00:00:01 → 00:00:05 โรคียโรคขาดผู้ชายไม่ได้จริง
00:00:05 → 00:00:09 หรือเข้าใจผู้ป่วยโรคียโรคที่เกิดจาก
00:00:09 → 00:00:12 บุคลิกภาพผิด
00:00:12 → 00:00:16 ปกติเผยวิธีรักอย่างไรไม่เป็นทุกข์ติดตาม
00:00:16 → 00:00:19 เรื่องราวทั้งหมดได้ในรายการ TNN Health
00:00:19 → 00:00:20 วัน
00:00:20 → 00:00:22 [เพลง]
00:00:22 → 00:00:25 นี้สวัสดีค่ะขอต้อนรับคุณผู้ชมเข้าสู่ราย
00:00:26 → 00:00:29 การ TNN Health เข้าถึงทุกสาระสุขภาพ
00:00:29 → 00:00:33 เสริมภูมิกันรู้ทันโรคไปกับ TNN ค่ะและ
00:00:33 → 00:00:36 ดิฉันหมอดาวแพทย์หญิงัตดาวจังวังกรแพทย์
00:00:36 → 00:00:39 เฉพาะทางสาขาเวชศาสตร์ครอบครัวพร้อมที่จะ
00:00:39 → 00:00:42 รับหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการพาคุณผู้ชม
00:00:42 → 00:00:51 มาเข้าถึงทุกสาระสุขภาพดีๆกัน
00:00:51 → 00:00:55 [เพลง]
00:00:55 → 00:00:59 ค่ะต้อนรับเข้าเดือนกุมภาพันธ์เดือนแห่ง
00:00:59 → 00:01:02 ความรักกันนะคะและแน่นอนในเดือนนี้เราจะ
00:01:02 → 00:01:05 มาพูดคุยกันถึงโรคๆหนึ่งค่ะคือโรค his
00:01:05 → 00:01:09 โรคขาดความรักไม่ได้หลายคนนะคะเคยดูละคร
00:01:09 → 00:01:12 แล้วก็พบว่าจะมีตัวละครผู้หญิงนะคะดูเอา
00:01:12 → 00:01:15 แต่ใจตัวเองดูเป็นคนที่ชอบผู้ชายมีความ
00:01:15 → 00:01:18 ต้องการทางเพศสูงนั่นหมายถึงว่าคนหลายคน
00:01:18 → 00:01:22 ค่ะก็อ้อคนกลุ่มนี้คือ hisa คิดกันไปแบบ
00:01:22 → 00:01:24 นั้นแต่จริงๆแล้ว hisa ใช่แบบนี้หรือ
00:01:24 → 00:01:27 เปล่าเป็นโรคอะไรกันแน่ไปติดตามรับชมกัน
00:01:27 → 00:01:32 ค่ะโรคียจากเป็นความผิดปกติทางจิตในกลุ่ม
00:01:32 → 00:01:35 ความผิดปกติทางบุคคลิกภาพกลุ่ม B หรือ
00:01:35 → 00:01:38 cluster B dramatic personality
00:01:38 → 00:01:41 disorders โดยผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีปัญหา
00:01:41 → 00:01:44 ด้านการควบคุมอารมณ์หรือควบคุมความวิตก
00:01:44 → 00:01:47 กังวลของตัวเองไม่ค่อยได้รวมถึงความ
00:01:47 → 00:01:50 สามารถในการควบคุมพฤติกรรมของตนเองก็ทำ
00:01:50 → 00:01:54 ได้ไม่ดีเท่าคนปกติเช่นกันบุคลิกภาพในทาง
00:01:54 → 00:01:58 จิตเวทหมายถึงแบบแผนหรือลักษณะจำเพาะของ
00:01:58 → 00:02:01 แต่ละบุคคลที่แสดงออกในการใช้ชีวิตประจำ
00:02:01 → 00:02:05 วันปกติซึ่งเป็นผลรวมของความรู้สึกนึกคิด
00:02:05 → 00:02:09 การรับรู้และพฤติกรรมของบุคคลนั้นการแบ่ง
00:02:09 → 00:02:11 บุคลิกภาพของมนุษย์สามารถแบ่งออกเป็น 3
00:02:11 → 00:02:15 กลุ่ม A B C ซึ่งแบ่งแยกบุคคลิกภาพได้
00:02:15 → 00:02:19 ทั้งสิ้น 10 แบบความผิดปกติของบุคคลิกภาพ
00:02:19 → 00:02:22 ในแบบ B จะมีความโดดเด่นก็คือเรื่องของ
00:02:22 → 00:02:25 อารมณ์ค่ะมีอารมณ์ที่ไม่คงที่อารมณ์แปร
00:02:25 → 00:02:30 ปรวนไม่แน่นอนซึ่งได้แก่ narcissistic
00:02:30 → 00:02:34 โรคหลงตัวเองมีลักษณะเด่นของการมั่นใจใน
00:02:34 → 00:02:37 ตนเองอย่างมากอาจเป็นเพียงความคิดเพ้อฝัน
00:02:37 → 00:02:40 จินตนาการหรือแสดงออกเป็นพฤติกรรมเลยก็
00:02:40 → 00:02:43 ได้ต้องการการชื่นชมจากคนอื่นและขาดความ
00:02:43 → 00:02:47 เห็นอกเห็นใจผู้อื่นพบในเพศชายมากกว่าเพศ
00:02:47 → 00:02:49 หญิง histrionic
00:02:49 → 00:02:52 personality โรค hysteria มีลักษณะเด่น
00:02:52 → 00:02:56 ของการแสดงออกของอารมณ์อย่างชัดเจนบาง
00:02:56 → 00:03:00 ครั้งมากเกินควรและแสวงหาความสนใจจากคน
00:03:00 → 00:03:03 รอบข้างอยู่ตลอดพบมากในเพศหญิงมากกว่าเพศ
00:03:03 → 00:03:07 ชาย borderline personality ภาวะ
00:03:07 → 00:03:11 บุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่งมีลักษณะเด่น
