
00:09:15 → 00:09:17 ในบันทึกเสียงนี้เขาอ้างงานวิจัยปี 2009
00:09:17 → 00:09:20 ของ UCLA เลยนะครับที่ไปวิเคราะห์ผู้ป่วย
00:09:21 → 00:09:24 หัวใจวายตั้งแสนกว่าคนน่ะพบว่า 75% ของ
00:09:24 → 00:09:27 ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีระดับ LDL อยู่ในเกณฑ์
00:09:27 → 00:09:30 ที่เรียกว่ารับได้หรือบางคนดีมากด้วยซ้ำ
00:09:30 → 00:09:33 อันนี้น่าสนใจมากนะครับแล้วเขาให้เหตุผล
00:09:33 → 00:09:36 เพิ่มมั้ครับว่าเอ้าถ้าไม่ใช่ LDL สูง
00:09:36 → 00:09:38 แล้วทำไมคนกลุ่มนี้ถึงหัวใจ Y ได้ล่ะครับ
00:09:38 → 00:09:41 >> คือตามเนื้อหาในบันทึกเสียงนะคะการที่เขา
00:09:41 → 00:09:45 บอกว่า 75% ของผู้ป่วยหัวใจ Y มี LDL ไม่
00:09:45 → 00:09:47 สูงเนี่ยเค้าใช้เป็นเหมือนหลักฐาน
00:09:47 → 00:09:51 สนับสนุนแนวคิดเขาค่ะว่าระดับ LDL อย่าง
00:09:51 → 00:09:53 เดียวอาจจะไม่ใช่ตัวชี้วัดความเสี่ยงที่
00:09:53 → 00:09:57 สมบูรณ์หรืออาจจะไม่ใช่ตัวการหลักเสมอไป
00:09:57 → 00:09:59 ซึ่งมันก็โยงไปสู่การตั้งคำถามกับความ
00:09:59 → 00:10:01 เชื่อที่ 2 ค่ะคือเรื่องประสิทธิภาพของยา
00:10:01 → 00:10:05 สตินในการป้องกันโรคหัวใจในบันทึกเสียง
00:10:05 → 00:10:07 เขาอ้างถึงงานวิจัยทบทวนจาก MIT เลยนะคะ
00:10:07 → 00:10:10 ที่สรุปว่ายังไม่มีงานวิจัยไหนพิสูจน์ชัด
00:10:10 → 00:10:13 ๆได้ว่าสตินช่วยลดอัตราการเสียชีวิตโดย
00:10:14 → 00:10:15 รวมได้จริงๆค่ะ
00:10:15 → 00:10:19 >> โหอ้าง MIT เลยเหรอครับเรื่องประสิทธิภาพ
00:10:19 → 00:10:23 สตินก็น่าสนใจนะแต่ที่แบบว่าแปลกใจกว่า
00:10:23 → 00:10:26 คือการอ้างงานวิจัยปี 2008 ใน New
00:10:26 → 00:10:28 England Journal of Medicine นะครับ
00:10:28 → 00:10:32 ที่เขาบอกว่าการใช้ Statin 2 ตัวร่วมกัน
00:10:32 → 00:10:35 เนี่ยถึงแม้จะลดคอเลสเตอรอลได้ดีกว่าตัว
00:10:35 → 00:10:38 เดียวแต่กลับทำให้คราบพลักในหลอดเลือด
00:10:38 → 00:10:42 เพิ่มขึ้นซะงั้นมันดูขัดๆกับเป้าหมายเลย
00:10:42 → 00:10:45 นะครับเขาอธิบายเรื่องนี้ยังไงบ้างครับ
00:10:45 → 00:10:48 >> ใช่ค่ะประเด็นจาก NEJM ที่ยกมาเนี่ยเขาก็
00:10:48 → 00:10:51 เอามาตอกย้ำข้อสงสัยต่อแนวทางการรักษาา
00:10:51 → 00:10:54 ที่เน้นลด LDL อย่างเดียวนะคะแต่เขาไม่
00:10:54 → 00:10:58 ได้ลงรายละเอียดกลไกนะคะว่าทำไมยา 2 ตัว
00:10:58 → 00:11:00 ถึงไปเพิ่มพลักได้แต่ใช้ผลเนี่ยมา
00:11:00 → 00:11:02 สนับสนุนว่าเอ๊ะลด LDL อย่างเดียวอาจจะ
00:11:03 → 00:11:06 ไม่ตรงจุดหรือเปล่านอกจากนี้ในบันทึก
00:11:06 → 00:11:08 เสี่ยงก็ยังพูดถึงผลข้างเคียงที่อาจจะ
00:11:08 → 00:11:10 เกิดจากสตินด้วยนะคะอ้างว่ามีความเสี่ยง
00:11:10 → 00:11:14 เบาหวานชนิดที่ 2 อาการอ่อนแรงเส้นประสาท
00:11:14 → 00:11:17 เสียหายปวดกล้ามเนื้อตับทำงานผิดปกติภูมิ
00:11:17 → 00:11:20 คุ้มกันอ่อนแอลงหรืออาจจะรวมถึงมะเร็งบาง
00:11:20 → 00:11:22 ชนิดด้วยค่ะซึ่งต้องย้ำอีกทีนะคะว่าทั้ง
00:11:22 → 00:11:25 หมดนี้เป็นข้อมูลเป็นข้ออ้างจากมุมมองของ
00:11:25 → 00:11:27 บันทึกเสียงที่เรากำลังพิจารณากันอยู่นะ
00:11:27 → 00:11:28 คะ
00:11:28 → 00:11:31 >> ครับเข้าใจครับคือเป็นข้อมูลจากแหล่งที่
00:11:31 → 00:11:34 เราได้มาเนอะหลังจากที่เขาตั้งคำถามกับ
00:11:34 → 00:11:37 LDL กับ Statin ไปแล้วเนี่ยแล้วอะไรล่ะ
00:11:37 → 00:11:40 ครับคือตัวร้ายจริงๆที่ทำให้หลอดเลือดตัน
00:11:40 → 00:11:44 ตามที่เขาบอกตรงนี้น่าจะเป็นเอ่อหัวใจของ
00:11:44 → 00:11:45 เรื่องนี้เลยใช่มั้ยครับ
00:11:45 → 00:11:48 >> ถูกต้องเลยค่ะหลังจากปูพื้นมาแบบนี้แล้ว
00:11:48 → 00:11:50 บันทึกเสียงก็เฉลยค่ะว่าส่วนผสมหรือ
00:11:50 → 00:11:53 ปัจจัยที่เขาชี้ว่าเป็นต้นเหตุจริงๆของ
00:11:53 → 00:11:56 การสะสมคราบพลักและเป็นสิ่งที่ควรเลี่ยง
00:11:56 → 00:11:59 มากๆก็คือสิ่งที่เรียกว่าoอก cholesterol
00:11:59 → 00:12:02 ค่ะหรือคอเลสเตอรอลที่มันถูกออกซินั่นเอง
00:12:02 → 00:12:06 >> คอเลสเตอรอลที่ถูกออกซิฟังดูเอ่อเป็น
00:12:06 → 00:12:09 ศัพท์เฉพาะนิดนึงช่วยขยายความตามที่
00:12:09 → 00:12:11 บันทึกเสียงเข้าอธิบายหน่อยได้ไหมครับว่า
00:12:11 → 00:12:14 มันคืออะไรมันต่างจาก LDL ปกติยังไงครับ
00:12:14 → 00:12:17 >> ตามที่เขาอธิบายในบันทึกเสียงนะคะ
00:12:17 → 00:12:19 Oxidized Cholesterol ก็คือ LDL
00:12:19 → 00:12:21 Cholesterol ที่มันเสียหายไปจาก
00:12:21 → 00:12:24 ปฏิกิริยาออกซิเดชัน่ะค่ะมันเป็นกระบวน
00:12:24 → 00:12:26 การทางเคมีที่เกิดขึ้นเมื่อโมเลกุลไปเจอ
00:12:26 → 00:12:29 กับออกซิเจนแล้วมันเปลี่ยนสภาพไปคล้ายๆ
00:12:29 → 00:12:32 กับเหล็กที่ขึ้นสนิมเวลาโดนอากาศโดนความ
00:12:32 → 00:12:35 ชื้นน่ะค่ะบันทึกเสียงนี้อ้างว่าคราบพลัก
00:12:35 → 00:12:37 ที่เราเจอในหลอดเลือดเนี่ยจริงๆแล้วมันมี
00:12:37 → 00:12:39 ออกซิidizคอเลสเตอรอลเป็นส่วนประกอบหลัก
00:12:39 → 00:12:42 เลยไม่ใช่ LDL ปกติหรือพูดอีกอย่างก็คือ
00:12:43 → 00:12:45 LDL ปกติอาจจะไม่ได้แย่โดยตรงแต่จะกลาย