00:03:11 → 00:03:14 ของการไม่เสถียรมีอารมณ์หุนหันพลั่นแล่น
00:03:14 → 00:03:19 อย่างรุนแรงพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย Anti
00:03:19 → 00:03:22 Social personality โรคบุคลิกภาพผิด
00:03:22 → 00:03:26 ปกติแบบต่อต้านสังคมมีลักษณะเด่นของการ
00:03:26 → 00:03:30 ไม่สนใจหรือฝ่าฝืนกฎเกณฑ์และการละเมิด
00:03:30 → 00:03:33 สิทธิ์ของคนอื่นเริ่มมีลักษณะดังกล่าวนี้
00:03:33 → 00:03:37 ตั้งแต่อายุ 15 ปีพบในชายมากกว่าหญิงผู้
00:03:37 → 00:03:40 ที่มีบุคคลิกภาพแบบนี้มีโอกาสฆ่าตัวตาย
00:03:40 → 00:03:43 สำเร็จสูงที่สุดและมีความสัมพันธ์กับภาวะ
00:03:43 → 00:03:48 ซึมเศร้าและการใช้สารเสพติดอย่างชัดเจน
00:03:48 → 00:03:51 แล้วอะไรคือสัญญาณเตือนที่ว่าตัวคุณมี
00:03:51 → 00:03:55 บุคลิกภาพที่ผิดปกติรู้สึกกระวนกระวายใจ
00:03:55 → 00:03:59 อยู่เฉยไม่ได้มีความรู้สึกอยากเป็นที่สน
00:03:59 → 00:04:03 ใจในหมู่ผู้คนหรืออยากให้ผู้คนส่วนใหญ่
00:04:03 → 00:04:07 ยอมรับแต่งกายยั่วยุแสดงพฤติกรรมโดดเด่น
00:04:07 → 00:04:10 เพื่อให้เป็นจุดสนใจต่อเพศตรงข้ามแสดงการ
00:04:10 → 00:04:13 กระทำที่บ่งบอกถึงความไม่จริงใจต่อคนรอบ
00:04:13 → 00:04:16 ข้างหรือเรียกว่าหน้าอย่างลับหลังอีก
00:04:16 → 00:04:20 อย่างความอดทนอยู่ในระดับต่ำอารมณ์
00:04:20 → 00:04:23 เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเป็นตัวของตัวเอง
00:04:23 → 00:04:26 เกินความเหมาะสมเอาความคิดความอ่าน
00:04:26 → 00:04:30 วิสัยทัศน์ของตนเป็นจุดศูนย์กลาง
00:04:30 → 00:04:34 แล้วโรคียคือโรคที่ขาดผู้ชายไม่ได้จริง
00:04:34 → 00:04:37 หรือไม่ส่วนโรคฮิสตอเรียเป็นอาการของคน
00:04:37 → 00:04:40 ที่ชอบเรียกร้องความสนใจจะเห็นได้ว่าผู้
00:04:40 → 00:04:43 ที่เป็น hisa นั้นไม่ได้มีความเกี่ยวข้อง
00:04:43 → 00:04:46 กับความต้องการทางเพศที่มากกว่าปกติเลย
00:04:46 → 00:04:49 แม้แต่น้อยสิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเขาก็
00:04:49 → 00:04:52 คือความรักความเข้าใจและความเอาใจใส่จาก
00:04:52 → 00:04:55 คนรอบข้างเพียงเท่านั้นแต่ในเมื่อียไม่
00:04:55 → 00:04:58 ใช่โรคที่เกี่ยวกับความต้องการทางเพศสูง
00:04:58 → 00:05:01 แล้วโรคขาดผู้ชายไม่ได้คือ
00:05:01 → 00:05:05 อะไรอาการขาดผู้ชายไม่ได้นั้นหมายถึงโรค
00:05:05 → 00:05:10 นิมโฟมาเนียส่วนโรคิสเรียเป็นอาการของคน
00:05:10 → 00:05:13 ที่ชอบเรียกร้องความสนใจนิมโฟมาเนียเป็น
00:05:13 → 00:05:16 อาการป่วยทางจิตประเภทหนึ่งที่ผู้ป่วยจะ
00:05:16 → 00:05:19 มีความผิดปกติในการควบคุมพฤติกรรมใน
00:05:19 → 00:05:22 เรื่องเพศทำให้เกิดความต้องการทางเพศมาก
00:05:22 → 00:05:25 กว่าปกติคำว่านิมโฟมาเนียนั้นมาจากคำว่า
00:05:25 → 00:05:29 นิมโฟหมายถึงผู้หญิงที่มีความต้องการทาง
00:05:29 → 00:05:32 เพชรสูงและ mania ซึ่งหมายถึงความคลั่ง
00:05:32 → 00:05:35 ไคล้หรือความบ้าคลั่งและเมื่อนำมารวมกัน
00:05:36 → 00:05:39 นิมโฟมาเนียจึงหมายถึงผู้หญิงที่มีความ
00:05:39 → 00:05:43 ต้องการทางเพศสูงเกินปกติหรือมีความคลั่ง
00:05:43 → 00:05:45 ไคล้ในเรื่องเพศนั่นเองสำหรับโรค
00:05:45 → 00:05:49 นิมโฟมาเนียนี้ถูกจัดอยู่ในอาการป่วยขั้น
00:05:49 → 00:05:52 รุนแรงที่สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในหญิงและ
00:05:52 → 00:05:56 ชายแต่ผู้ชายจะถูกเรียกว่า stasis โดย
00:05:56 → 00:05:59 นิมโฟมาเนียนั้นจะพบได้มากในผู้หญิงและแล
00:05:59 → 00:06:02 ผู้ชายที่เป็นคนรักร่วมเพศนอกจากนี้ผู้
00:06:02 → 00:06:05 ป่วยทางจิตหรือคนในครอบครัวที่มีประวัติ
00:06:05 → 00:06:08 ป่วยทางจิตก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดโรค
00:06:08 → 00:06:11 ดังกล่าวเช่นกันส่วนสาเหตุของโรคนั้นยัง
00:06:12 → 00:06:14 ไม่เป็นที่แน่ชัดลักษณะของผู้ป่วยโรค
00:06:14 → 00:06:18 นิมโฟมาเนีย 1 มีคู่นอนหลายคนหรือมี
00:06:18 → 00:06:23 เพศสัมพันธ์กับใครก็ได้ 2 มักจะสำเร็จ
00:06:23 → 00:06:27 ความใคร่ด้วยตัวเอง 3 ใช้บริการทางเพศชอบ
00:06:27 → 00:06:31 ภาพลามก 4 มีการแสดงออกทางเพศอย่างผิด
00:06:31 → 00:06:34 ปกติเช่นชอบความเจ็บปวดชอบความรุนแรงและ
00:06:34 → 00:06:39 พฤติกรรมทางเพศอื่นๆ 5 ชอบอวด 6 พุจาลามก
00:06:39 → 00:06:43 หรือแสดงท่าทางในลักษณะว่ามีความต้องการ
00:06:43 → 00:06:44 ทางเพศตลอด
00:06:44 → 00:06:47 เวลาเราได้รู้จักโรคิสเรียกันไปบ้างแล้ว
00:06:48 → 00:06:50 นะคะและในช่วงนี้เราจะไปพูดคุยกับ
00:06:50 → 00:06:52 จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
00:06:52 → 00:06:55 กันสวัสดีค่ะ
00:06:55 → 00:06:58 [เพลง]
00:06:58 → 00:07:04 อาจารย์
00:07:04 → 00:07:08 โรคียคืออะไรอ่ะคะอาจารย์อ่าียนะคะจริงๆ
00:07:08 → 00:07:10 เป็นโรคที่เราหลายๆคนจะรู้จักกันในเรื่อง
00:07:10 → 00:07:14 ว่าโรคขาดผู้ชายไม่ได้หรือว่าโหยหาผู้ชาย
00:07:14 → 00:07:16 แต่ในความเป็นจริงแล้วค่ะอันเนี้ยมันเป็น
00:07:16 → 00:07:19 ความเข้าใจผิดที่มาที่ไปของซีเรียเนี่ย
00:07:19 → 00:07:22 ต้องบอกก่อนว่าฮิสซีเรียเนี่ยมันเป็นภาษา
00:07:22 → 00:07:25 โรมันภาษาลาตินที่แปลว่ามดรูเพราะฉะนั้น
00:07:25 → 00:07:28 โลกเนี้ยมันมีอยู่จริงแต่ว่าเป็นสมัยก่อน
00:07:28 → 00:07:31 สมัยต้องแต่ก่อนคริสตกาลจนถึงประมาณปี
00:07:31 → 00:07:35 1800 19900 คริสตศักราชด้วยความที่สมัย
00:07:35 → 00:07:38 นั้นน่ะค่ะผู้หญิงเหล่าเผู้หญิงเราเนี่ย
00:07:38 → 00:07:40 อาจจะไม่ได้มีบทบาททางสังคมหรือว่าไม่
00:07:40 → 00:07:43 สามารถแสดงออกได้มากนักเมื่อเทียบกับเพศ
00:07:43 → 00:07:46 ชายเพราะฉะนั้นในสมัยนั้นคนที่เป็นโรค
00:07:46 → 00:07:49 กลุ่มนี้จึงเป็นผู้หญิงเป็นหลักซึ่งอาการ
00:07:49 → 00:07:52 หลายๆครั้งมาในอาการที่มีอาการอยู่ๆก็ชา
00:07:52 → 00:07:55 หมดแรงอาจจะมีท่าทางแปลกๆไปหรือว่าอยู่
00:07:56 → 00:07:59 เสียงแหบพูดไม่ได้หรือว่ามีอาการบวชอาการ
00:08:00 → 00:08:02 มองไม่เห็นอะไรที่บอกไม่ถูกแล้วแพทย์ใน
00:08:02 → 00:08:04 สมัยนั้นด้วยความที่ผู้หญิงเป็นเยอะกว่า
00:08:04 → 00:08:07 เขาบอกว่ามันต้องมาจากมดลูกหรือว่ามาจาก
00:08:07 → 00:08:12 ียิีกแน่ๆเลยพอเป็นแบบนั้นปุ๊บอ่าในสมัย
00:08:12 → 00:08:15 นู้นนะคะที่เรายังไม่ได้มีเครื่องเเล
00:08:15 → 00:08:18 คอมพิวเตอร์สมองเลยก็ตามเขาก็รักษากันแบบ
00:08:18 → 00:08:20 ที่คิดว่ามาจากมดลูกใช่ไมมแปลว่าเขาเชื่อ
00:08:20 → 00:08:23 ว่ามดลูกเนี่ยมันเคลื่อนต่ำลงมาเพราะ
00:08:23 → 00:08:25 ฉะนั้นสมัยนั้นวิธีการรักษาเขาบอกว่า
00:08:25 → 00:08:28 เนี่ยผู้หญิงพวกเนี้ที่ฉันพบบ่อยส่วนใหญ่
00:08:28 → 00:08:30 เป็นพวกผู้หญิงโสดผู้หญิงหญิงไม่ผู้หญิง
00:08:30 → 00:08:32 ที่ไม่มีแฟนเขาก็เลยเชื่อว่ามันต้อง
00:08:32 → 00:08:35 เกี่ยวกับทางเพศเพราะฉะนั้นก็ต้องรักษา
00:08:35 → 00:08:38 ให้มันมีเพศสัมพันธ์มีแฟนหรือแม้แต่การ
00:08:38 → 00:08:41 นวดอวัยวเพศมันก็เลยทำให้สมัยเนี้ยถูกโยง
00:08:41 → 00:08:45 ไปกับความที่ขาดผู้ชายไม่ได้ค่ะแล้วใคร
00:08:45 → 00:08:47 คือกลุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคฮิสทีเรียคะ
00:08:48 → 00:08:50 คือต้องบอกก่อนว่าในสมัยเนี้ยที่เราเข้า
00:08:50 → 00:08:53 ใจดีแล้วว่าฮิสทีเรียไม่ใช่โรคที่เกี่ยว
00:08:53 → 00:08:56 กับทางกายหรือมดลูกมันเป็นโรคที่มีอาการ
00:08:56 → 00:08:58 ทางกายก็จริงแต่เป็นโรคที่เกี่ยวกับทาง
00:08:58 → 00:09:01 จิตใจเพราะฉะนั้นต้องบอกว่าอาการทางจิตใจ