00:12:45 → 00:12:48 เป็นตัวปัญหาเมื่อมันขึ้นสนิมไปแล้วค่ะ
00:12:48 → 00:12:51 >> อ๋อเหมือนเหล็กขึ้นสนิมนี่เห็นภาพเลยครับ
00:12:51 → 00:12:53 แล้วในบันทึกเสียงเา้ามีการยกตัวอย่าง
00:12:53 → 00:12:55 เปรียบเทียบด้วยใช่ไหมั้ครับระหว่างคน 2
00:12:55 → 00:13:00 คนอย่างเช่นในจอห์มี LDL 100 แต่ 80%
00:13:00 → 00:13:03 ของ LDL เนี่ยมันออกซิไปแล้วก็คือมีออกซิ
00:13:03 → 00:13:06 คอเลสเตอรอล 80 ส่วนนายพีทมี LDL สูงกว่า
00:13:06 → 00:13:10 ตั้ง 200 แต่มีแค่ 5% ที่ออกซิก็คือมี
00:13:10 → 00:13:12 ออกซิไดคอเลสเตอรอลแค่ 10 การเปรียบเทียบ
00:13:12 → 00:13:14 นี้เาต้องการจะสื่ออะไรครับ
00:13:14 → 00:13:17 >> ใช่ค่ะตัวอย่างนี้เขาเอามาเน้นเลยค่ะว่า
00:13:17 → 00:13:20 ปริมาณของออกซิไดizคอเลสเตอรอลตัณหาที่
00:13:20 → 00:13:23 สำคัญกับความเสี่ยงโรคหัวใจไม่ใช่แค่
00:13:23 → 00:13:26 ระดับ LDL รวมอย่างเดียวตามตรรกะของเขาใน
00:13:26 → 00:13:29 บันทึกเสียงนะคะจอห์ที่มีออกซิไiz
00:13:29 → 00:13:31 คอเลสเตอรอลตั้ง 80 หน่วยเนี่ยจะเสี่ยง
00:13:31 → 00:13:34 สูงกว่าพีทที่มีแค่ 10 หน่วยถึงแม้ว่า LDL
00:13:34 → 00:13:37 รวมของจอห์จะต่ำกว่าพีทเยอะเลยก็ตามค่ะ
00:13:37 → 00:13:39 เา้ามีเปรียบเปรยเหมือนรถคันเล็ดที่สนิม
00:13:39 → 00:13:43 กินไป 80% ก็ย่อมจะพังเร็วกว่ารถ SUV คัน
00:13:43 → 00:13:46 ใหญ่ที่มีสนิมแค่ 5% อะไรแบบเนี้ยนะค่ะ
00:13:46 → 00:13:47 เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น
00:13:47 → 00:13:50 >> ครับการเปรียบเทียบนี้ช่วยให้เข้าใจแนว
00:13:50 → 00:13:53 คิดเขาได้ดีขึ้นเยอะเลยแล้วตามบันทึก
00:13:53 → 00:13:56 เสียงนี้เนี่ยไอ้กลไกที่ทำให้เจ้าoอก
00:13:56 → 00:13:58 คอเลสเตอรอลเนี่ยมันไปสร้างคราบพลักใน
00:13:58 → 00:14:01 หลอดเลือดมันคืออะไรครับมันทำงานต่างจาก
00:14:01 → 00:14:03 LDL ปกติยังไง
00:14:03 → 00:14:07 >> บันทึกเสียงเขาอธิบายต่อค่ะว่าเฉพาะ LDL
00:14:07 → 00:14:09 คอเลสเตอรอลเท่านั้นที่มันไวต่อการเกิด
00:14:09 → 00:14:13 ออกซิเดชส่วน HDL หรือไขมัน D เนี่ยเขา
00:14:13 → 00:14:16 บอกว่าไม่โดนออกซิไizแบบเดียวกันพอ LDL
00:14:16 → 00:14:19 มันถูกออกซิไซหรือขึ้นสนิมไปแล้วเนี่ยมัน
00:14:19 → 00:14:22 จะเปลี่ยนสภาพไปเลยแล้วก็จะกลายเป็นตัวไป
00:14:22 → 00:14:25 กระตุ้นให้เกิดการอักเสบเกิดความเสียหาย
00:14:25 → 00:14:28 ที่ผนังด้านในของหลอดเลือดค่ะทีนี้ระบบ
00:14:28 → 00:14:30 ภูมิคุ้มกันของร่างกายเราก็จะพยายามเข้า