00:09:01 → 00:09:04 คิเรียสมัยเจริงๆอ่ะค่ะใช้คำว่ามันเป็น
00:09:04 → 00:09:06 อาการทางจิตใจที่อยู่ๆก็ช้าโดยที่หา
00:09:06 → 00:09:09 สาเหตุทางกายไม่ได้เพราะฉะนั้นในความเป็น
00:09:09 → 00:09:13 จริงแล้วผู้ชายก็เป็นได้ผู้หญิงก็เป็นได้
00:09:13 → 00:09:16 ไม่ได้มีใครเป็นมากกว่าใครกลุ่มเสี่ยง
00:09:16 → 00:09:18 จริงๆก็คืออย่างที่บอกว่าถ้าที่มาที่ไป
00:09:18 → 00:09:22 คือเราถูกอ่าเก็บกฎกดระงับไม่สามารถแสดง
00:09:22 → 00:09:25 บทบาทแสดงอารมณ์ความรู้สึกต่างๆในสังคม
00:09:25 → 00:09:27 ได้เพราะฉะนั้นคนที่ไม่สามารถแสดงออกทาง
00:09:27 → 00:09:30 อารมณ์และจิตใจได้กลไกจิตใต้สำนึกจิตไร้
00:09:30 → 00:09:33 สำนึกถูกเปลี่ยนเป็นการแสดงออกทางกายค่ะ
00:09:34 → 00:09:37 สาเหตุของโรคฮิสตอเรียเกิดจากอะไรคะอย่าง
00:09:37 → 00:09:41 ที่บอกไปนะคะถ้าเป็นสมัยก่อนในความทฤษฎี
00:09:41 → 00:09:44 สมัยก่อนที่ยังไม่ได้มีวิอ่าเทคโนโลยีเา
00:09:44 → 00:09:46 เข้าใจว่าเกิดจากมดลูแต่ถ้าฮิสทีเรียใน
00:09:46 → 00:09:49 สมัยนี้เป็นทฤษฎีของเรื่องจิตใจเลยคือไม่
00:09:49 → 00:09:51 ได้มีความผิดปกติทางกายไม่ต้องไปทำอะไร
00:09:51 → 00:09:54 กับมดลูกไม่ต้องไปมีเพศสัมพันธ์ก็ได้อะไร
00:09:54 → 00:09:57 เงี้ยนะคะแต่ว่าขอให้ถ้าเราเข้าใจตัวเอง
00:09:57 → 00:09:59 ว่าเอ้ยอะไรที่ทำให้อาการทางกายต่างๆมัน
00:09:59 → 00:10:02 โผล่มาคือเราไม่สามารถที่จะแสดงออกอารมณ์
00:10:02 → 00:10:05 ความรู้สึกเพราะฉะนั้นการที่เราได้ทำจิต
00:10:05 → 00:10:07 บำบัดได้เข้าใจตัวเองได้บอกตรงเนี้ยมันก็
00:10:07 → 00:10:11 จะช่วยในเรื่องของอาการทางกายที่อธิบาย
00:10:11 → 00:10:14 แล้วไม่พบสาเหตุทางกายค่ะทำไมคนถึงไปเข้า
00:10:14 → 00:10:17 ใจผิดค่ะอาจารย์ว่าโรคฮิสเตรียคือโรคคาด
00:10:18 → 00:10:21 ผู้ชายไม่ได้และมีความต้องการทางเพศสูง
00:10:21 → 00:10:23 ต้องเล่าว่าเหมือนอย่างที่บอกค่ะว่าอาการ
00:10:23 → 00:10:26 จริงๆค่ะมีหลากหลายมันไม่ได้ต้องเกี่ยว
00:10:26 → 00:10:29 กับผู้ชายเท่านั้นอาการมันมีตั้งแต่อย่าง
00:10:29 → 00:10:31 บางคนก็จะมีท่าทีแปลกๆบางคนกรีดร้องโหย
00:10:31 → 00:10:35 หวนบางคนก็คืออาจจะเป็นเรื่องของมีเรื่อง
00:10:35 → 00:10:39 ของชาเรื่องของรู้สึกว่าอ่อนแรงไปจนถึง
00:10:39 → 00:10:41 เรื่องของการโหยหาความรักความต้องการคือ
00:10:41 → 00:10:44 อย่างที่พูดว่าเค้าขาดเรในเรื่องของการ
00:10:44 → 00:10:47 แสดงออกทางอารมณ์ขาดทางจิตใจแต่ว่าการที่
00:10:47 → 00:10:49 คนเข้าใจเนี่ยมันเป็นที่มาที่มันถูกเข้า
00:10:49 → 00:10:52 ใจมาเป็นพันปีอ่ะค่ะตั้งแต่ก่อนคริสตกาล
00:10:52 → 00:10:55 มาจนถึงสัก 1002 ปีก่อนที่เข้าใจว่ามัน
00:10:55 → 00:10:58 เกี่ยวข้องกับมดลูแล้วอย่างที่พูดว่าหมอ
00:10:58 → 00:10:59 สมัยนั้นเคก็รักรักษาโดยการที่ต้องมี
00:10:59 → 00:11:01 เพศสัมพันธ์หรือแม้แต่การเอากลิ่นเขาบอก
00:11:01 → 00:11:04 ว่าเอากลิ่นที่ดีวางไว้ตรงไเเพศเพื่อที่
00:11:04 → 00:11:06 ดึงหมดลูกลงแล้วเอากลิ่นที่แย่อยู่ตรง
00:11:06 → 00:11:08 จมูกเพื่อที่ดึงให้หมดลูกมันเคลื่อนผิด
00:11:08 → 00:11:10 ปกติอันนี้ซึ่งมันเป็นความเข้าใจของคุณ
00:11:10 → 00:11:13 หมอสมัยนั้นซึ่งเข้าใจได้ว่ามันเข้าใจมา
00:11:13 → 00:11:15 เป็น 1000 ปีเพราะฉะนั้นหลายๆครั้งคนเอง
00:11:15 → 00:11:18 ก็ยังเข้าใจแบบนี้รวมถึงโลกนี้อมันฟังดู
00:11:18 → 00:11:21 มันฟังดูน่าสนใจบางทีมันก็มีการที่เอาไป
00:11:21 → 00:11:23 ทำหนังเอาไปทำนู่นนี่นั่นมันก็เลยยิ่ง
00:11:24 → 00:11:26 กลายเป็นการที่ตอกย้ำภาพลักษณ์อย่างงี้
00:11:26 → 00:11:28 ซึ่งจริงๆแล้วค่ะสมัยเนี้ยต้องบอกว่า
00:11:28 → 00:11:31 กระแสของเฟมินิสต์สมัยใหม่เขาจะบอกว่าโลก
00:11:31 → 00:11:33 เยจริงๆมันเป็นการสะท้อนถึงความกดขี่ของ
00:11:33 → 00:11:37 ผู้หญิงในในอดีตกาลด้วยซ้ำโรคฮียแบ่งออก
00:11:37 → 00:11:40 เป็นกี่ประเภทคะอ่าใช้คำว่าสมัยนี้ะกัน
00:11:40 → 00:11:43 เนาะฮิสตอเรียสมัยเก่าที่ที่เรารู้ว่า
00:11:43 → 00:11:45 จริงๆแล้วมันไม่ได้เกี่ยวกับมดลูกมันไม่
00:11:45 → 00:11:47 ได้เกี่ยวกับขาดผู้ชายไม่ได้สมัยนี้ที่
00:11:47 → 00:11:50 เรารู้ว่าเกี่ยวกับอารมณ์จิตใจอ่ะค่ะหลัก
00:11:50 → 00:11:53 ๆก็คือจะแบ่งเป็น 2 อย่าง 2 อย่างจริงๆก็
00:11:53 → 00:11:55 คือโลกที่อย่างที่บอกสมัยก่อนผู้หญิงที่
00:11:55 → 00:11:59 อยู่ก็ชายอยู่ๆก็ร้องโหยหวนกรีดร้องหรือ
00:11:59 → 00:12:01 ว่ามีอาการทางกายซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็น
00:12:01 → 00:12:04 อาการทางระบบประสาทไม่ว่าจะชาไม่ว่าจะ
00:12:04 → 00:12:07 อ่อนแรงไม่ว่าจะอยู่พูดไม่ได้อาการเนี้ย
00:12:07 → 00:12:09 คืออาการที่สมัยใหม่เราเรียกว่า
00:12:09 → 00:12:12 conventional disorder คือการที่มี
00:12:12 → 00:12:15 อาการทางระบบประสาทที่มีอาการออกมาทาง
00:12:15 → 00:12:17 ระบบประสาทแต่ตรวจแล้วไม่ได้มีสมองที่ผิด
00:12:17 → 00:12:20 ปกติไม่ได้มีอ่าเส้นประสาทหรืออะไรที่ผิด
00:12:21 → 00:12:24 ปกติอันนี้เป็นประเภทที่ 1 กับประเภทที่ 2
00:12:24 → 00:12:26 ชื่อจะยังคงความคล้าย his อยู่เรียกว่า
00:12:26 → 00:12:27 histrionic
00:12:27 → 00:12:30 personality disorder หรือมีบุคคลิกภาพ
00:12:30 → 00:12:33 ผิดปกติแบบ hisonic hisonic คืออะไร
00:12:33 → 00:12:36 hisonic เป็นภาษาอังกฤษค่ะที่จริงๆแล้ว
00:12:36 → 00:12:40 มันก็คือแปลว่าต้องการแบบมีความดราม่า
00:12:40 → 00:12:43 อยู่สูงมีความเยอะมีความต้องการเพราะ
00:12:43 → 00:12:46 ฉะนั้นคนกลุ่มเนี้ยถ้าพูดภาษาสมัยใหม่ให้
00:12:46 → 00:12:49 เข้าใจง่ายคือเป็นคนที่หิวแสงต้องการความ
00:12:49 → 00:12:51 สนใจซึ่งเป็นได้ทั้งผู้หญิงทั้งผู้ชาย
00:12:51 → 00:12:54 ต้องการความสนใจจากทุกคนไม่ได้แค่เฉพาะ
00:12:54 → 00:12:57 ผู้ชายผู้หญิงบางทีเขาก็จะมีการแสดงออก
00:12:57 → 00:13:00 ที่เรียกร้องที่ดูเหมือนเจาะแจ๊คุยกับทุก
00:13:00 → 00:13:03 คนได้แต่ความสัมพันธ์เขามันไม่สามารถลง
00:13:03 → 00:13:06 ลึกได้มันมีแค่ความผิวเผินอย่างเงี้ยค่ะ
00:13:06 → 00:13:09 อาจารย์คะในการเรียกร้องความสนใจจากผู้
00:13:09 → 00:13:12 ป่วยฮิสเรียนั้นเขาจะเลือกที่จะเรียกร้อง
00:13:12 → 00:13:14 จากคนที่เขาต้องการจะเรียกร้องหรือเขาจะ
00:13:14 → 00:13:16 เรียกร้องไปทั่วเลยอ่ะคะอาจารย์คือส่วน
00:13:16 → 00:13:19 ใหญ่อ่ะค่ะถ้าเป็นคำว่าอ่าต้องต้องแยก
00:13:19 → 00:13:21 ก่อนถ้าเป็นคำว่าบุคลิกภาพเนี่ยมันก็จะมี
00:13:21 → 00:13:23 ตั้งแต่บุคลิกภาพเหมือนคนทั่วไปคนทั่วไป
00:13:23 → 00:13:25 เนี่ยมันก็เป็นไปได้ที่บางคนใช้คำว่า
00:13:25 → 00:13:27 extrovert introvert แล้วกันถ้าเข้าใจ
00:13:27 → 00:13:30 อย่างสมัยนี้อันเนี้ยมันก็อยู่ในเกณฑ์
00:13:30 → 00:13:34 ปกติแต่ถ้ามันซ้ายสุดขวาสุดขึ้นไปอีกมัน
00:13:34 → 00:13:37 ก็จะเป็นเรื่องของบุคลิภาพเทรดเป็นลักษณะ
00:13:37 → 00:13:39 ของภาพบางประการที่เริ่มแบบเยอะไปและแต่
00:13:39 → 00:13:42 ถ้าสมมุติคือเข้าขั้นผิดปกติคือโอ้โหสุด
00:13:43 → 00:13:45 ซ้ายสุดขวาจริงๆอย่างเงี้ยค่ะมันก็คือแบบ
00:13:45 → 00:13:49 ทุกคนทุกอย่างนั่นแหละค่ะคือต้องการความ
00:13:49 → 00:13:52 สนใจต้องการเป็นจุดสนใจแต่ในขณะเดียวกัน
00:13:52 → 00:13:55 เขาอยู่แค่ในระดับของภายนอกระดับของ
00:13:55 → 00:13:58 เปลือกนอกเวลาเคมีความสัมพันธ์เค้าอาจจะ
00:13:58 → 00:14:00 ดูเหมือนคุยได้กับทุกคนแต่ว่าถามว่าเขา