00:14:31 → 00:14:34 มาจัดการแต่กลายเป็นว่ากระบวนการนี้แหละ
00:14:34 → 00:14:38 ที่นำไปสู่การสะสมของเซลล์ของไขมันจนเป็น
00:14:38 → 00:14:41 คราบพลักหนาขึ้นมาเขาเปรียบเหมือนตัวหมัด
00:14:41 → 00:14:44 ที่ฝังเข้าผิวหนังแล้วทำให้ระคายเคือง
00:14:44 → 00:14:48 อักเสบตามมาน่ะค่ะเพราะงั้นแม้ว่า LD DL
00:14:48 → 00:14:50 สูงอาจจะเพิ่มความเสี่ยงได้เพราะเหมือนมี
00:14:50 → 00:14:53 วัตถุดิบเยอะขึ้นแต่ตัวการที่สร้างปัญหา
00:14:53 → 00:14:56 จริงๆตามแนวคิดนี้ก็คือตัว LDL ที่มันโดน
00:14:57 → 00:14:58 ออกซิไizไปแล้วนั่นเองค่ะ
00:14:58 → 00:15:02 >> คำถามสำคัญเลยครับทีนี้แล้วอะไรล่ะที่ทำ
00:15:02 → 00:15:05 ให้คอเลสเตอรอลของเรามันเกิดขึ้นสนิมหรือ
00:15:05 → 00:15:08 เกิดออกซิเดชขึ้นมาได้แหล่งข้อมูลนี้เขา
00:15:08 → 00:15:11 ชี้ไปที่อะไรเป็นหลักครับ
00:15:11 → 00:15:13 >> ค่ะตรงนี้บันทึกเสียงเขาพุ่งเป้าไปที่ไข
00:15:13 → 00:15:16 มันที่เรากินเข้าไปเลยค่ะโดยเฉพาะไขมัน
00:15:16 → 00:15:19 ที่ผ่านกระบวนการหรือไขมันที่มันออกซิไซ
00:15:19 → 00:15:22 ง่ายๆหรือไขมันที่มันหื่นแล้วน่ะค่ะเขา
00:15:22 → 00:15:25 บอกว่าถึงแม้จะกินเข้าไปแท่นนิดเดียวก็
00:15:25 → 00:15:26 สามารถไปกระตุ้นให้เกิดปฏิกิริยา
00:15:27 → 00:15:29 ออกซิเดชัแบบลูกโซ่ได้เลยแพร่ไปทั่วระบบ
00:15:30 → 00:15:32 หลอดเลือดมีเปรียบเปลือยเหมือนแอปเปิ้ล
00:15:32 → 00:15:34 เน่าลูกเดียวก็ทำให้แอปเปิ้ลดีๆในลังเน่า
00:15:34 → 00:15:36 ตามไปด้วยอะไรทำนองนั้นค่ะ
00:15:36 → 00:15:39 >> อ๋อครับแล้วมีตัวอย่างมั้ครับว่าไขมัน
00:15:39 → 00:15:41 ประเภทไหนที่เขาเจาะจงเลยว่าเป็นตัวการ
00:15:41 → 00:15:45 สำคัญที่นำออกซิไizคอเลสเตอรอลเข้าร่าง
00:15:45 → 00:15:48 กายหรือไปกระตุ้นให้เกิดออกซิเดช
00:15:48 → 00:15:51 >> ที่น่าสนใจคือเขาเจาะจงไปที่น้ำมันพืช
00:15:51 → 00:15:54 สำหรับทำอาหารบางชนิดเลยค่ะโดยเฉพาะน้ำ
00:15:54 → 00:15:57 มันที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงซ้อนเยอะๆ
00:15:57 → 00:16:01 หรือ PUFA นะค่ะเช่นพวกน้ำมันดอกทันตะวัน
00:16:01 → 00:16:03 น้ำมันข้าวโพดน้ำมันถั่วเหลืองน้ำมันดอก
00:16:03 → 00:16:06 คำฝอยเขาอ้างว่าน้ำมันพวกนี้มันไม่ค่อย
00:16:06 → 00:16:09 เสถียรแล้วก็เกิดออกซิเดชัง่ายมากๆทั้ง
00:16:09 → 00:16:13 จากความร้อนจากแสงจากออกซิเจนแล้วก็มักจะ
00:16:13 → 00:16:15 เริ่มเกิดกระบวนการนี้ตั้งแต่ตอนผลิตตอน
00:16:15 → 00:16:18 เก็บหรือตอนเราเอามาทำอาหารที่ใช้ความ