00:14:00 → 00:14:03 สนิทกับใครหรือเขาแม้แต่เจ้าตัวไว้วางใจ
00:14:03 → 00:14:06 ใครจริงๆไหมบางทีมันแทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ
00:14:06 → 00:14:09 เป็นความสัมพันธ์ที่เยอะแต่ตื้นเขินผิว
00:14:09 → 00:14:12 เผินแล้วอาการของโรคิสเรียเป็นอย่างไรคะ
00:14:12 → 00:14:14 ถ้าถามว่าอาการเป็นยังไงก็คืออย่างที่บอก
00:14:14 → 00:14:16 ว่าแบ่งออกเป็น 2 ประเภทอย่างที่เล่าไป
00:14:16 → 00:14:19 แล้วอ่ะค่ะก็คือ 1 ก็คือถ้าเป็น convers
00:14:19 → 00:14:21 conversational disorder ก็คือมีอาการ
00:14:21 → 00:14:25 ทางระบบประสาทไม่ว่าจะชาอยู่ๆเกร็งอยู่ๆ
00:14:25 → 00:14:28 ชักแต่แต่ชักแบบชักแบบเหมือนตรวจแล้วก็
00:14:28 → 00:14:30 ไม่ได้มีคลื่นชักเลยค่ะอย่างเช่นถ้าคนชัก
00:14:30 → 00:14:33 จริงๆบางทีก็คือกัดลิ้นปัสสาวะอุจจาระราด
00:14:33 → 00:14:36 อันนี้ก็อาจจะแบบไม่มีหรือว่าพอจะล้มก็
00:14:36 → 00:14:38 ล้มไม่ค่อยมีแผลอะไรเงี้ยค่ะแต่แต่ไม่ใช่
00:14:38 → 00:14:41 เขาแกล้งนะคะแต่ว่าเหมือนคนไข้เป็นทางจิต
00:14:41 → 00:14:44 ใจคือไม่ได้เป็นทางกายอะไเงี้ค่ะกลับอีก
00:14:44 → 00:14:46 อย่างนึงก็คืออย่างที่บอกว่าเป็นเรื่อง
00:14:46 → 00:14:49 ปัญหาของบุคคลิกภาพคล้ายๆเหมือนหิวแสง
00:14:49 → 00:14:51 อะไรเงี้ยค่ะจะวินิจฉัยได้อย่างไรคะว่า
00:14:51 → 00:14:54 เป็นโรค his จริงๆก็คือถ้าถ้าสมมุติว่า
00:14:54 → 00:14:57 เรามองในอ่าศาสตร์สมัยใหม่ที่เรามีความ
00:14:57 → 00:14:59 รู้ความเข้าใจไม่ใช่แค่แค่เฉพาะจิตใจแต่
00:14:59 → 00:15:02 ว่าเราเข้าใจในเรื่องของสมองสารเคมีรวม
00:15:02 → 00:15:04 ถึงเราเข้าใจในเรื่องของจิตวิเคราะห์ที่
00:15:05 → 00:15:08 มาที่ไปต่างๆก็คืออ่าถ้าเป็น 2 โรคนี้คือ
00:15:08 → 00:15:11 ถ้าเป็นกลุ่มเรื่องของ conversational
00:15:11 → 00:15:13 disorder หรือว่าหรือว่าที่มีอาการทาง
00:15:13 → 00:15:15 ระบบประสาทไม่ว่าจะช้าพูดไม่มีเสียงอ่อน
00:15:15 → 00:15:18 แรงตาบอดอะไรก็ตามที่เป็นเรื่องของอาการ
00:15:18 → 00:15:21 ทางประสาทก็คือ 1 คือต้องสำคัญสุดคือเรา
00:15:21 → 00:15:24 ตรวจแล้วจริงๆแล้วมันไม่ไม่ไม่ตรงไปตรงมา
00:15:24 → 00:15:26 ตามระบบประสาทอย่างเช่นสมมุตินะคะอย่าง
00:15:26 → 00:15:28 เช่นเวลาชายอย่างเงี้ยค่ะเส้นประสาทเนี่ย
00:15:28 → 00:15:30 คนไข้จะไม่ได้ชาเหมือนใส่ถุงมือหรือใส่
00:15:30 → 00:15:33 ถุงเท้าคนไข้บางคนบอกว่าชาทั้งมือเลย
00:15:33 → 00:15:35 เหมือนเราใส่ถุงมือใส่ถุงเท้าซึ่งมันไม่
00:15:35 → 00:15:38 ได้อธิบายมันไม่ล้อไปกับโครงข่ายเส้น
00:15:38 → 00:15:40 ประสาทอย่างเงี้ยค่ะก็อย่างที่เมื่อกี้
00:15:40 → 00:15:42 เล่าว่าพอชักพออะไรอย่างเงี้ยมันมัน
00:15:42 → 00:15:45 เหมือนมันมันมันเป็นแบบอ่าไม่ล้มไม่ได้
00:15:45 → 00:15:47 บาดเจ็บหรือมองการมองเห็นคือรู้สึกว่า
00:15:47 → 00:15:50 เห็นเป๊ะแค่นี้ก็แค่นี้จริงๆซึ่งโอกาสมัน
00:15:50 → 00:15:53 ไม่ใช่ว่าอุ๊ยคตามันมองเห็นมีปัญหามันจะ
00:15:53 → 00:15:55 เห็นแต่ซ้ายไม่เห็นขวาหรืออะไรชัดขนาด
00:15:55 → 00:15:58 นั้นอะไรเงี้ยค่ะอ่าแล้วแต่คนไข้อเชื่อ
00:15:58 → 00:16:01 จริงๆคือไม่ได้แกล้งทำอันนี้คือประเภทที่
00:16:01 → 00:16:04 1 กับประเภทที่ 2 ถ้าสมมุติว่าเป็นพวก
00:16:04 → 00:16:06 บุคลิกภาพก็คือมันก็ต้องดูในเรื่องของ
00:16:06 → 00:16:09 ความเรื้อรงยาวนานอย่างที่เมื่อกี้อธิบาย
00:16:09 → 00:16:12 ไปแล้วว่ามันอยู่สุดโต่งเลยซ้ายสุดขวาสุด
00:16:12 → 00:16:15 แล้วจนมันกระทบมีปัญหาในชีวิตมีปัญหากับ
00:16:15 → 00:16:18 ความสัมพันธ์กับคนอื่นๆคนรอบด้านอย่าง
00:16:19 → 00:16:22 เงี้ยค่ะแล้วโรคียค่ะอาจารย์รักษาได้
00:16:22 → 00:16:25 อย่างไรคะจริงๆหลักๆอ่ะค่ะไม่ว่าจะเป็น
00:16:25 → 00:16:29 ด้านของเอ่อ conventional ที่มีอาการทาง
00:16:29 → 00:16:32 ชาระบบประสาทหรือว่าด้านของบุคลิกภาพหลัก
00:16:32 → 00:16:35 ๆถ้าตอนเนี้ยใช้คำว่าถ้าไม่มีโรคอื่นร่วม
00:16:35 → 00:16:37 ก่อนนะคะถ้าไม่มีโรคอื่นร่วมคือหลายๆคนพอ
00:16:37 → 00:16:40 เป็นแบบเนี้ยจะมีโรคอื่นทางจิตเวทร่วม
00:16:40 → 00:16:43 อย่างเช่นโรควิตกกังวลอย่างเช่นโรคซึม
00:16:43 → 00:16:46 เศร้าแต่ว่าถ้าเป็นเฉพาะ 2 ภาวะนี้หลักๆ
00:16:46 → 00:16:49 การรักษาหลักๆก็จะเป็นการทำจิตบำบัดคือทำ
00:16:49 → 00:16:52 ให้เขาเข้าใจตัวเองส่วนในกลุ่มบุคลิภาพก็
00:16:52 → 00:16:54 เหมือนกันค่ะอันเนี้ยก็คือเป็นเรื่องของ
00:16:54 → 00:16:57 จิตใจเป็นหลักก็คือเป็นเรื่องของการทำจิต
00:16:57 → 00:17:00 บำบัดให้เข้าใจตัวเองอย่างเงี้ยเป็นหลัก
00:17:00 → 00:17:03 แต่ว่าอย่างที่พูดถ้ามีโรคร่วมอื่นก็ยามี
00:17:03 → 00:17:07 ส่วนจำเป็นโรคฮิสเตรียมีภาวะแทรกซ้อน
00:17:07 → 00:17:11 อย่างไรบ้างคะใช้คำว่าที่มาที่ไปอ่ะเนาะ
00:17:11 → 00:17:13 ก็คืออย่างที่พูดว่าหลักๆมันคือมาจากการ
00:17:13 → 00:17:17 ที่เรามีความรู้สึกมีอารมณ์มีใจคอแต่บาง
00:17:17 → 00:17:20 ทีเราแสดงออกไม่ได้โดยตรงหมายถึงว่ามันก็
00:17:20 → 00:17:22 เลยกลายเป็นร่างกายเนี่ยมีกลไกอัตโนมัติ
00:17:22 → 00:17:25 ที่แสงออกมาทางกายหรืออะไรก็ตามในในกลุ่ม
00:17:25 → 00:17:27 แรกเพราะฉะนั้นบางทีอ่ะค่ะมันก็เกิดภาวะ
00:17:27 → 00:17:31 เก็บกเกิดภาวะกังวลเครียดเศร้าอย่างนี้
00:17:31 → 00:17:34 ได้เหมือนกันหรือบุคคลิกภาพตรงไปตรงมา
00:17:34 → 00:17:37 เมื่อสมมุติคุณหิวแสงแต่คุณไม่ได้แสงก็
00:17:37 → 00:17:39 ซึมเศร้าอีกหรือว่ามีปัญหาความสัมพันธ์
00:17:39 → 00:17:41 บ่อยๆมันก็อาจจะเป็นเรื่องของความเครียด
00:17:41 → 00:17:45 หรือโรคอื่นๆทางจิตใจร่วมด้วยได้โรค
00:17:45 → 00:17:49 ฮิสทีเรียป้องกันได้หรือไม่คะค่ะการป้อง
00:17:49 → 00:17:51 กันนะคะก็คือไม่ใช่เฉพาะโรคฮิสทีเรียแต่
00:17:51 → 00:17:54 ว่าโรคอื่นๆทางจิตใจด้วยอย่างที่บอกเลย
00:17:55 → 00:17:57 ว่าหลายๆครั้งค่ะมันมาจากความเก็บกดทั้ง
00:17:57 → 00:18:00 ตัวเราเองก็เก็บกฎบางทีมันเป็นเรื่องของ
00:18:00 → 00:18:04 อ่าสภาพสังคมหรือปัจจัยหรืออะไรก็ตามหรือ
00:18:04 → 00:18:06 สิ่งแวดล้อมหลายๆครั้งค่ะถ้าสมมุติว่าเรา
00:18:06 → 00:18:09 เข้าใจตัวเองได้มากขึ้นแล้วเราค่อยๆแสดง
00:18:09 → 00:18:11 ออกถึงอารมณ์ความรู้สึกของเราอย่างเหมาะ
00:18:11 → 00:18:15 สมสุภาพและนุ่มนวลค่อยๆสื่อสารกันหรือว่า
00:18:15 → 00:18:18 การที่เวลาเราเครียดเรามีอะไรเรามีที่
00:18:18 → 00:18:21 พึ่งมีที่ปรึกษามันก็จะทำให้เราเสี่ยงต่อ
00:18:21 → 00:18:24 การเป็นภาวะทางจิตใจหรือแม้แต่ว่ารวมถึง
00:18:24 → 00:18:27 โรคฮิสทีเรียน้อยลงค่ะขอบพระคุณอาจารย์
00:18:27 → 00:18:29 หมอนะคะที่มาให้ความรู้ความเข้าใจใน
00:18:29 → 00:18:33 เรื่องของโลคฮียกันแล้ววันนี้ค่ะเรามารู้
00:18:33 → 00:18:36 9 เคล็ดลับที่จะทำให้รักไม่เป็นทุกข์กัน
00:18:36 → 00:18:39 ค่ะความรักควรจะเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวเอง
00:18:39 → 00:18:42 และคนที่เรารักมีความสุขด้วยส่วนใหญ่ที่
00:18:42 → 00:18:45 คนเรามีปัญหาอาจเพราะเรารักเขาแต่เขาไม่
00:18:45 → 00:18:48 รักเราค่ะจึงไปทำให้เขาหรือตัวเราเป็น
00:18:48 → 00:18:51 ทุกข์ซึ่งทางจิตวิทยามองว่าความรักที่ดี
00:18:51 → 00:18:54 ต่อสุขภาพหรือถูกสุขภาพจิตนั้นควรเริ่ม
00:18:54 → 00:18:57 จากการรู้จักรักตัวเองเสียก่อนหลายคนมัก
00:18:57 → 00:19:00 จะมองว่าการรักตัวเองคือการเห็นกับตัวหลง
00:19:00 → 00:19:04 ตัวเองไม่สนใจคนอื่นแท้จริงแล้วหากรู้จัก