00:16:18 → 00:16:21 ร้อนสูงๆค่ะซึ่งตรงข้ามกับไขมันอิ่มตัว
00:16:21 → 00:16:24 อย่างเช่นเนยหรือโดยเฉพาะน้ำมันมะพร้าว
00:16:24 → 00:16:26 ที่บันทึกเสียงอ้างว่าเสถียรกว่ามากๆแทบ
00:16:26 → 00:16:29 จะไม่เกิดออกซิเดชัเลยแม้จะโดนความร้อน
00:16:29 → 00:16:30 ค่ะ
00:16:30 → 00:16:32 >> ฟังดูเหมือนกับว่าแหล่งข้อมูลนี้กำลัง
00:16:32 → 00:16:36 วิจารณ์แนวทางการกินไขมันที่เอ่อเน้นลดไข
00:16:36 → 00:16:39 มันอิ่มตัวแล้วก็หันไปใช้น้ำมันพืชกลุ่ม
00:16:39 → 00:16:42 นั้นแทนเลยนะครับซึ่งเป็นกระแสที่แรงมากๆ
00:16:42 → 00:16:45 เลยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมาเลย
00:16:45 → 00:16:47 >> ใช่เลยค่ะบันทึกเสียงนี้วิจารณ์ค่อนข้าง
00:16:47 → 00:16:51 ชัดเจนเลยค่ะว่ากระแสการกินไขมันต่ำแล้ว
00:16:51 → 00:16:54 ก็การส่งแสมให้น้ำมันพืชพวก PUFA มาแทนไข
00:16:54 → 00:16:57 มันอิ่มตัวในช่วงทศวรรษ 1980 น่ะค่ะอาจจะ
00:16:57 → 00:17:00 เป็นส่วนนึงที่ทำให้ปัญหาสุขภาพหัวใจมัน
00:17:00 → 00:17:03 ไม่ได้ลดลงอย่างที่คิดกันเพราะตามมุมมอง
00:17:03 → 00:17:06 ของบันทึกเสียงนี้นะคะคนก็หันไปกินไขมัน
00:17:06 → 00:17:09 ที่มันขึ้นสนิมง่ายแทนแล้วถึงแม้ตอนนี้มี
00:17:09 → 00:17:12 คนกินยาสตาตินเยอะมากเพื่อกดคอเลสเตอรอล
00:17:12 → 00:17:15 ลงสถิติการเสียชีวิตจากโรคหัวใจก็ยังสูง
00:17:15 → 00:17:18 เป็นอันดับต้นๆอยู่ดีค่ะบางทีก็ดูเหมือน
00:17:18 → 00:17:19 จะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ
00:17:19 → 00:17:22 >> นั่นหมายความว่าข้อสรุปหลักๆจากมุมมองของ
00:17:22 → 00:17:26 บันทึกเสียงนี้ก็คือการที่มัวแต่ไปเน้นลด
00:17:26 → 00:17:29 LDL อย่างเดียวโดยที่ไม่ได้สนใจเรื่อง
00:17:29 → 00:17:31 ออกoอกซidizคอเลสเตอรอลเนี่ยถือว่าแก้
00:17:31 → 00:17:34 ปัญหาไม่ตรงจุดว่างั้นเถอะครับ
00:17:34 → 00:17:36 >> ถูกต้องค่ะนั่นคือข้อสรุปสำคัญที่เขาอยาก
00:17:36 → 00:17:39 จะสื่อออกมาเลยแล้วเขาก็ยังพูดถึงเรื่อง
00:17:39 → 00:17:41 ค่าใช้สายมหาศาลด้วยนะคะที่เกี่ยวกับโรค
00:17:41 → 00:17:44 หัวใจทั่วโลกซึ่งเขามองว่ามันเป็น
00:17:44 → 00:17:46 ประโยชน์กับอุตสาหกรรมกรรมยามากๆการเน้น
00:17:46 → 00:17:49 ตรงนี้ก็เพื่อจะเสริมว่าแนวทางปัจจุบัน
00:17:49 → 00:17:52 อาจจะไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดหรืออาจจะมี
00:17:52 → 00:17:54 ทางเลือกอื่นที่ถูกมองข้ามไปค่ะ
00:17:54 → 00:17:58 >> ทีนี้ขอกลับไปที่เรื่องของ Scot Davis