00:19:04 → 00:19:07 รักตัวเองอย่างพอเพียงจะเห็นถึงคุณค่าของ
00:19:07 → 00:19:10 ตัวเองความรู้สึกโหยหาความรักจากผู้อื่น
00:19:10 → 00:19:13 ก็จะมีอิทธิพลน้อยลงค่ะวันนี้นะคะเรามี 9
00:19:13 → 00:19:16 เคล็ดลับรู้จักวิธีรักไม่ให้เกิดทุกข์มา
00:19:16 → 00:19:20 ฝากกัน 1 ควรมีความสุขได้ด้วยตัวเองคน
00:19:20 → 00:19:24 อื่นเป็นเพียงผลดีที่เพิ่มเข้ามา 2 ควร
00:19:24 → 00:19:27 ปรารถนาให้ผู้อื่นเกิดสุขด้วยไม่ใช่คิด
00:19:27 → 00:19:30 ถึงแต่ความสุขของเราเช่นเมื่อคนที่เรารัก
00:19:30 → 00:19:33 ไม่รักเราแต่เขามีความสุขของเขาแม้เราจะ
00:19:33 → 00:19:36 เศร้าก็ยังคิดได้ว่าอย่างน้อยก็ได้เห็นคน
00:19:36 → 00:19:40 ที่เรารักมีความสุข 3 ลดความคาดหวังค่ะ
00:19:40 → 00:19:43 แม้เราจะเป็นปุถุชนซึ่งคงตัดความคาดหวัง
00:19:43 → 00:19:46 ไม่ได้แต่ถ้าเรายิ่งคาดหวังจากอีกฝ่าย
00:19:46 → 00:19:51 น้อยโอกาสที่เราจะสมหวังก็ยิ่งมากขึ้น 4
00:19:51 → 00:19:54 ยอมรับความแตกต่างทั้งด้านสรีระและความ
00:19:54 → 00:19:57 คิดของผู้อื่นความคิดที่ไม่ตรงกันนั้นถือ
00:19:57 → 00:19:59 เป็นเรื่องธรรมชาติหากฝ่ายหนึ่งไม่พยายาม
00:19:59 → 00:20:03 ทำให้อีกฝ่ายคิดเหมือนกันและพยายามเข้าใจ
00:20:03 → 00:20:06 ว่าเหตุใดจึงคิดต่างกันปัญหาก็จะไม่เกิด
00:20:06 → 00:20:09 แต่หากเข้าใจและยอมรับได้แล้วเมื่อเห็น
00:20:09 → 00:20:12 เขาทำตัวไม่ถูกใจไม่น่ารักขี้บ่นใจร้อน
00:20:12 → 00:20:15 เราก็จะปรับตัวให้เข้ากับเขาและมอบความ
00:20:15 → 00:20:18 รักให้ได้ง่ายขึ้น 5 รู้จักยอมรับความ
00:20:19 → 00:20:22 เปลี่ยนแปลงความรักจึงจะยืนยาวเพราะความ
00:20:22 → 00:20:25 เปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดาของโลกค่ะเพลงโปรด
00:20:25 → 00:20:28 ฟังซ้ำอาหารที่รับประทานประจำกินบ่อยก็คง
00:20:28 → 00:20:32 เบื่อความรักที่เคยหวานอาจจดจาลงแต่ยังคง
00:20:32 → 00:20:35 ความผูกพันและความสัมพันธ์อันดีถึงแม้จะ
00:20:35 → 00:20:37 เลิกราบางคู่ก็ยังเป็นเพื่อนที่รู้ใจต่อ
00:20:37 → 00:20:41 กันได้ 6 ไม่ควรทำแต่สิ่งที่ตัวเองชอบ
00:20:41 → 00:20:44 หรือสิ่งที่ตนคิดว่าดีให้คนอื่นเพียง
00:20:44 → 00:20:47 อย่างเดียวจะต้องมองถึงความต้องการของเขา
00:20:47 → 00:20:50 ด้วยจะได้ไม่ต้องมาน้อยใจว่าเราหวังดียอม
00:20:50 → 00:20:53 เหนื่อยทำเพื่อเขาแต่เขากลับไม่เห็นคุณ
00:20:53 → 00:20:57 ค่า 7 ความเกรงใจเป็นองค์ประกอบสำคัญควร
00:20:57 → 00:21:01 เอาใจเขามาใส่ใจเราเพราะคนใกล้ชิดสนิทกัน
00:21:01 → 00:21:04 มักคิดว่าจะสามารถทำอะไรตามใจตัวเองได้
00:21:04 → 00:21:07 แทบทุกเรื่องจนลืมนึกถึงความรู้สึกของอีก
00:21:07 → 00:21:11 คนไป 8 พูดจาชื่นชมในสิ่งดีของกันและกัน
00:21:11 → 00:21:14 เป็นอีกหนึ่งวิธีนะคะที่จะมอบความรักที่
00:21:14 → 00:21:17 ควรทำบางคนละเเลยค่ะว่าอยู่ด้วยกันมานาน
00:21:17 → 00:21:19 เรื่องนี้เขาคงรู้ดีอยู่แล้วไม่ต้องชื่น
00:21:19 → 00:21:22 ชมจึงเอาแต่พูดถึงสิ่งไม่ดีหรืออยากให้
00:21:23 → 00:21:26 อีกฝ่ายเปลี่ยนแปลงเอาแต่บ่นโดยไม่เคยชม
00:21:26 → 00:21:29 คนฟังก็ท้อใจได้เหมือนกันค่ะ 9 แสดงออก
00:21:29 → 00:21:33 ซึ่งความรักถ้ารักแล้วไม่แสดงออกเลยอีก
00:21:33 → 00:21:36 ฝ่ายคงไม่รู้นะคะแต่การแสดงความรู้สึกแค่
00:21:36 → 00:21:39 ไหนอย่างไรคงต้องดูว่าเป็นสิ่งที่อีกฝ่าย
00:21:39 → 00:21:42 ต้องการด้วยส่วนความต้องการของเราก็ควร
00:21:42 → 00:21:45 บอกตรงๆค่ะไม่ใช่คาดหวังให้คู่ของเราเป็น
00:21:45 → 00:21:49 หมอดูคอยเดาใจเรานะคะขอบคุณเนื้อหาดีๆจาก
00:21:49 → 00:21:52 ผู้ช่วยศาสตราจารย์แพทย์หญิงสุธิพรเจนวาส
00:21:52 → 00:21:56 ค่ะคณะแพทยศาสตร์ศิริร