00:17:58 → 00:18:03 อีกทีนะครับหลังจากที่เพื่อนเขา Oliv
00:18:03 → 00:18:05 ลับเรื่อง Oxidized Cholesterol แล้ว
00:18:05 → 00:18:08 เนี่ยเรื่องมันเป็นยังไงต่อครับเขาเอา
00:18:08 → 00:18:11 ความรู้นี้ไปทำอะไรต่อ
00:18:11 → 00:18:13 >> ค่ะตามเรื่องเล่าในบันทึกเสียงนะคะ
00:18:13 → 00:18:16 โอลิเวอร์ก็ให้ข้อมูลเกี่ยวกับโปรแกรมที่
00:18:16 → 00:18:18 เขา้าเองเคยไปเข้าที่ศูนย์สุขภาพแห่ง
00:18:18 → 00:18:21 หนึ่งที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัวในเยอรมนีค่ะ
00:18:21 → 00:18:24 ซึ่งเป็นที่ที่พวกคนดังเข้าไปฟื้นฟู
00:18:24 → 00:18:27 สุขภาพกันโปรแกรมนี้เขาบอกว่าไม่ได้เน้น
00:18:27 → 00:18:30 อดอาหารโหดๆหรือออกกำลังกายหนักๆนะคะแต่
00:18:30 → 00:18:33 เป็นการปรับอาหารปรับวิถีชีวิตบางอย่าง
00:18:33 → 00:18:37 โดยหัวใจหลักเลยคือการไปหาแล้วก็กำจัด
00:18:37 → 00:18:40 แหล่งของออกซิไizคอเลสเตอรอลออกจากอาหาร
00:18:40 → 00:18:43 แล้วในขณะเดียวกันก็เพิ่มปัจจัยที่ช่วยลด
00:18:43 → 00:18:45 หรือป้องกันการเกิดออกซิเดชัในร่างกาย
00:18:45 → 00:18:46 เข้ามาแทนค่ะ
00:18:46 → 00:18:48 >> แล้วบันทึกเสียงได้บอกรายละเอียดมั้ครับ
00:18:48 → 00:18:51 ว่าไอ้โปรแกรม 4 สัปดาห์ที่ว่าเนี่ยมันมี
00:18:51 → 00:18:54 อะไรบ้างมีการเปลี่ยนแปลงอะไรที่ชัดเจน
00:18:54 → 00:18:54 บ้างครับ
00:18:54 → 00:18:56 >> ตรงนี้บันทึกเสียงไม่ได้ลงรายละเอียดชัด
00:18:56 → 00:19:00 เจนมากค่ะบอกแค่ว่าเป็นการปรับอาหารปรับ
00:19:00 → 00:19:02 ไลฟ์สไตล์แบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ได้หักดิบ
00:19:02 → 00:19:06 จนทรมานซึ่งผลลัพธ์ตามที่สกอตเล่าก็คือ
00:19:06 → 00:19:09 เขารู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆแข็งแรงขึ้นมี
00:19:09 → 00:19:12 สมาธิมากขึ้นแล้วที่สำคัญคือผลตรวจก็ตาม
00:19:12 → 00:19:15 นั้นเลยค่ะคราผลักลดลงอย่างเห็นได้ชัด
00:19:16 → 00:19:18 ทั้งหมดนี้ก็โดยที่ไม่ต้องพึ่งยาสเตติน
00:19:18 → 00:19:20 หรือยาอื่นที่หมอเคยสั่งไว้เลยค่ะ
00:19:20 → 00:19:23 >> เรื่องราวยังมีประเด็นเรื่องการเอ่อเก็บ
00:19:23 → 00:19:26 ความลับแล้วก็การเผยแพร่ข้อมูลนี้ด้วยใช่
00:19:26 → 00:19:26 มั้ยครับ
00:19:26 → 00:19:29 >> ใช่ค่ะมีเล่าต่อว่าตอนแรกสกอตก็อยากจะเอา
00:19:29 → 00:19:32 เรื่องนี้มาบอกต่อแต่ติดที่ว่าโอลิเวอร์
00:19:32 → 00:19:34 ไปเซ็นสัญญาห้ามเปิดเผยข้อมูลหรือ NDA
00:19:34 → 00:19:38 ไว้กับศูนย์ที่เยอรมนีนะค่ะแต่ว่าพอ
00:19:38 → 00:19:40 โอลิเวอร์เสียชีวิตจากอุบัติเหตุสกอตก็
00:19:40 → 00:19:43 อ้างว่าเขาได้รับข้อความที่โอลิเวอร์ทิ้ง
00:19:43 → 00:19:46 ไว้อนุญาตให้เปิดเผยความจริงได้แล้วสกอต
00:19:46 → 00:19:48 ก็เลยตัดสินใจร่วมมือกับสำนักพิมพ์ชื่อ
00:19:48 → 00:19:50 Blue Heron Health News เพื่อรวบรวม
00:19:50 → 00:19:53 แล้วก็เผยแพร่แนวทางนี้ออกมาในชื่อ The
00:19:53 → 00:19:55 Oxidized Cholesterol Strategy ค่ะ
00:19:55 → 00:19:57 >> แล้วก็ดูเหมือนจะมีการพูดถึงความพยายาม
00:19:57 → 00:20:01 ที่จะเอ่อขัดขวางการเผยแพร่ข้อมูลนี้ด้วย
00:20:01 → 00:20:04 >> มีพูดถึงประเด็นนั้นด้วยค่ะโดยอ้างว่ามี
00:20:04 → 00:20:08 ทั้งจากทางศูนย์สุขภาพที่เยอรมนีเองแล้ว
00:20:08 → 00:20:12 ก็อาจจะรวมถึงบริษัทยาบางแห่งในอเมริกา
00:20:12 → 00:20:15 ที่ไม่อยากให้ความรู้นี้เผยแพร่ออกไปแล้ว
00:20:15 → 00:20:17 ก็อาจจะมีความพยายามทางกฎหมายเพื่อหยุด
00:20:17 → 00:20:20 ยั้งการเผยแพร่ซึ่งอันนี้ก็เป็นการสร้าง
00:20:20 → 00:20:23 เรื่องราวให้ดูแบบว่ามีความขัดแย้งน่าติด
00:20:23 → 00:20:24 ตามมากขึ้นค่ะ
00:20:24 → 00:20:27 >> เอาล่ะครับทั้งบทนี้ก็คือเนื้อหาหลักๆนะ
00:20:27 → 00:20:29 ครับที่เราสกัดแล้วก็เรียบเรียงมาจาก
00:20:29 → 00:20:32 บันทึกเสียงที่เราได้มาซึ่งก็เห็นได้ชัด
00:20:32 → 00:20:35 เลยว่านำเสนอแนวคิดที่แบบว่าท้าทายความ
00:20:35 → 00:20:38 เชื่อกระแสหลักมากๆเกี่ยวกับคอเลสเตอรอล
00:20:38 → 00:20:42 โรคหัวใจโดยชี้ไปที่oอก cholesterol ว่า
00:20:42 → 00:20:44 เป็นตัวกันสำคัญเลยในการสร้างครอบพลักไม่
00:20:44 → 00:20:47 ใช่แค่ระดับ LDL โดยรวมแล้วก็ยังตั้งคำ
00:20:47 → 00:20:50 ถามถึงประสิทธิภาพความจำเป็นของยาสตติ
00:20:50 → 00:20:52 อย่างตรงไปตรงมาเลยนะครับ
00:20:52 → 00:20:56 >> ค่ะในฐานะผู้ที่สังเคราะห์ข้อมูลนะคะก็
00:20:56 → 00:20:59 ต้องยอมรับว่าแนวคิดเรื่องออกซิไiz
00:20:59 → 00:21:03 คอเลสเตอรอลแล้วก็บทบาทของมันต่อสุขภาพ
00:21:03 → 00:21:05 หัวใจหรือผลกระทบของไขมันที่ผ่านกระบวน
00:21:05 → 00:21:09 การหรือไขมันที่มันออกซิไซง่ายเนี่ยจริงๆ
00:21:09 → 00:21:10 ก็ไม่ใช่เรื่องใหม่ซะทีเดียวในวงการ
00:21:10 → 00:21:13 วิทยาศาสตร์สุขภาพภาพนะคะมีการศึกษามีการ
00:21:14 → 00:21:16 พูดคุยกันมาระยะนึงแล้วเหมือนกันแล้วก็
00:21:16 → 00:21:18 ถือเป็นประเด็นที่น่าสนใจค่ะซึ่งอาจจะนำ
00:21:18 → 00:21:21 ไปสู่การวิจัยเพิ่มหรือการปรับปรุงคำแนะ
00:21:21 → 00:21:24 นำด้านโภชนาการในอนาคตได้แต่สิ่งสำคัญมาก
00:21:24 → 00:21:28 ๆมากๆที่ต้องเน้นย้ำเลยนะคะคือการรับข้อ
00:21:28 → 00:21:31 มูลทางการแพทย์อะไรก็ตามโดยเฉพาะข้อมูล
00:21:31 → 00:21:33 ที่ดูเหมือนจะขัดแย้งหรือท้าทายแนวทาง
00:21:34 → 00:21:36 ปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานปัจจุบันเนี่ยควรทำ
00:21:36 → 00:21:39 ด้วยความระมัดระวังมากๆค่ะต้องรอบคอบต้อง
00:21:39 → 00:21:42 ใช้วิจารณญาณสูงๆเลยการตัดสินใจเกี่ยวกับ
00:21:42 → 00:21:44 การรักษาหรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
00:21:44 → 00:21:47 สุขภาพที่สำคัญๆเนี่ยควรจะต้องปรึกษา
00:21:47 → 00:21:49 แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพที่น่า
00:21:49 → 00:21:52 เชื่อถือแล้วก็เข้าใจสภาวะสุขภาพของเรา
00:21:52 → 00:21:55 จริงๆเสมอนะคะคือข้อมูลจากแหล่งเดียว
00:21:55 → 00:21:57 เนี่ยไม่ว่าจะน่าสนใจแค่ไหนมันอาจจะไม่
00:21:57 → 00:21:59 ได้สะท้อนภาพรวมทั้งหมดหรืออาจจะไม่เหมาะ
00:21:59 → 00:22:01 กับทุกคนก็ได้ค่ะ
00:22:01 → 00:22:03 >> ขอบคุณสำหรับมุมมองและคำเน้นย้ำที่สำคัญ
00:22:03 → 00:22:06 มากๆเลยครับช่วยให้เราพิจารณาข้อมูลที่
00:22:06 → 00:22:09 ได้มาอย่างรอบด้านมากขึ้นจริงๆครับและ
00:22:09 → 00:22:12 เพื่อการเอ่อกระตุ้นรุ่นความคิดต่อยอดจาก
00:22:12 → 00:22:14 สิ่งที่เราได้คุยกันวันนี้นะครับผมขอทิ้ง
00:22:14 → 00:22:17 ท้ายด้วยคำถามชวนคิดนิดนึงแล้วกันคือถ้า
00:22:17 → 00:22:20 เราลองตั้งสมมุติฐานตามแนวคิดหลักของ
00:22:20 → 00:22:23 บันทึกเสียงนี้ดูว่าคอเลสเตอรอลที่ขึ้น
00:22:23 → 00:22:25 สนิมหรือออกซidizคอเลสเตอรอลเนี่ยคือ
00:22:25 → 00:22:28 ปัญหาสำคัญจริงๆนอกจากเรื่องประเภทของไข
00:22:28 → 00:22:30 มันที่เรากินเข้าไปซึ่งเป็นประเด็นหลัก
00:22:30 → 00:22:33 ที่คนเน้นมากๆแล้วเนี่ยท่านคิดว่าพอจะมี
00:22:33 → 00:22:35 ปัจจัยอื่นในชีวิตประจำวันของเราอีกไหม
00:22:35 → 00:22:38 ครับที่อาจจะส่งผลเร่งกระบวนการออกซิเดชั
00:22:38 → 00:22:41 ของคอเลสเตอรอลในร่างกายเราได้แล้วพอจะมี
00:22:42 → 00:22:44 แนวทางไหนที่เราอาจจะนำมาปรับใช้เพื่อ
00:22:44 → 00:22:47 ช่วยป้องกันหรือชะลอกระบวนการนี้ได้บ้าง
00:22:47 → 00:22:50 คำถามนี้ฝากไว้ให้ลองนำไปขบคิดกันต่อดูนะ
00:22:50 → 00:22:52 ครับสำหรับวันนี้ขอบคุณที่ร่วมเดินทาง
00:22:52 → 00:22:54 สำรวจข้อมูลที่น่าสนใจนี้ไปด้วยกันครับ
00:22:54 → 00:22:55 สวัสดีครับ
00:22:55 → 00:22:57 >> สวัสดีค่ะ
00:22:57 → 00:23:15 [เพลง]